แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
ณ บัดนี้ จะได้วิสัจฉนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา
ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุการบำเพ็ญทักษิณานุปทานกิจอุทิศแด่บูรพชนที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นประเพณีของพุทธบริษัทที่ถือว่าเป็นประเพณีประจำชาติ ประจำบ้าน ประจำเมืองมาแต่โบราณกาล ประเพณีชนิดนี้ ในเวลานี้เรียกกันว่าวัฒนธรรมก็ยังมี มีความมุ่งหมายสำคัญอยู่ที่จะกล่อมเกลาจิตใจ นิสัย สันดานของประชาชนให้ประกอบไปด้วยคุณธรรมที่ควรประกอบ มีความกตัญญูกตเวที เป็นต้น การบำเพ็ญกุศลในวันนี้ก็ปรารภความกตัญญูกตเวทีเป็นส่วนใหญ่ โดยหวังว่าเมื่อประชาชนทั้งหลายมีความระลึกนึกถึงบรรพบุรุษที่เรียกกันว่าปู่ย่าตายาย อยู่เสมอแล้ว ก็ย่อมจะตั้งตนอยู่ในสัมมาปฏิบัติหลายอย่างหลายประการด้วยกัน เพราะอาศัยความกตัญญูนั้นเป็นเหตุ ที่ส่วนใหญ่ก็เล็งถึงข้อที่ว่าจะรักษาชื่อเสียงของวงศ์สกุลของตน ของตนไว้ไม่ให้เสื่อมเสียไป วงศ์สกุลนี้ก็คือสิ่งที่บรรพบุรุษได้ตั้งขึ้นไว้ สกุล ๆ หนึ่งก็มีหน้าที่ที่จะต้องสืบสกุลของตนสืบไป ถ้าแต่ละสกุลตั้งอกตั้งใจกระทำให้เป็นอย่างดีแล้ว บ้านเมืองทั้งหมดก็จะเป็นบ้านเมืองที่ดี ประเทศชาติก็จะเป็นประเทศชาติที่ดี หรือว่าโลกนี้ก็จะเป็นโลกที่ดี คือมีความกตัญญูกตเวทีแก่กันและกัน จนทำร้ายเบียดเบียนกันไม่ได้ หากแต่ว่าเราต้องการให้ระลึกนึกถึงพระเดชพระคุณของบิดามารดาเป็นต้นก่อน เพราะว่านี่เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่าย หรือมีได้ง่าย แล้วก็เพาะปลูกความกตัญญูกตเวทีนั้น ให้แผ่ขยายออกไปโดยกว้างขวางจนถึงสรรพสัตว์ไม่เลือกหน้า โดยมีความเข้าใจว่าคนเราอยู่ในโลกนี้คนเดียวไม่ได้ คนเราจะอยู่ในโลกเพียงคนเดียวย่อมไม่ได้รับความสะดวก ต้องช่วยเหลือกันแต่ละคน ๆ ที่มองเห็นด้วยตาก็มี มองไม่เห็นก็มีและทำสืบกันมานมนานมาแล้วก็มี ข้อนี้ได้แก่วิชาความรู้หรือวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่คนที่ได้ตายไปแล้วได้สร้างขึ้นไว้ คนทีหลังเกิดมาไม่ต้องค้นคว้าซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่นั่นเอง สามารถที่จะก้าวหน้าในทางวิชาความรู้นั้น แต่ว่าคนที่เกิดทีหลังนั้นได้เกิดมาในท่ามกลางแห่งหมู่ชนที่มีวัฒนธรรมสูงก็เลยมีวัฒนธรรมได้โดยไม่รู้สึกตัว และมีวัฒนธรรมที่เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปดังนี้ อาศัยเหตุดังกล่าวมานี้เอง คนในโลกจึงมีความเจริญขึ้น ทั้งโดยวิชาความรู้และโดยการประพฤติปฏิบัติ ความรู้และการประพฤติปฏิบัตินี้ก็มีหลักธรรมะในศาสนานั่นเองเป็นหัวใจ ความรู้นานาชนิดนั้นก็อาศัยคนแต่ละคน แต่ละยุค แต่ละสมัย สืบ ๆ ต่อกันมาจนถึงเราในบัดนี้ เพราะฉะนั้นต้องถือว่าคนเหล่านั้นมีบุญคุณแก่เรามาตั้งแต่นมนานแล้ว ใครเกิดขึ้นมาในโลกนี้ พอสักว่าลืมตาขึ้นมาเท่านั้น ก็เป็นหนี้บุญคุณคนเป็นอันมาก ซึ่งได้ทำสิ่งต่าง ๆ ไว้ให้เป็นประโยชน์ให้เป็นแบบฉบับอยู่ในโลกนี้ และเหมือน ๆ กันทั้งโลก ดังนั้นจึงควรจะถือว่าคนเราอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้ คนเราจะต้องอาศัยสิ่งต่าง ๆ ที่ทุกคนในโลกได้ช่วยกันสร้างขึ้นไว้ จึงนับว่าเป็นผู้มีบุญคุณแก่กันและกัน เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนมีความรู้สึกที่เป็นความกตัญญูกตเวทีต่อเพื่อนมนุษย์ไม่เลือกหน้า อย่าได้มีความเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย เพราะว่าเป็นผู้มีบุญคุณแก่กันและกันดังนั้น ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น
