แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนา เป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ และวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้ เป็นธรรมเทศนาในพรรษา เป็นบุพพาปรลำดับ สืบต่อธรรมเทศนาที่ได้วิสัชนามาแล้วในวันก่อน ๆ วันนี้เป็นวันที่สมมติกัน เป็นวันพระ เป็นวันอุโบสถ เป็นวันธรรมสวนะ แล้วยังตรงกับวันทำบุญตายายอีกด้วย วันนี้เรียกว่าวันธรรมสวนะ เพราะว่าเป็นวันสำหรับฟังศีลธรรม เรียกว่าเป็นวันอุโบสถ เพราะว่าเป็นที่เข้าอยู่อุโบสถ เข้าถืออุโบสถของบุคคลผู้ถืออุโบสถ เพราะชื่อว่าเป็นวันพระ คือเป็นวันสำหรับทำความดี คนที่ทำปาณาติบาต ก็ยังจะหยุดทำ ปาณาติบาต เลี้ยงชีพในวันนี้ คนทำไร่ทำนาก็ยังจะหยุดการทำไร่ไถนาในวันเช่นวันนี้ ล้วนแต่ว่ามีอะไร ๆ ที่จะต้องรักษาไว้ให้เป็นพิเศษจึงได้เรียกว่าวันพระ เราจะต้องมีวันพระ วันธรรมสวนะ และมีวันอุโบสถกันอย่างนี้เรื่อย ๆ ไป ด้วยความมุ่งหมายว่าวันเช่นวันนี้จะเป็นวันที่ทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในทางจิตใจ ตามทำนองคลองธรรมของพระศาสนา ถ้าจะถือว่าเป็นวันพักผ่อนก็ยังได้ คนเราถ้าจิตใจไม่รู้จักพักผ่อนเสียเลย ก็จะต้องเป็นคนที่มีจิตใจวิปริตผิดปรกติเป็นแน่นอน เมื่อจิตใจวิปริตผิดปรกติแล้ว มันก็ต้องมีปัญหา คือความยุ่งยากลำบากจนกลายเป็นความทุกข์ขึ้นมาดังนี้ นี้เรียกว่าเพียงแต่ไม่มีการพักผ่อนเท่านั้น ก็ยังมีโทษถึงอย่างนี้แล้ว ทีนี้วันเช่นวันนี้ยังเป็นวันสำหรับจะสร้างความเจริญในทางจิตใจ ถ้าสมาทานอุโบสถศีล ก็เพิ่มคุณสมบัติทางกาย ทางวาจาเป็นโดยตรง เพิ่มคุณสมบัติในทางจิตใจ มีความเข้มแข็งตั้งมั่นแห่งจิตใจเป็นต้น มันก็เป็นการได้อะไรที่มากขึ้นไปกว่าเดิม ถ้าเป็นวันธรรมสวนะก็คงจะมีอะไรฉลาดขึ้นบ้าง เกี่ยวกับการฟังธรรมในครั้งหนึ่ง ๆ ดังนั้นวันพระนี้จึงเป็นวันที่จำเป็นสำหรับมนุษย์เราจะต้องมี ใครไม่มีวันพระ คนนั้นจะหมดความเป็นมนุษย์ลงไปทุกที จนกระทั่งไม่เป็นมนุษย์ก็ได้ ขอให้ระวังให้ดี จะได้มีวันพระอยู่เป็นประจำ เพราะว่าวันพระนี้เราตั้งใจทำอะไรให้ดี รักษาศีลเป็นพิเศษ ฟังธรรมเป็นพิเศษ พักผ่อนทางจิตใจเป็นพิเศษ ทำให้มีความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ขอให้รู้จักใช้วันพระให้สำเร็จประโยชน์อย่างนี้ด้วยกันจงทุกคนเถิด
บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนา ในฐานะที่เป็นวันธรรมสวนะ โดยหัวข้อว่า อิธ ภิกฺข เว สุต วา อริยสาวโก เป็นอาทิ ซึ่งมีใจความว่า ภิกษุทั้งหลาย อริยะสาวกในศาสนานี้เป็นผู้ได้สดับแล้ว เป็นผู้ได้เห็นพระอริยะเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้ฉลาดในธรรมของพระอริยะเจ้า เป็นผู้ที่เขาแนะนำดีแล้วในธรรมของพระอริยะเจ้า เป็นผู้ได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย เป็นผู้ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ เป็นผู้เขา เป็นผู้อันเขาแนะนำไปดีแล้วในธรรมของสัตบุรุษดังนี้ ข้อความนี้ทั้งหมดเป็นการแสดงถึงลักษณะของมนุษย์ชนิดที่เรียกว่าอริยะสาวก ซึ่งเราทุกคนควรจะมีความเข้าใจกันให้เพียงพอสำหรับคำ ๆ นี้ มันเป็นคำที่ตรงกันข้ามกับคำว่า ปุถุชน คำคู่นี้มีอยู่๒ คำ คือคำว่าพระอริยะเจ้า กับคำว่า ปุถุชน พระอริยะเจ้าแตกต่างจากปุถุชนอย่างตรงกันข้ามอย่างไร ก็ควรจะเป็นที่เข้าใจกันไว้บ้าง จึงได้นำมาวิสัชนา โดยหัวข้อพระบาลีที่กล่าวแล้วว่าลักษณะของพระอริยะสาวกนั้น เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาแล้วในธรรมของพระอริยะเจ้า ได้เห็นพระอริยะเจ้า และได้ฉลาดในธรรมของพระอริยะเจ้า ถูกเขาแนะนำดีแล้วในธรรมของพระอริยะเจ้า ดังนี้เป็นต้น ส่วนปุถุชนนั้นมันตรงกันข้าม จึงสมกับความหมายของคำ ๒ คำนี้ที่ต่างกันอยู่ อริยะ แปลว่าประเสริฐ หรือจะแปลโดยแยกศัพท์ให้ละเอียดออกไปว่า เป็นผู้ไกลแล้วจากข้าศึก เป็นผู้ไม่มีข้าศึก กล่าวคือกิเลสนั่นเอง กิเลสคือความเศร้าหมอง กิเลสคือต้นเหตุให้เกิดความทุกข์ เมื่อไม่มีกิเลส ก็ไม่เศร้าหมองและไม่เกิดความทุกข์ อย่างนี้เรียกว่า อริยะบุคคล ส่วนปุถุชนนั้น ไม่มีความเป็นอย่างนี้ คือไม่ได้ยินได้ฟัง ถึงแม้ได้ยินได้ฟังก็ไม่เข้าใจ เพราะไม่เอาใจใส่ที่จะยินจะฟัง ไม่เคยเห็นพระอริยะเจ้า ไม่เคยฉลาดในธรรมของพระอริยะเจ้า ไม่ถูกแนะนำดีในธรรมของพระอริยะเจ้า มันจึงตรงกันข้าม คือหนาไปด้วยกิเลส เรียกว่าเป็นคนที่มีธุลีในดวงตาที่มาก ที่หนา จนตามองไม่เห็นอะไร นี้เรียกว่าปุถุชน ส่วนพระอริยะเจ้าหรือพระอริยะสาวกก็ตาม ไม่เป็นอย่างนั้น เป็นของตรงข้ามอย่างนี้ ทุกคนก็เคยได้ยินได้ฟังคำว่าพระอริยะเจ้า ถึงแม้ปากจะไม่พูด ในใจก็ยังคิดว่าการเป็นพระอริยะเจ้านี้คงจะเป็นการได้ที่ดี จึงพยายามที่จะทำตาม เพื่อความเป็นพระอริยะเจ้า อยู่ด้วยกันในใจ เป็นความมุ่งหมาย แต่ว่าอาจจะยังไม่มีความเข้าใจอย่างถูกต้องในข้อนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้นจึงเอามาวิสัชนา ขอให้ท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟังให้สำเร็จประโยชน์เถิด
