แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ และวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ในธรรมวินัยของ นาทีที่ 1.48-1.54 เสียงหายไป จึงต้องทำเป็นพิเศษกันจริงๆ วันนี้ทำอะไรก็ต้องทำเพื่อตา ยาย แม้แต่ว่ามาให้ทานกันเป็นการใหญ่ ก็เพราะเห็นแก่ตา ยาย จะรักษาศีลให้เป็นพิเศษออกไปก็เพราะเห็นแก่ตา ยาย จะฟังเทศน์ก็ฟังเป็นพิเศษเพื่อเห็นแก่ตา ยาย เพราะว่าได้เลือกเอาเรื่องที่เกี่ยวกับตา ยาย มาแสดงนั่นเอง เมื่อพูดกันถึงเรื่องตา ยาย คนก็มักจะคิดด้วยใจแคบๆ แต่เพียงปู่ย่าตายายของตนเพียงไม่กี่คน แล้วก็ไม่กี่ชั่วอายุคน นี่มันคนใจแคบ มันคนเห็นแก่ตัว ถ้าเป็นคนที่ใจกว้างหรือว่าใจปกติไม่เห็นแก่ตัว ก็จะต้องนึกได้ว่า ปู่ยาตายายนั้นไม่ได้มีเพียงไม่กี่คน และไม่ได้มีเพียงไม่ชั่วกี่ชั่วอายุคน มันต้องมีเรื่อยไป เรื่อยไป เรื่อยไป ถอยหลังเข้าไปจนไม่รู้ว่า กี่สิบกี่ร้อยชั่วอายุคน แล้วแต่ละคนๆ เหล่านั้นก็มีความสัมพันธ์กัน พวกเขาพูดกันอย่างน่าฟัง หรือว่าน่าเชื่อว่า ทีแรกมนุษย์ก็มีแต่เพียงคนเดียว เพียงคู่เดียว แล้วก็มีลูกหลานแตกแยกออกมาจึงมีมากมายอย่างนี้ นี่ก็พอจะเชื่อได้ว่า ทีแรกก็ต้องมีน้อยคน จริง พวกเราก็เห็นๆ อยู่ว่า ไอ้คนมากๆ นี่มันก็เพิ่งจะมากขึ้นตอนหลัง ทีแรกมันก็ไม่ได้มีมาก ดังนั้นมันคงจะมีน้อย น้อยกว่าเดี๋ยวนี้ แล้วก็น้อย น้อยจนว่าน้อยที่สุด ทีนี้ถ้าจะฟังตามเรื่องตามราว ของการศึกษาค้นคว้าตามวิชาสมัยใหม่ของแถวนี้ ก็ถือว่าคนก็มาจากสัตว์ที่ต่ำต้อยลงไป แล้วก่อนที่สัตว์จะกลายมาเป็นคน มันก็ก่อนที่สัตว์มันจะค่อยดีขึ้นๆ จนเป็นคน นี้มันก็ต้องมีน้อย ลองฟังแล้วมันก็มีน้อยอยู่นั่นเอง เมื่อคนสมัยนี้ซึ่งเป็นลูกหลานของคนสมัยก่อน มันก็ก่อนมากออกไปจนถึงกับว่ายังเป็นเหมือนกับคนป่า แล้วก็ครึ่งคนครึ่งสัตว์ นี้ก็เห็นได้ว่าสิ่งที่เรียกว่าคนนั้นก็ยังน้อย คือแทบจะยังไม่มี แล้วจนกระทั่งว่าไม่เคยมีคน มันเพิ่งจะมีขึ้นมา พวกนักวิทยาศาสตร์ถือว่าสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังเกิดขึ้นในโลกนี้ ปลาเป็นสัตว์จำพวกแรกที่สุด ปลาเป็นสัตว์ที่มี สัตว์ประเภทมีกระดูกสันหลังพวกแรกที่สุดเกิดขึ้นมาในโลก อยู่ในน้ำ เพราะว่าชีวิตนี้มันตั้งต้นขึ้นมาจากในน้ำ เพราะว่าชีวิตตั้งต้นขึ้นมาจากในน้ำนี้กว้างขวางมาก มีความหมายลึกซึ้งมาก จงพิจารณาดูให้ดี ชีวิตแรกๆ ก่อนจะมีขึ้นในโลกก็ตั้งต้นขึ้นมาในน้ำ จนกระทั่งเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งเจริญอยู่ในน้ำ แล้วก็ดีขึ้นๆ จนเป็นปลา มีกระดูกสันหลังขึ้นมา สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังนี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป จนมีเท้า มีมือ จนมีตีนขึ้นมา มีตีนหน้า ตีนหลัง แล้วมันก็คลานขึ้นบก เหมือนกับกบ เขียด เต่า เหี้ย ตะกวด เป็นต้น มันเคยอยู่ในน้ำเป็นสัตว์น้ำมาก่อน แล้วก็มาเป็นครึ่งน้ำครึ่งบก แล้วจึงมาเป็นสัตว์บก กระทั่งมาเป็นลิง เป็นค่าง คล้ายๆ คน บางพวกก็ไปทางอื่น ไปเป็นสัตว์ที่มีปีกบินไปในอากาศ บางพวกก็ไปทางอื่นเป็นสัตว์ที่กินหญ้า เป็นวัว เป็นควาย เป็นช้าง เป็นม้า แต่ว่าสัตว์เหล่านี้เป็นสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังตั้งต้นมาจากการเป็นปลาอยู่ในน้ำทีแรกด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นจึงถือว่า บรรพบุรุษของสัตว์ทั้งหลายที่มีกระดูกสันหลังนั้นคือปลา มันก็รวมทั้งคนด้วย เมื่อมันมีเป็นลิงเป็นค่างขึ้นมา ดีกว่านั้นมันก็เป็นอะไรไม่ได้ นอกจากจะเป็นคน คนป่าก็อยู่ระหว่างลิงกับคน หรือว่าเป็นคนขึ้นมาแล้วยังเป็นคนป่าอยู่ ระหว่างคนป่ากับลิง มันก็เห็นได้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงที่ถ่ายจากกันมา ในที่สุดมันก็ไปจบอยู่แค่ปลาที่เกิดอยู่ในน้ำ เป็นปู่ย่าตายายของสัตว์ทั้งหลายที่มีกระดูกสันหลัง รวมทั้งคนด้วย นี่แหละถ้าจะคิดกันอย่างนี้แล้ว ก็จะต้องรู้สึกว่า ปู่ย่าตายายของเรานั้น มีมากมายหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น หลายแสน หลายอสงไขยชั่ว จนกว่าจะลงไปถึงปลา ที่เป็นสัตว์แรกเกิดขึ้นมาในน้ำ เราจะคิดอย่างนี้หรือจะชอบคิดอย่างนี้หรือไม่ ก็ลองพิจารณาดูเอง ที่พูดนี้ก็พูดเพื่อให้รู้ว่า อย่าได้อวดดีไปเลยคน มันก็เป็นลูกหลานของสัตว์โง่ๆ คือปลาที่ตั้งต้นเกิดขึ้นมาในน้ำ แต่การมองอย่างนี้มันก็ยังไม่สำคัญนัก อยากจะให้ทุกคนมองให้ดี ให้ลึกกว่านั้น คือมองในแง่ที่ว่า ความดีมีก่อน หรือความชั่วมีก่อน ท่านทั้งหลายทุกคนจงตั้งอกตั้งใจคิดปริศนานี้กันหน่อย ว่าความชั่วมาก่อนหรือความดีมาก่อน คำว่าความชั่วหรือความดีในที่นี้ มันกว้างขวางมาก มีทางที่จะคิดขึ้นได้หลายแง่หลายมุม เมื่อเรา มนุษย์เดี๋ยวนี้ก็เรียกว่าอยู่ทีหลังสุด ไอ้สัตว์ที่มันเกิดก่อนแล้วดีขึ้นๆ จนมาเป็นมนุษย์นั้น มันมาก่อน แล้วก็เทียบกันดูว่า อันไหนมันจะดีกว่ากัน ถ้าเอาปลามาเทียบกับคนในบางแง่ คนก็ดีกว่าปลามาก แต่ในบางแง่แล้ว ปลาก็ดีกว่าคนมาก แล้วแต่จะมองกันในแง่ไหน ถ้าจะมองกันในแง่บริสุทธิ์ ไม่ประสีประสาแล้ว ปลาก็ต้องดีกว่าคน ไม่เชื่อก็ลองไปนั่งดูปลา ว่ามันมีความบริสุทธิ์ ซื่อตรงมากกว่า หรือน้อยกว่าคน คนมีความรู้สึกคิดนึกที่เรียกกันว่า ความเฉลียวฉลาด แล้วก็รู้สึกคิดนึกไปในทางที่จะเห็นแก่ตัว จนมีความโลภ ความโกรธ ความหลง มีการกระทำที่เรียกว่าความชั่ว ทางกาย ทางวาจา ทางใจ เกิดขึ้นมามากมาย นี้จริงหรือไม่ลองคิดดู แต่ว่าสัตว์เช่นปลาเป็นต้นนั้น ไม่เจริญมาในทางนี้ ยังคงอยู่เหมือนเดิม คือโลภไม่เป็น โกรธไม่เป็น ประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตก็ไม่เป็น ดังนั้นปลาก็ยังบริสุทธิ์ไม่เดียงสา หรือที่เขาเรียกกันว่า innocent เหมือนกับพระเป็นเจ้าทีเดียว บริสุทธิ์ซื่อๆ ไม่มีคดโกง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีกิเลสตัณหามากเหมือนมนุษย์ ถ้ามองกันอย่างนี้ ปลาก็ดีกว่าคน เป็นสุขสบายกว่าคน ไม่มีปัญหาเรื่องเกิดแก่เจ็บตายมากเหมือนกับคน คนมีกิเลสตัณหามาก รู้จักทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมามากๆ ไม่เคยชั่วก็ทำให้ชั่วขึ้นมาจนได้ จิตใจที่เคยไม่ประสีประสาบริสุทธิ์อยู่ตามธรรมชาติ ก็มากลายเป็นจิตใจที่สกปรก เศร้าหมอง มืดมัวไปในตอนหลังนี้เอง นี่จะเห็นได้พร้อมกันไปว่า ปลาดีกว่าคนหรือคนดีกว่าปลา และเห็นได้อีกว่าความชั่วมาก่อนหรือความดีมาก่อน ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญ จงอุตส่าห์คิดให้มาก ว่า ความชั่วมาก่อนหรือความดีมาก่อน เพราะว่าถ้าคิดในข้อนี้เห็นแล้วมันจะง่ายขึ้นมาก ในการที่ละความชั่วและทำความดี