บัดนี้จะได้กล่าวในวงอันแคบคือเฉพาะบิดามารดา อันเป็นบุคคลผู้มีบุญคุณเหนือกว่าบุคคลประเภทใด ควรจะนำมากระทำไว้ในใจให้เกิดความรู้สึกเคารพรักใคร่นับถือและกตัญญู ถ้าคนมีจิตใจประกอบไปด้วยธรรมะคือมีจิตใจอ่อนโยน รู้จักบุญคุณของบิดามารดาเป็นต้นอยู่แล้ว ย่อมมีจิตใจที่เหมาะสมที่จะมีธรรมะอย่างอื่น ๆ สืบต่อไป ในบัดนี้โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะไม่เหลียวแลบุญคุณของผู้มีบุญคุณ เพราะว่าสัตว์โลกที่ก้าวหน้าบางพวกนั้นเห็นแต่ความสุขส่วนตัว เห็นแต่ความสนุกสนานส่วนตัว ไม่มีจิตใจไหนที่จะมานึกถึงผู้อื่นนัก ประกอบกับทั้งมนุษย์สมัยนี้มีความบ้าคลั่ง หลงใหลในเรื่องประชาธิปไตย ก็เป็นเหตุให้มองไปในทางประโยชน์ของตัวมากขึ้น มีข้อแก้ตัวมากขึ้นในการที่จะเห็นแต่ประโยชน์ของตัว สองอย่างนี้มารวมกันเข้าแล้ว ความเห็นแก่ผู้อื่นก็มีน้อยลงไป จึงมีแต่การเบียดเบียนและความกตัญญูกตเวทีก็ค่อย ๆ หายไป จนเด็ก ๆ ไม่รู้บุญคุณของบิดามารดา การศึกษาสมัยใหม่ที่เขาเรียกกันว่า การศึกษามาจากเมืองนอกเมืองนานั้น ไม่ได้พูดกันถึงบุญคุณของบิดามารดาเลย และการศึกษาแบบใหม่ของคนเหล่านั้นไม่ได้ยกย่องบิดามารดาให้ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของเด็ก ๆ ว่าบิดามารดาเป็นผู้มีบุญคุณสูงสุด เด็ก ๆ จึงไม่รู้คุณของบิดามารดา เห็นบิดามารดาเป็นคนธรรมดาไป การที่เขาเกิดมาก็เพียงแต่ความสนุกสนานของบิดามารดา ไม่ใช่ความรัก ไม่ใช่ความหวังดีอะไรมากมายนัก เป็นอย่างนี้มากขึ้นทุกที เด็กที่มีความเจริญอย่างใหม่ มีการศึกษาอย่างใหม่ จึงไม่ได้ซึมซาบถึงบุญคุณของบิดามารดา ความหมายของคำว่าบิดามารดาก็ลางเลือนไป ไม่เหมือนแต่สมัยโบราณโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลที่นับถือพระพุทธศาสนาย่อมได้รับคำสั่งสอน ให้ถือว่าบิดามารดาเป็นบุคคลสูงสุดโดยประการทั้งปวงคือเป็นบุคคลสูงสุดในทุกความหมาย ดังคำบาลีที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า
พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร มารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร
ปุพฺพจริยาติ วุจฺจเร บิดามารดานั้น ท่านกล่าวว่าเป็นอาจารย์คนแรก
อาหุเนยฺยา จ ปุตฺตานํ บิดามารดานั้น เป็นอาหุไนยบุคคลของบุตรทั้งหลาย
ปชาย อนุกมฺปกา เป็นผู้มีเมตตา เอ็นดูต่อสัตว์ทั้งปวง
เป็น ๔ ประการด้วยกันดังนี้ ข้อที่ว่ามารดาบิดาเป็นพรหมของบุตรนั้น ข้อนี้หมายถึงความเป็นผู้สูงสุดหรือประเสริฐที่สุด คำว่าพรหมนี้ แปลว่ามีเมตตากรุณาก็ได้ แต่ว่าโดยความหมายทั่ว ๆ ไปนั้น แปลว่าประเสริฐที่สุด บุคคลที่ประเสริฐที่สุดสำหรับบุตรนั้น ไม่มีใครอื่นนอกไปจากบิดามารดา บุตรจะต้องเคารพนับถือบิดามารดาเหมือนกับเป็นพระพรหมตามความหมายที่รู้กันอยู่ทั่วไป คือว่าผู้ที่เราต้องเคารพบูชา คำว่าพระพรหมในความหมายของศาสนาทั่ว ๆ ไปนั้น มีความหมายว่าเป็นผู้สร้างโลก บิดามารดาเป็นผู้สร้างบุตรก็คือสร้างโลกด้วยเหมือนกัน บิดามารดาเป็นผู้สร้างสัตว์ทั้งหลายให้เกิดขึ้นมา ดังนั้นจึงตรัสว่าเป็นพระพรหมผู้สร้างโลก และความว่า ความหมายที่ว่าเป็นผู้ประเสริฐที่สุดนั้นก็หมายความว่าเป็นต้นกำเนิดแห่งสัตว์ทั้งหลายนั่นเอง คนทุกคนมาจากบิดามารดา ไม่มีใครออกมาจากโพรงไม้ เกิดเอาเองก็ไม่ได้ ต้องอาศัยบิดามารดาเป็นผู้ให้กำเนิด และเสียสละเลี้ยงดูให้รอดชีวิตมาได้ และให้เจริญเติบโตก้าวหน้ามาจนถึงกระทั่งทุกวันนี้ ดังนั้น คนควรจะนับถือบิดามารดาเหมือนกับว่าเป็นพระพรหม คือเป็นพระเจ้า ความหมายของคำว่าพระเจ้ามีอยู่อย่างไร นั่นแหละคือความหมายอันแท้จริงของบิดามารดาซึ่งจะต้องพินิจพิจารณาดูให้ดี ให้คนทุกคนในบ้านในเรือนเคารพบิดามารดาเหมือนพระเจ้าหรือพระพรหมดังนี้ เดี๋ยวนี้เห็นได้ว่าการเคารพบิดามารดานั้นตกต่ำลงไป ทำนองว่าจะไม่มีใครเชื่อพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสว่า พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร บิดามารดาเป็นพรหมดังนี้ บัดนี้ก็เป็นเวลาแล้ว เป็นโอกาสแล้วที่เราจะนึกถึงพระพุทธภาษิตข้อนี้ เพราะว่าวันนี้เป็นวันทำบุญตายาย ทำบุญตายายก็หมายถึงทำบุญเป็นที่ระลึกแก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว ก็คือบิดามารดานั่นเอง บิดามารดาของเราล่วงลับไปแล้วและบิดามารดาของบิดามารดาก็ล่วงลับไปแล้ว เป็นชั้น ๆ ๆ ๆ ไป นี้ เรียกว่าปู่ย่าตายาย ก็ ที่แท้ก็คือบิดามารดา หรือบิดามารดาของบิดามารดาเป็นลำดับไปดังนี้ ถ้าเราทำบุญตายายกันจริง ๆ ก็จะต้องตั้งอกตั้งใจสำรวมความคิดความนึกความรู้สึกทั้งหลายให้มองเห็นโดยประจักษ์ว่าบิดามารดาเป็นพรหมของบุตรอย่างไร การให้เต็มอกเต็มใจเต็มความรู้สึกจิตนึกที่จะนึกกันได้ในเวลานี้ อย่ากระทำแต่เพียงว่าเอาอาหารมาเลี้ยงพระ แล้วก็ทำพิธีต่าง ๆ ให้เสร็จ ๆ ไป อย่างนั้นมันไม่สมบูรณ์ มันจะเป็นการกระทำอย่างละเมอเพ้อฝันไปในที่สุดก็ได้ มันพูดไปอย่างนกแก้วนกขุนทองก็ได้ โดยที่ในจิตใจนั้นไม่มีความรู้สึก เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนมาสำรวมกาย วาจา ใจ ให้ประกอบไปด้วยความไม่ประมาทแล้ว มาระลึกนึกถึงพระเดชพระคุณของบิดามารดาในลักษณะที่เป็นพรหมนี้กันจงทุกคนเถิด ในส่วนข้อที่ ๒ ที่ว่า ปุพฺพจริยาติ วุจฺจเร บิดามารดานั้นกล่าวกันว่าเป็นอาจารย์คนแรก ข้อนี้หมายความว่า คนเราทุกคนต้องมีอาจารย์เพราะเราไม่สามารถจะรู้อะไรเองได้ แม้ว่าเราจะค้นจนรู้เองได้ เราก็เสียเวลามาก สู้มีอาจารย์ไม่ได้ มาช่วยสอนสิ่งที่ควรจะสอนให้ครบให้เสร็จไป แล้วเราก็ค้นคว้าหาสิ่งที่แปลกออกไปอย่างนี้แล้วจะดีกว่า ทีนี้อาจารย์มีความจำเป็นอย่างนี้ เราถือว่าเป็นผู้มีบุญคุณ แต่บิดามารดานั้นยังมีความเป็นพิเศษมากไปกว่านั้นอีก คือเป็นอาจารย์คนแรก คำว่าอาจารย์คนแรกนี้มีความสำคัญมาก ถ้าอาจารย์คนแรกทำไว้ดี มันก็ดีต่อไปได้โดยง่ายไม่ลำบากแก่อาจารย์คนหลัง ๆ แต่ที่ว่าอาจารย์คนแรกนี้ก็เท่ากับว่าเป็นผู้ปลูกฝังให้เกิดนิสัย จริตนิสัย หรืออัธยาศัยลงไปอย่างแน่นแฟ้นนั่นเอง บิดามารดาได้สอนสิ่งแรกที่สุดก็ดูจะเป็นการสอนให้รู้จักการ
ดูดนม ให้กินอาหาร ให้พูดจา ให้กระทำนั่นนี่ได้เป็นลำดับมา จนกว่าจะเรียนหนังสือ อย่างนี้ก็มีการสอนมากมายเหลือเกินกว่าจะเรียนหนังสือ และการสอนโดยบิดามารดานั้นเป็นการปลูกฝังนิสัยสันดานลงไปในจิตใจ มีน้ำหนัก มีความสำคัญยิ่งไปกว่าการสอนหนังสือ ขอให้คิดดูถึงพระเดชพระคุณหรือบุญคุณของอาจารย์คนแรกนี้ให้เต็มที่กันเสียก่อน แล้วจึงจะค่อยรู้คุณของอาจารย์ทั้งหลายเป็นลำดับ ๆ ไป เดี๋ยวนี้การรู้คุณของอาจารย์คนแรกนั้นดูจะน้อยไป เพราะไปเห่อสิ่งใหญ่โตสวยงามอื่น ๆ กันเสียหมด อาจารย์ที่สอนให้หาเงินได้มาก ๆ กลับจะเป็นที่สนใจยิ่งกว่าบิดามารดาซึ่งเป็นอาจารย์คนแรก คือเป็นอาจารย์ทางวิญญาณ เป็นอาจารย์ทางจิตทางใจทางนิสัยสันดานนี้กลับไม่ค่อยมีใครไปสนใจ เพราะความดีหรือความไม่ดีความเลวอะไรนี้มันอยู่ตรงที่อาจารย์คนแรกกระทำให้ หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้คิดนึกดูให้ดีในข้อนี้เป็นพิเศษ ส่วนข้อที่ว่า อาหุเนยฺยา จ ปุตฺตานํ บิดามารดาเป็นอาหุไนยบุคคลของบุตรนั้นหมายความว่า เมื่อจะกล่าวถึงการเลี้ยงดู หรือเมื่อจะกล่าวถึงการบูชาด้วยเครื่องเลี้ยงดู ด้วยปัจจัยสำหรับเป็นอยู่แล้ว ไม่มีใครยิ่งไปกว่าบิดามารดา แต่ว่าคนก็ไปมัวเซ่นผี ไปมัวบวงสรวงเทวดา ไปมัวทำอะไร ๆ แก่บุคคลซึ่งมิใช่บิดามารดาอยู่เป็นอันมาก ถ้าถือตามพระพุทธภาษิตนี้แล้ว บุคคลที่ควรเซ่นไหว้นั้น ไม่มีผู้ใดยิ่งไปกว่าบิดามารดา เลยเรียกกันว่าอาหุไนยบุคคล อาหุไนยบุคคลนี้ตามธรรมดาก็หมายถึงพระสงฆ์ที่เราสวดกันอยู่ว่า อาหุเนยโย ปาหุเนยโย เป็นต้นนั้น หมายถึงพระสงฆ์ทั่วไป แต่บัดนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อาหุเนยฺยา จ ปุตฺตานํ บิดามารดาเป็นอาหุไนยบุคคลของบุตรทั้งหลาย ขอให้คิดดูให้ดีเถิดว่า มันเป็นอาหุไนยบุคคลที่อยู่ใกล้เราที่สุด อยู่ในบ้านเรือนเรานั่นเอง และแม้ตายไปแล้วก็ยังเป็นอาหุไนยบุคคลเหมือนกับอยู่ในจิตในใจของเรา ขอให้ทุกคนระลึกนึกถึงอาหุไนยบุคคลคือบิดามารดานี้ ถ้าสมมติว่าวันนี้เรามาเซ่นไหว้กันด้วยข้าวปลาอาหารแล้ว ก็ควรจะถือว่าเป็นการเซ่นไหว้บิดามารดาซึ่งเป็นอาหุไนยบุคคลนั้น มากกว่าที่จะเป็นการถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ เพราะว่าเราทำนี้อุทิศบิดามารดาผู้เป็นอาหุไนยบุคคลในบ้านเรือนนั่นเอง บ้านเรือนใดไม่มีอาหุไนยบุคคล บ้านนั้นก็คือไม่มีผีเรือนคุ้มครอง ทำไมเราจึงพูดกันอย่างนี้ ก็เพราะว่า