ในพระบาลีนี้มีอยู่ชัดแล้วว่า ผู้ที่เป็นอริยะสาวกนั้น ต้องเป็นผู้ที่ได้รับการ มีการสดับตรับฟัง นี้หมายความว่าฟังด้วยดี ไม่ใช่สักแต่ว่าฟัง ๆ เหมือนที่เป็นกันโดยมาก มีบาลีกว่าไว้ชัดเจนว่า สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ คือฟังด้วยดี จึงจะได้ปัญญา ถ้าฟังไม่ดี ฟังเท่าไรมันก็ไม่ได้ มันได้ยิน อย่างที่เรียกว่าเหมือนเข้าทางหูหนึ่ง แล้วก็ไปออกทางหูหนึ่ง นี้เป็นคำด่าอยู่ในตัว ไม่ได้ยินก็หมายความว่าไม่เข้าใจ ธรรมดาคนถ้ายังมีหู ก็ต้องได้ยินเสียง แต่ได้ยินแล้ว มันยังมีปัญหาอยู่ว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจ คนบางคนนั่งฟังอยู่ข้างธรรมมาสน์ตั้งแต่หนุ่ม จนแก่ชรา หัวหงอก ตาย เน่าเข้าโลงไป แต่ก็ไม่รู้อะไรเสียเลย อย่างนี้ก็มีอยู่ ไม่ใช่เป็นเรื่องแกล้งพูด ไม่ใช่เป็นเรื่องคาดคะเน เคยเห็นมาแล้ว คือเป็นผู้จัดการอะไรต่าง ๆ ข้างธรรมมาสน์ตามหน้าที่ที่เขาจ้างไว้ให้ทำอย่างนั้น แล้วยังเป็นคนปากจัดเสียด้วย กล่าวถ้อยคำแขวะควัก ค่อนแคะภิกษุที่ไปเทศน์บนธรรมมาสน์นั้นอยู่บ่อย ๆ นี้เป็นตัวอย่างว่าฟังไม่ได้ยิน เขาก็ฟังทุกที โดยที่มันจำเป็นจะต้องฟังหรือต้องได้ยิน แต่แล้วก็ไม่เข้าใจอะไรเลย เรียกว่าคนที่ไม่ได้ยินได้ฟัง ฟังแล้วต้องเข้าใจว่ามันว่าอะไร โดยเฉพาะในความหมายที่เกี่ยวกับความทุกข์และความดับทุกข์ ถ้ามีความเข้าใจในส่วนนี้ก็เรียกว่าได้ยินได้ฟัง คือ สุตวา เป็นผู้ได้สดับแล้ว บทที่ว่า ภัสสาวี (นาทีที่ 13.59) นี้แปลว่าเป็นผู้ได้เห็น เห็นพระอริยะเจ้า หรือเห็นสัตบุรุษ นี้ก็เหมือนกันอีก ใคร ๆ ก็มีตา ตามันก็มองเห็นว่านั่นเป็นอย่างไร รูปอะไร สีอะไร ใคร ผู้หญิง ผู้ชาย อันนี้ตามันก็มองเห็น แต่ก็หารู้ไม่ว่าคนนั้นเป็นอย่างไร โดยจิตใจ โดยแท้จริง เมื่อไม่เข้าใจบุคคลนั้นแล้ว ก็เรียกว่าไม่เห็นบุคคลนั้น เช่นเดียวกับคนเป็นอันมาก ในครั้งพุทธกาล เขาก็เห็นพระพุทธเจ้าเดินมา แต่ก็ไม่รู้จัก แล้วก็ไม่สนใจ บางคนรับจ้างด่าพระพุทธเจ้าก็ยังมี ข้อความเหล่านี้ไปหาอ่านดูได้จากพระบาลีนั้น ๆ ที่เป็นการอิจฉาริษยาของลัทธิศาสนาอื่น โดยทั่วไปคนเป็นอันมากก็ไม่เห็นพระพุทธเจ้าทั้งที่เดินสวนทางกันอยู่นั้น จึงไม่รับนับถือพระพุทธศาสนา ทีนี้แม้แต่คนที่นับถือพุทธศาสนาแล้ว ก็ยังไม่เห็นพระพุทธเจ้าก็ยังได้ เพราะพระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม สาวกของพระพุทธเจ้าบางคนที่ยังไม่เห็นธรรม เพียงแต่ว่าสมัครเป็นสาวกตาม ๆ เขามาเท่านั้นเอง อย่างนี้ก็เรียกว่ายังไม่เห็นพระพุทธเจ้า ต่อเมื่อได้เห็นธรรมคือเข้าใจในเรื่องความทุกข์และความดับทุกข์แล้ว ตามที่พระพุทธเจ้าได้สอนว่าอย่างไร นี่แหละคือผู้ที่เห็นพระพุทธเจ้า คำที่ว่าเห็นพระอริยะสาวก หรือเห็นสัตบุรุษนี้ก็เหมือนกัน เห็นพระอริยะเจ้าหมายความว่าเห็นพระอริยะเจ้าทั่ว ๆ ไป รวมทั้งพระพุทธเจ้าด้วยก็ได้ เห็นสัปบุรุษทั้งหลาย ก็คือเห็นบุคคลที่มีความสงบระงับ เดี๋ยวนี้คำว่า สัตบุรุษ หรือ สัปบุรุษ หมายถึงบุคคลที่มีคุณธรรมเป็นเครื่องสงบระงับตามธรรมดาสามัญเท่านั้น จนกระทั่งว่าใครเข้าวัดบ้างแล้วก็เรียกว่า สัปบุรุษ แต่คำว่า สัปบุรุษนี้ เคยมีความหมายสูงกว่านี้ คือหมายถึงการเป็นพระอรหันต์ เมื่อเขาขุดค้นพระสถูปสาญจี ที่ประเทศอินเดีย พบผอบหินเป็นอันมาก มีฝาผอบจารึกชื่อพระอรหันต์นั้น ๆ แล้วก็ใช้คำว่า สัปปุริสัสสะ คือเรียกพระอรหันต์นั้นว่า สัปบุรุษเท่านั้นเอง ไม่มีคำว่าพระอรหันต์ใช้เลย เพราะคำว่าสัปบุรุษในกรณีอย่างนั้นหมายถึงพระอรหันต์ นี่แหละขอให้เข้าใจเถิดว่า คำว่าพระอริยะเจ้าก็ดี คำว่าสัปบุรุษก็ดี ล้วนแต่เป็นคำที่มีความหมายไปยังพระอรหันต์ หรือผู้ที่กำลังจะเป็นพระอรหันต์ ด้วยการปฏิบัติพยายามอยู่ทุกวิถีทางเพื่อความเป็นพระอรหันต์ เรียกว่าพระอริยะเจ้าก็ได้ เรียกว่าสัปบุรุษก็ได้ แต่ว่าเป็นชั้นที่รอง ๆ ลงมา จนกระทั่งว่าเป็นกัลยาณปุถุชนก็ได้ เรียกว่าสัตบุรุษด้วยเหมือนกัน แต่เมื่อมีคำกล่าวรวม ๆ อย่างนี้ เช่นคำว่า อริยานํ ทสฺสาวี หรือ สปฺปุริสานํ ทสฺสาวี เป็นผู้มีปรกติเห็นพระอริยะเจ้า หรือเห็นสัตบุรุษอย่างนี้แล้ว ขอให้เข้าใจว่าหมายถึงเห็นธรรมที่ทำบุคคลนั้น ๆ ให้เป็นพระอริยะเจ้า หรือเป็นสัตบุรุษนั่นเอง หาได้เล็ง หาได้เล็งถึงตัวบุคคลแต่อย่างเดียวไม่ เพราะว่าไม่อาจจะเข้าใจได้ ในเมื่อเห็นแต่ตัวบุคคล แต่ว่ามันเป็นเรื่องมาจากการเห็นบุคคลนั้นก่อน จึงค่อยเห็นธรรมะที่มีอยู่ในจิตใจของบุคคลนั้น