แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเป็นเครื่องสดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้ เป็นธรรมเทศนาพิเศษตามที่ปรารภเหตุท่านทั้งหลายบำเพ็ญทักษิณานุประทานอัฐิ อุทิศส่วนกุศลแด่บรรพชนผู้ล่วงลับไปแล้ว ธรรมเทศนาที่นำมาปรารภนี้ ก็อาศัยการกระทำ ที่กระทำในวันนี้เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีของประชาชนมาแต่กาลก่อน ถ้าจะว่าโดยที่จริงแล้วการบำเพ็ญบุญ อุทิศส่วนกุศลแก่บุคคลผู้ล่วงลับไปแล้วนั้นมิได้เป็นของพุทธศาสนาโดยตรง ทั้งนี้เพราะเหตุว่าการบำเพ็ญบุญเพื่อบุคคลผู้ตายนั้น ได้มีมาแล้วตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด คือก่อนพุทธกาล คนก็รู้จักบำเพ็ญทานเพื่อบุคคลผู้ล่วงลับไปแล้ว ดังนั้นประเพณีการบำเพ็ญบุญเพื่อบรรพบุรุษนี้ เป็นของเก่าแก่กว่าพุทธศาสนาเสียอีก แต่เมื่อพุทธศาสนาเกิดขึ้น พุทธบริษัทก็มีการบำเพ็ญกุศล อุทิศแก่บุคคลผู้ล่วงลับไปแล้วตามแบบตามวิธีของตน คือได้ปรับปรุงแก้ไข ให้เป็นสิ่งที่มีเหตุผลหรือเป็นธรรมเป็นวินัยยิ่งขึ้น แต่ในที่สุดก็ยังมีใจความเหมือน ๆ กัน ตรงที่ว่า กระทำไปด้วยความรู้สึกกตัญญูกตเวทีเป็นส่วนใหญ่ ถ้าปราศจากกตัญญูกตเวทีเป็นพื้นฐานแล้ว สิ่งนี้ก็ทำไม่ได้ แต่เมื่อมีกตัญญูกตเวทีแล้ว ก็ยังมีปัญหาต่อไปอีกว่า จะต้องทำอย่างไร เพราะว่าวิธีที่กระทำ ๆ กันอยู่นั้น มีอยู่มากมายเหลือเกิน บางพวกก็ทำไปในลักษณะที่เป็นพิธีรีตองเสียมากกว่า คือทำตามแบบตามพิธี แม้กระทั่งว่าเอาสิ่งเหล่านี้ไปเผาไฟ อุทิศส่วนกุศลให้แก่บุคคลผู้ล่วงลับไปแล้วนี้ก็ยังมีอยู่เป็นอันมาก บางพวกก็ถือสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ต้องทำที่เมืองนั้นต้องทำที่เมืองนี้ จึงจะได้ผลมาก เช่นที่พุทธคยาที่ตรัสรู้ของสมเด็จพระบรมศาสดานั้น พวกฮินดูถือว่าเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ สำหรับทำพิธีอุทิศข้าวบิณฑ์แก่บุคคลผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ว่าเป็นการเป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ มีผลดียิ่งกว่าสถานที่อื่น อาจจะเป็นอย่าง อาจจะกระทำอย่างนั้นกันมาแล้ว ก่อนแต่พระพุทธเจ้าได้อาศัยที่นั้นตรัสรู้ ก็เป็นได้ นี้เรียกว่าเลือกสถานที่ สำหรับบำเพ็ญกุศลแก่บุคคลผู้ล่วงลับไปแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็เลือกเวลา ว่าวันนั้นวันนี้ เดือนนั้น เดือนนี้ การเลือกเวลาวันนั้น วันนี้ เดือนนั้น เดือนนี้นั้น ก็เป็นเรื่องของพิธีที่กำหนดกันขึ้นใหม่ แล้วก็อ้างเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง มาประกอบกันเข้า เรื่องราวนั้นก็เป็นของที่เขียนขึ้น แต่งขึ้นในคัมภีร์ครั้งหลัง เช่นแม้ พวกพุทธบริษัทเรา ก็นิยมว่าเดือนสิบ แรมค่ำ แรมค่ำหนึ่งเป็นวันสำคัญ สำหรับบำเพ็ญกุศลให้แก่บุคคลผู้ล่วงลับไปแล้ว การกำหนดวันอย่างนี้ก็เป็นของมีมาแล้วตั้งแต่ในประเทศอินเดียหรือตั้งแต่ก่อนพุทธกาลด้วยซ้ำไป แต่ถ้ามานึกถึงข้อที่ว่า ธรรมะในพระพุทธศาสนานี้เป็นอะกาลิโก ไม่จำกัดเวลา การบำเพ็ญกุศลนั้นไม่จำกัดเวลา แล้วก็เป็นอันว่า การกำหนดวันนั้นวันนี้เพื่อกระทำโดยเฉพาะนั้น ยังฝืนต่อเหตุผลอยู่ ในส่วนที่เป็นธรรมะ แต่อาจจะมีเหตุผลในทางอื่น เช่นว่า ฤดู หรือเดือนที่จะบำเพ็ญกุศลเช่นนี้เป็นการใหญ่นั้น จะต้องเป็นฤดูที่สะดวก สะดวกไปด้วยดินฟ้าอากาศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ต้องสะดวกด้วยเรื่องข้าวปลาอาหาร สังเกตดูแล้วไม่ว่าที่ประเทศอินเดียหรือที่ประเทศไทย การบำเพ็ญบุญขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นการบริจาคทานแล้ว ต้องอาศัยฤดูที่มีข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ทั้งนั้น อย่างในประเทศไทยเรานี้ ฤดูเดือนเก้าเดือนสิบเช่นนี้ก็เป็นฤดูที่มีผลหมากรากไม้ ข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ อาจจะบำเพ็ญ บุญกุศลขนาดใหญ่ได้โดยสะดวก เมื่อเป็นที่แน่นอนว่าจะต้องเลือกเอาฤดูเช่นนี้แล้วก็กำหนดวันให้จำกัดลงไป เพื่อความสะดวกแก่ทุกคนจะได้ประพฤติ จะได้กระทำ แล้วก็เลือกหาดูว่ามีเรื่องราวในพระคัมภีร์กล่าวถึงวันไหน อย่างไรบ้าง ก็เลยถือเอาวันนั้นเป็นธรรมเนียมสืบ ๆ กันมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ทว่าโดยทางธรรมะแท้ ๆ แล้ว วันหรือเวลานั้นไม่เป็นประมาณสำหรับการทำบุญหรือการทำความดี แต่สำคัญอยู่ที่การกระทำ ที่กระทำถูกหรือกระทำไม่ถูก กระทำจริงหรือกระทำไม่จริง เช่นทำอย่างงมงายเป็นต้น