บ้านใดที่ไม่มีความรู้สึกกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาแล้ว บ้านนั้นย่อมปราศจากธรรมะที่คุ้มครอง แต่ถ้าบ้านเรือนใดมีความเคารพนับถือบิดามารดาแล้ว ก็มียิ่งกว่าผี ยิ่งกว่าเทวดา ยิ่งกว่าอะไรหมดที่จะมาเป็นผู้คุ้มครอง คือว่ามีพระพรหมนั่นเองมาเป็นผู้คุ้มครอง เมื่อบิดามารดามีชีวิตอยู่ ลูกหลานเชื่อฟังเคารพนับถืออย่างอาหุไนยบุคคล บิดามารดาก็เป็นพระพรหมคุ้มครองเด็ก ๆ เหล่านั้น และเมื่อบิดามารดาล่วงลับไปแล้ว ความกตัญญูกตเวทีระลึกนึกถึงความประสงค์ของบิดามารดานั้นแล้ว ก็ทำให้ถูกต้องตามความประสงค์ ก็ยังเหมือนกับว่า ก็เหมือนกับว่ายังมีบิดามารดาอยู่ ยังมีชีวิตอยู่ เป็นอาหุไนยบุคคลของบุคคลเหล่านั้น เมื่อบุคคลเหล่านั้นจะเซ่นไหว้โดยความหมายที่เรียกว่าบูชาด้วยข้าวปลาอาหารเป็นต้นแล้ว ก็ย่อมกระทำด้วยความรู้สึกระลึกนึกถึงบิดามารดานั่นเอง แต่มิได้หมายความว่ากระทำเหมือนการเซ่นผี การกระทำเหมือนการเซ่นผีนั้นก็ทำด้วยความกตัญญูกตเวทีเหมือนกัน หากแต่ว่าเป็นขั้นเริ่มแรกของคนที่ยังไม่ค่อยจะมีวิชาความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงมีการไหว้ผี มีการเซ่นผีกันมาตั้งแต่หลายหมื่นหลายพันปีโน้น ประเพณีนี้ก็ยังเหลืออยู่ หากแต่ว่าทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เราไม่ทำบิดามารดาให้เป็นเพียงผีตัวหนึ่งเท่านั้น แต่เราทำบิดามารดาให้เป็นพระพรหมหรือเป็นพระเจ้า แล้วก็บูชาด้วยสิ่งที่อาจจะใช้เป็นเครื่องบูชา จะเป็นวัตถุสิ่งของ หรือจะเป็นข้าวปลาอาหาร หรือจะเป็นอะไรก็ตามที่จะเป็นประโยชน์ได้โดยวิธีใดโดยตรงก็ตาม โดยอ้อมก็ตาม ย่อมจะใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องบูชาพระพรหมหรือพระเจ้าประจำบ้านเรือนของเราดังนี้ นี่แหละคือข้อที่บิดามารดาเป็นอาหุไนยบุคคลคู่ควรแก่ของบูชา จะเป็นของแสดงความเคารพ หรือจะเป็นการเลี้ยงดู หรือจะเป็นการบูชาโดยประการใด ๆ ก็ตาม ย่อมไม่มีผู้ใดยิ่งไปกว่าบิดามารดาดังนี้ ก็อย่าได้เข้าใจว่าเมื่อบิดามารดาล่วงลับไปแล้ว เราไม่มีโอกาสจะกระทำ เรามีโอกาสที่จะกระทำได้ตลอดไป เพราะว่าความสำคัญนั้นมันอยู่ที่จิตใจ แม้ว่าบิดามารดายังมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่มีจิตใจจะทำแล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร หรือว่าทำไปอย่างละเมอเพ้อฝัน หรือทำตามประเพณีเฉย ๆ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร มันต้องทำด้วยจิตใจเพื่อว่าจิตใจของผู้กระทำนั้น จะเป็นจิตใจที่ประกอบไปด้วยคุณธรรม เช่น ความกตัญญูกตเวที เป็นต้น เดี๋ยวนี้เรามองเห็นกันอยู่แล้วว่า ไม่ค่อยจะมีบุคคลสนใจในบิดามารดาในลักษณะเช่นนี้เลย ดูเหมือนจะเป็นเพราะเหตุว่ามันเคยชินกันเกินไป มันชินชากันจนไม่รู้ว่าอะไรจะเป็นอะไรเสียแหละเป็นส่วนใหญ่ ครั้นตกมาถึงสมัยที่เด็ก ๆ ลุ่มหลงในความสนุกสนานเครื่องยั่วยวนนานาชนิดที่เป็นของสมัยใหม่นี้ ก็ยิ่งลืมคุณของบิดามารดามากขึ้น เราจะมีอะไรสักหน่อยก็ใช้บูชาตัวเอง เซ่นสรวงตัวเอง บำรุงบำเรอตัวเอง เอาตัวเองเป็นอาหุไนยบุคคลเช่นนี้ มันเป็นการเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้นไป เอาการเห็นแก่ตัวนั่นแหละเป็นตัว และเป็นอาหุไนยบุคคลของตัว ก็แปลว่าเป็นสัตว์เนรคุณ จงรู้สึกความที่บิดามารดาเป็นอาหุไนยบุคคลโดยแท้จริง ทั้งที่มีชีวิตอยู่และทั้งที่ตายแล้ว ล่วงลับไปแล้ว เหมือนกับที่เรามากระทำกันในวันนี้เถิด เป็นการกระทำบิดามารดาให้เป็นอาหุไนยบุคคลอยู่ตลอดเวลา นับว่าเป็นการสมควรแก่ความเป็นพุทธบริษัท เพราะปฏิบัติถูกต้องตามพระพุทธภาษิตที่กล่าวมาแล้ว สำหรับประการสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่าเป็น ปชาย อนุกมฺปกา เป็นผู้เอ็นดูแก่สัตว์ทั้งปวงนั้น ข้อนี้มีใจความสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ถ้าว่าเราจะค้นหาบุคคลใด ๆ ในโลกนี้ที่มีความเอ็นดูแก่เราถึงที่สุดแล้ว จะค้นกันอย่างไร ในที่สุดก็จะพบว่าบิดามารดาเท่านั้นเป็นผู้มีความเอ็นดูแก่เราถึงที่สุด