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ปภัสสรมิ ปภัสสรมิทัง ภิกขเว จิตตัง ดูก่อนภิกษุทั้งหลายจิตนี้เป็นประภัสสร อาคันตุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปักกิลิฏฐัง แปลว่าได้เศร้าหมองเสีย เพราะอุปกิเลสที่เกิดขึ้น ข้อนี้มันก็แสดงอยู่ในตัวแล้วว่า จิตนี้ทีแรกเป็นประภัสสร คือไม่มีความชั่ว ไม่มีการกระทำชนิดที่เรียกว่าความชั่ว คือไม่เศร้าหมอง แต่ในที่สุดมันก็เศร้าหมองเพราะเกิดกิเลสขึ้นมา ดังนั้นจึงเห็นว่า ความชั่วมาทีหลัง ความดีมีอยู่ก่อน ถ้าใครรักษาจิตให้เป็นประภัสสรเหมือนสภาพเดิมของมันได้แล้ว มันก็มีแต่ความดี ทีนี้พอเผลอไปอุปกิเลสมันเกิดขึ้น ความเป็นประภัสสรนั้น ก็สูญหายไป เป็นความชั่วอยู่แทนไปขณะหนึ่ง จนกว่าความชั่วนั้นจะดับไปมันจึงจะดีของมันอยู่ตามเดิม เหมือนว่าน้ำเป็นของใสบริสุทธิ์ เอาของสกปรกใส่ลงไปก็ดูเป็นน้ำสกปรกไป จนกว่าความสกปรกนั้นจะสูญหายไป จะสูญสิ้นไปจึงจะเป็นน้ำที่ดีอยู่ตามเดิม ของเดิมนั้นคือน้ำที่ใส ที่ไม่สกปรก ของสกปรกนี้มาทีหลัง นี้ก็เรียกว่า ของ ของดีมาก่อน ของชั่วมาทีหลัง นี้ถ้ารู้อย่างนี้แล้วความยากความง่ายในการที่จะละความชั่ว สร้างความดีนั้น มันก็พอจะเข้าใจได้ อาจจะพูดได้อย่างกำปั้นทุบดินได้เลย ว่าอยู่เฉยๆ มันก็จะคงดีแน่ๆ เพราะว่าของดีมัน ของเดิมมันดีอยู่แล้ว อยู่ตามเดิมตามสภาพเดิมอย่าไปเปลี่ยนแปลงมัน มันก็ดีอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้ไปทำอะไรเข้า ให้เป็นความชั่วขึ้นมา มันจึงกลายเป็นความชั่วขึ้นมา อย่าทำความชั่วเหล่านี้แล้ว มันก็จะดีอยู่ตามเดิม เหมือนจิตตามธรรมชาตินั้นเป็นประภัสสร ต่อเมื่อกิเลสเกิดขึ้นมันจึงจะเป็นของเศร้าหมองไป ความเป็นประภัสสรนี้หมายถึงใสกระจ่าง ไม่มีมลทินตามธรรมชาติของจิต แต่จิตที่ไม่มีกิเลสตัณหารบกวนนี้ เป็นจิตที่ฉลาด เป็นจิตที่สะอาด เป็นจิตที่สงบเย็น อยู่ตามธรรมชาติของมัน เพราะฉะนั้นถ้าเราระวังป้องกันอย่าให้กิเลสเกิดขึ้นแล้ว จิตนี้ก็จะอยู่ตามสภาพเดิมของมัน คือความเป็นประภัสสร เราจึงเห็นได้ว่า ความดีมีอยู่ก่อน ความดีมาก่อนหรือความดีมีอยู่ก่อน ความชั่วนี้เป็นของซึ่งมีมาชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แต่แล้วมันช่างมามาก มาบ่อยเหลือเกิน จนดูเป็นของมากมายไป ถ้าอยู่เฉยๆ เสีย อย่าไปทำความชั่ว มันก็ดีอยู่ตามเดิมเพราะฉะนั้นมันจึงต้องกล่าวว่า มันง่ายนิดเดียวที่จะมีความดี คือว่ารักษาสภาพเดิมไว้อย่าไปทำความชั่วก็แล้วกัน เรียกว่าอยู่นิ่งๆ อย่าซุกซน อย่าสัปดนไปทำไอ้สิ่งที่ไม่ ไม่ดีเข้า มันก็จะดีอยู่ตามเดิมดังนี้ นี่แหละความยากง่ายของการที่จะ ละความชั่วหรือทำความดี มันมีหลักเกณฑ์อยู่อย่างนี้ แต่คนเขาไม่มองกัน กลับไปมองไอ้ข้อที่ว่าความชั่วมีอยู่ก่อน สร้างความดีทีหลังเพื่อจะลบล้างความชั่ว อย่างนี้จะถูกหรือผิด ลองคิดดู พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ตรัสอย่างนั้น ท่านตรัสว่าจิตนี้ตามธรรมชาติเดิมแท้นั้น เป็นประภัสสร แล้วมันเพิ่งเศร้าหมองเมื่อไปทำความชั่วเข้า นี่เห็นว่าความชั่วมาทีหลัง ความดีมีอยู่ก่อนหรือมาก่อน เราอย่าไปสัปดนอุตริซุกซนทำความชั่วเข้า มันก็ดีอยู่อย่างเดิมตลอดไป มันเป็นของง่ายนิดเดียวเหลือจะง่ายเพราะว่ามันไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ ไปตามเดิมมันก็มีความดีอยู่ตามเดิม ดังนี้
ทีนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกันกับเรื่องปู่ย่าตายายของเราเล่า อาตมาอยากจะให้ช่วยกันคิดกันนึก หรือช่วยกันระวังด้วย ว่าเรื่องที่ของดีมันมีอยู่แต่ก่อนหรืออยู่แต่เดิม และลูกหลานมาทำให้ชั่วเสียนี้ มันมีมาก ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ควรจะลองคิดดูก่อน ว่าการที่พูดว่า ปู่ย่าตายายนี่ดีกว่าลูกหลาน นี่จะจริงหรือไม่ ตามความรู้สึกของอาตมารู้สึกว่า ปู่ย่าตายายนี้ดีกว่าลูกหลาน เพราะว่าทำชั่วน้อยกว่าลูกหลาน หรือถ้าเราจะเอาปู่ย่าตายาย เลยลงไปถึงปลาซึ่งยังเป็นสัตว์ว่ายอยู่ในน้ำแล้ว ก็จะเห็นว่าดี ยิ่งดีมากกว่า คือว่าไม่ได้ทำชั่วอะไร มีความบริสุทธิ์ไปตามธรรมชาติของมัน ต่อเมื่อมีความคิดนึกอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อเห็นแก่ตัวกูของกู เป็นคนขึ้นมาแล้วต่างหาก มันจึงเกิดความชั่ว เป็นความโลภ ความโกรธ ความหลงขึ้นมา แล้วก็ทำชั่วเพราะความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวกู เห็นแก่ของกูนั่นเอง เพราะฉะนั้นเรามองย้อนหลังกลับไปเท่าไหร่ เราจะพบว่ายังมีความชั่วน้อย ยังตัวกูของกูน้อย ยังมีความเห็นแก่ตัวน้อย ช่วงที่เราทันเห็นกันนี่แหละ สมมติว่าเราเดี๋ยวนี้อายุเท่านี้ มองย้อนหลังไปสักห้าสิบปี หกสิบปี ก็ยังจะพอมองเห็นได้แล้วว่า คนเดี๋ยวนี้เห็นแก่ตัวมากกว่าคนเมื่อห้าหกสิบปีมาแล้ว คนรุ่นปู่ย่าตาทวดของเรามีความเห็นแก่ตัวน้อยกว่าพวกเราสมัยนี้ จริงหรือไม่จริงก็ลองไปดูให้ดีดี คนสมัยนี้เห็นแก่ตัวมาก เห็นแก่ตัวเก่ง เพราะมันมีความเจริญก้าวหน้าแต่ในทางที่จะเห็นแก่ตัว วิชาความรู้ที่มันศึกษาค้นคว้ามา มันเพื่อเพิ่มพูนความเห็นแก่ตัว เพราะมันไปรู้ในสิ่งที่จะสวยงามสนุกสนาน เอร็ดอร่อยให้มากขึ้นไปกว่าเดิมเท่านั้น ไม่ได้รู้อย่างอื่นเลย ฉะนั้นความรู้อย่างนี้มันก็เพิ่มความเห็นแก่ตัว ยิ่งรู้เท่าไร มันก็ยิ่งเห็นแก่ตัวเท่านั้น มันเจริญด้วยความรู้อย่างนี้มากมาย มันก็เห็นแก่ตัวมากจนกระทั่งว่า เป็นมึง เป็นกู เป็นเรา เป็นเขากันอย่างเต็มที่ มันจึงได้ทะเลาะวิวาทกัน เอาเปรียบกัน รบราฆ่าฟันกันไม่มีหยุดไม่มีหย่อนสมกับที่มันเจริญมาก มันยิ่งเจริญมากมันก็ยิ่งรบกันมาก เพราะเหตุผลนิดเดียว คือมันมีความเห็นแก่ตัวมาก ตามความรู้ความก้าวหน้า ตามความ ความเจริญของการศึกษาชนิดนี้ คือเจริญเพื่อเห็นแก่ตัว ฉะนั้นความชั่วจึงมีมากขึ้นในโลกนี้ มากขึ้นในโลกนี้ โลกซึ่งเคยว่าง หรือเคยสะอาด มันก็กลายเป็นโลกที่ยุ่งเหยิงหรือสกปรก เพราะเหตุนี้ ดังนั้นจึงกล้าพูดว่า ปู่ย่าตายายของเราดีกว่าพวกเราสมัยนี้เป็นแน่นอน ยิ่งถอยหลังออกไปถึงปู่ย่าตายายสมัยที่ไม่รู้หนังสือ ไม่เรียนหนังสือด้วยแล้ว ก็ยิ่งดีกว่าคนสมัยนี้ ในทางที่จะมีความดี คือว่าไม่โลภมาก ไม่ทะเยอทะยานมาก ไม่เห็นแก่ตัวมากเหมือนคนสมัยนี้ หนังสือไม่รู้ นี้มันก็เป็นเหตุให้สงบอยู่ได้ ไม่ทะเยอทะยาน ผ้าผ่อนก็แทบจะไม่มี นุ่งกัน นุ่งห่มกันสักกี่ผืน มันก็อยู่ได้ด้วยความไม่ทะเยอทะยาน บ้านเรือนก็อยู่ได้คล้ายๆ กับว่าอยู่กระท่อม มันก็อยู่ได้ ส่วนคนที่เดี๋ยวนี้หนังสือก็รู้ อะไรๆ ก็มีมาก มีตึก มีรถยนต์ มีอะไรๆ ที่ว่าเป็นความเจริญ แต่แล้วมันก็ยังมีจิตใจที่ร้อนเป็นไฟ มากไปกว่าปู่ย่าตายายที่อยู่กระท่อม หมายความว่ากิเลสตัณหามันเผารนลูกหลานสมัยนี้ร้อนเป็นไฟ นั่งก้นไม่ติดพื้น ส่วนปู่ย่าตายายสมัยโน้นนั้น ไม่มีลักษณะเช่นนั้น เพราะอยู่ได้โดยที่เรียกว่า แทบจะไม่ต้องการอะไร ผู้ชายคนหนึ่งมีผ้านุ่งผืนเดียว มีผ้าขาวม้าผืนเดียว เท่านี้มันก็พอแล้ว ส่วนสมัยนี้เป็นอย่างนั้นไม่ได้ คนสมัยนี้จึงไม่มีเวลาที่จะไปนั่งที่วัดที่วา เหมือนคนสมัยก่อน ท่านทั้งหลายที่มีอายุเกือบหกเจ็ดสิบปี ก็จะพอระลึกได้ดีว่า พ่อแม่ของเรามีเวลาไปวัดไปวามากกว่าพวกเราสมัยนี้ เพราะไม่มีเรื่องมาก ไม่มีเหตุให้ต้องการอย่างนั้นอย่างนี้มาก นี่ถ้าถอยหลังออกไปสักสามสี่ชั่วอายุคน มันก็ยิ่งเป็นอย่างนั้นมากขึ้น ถ้าถอยหลังออกไปอีกมันก็ยิ่งเป็นอย่างนั้นมากขึ้น ยิ่งถอยหลังออกไปไกลถึงสมัยโน้น ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ว่าคนในโลกนี้ ยังไม่มีกี่คน สิ่งต่างๆ ที่เกิดอยู่เองตามป่าตามดงมีมาก ไปเก็บมากินเท่านั้นไม่ต้องไปทำไร่ทำนา พันธุ์ข้าวที่เรียกว่า ข้าวสาลี นั้นเกิดอยู่ตามป่าทั่วไป ถึงเวลาก็ออกไปเก็บมากินเป็นอาหาร ไม่ต้องทำไร่ ไม่ต้องทำนา อย่างนี้แล้วความชั่วอะไรมันจะเกิดขึ้นมา ก็ลองคิดดูว่ามันก็ไม่มีหนทาง ต่อมาเมื่อคนมันมากขึ้น แล้วก็เกิดคนอุตริไปเก็บ ไปทำลาย ไปเอามาใส่ยุ้งใส่ฉางของตัว เพื่อประโยชน์แก่ตัว แย่งกันทำอย่างนี้ มันก็หมด ในป่ามันก็หมด จากนั้นจึงต้องมีการทำไร่ทำนา มีการทำไร่ทำนาแล้วมันก็ยังขโมยกัน มันก็มีความชั่วงอกงามขึ้นมาอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างโน้น ทีละนิดๆ ฉะนั้นจึงเรียกว่าความชั่วนี้มาทีหลัง แล้วก็มามากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น จนกระทั่งบัดนี้ ต้องทำงานไม่เพียงแต่ทำไร่ทำนา ต้องทำอย่างอื่นอีกมากมาย เต็มไปด้วยความร้อนเพราะกิเลสตัณหาที่มันดิ้นรนทะเยอทะยาน มันเผาผลาญอยู่ในจิตในใจ นี่แหละเทียบดูเถอะว่า ไอ้คนที่เป็นบรรพบุรุษรุ่นแรกๆ นั้น ดีหรือเลว เย็นหรือร้อนกว่าคนสมัยนี้ ก็จะเห็นได้ทันทีว่า ความชั่ว ความเลว ความไม่ดีนี้มันมาทีหลัง
ทีแรกมันตั้งต้นมาจากความไม่มีอะไร คือความว่าง แล้วก็มามีนั่นนี่ขึ้นมาตามลำดับ เช่นมีน้ำขึ้นมาแล้วก็มีเกิดสัตว์ในน้ำ จนกระทั่งเกิดปลา กระทั่งเกิดสัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบก กระทั่งเกิดสัตว์บก กระทั่งเกิดคน กระทั่งเกิดสัตว์ที่บินไปในอากาศ นี้เรียกว่ามาตามลำดับ มาตามลำดับ มากขึ้นแปลกขึ้น แต่ทีแรกแท้นั้น แต่ทีแรกเดิมแท้ทีเดียวนั้น ไม่มีอะไร มีแต่ความว่าง ฉะนั้นความว่างที่ไม่มีอะไรนั้นมันก็เรียกว่า ดีที่สุด ไม่มีความชั่ว ไม่มีความเลว ไม่มีบาป ไม่มีอะไรหมด ในทางวัตถุมันก็ยังเป็นอย่างนี้ ในทางจิตใจมันก็ต้องเป็นอย่างนี้ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตนี้เป็นประภัสสร แต่ว่าเพิ่งเศร้าหมองเมื่อกิเลสเกิดขึ้น สำหรับทางวัตถุนั้นก็เหมือนกัน ทีแรกมันก็ มันไม่มีอะไร มีแต่ความว่าง แล้วมันก็มีอะไรเป็นก้อน เข้มข้นเป็นก้อน เป็นโลกขึ้นมา ที่ร้อนเป็นไฟแล้วมันเย็นลง แล้วมันมีน้ำ แล้วมีสัตว์ที่เกิดในน้ำ แล้วมีสัตว์ที่ขึ้นมาบนบกตามลำดับ จนมามีสัตว์บก ก็กล่าวได้ว่าในทางวัตถุนั้น มันก็มีความดีมาก่อน เป็นความดีมาก่อน เป็นความชั่วมาทีหลัง ด้วยเหมือนกัน หมายความว่า ความสะอาด หรือความสงบนั้นมันมีอยู่ก่อน แล้วมันค่อยเป็นความวุ่นวาย เป็นความเดือดร้อนระส่ำระสายเกิดขึ้นทีหลัง สิ่งที่เรียกว่าความเจริญนั้น จึงได้แก่ความวุ่นวายและความเดือดร้อนนั่นเอง นี่ความเจริญอย่างสัตว์โลก ที่เป็นไปอำนาจกิเลสอย่างโลกๆ มันเป็นอย่างนี้ แต่เขาก็เรียกกันว่าความเจริญ ถ้าในทางธรรมจะไม่เรียกอาการอย่างนี้ว่าความเจริญ จะเรียกเอาความสงบ ความสะอาด ไม่ระส่ำระสายวุ่นวายนั่นแหละว่าเป็นความเจริญ นี้ถ้ามองดูกันในโลกในสมัยนี้เดี๋ยวนี้แล้ว ในทางโลกเขาก็ถือว่าโลกกำลังเจริญ เพราะมันมีอะไรแปลกๆ มากมายเกิดขึ้น มีวิชาความรู้มากจนจะไป จนไปดวงจันทร์ก็ได้อย่างนี้ แต่ในทางธรรมะนั้นไม่ถือว่าอย่างนี้เป็นความเจริญ เพราะว่ามันเดือดร้อนมากขึ้น ระส่ำระสายมากขึ้น โกลาหลวุ่นวายมากขึ้น ไม่มีความหยุดพักผ่อนมากขึ้น ทางโลกกับทางธรรม มองกันคนละแง่อย่างนี้เสมอไป แต่เราจะมองทีเดียวพร้อมกันทั้งสองอย่าง ก็มองไปในแง่ที่ว่า ความดีมีอยู่ก่อน ความชั่วมาทีหลัง ความสงบมีอยู่ก่อน ความโกลาหลวุ่นวายมาทีหลัง ถ้าอย่างไรก็นึกถึงปู่ย่าตายายในสมัยที่มี ความสงบ สะอาด บริสุทธิ์กันบ้าง ก็จะเป็นการชักจูงจิตใจให้ลูกหลานนี้หันไป รักความสะอาดและความสงบให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ อย่ามัวเดินดุ่มไปแต่ในทางที่ร่ำลือกันว่าเจริญ เจริญ เจริญ แล้วก็ไปสู่ความสกปรก และความเร่าร้อนมากขึ้น
