PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
  • เทศน์วันรับตา - ยาย กัณฑ์ ต้นบ่าย
เทศน์วันรับตา - ยาย กัณฑ์ ต้นบ่าย รูปภาพ 1
  • Title
    เทศน์วันรับตา - ยาย กัณฑ์ ต้นบ่าย
  • เสียง
  • 3228 เทศน์วันรับตา - ยาย กัณฑ์ ต้นบ่าย /buddhadasa/2019-05-24-10-11-59.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันอาทิตย์, 01 มีนาคม 2563
ชุด
เทศน์วันรับตายาย
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  •  นโม  ตสฺส  ภควโต  อรหโต  สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส

    นโม  ตสฺส  ภควโต  อรหโต  สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส

    นโม  ตสฺส  ภควโต  อรหโต  สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส  ฯ

    ณ  บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธา ความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางศาสนายิ่งขึ้นเป็นลำดับไป กว่าจะยุติลงด้วยเวลา

    ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษเนื่องในอภิลักขิตสมัยบำเพ็ญทักษิณานุประทานกิจ อุทิศแด่เปตชนผู้ล่วงลับไปแล้ว อันเป็นประเพณีของพุทธบริษัทที่กระทำกันมาในประเทศไทย จนกระทั่งกลายเป็นวัฒนธรรมประจำชาติไปอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน  ถ้าหากว่าประชาชนทั้งหลายยังคงยึดไว้ได้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีถึงปานนี้  ก็จะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลตลอดกาลนาน  ทำให้ความเป็นอยู่ของมนุษย์เรานี้ประกอบไปด้วยธรรมได้โดยง่าย  มีชีวิตเป็นอยู่ที่เป็นไปในทางธรรมหรือประกอบไปด้วยธรรม อันจะเป็นเครื่องคุ้มครองสัตว์ทั้งหลายให้ตั้งอยู่ในความสุข

    ข้อแรกที่สุดจะต้องนึกกันเสียก่อนว่า ไม่มีสิ่งใดนอกจากสิ่งที่เรียกว่าธรรม ที่จะเป็นเครื่องรักษามนุษย์ไว้ให้พ้นจากความทุกข์ได้  สิ่งอื่นย่อมไม่มี  แต่คำว่าธรรมในที่นี้ อาจจะเรียกชื่อเป็นอย่างอื่นก็ได้  แต่ตามความจริงนั้นก็คือสิ่งที่เรียกว่าธรรม   เพราะว่าแม้ว่าใครจะเรียกชื่อสิ่งที่ตนนับถือเชื่อถือเคารพ เป็นเทวดา เป็นพระเจ้าหรือเป็นอะไรก็ตาม ผลสุดท้ายก็ยังไม่พ้นไปจากสิ่งที่เรียกว่าธรรม  เพราะว่าการประพฤติกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้ตนพ้นจากความทุกข์นั้น  ก็เรียกว่าการประพฤติธรรมอยู่แล้ว   ถ้าเป็นเครื่องปลอบใจหรือพ้นทุกข์ได้อย่างไม่จริง ก็เป็นธรรมที่ต่ำๆ ลงมา  ถ้าพ้นทุกข์ได้จริงหรือสมบูรณ์เด็ดขาด ก็เป็นธรรมที่สูงสุด  บุคคลจึงมีการประพฤติกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นของของตนประจำตนอยู่ด้วยกันทุกคน   ที่จะกล่าวว่าคน คนใดคนหนึ่งเป็นคนไม่มีศาสนานั้น เป็นไปไม่ได้   แม้ผู้นั้นจะกล่าวเองว่าเขาเป็นคนไม่มีศาสนา ยังไม่มีศาสนา อย่างนี้ก็ไม่ได้   ยังเป็นการพูดไม่จริง เพราะว่าเขาโง่จนไม่รู้จักตัวเขาเองว่ามีอะไรบ้าง

    ถ้าจะมีใครสักคนหนึ่งในสมัยนี้ เป็นคนสมัยใหม่ มาบอกว่าเขาเป็นคนไม่มีศาสนา หรือไม่นับถือศาสนาอะไร ก็หมายความว่าเขาไม่รู้จักตัวเขาเอง เพราะเขาต้องมีหลักการวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นของตัวเขา ที่จะต้องปลอบเขา ช่วยเขาให้พ้นจากความทุกข์หรือสิ่งที่เขาไม่ต้องการ โดยที่แท้แล้วเขาก็มีศาสนาของเขาเอง หรือมีตัวเขาเองเป็นศาสนา ถ้าเขามีความโง่จนคิดว่าเงินช่วยได้หมดทุกอย่าง แล้วก็ไปเห็นแก่เงิน เขาก็มีเงินเป็นศาสนา หรือถือศาสนาเงินดังนี้เป็นต้น หรือถ้าเขาคิดว่า เขามีปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วงไปด้วยดี เขาก็มีตัวเขาเอง สติปัญญาของเขาเองเป็นศาสนาของเขาเอง   ดังนั้นคนเราจะอยู่โดยปราศจากศาสนาหรือปราศจากสิ่งที่เรียกว่าธรรมนี้ไม่ได้

    และคำว่าธรรมนี้มีความหมายกว้างขวาง เป็นธรรมของคนพาลคนโง่คนเขลา เรียกว่าพาลธรรมก็มี  เป็นธรรมของคนฉลาดมีสติปัญญา เรียกว่าบัณฑิตธรรมก็มี  ไม่มีอะไรที่จะไม่เรียกว่าธรรม  ทุกสิ่งทุกอย่างก็เรียกว่าธรรมอยู่แล้ว ถ้ายิ่งเป็นความคิด หรือวิธีการสำหรับปฏิบัติเพื่อความสุขความทุกข์แล้วก็เป็นธรรมโดยตรง  ถ้าผิดก็เรียกว่ามิจฉาธรรม หรืออกุศลธรรมหรือพาลธรรมเป็นต้นดังที่กล่าวแล้ว   คนจึงมีธรรมเป็นของตนอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอไปอย่างที่จะเว้นเสียไม่ได้   ดังนั้นเราจะต้องพิจารณากันต่อไปถึงข้อที่ว่าเราจะมีธรรมะอย่างไร จึงจะเป็นสิ่งที่ถูกที่ควร หรือสมแก่ความเป็นพุทธบริษัทได้   ถ้าเรามีการประพฤติกระทำอย่างโจร ก็เรียกว่ามีโจรธรรม   ถ้าเราประพฤติปฏิบัติอย่างอุบาสก เราก็มีธรรมอย่างอุบาสก  เราจะเลือกเอาอย่างไหน ก็ไม่มีใครมาบังคับเราได้  มีสิทธิที่จะเลือกได้  แต่แล้วผลอะไรจะเกิดขึ้นนั้น มันก็ต้องรับตามนั้นอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อีกเหมือนกัน   ดังนั้นผู้ที่มีสติปัญญาพิจารณาเห็นอยู่ จึงได้รู้จักเลือกเอาแต่สิ่งที่จะไม่เป็นทุกข์เป็นโทษ เลือกเอาแต่ที่เป็นประโยชน์ ทำให้เป็นอยู่ได้โดยสะดวกสบาย เรียกว่ามีความสุข หรือมีความก้าวหน้าเจริญสูงยิ่งๆ ขึ้นไปในทางจิตทางใจ  จนกระทั่งเรียกว่าอยู่เหนือความสุข เหนือความทุกข์ เหนืออะไรทุกๆ อย่าง คืออยู่อย่างที่เป็นนิพพาน ไม่มีอะไรกระทบกระทั่งได้เป็นที่สุด

    ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นการชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่เรียกว่าธรรมหรือธรรมะนั้น แยกกัน แยกกันจากมนุษย์ไม่ได้ คือแยกออกจากมนุษย์ไม่ได้ เพราะว่าการคิด การพูด การกระทำของคนๆ หนึ่ง ก็ย่อมเป็นธรรมอยู่ในตัวมันเอง  คิดดีก็เป็นธรรมดี คิดชั่วก็เป็นธรรมชั่ว  ประพฤติดีหรือพูดดีก็เป็นธรรมดี  ประพฤติชั่วหรือพูดชั่วก็เป็นธรรมชั่ว   ต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมในฐานะที่เป็นเนื้อเป็นตัวของคนเราทุกคนอยู่ในลักษณะอย่างนี้  จึงจะเรียกว่าเป็นพุทธบริษัท ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่เป็นคนโง่ คนพาล คนเขลา คนหลง   เอาธรรมะไว้ที่วัดเอาตัวเองไว้ที่บ้าน นานๆ จึงจะมาพบกันสักทีหนึ่ง หรือว่าบางวันจึงจะประพฤติธรรม  บางวันไม่ได้ถือว่าประพฤติธรรม  ก็จะนึกถึงพระธรรมต่อเมื่อเกิดความเดือดร้อนขึ้นมาเท่านั้นเอง อย่างนี้เรียกว่าเป็นความโง่ ความหลง ความเขลาตลอดกาล   แต่ถ้าผู้ใดมีปัญญาพิจารณาเห็นว่า สิ่งที่เรียกว่าธรรมนั้นเป็นอยู่กับเนื้อกับตัว  เขาจะต้องควบคุมสิ่งที่เรียกว่าธรรมนั้นให้เป็นไปแต่ในทางที่เป็นกุศล เพื่อว่าตนอย่าต้องกระทบกันเข้ากับสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์หรือความเสื่อมเสียเป็นต้นเลย  ให้ทุกคนมองเห็นอยู่ว่าแม้แต่ร่างกาย เนื้อหนังแท้ๆ  ก็เป็นรูปธรรม   จิตใจล้วนๆ ก็เรียกว่านามธรรม   การประพฤติกระทำของร่างกายกับจิตใจรวมกันก็เรียกว่าธรรม   กระทำได้ทางกาย กระทำได้ทางวาจา กระทำได้ทางใจ ล้วนแต่เป็นธรรมไปหมด จึงไม่มีอะไรเหลือที่ไม่ใช่ธรรม  เป็นรูปธรรม นามธรรมและปฏิบัติธรรมของนามรูปนั้น