ลองไปคิดดูให้ดี หรือแม้จะคิดกันอย่างธรรมดาสามัญก็ไม่พ้นไปที่จะมองเห็นว่าผู้ที่รักเราที่สุดนั้น ไม่มีใครยิ่งไปกว่าบิดามารดา ทั้งที่ข้อนี้เป็นความจริงอย่างยิ่ง แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่ลางเลือนเสียเป็นส่วนใหญ่ เด็ก ๆ ก็น่าจะคิดได้โดยคิดกันอย่างง่าย ๆ ว่าเมื่ออันตรายเกิดขึ้นแก่เรา ใครจะเป็นผู้ทุกข์ร้อนที่สุด ก็เห็นจะไม่มีใครยิ่งกว่าบิดามารดา ใครจะเอ็นดูเราตามปกติธรรมดาสามัญนี้ ใครจะเป็นผู้เอ็นดูเรามากที่สุด ก็จะไม่มีใครยิ่งไปกว่าบิดามารดา บางคนอาจจะคิดว่าคู่รักของตัวนั่นจะมีความรักความเอ็นดูเรามากที่สุดนั้น เป็นคนโง่ที่สุด เพราะว่าความรักชนิดนั้น ไม่ได้เป็นความรักที่บริสุทธิ์ หรือความเอ็นดูที่บริสุทธิ์อย่างของบิดามารดา พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่าในหมู่สัตว์ทั้งหลายแล้ว บิดามารดาเป็น อนุกมฺปกา คือมีหัวใจที่หวั่นไหวไปตามที่สุดยิ่งกว่าบุคคลใด คำ ๆ นี้แปลว่ามีใจที่หวั่นไหวไปตาม มีใจหวั่นไหวไปตามหมายความว่าอย่างไร หมายความว่าเมื่อบุตรเป็นอย่างไร บิดามารดาย่อมมีหัวใจอย่างนั้น เมื่อบุตรได้รับอันตราย บิดามารดาก็หวั่นไหวเหลือประมาณในการที่บุตรได้รับอันตราย คือมีความเศร้าโศกด้วย เป็นห่วงด้วย วิตกกังวลด้วย อย่างไม่มีใครจะเทียบเท่า เมื่อบุตรได้รับความสุขสนุกสนานสบาย บิดามารดาก็มีใจหวั่นไหวไปตาม คือพลอยยินดีด้วย พลอยมีความสุขไปด้วย นี่กล่าวโดยหัวข้อใหญ่ ๆ ก็เป็นอย่างนี้ ทีนี้โดยรายละเอียดปลีกย่อยนั้นมีมาก เพราะว่าบุคคลเรานั้นมีการเปลี่ยนแปลงนานาชนิด แต่ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร บิดามารดาก็คอยเป็นผู้มีหัวใจไหวไปตามโดยทุกอย่างด้วยเหมือนกัน นั่นแหละคือความหมายของคำว่า อนุกมฺปกา อียดปลีกย่อยนนั้นมีมาก เพราะว่าบุคคลเหล่านั้นมีการเปลี่ยนแปลงนานาชนิดซึ่งแปลว่ามีจิตใจหวั่นไหวไปตาม ในบรรดาหมู่สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ตามเถิด บิดามารดาย่อมมีจิตใจหวั่นไหวไปตามลูก แล้วแต่ว่าลูกนั้นจะเป็นอย่างไร มองดูแล้วก็ไม่เห็นมีใครที่ไหนที่จะมามีหัวใจหวั่นไหวไปตามลูกเหมือนอย่างบิดามารดา แต่แล้วทำไมจึงปล่อยให้เลือนไป ให้ดูคล้าย ๆ กับว่าไม่มีความผิดแปลกแตกต่างหรือพิเศษอย่างไร นี่ก็คือข้อที่ว่าสัตว์ทั้งหลายนั้นถูกกิเลสตัณหาครอบงำจูงพาไปตามวิถีทางของกิเลสตัณหา ไม่ประกอบไปด้วยสติปัญญาที่จะพิจารณาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อเป็นดังนี้ เราก็จะต้องทำจิตใจของเราให้ปราศจากกิเลสเสียก่อน ตามสมควรที่เราจะพึงกระทำได้อย่างไร แล้วเราก็จะมีจิตใจมองเห็นคุณลักษณะ หรือความหมาย หรือคุณค่า หรืออะไรทุกอย่างทุกสิ่งของบิดามารดาได้โดยแน่นอน เราจงทำใจคอให้ปกติเป็นอิสระแก่กิเลสแล้วพิจารณาพระเดชพระคุณของบิดามารดากันจงทุกคนเถิด จะโอกาสไหนก็ไม่เหมาะเท่ากับโอกาสเช่นวันนี้ ซึ่งเป็นวันที่เราได้อุทิศไว้เฉพาะบิดามารดา อุตส่าห์มาจากที่ไกลมาประชุมกันร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศแก่บุพการีบุคคลคือบิดามารดานั้นเพราะฉะนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องผลัดเพี้ยนเวลากันให้มันยืดเยื้อไป จงถือเอาวันเช่นวันนี้เป็นวันที่จะระลึกนึกถึงบุญคุณของบิดามารดาเป็นพิเศษ กำจัดกิเลสเครื่องเศร้าหมองออกไปเสียจากใจ ให้จิตใจเป็นอิสระ รู้คุณของบิดามารดากันในวันนี้ กิเลสที่ร้ายกาจที่สุดก็คือความอกตัญญูหรือความเนรคุณของบิดามารดานั้น เป็นกิเลสตัวแรก อันแรก ข้อแรกที่เราจะต้องขจัดออกไปจากจิตใจเสียก่อน ข้อนี้ทำได้ด้วยความรู้สึกละอายว่าบรรดาคนที่ใช้ไม่ได้หรือคนเลว คนต่ำทรามนั้นคือคนอกตัญญู เราก็จะได้ระวังเป็นอย่างดีที่สุดว่าอย่าให้เราเผลอเป็นคนอกตัญญูขึ้นมาได้ เพราะว่าเป็นสิ่งที่น่าละอาย ความกตัญญูกตเวทีนั้น เป็นเครื่องหมายของสัตบุรุษคือบุคคลดีมีคุณธรรม ถ้าปราศจากความกตัญญูกตเวทีแล้ว ก็หมายความว่าเป็นอสัตบุรุษ คือเป็นคนไม่ดี และเป็นคนที่น่าละอายอย่างยิ่ง คนอื่นเขาจะรู้หรือคนอื่นจะไม่รู้ก็ตามใจ ความน่าละอายมันก็ยังมีอยู่เท่าเดิม เราก็ควรจะมีความละอายโดยที่ไม่ต้องมีใครรู้ คือละอายเมื่อค้นพบว่าตนเองเป็นคนอกตัญญู เป็นต้น นี้คือกิเลสข้อแรกที่จะต้องขจัดออกไปเพื่อจะให้มีจิตใจผ่องใสรู้บุญคุณของบิดามารดา กิเลสที่ถัด ๆ ไปก็มีอยู่มากมาย เช่นว่าความประมาท จงทำตนให้เป็นบุคคลผู้ไม่ประมาทเถิด ก็จะรู้บุญคุณของบิดามารดา ความประมาทนั้นคือความโง่ ความมัวเมา ความไม่รู้ รวม ๆ กันแล้วก็เรียกว่าความประมาท เป็นความมัวเมาในความโง่ เป็นความมัวเมาในสิ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของกิเลสหรือมัวเมาในสิ่งที่เป็นที่ตั้งของความเมา อย่างใดก็ตามเมื่อมีอาการประมาทเช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะรู้บุญคุณของบิดามารดา เหมือนคนเมาเหล้า จะไปรู้ความดีความชั่วของใครได้อย่างไร เพราะว่ากำลังเมาเหล้า นี่ก็เหมือนกัน ถ้ากำลังเมาประมาทแล้ว มันก็ไม่มีทางที่จะรู้ดีรู้ชั่ว รู้บุญรู้บาป ไม่มีทางที่จะรู้คุณของบิดามารดา บางทีอาจจะพูดหยาบคายแก่บิดามารดา บางทีอาจจะตบตีบิดามารดา หรือทำร้ายบิดามารดาถึงแก่ชีวิต ดังนั้นเราจะต้องกลัวให้มาก คือจะต้องกลัว กลัวกิเลสหรือบาปชนิดนี้ให้มาก ความกลัวนั่นเองจะเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เป็นผู้เผลอ แต่จะช่วยให้เป็นผู้มีใจคอปกติ รู้บุญคุณของบิดามารดา เท่านี้มันก็จะเป็นการเพียงพอแล้วที่ว่าเราจะอาศัยอะไร ที่จะมาซักฟอกจิตใจให้เป็นปกติแจ่มใสพอที่จะรู้คุณของบิดามารดา ทีนี้ถ้าหากว่าเรามาระลึกนึกถึงพระพุทธภาษิตที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้นี้อยู่เป็นประจำ มันก็จะเป็นการพอกพูนความกตัญญูกตเวทีนั้นให้มากขึ้น ๆ เป็นการย้ำอยู่เสมอทุกเมื่อเชื่อวัน ก่อนจะนอนก็ดี ตื่นนอนก็ดี จะต้องระลึกนึกถึงพระคุณของบิดามารดา ตามนัยยะดังที่กล่าวมา หรือจะนึกเอาโดยอย่างง่าย ๆ ก่อนว่าชีวิตนี้ได้มาจากบิดามารดา เพราะฉะนั้นต้องเป็นของบิดามารดา บิดามารดาต้องการอย่างไร แม้ไม่ตรงกับความประสงค์ของเรา เราก็อาจจะยอมตามความประสงค์ของบิดามารดาได้ โดยยอมเสียสละส่วนของเรา เดี๋ยวนี้มีเด็กคนไหนบ้างทำอย่างนี้ ล้วนแต่จะข่มขี่บังคับบิดามารดา จะเอาอย่างนั้น จะเอาอย่างนี้ จะไปเรียนนั่น จะไปเรียนนี่ จะทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ตามใจของตนหมด ไม่มีการยอมตามบิดามารดา เว้นไว้แต่ว่ามันจนท่าเข้าเท่านั้น ทางที่ดีที่สุดควรจะถือกันเป็นหลัก
เสียก่อนว่าชีวิตนี้ได้มาจากบิดามารดาแล้ว เพราะฉะนั้นควรมอบให้แก่บิดามารดา ส่วนที่ความประสงค์จะทำอย่างไรมันต่อไป จะตรงกันหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่พูดจาหรือปรองดองกันได้ เรามีหนทางที่จะชี้แจงทำความเข้าใจกันได้จนมีความประสงค์เหมือนกัน อย่างนี้ก็ไม่ต้องขัดกัน ไม่ต้องเป็นคนอกตัญญู ข้อที่ว่าบิดามารดาให้กำเนิดมา ให้ชีวิตมา ให้อะไรทุก ๆ อย่างมา บุตรควรจะเป็นของบิดามารดาโดยประการทั้งปวงนั้น เป็นหลักสำคัญที่จะเป็นที่ตั้งของความกตัญญูกตเวที ถ้าปราศจากความรู้สึกเช่นนี้เพราะทำลืมเสียบ้าง เพราะแกล้งลืมเสียบ้าง หรือมันลืมจริง ๆ บ้าง มันก็ไม่มีหนทางใดที่ว่าจะรู้คุณของบิดามารดา จนถึงกับว่ายินยอมตามบิดามารดาได้ทุกอย่าง บางคนอาจจะเถียงว่าบิดามารดาไม่ได้รับการศึกษา เป็นคนโง่ ฟังดูเถิด เขาคิดว่าบิดามารดาเป็นคนโง่ ทั้งที่เป็นผู้ให้กำเนิดให้ชีวิตมา เพราะเขาคิดว่า เขารู้ว่าจะต้องไปเรียนอะไรจึงจะได้เงินเดือนมาก หรือว่าจะต้องไปทำอะไรจึงจะมีชื่อเสียงมาก นั้นมันอาจจะถูกตามความคิดที่เขาคิดเช่นนั้น แต่มันก็ไม่เป็นข้อแก้ตัวอะไรได้เลย ในข้อที่ว่าบิดามารดาจะต้องมีบุญคุณ เป็นอะไร ๆ เหนือบุตรทุกสิ่งทุกอย่างตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ ร่างกาย ชีวิต สติปัญญา ความรู้ต่าง ๆ นี้มันมาจากบิดามารดา เลือดเนื้อเชื้อไขของบิดามารดาถ่ายทอดออกมา แล้วจะมาอวดดีเพียงว่าได้เรียนนั่นได้เรียนนี่เพิ่มเข้า แล้วก็ดีไปกว่าบิดามารดา นี้เป็นความคิดที่อกตัญญูหรือเนรคุณ ถ้าลองบิดามารดาได้เรียนอย่างตัวเองบ้าง อาจจะฉลาดกว่าตัวเองด้วยซ้ำไป นั้นเป็นเรื่องที่ว่าบังเอิญหรือแวดล้อมเข้ามาในภายหลัง ส่วนเนื้อแท้ในภายในนั้น บิดามารดาต้องเป็นบิดามารดา คือต้องเป็นที่เกิดของบุตร ให้กำเนิดแก่บุตรถ่ายทอดนิสัยใจคอมาในบุตร เป็นอาจารย์คนแรกของบุตร เป็นอาหุไนยบุคคลของบุตร และเป็นผู้ที่ตายแทนบุตรได้ทุกเมื่อดังนี้ แต่ไม่ ไม่มีใครจะมองเห็นได้เลยว่า บุตรที่มีความคิดนึกที่จะตายแทนบิดามารดา เพราะมันยังเล็กเกินไป มันยังโง่เกินไป มันยังประมาทเกินไป หรือเอาความรักมาเทียบกันแล้วมันก็อาจไม่เท่ากันได้เลย ทีนี้เรามองดูกันต่อไปให้มันกว้าง ๆ ว่าถ้าว่าทุกคนในโลกเคารพนับถือบิดามารดาเป็นพระเจ้ากันอย่างนี้แล้ว โลกนี้จะดีกว่าที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้มาก โลกนี้สมัยนี้มีแต่ลูกแหกคอก ลูกแหวกแนวไปจากบิดามารดา จากความประสงค์ของบิดามารดา คือไปทำอะไรที่ก้าวหน้าไม่มีขอบเขต บิดามารดาต้องการให้ทำอยู่ในขอบเขตที่เป็นไปเพื่อความสงบ ไม่เกินความจำเป็นของมนุษย์ แต่ว่าลูกนั้นต้องการไม่มีขอบเขต ต้องการให้ไปสุดเหวี่ยงไม่รู้ว่าทิศไหนทางไหน ไม่มีขอบเขตจำกัด เพราะเขาหลงใหลแต่ว่ามันเป็นสิ่งที่ดี คนสมัยนี้จึงไปทำสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำกันมากมายยิ่งขึ้นทุกที โลกนี้จึงเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ หรือจะต้องมี ท่านทั้งหลายจงคิดดูให้ดี ๆ ว่าโลกนี้กำลังเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องมี และสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ ถ้าไม่คิดกันจริง ๆ ก็จะมองไม่เห็นมากนัก มากมายนัก แต่ถ้าคิดกันให้จริง ๆ มองกันให้จริง ๆ สังเกตกันให้จริง ๆ แล้ว จะมองเห็นว่า โลกนี้กำลังมีสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องมีมากมายหลายร้อยเท่าพันทวีทีเดียว แต่คนกำลังทำสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำมากมายหลายร้อยเท่าทีเดียว ที่เขาเรียกกันว่าความเจริญนั้น เป็นความเจริญของกิเลสตัณหาที่ไม่มีที่สิ้นสุดทั้งนั้น คือไม่ถึงขนาดที่จะต้องเป็นอย่างนั้น เราก็มีความสุขกันอยู่ได้ คนสมัยก่อนไม่รู้หนังสือเลย แต่มีศีลธรรมดีกว่าคนสมัยนี้ ทำไมไม่คิดดูบ้าง สมมติว่าสมัยคุณย่าคุณยายรู้หนังสือกันบ้าง แต่สมัยคุณปู่ชวด ตาชวด ยายชวดนั้น ไม่รู้หนังสือกันเลย แต่ทำไมเขาจึงมีศีลธรรมกันดีกว่าคนสมัยนี้ เพราะฉะนั้นการศึกษาของคนสมัยนี้ไม่มีส่วนที่ควรจะเอามาโอ้อวดในการที่จะทำให้มนุษย์มีความสงบสุข หรือทำโลกนี้ให้มีสันติภาพ นี่คืออะไร มันมีเหตุผลอยู่ที่ตรงไหน มันมีเหตุผลอยู่ตรงที่ว่าสมัยนี้เรียนสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องเรียน ทำสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ และก็มีสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องมีมากขึ้นไปนั่นเอง มันจึงทำให้นอกคอกหรือแหวกแนวไปจากบิดามารดา เป็นคนเนรคุณหรืออกตัญญู แล้วก็ได้รับผลสมน้ำหน้า คือว่าโลกนี้เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน หวาดระแวง นอนตาไม่หลับ ยิ่งกว่าโลกสมัยก่อน นี้คือการถูกลงโทษเพราะความไม่รู้คุณของบิดามารดาหรือบรรพบุรุษที่มีอะไร หรือทำอะไร หรือวางหลักอะไรไว้ ในลักษณะที่พอเหมาะพอดีสำหรับมนุษย์จะเป็นอยู่กันอย่างไร ไม่เฟ้อ ไม่มากเกินไปเหมือนบุคคลสมัยนี้ ดังนั้นจึงไม่ต้องทำอะไรมาก จึงไม่ต้องมีอะไรมาก ไม่ต้องรู้อะไรมาก ก็ยังอยู่กันได้เป็นผาสุก เดี๋ยวนี้รู้อะไรมาก หรือทำอะไรได้มาก มีความสามารถมาก แต่ใช้มันไปในทางที่เห็นแก่ตัวและเอาเปรียบผู้อื่น ซึ่งบรรพบุรุษของเราไม่เคยกระทำ หรือถือว่าเป็นหลักที่ต้องกระทำเหมือนคนสมัยนี้ คนสมัยนี้ไม่กลัวบาป ไม่กลัวกรรม ไม่เคารพคนเฒ่าคนแก่แม้แต่พ่อแม่ คนสมัยก่อนกลัวบาปกลัวกรรมยิ่งกว่าสิ่งใด เคารพแม้แต่คนแก่ที่เป็นคนบ้า อาตมาจะยืนยันได้ว่าเคารพคนแก่แม้แต่ที่เป็นคนบ้า เพราะว่าเมื่ออาตมาเด็ก ๆ นั้น เป็นเด็ก ๆ อยู่นั้น ต้องไหว้คนแก่แม้แต่คนบ้า