ถ้าจะให้ได้มีผลมากต้องทำให้ถูกและต้องทำให้จริงและต้องทำด้วยสติปัญญาวิชาความรู้ ไม่ใช่ทำด้วยความงมงาย หรือแม้ที่สุดแต่ความยึดมั่นถือมั่น ดังนั้นท่านทั้งหลายควรจะมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่กระทำนี้ ให้ถูกต้องพอสมควร การกระทำจึงจะเป็นไปอย่างที่เรียกว่ามีผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยได้ ทีนี้ทุกคนมาลองนึกดูว่าบ้านเมืองนี้ซึ่งเรียกว่าเมืองไชยาและคนที่มีความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นก็ต้องพูดว่าบ้านเมืองของเราหรือเมืองไชยาของเราอย่างนี้เป็นต้น เมืองนี้มีความเป็นมาแต่หนหลังอย่างไรบ้าง ก็เป็นสิ่งที่ควรจะนึกดูให้ดีเหมือนกัน คนที่ไม่เคยไปไหนมาไหนก็นึกได้น้อย เพราะไม่ได้เคยไปเห็นอะไรที่ไหนสำหรับจะมาเปรียบเทียบกัน แต่ถ้าเป็นคนที่เคยไปไหนมาไหนมามากแล้วก็จะเห็นได้ทีเดียวว่าเมืองไชยานี้ก็เป็นเมืองที่เจริญด้วยพุทธศาสนา มีการประพฤติกระทำที่สมบูรณ์แบบ คือการทำบุญกุศลที่ถูกต้องและสมบูรณ์แบบ ไม่มีอะไรที่น่าดูอย่างเต็มที่ แม้ว่าถ้าจะไม่ดีกว่าที่อื่นก็ต้องไม่แพ้กว่าที่อื่น แต่ถ้าดูให้ดีแล้วก็มีความเห็นไปในทางที่ว่าได้กระทำกันอย่างสูงสุดหรืออย่างดีที่สุด สมกับที่เป็นเมืองเจริญด้วยพระพุทธศาสนามาแล้วตั้งพันกว่าปี การที่เอาเรื่องนี้มาพูด หรือพูดแล้วพูดอีกก็ตาม ก็เพราะสังเกตเห็นว่าคนที่เมืองไชยาทุกวันนี้ก็เริ่มจะเป็นคนโง่งมงายลงไปด้วยทุกทีแล้วเหมือนกัน อย่างน้อยก็มีความโง่ความงมงายในข้อที่ไม่รู้ว่าบ้านเมืองของตนเองนั้นเจริญด้วยพุทธศาสนามาแล้วตั้งพันสองร้อยปี ยกตัวอย่างให้เห็นง่าย ๆ ว่า บทกล่อมลูกให้นอนที่พูดถึงเรื่องมะพร้าวนาฬิเกร์ มีความหมายถึงนิพพานนั้น ใครรู้ความหมายอันนี้บ้าง คนที่ร้องบทกล่อมลูกบทนี้นั้นก็ไม่ได้รู้เลยว่าเพ้อ ๆ ไปอย่างนั้นเอง อย่างนี้แล้วจะไม่ให้เรียกว่างมงายแล้วจะให้เรียกว่าอะไร แต่ก่อนคงจะเคยรู้เคยเข้าใจแล้วก็ปล่อยปละละเลยทอดทิ้งกันมาจนเดี๋ยวนี้ ไม่รู้ไม่เข้าใจจะขอพูดถึงเรื่องนี้เสียทีเดียวว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างไร บทกล่อมลูกเรื่องมะพร้าวนาฬิเกร์นั้นพูดถึงต้นมะพร้าวต้นหนึ่งอยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ก้อง ฟ้าร้องไม่ถึง คือไม่มีความทุกข์เลย เมื่อไม่รู้ว่าทะเลขี้ผึ้งคืออะไรแล้ว ก็เข้าใจเรื่องนี้ไม่ได้ ทะเลขี้ผึ้งนั้นคือสังสารวัฏ หรือวัฏสงสาร ประเดี๋ยวสุขประเดี๋ยวทุกข์ ประเดี๋ยวสุขประเดี๋ยวทุกข์ ประเดี๋ยวเป็นบุญประเดี๋ยวเป็นบาป เหมือนกับขี้ผึ้ง ขี้ผึ้งนั้นประเดี๋ยวก็แข็งประเดี๋ยวก็เหลว แล้วแต่ว่ามันจะถูกความร้อน หรือไม่ถูกความร้อนอย่างไร ถ้ามันถูกความร้อนในระดับหนึ่ง มันก็เหลวเป็นน้ำไปทีเดียว ถ้ามันเย็นลงมันก็กลายเป็นของแข็ง แทบจะว่าเป็นดินไปทีเดียว เดี๋ยวเป็นน้ำ เดี๋ยวเป็นดินอย่างนี้ ตรงกันข้ามกันอยู่ นี้คือลักษณะของบุญบาป ดีชั่ว สุขทุกข์ ส่วนมะพร้าวนาฬิเกร์นั้นไม่ใช่ทะเลขี้ผึ้ง แต่มันอยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง นี้หมายความว่านิพพานนั้นหาพบได้ในวัฏสงสารนั่นเอง คนที่เอานิพพานไปไว้ทางหนึ่ง เอาวัฏสงสารไปไว้อีกทางหนึ่งนั้น เป็นคนโง่ เป็นคนไม่รู้เรื่องนี้ ที่แท้แล้วนิพพานคือความดับทุกข์ วัฏสงสารคือความทุกข์ ความดับทุกข์ต้องมีที่ความทุกข์ ทุกข์ดับไฟที่ตรงไหนนิพพานมีที่ตรงนั้น ความทุกข์อยู่ที่ตรงนี้เมื่อว่าทุกข์นี้ดับลงนิพพานก็อยู่ที่ตรงนั้น ดังนั้น ท่านจึงว่ามะพร้าวนาฬิเกร์นั้นอยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง เท่ากับว่านิพพานนั้นอยู่ท่ามกลางวัฏสงสารนั่นเอง วัฏสงสารคือความเวียนว่ายตายเกิดหรือเป็นกองทุกข์ ถ้านี้ดับลงมันก็เป็นนิพพานอยู่ตรงนั้นที่นั้นเอง จึงบอกว่าต้นมะพร้าวต้นนั้นอยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง สำหรับต้นมะพร้าวนั้นฝนตกไม่ก้องฟ้าร้องไม่ถึง ฝนมันก็ตกก้องแล้วฟ้าร้องถึงอยู่ที่ทะเลขี้ผึ้งนั่นเอง ที่ทะเลขี้ผึ้งนั่นแหละเป็นตัวการที่ให้ฝนตกหรือฟ้าร้อง แต่แล้วฝนตกฟ้าร้องนี้ก็หาได้ถูกต้นมะพร้าวที่อยู่ท่ามกลางทะเลขี้ผึ้งนั้นไม่ นี้ก็หมายความว่านิพพานมันไม่เป็นความทุกข์เลย มีความดับทุกข์เมื่อไร เป็นนิพพานเมื่อนั้น มันอยู่ติดกัน แต่ว่าไม่เหมือนกัน คือตรงกันข้ามเสมอ ท่านทั้งหลายลองคิดดูเถิดว่า ปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้ว ร้องเพลงกล่อมลูกบทนี้เพื่อประโยชน์อะไรกัน ถ้าไม่ใช่เพื่อประโยชน์ที่จะมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของนิพพานให้มากขึ้น ถูกแล้วเรื่องเพลงกล่อมลูกกล่อมน้องนี้มีอยู่หลายร้อยบท