    พิจารณาดูให้ดีเถิดจะเห็นว่าจะไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมในคนเรา  แม้ที่นอกออกไปจากคนเรา  ที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน มันก็คล้ายๆ กันอีก  แม้ที่ต่ำลงไปอีกจนกระทั่งถึงต้นไม้ แผ่นดิน ก้อนหิน เม็ดกรวด เม็ดทราย อย่างน้อยมันก็มีรูปธรรม และมีความเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าวิปริณามธรรม เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน มันเป็นรูปธรรมที่ประกอบไปด้วยวิปริณามธรรม  มันก็เป็นธรรมอยู่เต็มตัวแล้ว  เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรม   จะเป็นน้ำฝนที่ตกลงมาจากฟ้า ก็เป็นรูปธรรมที่มีวิปริณามธรรม  จะเป็นต้นหญ้า ต้นบอนที่ได้ฝนแล้วก็เจริญงอกงาม เช่นต้นข้าวในนา เป็นต้น ก็เป็นรูปธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยวิปริณามธรรม   ถ้าพิจารณาสอดส่องดูให้ดีโดยละเอียด ก็จะพบสิ่งที่เรียกว่าธรรมนี้สิ่งเดียวเท่านั้น ที่เป็นตัวโลกหรือแม้ที่เป็นเหตุให้เกิดโลกกระทั่งเป็นความดับสนิทของโลก ตลอดจนถึงเป็นวิธีปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับสนิทของโลกนั้น

    เมื่อกล่าวจำแนกออกไปอย่างนี้เป็น ๔ อย่าง พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามันรวมอยู่ในตัวคน หาดูได้โดยสมบูรณ์ บริบูรณ์ในตัวคน คือว่าความทุกข์ก็ดี เหตุให้เกิดทุกข์ก็ดี ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ก็ดี หนทางปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ก็ดี นี้มีอยู่ในตัวคน เห็นได้ที่ตัวคน ศึกษาได้ที่ตัวคน แล้วเราจะพูดว่าเอาธรรมะไว้ที่วัด เอาตัวเองไว้ที่บ้านได้อย่างไรกัน   ถ้าว่ามีความงมงายมาแต่กาลก่อนในลักษณะอย่างนั้น  ก็จงได้เข้าใจเสียใหม่  ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตามธรรมไปเสียตั้งแต่แรก  จึงจะสามารถเข้าใจธรรมที่ประพฤติปฏิบัติเป็นเครื่องดับทุกข์ได้สูงขึ้นไปตามลำดับ ตามลำดับ จนกว่าจะถึงที่สุดได้จริง   ด้วยเหตุดังที่กล่าวมานี้ ก็เป็นเครื่องชี้ให้เห็นแล้วว่าการประพฤติกระทำทุกอย่างก็เรียกว่าธรรม   แม้การทำบุญตายายนี้ ก็เรียกว่าประพฤติธรรม   เสียแต่ว่าคนไม่ค่อยสนใจและไม่ประพฤติให้ถูกตามความมุ่งหมายที่แท้จริง  เลยกลายเป็นเพียงพิธีรีตองที่ทำไปอย่างงมงายละเมอเพ้อฝันมากกว่า  ไม่เป็นแม้แต่เพียงขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดี  เป็นแต่เพียงพิธีรีตองของคนโง่เขลางมงาย  ไม่ใช่ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีของคนมีปัญญา   เพราะเหตุฉะนั้นจึงไม่ต้องโทษใคร  ถ้าหากว่าไม่ได้รับผลอะไรจากการกระทำนั้นๆ   ดังนั้นควรจะนำมากล่าว มาพิจารณากันให้เป็นที่แจ่มแจ้งกระจ่างออกไปว่ามันเป็นอย่างไร ควรกระทำอย่างไร ดังนี้เป็นต้น

    สำหรับการทำบุญตายายโดยเฉพาะนี้   ส่วนมากเราก็เห็นๆ กันอยู่แล้วว่าทำตามธรรมเนียม  ทำตามประเพณีกันเป็นส่วนใหญ่  แต่น้อยคนที่จะรู้ถึงความมุ่งหมาย   เลยกลายเป็นเพียงประเพณีล้วนๆ  เป็นเพียงพิธีรีตองล้วนๆ ไปเสียเป็นส่วนมาก   แต่ว่าแม้จะทำอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีผลเสียเลย  มันก็มีผลบ้างเหมือนกัน  แต่ว่าผลนั้นยังน้อยเกินไป ยังไม่สมควรกัน   เราทำบุญตายายแต่พอเป็นธรรมเนียม มันก็ได้บุญตามธรรมเนียม  หรือว่ายังพอเป็นเครื่องเตือนใจได้บ้างเล็กๆ น้อยๆ ว่าตายายก็มีบุญคุณ  ควรจะระลึกนึกถึงบ้าง  เป็นเครื่องย้อมนิสัยเด็กๆ ให้นึกถึงผู้ที่มีบุญคุณบ้าง  ดังนี้ก็ดีอยู่แล้วแต่ยังน้อยเกินไป   ควรจะศึกษาให้เข้าใจกันให้มากกว่านั้น เพื่อให้รู้ว่ามีบุญคุณอย่างไรและเราควรจะตอบแทนบุญคุณนั้นอย่างไรให้มากยิ่งขึ้นทุกๆ คราว ทุกๆ ปี สำหรับบุคคลคนหนึ่งๆ   ขนบธรรมเนียมประเพณีอันนี้จึงจะมีประโยชน์ จะเป็นเครื่องคุ้มครองรักษาพุทธบริษัทไว้ได้เต็มที่

    เมื่อดูให้กว้างๆ ออกไปทั่วๆ โลก  ก็พอจะกล่าวได้ว่าการทำอะไรสักอย่างหนึ่ง  เป็นเครื่องระลึกถึงบุคคลที่ล่วงลับไปแล้วนี้  ย่อมมีด้วยกันทุกชาติทุกภาษา  บางทีจะเคยมีดีถึงที่สุดด้วยกันทุกชาติทุกภาษาด้วยซ้ำไป   แต่ในบัดนี้ปรากฏว่าบางชาติบางภาษาก็หย่อนยานไป และบางชาติบางภาษาก็หย่อนยานเอามากๆ จนถึงกับเด็กๆ ไม่ถือว่าบิดามารดาเป็นผู้มีบุญคุณแล้วด้วยซ้ำไป   ในหมู่ชนบางชาติในปัจจุบันนี้ ไม่ถือว่าบิดามารดาที่แก่ชรานั้นเป็นหน้าที่หรือเป็นภาระที่ลูกหลานจะต้องเลี้ยงดูก็มี แล้วก็ปล่อยให้คนแก่ๆ เหล่านั้นช่วยตัวเองจนกว่าจะตายไป   นานๆ ก็ไปเยี่ยมครั้งหนึ่งพอเป็นพิธีเท่านั้น แล้วก็ไม่ถือว่าเป็นการเสียหายโหดร้ายอะไร  เพราะว่าความโง่ ความหลง ความเขลาได้ครอบงำเต็มที่ไปด้วยกันทุกคน

    แต่สำหรับพุทธบริษัทนั้น จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้  เนื่องจากได้อบรมธรรมะข้อนี้ไว้ในลักษณะที่เคร่งครัดและเป็นสิ่งที่มีบัญญัติอยู่ในบทธรรมสำหรับพุทธบริษัทด้วย   ถือเป็นข้อธรรมที่มีความสำคัญที่มีความศักดิ์สิทธิ์   และแม้ในประเทศอินเดียตั้งแต่ก่อนพุทธกาลมา ก็ได้มีบทธรรมที่จะต้องเคารพคนแก่ ตอบแทนบุญคุณของบิดามารดาผู้แก่ชรานี้เป็นประจำอยู่แล้ว และพุทธศาสนาก็ได้ยอมรับหลักธรรมะข้อนี้ว่าเป็นหลักธรรมสำคัญที่พุทธบริษัทจะบกพร่อง จะทำให้บกพร่องไม่ได้   พวกเราที่เป็นพุทธบริษัทในสมัยนี้ ก็ยังคงมีความเชื่อและความยินดีที่จะรับเอาหลักการอันนี้ไว้ปฏิบัติอยู่เสมอไป   ถ้าใครเกิดละเลยขึ้นมาสักคนหนึ่ง ก็ถูกประณามว่าเป็นคนนอกคอก เป็นคนนอกศาสนา เป็นคนไม่มีธรรม หมายความว่ามีพาลธรรม มีธรรมของคนพาลคนชั่ว

