แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาเพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา
ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษปรารภการที่ท่านทั้งหลายได้บำเพ็ญบุญกุศลอุทิศแด่บุคคลผู้ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งเป็นประเพณีอย่างหนึ่งของพุทธบริษัท กระทำกันมาเป็นลำดับๆ เพื่อจะรักษาไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีอันเป็นเครื่องฝึกฝนให้คนทั้งหลายตั้งอยู่ในคุณธรรมหรือศีลธรรมที่จำเป็นแก่การที่จะมีชีวิตอยู่อย่างผาสุก ขนบธรรมเนียมประเพณีเช่นนี้ ถ้าจะกล่าวอีกทางหนึ่งแล้วก็นับว่าเป็นตัวของศาสนาส่วนหนึ่งทีเดียว เพราะเหตุว่าข้อความซึ่งเป็นคำสอนอันมีอยู่ในพระศาสนาโดยตรงที่บัณฑิตชนในกาลก่อนได้นำเอามาพิจารณาแล้วบัญญัติขึ้นเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีแต่พูดไปในทำนองให้เป็นของขลังของศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้คนทั้งหลายพร้อมใจกันกระทำ ในที่สุดก็มีผลเป็นการประพฤติธรรมอย่างยิ่งคืออย่างสุดความสามารถของตนๆ ด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะในวันเช่นวันนี้ถ้าได้กระทำอะไรลงไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีนี้แล้ว ย่อมเป็นการประพฤติปฏิบัติธรรมในส่วนที่เป็นความกตัญญูกตเวทีบ้าง ในส่วนที่ประพฤติศีลธรรมที่ดีที่งาม ในส่วนที่บำเพ็ญทานเพื่อสืบอายุพระศาสนา และบำเพ็ญคุณธรรมอย่างอื่นอีกมาก มีความสามัคคีความเมตตาปราณีความอดกลั้นอดทนเป็นต้น ซึ่งเป็นการประพฤติปฏิบัติไปโดยไม่รู้สึกตัวสำหรับผู้ที่ไม่สนใจจะศึกษา แต่ถ้าเป็นผู้ที่สนใจศึกษาและสังเกตแล้วย่อมจะเห็นว่าเป็นการประพฤติธรรมอย่างสนุกสนานเบิกบานใจอย่างพร้อมเพรียงกันทีเดียว จึงได้มีการประชุมใหญ่และมีการกระทำชนิดที่ทำอย่างพร้อมเพรียงกันเห็นเช่นปานดังนี้
การที่บุคคลพิจารณาเห็นคุณค่าและอานิสงส์ของการกระทำแล้ว เกิดความปีติปราโมทย์พอใจในการกระทำนั้น นั้นเรียกว่าเป็นการได้บุญ มีปีติมากก็ได้บุญมาก แต่ถ้าไม่สังเกตไม่พินิจพิจารณาแล้วก็ยากที่จะมีปีติมาก ถึงแม้จะมีปีติมากก็เป็นปีติอย่างเคลิ้มๆ เป็นปีติอย่างเพ้อๆ ไป เพราะฉะนั้นบุญที่ได้ก็ต้องเป็นบุญอย่างเพ้อๆ ไปด้วยเหมือนกัน หวังว่าจะได้มีการแก้ไขชำระสะสางในส่วนนี้ให้ดียิ่งขึ้นทุกที คือด้วยการศึกษาและสังเกตในสิ่งที่ตนกระทำนี้มากให้ยิ่งขึ้นไป ให้ได้รับผลสมตามความมุ่งหมายทั้งของขนมธรรมเนียมประเพณีและของพุทธศาสนาซึ่งพุทธบริษัทประพฤติปฏิบัติกันอยู่เป็นประจำ การบำเพ็ญกุศลในวันนี้นั้น ถ้ากล่าวอย่างที่เด็กๆ ชาวบ้านทั่วไปรู้กันอยู่ก็มีว่าเป็นวันที่ตายายที่ตายไปแล้วจะมา จะมาโดยทางวิญญาณหรือจะมาโดยทางอะไรก็ได้ แต่เรียกว่าเป็นวันที่ตายายมาดูว่าลูกหลานกระทำอะไรกันบ้าง ถ้าเห็นลูกหลานกระทำสิ่งที่ดีที่งามในวันเช่นวันนี้ ก็พากันดีใจให้ศีลให้พรลูกหลาน ถ้าเผอิญมาเห็นว่าไม่มีลูกหลานคนใดของตัวมาทำความดี