โดยมากที่สุดก็เป็นเรื่อง ธรรมดา ๆ สามัญ เรื่องที่สูงถึงเช่นนิพพานนี้มีอยู่สักสองสามบทเท่านั้น แต่แล้วก็ยังมีเรื่องธรรมะทั่ว ๆ ไป เรื่องสุภาษิตคำสอนทั่ว ๆ ไป อีกมากมาย แล้วก็มีเรื่องที่กล่าวถึงเรื่องราวต่าง ๆ เรื่องเวสสันดร หรือเรื่องอะไรก็ตามก็มีอยู่ในบทเพลงเหล่านี้ กระทั่งถึงบทเพลงที่มีไว้สำหรับการขบขัน หัวเราะกันเล่นก็มี กระทั่งบทเพลงที่เป็นไปในทางตลก คะนอง หยาบโลนก็มี รวมกันหลายร้อยบททีเดียว แต่เมื่อแยกดูแล้วจะเห็นได้ว่า ที่เป็นคติสอนใจนั้นมีมากที่สุด หรือมากกว่า แล้วที่สูงสุดที่หมายถึงนิพพานนี้มิอยู่สองสามบท ลองคิดดูสิว่า ปู่ ย่า ตา ยาย ของเราเป็นอย่างไร ปู่ ย่า ตา ยาย ของเรามีความคิดมีสติปัญญามากหรือน้อยกว่าเราอย่างไร แต่ถ้าเอาเรื่องราวในทางธรรมะเป็นหลักกันแล้ว จะต้องกล่าวได้ว่า ปู่ ย่า ตา ยาย ของเรายังมีจิตใจที่เป็นธรรมยิ่งกว่าเรา มีความโลภน้อยกว่าเรา มีความโกรธน้อยกว่าเรา มีความหลงน้อยกว่าเรา คนสมัยนี้ไปเห่อความเจริญตามสมัยใหม่ จึงต้องทำให้มีความโลภความโกรธความหลงมาก เพราะว่าเรื่องของสมัยใหม่นี้ ถ้าต้องการจะก้าวหน้าในเรื่องความสุขทางเนื้อทางหนังทางวัตถุซึ่งล้วนแต่เป็นเหตุให้เกิดกิเลสทั้งนั้น ความรู้การศึกษาของคนสมัยนี้ไม่เป็นเรื่องธรรมะธรรมโมหรือความสงบอย่างคนสมัยก่อนเสียแล้ว ความรู้ของคนสมัยนี้มีความมุ่งหมายแต่เพื่อจะให้ได้ ถือการได้นั่นแหละเป็นการดี ไม่ได้ถือการถูกต้องเป็นการดี ถือการได้เป็นของดี จึงมีความโลภจัดยิ่งกว่าสมัยก่อน คนสมัยนี้โลภจัดอย่างป่าเถื่อน เพราะว่ามัวแต่จะศึกษาหาวิธีที่จะหาวัตถุสิ่งของหรือว่ากอบโกยมาในทางที่ไม่เป็นธรรม แม้ในทางที่เป็นธรรมก็แสวงหามาหรือกอบโกยมาโดยปราศจากสติ สัมปชัญญะ โดยไม่รู้ว่าการที่มีที่หามาหรือมีไว้เกินกว่าความจำเป็นนั้นเป็นการทำบาป ขอให้ท่านทั้งหลายฟังให้ดีคิดให้ดี ให้มีความเข้าใจในข้อนี้ เพราะบรรพบุรุษของเรานั้นมีหลักไปในทำนองที่ว่าการแสวงหาทรัพย์สมบัติหรือการมีไว้โดยกว่าความจำเป็นนั้นเป็นการบาป ที่จริงมันก็เป็นการถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะว่ามันเป็นความโลภ และมันเป็นความหวังเกินที่ธรรมชาติกำหนดไว้ มันเป็นความทะเยอทะยาน ไปตามกิเลสตัณหาเพราะฉะนั้นมันจึงเป็นบาปอยู่ในตัว การที่แสวงหามีไว้แต่เพียงพอดีนั้น ทำให้เกิดความสงบ เยือกเย็น ทั้งส่วนตนเองและส่วนรวม คนเดี๋ยวนี้ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องการจะแสวงหาและมีไว้อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ จงไปพิจารณาดูความรู้ การศึกษา การค้นคว้า การกระทำของคนสมัยนี้ดูเถิด เพราะทำเพื่อให้ฐานะของความเป็นอยู่สูง ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ในลักษณะที่เป็นสวรรค์ และผลของมันก็คือ การลุ่มหลงในสิ่งเหล่านั้น จนได้รบราฆ่าฟันกัน ในลักษณะที่เรียกได้ว่าเป็นการกัดกันเหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน ความหมายของสวรรค์จึงมีความหมายไปในทางรบราฆ่าฟัน ไม่มีความหมายเป็นอย่างอื่น ซึ่งจะได้พิจารณากันต่อไป ในที่นี้จะพูดถึงแต่ข้อที่ว่าลูกหลานของปู่ ย่า ตา ยายนั้น กำลังจะเดินเหผิดทางไกลออกไปทุกที ไกลออกไปทุกที คือต้องการจะแสวงหาและมีไว้เกินกว่าที่จำเป็นยิ่งขึ้นไปทุกที เพราะว่าการศึกษาและการกระทำของคนพวกที่ก้าวหน้ามันเป็นอย่างนั้น เมื่อเห็นเข้าแล้วก็อดเอาอย่างไม่ได้ จึงเห่อจึงทะเยอทะยานตาม ๆ กันไป วางมาตรฐานการกินอยู่ให้มันวิจิตรพิสดารมากยิ่งขึ้นจนไม่มีขอบเขต แล้วเรื่องมันก็เกิดขึ้นพอเหมาะพอสมกัน คือการรบราฆ่าฟันกัน การเบียดเบียนกัน ดังที่กล่าวแล้ว นี่ก็เพราะไม่ถือธรรมะเป็นใหญ่ แต่ถือปาก ถือท้อง ถือความสุขสนุกสนานทางวัตถุเป็นใหญ่ พวกที่เป็นลูกหลานของปู่ ย่า ตา ยาย กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปเหมือนคนพวกอื่นที่ไม่ถือพุทธศาสนา ข้อนี้แหละ จะเป็นการทำความเสียหายอย่างยิ่ง คือจะทำลายประเพณีที่ดีงามขนบธรรมเนียมที่ดีงาม คือหลักเกณฑ์ที่ดีงามหรืออะไร ๆที่ดีงาม ให้สูญสิ้นไป ไม่สนใจในสิ่งที่บรรพบุรุษเคยกระทำมา เพียงเท่านี้ก็เป็นการตอบปัญหาได้แล้วว่าทำไมจึงไม่เข้าใจข้อความในเรื่องมะพร้าวนาฬิเกร์เป็นต้น การที่ยกตัวอย่างเรื่องมะพร้าวนาฬิเกร์มาก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า ปู่ ย่า ตา ยาย เคยมีความคิดสูง มีจิตใจสูง หรือเข้าใจธรรมะดี คนมีปัญญาจึงเอาข้อความที่สูงนั้นมาประพันธ์เป็นบทเพลงสำหรับกล่อมเด็กกล่อมลูกให้นอน ลองคิดดูเพียงเท่านี้ก็จะเห็นได้ว่ามันสูงในทางจิตใจอย่างไร