    ในพุทธศาสนาเรา ได้มีคำสอนกล่าวไว้ถึงเรื่องความกตัญญูกตเวทีนี้เป็นอย่างมาก และได้ยอมรับว่าเป็นเรื่องสำคัญกว่าเรื่องอื่นๆ  อีกหลายเรื่อง   เพราะฉะนั้นจึงมีความนิยมกันในหมู่บัณฑิตหรือพระอริยเจ้าว่า สิ่งแรกที่สุดจะต้องนึกถึงบิดามารดาผู้แก่ชราเป็นต้นก่อน เช่นว่าคนบางคน มีบิดามารดาทุพพลภาพ แก่ชรา หูหนวก ตาบอด เป็นต้นดังนี้  ก็ถือเป็นหน้าที่ที่ตนจะต้องช่วยเหลือบิดามารดา จะหนีออกไปบวชทิ้งบิดามารดาไว้ ไม่เป็นการถูกต้องและสมควร   ดังนั้นจึงได้กล่าวถึงพระอริยบุคคลที่เป็นพระอนาคามี ประกอบอาชีพปั้นหม้อขาย เลี้ยงบิดามารดาผู้แก่ชราตาบอดจนกว่าจะถึงที่สุดแห่งชีวิตของบิดามารดาดังนี้เป็นต้น   คนที่เห็นแก่ตัวหรือคนที่มีความเข้าใจผิดอย่างอื่น ก็มักจะละทิ้งบิดามารดาในสภาวะเห็นป่านนี้ไปด้วยความคิดความเข้าใจว่าเป็นการถูกต้อง   ที่แท้ก็เป็นความเข้าใจผิดบ้าง หรือเป็นความคิดที่ทุจริตที่ต้องการจะหลีกเลี่ยงภาระอันหนักนี้บ้าง   จึงได้อ้างเอาการบวชขึ้นมาเป็นข้อแก้ตัว  ก็มีอยู่โดยมากเหมือนกัน   นี้เรียกว่าไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของพระพุทธศาสนาหรือของพุทธบริษัท ซึ่งจะต้องนึกถึงบิดามารดาผู้แก่ชราก่อนเสมอไป   และการปฏิบัติธรรมะนั้น มีได้แม้ในเพศฆราวาส จะเป็นฆราวาสเลี้ยงบิดามารดาไปด้วยอาชีพอันสุจริตแล้ว ก็ย่อมจะประพฤติธรรมะได้เต็มตามความสามารถของตนของตนเหมือนกัน

    เพราะฉะนั้นจึงได้ถือเป็นเรื่องใหญ่หรือเป็นเรื่องสำคัญที่ว่ากุลบุตรจะต้องระลึกนึกถึงบิดามารดา ผู้แก่ชราเป็นต้น  จึงจะเป็นไปอย่างถูกต้องตามทางธรรมแม้ที่สุดแต่ตามธรรมชาติ   ที่ว่าถูกต้องตามธรรมชาตินั้นหมายความว่า บิดามารดามีบุตรออกมาอย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีความหวังว่า บุตรนี้จะเป็นที่พึ่งที่อาศัยแก่เราในยามแก่ชรา  ก็เกิดความเบาใจเพราะเหตุนั้นแล้ว  นี้เรียกว่าเป็นไปตามธรรมชาติแท้ๆ   คนเราก็ยังจะต้องนึกถึงคนเฒ่าคนแก่ หรือคนเฒ่าคนแก่ก็หวังพึ่งอุปการคุณของผู้ที่เป็นลูกเป็นหลานของตนเสมอไปตามธรรมชาติเท่าที่มนุษย์เราจะคิดนึกได้    ถ้าผิดไปจากนี้ก็เป็นสัตว์เดรัจฉานเท่านั้นเอง ซึ่งไม่มีความคิดอะไรสูงขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้

    เมื่อมนุษย์ตามธรรมดาก็มีความหวังอย่างนี้ได้เองอยู่เป็นปกติแล้ว  จึงต้องมีการบัญญัติแต่งตั้งสั่งสอนในทางธรรมเพิ่มเติมขึ้น เพื่อเป็นการประพฤติปฏิบัติในข้อนี้ให้ดีถึงที่สุด  จึงได้ชื่อว่าเป็นธรรมขึ้นมาสูงกว่า สูงกว่าที่จะมีไปตามธรรมชาติ   และเมื่อหลักเกณฑ์อันนี้เป็นที่ยอมรับกันแล้ว ก็มีบทบัญญัติต่างๆ เกิดขึ้นสำหรับจะได้ศึกษาและปฏิบัติกันต่อไปอย่างละเอียด ซึ่งมีอยู่มากมายดังที่จะได้ยกมาพอเป็นตัวอย่างสำหรับแสดงในวันนี้ว่า ในบรรดาบุคคลผู้เป็นบุตรทั้งหลายนั้น  ท่านจำแนกไว้เป็น ๔ ประการด้วยกัน คือว่าบุตรที่เกิดมาเลวกว่าบิดามารดานี้อย่างหนึ่ง  และบุตรที่เกิดมาพอเสมอกันกับบิดามารดานี้อย่างหนึ่ง  และบุตรที่เกิดมาดีกว่าบิดามารดานี้อย่างหนึ่ง และยังมีบุตรพิเศษอีกชนิดหนึ่ง คือบุตรที่มีความเชื่อฟังต่อบิดามารดา  กลายเป็น ๔ อย่างขึ้นมาดังนี้

    ใน ๔ อย่างนี้  มีคำกล่าวว่าบิดามารดาย่อมปรารถนาบุตรที่เสมอกับตนหรือดีกว่าตน  ย่อมไม่ปรารถนาบุตรที่เลวกว่าตน  มนุษย์มีความรู้สึกทั่วๆ ไปอย่างนี้  ส่วนมนุษย์ที่เป็นบัณฑิตนั้นกล่าวว่าบุตรที่เชื่อฟังต่างหาก เป็นบุตรที่ดีกว่าบุตรทั้งหลาย   ทบทวนอีกครั้งหนึ่งก็ว่าในบรรดาคนที่เรียกว่าเป็นบุตรนั้น มีเลวกว่าบิดาก็มี เสมอกับบิดาก็มี ดีกว่าบิดาก็มี   แต่ทั้งสามอย่างนี้ยังไม่แน่นอน เพราะว่าถ้าเกิดไม่เชื่อฟังบิดามารดาขึ้นมาแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแก่บิดามารดาเลย   ส่วนบุตรที่เชื่อฟังบิดามารดาเท่านั้น ที่จะเป็นประโยชน์แก่บิดามารดา และประกอบไปด้วยธรรมะของบุตร   ผู้ที่มีปัญญาแท้จริงจึงปรารถนาบุตรที่เชื่อฟังบิดามารดา ไม่จำเป็นจะต้องไปนึกถึงข้อที่ว่ามันจะดีกว่าบิดามารดา พิเศษกว่าบิดามารดาหรือว่าจะเสมอกันหรือว่าจะเลวกว่าเป็นต้น   เพราะอาการอย่างนั้นยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าจะเกี่ยวข้องกับบิดามารดาหรือไม่ จะช่วยเหลือบิดามารดาในยามแก่ชราหรือไม่  แต่ถ้าเป็นบุตรที่เชื่อฟังบิดามารดา  ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าจะต้องช่วยเหลือบิดามารดาในยามแก่ชรา  และว่าเป็นบุตรที่ประกอบไปด้วยธรรมะของบุตรโดยแท้จริง   บุตรที่มีอะไรดีกว่า เก่งกว่าบิดามารดาก็มีอยู่  มีอยู่มากด้วยซ้ำไป  ยิ่งเป็นสมัยนี้ด้วยแล้ว แทบจะกล่าวได้ว่าทั้งหมดก็ได้ แต่แล้วไม่เป็นที่แน่นอนว่าบุตรเหล่านั้นเป็นสัตว์กตัญญู   ที่เห็นๆ กันอยู่มักจะเป็นสัตว์อกตัญญู เคารพบิดามารดาเพราะจำเป็น  เลี้ยงบิดามารดาเพราะเห็นแก่หน้า  กลัวว่าจะถูกตำหนิติเตียน  อย่างนี้ก็ไม่เรียกว่าเป็นผู้กตัญญูโดยแท้จริง เป็นกตัญญูจำเป็น กลัวคนอื่นเขาติเตียนว่าไม่เลี้ยงบิดามารดา