วันนี้ก็เป็นวันทำบุญตายาย จะนึกถึงตายายกันในแง่ไหนก็ได้มีหลายแง่หลายมุม หลายสิบแง่หลายสิบมุมที่จะนึก แต่อาตมามาคิดว่ามานึกกันในแง่นี้แหละดี คือนึกกันในแง่ที่ว่า ความดีมาก่อน ความชั่วมาทีหลัง เป็นการง่ายที่เราจะเป็นคนดีคืออย่าไปทำความชั่วก็แล้วกัน ปล่อยไว้ตามเดิมมันก็ต้องเป็นความดี เพราะว่าความดีมีอยู่ก่อนแล้ว เหมือนพระพุทธเจ้าท่านว่าจิตนี้เป็นประภัสสร ปล่อยไปตามลำพังของจิตเถิด ที่มีความสะอาด มีความสว่าง มีความสงบอยู่ แต่ถ้าปล่อยให้กิเลสเกิดขึ้นครอบงำจิตแล้ว มันก็กลายเป็นนรกเป็นอบายขึ้นมาทันที กิเลสเมื่อครอบงำจิตแล้ว จิตก็สูญเสียความเป็นประภัสสร ไม่สะอาด ไม่สว่าง ไม่แจ่มใส ไม่รุ่งเรือง แต่กลายเป็นมืดมัวเร่าร้อนหม่นหมอง นั่นแหละคือนรกหรืออบาย คำว่านรกหรืออบายก็มีความหมายเป็นความเร่าร้อน เป็นความสกปรก เป็นความโกลาหลวุ่นวาย หาความสงบไม่ได้ เมื่อใดจิตมีกิเลสเกิดขึ้นครอบงำสูญเสียความเป็นประภัสสรแล้ว เมื่อนั้นก็มีนรกขึ้นมาแทน คนก็กลายเป็นสัตว์นรกไปจริงหรือไม่จริงลองคิดดู เพราะว่าเมื่อใดได้ปล่อยให้จิตเศร้าหมองด้วยอำนาจกิเลสแล้ว เมื่อนั้นคนก็กลายเป็นสัตว์นรกไป โลกนี้สำหรับคนนั้นมันก็จะต้องเป็นนรกไปด้วย คือกำลังเดือดร้อนอยู่ที่ไหน มันก็เป็นนรกอยู่ที่นั่น เดือดร้อนอยู่ในใจ มันก็เป็นนรกอยู่ในใจ เดือดร้อนอยู่ที่บ้านที่เรือน มันก็มีนรกอยู่ที่บ้านที่เรือน ไม่ว่าเดือดร้อนอยู่ที่ไหนมันก็ต้องมีนรกอยู่ที่นั่น ความชั่วเป็นของมาใหม่ก็จริงแต่มันยุ่งยากโกลาหลวุ่นวายอย่างนี้ ความดีมีอยู่ก่อนแล้ว ไม่มีอะไรที่จะต้องโกลาหลวุ่นวาย ฉะนั้นหยุดกันเสียบ้าง ก่อนที่จะทำอะไรไปตามอำนาจของกิเลส จะต้องนึกดูให้ดีว่าทำลงไปนี้ มันเป็นความดีหรือเป็นความชั่ว มันเป็นความสะอาดหรือความสกปรก มันเป็นความสงบเย็นหรือเป็นความเร่าร้อน ถ้าเป็นความเร่าร้อนแล้วอย่าเอาเลยจะดีกว่าแม้ว่ามันจะสวยงามจะสนุกสนานเอร็ดอร่อยสักปานใด ถ้ามันเป็นความเร่าร้อนแล้วอย่าเอาเสียเลยจะดีกว่า หันไปหาสภาพเดิมๆ ของธรรมชาติที่มีความว่าง ถ้ามีความว่างแล้วก็มีความสะอาด สว่าง สงบโดยไม่ต้องสงสัย จิตนี้เป็นประภัสสร คือว่างจากกิเลส ว่างจากตัวกู ว่างจากของกู มันก็มีความสะอาด สว่าง สงบ เรารักษาสภาพเดิมอย่างนี้ไว้ มุ่งหมายความเป็นอย่างนี้ไว้เป็นประจำก็จะอยู่สบายดี จะมีความเยือกเย็นทั้งทางกายและทางจิต และทางวิญญาณ
เราผู้เป็นลูกเป็นหลานโง่หรือฉลาดกว่าตายาย เป็นสุขหรือเป็นทุกข์มากกว่าปู่ย่าตายาย เอามาคิคดูกันในวันเช่นวันนี้แหละ เป็นทางถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะเป็นวันตายาย ถ้านึกได้อย่างนี้คิดไปๆ มันก็เห็นจริงในข้อที่ว่า ตายายไม่รู้หนังสือ ตายายมีผ้านุ่งผืนเดียวผ้าห่มผืนเดียว มีบ้านเรือนอยู่อย่างกระท่อม ไม่มีหนังไม่มีละครไม่อะไรดูอย่างคนสมัยนี้ แต่ว่าสบายที่สุด สะอาด สว่าง สงบอยู่ในจิตอยู่เสมอ เราก็ควรจะละอาย ควรจะละอายอย่างยิ่ง ควรจะละอายจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เกิดมาจากปู่ย่าตายายที่มีแต่ความสุขความสบาย แล้วมามีความเร่าร้อน ระส่ำระสาย เศร้าหมองอยู่ดังนี้ มันเป็นการขบถต่อปู่ย่าตายาย เป็นการอุตรินอกคอกนอกรีตจากปู่ย่าตายาย ดังนั้นมันจึงควรจะน่าละอาย ในข้อที่ว่ามันไม่สมกับที่เป็นลูกหลานของตายาย ผู้มีความสงบสุขเสียแล้ว ลูกหลานสมัยนี้อย่าอวดดีให้มากไป มองดูให้ดีๆ ในข้อนี้แล้วรีบทำเสียให้ถูก ทำเสียให้ถูกในข้อที่ควรจะทำ เมื่อรู้ว่าความดีมันมีอยู่ก่อน ความชั่วมันเพิ่งมาทีหลังแล้ว ก็อย่าไปทำมันเข้าก็แล้วกัน ก็สอนลูกสอนหลานที่กำลังมีอยู่เดี๋ยวนี้ ที่จะมีมาต่อไปข้างหน้า ให้รู้ความจริงข้อนี้ไว้ ให้รู้จักรักปู่ย่าตายาย แล้วเอาอย่างปู่ย่าตายายให้มากเข้าไว้ นั่นแหละคือความกตัญญูกตเวทีต่อปู่ย่าตายายเป็นอย่างยิ่ง การกตัญญูกตเวทีอย่างอื่นนั้น ก็ดีเหมือนกันแต่ไม่ดีมากเท่าทำอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เรามาทำบุญให้ปู่ย่าตายาย เอาของกินของใช้อะไรมาถวาย ในการบำเพ็ญบุญ นี้ก็เป็นการทำด้วยความกตัญญูต่อปู่ย่าตายาย มันเป็นบุญเป็นกุศลด้วยเหมือนกัน แต่อาตมาว่ายังไม่ดีเท่ากับที่เราจะทำอะไรๆ ให้เหมือนปู่ย่าตายาย ปู่ย่าตายายมีความสงบสุขอย่างไร เราจะมีความสงบสุขอย่างนั้น รักษาเกียรติยศของปู่ย่าตายายไว้ให้ได้ อย่างนั้นแหละเป็นการกตัญญูกตเวทีต่อปู่ย่าตายายอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าที่จะเสียเงินสักพันสักหมื่นมาทำบุญให้ตายาย ยังไม่ดีเท่าเราทำตัวเราเองให้ดีเหมือนตายาย หวังว่าท่านทั้งหลายทุกคนจะตั้งอกตั้งใจพิจารณาให้ดี สำรวมจิตสำรวมใจให้แน่วแน่ พิจารณาสอดส่องดูให้ดี ว่าปู่ย่าตายายเป็นอย่างไร เรากำลังเป็นอย่างไร เพราะว่าของชั่วนี้มันเพิ่งมีมาทีหลัง ของดีมันมีอยู่ก่อนแล้ว เราก็ไม่ยากที่จะทำให้ดี เพราะว่าเราเพียงแต่ป้องกันหรือว่าอย่าอุตริไปทำความชั่วเข้าเท่านั้น มันก็จะดีอยู่เองแล้วในตัวมันเองแล้ว มันไม่ยากเลย ปู่ย่าตายายเคยทำมาให้เป็นตัวอย่างแล้ว ในการที่จะมีกิเลสน้อย มีความอยากน้อย มีความปรารถนาต้องการน้อย ไม่ลุ่มหลงในสิ่งที่ให้ความเพลิดเพลินทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นผู้รู้จักทำกาย วาจา ใจ ให้สงบ เพราะว่าเป็นอยู่ได้ด้วยความสงบเราก็เป็นสุข โดยไม่ต้องลงทุนมากมายเหมือนคนเดี๋ยวนี้ อะไรก็จะต้องใช้เงิน แล้วก็ใช้เงินมากๆ เป็นหมื่นเป็นแสน เป็นล้าน จึงจะถือกันว่ามีความสุข ส่วนปู่ย่าตายายนั้น ไม่รู้จักใช้เงิน หรือแทบจะไม่มีการใช้เงินในสมัยโน้น แต่ก็ยังมีความสุข คือมีจิตใจสะอาด สว่าง สงบ กว่าคนในยุคนี้ซึ่งมีเงินมากเท่าไร ก็มีความสกปรกโสมม มีความมืดมัวหม่นหมองเร่าร้อนมากเท่ากับเงินที่มีมาก นี่แหละจริงหรือไม่จริงก็ลองไปคิดดูเองเถิด สำหรับอาตมามีความเห็นอย่างนี้ ว่าลูกหลานกำลังนอกคอก กำลังอุตริ วิ่งเข้าไปหาไฟหรือวิ่งเข้าไปหานรก ซึ่งยิ่งไปกว่าไฟ วิ่งเข้าไปหาความทุกข์เพื่อแผดเผาตัวเอง จึงสู้แม้แต่ปลาก็ไม่ได้ ซึ่งไม่สร้างอะไรที่เป็นกิเลสตัณหาขึ้นแผดเผาตัวเองมากเหมือนมนุษย์ และยิ่งกว่านั้นปลานั่นแหละเป็นจุดตั้งต้นของบรรพบุรุษแห่งสัตว์ทั้งหลายที่มีกระดูกสันหลัง หวังว่าจะได้สนใจในจุดตั้งต้นของบรรพบุรุษ ปู่ย่าตายายของเรามาตั้งแต่สัตว์ที่เรียกว่า ปลา นี้เป็นอย่างน้อย ถ้าใครเก่งกว่านั้น ก็มองยืดออกไปจนถึงว่าก่อนนั้นมันก็ไม่เคยมีอะไร โลกนี้เป็นความว่างอยู่ อย่างนี้ก็ยิ่งพบว่าไอ้ความว่างนี่แหละดีที่สุด มันไม่มีความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง มันไม่มีความเร่าร้อน ที่นี้ส่วนที่มันมาเกิดขึ้นมาใหม่นี้ มันเป็นเพียงความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่เข้าไปหุ้มห่อความว่าง เหมือนกับกิเลสที่เกิดขึ้นหุ้มห่อจิตที่เป็นประภัสสร ฉันใดก็ฉันนั้น เพราะเหตุฉะนั้นในทางวัตถุก็ดี ในทางจิตทางวิญญาณก็ดีมีหลักเกณฑ์อย่างเดียวกัน คือความดีมีอยู่ก่อน ความชั่วมาทีหลัง เราก็ระวังเพียงไม่ทำความชั่ว อย่าอุตริอย่าซุกซนไปสร้างความชั่วขึ้นมา มันก็จะดีอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับปู่ย่าตายายของเรา