คนสมัยนี้กล่อมลูกด้วยเพลงหยาบโลนคือเพลงไทยสากลสมัยใหม่ซึ่งล้วนแต่มีคำโสกโดก ที่ทำให้เด็กหญิงเด็กชายมีจิตใจเลวทรามลงไป โดยไม่รู้สึกตัวยิ่งขึ้นทุกทีทุกที แต่คนสมัยโน้นกล่อมลูกด้วยบทเพลงธรรมะอย่างนี้ มันต่างกันอย่างไรก็ไปคิดดูเองเถิด ในที่นี้เพียงแต่ขอให้ทำความเข้าใจกันให้ดี ๆ ว่าเรากำลังจะหมุนไปในทางไหน ถ้าเรารู้สึกตัวจะได้ช่วยกันยับยั้งหรือว่าจะหมุนไปในทางที่ถูกที่ดีเพื่อมีความสุขต่อไป ทีนี้จะได้กล่าวสืบไป ถึงข้อที่ว่าเราผู้เป็นลูกหลานควรจะอนุรักษ์ตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีที่งามของบรรพบุรุษ รักษาไว้ทุกอย่างทุกประการ ตามที่จะกระทำได้ ดังที่เราได้รักษาประเพณีทำบุญตายายเหมือนที่ได้ทำในวันนี้กันสืบ ๆ มา แต่ว่าการรักษาอย่างงมงายนั้น มันไม่ค่อยน่าจะชื่นใจที่ตรงไหน ต้องเป็นการรักษาที่ลืมหูลืมตา มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง ว่าทำเพื่ออะไรทำอย่างไรจึงจะได้ผลอย่างนั้น เดี๋ยวนี้เราทำบุญให้ปู่ ย่า ตา ยาย เราก็ต้องคิดว่า อย่างไร ทำอย่างไรจึงจะสำเร็จประโยชน์แก่ปู่ ย่า ตา ยาย ธรรมเทศนาในวันนี้จะได้กล่าวถึงฝ่ายลูกหลานโดยเฉพาะ ข้อความนี้จะชื่อว่า พุทธคาถา คือเรื่องราวของบุตรคือลูกหลาน ตายายนั้นฝ่ายหนึ่ง ลูกหลานนั้นฝ่ายหนึ่ง ลูกหลานนี่คืออะไร เป็นอะไรของตายาย นี่ต้องรู้กันให้แน่นอนให้แจ่มแจ้ง ลูกหลานจึงจะประพฤติหน้าที่ของลูกหลานให้ได้เป็นอย่างดี เราจะไปพิจารณากันถึงคำว่าลูกหรือบุตร บุตรนี้ก่อน คำว่าบุตรหรือลูกนี้มีความหมายต่าง ๆ กัน ในประเทศอินเดียแต่โบราณกาลนั้น คำว่าบุตรหรือลูกนี้มีความหมายสำคัญมาก คือมีความหมายไปถึงว่า บุตรคือผู้ที่จะยกบิดามารดาขึ้นมาจากนรก ที่เป็นชั้นต้น ๆ ต่ำ ๆ ที่สุดนั้นก็หมายความว่า เมื่อบิดามารดาตายไปแล้ว บุตรนี้แหละจะช่วยทำให้พ้นจากนรกหรือว่าจะช่วยบำเพ็ญทักษิณาทาน ส่งไปเพิ่มเติมให้แก่บิดามารดา เรื่อย ๆ ไป เหมือนกับส่งเงินไปให้ใช้ จริงหรือไม่ก็ลองคิดดู ท่านทั้งหลายในวันนี้ก็ได้ทำอย่างนั้น เราทำบุญตายายที่นี่ วันนี้ เมื่อเช้านี้ ก็มันมีความหมายอย่างนั้น คือว่าเพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้แก่ตายายที่ล่วงลับไปแล้ว เหมือนกับส่งเงินไปให้ใช้ เงินในที่นี้ก็คือบุญกุศลที่ได้กระทำขึ้นและอุทิศแก่ตายายที่ล่วงลับไปแล้วนั่นเอง ถ้าคนสมัยโน้นงมงายคนสมัยนี้ก็งมงาย เพราะว่ายังทำอยู่ด้วยเหตุผลหรือความหวังความต้องการอย่างเดียวกัน เพราะจะส่งบุญกุศลนี้ไปให้แก่ตายายผู้ล่วงลับไปแล้ว นี่แหละคิดดูเถิดว่า ปู่ย่าตายายหรือบิดามารดานั้นหวังอย่างไร อย่างน้อยที่สุดก็จะหวังว่าเมื่อเราตายไปแล้วบุตรเหล่านี้จะบำเพ็ญทักษิณาทานอุทิศส่วนกุศลส่งไปให้ นี้คือความหมายของบุตรหน้าที่ของบุตรในการที่ยกบิดามารดาให้พ้นเสียจากนรก ถึงในเรื่องพิมพิสารที่ท่านทั้งหลายเคยอ่านเคยฟังกันมาเป็นประจำนั้นก็มีข้อความอย่างนี้ชัด ๆ อยู่แล้ว เพราะการที่ลูกหลานบำเพ็ญกุศลในวันนี้ก็เพื่อจะเปลื้องทุกข์ของญาติทั้งหลายที่ตายไปแล้วไปตกนรกหมกไหม้หรือเป็นเปรตอยู่ก็เป็นการช่วยแก้ไขหรือยกคนเหล่านั้นให้พ้นจากความทุกข์นั้นด้วยการทำทักษิณาทานนี้ นี่แหละการที่เขากล่าวว่า บุตรคือผู้ที่ช่วยยกบิดามารดาจากขุมนรกนี้เป็นการถูกต้องหรือไม่ถูกต้องอย่างไรและเรากำลังต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร อย่างไรก็ตามท่านทั้งหลายไม่ต้องทราบว่าการบำเพ็ญบุญกุศลหรือทักษิณาทานเพื่อบุคคลผู้ล่วงลับไปแล้วนั้นมิได้มีแต่ในพุทธศาสนา มีแม้ในศาสนาอื่น ในประเทศ อินเดียและก่อนพุทธศาสนาด้วยซ้ำไป ดังนั้นจึงถือได้ว่าเป็นความหมายทั่ว ๆ ไปของคำว่าบุตร โดยไม่ต้องเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนาก็ยังได้ นี้คือความหมายอันหนึ่งซึ่งเป็นประการสำคัญที่สุดของคำว่าบุตรคือผู้ยกบิดามารดาขึ้นมาเสียจากนรก แต่การพูดถึงนรกในลักษณะเช่นนี้เป็นนรกของเด็ก ๆ มากกว่าเป็นนรกทางวัตถุ นรกที่น่ากลัวยังมีกว่านั้นคือนรกทางนามธรรมคือนรกในภาษาธรรม นรกในภาษาธรรมนั้นหมายถึงความร้อนใจ นรกในภาษาธรรมหมายถึงความร้อนใจฟังดูให้ดี เมื่อใดมีความร้อนใจ เมื่อนั้นมีนรก ที่ไหนมีความร้อนใจที่นั้นมีนรก ไม่จำเป็นว่าต้องต่อตายแล้วจึงจะมีนรก ที่นี่และเดี๋ยวนี้ก็มีนรกได้ เพราะเขาว่านรกนั้นหมายถึงความร้อนใจ ต่อตายแล้วจึงจะไปตกนรกนั้น มันยังอีกไกล และมันยังไม่เผาไม่ลนเหมือนกับนรกในใจที่นี่และเดี๋ยวนี้ คือความร้อนใจที่กำลังได้รับอยู่ แม้ความร้อนใจเช่นนี้ก็เป็นหน้าที่ที่บุตรจะต้องช่วยขจัดปัดเป่าให้บิดามารดาด้วยเหมือนกัน