    นี่แหละลองคิดดูเถิดว่าลูกที่ดีกว่าพ่อแม่นั้นมันยังไม่แน่ว่ามันจะเป็นลูกได้จริงหรือว่าเป็นบุตรที่แท้จริง เพราะว่ามันอาจจะไม่เอาใจใส่ต่อบิดามารดาเลยก็ได้  แต่ถ้าว่าบุตรชนิดไหนก็ตาม มีความรัก มีความเคารพ มีความเชื่อฟัง เป็นไปในอำนาจของบิดามารดาแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลย ย่อมจะเป็นประโยชน์แก่บิดามารดา และประกอบไปด้วยธรรมะของบุตรอย่างเต็มที่   ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงว่าดีหรือเลวหรือเสมอกันกับบิดามารดา  พูดกันแต่ว่าเป็นผู้มีบิดามารดาหรือไม่จะดีกว่า   นี้เป็นคำพูดที่แปลกประหลาดอยู่สักหน่อย  เพราะเป็นคำพูดในทางธรรม คือพูดว่ามีบิดามารดาหรือไม่นี้ เขาหมายความว่าถ้าบุตรคนใดไม่นับถือบิดามารดา ก็แปลว่าเขาถือว่าเขาไม่มีบิดามารดา  คนที่เกิดเขามานั้นจะเป็นอะไรก็ตามใจ  จะเรียกว่าบิดามารดาก็สักว่าชื่อ  โดยเนื้อแท้แห่งจิตใจของเขา ไม่มีความหมายตามความหมายของคำว่าบิดามารดา  อย่างนี้เราไม่เรียกว่าคนนั้นมีบิดามารดา  เราเรียกว่าเขาเป็นคนไม่มีบิดามารดา   แม้ว่าเขาเกิดมาจากพ่อแม่ของเขา  แต่ถ้าบุคคลใดเคารพบิดามารดา ประพฤติหน้าที่ของบุตรที่ดี อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นคนมีบิดามารดา แม้ว่าบิดามารดาแท้จริงของเขาจะตายแล้ว มีบุคคลอื่นมาเลี้ยงดูเขา ก็ยังเป็นบิดามารดาอยู่นั่นเองดังนี้เป็นต้น เรียกว่าเป็นคนมีบิดามารดา

    เพราะฉะนั้นจงสังเกตดูให้ดีๆ ว่า เด็กๆ สมัยนี้มีบิดามารดากันหรือเปล่า คือว่าเขายอมรับนับถือความเป็นบิดามารดามากน้อยเพียงไร สังเกตดูแล้วเห็นว่าบิดามารดาเป็นฝ่ายง้องอนเสียมากกว่า เอาอกเอาใจเด็กๆ เหล่านั้นเสียมากกว่าที่จะให้เด็กๆ เหล่านั้นเอาอกเอาใจหรือง้องอนบิดามารดา  นี้เป็นการกระทำที่กำลังทำผิดหรือทำถูก  ขอให้คิดดูให้ดีๆ ด้วยกันทุกคน  เพราะว่าถ้าทำผิดแล้ว บิดามารดานั่นเองกลับเป็นไพรีและศัตรูของบุตร   ผู้ที่ประพฤติผิดทำให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นแก่บุตรของตน เรียกว่าบิดามารดานั่นเองเป็นศัตรูเป็นไพรีของบุตรเสียเอง  พูดง่ายๆ อย่างภาษาบ้านเราก็เรียกว่าคนที่ไม่สั่งสอนอบรมลูกให้ดีนั่นแหละคือคนที่เป็นศัตรูของลูก เป็นไพรีของลูก เป็นผู้ทำลายลูกยิ่งกว่าโจรหรือยิ่งกว่าคนพาลอันธพาลภายนอกเหล่าอื่นที่จะมาทำให้ได้เสียอีก  เพราะว่าคนพาลหรือคนที่เป็นโจรภายนอกทำอันตรายลูกของเราได้แต่เพียงทางร่างกาย แต่ถ้าบิดามารดาทำผิดเสียเองก็ทำลายลูกในทางจิตใจ ทำให้เสียหายหมดในทางจิตใจไม่เป็นมนุษย์ที่ดีได้ กลายเป็นไม่ใช่มนุษย์หรือกลายเป็นผู้ที่เรียกกันว่าเสียคนไม่เป็นคนไปเสียแล้ว  เพราะบิดามารดาไม่เอาใจใส่อบรมสั่งสอนดูแลให้ดี แล้วยังอ่อนแอเป็นฝ่ายที่พะเน้าพะนอเอาอกเอาใจตามใจลูกเสียเองดังนี้ ก็กลายเป็นศัตรู เป็นไพรีต่อบุตรของตนได้  แล้วความเป็นบิดามารดาเป็นลูกเป็นบุตรนั้น มันจะมีกันได้ที่ตรงไหนหรือในลักษณะอย่างไร ย่อมจะก้าวก่ายสับสนกันไปหมด แล้วก็ไขว้เขวออกไปนอกลู่นอกทางหมด ไม่มีประโยชน์อะไรจากการเป็นบิดามารดาหรือเป็นบุตรต่อกันและกัน

    เพราะฉะนั้นเราจะมองเห็นได้ทันทีว่า ธรรมะสำหรับประพฤติต่อบิดามารดานั้นเป็นธรรมะอันสำคัญยิ่ง จะต้องมีอยู่ระบบหนึ่งหรือระบอบหนึ่งทีเดียว ให้กำหนด ให้เป็นกำหนดกฎเกณฑ์ชัดเจนอย่างตายตัวลงไปทีเดียวว่าอย่างนี้เป็นธรรมะที่บิดามารดาจะต้องประพฤติต่อบุตร และอย่างนี้ๆ เป็นธรรมะที่บุตรจะต้องประพฤติต่อบิดามารดา และมีข้อผูกพันกันตลอดเวลา แล้วกระทำกันให้มาก กระทำกันให้ยิ่งจนกลายเป็นสิ่งสำคัญของมนุษย์เรา ตั้งอยู่ในฐานะเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีหรือเป็นวัฒนธรรมที่ดี ถ้าจะเรียกว่าเป็นสถาบันอันหนึ่งของธรรมะที่ตั้งขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัวก็ได้ เพราะว่าเราไม่ค่อยนึกคิดกันมากมายนัก แต่ว่าเราก็สามารถจะทำอะไรให้เกิดเป็นแบบฉบับเป็นความศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือมนุษย์ขึ้นมาได้เหมือนกัน อย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่ในการทำบุญตายายนี้ว่า ลูกหลานที่อยู่เมืองไกล ก็อุตส่าห์มาทำบุญตายายที่บ้านเกิดเมืองนอนของตน แม้ที่เป็นชาวจีน ถึงวันเช็งเม้งก็อุตส่าห์หอบหิ้วกันไปถึงสถานที่ที่จะต้องประกอบกรรมอันนั้นที่อนุสาวรีย์ของบรรพบุรุษดังนี้เป็นต้น

    การทำอย่างนี้เป็นการประพฤติธรรมอย่างยิ่ง และการประพฤติธรรมนั้นเป็นสิ่งลึกซึ้ง คือฝังรกรากลงไปในจิตใจ เปลี่ยนแปลงจิตใจของคนเหล่านั้นจากความไม่มีระเบียบมาสู่ความมีระเบียบ และระเบียบนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่ในตัวแล้ว จึงได้รับผลจากความมีระเบียบนั้น  เด็กเล็กๆ ถูกนำมาที่อนุสาวรีย์ของปู่ย่าตายาย ให้กราบ ให้ไหว้ ให้นึกถึง ให้อ้อนวอนบูชาบวงสรวงสุดแท้แต่จะกระทำ  ให้สุดความสามารถของตน ในทำนองที่จะให้เกิดความรัก ความนับถือ ฝังจิตฝังใจได้เท่าไหร่ก็เป็นการดี ประเพณีอย่างนี้มีอย่างเคร่งครัดในชนบางเหล่า สำหรับชาวไทยเราก็คงจะเคยเป็นเช่นนั้น  หากแต่ว่าในที่บางแห่งก็เลือนรางไป เหลือเป็นเพียงประเพณีพิธีรีตองธรรมดาไป ไม่ได้เป็นสิ่งที่กระทำด้วยจิตใจ ด้วยความรู้สึก ด้วยสติปัญญาอย่างมากมายเหมือนตั้งแต่คราวแรกๆ   คนเรามักจะลืมอะไรง่าย  ลองคิดดูให้ดีๆ ว่ามักจะลืมอะไรเก่ง  เช่นเวลาหนึ่งอาจจะมีความรักบิดามารดาครูบาอาจารย์เหลือที่จะกล่าวได้  แต่แล้วบางโอกาสก็เลือนไปๆ  ครั้นบิดามารดาถึงแก่กรรมล่วงลับไปนานเข้า  ความรู้สึกก็เสมือนหนึ่งว่ามิได้มีบิดามารดาไปก็มี  จะนึกถึงปีหนึ่งสักครั้งก็ทั้งยาก  แล้วก็นึกถึงอย่างเสียไม่ได้ คือนึกถึงอย่างที่มันจะเป็นไปเอง ไม่ได้มาตั้งอกตั้งใจนึกคิดพิจารณา  ครั้นนานวันเข้า ความหมายของบิดามารดาก็เลือนลับหายไปจากความจำ  เผลอไปนึกถึงเรื่องอื่นมากกว่าคือเรื่องที่กำลังเป็นที่สนุกสนานพอใจจนกระทั่งตายไปในที่สุด