แล้วเข้าใจบุคคลนั้น ๆ ได้ ทั้งทางโดยร่างกายและทางจิตใจ จึงเรียกว่าเป็นผู้เห็นบุคคลนั้น ๆ ครบทั้งภายนอกและภายใน ลึกซึ้งถึงกับว่ามีคุณธรรมอย่างไร นี้จึงจะเรียกว่าเห็นพระอริยะเจ้า หรือเห็นสัตบุรุษ ส่วนที่ว่า อริย ธมฺมสฺส โกวิโท สปฺปุริสธมฺมสฺส โกวิโท นี้ก็หมายถึงความเป็นผู้ฉลาดในธรรมของพระอริยะเจ้า หรือเป็นผู้ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ คำนี้ระบุไว้ชัดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ คือระบุไว้ว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ฉลาดในธรรมของพระอริยะเจ้า พระอริยะเจ้ามีธรรมอย่างไร คนนั้นก็เข้าใจแจ่มแจ้งทั่วถึง สัตบุรุษ หรือสัปบุรุษมีความเป็นอยู่อย่างไร มีจิตใจอย่างไร คนนั้นก็มีความเข้าใจทั่วถึง ธรรมของพระอริยะเจ้าคือ ก็คือธรรมที่ทำความเป็นพระอริยะเจ้านั่นเอง จะเล็งถึงปรากฏการณ์ภายนอก คือธรรมชาติของความเป็นอริยะเจ้าที่แสดงออกมาทางภายนอกก็ได้เหมือนกัน เพราะว่ามันเป็นผลของการที่เป็นพระอริยะเจ้าอยู่ข้างใน แล้วมันแสดงออกมาข้างนอก คนฉลาดแล้วก็จะรู้จักอย่างครบถ้วนทีเดียวว่า พระอริยะเจ้ามีธรรมะข้างในอย่างไร และมีธรรมะแสดงออกมาที่เนื้อที่ตัวให้คนอื่นเห็นนั้นอย่างไร ใจความสำคัญรวมอยู่ที่ว่าเป็นผู้บรรเทากิเลส เป็นผู้บรรเทาความทุกข์ เป็นผู้ไม่มีกิเลส เป็นผู้ไม่มีความทุกข์ในที่สุด มีความเข้าใจแจ่มแจ้งทั่วถึงในคุณธรรมเหล่านี้ของพระอริยะเจ้าก็ดี ของสัปบุรุษก็ดี เรียกว่าเขาเป็น อริย ธมฺมสฺส โกวิโท หรือเป็น สปฺปุริสธมฺมสฺส โกวิโท ดังนี้ ส่วนข้อที่ว่า อริยธมฺเม สุวินีโต นี้แปลว่าเป็นผู้อันบุคคลนำไปดีแล้วในธรรมของพระอริยะเจ้า สัปปุริสธรรม สุวินีโต เป็นผู้อันบุคคลนำไปดีแล้วในธรรมของสัตบุรุษ สุวินีโต แปลว่าถูกเขานำไปดีแล้ว ตามตัวหนังสือแต่โดยความหมายก็คือเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกฝนแนะนำอย่างดี อย่างถูกต้องและสมบูรณ์แล้วในธรรมของพระอริยะเจ้า หรือในธรรมของสัปบุรุษ นี้มันก็แสดงว่าเขาเป็นพระอริยะเจ้าในระดับใดระดับหนึ่ง เป็นสัปบุรุษในระดับใดระดับหนึ่งนั่นเอง ลักษณะที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นลักษณะของพระอริยะเจ้าหรือแม้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอริยะสาวก เป็นสาวกของพระอริยะเจ้า ก็มีลักษณะอย่างนี้ เป็นพระอริยะเจ้าเสียเอง มันก็มีลักษณะอย่างนี้ อย่างน้อยที่สุดก็หมายความว่ากำลังทำให้เหมือนกันอยู่ ทำได้ถึงที่สุดก็เป็นพระอริยะเจ้า ในชั้นสูงสุดคือเป็นพระอรหันต์ ที่รองลงมาก็มีพระอนาคามี พระสกิทาคามี และพระโสดาบัน แม้ที่สุดแต่กัลยาณปุถุชนผู้ตั้งตนไว้ดี พยายามที่จะก้าวหน้าไปในทางของพระอริยะเจ้าแล้ว ก็เรียกว่าอริยะสาวกได้ด้วยเหมือนกัน ขอให้ท่านทั้งหลายมีความเข้าใจไว้อย่างนี้ ว่านี้คืออริยะสาวกที่มีความตรงกันข้ามกับปุถุชน ปุถุชนเป็นคนหนาไปด้วยกิเลส จึงมีแต่สิ่งที่เรียกว่ากิเลสและผลของกิเลส มีความมืดมัว ความเร่าร้อน ความสกปรกที่เรียกว่าเป็นลักษณะของกิเลส ในภายในก็มีกิเลส ในภายนอกก็มีกิริยาอาการที่กิเลสแสดงออกมา นี้เรียกว่าปุถุชน คนหนาไปด้วยกิเลส เราจะรู้จักพระอริยะเจ้าได้ดีก็ต่อเมื่อรู้จักปุถุชนดี ถ้าเราจะรู้จักปุถุชนได้ดี ก็ต่อเมื่อรู้จักพระอริยะเจ้าได้ดี เพราะว่าเป็นคู่ตรงกันข้ามแก่กันและกัน ดังนั้นจึงควรจะฟังเรื่องนี้พร้อม ๆ กันไป ว่าพระอริยะเจ้าเป็นอย่างไรและปุถุชนนั้นเป็นอย่างไร ดังจะได้กล่าวต่อไปพอเป็นตัวอย่าง เท่าที่เวลาจะมี
ในพระพุทธภาษิตสูตรหนึ่งได้กล่าวไว้ถึงลักษณะที่จะเป็นเครื่องสังเกตความแตกต่างระหว่างปุถุชนกับพระอริยะเจ้า โดยการยกเอาสิ่งที่เรียกว่าเวทนาขึ้นมาเป็นตัวเรื่องสำหรับพินิจพิจารณาหาความแตกต่างนั้น สิ่งที่เรียกว่าเวทนาก็คือสิ่งที่เกิดอยู่แก่มนุษย์ทุกคนและทุกวัน ไม่มีใครที่จะหลีกพ้นไปได้จากเวทนา เดี๋ยวเวทนาก็เกิดทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือว่าทางใจเอง อยู่เป็นประจำในทุกวัน เมื่อเวทนาเกิดขึ้นมาแล้ว มันก็กล่าวได้ว่าเขาเป็นผู้เสวยเวทนานั้น เมื่อมีการเสวยเวทนานั้นแล้ว มันต่างกันอย่างไรในระหว่างปุถุชนกับอริยะบุคคล พระบาลีมีกล่าวไว้ชัดว่าปุถุชนเมื่อเสวยทุกขเวทนา ย่อมมีความทุกข์ทั้งทางกายและทางใจ เหมือนกับว่าถูกยิงด้วยลูกศรดอกหนึ่งแล้ว ก็ยังถูกยิงซ้ำด้วยลูกศรอีกดอกหนึ่ง มันก็มีความเจ็บปวดมาก ส่วนพระอริยะบุคคลนั้น เมื่อเสวยทุกขเวทนาก็มีแต่ความทุกข์ในทางกายอย่างเดียว เหมือนกับถูกยิงด้วยลูกศรเพียงดอกเดียวเฉียด ๆ ไป อีกดอกหนึ่งนั้นยิงผิด จงเปรียบเทียบดูเถิดว่าคน ๆ หนึ่งถูกยิงด้วยลูกศรดอกหนึ่งแล้ว ยังถูกยิงซ้ำอีกดอกหนึ่งด้วย จะเจ็บปวดเท่าไร คนหนึ่งถูกยิงดอกหนึ่งแล้ว ดอกที่สองนั้นยิงผิดไป มันก็ต้องเจ็บปวดน้อยกว่ากันเป็นธรรมดา อย่างน้อยก็เท่าตัว นี้หมายความว่าปุถุชนนั้นเมื่อเสวยทุกขเวทนา ก็มีความทุกข์มาก ทั้งทางกายและทางใจ ทางกายมันก็เจ็บปวดไปตามภาษาของทุกขเวทนา แต่ทางใจนั้นมันมีความยึดมั่นถือมั่นในทุกขเวทนานั้น มันก็เลยเจ็บที่ใจเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง ไม่เพียงแต่เจ็บที่กายอย่างเดียว นี้จึงเปรียบว่าเหมือนกับถูกยิงด้วยลูกศรซ้ำกันถึง ๒ ดอก ส่วนพระอริยะเจ้านั้น เสวยทุกขเวทนาเป็นไปแต่ทางกายอย่างเดียว ทางจิตใจไม่มี เพราะไม่มีความยึดมั่นถือมั่นเวทนานั้น ว่าเป็นของเรา ดังนี้ มันจึงมีแต่ทุกขเวทนาทางกาย ไม่มีทุกขเวทนาทางจิตหรือทางใจ หรือที่จะเรียกว่าทางวิญญาณก็ตาม พูดให้ดีไปกว่านี้ ก็ต้องพูดว่าลูกศรที่ยิงมานั้น ถูกแต่ผิวนอกหรือถูกแต่เปลือกนอก ไม่ถูกหัวใจ ไม่ระคายขนเลย มันต่างกันกับปุถุชน ถูกยิงด้วยลูกศรนั้น มันถูกที่หัวใจด้วย มันถูกที่ร่างกายด้วย ฉะนั้นจึงมีความทุกข์ มีความเจ็บปวดจนตาย หรือเจียนตาย ส่วนพระอริยะเจ้านั้นไม่ระคายขนเลย เพราะว่าลูกศรที่ยิงถูกหัวใจนั้นไม่มี มีแต่ระคายผิวหนังชั้นเปลือกนอกบ้างเท่านั้น นี่แหละขอให้เข้าใจเรื่องนี้ แล้วเปรียบเทียบพิจารณาดูให้ดี แล้วพอจะเข้าว่าความเป็นพระอริยะเจ้า กับความเป็นปุถุชนนั้นมันต่างกันอย่างไร ตัวเองเป็นปุถุชนทั้งที ก็ควรจะมีความเข้าใจในเรื่องความเป็นปุถุชนที่กำลังเป็นอยู่ในทุกวันนี้ เพราะอะไรเจ็บปวดขึ้นมาที่ร่างกาย มันไม่หยุดอยู่แต่ที่ร่างกาย มันยึดมั่นถือมั่น ด้วยตัณหา ด้วยอุปาทาน มันจึงเจ็บลึกไปถึงส่วนลึกของจิต ของวิญญาณ คือทั้งหมดทั้งสิ้น เรื่องนิดเดียวก็เอาไปยึดมั่นถือมั่น ให้มันมาก มากสำหรับจะได้กลัวมาก สำหรับจะได้เจ็บมาก เป็นคนบ้าไปเลย นี่แหละคือการที่ว่าทุกขเวทนาของปุถุชนกับของพระอริยะเจ้ามันต่างกันอย่างนี้ แล้วก็เป็นเรื่องที่เราเกี่ยวข้องกันอยู่เป็นประจำทุกวัน เมื่อใดใครนั่งน้ำตาไหล มีเหตุอะไร ก็มองดูให้ดี ๆ ทีว่ามันร่ำรวยเกินไปด้วยความเป็นปุถุชน เรื่องในลักษณะอย่างนั้น มันจะทำให้พระอริยะเจ้าหรือพระอริยะสาวกน้ำตาไหลไม่ได้ อาจจะหัวเราะได้ด้วยซ้ำไป มันต่างกันอย่างนี้ ไอ้ที่เรียกว่าคับอกคับใจนั่นแหละ มันเป็นเรื่องทางจิตใจ เพราะว่าคับเนื้อที่ คับร่างกายนี้ มันเป็นเรื่องทางร่างกาย เราอย่ามีความคับในทางจิตใจ มีแต่ความคับในทางร่างกาย มันก็ยังไม่กระไร เรื่องทางจิตใจมันสำคัญกว่าอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อทุกขเวทนาเกิดขึ้น ก็อย่าให้มันเสียดแทงจิตใจเลย มันเกิดขึ้นทางกาย เพราะว่ามันต้องผ่านร่างกาย หรือจะผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย มันก็ให้มันอยู่แต่ที่นั่น อย่าให้มันเข้าไปถึงจิตใจ นี่แหละคืออุปมาที่ว่าพระอริยะเจ้านั้นถูกยิงด้วยลูกศรได้เพียงเฉียด ๆ ผิวหนังแต่ทางกาย ไม่เข้าไปถึงจิตใจ ส่วนปุถุชนนั้นร่างกายก็ถูก จิตใจก็ถูก เต็มที่ด้วยกันทั้งนั้น มันก็เลยมีความทุกข์มาก สมน้ำหน้าของการที่มันอยากเป็นปุถุชน ไม่รู้จักสิ้นจักสุดอยู่ดังนี้ นี้เป็นการเปรียบและยกเอาทุกขเวทนามาเป็นเครื่องเปรียบเทียบ ทีนี้จะดูกันที่ตัวเรื่องนั้นจริง ๆ โดยไม่ต้องการเปรียบเทียบ ก็ยังมีคำศัพท์ไว้ว่าปุถุชนเสวยเวทนาด้วยความโง่ พระอริยะเจ้าหรือพระอริยะสาวกเสวยเวทนาด้วยความฉลาด มันต่างกันอย่างตรงกันข้ามอย่างนี้ ปุถุชนเสวยเวทนาด้วยอวิชชา ด้วยกิเลสตัณหา ไม่ว่าเวทนาชนิดไหน จะเป็นสุขเวทนาก็ตาม ทุกขเวทนาก็ตาม อทุกขมสุขเวทนาก็ตาม ขึ้นชื่อว่าสัญชาติปุถุชนแล้วมันก็เสวยเวทนานั้นด้วยความโง่ คือด้วยอวิชชา หรือด้วยกิเลสตัณหา มันจึงดิ้นเร่า ๆ ไป ไม่ว่าเวทนาจะชนิดไหนจะเข้ามา จะเป็นสุขเวทนา มันก็ดิ้นเร่า ๆ ไป จะเป็นทุกขเวทนา มันก็ยิ่งดิ้นเหมือนกับคนบ้า แม้จะเป็น อทุกขมสุขเวทนา มันก็ยังดิ้นไปอีกแบบหนึ่ง เพราะว่ามันเสวยเวทนานั้น ๆ ด้วยความโง่ ด้วยอวิชชา ด้วยกิเลสตัณหา ส่วนพระอริยะเจ้านั้นเสวยเวทนาด้วยวิชชา ด้วยโพธิ ด้วยปัญญา ไม่ว่าจะเสวยเวทนาชนิดไหน จะเป็นสุขเวทนา หรือทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา พระอริยะเจ้าหรือพระอริยะสาวกก็ตาม เกี่ยวข้องกับเวทนานั้นด้วยสติปัญญา ด้วยสติสัมปชัญญะ ด้วยวิชชา รู้ว่ามันคืออะไร มันจะต้องทำอย่างไร แล้วก็ทำไปตามที่มันควรจะทำ ไม่มีการดิ้นเร่า ๆ ด้วยความยินดี หรือด้วยความยินร้าย หรือด้วยความพะวงสงสัย เหมือนสัญชาติปุถุชน นี้คือการต่างกันระหว่างปุถุชนกับอริยะบุคคลในการเสวยเวทนา ฉะนั้นผลมันจึงต่างกัน ว่าวันหนึ่ง คืนหนึ่ง ตลอดเวลานั้น ปุถุชนเป็นอยู่ด้วยความยินดียินร้าย ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความหวาดระแวง ความสะดุ้ง ความหวาดเสียว