เมื่อเป็นนรกที่จริงกว่าหรือจำเป็นกว่าที่จะต้องช่วยกันขอให้พิจารณาดูให้ดี ๆ ขอถือโอกาสพูดแทรกที่ตรงนี้เลยว่านรกหรืออบายนั้นมีความหมายเป็นอย่างไรกันแน่ จะอธิบายให้ยืดยาวมันก็มากมายกินเวลามากและทำให้ฟั่นเฝือ จะได้ระบุชัด ๆ สั้น ๆ ลงไปให้เห็นว่าความเป็นคนและความเป็นสัตว์นรกความเป็นเปรตเป็นเดรัจฉานเป็นอสูรกายหรือเป็นสวรรค์ นั้น มันมีความหมายที่สำคัญอยู่ที่ตรงไหน ความหมายที่สำคัญนั้น หมายความว่ามันกำลังเป็นอยู่จริง ๆ มันกำลังมีอยู่จริง ๆ และถ้าแก้ไขในข้อนี้ได้แล้วเป็นการแก้ไขให้หมดสิ้นไปได้จริง ๆ ขอท่านทั้งหลายพิจารณาดูให้ดีเถิด และอาศัยหลักพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องพินิจพิจารณาด้วย เราจะพิจารณาดูกันถึงสิ่งที่มีอยู่จริงในความหมายของคำที่เรียกกันต่าง ๆ เป็นคนนี่อย่างหนึ่ง เป็นสัตว์นรกนี่อย่างหนึ่ง เป็นเปรตนี่อย่างหนึ่งเป็นเดรัจฉานนี่อย่างหนึ่ง เป็นอสูรกายนี่อย่างหนึ่ง เป็นเทวดาในสวรรค์นี่อย่างหนึ่ง รวมเป็นหกอย่างด้วยกัน มันอยู่ที่ไหน หรือเป็นกันที่ไหน ถ้าท่านมีสติปัญญาพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าที่มันเป็นจริงมีอยู่จริงและสำคัญที่สุดนั้นมันอยู่ในคนคนหนึ่งนั่นเอง หรือว่าในใจของคนนั่นแหละจะถูกกว่า อยากจะให้หัวข้อสำหรับจดจำไว้อย่างนี้ก่อนว่า การเหน็ดเหนื่อยในการงานนั่นแหละคือความเป็นคน ความร้อนใจเหมือนไฟเผานั่นแหละนรก ความหิว ความกระหาย ทะเยอทะยานไม่มีที่สิ้นสุด วิตกกังวลไม่มีที่สิ้นสุดนั่นแหละคือความเป็นเปรต ความโง่อย่างไม่น่าโง่ที่เกิดขึ้นในบางครั้งบางคราวนั่นแหละคือสัตว์เดรัจฉาน ความขี้ขลาดหวาดกลัวในสิ่งที่ไม่ควรจะหวาดกลัวนั่นแหละคืออสูรกาย การแย่งชิงความสุขกันนั่นแหละคือความหมายของสวรรค์ พวกชาวทิเบตก็เขียนภาพสวรรค์นี้เป็นการรบคู่กันระหว่างคนสองพวกอยู่ตลอดเวลา จะอธิบายให้เห็นออกไปนิดอีกกว้างออกไปอีกหน่อยว่า ความเป็นคนนั้นก็คือความเหน็ดเหนื่อยในการประกอบหน้าที่การงาน หน้าที่ของบิดามารดาหน้าที่ของบุตรภรรยาสามีหน้าที่ของพลเมืองดีหน้าที่อะไรก็ตามที่คนตามธรรมดาจะต้องประพฤติกระทำด้วยความเหน็ดเหนื่อยและความเหน็ดเหนื่อยเหงื่อไหลไคลย้อยนั่นแหละคือความหมายของคำว่าคน คือคนตามธรรมดา มนุษย์ตามธรรมดา มนุษย์ที่ยังไม่เกี่ยวกับธรรมะธัมโมในทางจิตใจอะไรเลย เป็นมนุษย์ตามธรรมดาสามัญตามความหมายของคนตามธรรมชาตินี้ คือการเหน็ดเหนื่อยในการงานในหน้าที่การงาน ที่นี้เมื่อทำการงานอยู่อย่างนั้นบางคราวก็ผิดพลาด มันร้อนใจ เหมือนไฟเข้าไปเผาในอก เมื่อนั้นแหละ คนนั่นแหละได้กลายเป็นสัตว์นรกไปขณะหนึ่งแล้ว ตลอดเวลาที่ร้อนใจเหมือนไฟเผา นั่นแหละคือนรก นรกที่แท้จริง นรกที่จะต้องรู้จักให้ดี ระวังอย่าให้มันเกิดขึ้น ถ้าเราเอาชนะนรกชนิดนี้ได้แล้วก็เอาชนะนรกอื่น ๆ ได้หมด เอาชนะนรกในชาตินี้ได้แล้วเอาชนะนรกในชาติอื่นได้หมด คือไม่ทำชั่วจนร้อนใจ ไม่ทำกรรมให้ร้อนใจ ไม่ทำอะไรให้ร้อนใจแล้ว ไม่ตกนรกในชาตินี้ แล้วก็ไม่ตกนรกในชาติไหนอีก เพราะฉะนั้นคำว่านรกก็คือความร้อนใจ ระวังให้ดีอย่าปล่อยให้เกิดความร้อนใจ ถ้าร้อนใจเกิดขึ้นก็ต้องปัดออกไปเสียด้วยอำนาจของธรรมะ มีอนิจจัง สุขขัง อนัตตา เป็นต้น นรกคือความร้อนใจเหมือนไฟเข้าไปสุมอยู่ในอก ด้วยเหตุนี้ นี้เดรัจฉานหมายถึงความโง่ เมื่อคนประกอบการงานอยู่นั่นแหละ บางคราวโง่อย่างไม่น่าโง่ ความโง่นั้นเป็นคุณสมบัติของสัตว์เดรัจฉาน ก็ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนไม่ได้ทำอะไรในทางวิชาความรู้ แต่คนเราก็ยังเผลอไปโง่ขนาดนั้นเข้าได้บ้างเหมือนกันเป็นบางครั้ง บางคราว เมื่อไหร่โง่หรือยังโง่อยู่เมื่อนั้นขณะนั้นเป็นสัตว์เดรัจฉาน อย่ามีความโง่ชนิดนี้แล้วก็ไม่เป็นสัตว์เดรัจฉานทั้งชาตินี้และชาติหน้า นี้เปรตนั้นคือความหิว ความหิวในที่นี้หมายถึงจิตใจทะเยอทะยานจนนอนไม่หลับ จงดูในบางครั้งบางคราวคิดจนนอนไม่หลับวิตกกังวลจนนอนไม่หลับ ทะเยอทะยานจนนอนไม่หลับ คนหนุ่มคนสาวสมัยนี้มีความทะเยอทะยานตามสมัยใหม่จนนอนไม่หลับ ก็มีอยู่มาก ถึงกับฆ่าตัวเองตายก็มี อย่างนี้เรียกว่าความหิวในทางวิญญาณ ความอยาก ความต้องการ ความทะเยอทะยานอย่างนี้คือเปรต เพราะฉะนั้นคนในโลกสมัยนี้ย่อมเป็นเปรตกันมาก ที่นี่และเดี๋ยวนี้ไม่ต้องต่อตายไปแล้ว เพราะว่าคนกำลังทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงมากขึ้นทุกที ซึ่งเป็นลักษณะของความหิวในทางวิญญาณ วิญญาณที่หิวในขณะนั้นคือเปรต ที่นี้ก็มาถึงคำว่าอสูรกาย บางเวลาก็กลัว กลัวอย่างไม่มีเหตุผล กลัวกระทั่งความดีก็มี