วันนี้อุทิศวันทั้งวันนี้ให้เป็นเครื่องระลึกนึกถึงปู่ย่าตายาย ในลักษณะที่จะเป็นประโยชน์แก่เรา หรือจะช่วยไถ่ถอนความโง่ ความหลงของเราให้น้อยลงๆ กลับไปสู่สภาพเดิม คือความสะอาด ความเป็นประภัสสร หรือเป็นความว่างในที่สุด ให้สิ่งที่เรียกว่า ตัวกู ว่าของกูนี้ เบาบางลงไปตามลำดับ ตามลำดับ
เดี๋ยวนี้พิจารณาดูจะเห็นได้ว่า เต็มไปด้วยผลร้ายที่เกิดมาจากตัวกู ของกู ไปทั่วทุกหนทุกแห่งในโลก ลองหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านดูสักฉบับเดียวเท่านั้น ก็จะขนพองสยองเกล้า ในฤทธิ์เดชของสิ่งที่เรียกว่าตัวกู หรือของกู คือมีการฆ่ากันอย่างไม่มีความหมาย อย่างที่คนสมัยปู่ย่าตายายเขาจะไม่ฆ่ากันเป็นอันขาด ในเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงเท่านั้น ปู่ย่าตายายก็ยิ้มให้แก่กันและกันได้แล้วก็เลิกรากันไป ส่วนลูกหลานเดี๋ยวนี้อะไรนิดเดียวก็ฆ่ากัน แล้วก็เห็นการฆ่ากันเป็นของสนุกสนานไปเสียเลย นี่อีกทางหนึ่งก็ดูไปก็ยิ่งเห็นว่าอะไรๆ ก็โกงกัน ซึ่งสมัยปู่ย่าตายายไม่เคยโกงกัน มากกว่านั้นก็ไม่เคยโกงกัน เดี๋ยวนี้อะไรนิดหนึ่งก็โกงกัน แล้วก็โกงกันอย่างไม่มีขอบเขต ซึ่งปู่ย่าตายายก็ไม่เคยทำ เดี๋ยวนี้อะไรๆ นิดหนึ่งก็มีความหลงใหลมาก หมดเปลืองมาก ใช้จ่ายกันอย่างหมดเปลืองมาก ต้องลงทุนมาก จึงจะเรียกว่าอยู่ได้หรือเจริญ ปู่ย่าตายายไม่ได้ใช้เงินก็อยู่ได้โดยที่ไม่ต้องเดือดร้อนอะไร มีความพอใจอยู่ได้ตามที่ธรรมชาติได้อำนวยให้อย่างไร อยู่กัน ในสมัยนี้อยู่กัน เหมือนกับว่า จะเป็นเทวดาก็ไม่ใช่ จะเป็นสัตว์นรกก็ไม่ใช่ เพราะไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี การอยู่ เป็นอยู่ หรือวิธีการกิน การอยู่ของคนสมัยที่เจริญก้าวหน้านี้ เป็นสัตว์นรกก็ไม่ใช่ เป็นเทวดาก็ไม่ใช่ ที่ว่าเป็นเทวดาก็ไม่ใช่นั้น ก็เพราะว่าแม้ว่าจะมีการกินดีอยู่ดีอย่างไร จิตใจมันก็ยังร้อนเป็นสัตว์นรก แต่ที่ว่าเป็นสัตว์นรกก็ไม่ใช่นั้นก็เพราะว่ามันมีอะไรกินดีอยู่ดีมากกว่าสัตว์นรก นี้มันเป็นของแปลกของใหม่สำหรับลูกหลานสมัยนี้ แต่ว่าถ้าจะพูดให้ถูกก็เรียกว่ามันผลัดกันเป็นเทวดาชั่วโมงหนึ่ง แล้วก็สัตว์นรกชั่วโมงหนึ่ง หรือว่าเป็นสัตว์นรกตลอดวันเป็นเทวดาตลอดคืนอย่างนี้ก็ได้ มันแล้วแต่ว่าเวลาไหนมันมีจิตใจเป็นอย่างไร ถ้ามันสกปรกมืดมัวเร่าร้อนมันก็เป็นสัตว์นรก ถ้ามันสนุกสนานเพลิดเพลินไปมันก็เป็นเทวดา แต่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ข้ามพ้นเสียให้หมดอย่าเป็นสัตว์นรก อย่าเป็นเทวดา คือเป็นบุคคลผู้มีอิสระ อยู่เหนือความเป็นสัตว์นรก หรือความเป็นเทวดา คืออย่าไปหลงในสิ่งที่เป็นความเพลิดเพลิน แล้วก็ไม่สร้างสิ่งที่เดือดร้อนให้เกิดขึ้นมา แปลว่าเทวดาก็ไม่เป็น นรก สัตว์นรกก็ไม่เป็น ก็เลยได้เป็นพระอริยเจ้าชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งมีอยู่หลายระดับด้วยกัน มีความหมายสำคัญอยู่ตรงที่ว่า พระอริยเจ้านั้นมีความเห็นแก่ตัวน้อยลงๆ จนไม่มีความเห็นแก่ตัวเลย เป็นเทวดามีความเห็นแก่ตัวมาก มากอย่างยิ่ง เป็นสัตว์นรกก็ยังมีความเห็นแก่ตัวมากอีกแบบหนึ่ง ถ้าเป็นพระอริยเจ้าก็มีความเห็นแก่ตัวน้อยลง น้อยลง น้อยลง จนหมดความเห็นแก่ตัว ดังนั้นพระอริยเจ้าจึงไม่ใช่ทั้งสัตว์นรกและไม่ใช่ทั้งเทวดา นั่นแหละคือปู่ย่าตายายของเราแหละ ที่ไม่อยากจะเป็นทั้งสัตว์นรกไม่อยากจะเป็นทั้งเทวดา ก็อยากจะเป็นสัตบุรุษผู้สงบเสงี่ยมอยู่ในธรรม ตามแบบของพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงสั่งสอนไว้อย่างไร ที่ปฏิบัติแล้วจะเป็นไปเพื่อความเป็นพระอริยเจ้า คิดดูให้ดีเถิดปู่ย่าตายายของเรา ท่านเดินดุ่มไปในทางของพระอริยเจ้า ส่วนลูกหลานสมัยนี้กลางคืนเดินดุ่มไปในทางเป็นเทวดา กลางวันเดินดุ่มไปในทางเป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์นรกเป็นเทวดาสลับกันไปอย่างนี้ แล้วมันเหมือนกันได้อย่างไรกับปู่ย่าตายาย ในสมัยที่มีแต่ความตั้งอกตั้งใจจะเดินตามทางของพระอริยเจ้า ตามอริยมรรคมีองค์แปดประการเท่านั้น ไม่คำนึงถึงว่าจะมีผ้านุ่งกี่ผืน จะมีตึกอยู่สักกี่หลัง จะมีอะไรๆ มากมายเท่าไร อย่างนี้ก็ไม่ได้สนใจ สนใจแต่เรื่องความสะอาด สว่าง สงบ เดินอยู่ในอัฏฐังคิกมรรคเพื่อไปสู่ความสะอาด สว่าง สงบ อยู่กระท่อมเหมือนกับว่าสมัยคนป่าอยู่รู อยู่รัง อยู่รู แต่ว่าจิตใจก็เป็นจิตใจของพระอริยเจ้าอยู่นั่นเอง คนที่อยู่ตึกขี่รถยนต์หรืออะไรๆ นั้นอย่าได้ไปถูก อย่าได้ไปดูถูกปู่ย่าตายาย ว่าเป็นคนโง่เขลาหรือเป็นคนต่ำต้อยครึคระ อะไรให้มากมายนัก ดูความเป็นสัตว์นรกของตัวเองนั่นแหละให้มาก หรือว่าอย่างดีที่สุดก็ว่า ความเป็นเทวดาผู้มากไปด้วยความเห็นแก่ตัวของตัวเองนั่นแหละ ดูให้มาก มันกำลังเผาตัวเองอย่างไร ทำปัญหาทำความทุกข์ให้เกิดขึ้นในโลกนี้อย่างไร แล้วก็ดูให้มากๆ ในที่สุดก็จะได้รับประโยชน์ เพราะว่าทำดีทำถูกตามที่ปู่ย่าตายายเคยทำ ไม่เสียทีที่เป็นลูกหลานของปู่ย่าตายายที่เคยดีมาก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วก็เป็นลูกกบฏ ลูกนอกคอก ลูกทรยศ ทำชื่อเสียงของปู่ย่าตายายให้เสียไป ทำชื่อเสียงของความเป็นสัตบุรุษพุทธบริษัทของปู่ย่าตายายให้เสียไป แล้วก็มานั่งอวดอยู่ได้ว่าตนเป็นคนดีมีความเจริญ เป็นสัตว์นรกครึ่งหนึ่ง เป็นเทวดาครึ่งหนึ่งซึ่งมีความหมายเพียงเท่านั้น จะเรียกว่าความเจริญไปไม่ได้ ต่อเมื่อเป็นพระอริยเจ้าหรือว่ากำลังเดินไปในทางของพระอริยเจ้าเท่านั้น ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้เจริญ ทุกคนต้องการความเจริญก็จงได้พิจารณาดูเรื่องนี้ให้ดีๆ แล้วก็ดูในข้อที่ว่า อย่างไรๆ เสียความดีมันมาก่อน ความดีมีอยู่ก่อน ความชั่วมาทีหลัง ตั้งกำแพงกั้นไว้อย่าให้มันมา คืออย่าไปสร้างมันขึ้น มันก็จะดีอยู่ตามเดิม เท่านั้นเอง ไม่ยากไม่ลำบากมากมายเหมือนที่คิดนึกกัน