ก็เสียใจร้องห่มร้องไห้หรือถึงกับด่าแช่งลูกหลานผู้ไม่ประพฤติคุณงามความดีในวันเช่นวันนี้ เพราะฉะนั้นจึงพยายามที่จะมากันเป็นส่วนมาก เพราะความกลัวก็มี เพราะความเชื่อก็มี แต่เมื่อรวมความแล้วผู้ที่มานี้ก็ยังนับว่าเป็นการดี เพราะว่าอย่างน้อยก็ได้ประพฤติคุณงามความดีตามขนบธรรมเนียมประเพณีนั้นๆ แม้จะด้วยความเชื่อหรือความกลัว แต่ถ้าผู้ที่มีปัญญาพิจารณายิ่งขึ้นไปอีก ก็จะพอใจมากกว่านั้น คือพอใจในการที่ได้บำเพ็ญคุณธรรมที่ประเสริฐหลายอย่างด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือนิสัยของความกตัญญูกตเวทีนั้น ที่นับว่าเป็นของสำคัญก็เพราะว่าถ้าใครเป็นคนมีความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษแล้ว ย่อมทำชั่วไม่ได้เพราะรู้สึกว่าไม่ตรงตามความประสงค์ของบรรพบุรุษ ฉะนั้นจึงตั้งหน้าตั้งตาทำแต่ความดีแม้เพราะอำนาจของความกตัญญูกตเวทีนั้น จึงนับว่าเป็นการคุ้มได้มากทีเดียว
เดี๋ยวนี้คนเราใจบาปหยาบช้ามีจิตใจแข็งกระด้าง จึงได้พากันทำสิ่งบางอย่างที่ไม่ควรจะทำ อย่างนี้นับว่าผิดจากที่บรรพบุรุษปู่ย่าตายายได้เคยหวังไว้ นับว่าเป็นการอกตัญญูหรืออกตเวทีอย่างยิ่งอยู่ในตัวแล้ว เป็นสิ่งที่จะต้องคิดนึกกันให้มากด้วยกันทุกคน โอกาสในวันนี้ก็จะได้กล่าวถึงเรื่องการต้อนรับตายายอีกนั่นเอง คือถ้าว่าตายายได้มาจริง เราจะต้องต้อนรับกันด้วยวิธีไร จึงจะเป็นการดีที่สุดสมกับที่เป็นพุทธบริษัทนับถือพระพุทธศาสนา การต้อนรับนั้นมีอยู่มากมายหลายอย่าง ถ้ากล่าวโดยทั่วๆไป ก็คือต้อนรับด้วยวัตถุสิ่งของ มีอะไรให้กินให้ใช้นี้ก็อย่างหนึ่ง แล้วก็ต้อนรับด้วยการประพฤติหรือกระทำให้ได้รับประโยชน์หรือให้ถูกอกถูกใจนี้ก็อีกอย่างหนึ่ง อย่างแรกเรียกว่าต้อนรับด้วยอามิส อย่างหลังเรียกว่าต้อนรับด้วยธรรม และท่านสรรเสริญว่าการต้อนรับด้วยธรรมย่อมประเสริฐกว่าการต้อนรับด้วยอามิส เช่นเดียวกับที่ว่าบูชาด้วยธรรมย่อมประเสริฐกว่าบูชาด้วยอามิส บูชาด้วยอามิสก็คือสิ่งของอีกนั่นเองให้เป็นเครื่องบูชา ส่วนบูชาด้วยธรรมนั้นก็คือการปฏิบัติตามธรรมให้ถูกธรรมเพราะเห็นแก่บุคคลนั้น จึงเป็นการบูชาบุคคลนั้นด้วยธรรม เหมือนอย่างว่าเด็กๆ หาข้าวของมาให้บิดามารดาได้กินได้ใช้ในยามแก่ชรา ก็ได้ชื่อว่าเป็นการบูชาด้วยอามิสคือสิ่งของ แต่ถ้ากระทำด้วยการประพฤติให้ถูกอกถูกใจ อย่างนี้เรียกว่าเป็นการบูชาด้วยธรรม เพราะเป็นการประพฤติธรรมประพฤติตามธรรมแล้วจึงบูชา จึงเรียกว่าเป็นการบูชาด้วยธรรม อย่างนี้ยิ่งกว่า เป็นการบูชาที่ยิ่งกว่าบูชาด้วยสิ่งของ เพราะว่าได้ทำให้บิดามารดานั้นมีความสุขใจยิ่งไปกว่าบูชาด้วยสิ่งของ คือถูกอกถูกใจ สบายอกสบายใจ ปลื้มอกปลื้มใจยิ่งกว่าการได้รับสิ่งของ และเมื่อมองถึงประโยชน์ก็มีกว้างขวางกว่ากันมาก ในเมื่อมีคนประพฤติธรรมแล้วก็มีคนพอใจในธรรมที่ประพฤตินั้น แล้วก็มีผลกว้างขวางออกไปถึงคนข้างเคียงคนแวดล้อมหรือคนได้พบได้เห็นอีกเป็นอันมาก คือมีประโยชน์ที่มองไม่เห็นอีกเป็นอันมาก ท่านจึงได้ถือว่าการบูชาหรือการต้อนรับก็ตามที่กระทำไปด้วยธรรมนั้นมีผลกว่า มีอานิสงส์กว่าที่จะต้อนรับหรือบูชาด้วยอามิส