กลัวจนไม่ได้ทำความดีก็มี กลัวจนไปทำความชั่วเข้าก็มี หรืออย่างบางทีก็กลัวเฉย ๆ นอนไม่หลับเฉย ๆ อย่างนี้ก็มี ถ้าความกลัวกำลังรบกวนจิตใจมากอย่างนี้แล้วคนนั้นก็เป็นอสูรกาย คือไม่มีความกล้าหาญไม่มีความแน่ใจ ไม่มีศรัทธาในตัวเองหรือในสิ่งใดหมด นี้คือความเป็นอสูรกาย ที่มีอยู่ได้แก่คนทุกคนในบางครั้งบางคราว ทีนี้ก็มาถึงสวรรค์ ถ้าอยากจะดูสวรรค์ก็ต้องดูที่ความเอร็ดอร่อย พอมีความเอร็ดอร่อยก็เกิดความหึงหวง เพราะฉะนั้นดูที่สุนัขก็แล้วกัน ถ้ามันได้กินอะไรอร่อย มันก็ฮื่อ ๆ แฮ่ ๆ หวงตัวที่จะเข้ามาใกล้ ที่จะมาแย่งกันกิน ความหวงในสิ่งอร่อยนี้ก็คือการต่อสู้ แต่ในที่สุดก็มีการต่อสู้กันจริง ๆ ระหว่างสองฝ่ายที่ต้องการความเอร็ดอร่อยด้วยกัน การศึกษาที่ดีที่ถือๆ กันว่าดีหรือก้าวหน้าที่สุดของคนในโลกสมัยนี้ ก็คือมูลเหตุของการรบราฆ่าฟันหรือการต่อสู้เพื่อแย่งชิงของอร่อยแก่กันและกันเหมือนสุนัขนั่นเอง ขอให้ดูการศึกษาของคนสมัยนี้ที่ถือว่าก้าวหน้าที่สุด เมืองนอกเมืองนาอย่างไรที่ไหนมาที่ถือว่าก้าวหน้าที่สุดนี้ก็เพื่อจะแข่งขันกันให้ได้ในสิ่งที่ตัวถือว่าเจริญที่สุดก้าวหน้าที่สุดดีกว่าคนอื่นที่สุด แล้วคนอื่นก็ต้องการเหมือนกันทำเป็นเหมือนกันมันก็ได้รบกัน ทั้งที่เป็นสงครามร้อนและสงครามเย็น สงครามร้อนคือการทำลายกันด้วยอาวุธโดยตรง สงครามเย็นคืออุบายวิธีต่าง ๆ ที่จะใช้ล้างผลาญกันโดยไม่รู้สึกตัว มนุษย์สมัยนี้มีสงครามสองอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา นี่แหละคือความหมายของคำสวรรค์ คือหวงแหนในรสอร่อยแล้วก็รบราฆ่าฟันกัน ดังนั้นภาพสวรรค์ที่เขียนไว้ที่ฝาผนังในโรงมหรสพทางวิญญาณนั้นเป็นการถูกต้องแล้ว ภาพสวรรค์คือภาพคนสองฝ่ายรบกัน ด้วยการหวงกามารมณ์เหมือนสุนัขหวงก้างปลา จึงเรียกว่าอยากจะดูสวรรค์แล้วจงดูที่สุนัขเถิด เมื่อมันได้ของเอร็ดอร่อยอะไรแล้ว มันก็ฮื่อ ๆ แฮ่ ๆ ด้วยการหวง แต่ในที่สุดก็ต่อสู้กันด้วยเขี้ยวด้วยเล็บ เพราะเหตุแห่งสิ่งอร่อยนั้น คำว่าสวรรค์จึงสรุปความได้สั้น ๆ ว่า ความรู้สึกที่ต่อสู้กันระหว่างพวกที่หลงในความเอร็ดอร่อยด้วยกัน จะเป็นเทวดาในสวรรค์หรือจะว่าสวรรค์ชนิดไหนก็ตามมีความหมายเป็นกามารมณ์ทั้งนั้น กามารมณ์ก็คือสิ่งที่มีความหมายเหมือนกับก้างปลาสำหรับสุนัขซึ่งอร่อยแล้วก็จะหวง หวงแล้วก็จะได้รบกัน เพราะฉะนั้นคำว่าสวรรค์ก็สรุปความสั้น ๆ ว่าการรบกัน ทบทวนอีกทีหนึ่งว่าความเป็นคนนั้นคือความเหน็ดเหนื่อยเหงื่อไหลไคลย้อย ความเป็นสัตว์นรกนั้นคือความร้อนใจเหมือนไฟเผา ความเป็นเปรตนั้นคือความหิวกระหายทางจิตทางวิญญาณ คอแห้งอยู่เสมอ ความเป็นสัตว์เดรัจฉานคือความโง่ ความเป็นอสูรกายคือความกลัว ความเป็นสวรรค์หรือเป็นสัตว์สวรรค์นั้นคือการรบกันเพราะมีกามารมณ์เป็นมูลเหตุ ท่านลองคิดดูว่าทั้งหมดนี้มันมีครบอยู่ในคนในโลกนี้ในเวลานี้ในปัจจุบันนี้จริงหรือไม่ เราจะต้องรบกับใครหรือรบกับอะไรเพื่อความอร่อยเป็นเหตุแล้วก็พึงรู้เถิดว่านั่นคือความหมายของสวรรค์ ถึงจะตายไปเกิดในเทวโลกก็มีความหมายอย่างนั้น หวงกามารมณ์แล้วก็ต้องได้ไปรบกันระหว่างเทวดาด้วยกันหรือระหว่างเทวดาฝ่ายหนึ่งกับเทวดาอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งมีอะไรไม่ตรงกัน สวรรค์ชนิดนี้จริงกว่าสวรรค์ที่พูดถึงกันต่อตายแล้ว และมีปัญหามากกว่าสวรรค์ที่จะไปถึงต่อตายแล้ว ความที่ได้กินดีอยู่ดี ได้เอร็ดอร่อยทางวัตถุทางเนื้อทางหนังจนจิตใจเกิดการรู้สึกหวงแหน ฮื่อ ๆ แฮ่ ๆ เหมือนสุนัขอยู่ตลอดเวลานั้น มันดีวิเศษที่ตรงไหน ขอให้ลองพิจารณาดูเถิด มันก็ยังเป็นวัฏสงสาร เป็นทะเลขี้ผึ้งชนิดหนึ่งอยู่นั่นเอง ดังนั้นจึงไม่ดีไปกว่าความเป็นคนหรือความนรกความเป็นเปรตเป็นเดรัจฉานเป็นอสูรกายเลย ระวังให้ดี ๆ เราไม่ได้เป็นอะไรกันมากกว่านี้เข้าใจไหม บางเวลาก็เป็นคนเหงื่อไหลไคลย้อย บางเวลาก็เป็นสัตว์นรกร้อนใจเหมือนไฟเผา บางเวลาก็หิวเป็นเปรต บางเวลาก็โง่เป็นสัตว์เดรัจฉาน บางเวลาก็กลัวเป็นอสูรกาย บางเวลาก็หวงกามารมณ์เป็นสัตว์สวรรค์ นี้ทั้งหมดนี้ยังไม่มีธรรมะ ยังเวียนว่ายอยู่ในทะเลขี้ผึ้งทั้งนั้น จะต้องมองดูให้ดีว่ามันยังเป็นทะเลขี้ผึ้งยังเดือดปุด ๆ อยู่ทั้งนั้น ต่อเมื่อใดมีจิตใจสูงกว่านั้นคือมีธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้ามาช่วยกำกับแล้วจึงจะเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เป็นมนุษย์ที่ถูกต้องนี้หมายความว่ามีใจสูง คำว่ามนุษย์แปลว่าผู้มีใจสูง ถึงจะแปลว่ามนุษย์แปลว่าเหล่ากอของพระมนู พระมนูก็มีใจสูงอยู่นั่นเอง เหล่ากอของพระมนูก็คือคนที่มีใจสูงนั่นเอง จะเอาตามภาษากาฬ ก็ได้จะเอาตามทางธรรมะก็ได้ คำว่ามนุษย์ต้องแปลว่ามีใจสูง ถ้าใจสูงก็เป็นมะพร้าวนาฬิเกร์ แม้อยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง ทะเลขี้ผึ้งก็ทำอะไรไม่ได้ คือฝนตกไม่ก้อง ฟ้าร้องไม่ถึง ฉะนั้นเราจะต้องเป็นมนุษย์กันให้ได้ ด้วยการมีใจสูงนั่นแหละจึงจะเป็นบุตรที่ดี ที่จะยกบิดามารดาของตนให้พ้นจากนรกได้ เพราะว่านรกนั้นคือความร้อนใจ บิดามารดามีความร้อนใจอย่างไรลูกหลานจะต้องช่วยขจัดปัดเป่าออกไปให้ได้จึงจะเรียกว่าเป็นบุตรเป็นหลานที่ถูกต้อง บิดามารดาจะมีความร้อนใจมากหลายอย่างหลายประการ นับตั้งแต่ว่าเมื่อยังไม่มีลูกก็ร้อนใจว่าไม่มีลูก ความรักหรือความรู้สึกโดยสัญชาตญาณมันเกิดขึ้นเองในการที่จะมีลูกและรักลูก เมื่อยังไม่มีลูกก็ยังไม่รู้สึกอุ่นใจหรือเย็นใจต้องการจะมีลูก พอมีลูกขึ้นมาความร้อนใจนั้นก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง อย่างหนึ่งแล้ว นี้เรียกว่าบุตรจะยกบิดามารดาขึ้นมาจากความร้อนใจได้อย่างหนึ่งแล้ว คือความร้อนใจในข้อที่ไม่มีลูก ที่นี้พอมีลูกแล้วถ้าลูกนั้นเป็นลูกที่ดีสมกับการเป็นลูก คือเกิดมาเพื่อยกบิดามารดาให้พ้นจากนรกคือความร้อนใจแล้วมันก็ดียิ่งขึ้นไปอีก คือลูกนั้นได้ทำให้บิดามารดามีความชื่นอกชื่นใจทุกอย่างทุกประการไปตามลำดับ มีรูปร่างสะสวย มีอนามัยดี มีการศึกษาดี มีความประพฤติดี และรักบิดามารดาเป็นชีวิตจิตใจ เสียสละได้แม้กระทั่งชีวิตของตนเพื่อประโยชน์แก่บิดามารดาอย่างนี้ นี้ก็ชื่อว่าเป็นผู้ยกบิดามารดาขึ้นมาจากนรกได้ สมตามความหมายของคำ ๆ นั้น และเมื่อในที่สุดก็เป็นผู้ที่ทำสกุลนี้ให้มีชื่อมีเสียง สืบสกุลไว้เป็นอย่างดี และทำบุญทักษิณานุประทานอุทิศแก่บิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้ว ไม่ขาดสายก็ได้ชื่อว่าเป็นบุตรที่ดียกบิดามารดาของตนขึ้นมาได้จากนรกจริง ๆ ดังนี้ นี่คือหน้าที่ฝ่ายบุตรหลานซึ่งจะต้องทำทุกอย่างทุกประการ เพื่อจะยกซึ่งบิดามารดาขึ้นมาจากนรกทุก ๆ ขุม ท่านทั้งหลายคงจะได้เคยได้ยินได้ฟังแล้วว่า คำว่านรกนั้นมีชื่ออย่างนั้นมีชื่ออย่างโน้นมีขนาดอย่างนั้นมีขนาดอย่างนี้มีอาการทรมานอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนที่เขียนไว้ตามฝาผนังโบสถ์ในสมัยโบราณ นี้เรียกว่านรกมีมากมายหลายชนิดหลายประการ แต่ว่าบุตรก็สามารถยกบิดามารดาขึ้นมาจากความร้อนใจทุกชนิดได้เหมือนกัน นับตั้งแต่ร้อนใจว่าจะไม่มีลูก นับตั้งแต่ร้อนใจว่าจะไม่มีใครเลี้ยงตัวเองเมื่อเฒ่าเมื่อแก่ มีความร้อนใจว่าตายแล้วใครจะสืบวงศ์สกุล หรือว่าเมื่อตายแล้วใครจะบำเพ็ญส่วนกุศลไปให้ ความร้อนใจนา ๆ ประการที่จะเกิดขึ้นมาแม้แต่การเจ็บ การไข้ การกิน การอยู่ การอะไรต่าง ๆ ที่เป็นความร้อนใจของคนแก่แล้ว บุตรที่ดีย่อมยกออกไปได้สิ้น นี่แหละพิจารณาดูความหมายของคำ ๆ นี้ ให้เป็นพิเศษจงทุก ๆ คนเถิด คือความหมายของคำว่าบุตร จะเป็นบุตรหญิงก็ได้เป็นบุตรชายก็ได้ ขึ้นชื่อว่าบุตรแล้ว จะต้องทำหน้าที่ ยกบิดามารดาขึ้นมาจากนรกทั้งนั้น เรามีความเป็นพุทธบริษัทมาโดยกำเนิดโดยเลือดโดยเนื้อ ได้รับการอบรมอย่างนี้สั่งสอนอย่างนี้ให้อุทิศชีวิตทั้งหมดทั้งสิ้นเพื่อบิดามารดาอย่างนี้ เราก็ได้ทำมาแล้วทุกอย่างทุกประการ จนกระทั่งในวันนี้เราได้บำเพ็ญทักษิณานุประทานเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่บิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้ว จะเป็นบิดามารดาโดยตรงหรือบิดามารดาของบิดามารดา บิดามารดาของบิดามารดาเป็นลำดับชั้นขึ้นไปก็ได้ทั้งนั้น เรียกว่าเป็นผู้ที่อยู่ในแนวในแถวที่เราจะต้องช่วยยกให้พ้นไปจากนรกด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นการบำเพ็ญกุศลในวันนี้ไม่ใช่เป็นของเล็กน้อยเลย เป็นของที่มีค่ามาก มีความความหมายมาก คือทำให้คนได้ชื่อว่าเป็นบุตรได้จริง ๆ ถ้ามิฉะนั้นแล้วก็จะเป็นเหมือนอุจาระหรือของสกปรกก้อนหนึ่งซึ่งออกมาจากท้องคน ๆ หนึ่งเท่านั้น คนทั่วไปได้รับคำสั่งสอนว่าคำว่าบุตรแปลว่าลูก เช่นลูกไม้เป็นต้น มันคลอดออกมาจากต้นใหญ่ก็เป็นลูกออกมาอย่างนี้ ถ้าถืออย่างนี้นี่แหละ คือที่เรียกว่าวัตถุนิยมจัด มองเห็นอะไร ๆ แต่ในทางวัตถุเท่านั้น ในที่สุดก็จะนำไปสู่ความคิดที่ต่ำทราม จะทำบาปกรรมได้อย่างง่าย ๆ หรือเกิดลัทธิวัตถุนิยมชนิดที่ไม่พึงปรารถนาขึ้นมาได้ในโลกนี้เมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นคำว่าบุตรที่แปลว่าลูกนั้นมันเป็นเรื่องตัวหนังสือและเป็นเรื่องทางวัตถุล้วน ๆ ส่วนคำว่าบุตรในหมู่พุทธบริษัทนั้นจะต้องมีความหมายอย่างนี้ คือความหมายอย่างที่กล่าวมาแล้วว่าผู้ยกบิดามารดาขึ้นมาเสียจากนรกโดยประการทั้งปวง เราวันนี้ได้บำเพ็ญบุญกุศลชนิดที่ทำตนให้ได้ชื่อว่าเป็นบุตรอย่างถูกต้อง ท่านทั้งหลายจงมีความพอใจ มีความภาคภูมิใจว่าวันนี้ได้บำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลในลักษณะที่จะกระทำตนให้ได้เป็นผู้ที่มีชื่อว่าบุตร บุตรนี้อย่างถูกต้อง คือยกบิดามารดาขึ้นมาจากนรกอยู่เสมอ บิดามารดาจะหลับตาตายไปแล้วอย่างไรก็ตามใจ เรายังมีหน้าที่ที่จะต้องยกบิดามารดาให้พ้นจากนรกอยู่เสมอ แม้ในความหวังของบุคคลผู้ล่วงลับไปแล้วนั้น เราจะต้องคิดถึงความหวังของบิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้วอยู่เสมอไป โดยตั้งคำถามขึ้นมาใหม่ ๆ สด ๆ นี้ก็ได้ว่าถ้าพ่อแม่ของเรายังมีชีวิตอยู่ท่านต้องการอย่างไร หรือพ่อแม่ที่กำลังยังเป็น ๆ ยังมีชีวิตอยู่เดี๋ยวนี้แหละท่านต้องการอย่างไร เราก็ต้องทำอย่างนั้น เพื่อเป็นการยกออกเสียซึ่งความร้อนใจจากจิตใจของท่านเหล่านั้น นั่นแหละคือความเป็นบุตรที่ถูกต้อง ไม่ใช่เป็นก้อนสกปรกก้อนหนึ่งออกมาจากท้องของบิดามารดาเลย ระวังให้ดีอย่าให้ความเป็นบุตรนั้นมีความหมายเพียงเป็นก้อนสกปรกก้อนหนึ่งออกมาจากท้องบิดามารดาเลย แต่ให้เป็นบุคคลที่ยกบิดามารดาออกมาจากเสียความร้อนใจเสมอไป บุตรที่แท้จริงมีความหมายอย่างนี้ ถ้าลูกคนไหนไม่มีความหมายอย่างนี้คนนั้นไม่ใช่บุตรแต่เป็นลูกคือก้อนสกปรกก้อนหนึ่งออกมาจากท้องบิดามารดา สำหรับจับบิดามารดายัดใส่ลงไปในนรกทีเดียว จงดูให้ดีลูกบางคนจับบิดามารดาใส่ลงไปในนรกคือนับตั้งแต่ลูกคนนี้ก้อนสกปรกก้อนนี้ออกมาแล้วบิดามารดามีแต่ความร้อนใจตลอดเวลา ลำบากยุ่งยากนานาประการจนโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วก็ยังมีความร้อนใจเพราะก้อนสกปรกก้อนนี้ นี่ก็เพราะว่ามันไม่ได้เป็นบุตรมันเป็นแต่เพียงลูกคือก้อนสกปรกก้อนหนึ่งออกมาจากท้องบิดามารดา เพิ่มความร้อนใจให้แก่บิดามารดาอยู่ตลอดเวลาไม่มีที่สิ้นสุด วันนี้เราไม่ได้ทำอะไรกันที่มีความหมายอย่างนั้น วันนี้เราทำอะไรทุก ๆ อย่างเพื่อให้เกิดความชื่นอกชื่นใจแก่บิดามารดาทั้งที่ยังอยู่และทั้งที่หลับตาตายไปแล้วเรียกว่าบำเพ็ญกุศลเป็นพิเศษยิ่งใหญ่กว่าวันใด ๆ หมดจึงพร้อมเพรียงกันมา พร้อมเพรียงอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าการบำเพ็ญบุญอย่างอื่นหมด เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ขอให้เป็นเช่นนี้ไปอย่างถูกต้องเถิด คือศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจในการที่จะยกบิดามารดาให้พ้นจากนรกให้ได้จริง ๆ แล้วเรานี่แหละเมื่อทำแล้วทำได้ดีแล้วก็เป็นตัวอย่างแก่ลูกหลานตาดำ ๆ เล็ก ๆ อยู่นี่ จะได้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้แล้วจะได้กระทำสืบต่อ ๆ กันไปไม่รู้จักสิ้นสุดจึงมีแต่มนุษย์ที่มีความเย็นอกเย็นใจ สืบไปเป็นช่วง ๆ ช่วง ๆ ไม่ขาดตอนไม่ขาดสาย เป็นโลกที่น่าอยู่ เป็นโลกที่น่าดู เพราะว่าเป็นโลกที่ประกอบไปด้วยธรรมะนั่นเอง ในที่สุดเราก็จะเข้าใจคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาในข้อที่ว่าธรรมะนั้นจะเป็นเครื่องมือกำจัดเสียซึ่งความเป็นนรกคือความร้อนใจ บุตรทั้งหลายทุก ๆ คน จงเรียนรู้ธรรมะนั้นและใช้ธรรมะนั้นสำหรับเป็นเครื่องยกบิดามารดาเสียจากความร้อนใจ ให้ได้ประสบผลเช่นเดียวกับต้นมะพร้าวนาฬิเกร์อยู่ได้แม้อยู่ท่ามกลางทะเลขี้ผึ้งโดยฝนตกไม่ก้องและฟ้าร้องไม่ถึง ให้สมกับความศักดิ์สิทธิ์ของเมืองนี้ ซึ่งมีบทกล่อมลูกอย่างนี้ และนึกดูแล้วก็น่านึกต่อไปอีกที่ว่าบทเพลงกล่อมลูกเรื่องมะพร้าวนาฬิเกร์นี้มีตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงมาเท่านั้นสูงขึ้นไปกว่านั้นเหนือไปกว่านั้นไม่มีจะมีตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงมาถึงไชยาถึงนครศรีธรรมราชและพัทลุงเป็นที่สุด ซึ่งเห็นได้ว่าในดินแดนถิ่นนี้มีวัฒนธรรมอย่างเดียวกัน รับพุทธศาสนาอย่างเดียวกันมีอะไรเนื่อง ๆ กัน ต้องเป็นหมู่ชนที่เคยเข้าถึงพระธรรมของพระพุทธศาสนามาแล้วตั้งพันสองร้อยปีมาแล้วเป็นอย่างน้อย จึงควรจะมีความภาคภูมิใจ รักษาความที่ได้มาอย่างดีเป็นมาอย่างดีนี้ให้ยังคงดีต่อไปอย่าให้สิ้นสุดได้ โดยอาศัยพระธรรมคำสอนของพระองค์ ซึ่งแสดงนิพพานไว้ในลักษณะของมะพร้าวนาฬิเกร์ในบทเพลงบทนี้จงทุกคนเถิด แล้วลูกหลานก็จะเป็นสัตว์กตัญญูกตเวที เป็นมนุษย์ที่ดีสมแก่ความเป็นบุตร ยกบิดามารดาของตนพ้นจากความร้อนใจด้วยประการทั้งปวง ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวัง จงมีด้วยประการละฉะนี้