กลัวกันล่วงหน้าว่าจะไปนิพพานนี้ไม่ไหว เมื่อไปนิพพานไม่ไหวเสียแล้ว มันก็ไม่รู้จะไปไหนนอกจากไปเป็นสัตว์นรกหรือเป็นสัตว์เทวดาสองอย่างเท่านั้น ถ้าไม่สมัครเลือกเข้าข้างนิพพานตามแบบอย่างของพระอริยเจ้าแล้ว ก็ต้องไปเป็นสัตว์นรก หรือไปเป็นเทวดา พวกใดพวกหนึ่งในสองอย่างนั้นเท่านั้น จะเอาอย่างไรกันแน่ก็ลองคิดดูให้ดี ถ้าเห็นว่าเป็นสัตว์นรกก็ไม่ไหว เป็นเทวดาก็ไม่ไหว เลือกเอาข้างนิพพานแล้ว ก็ไม่มีอะไรนอกจากตั้งตนอยู่ให้ดีๆ อย่าไปทำความชั่วเข้า มันก็ค่อยเป็นนิพพานมากขึ้นๆ จนเป็นนิพพานที่แท้จริง เป็นนิพพานที่ถาวร เป็นนิพพานที่เด็ดขาด หมายความว่าดำรงตนอยู่ด้วยความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัวนี้แหละ เรื่อยไป ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันเกิดไม่ได้ คนเราถ้าไม่เห็นแก่ตัวแล้ว ความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิดไม่ได้ ไปดูเองก็จะเห็นได้ ไม่ต้องอธิบายกันมากนัก พอความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นเท่านั้น เดี๋ยวก็โลภ เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็หลง ทำลายความเห็นแก่ตัวไปเรื่อยๆ นี่แหละเป็นการเดินตามทางของพระอริยเจ้า คือเดินไปตามทางของนิพพาน นิพพานแปลว่าดับ ถามว่าดับอะไร ก็ดับความเห็นแก่ตัว คือดับกิเลส ดับตัวกู ดับของกู ดับกิเลสแล้วก็ดับไฟ คือความทุกข์ได้ นิพพานแปลว่าดับ หรือว่าเย็น เป็นเหตุก็แปลว่าดับ เป็นผลก็แปลว่าเย็น เพราะว่าเราดับของร้อนเสียได้แล้วมันก็เกิดความเย็นขึ้นมา ฉะนั้นดับกิเลสตัณหาซึ่งเป็นของร้อนเสีย ก็มีความเย็นเพราะไม่มีกิเลสตัณหาเกิดขึ้น ก็เป็นนิพพาน อย่างนี้มันต่างกันไกลกับที่จะเป็นสัตว์นรก หรือเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือเป็นเปรต หรือเป็นอสุรกาย หรือเป็นเทวดาในสวรรค์ ซึ่งล้วนแต่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ไม่เคยบรรเทาความเห็นแก่ตัวเลย เพราะฉะนั้นสัตบุรุษในพุทธศาสนาเท่านั้นที่จะเป็นการบรรเทาความเห็นแก่ตัว ทำไปถึงขนาดหนึ่งขนาดที่สมควรแล้วก็กลายเป็นพระอริยเจ้า จนเป็นพระโสดาบัน แล้วก็เป็นพระสกิทาคามี อนาคามี และเป็นพระอรหันต์ในที่สุด ตามแต่ว่าจะละความเห็นแก่ตัวได้มากน้อยเท่าไรนั่นเอง หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้พิจารณาดูให้ดี โดยนัยดังที่ได้กล่าวมานี้ โดยอ้างเอาคุณของปู่ย่าตายายแต่หนหลังมาเป็นเครื่องสนับสนุน มาเป็นเครื่องให้กำลังใจ ว่าท่านเดินกันไปได้แล้วลูกหลานจะมัวโง่อยู่ที่นี่นั้นมันไม่สมกันเลย ควรจะเดินตามไปได้ด้วยความสงบสุข ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นลูกหลานของตายายในฐานะของมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาด้วยกันจงทุกคนเทอญ ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
นาทีที่ 56.07-56.32 เสียงญาติโยมพูด
นั่นแหละมันก็สู้ตายายไม่ได้ สู้ตายายไม่ได้ ตายายไม่มีรถยนต์ขี่นะ ไม่มีตึกอยู่นะ ไม่มีแต่งตัวสวยๆ ไม่มีผ้านุ่งผ้าห่มอะไร ตายายจึงไม่ ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ที่สราญรมย์แหละ ไม่ต้องไปพยาบาล โรงพยาบาลโรคประสาท สมัยนี้ไปบางกอกกันเรื่อย เรื่อย เรื่อย ไปโรงพยาบาลประสาท ไปโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ ตาย ยิงกันตายสักคนนี้เป็นเรื่องพิเศษที่สุดนะ สมัยนี้ยิงกันตายสักร้อยคนก็ไม่เห็นว่ามันแปลกอะไร เป็นของธรรมดา
ว่าไง ฉีดยาให้คนแล้วหรือ เขามาฉีดยาให้นะ ฉีดกันแล้วทุกคนเหรอ พี่กุ้งฉีดหรือเปล่า อาอี๊ดล่ะ ฉีดหรือเปล่า อาอี๊ด ฉีดยาหรือเปล่าเมื่อเดี๋ยว อ้าว, ทำไมไม่ฉีดล่ะ เขามาฉีดให้ถึงที่แล้วไม่ฉีด
คนมันไปกันมา มา มา ทั่วโลก เพราะว่าเขามีเรือบินนั่นแหละ คนไปมากันทั่วโลก แล้วแพร่ คนมันเอาอหิวาต์มาจากอินเดียมาบางกอกเมื่อไหร่ก็ไม่ทันรู้ มาจากเมืองจีนก็ได้ มาจากไหนก็ได้ เพราะคนไปมากันยุ่งทั่วโลก อหิวาต์เป็นที่เมืองแขกเมืองฝรั่งนู่น แล้วเอามาให้เมืองไทยได้ในชั่วโมงเดียวแหละ เพราะฉะนั้นโรคภัยสมัยนี้มันจึงมาก ต้องแก้ไขต้องป้องกันลำบากมากกว่าตายายแหละ สมัยตายายไม่ไปไหนมาไหนกันนี่ ไอ้โรคมันก็ไม่มาแหละ สมัยนี้มาจากเมืองฝรั่งอึดใจเดียว ก็พาโรคมาได้ นี่เขาให้ฉีดยาก็ฉีดเสียเถอะ เขาไม่เอาตังค์นี่ เขาไปเสียแล้วเหรอ อื่อ, เหลวไหลเอง ลูกหลานเหลวไหลเอง หา, ที่ตรงนู้น ที่ข้างที่ทำบุญนะ หา, อ้าว,ทำไมที่ถัดออกมาอีกนิดนั่น เขาคอยฉีดอยู่ แต่ไอ้นี่ไม่ฉีดเองนี่ เดี๋ยวต้องไปฉีดสุขศาลาแหละ ไปฉีดเถอะเดี๋ยวเขาจะไปเสีย โรคอยู่ที่ต่างประเทศมาหาเราได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง นั่นแหละว่าแต่เพื่อน ทำไมไม่ฉีด ขี้เกียจฉีด วันศุกร์ วันศุกร์หมอยูรเขามาฉีดแหละ วันศุกร์ไปที่ตึกอาพาธ ตึกพระอาพาธ ให้ทานยาดูสักพักจนกว่าจะหมดทุน หมดทุนเลยแหละ เวลานี้กำลังให้ทานยา ใครไม่สบาย ให้หมอตรวจ และให้ยากินยาฉีด นู่นดูสิ ใส่มาดีแล้วเหรอ (นาทีที่ 1:02:25 –1:02:26 ไม่แน่ใจ “ใส่มาดีแล้วเหรอ”) นู่นดูสิ ตายายกับลูกหลาน นั่นตายายแล้วก็ลูกหลานอยู่กลาง เห็นแล้วยัง ตายายมันต้องใหญ่ดี ดีกว่ามากเลยแหละ ตายายมันใหญ่ ลูกหลานมันนิดเดียว ไม่มีอะไร (นาทีที่ 1:03:05 – 1:03:06 เสียงขาด)ตายายกันสักทีก็ยังดี ดีกว่าเปล่า มันเป็นของดีของเราวัฒนธรรมของเราวันตายายนี่แหละ ทั่วโลกเขามีวันอื่นนู่น คุณดูสิ วันกรรมกรนู่น วันนายทุน วันกรรมกร วันสหประชาชาติ วัน ไม่มีวันตายาย เรามี เรารักษาวันตายายไว้ที นึกถึงผู้มีบุญคุณ นึกถึงผู้มีบุญคุณปีละครั้ง ปีละครั้ง เป็นพิเศษ นอกจากนั้นนึกถึงอย่างธรรมดาทุกวัน ทุกวัน ตายายนี้มันสำคัญนะ ไม่ใช่วันกินขนมกันสนุกๆ วันที่ว่าเราใช้หนี้บุญคุณ เป็นหนี้บุญคุณ ใช้หนี้บุญคุณ ไม่ใช่วันกินขนมกันสนุกๆ นะ สนุกๆก็ มันก็ยังไม่รู้สาระอะไร ตายายกินขนมกันสนุกๆ มีมากจนหมาก็กินไม่หมด ต้องมานึกถึงบุญคุณตายายนะ นี่มาเที่ยว ดู วันตายายอย่าคิดเรื่องอื่น หลับตาคิดแต่เรื่องตายาย ถ้าพูดก็พูดเรื่องตายาย คิด คิดถึงตายาย นั่ง นั่งให้นิ่งๆ แล้วคิดถึงตายาย นั่นแหละทำบุญ ทำบุญกันจริงๆ ทำบุญแท้จริง ผู้ที่ให้ชีวิตมาตามลำดับ ตายายนะ ให้ชีวิตกันมาตามลำดับ เกิดกันมาตามลำดับ ถ้าเราไม่มีตายายเราเกิดมาได้เหรอ เด็กรุ่นหลังนี่อย่าว่าตายาย พ่อแม่ก็ยังไม่นับถือเลย พ่อแม่ก็ยังไม่ค่อยจะเคารพนับถือกันเลยอย่าว่าแต่ตายาย พอไม่ได้อย่างใจโกรธพ่อแม่ มันต้มพ่อแม่สุกเลย เด็กสมัยนี้ ต้มพ่อแม่สุกเลย