ความสงสัย ความหวาดหวั่นอย่างนี้ ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ทั้งหลับ ทั้งตื่น ส่วนพระอริยะสาวกนั้น มีความปรกติในทางกาย ทางใจ สนุกสนานเพราะการได้ทำงาน ถึงเวลานอนก็นอนหลับสนิท ถึงเวลาตื่นก็ชื่นบาน เป็นผู้มีชีวิตตลอดกาล ไม่มีความตายเข้ามาสลับ ส่วนปุถุชนนั้นมันคล้ายกับตายอยู่เรื่อย มันมีชีวิตนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วมันก็ตายอยู่เรื่อย เดี๋ยวยินดี เดี๋ยวยินร้าย เดี๋ยวรัก เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวเกลียด เดี๋ยวกลัว เดี๋ยวระแวง เดี๋ยวสงสัย เดี๋ยวหวาดเสียวอยู่อย่างนี้ แม้แต่นอนหลับแล้ว มันก็ยังสะดุ้ง นี้คือความต่างกันในส่วนที่เป็นผลของความเป็นปุถุชน หรือความเป็นพระอริยะเจ้า เมื่อปุถุชนถูกรบกวนอยู่ด้วยความรู้สึกที่เป็นความทนทรมานอย่างนี้ พระอริยะสาวกนั้นกลับเป็นปรกติ ใช้คำว่าปรกติคำเดียวก็พอ เกิดทุกขเวทนา ใจคอก็ยังปรกติ เกิดสุขเวทนาใจคอก็ยังปรกติ เกิดอทุกขเวทนา อสุขเวทนา ใจคอก็ยังปรกติ เพราะเป็นผู้รู้เท่าทันซึ่งเวทนานั้น ในฐานะที่เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อยู่โดยแท้จริง มันจึงปรกติได้ หัวเราะเยาะได้ ได้มาก็หัวเราะ เสียไปก็หัวเราะ ไม่ได้ไม่เสียก็หัวเราะ เห็นว่ามันเป็นของที่เป็นสักว่า เป็นมายา เป็นไปตามธรรมชาติ ธรรมดาของสังขารในโลกนี้ จะต้องไปยินดียินร้ายกับมันทำไม ทีนี้เมื่อถึงคราวที่ทำการทำงาน ก็มี กลับจะมีความสนุกสนานเพราะว่าได้เคลื่อนไหวในทางกาย ทางใจ ได้ออกกำลังจึงสนุกในการทำงานนั้น ๆ ไม่ใช่ว่าจะทำงานเอาร่ำเอารวยด้วยความยึดมั่นถือมั่น แต่ว่าทำในฐานะที่ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นมันต้องเคลื่อนไหว มันต้องทำการงาน มันต้องทำการหมุนเวียน คือว่าหาอาหาร กินอาหาร แล้วก็ถ่ายออกมา แล้วก็หาอาหาร แล้วก็กินอาหาร แล้วก็ถ่ายออกมา เพื่อชีวิตนี้มันมีอยู่ได้ กลายเป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ น่าหัวเราะหรือน่าสนุก ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร โดยความเป็นตัวกูหรือเป็นของกู ดังนั้นมันจึงนอนหลับสนิท ไม่ต้องเป็นโรคเส้นประสาท ไม่ต้องเป็นโรคจิตวิปริต เหมือนที่เขาเป็นกันมากขึ้นทุกทีในโลกทุกวันนี้เพราะว่ามันนอนไม่หลับสนิท เมื่อนอนก็สะดุ้งหวาดเสียว เมื่อตื่นขึ้น มันก็หาความเบิกบานไม่ได้ เหมือนที่กล่าวไว้ว่ากลางคืนอัดควัน กลางวันเป็นไฟ กลางคืนมันนอนอัดควันด้วยความยึดมั่นถือมั่น ด้วยความทะเยอทะยานอยาก พอตื่น พอสว่างตื่นขึ้นมา ก็วิ่งไปหาเหยื่อ หาสิ่งที่ตัวต้องการ เรียกว่าขนาดที่ว่าเป็นฟืนเป็นไฟนี่ ในบาลีก็มีอุปมาอันนี้ กล่าวไว้ว่ากลางคืนอัดควัน กลางวันเป็นไฟ ได้แก่สัญชาติปุถุชนนั่นเอง จงรู้จักปุถุชนในลักษณะอย่างนี้ แล้วก็รู้จักพระอริยะเจ้าในลักษณะที่มันตรงกันข้าม ไม่มีกลางคืนอัดควัน กลางวันเป็นไฟ แต่ปรกติทั้งกลางคืน ทั้งกลางวัน ถ้าต้องทำการงานก็สนุกสนาน ถ้าต้องพักผ่อนก็หลับสนิท ตื่นอยู่ก็แช่มชื่นบาน สดชื่นเหมือนมีชีวิตครบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์และตลอดเวลา นี้เรียกว่าเป็นความที่ไม่รู้จักตายอยู่ในตัวมันเองแล้ว ส่วนปุถุชนนั้นไม่เป็นอย่างนี้คือเป็นอย่างตรงกันข้าม จงพิจารณาดูให้เห็นความแตกต่างกันอย่างตรงกันข้ามในข้อนี้เถิด โดยสรุปว่าปุถุชนเสวยเวทนาด้วยความโง่ อริยะสาวกเสวยเวทนาด้วยความฉลาด ปุถุชนจะเป็นอยู่ด้วยความขึ้น ๆ ลง ๆ ไปตามอำนาจความผลักไสของกิเลสตัณหา ส่วนอริยะสาวกนั้นอยู่ด้วยความเป็นปรกติ
ทีนี้ยังมีข้อความที่กล่าวไว้ให้เปรียบเทียบอีกชั้นหนึ่ง คือว่านอกจากจะมีกิเลสและไม่มีกิเลสอย่างนี้แล้ว ยังมีสิ่งที่เรียกว่ามีอนุสัย หรือไม่มีอนุสัยอีกต่อหนึ่ง กิเลสนั้นหมายถึงกิเลสที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น ๆ ส่วนอนุสัยสังโยชน์ นั้น หมายถึงกิเลสที่เกิดขึ้นเป็นความเคยชิน คือความเคยชินของกิเลสนั่นเอง เรียกว่าอนุสัย เช่นว่า ความโกรธเกิดขึ้นมา ขึ้นมาอย่างนี้เรียกว่ากิเลส กิเลสที่เป็นความโกรธเกิดขึ้นมาอย่างนี้แล้ว มันก็สร้างอนุสัย หรือนิสสัย ของความเป็นคนขี้โกรธเพิ่มขึ้นครั้งหนึ่ง เกิดความโกรธ ๑๐ ครั้ง มันก็เพิ่มความเคยชินที่จะเป็นนักโกรธนี้ ๑๐ เท่า ถ้ามันโกรธถึง ๑๐๐ ครั้ง ๑,๐๐๐ ครั้ง ๑๐,๐๐๐ ครั้ง ๑๐๐,๐๐๐ ครั้ง มันก็สร้างความเคยชินที่จะเป็นนักโกรธ หรือนักขี้โกรธนี่ตั้ง ๑,๐๐๐ เท่า ๑๐,๐๐๐ เท่า ๑๐๐,๐๐๐ เท่า อย่างนี้เขาเรียกว่าอนุสัย คือเพิ่มความเคยชินสำหรับที่จะเป็นคนมีกิเลสอย่างนั้น ๆ เป็นความโลภก็ได้ เป็นความโกรธก็ได้ เป็นความหลงก็ได้ มันเพิ่มอย่างนี้เสมอไป ปุถุชนมันจึงพอกพูนจิตใจด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง จนท่วมหัวท่วมหู ส่วนพระอริยะสาวกนั้นหาเป็นอย่างนั้นไม่ เพราะว่าไม่รู้จักโกรธ ไม่รู้จักเกลียด ไม่รู้จักโลภ ไม่รู้จักหลง กิเลสมันไม่เกิดแล้ว อนุสัยมันก็จะเกิดได้อย่างไร เพราะเมื่อไม่โกรธแล้ว ความเคยชินในการโกรธมันก็มีไม่ได้ เมื่อไม่โลภแล้ว ความเคยชินในความโลภมันก็มีไม่ได้ เมื่อไม่โง่แล้วความเคยชินในความโง่ ในการโง่ มันก็มีไม่ได้ ฉะนั้นจึงไม่มีอนุสัย ไม่มีสังโยชน์ ส่วนปุถุชนนั้นไม่เป็นอย่างนั้น ขอให้ฟังดูให้ ดี ๆ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้อย่างนี้ว่า ปุถุชนเมื่อเสวยทุกขเวทนา เสร็จแล้วมันก็เกิด ปฏิฆานุสัย คืออนุสัยสำหรับจะมีความกระทบกระทั่งแห่งจิตใจ มีความไม่พอใจหรือความโกรธนั่นเอง เรียกว่าปฏิฆะอนุสัย ปฏิฆะคือความหงุดหงิด อนุสัยคือความเคยชิน มันเสวยทุกขเวทนาแล้ว มันก็สร้างความเคยชินสำหรับจะหงุดหงิดขึ้นมาครั้งหนึ่งเป็นปฏิฆานุสัย ทีนี้เมื่อปุถุชนนั้นเสวยสุขเวทนา มันก็สร้างความเคยชินที่จะเกิดราคานุสัย อนุสัยคือราคะ ราคะแปลว่าความกำหนัดรัก เมื่อมันเสวยสุขเวทนาครั้งหนึ่ง มันก็เพิ่มความเคยชินสำหรับที่จะมีความกำหนัดรักในสิ่งที่เป็นที่พอใจ นี้เรียกว่ามันก็สร้างราคานุสัย พอปุถุชนนั้นได้เสวย อทุกขมสุขเวทนา คือเวทนาที่ไม่สุขไม่ทุกข์ จะว่าสุขก็ไม่ใช่ จะว่าทุกข์ก็ไม่ใช่ เป็นเวทนาอย่างนี้ขึ้นมาแล้ว มันก็สร้างอวิชานุสัย คือความโง่ เพิ่มความโง่ให้มากขึ้นทุกที เทียบดูกันอย่างนี้ว่าเมื่อเกิดทุกขเวทนา ปุถุชนเสวยทุกขเวทนาแล้ว เกิดปฏิฆานุสัย ส่วนพระอริยะสาวกนั้นไม่เกิด คือเฉย ๆ แม้จะเจ็บปวด ก็เจ็บเฉย ๆ ไม่เกิดกิเลสและไม่เกิดปฏิฆานุสัย เมื่อเกิดสุขเวทนาขึ้นมา ปุถุชนก็เสวยด้วยความโง่ แล้วก็ยินดี แล้วก็เกิดราคานุสัย เพิ่มราคานุสัย ส่วนพระอริยะสาวกนั้นเฉย ๆ ไม่เกิดราคานุสัย แม้จะสะดวกสบาย ก็สะดวกสบายเฉย ๆ ไม่เกิดความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ให้ความสะดวกสบาย หรือแม้แต่ที่เรียกว่าความสนุกสนานก็ยังเฉย ๆ อยู่ได้ เมื่อเกิดอทุกขมสุขเวทนา ปุถุชนก็เกิดอวิชชานุสัย คือความโง่ ความพะวง ความสงสัย ความทึ่ง ความสนใจ ชนิดที่ยังดับลงไปไม่ได้ เพราะมันยังสงสัยอยู่ว่ามันจะมีอะไรที่มีค่าหรือดีอยู่ในนั้น ปุถุชนจึงเพิ่มอวิชชานุสัย ส่วนพระอริยะสาวกนั้นไม่เกิดอวิชชา และไม่เกิดอวิชชานุสัย แต่ว่ากลับฉลาดยิ่งไปกว่าเดิม เมื่อปุถุชนเกิดความโง่เพราะอทุกขมสุขเวทนา พระอริยะสาวกกลับฉลาดขึ้นไปกว่าเดิม หรือรู้จักสิ่งที่เรียกว่าเวทนานั้น ในลักษณะที่เป็นเวทนาอย่างไร เป็นเพียงมายาของสังขารอย่างไร เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาอย่างไร พระอริยะสาวกนั้นก็กลับฉลาดขึ้นไปกว่าเดิม ในเมื่อปุถุชนมันกลับโง่ลงไปกว่าเดิม นี่ขอให้เทียบกันดูอย่างนี้ ให้เข้าใจอย่างนี้ โดยสรุปว่า เมื่อได้รับความทุกข์ ปุถุชนก็เกิดความคับแค้นใจ แล้วก็เพิ่มปฏิฆานุสัย ส่วนอริยะสาวกนั้นเฉย ๆ แม้จะเจ็บปวดก็เจ็บปวดเฉย ๆ เมื่อได้เสวยสุขเวทนาเป็นที่พอใจ ปุถุชนนั้นมันก็เกิดความยินดี ความกำหนัดรัก เพิ่มราคานุสัย แต่พระอริยะสาวกนั้นไม่เกิดอะไร แม้จะสะดวกสบายก็สะดวกสบายเฉย ๆ เมื่อเกิดสิ่งที่ยังคลุมเครือ ไม่สุขไม่ทุกข์แน่ แต่เป็นที่ตั้งแห่งความฉงนสงสัย ปุถุชนมันก็พะวงสงสัย แล้วมันก็โง่เพิ่มขึ้น ส่วนพระอริยะสาวกนั้นกลับฉลาดขึ้นกว่าเดิม ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาดูให้ดีในข้อนี้ ก็จะรู้ว่าปุถุชนกับพระอริยะสาวกนั้นจะเดินกันคนละทางเสมอ ไม่เดินทางเดียวกันได้ คนหนึ่งจะโง่ลง คนหนึ่งจะฉลาดขึ้น คนหนึ่งจะมีความเจ็บปวด คนหนึ่งจะเฉย ๆ คนหนึ่งจะมีความยินดี แต่คนหนึ่งจะเฉย ๆ ความเฉย ๆ นั่นหมายถึงความรู้เท่าทัน ความรู้เท่าทันนั้นย่อมหมายถึงความฉลาด แล้วก็ฉลาดขึ้นไปกว่าเดิม ดูให้ดีเถิดปุถุชนนั้นอยู่ในลักษณะที่ว่า ที่น่าเวทนาสงสารเป็นอย่างยิ่ง ส่วนอริยะสาวกนั้นอยู่ในลักษณะที่น่าเคารพบูชา น่าจะเอาอย่าง น่าจะทำตาม เพื่อว่าจะได้เดินออกไปเสียจากกองทุกข์ ความเป็นปุถุชนกับความเป็นพระอริยะสาวกมีความต่างกันอย่างนี้