    เมื่อเป็นดังนี้เราลองหันมาดูว่า ขนบธรรมเนียมประเพณีทำบุญตายายเช่นที่ทำในวันนี้นั้น มันจะมีช่องทางอันใด ที่จะแก้ไขความเสื่อมทรามอันนี้ได้ พิจารณาดูแล้วเห็นได้ว่ามีมากทีเดียว ถ้าหากว่าเป็นผู้ปฏิบัติในขนบธรรมเนียมประเพณีอันนี้ให้ถูกต้อง คือเรามาระลึกนึกถึงกันด้วยจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้น ด้วยจิตใจที่มีกำลังหรือจิตใจที่เป็นสมาธิว่าบิดามารดาเกิดเรามาอย่างไร และว่าบิดามารดารักเราสักเท่าไหร่ในเมื่อแรกเกิดมาเป็นตัวแดงๆ และเป็นเด็กที่โตขึ้นมาน่ารักน่าเอ็นดู ยิ่งมีความรักยิ่งมีความผูกพันมากขึ้นสักเท่าไหร่  บิดามารดาต้องทนทรมานเพื่อความปลอดภัยของเรานั้นมากมายเท่าไหร่  แม้แต่เราจะเลี้ยงสุนัขสักตัวหนึ่ง เราก็ยังลำบาก ไม่ค่อยมีเวลาหลับเวลานอนที่จะให้มันปลอดภัย  แต่เดี๋ยวนี้มันเป็นลูกที่เกิดมาจากภายใน จากท้อง จากอุทร มันก็ยิ่งไปกว่าสุนัขตัวหนึ่ง  บิดามารดาได้มีความรักมีความเป็นห่วง แม้แต่ว่าจะปล่อยให้อยู่ลับสายตาไปสักนิดหนึ่ง ก็เป็นห่วงเหมือนใจจะขาดว่าลูกนั้นจะไปพลัดตกหกล้ม หรือเป็นอันตรายอย่างไร  ต้องทนทรมานใจอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา จนต้องวิ่งไปเอามาดู มาถือไว้กับมือ ดูอยู่กับตา เรื่อยๆ มาจนกระทั่งเติบโต  คนแก่ๆ บางคนเก่งมากมาย เก่งกล้าสามารถมากมายในข้อที่ว่าลูกมีภรรยาสามีออกไปแล้ว ก็ยังอุตส่าห์ติดตามไปเฝ้า ไปดู ไปแล ไปเป็นห่วงเหมือนกับว่าเป็นลูกเด็กแดงๆ อย่างนี้ก็มีอยู่มาก จนตัวเองไม่รู้จักกับความพักผ่อนหรือการศึกษาตั้งหน้าปฏิบัติธรรมะสวดมนต์ภาวนา  ชวนมาวัดไม่มีเวลาเพราะต้องช่วยเลี้ยงหลาน ก็มีอยู่ทั่วๆ ไป  นี้เป็นเครื่องวัดอย่างดียิ่งว่าความรักของพ่อแม่นั้นมีมากเท่าไหร่ เพราะว่ามนุษย์เรามีมันสมองรู้สึกคิดนึกได้มากละเอียดลออ  ดังนั้นความรักจึงมีความผูกพันลึกซึ้งมาก สุนัขก็รักลูกของมันมาก แม้สัตว์อื่นๆ เป็นชะนี ลิง ค่าง ก็รักลูกของมัน จนต้องเอามากอดไว้กับอกอยู่เสมอ อย่างนี้ก็มี   แต่ถ้าดูให้ดีแล้ว ความรักนั้นยังไม่เท่ากับความรักของมนุษย์เราในระหว่างบิดามารดากับบุตร เพราะว่ามนุษย์เรามีมันสมองคิดนึกได้มาก มันจึงรู้จักรักมากและลึกซึ้งกว่าที่จะรักตามธรรมชาติเหมือนสุนัขหรือแมวรักลูกของมัน นี่ก็เป็นเครื่องช่วยให้เทียบเคียงได้ว่าบิดามารดามีความรักเราเท่าไหร่  ขืนพูดไปก็ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น เพราะมันมีแง่ที่จะให้พูดได้มากมายไม่รู้จักจบ แต่สรุปความแล้วก็กล่าวได้ว่าบิดามารดามีความรักบุตรเหลือที่จะกล่าวได้

    ทีนี้พอมาถึงบุตรจะรักบิดามารดาเล่า มันเหมือนกันหรืออย่างไร ก็ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าบุตรไม่ค่อยมีความรู้สึกในความรักอันนี้ มีถึงที่สุดในโอกาสหนึ่งคราวหนึ่งแล้วก็มักจะเลือนๆ ไป และถ้าตายไปหลายปีแล้ว ความรักนั้นก็รางเลือนออกไปยิ่งขึ้นทุกที  นี้กลายเป็นว่าไม่ยุติธรรม กลายเป็นคนที่ไม่ใช้หนี้ แต่ว่าธรรมชาติไม่ยอมให้คนเอาเปรียบมากได้ถึงอย่างนั้น  ก็หาทางออกอย่างอื่น คือหาทางออกให้บุคคลคนนั้นให้ลูกหลานนั้นเติบโตขึ้นมาเป็นบิดามารดาเสียเอง   ทีนี้ก็จะต้องรักลูกของตนมากเท่ากับที่บิดามารดาเคยรักตน มาใช้หนี้กันในส่วนนี้ต่อไปตามลำดับ

    แต่เมื่อเรามองดูโดยส่วนใหญ่ๆ ตลอดสายเหล่านี้แล้ว ก็จะเห็นว่าความรักของบิดามารดาที่มีต่อบุตรนั้นเหลือที่จะกล่าวได้ เป็นสิ่งที่มีความหมายมากเกินที่จะใช้คำพูดพรรณนาได้ ควรจะตั้งใจกำหนดจดจำไว้ให้ดีๆ ครั้นถึงคราวที่เราจะต้องระลึกนึกถึง เราจะได้ระลึกนึกถึงถูก ระลึกเป็น ระลึกได้ละเอียดลออ เช่นว่าในวันนี้ ถ้าผู้ใดจะเป็นคนที่มีกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้วจริง ก็ควรจะระลึกนึกถึงความรักของบิดามารดาที่เคยมีต่อตนให้ถูกให้ตรง ให้เต็มจริงๆ ในวันเช่นวันนี้   ถ้าโง่มากขนาดนึกไม่ออก ก็ดูความโง่ของตัวเองที่ไปหลงรักลูกรักหลานมากเท่าไหร่  คนแก่ๆ ไปหลงรักลูกรักหลานมากเท่าไหร่ ก็ย้อนกลับไปนึกเสียใหม่ว่าเมื่อตนยังเด็กบิดามารดาก็รักตนเท่านั้น  เพราะฉะนั้นจะต้องย้อนหันหลังมองไปทางหลังบ้าง คือมองไปยังบิดามารดาที่ตายไปแล้วบ้างว่ามีความรักเราเท่าไหร่ อย่าไปมัวหลับหูหลับตารักแต่ลูกหลานข้างหน้าอย่างเดียวหรือฝ่ายเดียว จะไม่เป็นการยุติธรรม แล้วจะเป็นคนมีหนี้ เป็นคนต้องใช้หนี้   เมื่อพูดถึงคำว่าหนี้  ก็มีเรื่องที่จะต้องพูดเกี่ยวกับบุตรและบิดามารดาด้วยเหมือนกัน  ขอให้ตั้งอกตั้งใจพินิจพิจารณากันใหม่อีกทางหนึ่งว่าการที่คนแก่ๆ หลงรักลูกรักหลานอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้น มันเป็นการถูกต้อง น่าชื่นอกชื่นใจหรือไม่ หรือว่ามันเป็นการใช้หนี้บาปอะไรอย่างหนึ่งเท่านั้น