ไม่อย่างนั้นอาจารย์จะตี ก็ทำกันมาจนเป็นนิสัย ถ้าคนแก่เดินผ่านมาในวัดแล้ว พวกเราเด็ก ๆ เด็กวัดจะต้องไหว้คนแก่ทุกคน โดยไม่เลือกหน้าว่าเขาจะเป็นคนอะไร แต่เราก็รู้อยู่ดี ๆ ว่าคนนี้เป็นคนบ้า แต่ว่าอาจารย์ก็ไม่ยอม ต้องไหว้ในฐานะที่เขาเป็นคนแก่ นี่แหละคือข้อที่แตกต่างกัน ว่าคนสมัยก่อนนั้นเคารพคนเฒ่าคนแก่กันอย่างไร มากน้อยเท่าไรเมื่อเปรียบกันกับคนสมัยนี้ เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ ไม่ไหว้คนเฒ่าคนแก่ แม้เป็นคนเฒ่าคนแก่ที่มีคุณธรรมควรไหว้ ก็ไม่ไหว้ คนที่สมัยก่อนเขาตั้งไว้ในฐานะเป็นบุคคลควรเคารพ ไม่มีใครกล้าล้อเล่น เดี๋ยวนี้ก็อยู่ในฐานะที่ใครจะล้อเล่นเมื่อไรก็ได้ คนจะเป็นนายกรัฐมนตรี เสนาบดี หรือเป็นอะไรก็ตาม ก็อยู่ในฐานะที่ใครจะเอามาล้อเล่นเมื่อไรก็ได้ ด้วยปากก็ได้ ด้วยตัวหนังสือก็ได้ ไม่มีความเคารพในบุคคลที่ได้รับการสมมติว่าอยู่ในฐานะที่ควรเคารพ แม้ว่าเขาจะเป็นคนแก่ด้วย แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ที่มีภาระหน้าที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่อันสูงสุดด้วยก็ยังไม่มีใครเคารพ คอยหาทางแต่ที่จะเหยียบย่ำ หาทางแต่ที่จะแก้ตัวให้แก่ตัวเอง สำหรับที่มาเหยียบย่ำดูแคลนบุคคลที่เจริญกว่าตนด้วยอายุก็ตาม ด้วยคุณวุฒิก็ตาม ด้วยชาติกำเนิดก็ตาม หรือด้วยอะไร ๆ ก็ตาม นี้เรียกว่าได้ลบล้างขนบธรรมเนียมประเพณีของบรรพบุรุษคือปู่ย่าตายายกันเสียอย่างมากมาย ไม่เคารพคนเฒ่าคนแก่ ในคำสวดที่ใช้สวดในวันทำบุญตายายเช่นวันนี้ ซึ่งเรียกกันว่า สวดกาพย์พิมพิสารนั้น ได้เอ่ยถึงคำว่าไม่เคารพคนเฒ่าคนแก่ ไม่เคารพพ่อแม่นี้เป็นข้อใหญ่กว่าเรื่องใดหมด ดูเหมือนเขาจะเป็นห่วงเรื่องนี้กันยิ่งกว่าสิ่งใด จึงได้พูดถึงข้อนี้มากกว่าข้ออื่นว่าลูกหลานสมัยนี้เปลี่ยนไปจากเดิม ไม่เคารพคนเฒ่าเคารพคนแก่ ไม่กลัวบาปกลัวกรรม ปู่ย่าตายายมาเห็นเข้าก็เสียใจสุดประมาณ ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้แต่สาปแช่ง นี่ถ้าใครกลัวปู่ย่าตายายสาปแช่งในวันเช่นวันนี้แล้ว ก็จงอย่าได้ดูหมิ่นดูถูกคนเฒ่าคนแก่ บิดามารดา พ่อแม่ และจะต้องเป็นคนกลัวบาปกลัวกรรมให้ตรงตามความประสงค์ของบิดามารดา ปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้วด้วย อย่าไปกล้าคิดตามความคิดของตัวซึ่งจะเอาแต่ได้ ซึ่งจะเอาแต่ประโยชน์ โดยไม่ต้องเห็นแก่บุญและบาป โดยไม่ต้องเห็นแก่ผู้ที่มีบุญคุณ เมื่อ เมื่อ เมื่อทำได้เช่นนี้แล้ว คำสวดนั้นก็มีกล่าวว่าปู่ย่าตายายนั้นก็จะให้พร ในวันเช่นวันนี้ด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นใครจะเลือกเอาคำสาปแช่งของปู่ย่าตายายหรือจะเลือกการให้ศีลให้พรของปู่ย่าตายายก็อาจที่จะทำได้โดยไม่มีใครมาขัดขวาง โดยอาจจะเลือกเอาได้ตามชอบใจ ในโอกาสนี้มีแต่จะขอเตือนท่านทั้งหลายให้ระลึกนึกให้ดี ว่าจะทำอย่างไรจึงจะเป็นที่ถูกอกถูกใจของปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้วเท่านั้น เผื่อว่าท่านผู้ใดต้องการ ท่านผู้นั้นจะประพฤติปฏิบัติได้โดยง่ายดายและโดยสะดวก แต่นี้ก็นำมากล่าวตามคำที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสดังหัวข้อข้างต้นนั้นว่า พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร มารดาบิดาเป็นพระพรหมของบุตร ปุพฺพจริยาติ วุจฺจเร บิดามารดานั้นกล่าวกัน ถือกันว่าเป็นอาจารย์คนแรกของบุตร อาหุเนยฺยา จ ปุตฺตานํ บิดามารดานั้นเป็นอาหุไนยบุคคลของบุตร ปชาย อนุกมฺปกา บิดามารดานั้นเป็น อนุกมฺปกา ของสัตว์ทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงได้พินิจพิจารณาให้ดีเป็นพิเศษในวันเช่นวันนี้ด้วยกันจงทุกคน แล้วก็จะได้บุญจะได้กุศล ได้ความเจริญงอกงามก้าวหน้าในทางจิตทางใจทางพระศาสนายิ่ง ๆ ขึ้นไป จะทำเพียงแต่เอาข้าวเอาน้ำมาเลี้ยงกันนี้มันไม่พอ หรือจะทำบุญให้ทานอย่างอื่นด้วยมันก็ยังไม่พอ ถ้าจิตใจมิได้สว่างไสวแจ่มแจ้งในพระคุณของบิดามารดาโดยนัยยะดังที่กล่าวมา ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้