จะไปแล้วเหรอนั่น พวกบ้านทุ่ง (นาทีที่ 1:06:47 ไม่แน่ใจครับ อาจหมายถึงพวกที่อยู่ ตำบลทุ่ง อำเภอไชยาครับ)จะไปแล้ว ไกลเหรอ เอาเถอะ ทีนี้ก็ไปเถอะ จะเอาอะไรบ้างก็บอกมา วันนี้ไม่ได้หาอะไรมาแจก หนังสือหนังหา แต่ว่าพูดนี่ก็พอแล้วแหละ จำได้สองสามคำก็เยอะแล้ว แล้วก็เอาไปคิดตลอดคืนนี้นะ นั่งสำรวมให้ดี ตั้งใจให้ดีเหมือนกับว่าพ่อแม่ปู่ย่าตายายมา มาเยี่ยมเรา มานั่งพูดกับเรา มาเตือนเรา อะไร ฉันก็ถือโอกาสทำเหมือนกับว่า ย่ายายอะไรนี่ เคยพูดอะไรกับเรา เคยให้อะไรเรากิน ก็เลยเอามานึกหมดวันนี้นะ ซึ่งคุณก็เหมือนลองนึกดู ดี ดีกว่าไม่นึกนะ เมื่อเล็กๆ ที่ตามหลังยายตามหลังทวด ไปไหนมาไหน ให้กินอะไร อะไรนี่ ดีนะ มันจะ มันจะช่วยกำกับจิตใจของเราไว้ไม่ให้เขว ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง ฉันเมื่อเล็กๆหิ้วกระเช้าหมาก กับย่าไปวัดล่างฟังเทศน์ที่พุมเรียง พุมเรียงนะ จำได้ติดตาตลอดพรรษานี่ กระเช้าหมากพอจะหิ้วรอด ฉันมันยังเล็กนี่ พอไปถึงวัด วัดล่าง เขายังไม่เทศน์กันนี่ ไปก่อนเวลานี่ ฉันก็ไปเล่นเหมือนเด็กๆ ย่าก็ถอนหญ้า ถอนหญ้าที่ข้างกำแพง จนกว่าเขาจะมากันพอ แล้วเทศน์ พอฟังเทศน์กันเราก็ เล่นข้างล่างเหมือนเด็กๆ พอเทศน์เสร็จกลับบ้านก็หิ้วกระเช้าหมากกลับบ้านเหมือนเดิม
ไม่มีอะไร บ้าๆ บอๆ เหมือนเด็กสมัยนี้นะ มันไม่มีอะไร บ้าๆ บอๆ เหมือนเด็กสมัยนี้ ไม่เหมือนเด็กสมัยนี้ ไม่เหมือนเด็กสมัยนี้ มันไม่ มันไม่ มันไม่ตามหลังยายไปฟังเทศน์กันเลยนี่ ความเจริญ ความเจริญ สมัยใหม่ เปลี่ยนจิตใจของคน เปลี่ยนจิตใจของคน เด็กอะไรมันจะมาช่วยหิ้วกระเป๋าหมากตามหลังยายล่ะ ไปที่ดูหนัง ไปที่ ไปทำอะไรต่ออะไรที่ไม่ดี มันมีเรื่องมากนะเด็กทุกวันนี้ หรือว่ามันจะไปเที่ยวหาตังค์หาเงิน หรือว่าไปเที่ยวทำอะไรต่ออะไรที่ให้ได้เงินนี่ ตามความอยากและตามก้นฝรั่ง คนหยูเครงคนปัจจุบันนี่ เดินตามก้นฝรั่ง เอาอย่างฝรั่งนี่แหละ ตามก้นฝรั่ง มันจึงเป็นอย่างนี้ เอาดีเอาสวยเอาสนุกเอาเก่งเอาอะไรอย่างฝรั่งนะ แล้วบ้าทั้งนั้น เรื่องให้หลงใหลในเรื่องเอร็ดอร่อยสนุกสนานทั้งนั้น เวลานี้ ที่เขา เขาถือกันว่าชั่วสมัยก่อน มันไม่ชั่วแล้วนี่ ฝรั่งนะ พวกฝรั่งนะ ไอ้ที่เรา ปู่ย่าตายายเราถือกันว่าเลวมันชั่วมันลามก มันอะไร มันว่าไม่ลามกไม่ชั่ว ผ้าก็ไม่นุ่งกันแล้ว นั่นน่ะตามก้นฝรั่ง เด็กๆ มันตามก้นฝรั่ง มันอยากให้นุ่งผ้าเหมือนฝรั่ง มันอยากทำอะไรให้เหมือนฝรั่ง มันก็เกิดเรื่องขึ้นมา ว่าเขาหลอกนั่น ไม่รู้ว่าเขาหลอก แต่คนก็แต่งตัวไม่เรียบร้อยนั่น คนไม่นึกนะ มันบาป บาปทุกลมหายใจเข้าออก บาปข้อไหนนะคุณว่า ที่คุณเข้าใจ ที่บอกว่าพูดไม่ได้ มันหลอกลวงกันนี่ มันหลอกลวงกัน ให้แต่งตัวให้คนเห็นแล้ว นั่นน่ะมันหลอกลวงกันนี่ มันบาปทุกลมหายใจเข้าออก การที่แต่งตัวให้มันแบบนั้นน่ะนะ กระโปรงสั้น กระโปรงอะไรนี่ มันบาปทุกลมหายใจเข้าออก มันเอาเจตนาเอาของนี้หลอกลวง หลอกคนที่ดู หลอกคนหนุ่ม ผู้หญิงก็หลอกผู้ชาย ผู้ชายก็มาหลอกผู้หญิง มันเหมือนกับว่าตั้งใจจะตกเบ็ดเขาตลอดเวลา เอาคำนี้ ตกเบ็ดอยู่ตลอดเวลา มันก็บาปตลอดเวลา เป็นคนลวงตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าออก แล้วพอมันนุ่งห่มอย่างนั้นเข้า มันก็คือบาปตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าออก มันไม่รู้นะ เขาว่าสวยว่าโก้ว่าทันสมัย แล้วที่นี้คนแก่ๆ ที่บางกอกก็มีโง่อยู่ฝูงหนึ่งนะ สนับสนุนนะ คนแก่ๆนี่แหละ สนับสนุนให้เด็กๆ นุ่งแบบนี้ แต่งแบบนี้ มีแบบนี้ ก็เด็กๆ มันก็เลยได้ใจได้เพื่อนได้หลักฐาน ที่จริงมันบาปตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าออก การกระทำอะไรด้วยเจตนาจะตกเบ็ดคนอื่นนะ โอ้, มันมาจากเมืองนอก เมืองนอกเขาก้าวหน้า เมืองไทยนี่ตามหลังเขา ตามก้นฝรั่ง เลยเข้าใจผิดว่าดี ไม่เท่าไรก็มาถึงบ้านเราแหละ ก็ได้เห็นกันละ ไอ้การที่ลุ่มหลงไปตามแบบนี้แล้วมันทำให้ลืม ลืมธรรมะ ลืมความถูกต้อง ลืมธรรมะ ทั้งหญิงทั้งชาย คราวนี้ก็เลยเบียดเบียนกันแหละ เพราะกิเลสมันเป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว มันจะเอาเป็นของตัวเรื่อยไป ก็เบียดเบียนกันเรื่อย สิ่งที่ไม่เคยมี นี่แหละสิ่งที่ไม่เคยมี มันมีขึ้นมา ปู่ย่าตายายไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้ อย่าว่าสิ่งเหล่านี้เลย รถไฟก็ไม่เคยเห็น รถยนต์ก็ไม่เคยเห็น น้ำแข็งก็ไม่เคยกิน มันทั้งโง่ทั้งบ้าแหละ ไม่ใช่ว่าแต่โง่ เพราะมันเฝือเข้าไปหาความทุกข์ ไม่เรียกว่าทั้งโง่ทั้งบ้าได้อย่างไร ไอ้สิ่งแบบนั้นมัน มันไม่ได้ช่วยให้คนมีความสุข มันทำให้คนยุ่งมากขึ้นนี่ ไม่ควรจะยุ่งก็ยุ่งนี่ ไม่ควรจะไปเมืองนอกก็ไป มันบ้าชัดๆ ช่วยสร้างแต่เรื่องยุ่งขึ้นมา ไม่ใช่ความสงบสุข ถึงจะไปรู้ ไปรู้จริง ไปอะไรจริง ก็มันไม่ ไม่มีประโยชน์อะไร มันยุ่งเปล่าๆ เขาไปพระจันทร์ คุณเชื่อเหรอ วันก่อนเขาไปดวงจันทร์ไปเหยียบดวงจันทร์ คุณเชื่อเหรอ ว่าเชื่อเถอะ ฉัน ฉันรับรองได้ว่าจริงแหละ จริงแหละ คุณอย่าสงสัยเลยว่าเขาเล่นกลเลย จริงแหละ แต่มันไม่มีประโยชน์อะไรนี่ ไม่มีประโยชน์อะไร มันบ้าชัดๆ มันบ้าเปล่าๆ มันไม่มีประโยชน์อะไร จริงนะไม่ใช่หลอก ไม่ใช่ ไม่ใช่เล่นกล ไปจริง เหยียบจริงนะ แต่มันไม่มีประโยชน์อะไรนี่ อ้าว, คุณเชื่อเถอะ ว่าจริง ไม่ใช่เขาหลอก ไม่ใช่ ได้ไปเหยียบดวงจันทร์นะจริง แต่มันน่าหัวเราะ มันไม่มีประโยชน์อะไร มันบ้ามาก แล้วต่อไป มันไปได้หมดแหละ พระจันทร์ พระอังคาร พระอะไร มันนานข้างหน้า ไปได้หมดแหละ แล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่มีประโยชน์อะไรนี่ ไม่ได้อะไร ไม่มีประโยชน์อะไร พระพุทธเจ้าว่าไอ้ที่ไม่มีประโยชน์อะไรไม่ต้องทำ ทำแต่ที่มันมีประโยชน์เถอะ แล้วเปลืองมาก เปลืองที่สุด ฉันอ่านหนังสือที่เขาเขียนว่า จ่ายเงินสี่แสนล้านถ้าคิดเป็นเงินไทย สี่แสนล้านบาท ล้าน ล้าน ล้าน ล้าน สี่แสนที ไปพระจันทร์ได้ ต้องใช้เงินทั้งหมดนู่นนี่นั่นทุกอย่างทุกสิ่งเลยนะ ไอ้พวกที่ไปนี่มันต้องทำอะไรทั่วโลกไปให้พลอยช่วยกัน พลอยส่งข่าวส่งอะไร ไม่งั้นแบบนั้นมันไปไม่ได้ ทั้งหมดนะใช้เงินสี่แสนล้าน นี่เอามาทำให้คนสบายเสียอย่ารบอย่ารากันยังดีกว่า เอามาซื้อยาแก้โรคปากขอเหมือนที่หมอยูรว่า ยังดีกว่า ดีกว่าเอาไปเหยียบดวงจันทร์ ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ถึงว่ารู้ว่าดวงจันทร์มีอะไร อะไร ก็ไม่พอ ไม่คุ้ม ไม่มีประโยชน์อะไร คนยังไม่มีข้าวจะกินยังอดตายยังเจ็บยังไข้ยังอะไรต่ออะไร ก็ ไม่มี ไม่ปราณี จะเอาเกียรติไปเหยียบดวงจันทร์ ข่มขู่ข่มขวัญ ข่มขวัญผู้อื่น อเมริกาทำได้ข่มขวัญรัสเซีย รัสเซียทำได้ข่มขวัญอเมริกาอยู่กันแต่แบบนี้ มันบ้าไปในทางไม่มีประโยชน์ โลกมันถึงเป็นแบบนี้ ถ้าบ้าในทางที่มีประโยชน์ โลกก็เป็นแบบอื่น สบายกว่านี้ คิดมาได้นะ หมายถึงในโลกแต่ว่ามันไม่ใช่พระอาทิตย์นะ ไอ้ดาวอื่นๆ ที่มัน มันเย็นนะไม่ใช่ที่ร้อน ที่เป็นไฟไปไม่ได้หรอก ถึงแม้พระจันทร์ก็ยังไม่มีประโยชน์อะไร เวลาวันกลางวันก็ร้อนเหมือนกับไหม้ กลางคืนก็เย็นยิ่งกว่าน้ำแข็ง อยู่ไม่ได้ ที่โลกพระจันทร์มันอยู่ไม่ได้ ก็ต้องลงทุนทำเสื้อ เรียกว่าเสื้ออะไรนะ ชุดเกราะ หุ้มตัวไว้ หุ้มตัวไว้รอบทุกด้าน แล้วให้อากาศอะไรเหมือนกับ เหมือนในโลกเรานี่อยู่ในเสื้อ อยู่ในเสื้อนั่นแหละ ข้างนอกนั้นเป็นอากาศแบบอื่น ที่เป็นอากาศที่ร้อนก็ร้อน เย็นก็เย็นนั่นแหละ ตายเลยนะถ้าเสื้อนี่ขาดก็ตายเลย มันใส่ ใส่เกราะนี่หุ้มตัวเอาไว้ อุณหภูมิเท่านี้เหมือนกับเราอยู่ในโลกนี้ ร้อนเท่านี้ อากาศ Oxygen เท่านี้ อะไรเท่านี้ ที่เราใส่กันในนี้นี่ แล้วลงไปเดิน เดี๋ยวใจนะ แล้วก็รีบกลับ เหาะกลับ ถอดเสื้อนี่ไม่ได้ถอดเสื้อนี่ก็ตายทันที บ้าเปล่าๆ มันไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ใช่ไปอยู่ได้ หรือว่าจะไปทำไร่ทำนาอะไรได้ แต่ว่ารู้ ได้รู้ รู้ รู้ รู้ก็รู้แต่ไอ้สิ่งที่ไม่ทำสันติภาพ ถึงจะรู้อะไรมากมายขนาดไหนถ้ามันไม่สร้างสันติภาพแล้ว มันก็เรียกว่าไม่มีประโยชน์
เขาเรียกว่าอนุตตริยะ อนุตตริยะ ๖ ได้ยิน ได้ฟัง ได้ดม ได้กลิ่น ได้อะไร ที่เป็นประเสริฐหมายความว่ามันต้องดับ ดับกิเลส ถ้าว่าได้เห็นได้ยินได้ฟังที่ส่งเสริมกิเลส มันบ้า จะมีเท่าไรมากมายเท่าไรก็บ้า ยิ่งบ้าเท่านั้น เพราะมันไม่มีประโยชน์นี่ เช่นในเวลานี้ ก็ไม่เอาหรอก เช่นว่าเขาชวนไปโลกพระจันทร์นะ กับชวนไปหาพระพุทธเจ้านี่ ไปโลกพระจันทร์ทั้งนั้นแหละ ถ้าว่าเลือกได้ ชวนให้ไปได้เลือกได้ ไปโลกพระจันทร์กันหมด คนไม่ไปหาพระพุทธเจ้า ก็ไปหาพระเยซูนี่สำหรับฝรั่งนะ ไม่ไปหรอก ไปโลกพระจันทร์ไปโลกอะไรแปลกๆนู่น หันหลังให้พระเยซู หันหลังให้พระศาสดา หันหลังให้ศาสนาก็ไปทางนู่นแหละ ไปข้างที่ไม่รู้ว่าอะไร ก็อยู่ที่นี้นี่ คุณดูสิไอ้ความทุกข์มันอยู่ที่นี่ ดับทุกข์ต้องดับที่นี่ ธุระอะไรต้องดับที่โลกพระจันทร์ เมื่อความทุกข์มันอยู่ที่นี่ ต้องดับทุกข์ที่นี่แหละ จะไปบ้าดับที่โลกพระจันทร์ได้ยังไง ความทุกข์มันอยู่ในตัวมันต้องดับที่ในตัว มันต้องไปในตัว เข้าไปในตัวแหละ จึงจะดับทุกข์ได้ นั่นจะบ้าไปดับที่โลกพระจันทร์ ไปหาวิธีที่ข้างนอก ไม่มีประโยชน์ มันไม่ดับทุกข์ เรื่องไม่ดับทุกข์ถือเป็นเรื่องบ้าทั้งนั้น ยิ่งทำยิ่งยุ่ง ยิ่งทำยิ่งยุ่ง ถือเป็นเรื่องบ้าทั้งนั้น ไอ้เรื่องที่ทำแล้วดับทุกข์นั่นแหละดี เรื่อง เรื่อง เรื่องธรรมะเรื่องพระธรรม พอทำแล้วดับทุกข์ ทำแล้วดับทุกข์ ทำแล้วดับทุกข์ เอ่อ, ดี นี่ไม่รู้ทำทำไมทำบ้าๆ ยุ่งไปหมด พลอยเสียเวลากัน วันนั้นไม่ต้องทำอะไรแหละ นั่งดูโทรทัศน์กันทั้งวัน บ้าทั้งนั้น แล้วก็ไม่เห็นได้อะไร นี่เขาว่าคนมีโทรทัศน์นะ ทั่วโลกนั่งมองโทรทัศน์กันทั้งวัน บ้ากันขนาดนั้น ทั้งโลกแหละ ทั้งโลกแหละ วันนั้นไม่ได้ทำอะไรกัน นั่งดูโทรทัศน์ แล้วบ้ากว่านั้นนะ มีนะ มีคนตั้งบริษัทขึ้น รับประกันว่าเอาเงินมาให้เขานะ เท่านั้นเท่านี้นะ แล้วเขารับรองว่าพอไปโลกพระจันทร์ได้แล้ว คนนี้จะได้มีโอกาสจองที่ดิน จองที่ดินในโลกพระจันทร์เท่านั้นเท่านี้แหละ มันโง่เอาเงินไปให้ คิดดู ให้บริษัทที่ตั้งขึ้นมานี่ ที่ญี่ปุ่นเขาว่า ที่ญี่ปุ่น ตั้งบริษัทขึ้นรับประกันว่าเอา เอามาให้ฉันเท่านั้น เท่านั้น เท่านั้น แล้ว แล้วพอเขาไปโลกพระจันทร์ได้ คุณได้สิทธิที่จะไปเอาเนื้อที่เท่านั้น เท่านั้น ฉันรับรอง บริษัทรับรองว่าคุณต้องไปจองที่พระจันทร์ได้เท่านั้น ให้เงินไป นี่มันบ้าถึงขนาดนี้ ถ้าไม่เรียกว่าบ้าจะเรียกว่าอย่างไรล่ะ มันหวังนี่ มันหวังจนบ้านี่ แล้วไม่รู้ว่าไปอยู่ทำอะไรอยู่ไม่ได้นี่ จะเอาเหรอ จองเหรอ จองที่เหรอ ทั้งที่รู้ว่าอยู่ไม่ได้นะ ร้อนเหมือนกับไฟไหม้ กลางวันนะ แล้วกลางคืนเย็นกว่าน้ำแข็ง ไอ้โลกพระจันทร์ไปอยู่หรือ นั่นละมันยังหวังว่าจะมีประโยชน์อยู่แหละ มันยังหวังว่าจะดีจะมีประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งนั่นล่ะ มันบ้ารวย บ้าเงิน บ้าหวัง ใช่ มันเก่ง มันอวดเก่ง ว่าถ้าเราเก่งขนาดนี้แล้วคนอื่นต้องกลัว มันไม่มีใครกลัวใครหรอก ตายก็ไม่กลัว นี่คุณดูสิ อเมริกันนะ วิ่งหางหดกลับบ้านเลย เหลือป่วยๆ อยู่กันไม่กี่คน มันรบเรื่อยไป พวกญวนรบเรื่อย อเมริกันนี่ขนทหารกลับบ้านแล้ว ทั้งที่ว่าไปโลกพระจันทร์ได้ก็ยัง ยังต้องขนทหารกลับบ้าน ดูสิพวกญวน เอ้า, มันไม่มีสุดหรอก ไอ้เรื่องที่รบกันมันไม่มีสุด เพราะว่าถ้ายังมีความเห็นแก่ตัวอยู่มันต้องเกิดเรื่องไปแหละ เกิดตรงนั้น เกิดตรงนี้ เกิดตรงนั้น ไม่มีสิ้นสุด โลกก็มันอย่างนี้เอง ยิ่งมัวเมาในทางเห็นแก่ตัวกันแล้วยิ่งแรงขึ้น แรงขึ้น แรงขึ้น เมื่อก่อนมันมีน้อย สงครามมันมีน้อย หรือมีก็ไม่ตายมากๆเหมือนเวลานี้ เวลานี้มันตายมากๆ มันก็ยังไม่กลัว ตายเป็นแสนเป็นหมื่น ฝ่ายหนึ่งตายเป็นแสน ฝ่ายหนึ่งตายเป็นหมื่น มันก็ยังไม่กลัว ยังยินดีรบ มันเหมือนกับมดแดง มดแดงไม่กลัวตาย เข้ามาก็กัด ตายก็ตาย ดูสิมดแดง ดีนะ คนไม่ดีกว่ามดแดงหรอก ดีเท่ามดแดงนะอย่างมาก ไม่กลัวตายสู้เลย แต่บางทีมันก็ดีเหมือนกันแหละ ถ้าตายเสียบ้างนี่นะ เดี๋ยวมันจะเต็มไม่มีที่อยู่นะ ตายสักล้านสองล้านมันก็ค่อยยังชั่วขึ้น เฉลี่ยแล้วตายบ่อยๆ ปีละล้านสองล้านนี่ดีนะ มันไม่เต็ม ไม่เต็มโลก เอ้า, พอ ดับไฟเถอะ