    มีนิทานของคนจีนทางฝ่ายจีนเล่าเรื่องนี้ไว้มากมาย เล่าเรื่องทำนองนี้ไว้มากมาย เช่นเรื่องหนึ่งว่า เด็กคนหนึ่งมาเกิดในท้องของสามีภรรยาคู่หนึ่ง นับตั้งแต่วันตั้งครรภ์มาทีเดียว บิดามารดามีอันลำบากลำบนต่างๆ นานา เกิดเรื่องเกิดราวชนิดที่ต้องเป็นทุกข์ยากลำบากน้ำตาไหล นับตั้งแต่วันที่ลูกคนนั้นมาเกิดในท้อง ยิ่งท้องแก่เข้าเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความทุกข์มาก พอคลอดออกมา ก็มีอันเป็นไปต่างๆ ที่ทำให้ต้องเสียทรัพย์สมบัติ มันเป็นคนขี้โรค ต้องเลี้ยงดูรักษาด้วยการจ่ายเงินมาก ทำให้ทรัพย์ที่มีอยู่มากมายนั้นร่อยหรอไปอย่างไม่น่าเชื่อ  ครั้นมันโตขึ้น มันก็เป็นอันธพาล กินเหล้า เมายา เล่นการพนัน บิดามารดาต้องทุกข์ร้อนเหมือนกับไฟเข้าไปสุมอยู่ในอก ต้องจ่ายเงินเรื่อยไปๆ เพราะความเป็นอันธพาลของลูก ครั้นโตเป็นหนุ่มขึ้นมา อาการก็ไม่ได้บรรเทาลงแต่กลับหนักขึ้น ทำให้ต้องมีความทุกข์ร้อนและความหมดเปลืองจนกระทั่งกลายเป็นคนยากจนทั้งที่เคยเป็นเศรษฐีมาแต่ก่อนเพราะลูกคนนี้  จนกระทั่งถึงโอกาสหนึ่งที่ลูกคนนี้จะมีอันตายไป  เรื่องจึงยุติลงว่าไม่มีอะไรที่ทำให้ต้องทุกข์ ต้องร้อนใจ ต้องหมดเปลืองอีกต่อไป กลายเป็นคนค่อยๆ มีความสุขขึ้น และค่อยๆ มีความบริบูรณ์ขึ้นตามเดิม

    เขาอธิบายว่าลูกคนนี้มาเกิดในท้องและเป็นอย่างนี้เพื่อจะเรียกร้องเอาหนี้คืน เพราะว่าเมื่อชาติก่อนคนที่เป็นบิดามารดานั้นคดโกงแก่เจ้าหนี้รายหนึ่ง เป็นหนี้เขาแล้วไม่ใช้หนี้ โกงเขาจนเขาต้องล่มจมสิ้นเนี้อประดาตัว ครั้นมาชาตินี้ เจ้าหนี้คนนั้นมาเกิดในท้องของผัวเมียคู่นี้ แล้วก็ทวงหนี้ด้วยวิธีการดังที่กล่าวมาแล้ว จนกว่าจะสิ้นเปลืองเท่าๆ กันกับที่หนี้ที่โกงเขามาแต่ชาติก่อน จึงค่อยเลิกกัน   เรื่องอย่างนี้ถ้าจะฟังดูก็ว่าเป็นเรื่องหลอกเด็ก  แต่โดยที่แท้นั้นมันเป็นเรื่องที่จริงเกินกว่าที่จะจริง โดยกฎที่ว่าธรรมชาติไม่ยอมให้ใครเป็นผู้คดโกงคือโกงหนี้   ขึ้นชื่อว่าหนี้แล้วจะต้องใช้เสมอไป ถ้าไม่มีใช้โดยวิธีตรงก็ต้องใช้โดยวิธีอ้อม เหมือนอย่างที่เล่าไว้ในนิทานเรื่องนี้ คนแก่ๆ จะต้องใช้หนี้ไป เป็นทาสของลูกของหลานไป หรือยิ่งกว่านั้นก็เป็นเหมือนกับบุคคลในนิทานเรื่องนี้ไป ไปเรื่อยๆ เป็นตกนรกทั้งเป็นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดหนี้

    สิ่งที่เรียกว่าหนี้นี้น่ากลัวอย่างไร ขอให้ลองคิดดู สิ่งที่เรียกว่าการคดโกงกันนั้นน่ากลัวเท่าไหร่ ขอให้ลองคิดดู โกงเงินเขาก็ดี โกงที่ดินรั้วข้างบ้านเขาก็ดี โกงทรัพย์สมบัติแก้วแหวนเงินทองอย่างอื่นก็ดี มันจะต้องใช้หนี้โดยแน่นอน ถ้าไม่ชาตินี้ก็ต้องเป็นชาติหน้า  แล้วมันน่าสนุกที่ตรงไหนในเรื่องที่ต้องใช้หนี้  ดังนั้นบิดามารดาที่แก่เฒ่าชราแล้ว ยังหลงลูกหลงหลานมากเกินกว่าควรนั้น ก็น่าจะเป็นเรื่องที่เกินไปเสียแล้วคือเกินไปกว่าหน้าที่ตามธรรมชาติ แต่กลายเป็นเรื่องใช้หนี้ เพราะเคยติดหนี้เขา จะต้องใช้หนี้ไป รีบใช้หนี้ให้หมดเสียเร็วๆ ก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าคนที่เป็นหนี้นั้นไม่น่าดู  คนที่หมดหนี้หมดสินแล้วจึงจะน่าดู จะรู้จักเปลื้องหนี้เปลื้องสินกันได้อย่างไร วิธีไหนก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่น่าคิดดู

    ตามธรรมดาเขาต้องใช้กันอย่างที่เรียกว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน เอาเขามาเท่าไหร่ก็ต้องให้เขาไปเท่านั้น  นี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาก็ควรทำอยู่แล้ว  แต่ถ้าว่าทำอย่างนั้นแล้ว มันก็ยังเป็นเรื่องทนทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง มันก็ต้องรู้จักทำให้หมดหนี้โดยวิธีที่พระพุทธเจ้าท่านได้สอนไว้บ้างก็มี คือจะต้องรู้จักปล่อย รู้จักปลง รู้จักละวาง รู้จักทำตนให้เป็นอิสระโดยอาศัยธรรมะ อย่าให้โมหะอวิชชาครอบงำนัก รู้จักตัด รู้จักสับ รู้จักปล่อยออกไปเสียบ้าง ก็เป็นการใช้หนี้อีกแบบหนึ่ง คือใช้หนี้ในทางธรรม ซึ่งเป็นที่พึ่งแก่คนที่ไม่มีทางออกอย่างอื่น  เราจะนึกถึงการใช้หนี้เหมือนกับต้องทนอยู่ในนรกอย่างเดียวนั้น มันคงจะทำไปไม่ได้มากมาย และมันเป็นการที่ว่าไม่จำเป็นที่จะต้องทนมากมายถึงขนาดนั้น จะต้องรู้จักหย่าหนี้กันเสียบ้างโดยวิธีทำความเข้าใจแก่กันและกัน รู้จักประนอมกันกับเจ้าหนี้ลูกหนี้ ระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ ให้หมดหนี้หมดสิน หมดเวรหมดกรรมกันเสียที  ยกเลิกให้กันเสียที ก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไป นี้เรียกว่าการรู้จักทำความเข้าใจในระหว่างกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างบิดามารดากับบุตร ควรจะมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในระหว่างกันและกัน  ลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาวมีเหย้ามีเรือนแล้ว ก็อย่าได้ทรมานบิดามารดานักเลย  บิดาที่แก่เฒ่าชรามากแล้ว ก็อย่าไปหลงใหลในลูกในหลานที่มีเหย้ามีเรือนนั้นไปแล้วนักเลย  หรือว่าถ้ามีหนี้สินผูกพันกันมาแต่ชาติก่อน ก็มาอโหสิกรรมกันเสียเถิด ให้หมดหนี้หมดสินกันเสียที แล้วก็จะได้เป็นอิสระด้วยกันทั้งสองฝ่าย  เขาเป็นหนี้เรา เราจะไปโก่งเอาจากเขาให้เรื่อยไปนั้น ก็ไม่ใช่วิธีที่ถูกนัก เป็นวิธีของการอาฆาตจองเวร ผลอย่างอื่นก็จะเกิดตามมาไม่ต้องสงสัย  ฉะนั้นเราเป็นฝ่ายผ่อนผันให้ก็ยิ่งเป็นการดี  เมื่อทุกคนรู้จักผ่อนผันแก่กันและกันแล้ว การเป็นเวรเป็นกรรมต่อกันมันก็ไม่มี  อย่างนี้เรียกว่าเป็นการดีที่สุดสำหรับมนุษย์ที่ไม่ต้องเกิดมาเป็นทุกข์ทรมาน   ถ้าไม่ถือหลักอย่างนี้หรือผิดไปจากนี้แล้ว ความเป็นหนี้ผูกพันกันก็จะมีได้แม้ในระหว่างบิดามารดาและบุตร ดังที่กล่าวมาแล้วในสภาพที่ไม่น่าดู ในสภาพที่น่าเวทนาสงสาร ในสภาพที่เป็นอาการของคนโง่คนหลงคนพาล ไม่มีธรรมะของสัตบุรุษ ของพระพุทธเจ้า  