ทีนี้ก็จะดูกันอีกนิดหนึ่งว่าพระอริยะสาวกนั้น ท่านเป็นกันอย่างไร ข้อนี้เคยอธิบายมากมายมาแล้วว่าสิ่งที่เรียกว่ากิเลสหรืออนุสัย คือความเคยชินในสันดานนั้น เป็นสิ่งที่ต้องละออกไป ใครละได้ออกไปเท่าไร ก็มีความเป็นอริยะเจ้ามากขึ้นเท่านั้น อนุสัยความเคยชินที่นอนอยู่ในสันดานนั้น มีอยู่ ๑๐ อย่างด้วยกัน อย่างแรกที่จะต้องละก่อนนั้น คือความโง่ ว่าตัวกู ว่าของกู ในขั้นที่โง่ที่สุด ที่หยาบที่สุด ที่ต่ำที่สุด กระทั่งเห็นว่า ร่างกายนี้เป็นตัวกู นี้เป็นความโง่อันแรกที่ต้องละ ทีนี้ถัดมาเป็นความโง่คือความลังเล ความโง่ทำให้ลังเล หรือความลังเลทำให้โง่ คือลังเลหรือโง่ในข้อที่ว่า เกิดมาทำไมก็ไม่รู้ จะไปทางไหนก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงลังเลในการที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ลังเลในการที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อดับเสียซึ่งความทุกข์ ถ้ามันไม่รู้ว่าความทุกข์เป็นอย่างไร ความดับทุกข์เป็นอย่างไร เพราะว่ามันไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เมื่อเขามาสอนเรื่องความดับทุกข์ มันก็ลังเล เพราะมันไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์อะไร แม้แต่ความทุกข์มันก็ไม่รู้จักเสียแล้ว มันจะไปรู้จักหรือเข้าใจความดับทุกข์ได้อย่างไร จึงเป็นคนลังเลอยู่เรื่อยไป ว่าจะไปนิพพานดี หรือว่าจะอยู่ที่นี่ดี จะบวชดี หรือว่าจะสึกดี จะเป็นทาสเงินดี หรือว่าจะเป็นทาสของพระพุทธเจ้าดี มันก็ลังเลอยู่อย่างนี้ ไม่แน่นอน ปากมันว่านับถือพระพุทธเจ้า นับถือพระธรรม นับถือพระสงฆ์ แต่ความประพฤติปฏิบัติมันยังตรงกันข้ามอยู่เรื่อยไป เขาเอาเงินมาให้ ๒-๓ บาท จ้างให้ด่าพระพุทธเจ้า ก็จะต้องเอา ก็ยังจะเอา ความลังเลมันมีมากถึงขนาดนี้ เรียกว่าวิจิกิจฉา เป็นความโง่ที่ ๒ ที่จะต้องละ ทีนี้ความโง่ที่สามเรียกว่า สีลัพพตปรามาส แปลว่าความโง่ชนิดนี้มันลูบคลำทำศีลวัตรมันสกปรก ศีลก็คือศีลอย่างที่ศึกษาปฏิบัติ สมาทานกันอยู่เป็นประจำ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีลอะไรก็ได้ ส่วน วัตร นั้นเป็นการปฏิบัติธรรม ตามที่เรารู้ และศึกษาปฏิบัติกันอยู่ แต่ทีนี้มันมีความโง่เข้ามาลูบคลำ ทำให้ศีลวัตรนี้สกปรกเศร้าหมองไป มันไม่รู้ตามที่เป็นจริงในเรื่องของเหตุผล มันถือศีลวัตรนี้ในฐานะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นของที่มีอะไรก็ไม่รู้ซึ่งเข้าใจไม่ได้ เป็นพระเจ้า เป็นผีสาง เป็นเทวดา เป็นอะไรมา มีอำนาจในการที่จะทำให้คนเรานี้ ดีขึ้นหรือเลวลง นี้เรียกว่าไม่อยู่ในอำนาจของเหตุผล ความโง่ชนิดนี้เป็นความโง่ที่ ๓ ที่จะต้องละ ใครละความโง่สามอย่างนี้ได้แล้ว ก็เรียกว่าเป็นพระโสดาบัน คือเป็นพระอริยะเจ้าในอันดับแรก นี้ถ้าละความโง่สามอย่างนี้ได้ด้วย ทั้งยังมี โลภะ โทสะ โมหะ ในแง่อื่นเบาบางลงไปอีกบ้างด้วย ก็เรียกว่าเป็นพระอริยะเจ้าในอันดับ ๒ คือเป็นพระสกิทาคามี พระโสดาบันกับพระสกิทาคามี ไม่สู้แตกต่างอะไรกันนัก มีความสำคัญอยู่ที่ว่าต้องละความโง่ ๓ อย่างแรกนั้นให้ได้เสียก่อน นี้ต่อไปอีกเป็นพระอริยะเจ้าขั้นที่ ๓ จึงจะละกามราคะและปฏิฆะ กามราคะก็คือจิตที่ยินดีในสิ่งที่เป็นวิสัย เป็นที่ตั้งแห่งความยินดี คือกามารมณ์หรือกามคุณ ความกำหนัดในกามารมณ์หรือกามคุณนั้นเรียกว่ากามราคะ นี้เป็นกิเลสประเภทราคะที่จะต้องละ กิเลสที่ต่อไปนี้คือปฏิฆะ นี้หมายถึงความรู้สึกที่ไม่ชอบ หงุดหงิด โกรธแค้น เรียกว่า ปฏิฆะ เป็นกิเลสอีกประเภทหนึ่ง คือเป็นกิเลสประเภทโทสะ ถ้าละ ๒ อย่างนี้ได้ ก็เป็นพระอนาคามี ถึงตอนนี้อยากจะขอแนะให้สังเกตสักหน่อยหนึ่งว่า การที่เป็นพระอริยะเจ้านั้นไม่ได้มีการละเรื่องกามราคะ หรือปฏิฆะได้โดยเด็ดขาดก่อน แต่จะต้องละความโง่กันก่อน ละความโง่ในขั้นต้น ๆ ต่ำ ๆ กันเสียก่อน เรื่องกามราคะ เรื่องปฏิฆะนั้นยังยากเกินไป เอาไว้ทีหลัง ให้ไปถึงระดับพระอนาคามีจึงจะละกิเลสส่วนที่เป็นราคะและโทสะได้ ในส่วนที่จะเป็นพระโสดาบันนี้จะต้องละความโง่ ความโง่ ความโง่ ๓ โง่ คือโง่เรื่องว่ากายนี้เป็นตัวกู โง่จนลังเลไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม จะเอาอะไร จะไปที่ไหน แล้วโง่ไปทำของดี ๆ มีเหตุผลให้กลายเป็นของไม่มีเหตุผลไป ละความโง่ก่อนจึงจะเป็นพระอริยะเจ้า อย่าเข้าใจเป็นอย่างอื่นเลย ความโง่เป็นสิ่งที่ต้องละก่อน แล้วจึงจะละไอ้ราคะหรือโทสะ เมื่อละได้อย่างนี้เป็นพระอนาคามีแล้ว ก็เหลืออยู่แต่พระอรหันต์ พระอรหันต์ก็ละ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ในขั้นสุดท้ายอีก ๕ อย่าง แล้วก็หมดกิเลส หมดอนุสัยกัน รูปราคะนี้หมายความว่ามีความพอใจ ในความสุขที่เกิดมาจากสิ่งที่เป็นรูปบริสุทธิ์ ไม่เกี่ยวกับกามคุณ ถ้ากามราคะหมายความว่ามีราคะในกาม ถ้ารูปราคะหมายความว่ามีราคะในรูปธรรมอันบริสุทธิ์ เป็นที่ตั้งแห่งความสุข อรูปราคะก็มีราคะในอรูปธรรมอันบริสุทธิ์ เป็นที่ตั้งแห่งความสุข นี้มันสูงขึ้นไป ๆ แต่มีความหมายอย่างเดียวกัน คือเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ความกำหนัดที่เลวที่สุด ก็คือกำหนัดในกาม ความกำหนัดที่ดีขึ้นไป สูงขึ้นไป คือกำหนัดในรูปอันบริสุทธิ์ ความกำหนัดที่สูงขึ้นไปอีก คือความกำหนัดในอรูป คือสิ่งที่ไม่มีรูปและบริสุทธิ์ พระอนาคามีก็ยังละไม่ได้ เพราะพระอนาคามียังมีจิตใจพอใจ กำหนัดในความสุขอันเกิดแต่รูปฌานและอรูปฌาน