    จึงหวังว่าท่านทั้งหลายทุกคน จะได้ระลึกนึกถึงเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะว่าทุกคนมีบิดามารดา ไม่มีคนๆ ไหนสามารถเกิดมาจากโพรงไม้ หรือเกิดขึ้นมาจากด้วยตนเองลอยๆ ได้  ต้องเกิดมาจากบิดามารดาเป็นที่แน่นอนดังนี้แล้ว เราจะทำอย่างไรกันในระหว่างบุตรกับบิดามารดา จึงจะเป็นการกระทำที่น่าชื่นอกชื่นใจที่สุด จะให้มาขู่เข็ญกันและกันเหมือนอย่างเจ้าหนี้และลูกหนี้นั้น มันน่าชื่นใจที่ตรงไหน มันควรจะเป็นเรื่องที่น่ารัก น่าพอใจ คือเป็นผู้ที่ประกอบด้วยธรรมะด้วยกันทั้งนั้น  บิดามารดาก็ประกอบไปด้วยธรรมะ บุตรก็ประกอบไปด้วยธรรมะ เลยมีแต่ธรรมะเท่านั้นที่ยืนอยู่ ตั้งอยู่ หรือดำรงอยู่   เมื่อเป็นอย่างนี้ ความเป็นบุตรเป็นบิดามารดากันนั้นก็เป็นเรื่องดี คือเป็นเรื่องบุญ เป็นเรื่องกุศล เป็นเรื่องที่ดีที่ได้เกิดมาเป็นบิดามารดาหรือเป็นบุตรของกันและกัน ถ้าตรงกันข้ามมันก็เกิดมาเข่นฆ่ากัน มาทำลายล้างกัน เหมือนกับเจ้าหนี้และลูกหนี้ที่เกลียดชังกันที่สุดโกรธแค้นกันที่สุดอาฆาตจองเวรกันที่สุด แล้วมันจะน่าชื่นใจที่ตรงไหน  

    ทีนี้มาพิจารณาดูให้ดีให้ละเอียดให้แคบเข้ามาในระหว่างบุตรกับบิดามารดา จะเห็นได้ทันทีว่าเป็นการจริงตามที่พระพุทธภาษิตกล่าวไว้ ว่าในบรรดาลูกทั้งหลายนั้น ลูกที่เชื่อฟังเท่านั้นเป็นลูกที่ประเสริฐที่สุด  โส  จ  เสฏฺโฐ  ปุตฺตานํ  โย  จ  ปุตฺตานมสฺสโว  มีคำกล่าวเป็นภาษาบาลีว่าในบรรดาบุตรทั้งหลาย บุตรที่ประเสริฐกว่าบุตรทั้งหลายนั้นคือบุตรที่เชื่อฟัง   มันจะโง่หรือฉลาด  แต่ถ้าเป็นบุตรที่เชื่อฟังแล้วใช้ได้ มันจะฉลาดวิเศษเป็นเทวดามาอย่างไร ถ้ามันไม่เชื่อฟังคือไม่เคารพบิดามารดาแล้ว ก็ยิ่งร้ายไปกว่าอุจจาระสักก้อนหนึ่งด้วยซ้ำไป เพราะว่าอุจจาระนั้นไม่เคยทำบิดามารดาให้ร้อนใจ แต่บุตรนั้นเผาบิดามารดาทั้งเป็น ทั้งที่มันเป็นของที่ออกมาจากท้องของบิดามารดาอย่างเดียวกันดังนี้   ท่านเปรียบเทียบไว้อย่างนี้ว่าบุตรที่อกตัญญูนั้น สู้ไม้เท้าอันเดียวก็ไม่ได้สำหรับคนแก่ เพราะว่าคนแก่ได้ไม้เท้าแล้วก็ยังเดินไม่ล้ม สุนัขจะมากัดก็ยังตีสุนัขได้  ส่วนบุตรที่อกตัญญูนั้น ไม่มีประโยชน์อะไรแก่คนแก่นั้นที่ตรงไหน  ดังนั้นแหละจึงได้กล่าวว่าบุตรที่เชื่อฟังคือฝากชีวิตจิตใจไว้ภายใต้อำนาจของบิดามารดานั้น เป็นบุตรที่ประเสริฐที่สุด อย่าได้ไปหวังว่าบุตรที่ฉลาดเป็นนักปราชญ์มาจากเมืองนอกแล้วจะเป็นบุตรที่ประเสริฐที่สุดได้ หรือว่าบุตรที่ฉลาดอย่างอื่น เก่งกล้าสามารถในการทำมาหากินอย่างอื่น ก็อย่าเพิ่งหวังว่าจะมีความหมายของคำว่าบุตร อาจจะมีความหมายของบุคคลผู้เป็นไพรีเป็นศัตรูก็ได้   ขอให้พิจารณาดูให้ดีแล้วพอใจในคุณธรรมอันสูงสุดคือความเชื่อฟังนี้ให้จงมาก และเราเองในฐานะที่เป็นบุตรของบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้ว เราก็เชื่อฟัง ยังคงเชื่อฟัง แม้บิดามารดาจะเหลืออยู่แต่กระดูกในโกศ เราก็ยังเชื่อฟัง  สิ่งไรที่เราจะต้องประพฤติกระทำเพื่อให้ถูกตรงตามความประสงค์ของบิดามารดาเมื่อยังมีชีวิตอยู่ เราก็ยังคงกระทำ ยังคงเชื่อฟังถึงขนาดนี้ แล้วเราก็สอนลูกของเราให้มีความเชื่อฟัง อบรมลูกของเราให้มีความเชื่อฟัง อย่างเดียวกับที่เราเองมีความเชื่อฟังอย่างนี้เป็นลำดับไป ลำดับไป ลำดับไป จะมีอาการเหมือนผู้ได้กำไรด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครเป็นหนี้และต้องใช้หนี้จองเวรซึ่งกันและกันเลย จะกลายเป็นสัตบุรุษผู้มีคุณธรรมสมบูรณ์ไปด้วยประโยชน์และความสุขเป็นลำดับไปทุกๆ ชั้น ทุกๆ ชั้น ทุกๆ ชั้น ที่จะเป็นลูกเป็นหลานเป็นเหลนไม่มีที่สิ้นสุด

    ความเชื่อฟังของบิดามารดาต่อบุตร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดสำหรับมนุษย์เรา ที่จะทำให้มนุษย์นี้เป็นมนุษย์ที่มีคุณธรรมหรือน่าดูสมกับที่เป็นมนุษย์  ถ้าขาดคุณธรรมข้อนี้แล้ว มนุษย์ก็มีความโหดร้ายเหมือนกับสัตว์เดรัจฉานไม่ผิดกันเลย มีความเห็นแก่ตัวจัด เกี่ยงงอนจัด ไม่ผ่อนผันสั้นยาวแก่ใครเลย แล้วมันจะเป็นมนุษย์ที่ตรงไหน  เพราะมนุษย์เห็นแก่ตัวจัด ลืมบุญคุณของบิดามารดาหรือผู้มีคุณเก่ง ลืมเก่ง  ดังนั้นจึงต้องมีเครื่องตักเตือน ตักเตือนกันด้วยการทำบุญตายายนี้ เป็นการตักเตือนที่ดีที่สุดที่บัณฑิตแต่กาลก่อนเขาได้ตั้งขึ้นไว้  คนที่เป็นบัณฑิต เป็นนักปราชญ์ เป็นพระอริยเจ้าในกาลก่อนได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าวิธีนี้จะเป็นวิธีที่ทำให้มนุษย์มีคุณธรรมข้อนี้อยู่ในใจเสมอไป  จึงได้จัดตั้งพิธีประเพณีทำบุญตายายให้บิดามารดาหรือบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้วขึ้นมาให้คนรับถือปฏิบัติกัน และปฏิบัติกันมาเรื่อยมาอย่าให้รู้จักขาดสายได้ ก็จะได้เป็นมนุษย์ที่ดี ด้วยอาศัยประเพณีที่ดีซึ่งเป็นเครื่องบังคับให้ประพฤติธรรมในการกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาของตน ให้เป็นมนุษย์มีใจสูงสมกับความหมายของคำว่ามนุษย์ แล้วสิ่งที่เรียกว่าศัตรูหรืออันตรายหรือความทุกข์ก็ครอบงำย่ำยีไม่ได้ เพราะว่าเรามีพระธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองปกปักรักษา อยู่ภายใต้อำนาจการคุ้มครองของธรรมด้วยกันทุกคน

    ดังนั้นแหละขอให้ท่านทั้งหลายทั้งปวง จงได้มีความไม่ประมาท อย่าได้ละเลยต่อประเพณีที่ดีงาม เช่นประเพณีทำบุญตายายนี้เป็นต้น  และเมื่อเอาใจใส่ต่อประเพณีนี้แล้ว จงพยายามทำความเข้าใจ คืออย่าทำแต่เพียงเป็นพิธีรีตอง  แต่ต้องทำให้สำเร็จประโยชน์  เพราะฉะนั้นจึงได้ชักชวนแล้วชักชวนเล่า ชักชวนจนท่านทั้งหลายอาจจะรำคาญว่าวันนี้จงอย่าได้ระลึกนึกถึงเรื่องอื่นเลย จงได้ระลึกนึกถึงข้อที่บิดามารดามีพระเดชพระคุณอยู่เหนือเกล้าเหนือศีรษะเหนือเศียร และว่าถ้าไม่มีบิดามารดาแล้ว เราก็ไม่มีตัวเป็นตน เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้   เดี๋ยวนี้เรามันมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะบิดามารดา เราจะต้องกระทำให้สมกันกับที่เราได้ชีวิตมาจากบิดามารดา แล้วเราก็จะต้องตอบแทนทุกสิ่งทุกอย่างให้สุดวิสัยที่เราจะตอบแทนได้ จึงว่ารับศีลในวันนี้ก็รับเพื่อบิดามารดาปู่ย่าตายาย ให้ทานในวันนี้ก็ให้ทานเพื่อบิดามารดาปู่ย่าตายาย และฟังเทศน์ในวันนี้ก็ฟังเทศน์เพื่อบิดามารดาปู่ย่าตายาย  เทศน์เรื่องบิดามารดาปู่ย่าตายาย ฟังก็ฟังเพื่อจะเข้าใจเรื่องบิดามารดาปู่ย่าตายาย  ทุกอย่างอุทิศให้บิดามารดาปู่ย่าตายาย   คุยกัน ปรึกษากัน หารือกันแต่เรื่องที่จะตอบแทนคุณของบิดามารดาปู่ย่าตายายที่ได้ล่วงลับไปแล้ว ให้จริงๆ เป็นสำคัญสักวันหนึ่งเถิด ปีหนึ่งสักวันเดียวก็ยังดี  อย่างมากก็ ๒ วัน ๓ วัน เป็นพิเศษ   ส่วนวันนอกนั้น ก็อาจจะระลึกนึกถึงอยู่ได้ เพราะว่าวันนี้ระลึกไปอย่างยิ่ง อย่างแรงกล้าแล้ว มันจะลืมไม่ได้ง่ายๆ มันคงติดอยู่ในจิตใจไปได้ตลอดปี พอถึงวันงวดในปีหน้า ก็ระลึกนึกถึงอย่างจริงกันอีกที ก็เป็นเรื่องย้ำอย่างที่แน่นแฟ้น ไม่ให้หลุดถอนไปจากจิตใจได้  ให้จิตใจประกอบไปด้วยความกตัญญูกตเวที เมตตาปรานีต่อคนทั้งปวง ขยายกว้างออกไปเป็นลำดับๆ  และเมตตาปรานีแม้แก่สัตว์เดรัจฉาน และเมตตาปรานีแม้แก่ต้นหญ้า ต้นบอน ต้นไม้หรือสิ่งต่างๆ ทุกอย่างที่มีประโยชน์แก่มนุษย์ รู้ว่ามีคุณมีประโยชน์แก่เราแล้วก็จะต้องตอบแทนคุณด้วยกันทั้งนั้น คือช่วยกันระวังรักษาให้สิ่งต่างๆ เหล่านั้น ได้อยู่เป็นผาสุก   อย่าคิดแต่ว่าเราต้องการอะไร เราก็เอาแต่เพียงเท่านั้น อย่างนั้นมันเป็นเรื่องของกิเลส ถ้าเป็นธรรมะก็เป็นธรรมะฝ่ายอกุศล ไม่ใช่ธรรมะฝ่ายกุศล  การเห็นแต่ได้เป็นวัตถุ เป็นเงิน เป็นทอง เป็นของอย่างเดียวนั้น เป็นธรรมะฝ่ายอกุศล คือเป็นความโลภ

    ถ้าจะนึกให้กว้างแล้ว การได้ธรรมะในทางจิตใจนั้นดีกว่าการได้เงิน เพราะว่าเงินได้มาทำจิตใจให้เร่าร้อนมากกว่ากระทำจิตใจให้เยือกเย็น  ถ้ามีเงินด้วย มีธรรมะด้วย จึงจะเป็นการดี   ถ้าไม่มีธรรมะแล้วมีเงินมาก็เป็นศัตรู ไม่ต้องสงสัยเลย  คนที่ไม่ประกอบไปด้วยธรรมะแล้ว ยิ่งมีเงินมาก ยิ่งเป็นทุกข์มาก ยิ่งเอามาสุมไว้ในจิตใจ เป็นเครื่องแผดเผาจิตใจมาก  แต่ถ้าคนมีธรรมะแล้ว แม้จะมีเงินมากสักเท่าไหร่ ก็ไม่เป็นเครื่องสุมเผาจิตใจ เพราะฉะนั้นต้องมีธรรมะด้วย อย่ามีเงินอย่างเดียว   ถ้าเลือกเพียงอย่างเดียว ก็จงเลือกเอาธรรมะก่อน เพราะว่ามีธรรมะแล้วไม่ร้อนใจ แล้วก็จะหาเงินได้ทีหลัง ถ้าเลือกเอาเงินก่อน มันก็จะเผาให้ตกนรกหมกไหม้ไปเสียก่อนแต่ที่จะมีธรรมะได้ ก็เป็นการเสียหายมากกว่าที่จะเป็นการได้ คือเป็นการขาดทุนมากกว่าที่จะเป็นการได้กำไร เราจะได้เห็นการเบียดเบียนกัน การล้างผลาญชีวิตกันเพราะกิเลสตัณหาเหล่านี้เอง บางทีลูกฆ่าบิดามารดาของตนเองก็มี เพราะกิเลสตัณหาครอบงำจัด เพราะไปเห็นแก่เงินอย่างเดียว ไม่มีธรรมะเลยอย่างนี้เป็นต้น จงได้เห็นโทษของการที่ไม่มีธรรมะให้มากๆ แล้วพยายามที่จะมีธรรมะตามที่พระพุทธเจ้าท่านมีพระพุทธประสงค์ และเราก็นับถือพระพุทธเจ้า ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ไม่มีใครที่ไม่นับถือพระพุทธเจ้า เคยบวชเคยเรียนมาแล้วก็มีเป็นส่วนมาก และยังถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นบุคคลสูงสุด เป็นที่พึ่งเป็นสรณะ และเราก็ต้องเข้าใจพระพุทธเจ้าให้ถูกต้อง และทำให้ตรงตามพระพุทธประสงค์นั้นด้วย   พระพุทธเจ้าประสงค์จะให้เรามีความสุข จึงได้แนะทางไว้ให้สนใจในธรรมะ ให้ประพฤติธรรมะ และให้สิ่งต่างๆ เข้ามาตามทางของธรรมะ จะมีเงินก็ประกอบไปด้วยธรรมะ จะมีชื่อเสียงก็ประกอบไปด้วยธรรมะ จะมีเพื่อนฝูงก็ประกอบไปด้วยธรรมะ จะมีอะไรๆ ก็ให้ประกอบไปด้วยธรรมะ อย่าให้ขาดธรรมะ ก็จะเป็นการได้ที่ดี  ทุกสิ่งจะเป็นไปเพื่อความสุขสมตามที่พระพุทธเจ้าท่านต้องการ และไม่เสียทีที่เรานับถือพระพุทธเจ้า

    ในวันนี้เราทำบุญตายาย ก็กล่าวได้ว่าเป็นการตรงตามพระพุทธประสงค์ของพระพุทธเจ้า คือประพฤติธรรมะในข้อที่ให้เป็นคนมีความกตัญญูกตเวที ให้เปลื้องตัวออกมาเสียจากหนี้ของกิเลส  ถ้ากิเลสทำให้เราโง่เราหลง ไปยอมตนเป็นทาสเป็นหนี้ของสิ่งใด เราก็จะถอนตนออกมาให้ได้จากความเป็นหนี้หรือความเป็นทาสเหล่านั้น มาเป็นมนุษย์ที่เป็นอิสระ คือเป็นพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วเราก็เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เหมือนพระพุทธเจ้า  นี้คือประโยชน์คืออานิสงส์ของการประพฤติธรรมะทั้งหมดทั้งสิ้น จะเป็นธรรมะที่ประพฤติจนเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีก็ดี หรือประพฤติเป็นส่วนตัว เป็นบุคคลเฉพาะคนเป็นเรื่องๆ ไปก็ดี ล้วนแต่เป็นธรรมะที่มีความประสงค์อย่างเดียวกันนั้น ด้วยกันทั้งนั้น

    หวังว่าท่านทั้งหลายทุกคนจะได้รับประโยชน์ รับอานิสงส์ของธรรมะยิ่งขึ้นไปๆ ตามลำดับ ปีนี้ขอให้ดีกว่าปีที่แล้วมา ปีหน้าขอให้ดีกว่าปีนี้ และให้ดียิ่งขึ้นไปตามลำดับอย่างนี้จนถึงวาระสุดท้ายที่จะแตกตายทำลายขันธ์ ขอให้ตั้งจิตอธิษฐานไว้อย่างนี้จงทุกๆ คน ว่าขอให้สูงขึ้นทุกปี ให้ดีขึ้นทุกปี ให้ประกอบไปด้วยธรรมะมากขึ้นทุกปีจนทุกคน ให้ทำบุญตายายปีนี้ดีกว่าปีที่แล้วมา ให้ทำบุญตายายปีหน้าดีกว่าปีนี้ อย่างนี้ยิ่งขึ้นไปทุกปี ทุกอย่างจะถูกต้องจะครบถ้วนจะบริบูรณ์สมกับที่เราเป็นพุทธบริษัทนับถือพระพุทธศาสนา มีความเลื่อมใสในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อย่างซื่อสัตย์มั่นคง ไม่ขื่นคลายทุกเวลา  ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา  เอวัง   ก็มีด้วยประการฉะนี้

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service