เป็นต้น พระอรหันต์เท่านั้นจึงจะละได้ ว่าขึ้นชื่อว่าราคะแล้ว แม้อย่างไหนก็ไม่เอาทั้งหมด ต่อไปนั้น ก็ละมานะ คือความสำคัญว่าอะไรเป็นอย่างไร ในระดับไหน ว่ากูดีกว่าหรือกูเสมอกัน หรือกูเลวกว่า อย่างนี้เรียกว่ามานะ คือความสำคัญตัวว่ามีตัว ว่าเป็นตัว พอสำคัญว่าเป็นตัวขึ้นมาแล้ว ก็มีโอกาสที่จะเปรียบเทียบกับตัวอื่น ว่ามันดีกว่าหรือมันเสมอกัน หรือมันเลวกว่า ความรู้สึกอย่างนี้เรียกว่ามานะ ต้องละออกไป อนุสัยถัดไปเรียกว่าอุทธัจจะ คือความสะดุ้ง ความกระเพื่อมแห่งจิตใจที่มีได้ง่าย ตามธรรมดาเรามีจิตใจชนิดที่มีความสนใจ หรือมีความทึ่ง หรือมีความสงสัย หรือมีความกระเพื่อมแห่งจิตใจไม่ปรกตินั่น จะต้องมีจิตใจที่ปรกติ ที่คงที่ ที่กระเพื่อมไม่ได้เพราะอำนาจความทึ่ง หรือความสงสัย หรืออะไรก็ตาม อุทธัจจะนี้มิได้หมายถึงความฟุ้งซ่านอย่างที่เป็นนิวรณ์ตามธรรมดาสามัญ แต่อุทธัจจะนี้หมายถึงการที่จิตใจกระเพื่อม มีอะไรมาแตะต้อง กระตุ้นนิดเดียวก็หวั่นไหว ละอุทธัจจะนี้ได้แล้ว มันก็ไม่มีอะไรเหลือ นอกจากอวิชชาอันดับสุดท้าย คืออวิชชาที่ไม่รู้จักความดับทุกข์อันสิ้นเชิง ละอวิชชานี้ได้ ก็เป็นอันว่าละอนุสัยได้ครบทั้ง ๑๐ อย่าง จึงเป็นพระอรหันต์ ความเป็นพระอริยะเจ้าเป็นอย่างนี้ ส่วนความเป็นปุถุชนเป็นอย่างอื่น หรือไม่ละอะไรเลย ไม่ละแม้แต่ความโง่ในอันดับแรกที่ ๑ ว่ากายนี้เป็นตัวกู มันยังมีความรู้สึกอย่างนี้อยู่เรื่อยไป ไม่มีการละอะไร ส่วนพระอริยะเจ้านั้นละตามลำดับ จนกระทั่งละได้หมด นี้คือความแตกต่างระหว่างปุถุชนกับพระอริยะเจ้า หรือพระอริยะสาวก มีอยู่อย่างนี้
ทีนี้ในวาระสุดท้ายนี้ จะพูดถึงองค์แห่งความเป็นพระอริยะสาวกขั้นแรกที่สุด คือองค์แห่งความเป็นพระโสดาบัน คือคุณธรรมที่จะทำความเป็นพระโสดาบันในขั้นเริ่มแรก มีอยู่ ๔ อย่าง พุทธศรัทธา มีศรัทธาในพระพุทธเจ้า ธรรมศรัทธา มีศรัทธาในพระธรรมะเจ้า สังฆศรัทธา มีศรัทธาในพระสงฆเจ้า อริยกันตศีล มีศีลเป็นที่พอใจของพระอริยะเจ้า พุทธศรัทธา มีศรัทธามั่นคง หวั่นไหวไม่ได้ คลอนแคลนไม่ได้ เพราะมันมั่นคงในสิ่งที่เรียกว่าพระพุทธเจ้า คือบุคคลผู้ตรัสรู้ความดับทุกข์แล้ว สอนผู้อื่นให้ดับทุกข์ได้ด้วย มีความเข้าใจว่านี้ถูกต้องที่สุด ไม่มีอะไรถูกต้องไปกว่านี้ จึงมีศรัทธามั่นคงไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า แล้วก็มีธรรมศรัทธา ศรัทธาในพระธรรม ว่าคำสอน หรือการปฏิบัติ หรือผลของการปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนไว้ เป็นความจริงของธรรมชาติ เป็นกฎของธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ นี้มันมีความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น คือว่าดับทุกข์ได้ จึงมีศรัทธาในพระธรรมอย่างไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน ทีนี้ก็มามีศรัทธาในพระสงฆ์ คือบุคคลผู้ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ เป็นผู้ประกอบอยู่ในธรรมที่เป็นเครื่องดับทุกข์ ว่าพระสงฆ์นี้เป็นผู้ปฏิบัติดีแน่ ถูกแน่ จะดับทุกข์ได้แน่ จึงมีศรัทธาในพระสงฆ์อย่างไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน ทีนี้ก็มีอริยกันตศีล อริยกันตแปลว่า พระอริยะเจ้าชอบใจ หรือเป็นที่พอใจของพระอริยะเจ้า อริยกันตศีล จึงแปลว่าศีลที่บริสุทธิ์ สะอาดดี จนเป็นที่พอใจของพระอริยะเจ้า หมายความว่าตัวเองก็ไม่ติเตียนตัวเองได้ ผู้อื่น ผู้รู้ ผู้ใคร่ครวญ มาใคร่ครวญแล้ว ก็ติเตียนบุคคลนั้นไม่ได้ในเรื่องศีล นี้คือบุคคลนั้นมีศีลชนิดที่เป็นที่พอใจของพระอริยะเจ้า เมื่อบุคคลใดมีธรรมะ ๔ประการนี้ คือมีพุทธศรัทธา ธรรมศรัทธา สังฆศรัทธา และอริยกันตศีลแล้ว นั่นคือขั้นเริ่มแรกของการเป็นพระอริยะเจ้า คือความเป็นพระโสดาบัน หวังว่าท่านทั้งหลายจะมีความรู้ความเข้าใจ ในความแตกต่างกันระหว่างปุถุชนกับพระอริยะเจ้าโดยนัยยะดังที่กล่าวมาแล้ว แล้วก็รู้จุดริเริ่ม จุดตั้งต้นของความเป็นพระอริยะเจ้า หรือความเป็นพระอริยะสาวกในลักษณะเช่นนี้ ก็สามารถที่จะเป็นแสงสว่างส่องหนทางให้แก่ตน ในการจะละเสียซึ่งความเป็นปุถุชน ก้าวเข้าไปในโลกของพระอริยะเจ้า จนอยู่เหนือโลกโดยประการทั้งปวง ธรรมะเทศนานี้สำหรับพุทธบริษัททั้งหลายจะได้มีความรู้ความเข้าใจในความเป็นพุทธบริษัทของตนให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จึงนำมาวิสัชนาในโอกาสแห่งการเข้าพรรษา เป็นบุพพาปรลำดับ สืบต่อกันมาดังนี้ ขอให้ทุกคนนำไปพินิจพิจารณาดูให้ดี เพื่อจะทำความก้าวหน้าของตนให้เจริญงอกงามในทางของพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย สมตามความมุ่งหมายทุกประการเถิด ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังจงมีด้วยประการละฉะนี้