ถ้าเราตกลงใจดังนี้ก็ควรจะได้สนใจในเรื่องการบูชาด้วยธรรมอีกส่วนหนึ่ง แทนที่จะบูชาด้วยอามิสสิ่งของเพียงอย่างเดียวจะบูชาต้อนรับบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วด้วยธรรมอย่างไร ข้อนี้ก็จะต้องมองให้เห็นว่าการบูชาด้วยสิ่งของทำอย่างไรเป็นเบื้องต้นก่อน แล้วจึงจะค่อยพิจารณาดูการบูชาด้วยธรรม แต่ถ้าว่าโดยที่แท้แล้วการประพฤติกระทำที่กระทำอยู่ด้วยกายด้วยใจนั้น ย่อมเป็นการบูชาด้วยธรรมไปเสียทั้งนั้น แต่เดี๋ยวนี้เราแยกกันตรงที่ว่าถ้าเอาสิ่งของเป็นที่ตั้ง ก็เรียกว่าบูชาด้วยสิ่งของ ถ้าเอาการประพฤติกระทำเป็นที่ตั้ง ก็เรียกว่าเป็นการประพฤติบูชาด้วยธรรม เพราะในการบูชาด้วยสิ่งของนั้นก็ต้องมีการกระทำด้วยเหมือนกัน และการกระทำนั้นก็ต้องกระทำด้วยสิ่งของ เพราะฉะนั้นมันจึงเนื่องกันอยู่ เราจึงเพ่งเล็งส่วนที่เพ่งเล็งเป็นเบื้องหน้าว่าเพ่งเล็งถึงสิ่งของก็เป็นการบูชาด้วยอามิส ถ้าเพ่งเล็งถึงการกระทำหรือแม้ด้วยน้ำใจซึ่งเป็นการกระทำทางใจ ก็นับว่าเป็นการบูชาด้วยธรรม
ทีนี้เราจะได้นึกกันถึงข้อที่ว่าปู่ย่าตายายที่ล่วงลับไปแล้วนั้น ถ้าสมมติว่าได้มาเห็นพวกเรา ได้มาเห็นบ้านเมืองของเราในเวลานี้จะรู้สึกอย่างไร จะอิ่มอกอิ่มใจหรือว่าจะคลื่นเหียนเวียนหัวเป็นลมตายไป ก็ลองพิจารณาดูว่าในบ้านเมืองเราในโลกเราในเวลานี้มันมีอะไรบ้าง ถ้าเราจะลองมองดูง่ายๆ อย่างที่เราได้ยินได้ฟังจากหนังสือข่าวสารต่างๆ ที่บอกกล่าวกันอยู่ว่ามีคนฆ่าตัวเองตาย ฆ่าผู้อื่นตายหรือฆ่าทั้งตัวเองและผู้อื่นตายพร้อมๆ กันดังนี้ ก็มีหนาหูขึ้น หรือว่าฆ่าตัวเองตายฆ่าบุตรภรรยาตายพร้อมๆ กันไปด้วยความกลุ้มใจคราวละหลายๆ คน อย่างนี้ก็มีหนาหูขึ้น และการทำร้ายผู้อื่นอย่างซึ่งหน้าในลักษณะที่ไม่เคยมีมาก่อน ก็มีหนาหูขึ้น ถ้าปู่ย่าตายายได้มาเห็นสิ่งเหล่านี้ซึ่งไม่เคยมีแต่กาลก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยที่ศีลธรรมของปู่ย่าตายายยังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่นั้นจะนึกอย่างไร จะนึกว่านี่มันเป็นลูกหลานของเราหรือเปล่า ควรจะลองนึกดู ทีแรกเราลองนึกดูในเรื่องทางวัตถุสิ่งของกันก่อน ว่าบ้านเมืองถนนหนทางอย่างนี้ ถ้าตายาย ปู่ทวด ตาทวดที่ได้ตายไปแล้วกลับมาเห็น ก็คงจะจำไม่ได้ คงจะรู้สึกงงงันไม่หมด เหมือนอย่างว่าพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่สร้างกรุงเทพมหานครเมื่อราวสองร้อยปีมาแล้วนั้น กลับมาเห็นบ้านเมืองเดี๋ยวนี้ก็คงจะจำไม่ได้ ว่านี่เป็นบ้านเมืองของตัว เพราะมีความแปลกประหลาดผิดไปมาก แต่ทีนี้พอมาดูที่คนก็จะถึงกับสะดุ้ง เพราะว่าแทนที่คนจะมีความเป็นสัตบุรุษเรียบร้อยตั้งอยู่ในศีลธรรมอันดี มีหิริโอตตัปปะ กลับมีคนจำนวนมากซึ่งเป็นเหมือนกับยักษ์กับมาร หรือเป็นสัตว์นรกที่อยู่ในร่างของมนุษย์ดังนี้มากขึ้น แล้วก็จะคิดอย่างไร คงจะคิดว่าหรืออย่างน้อยก็คงจะคิดว่าเป็นการขาดทุนที่ได้สร้างเมืองนี้ขึ้นมาก็เป็นได้ บ้านเมืองอื่นก็เหมือนกัน ถ้าคิดดูให้ดีแล้วมันเป็นการได้กำไรหรือเป็นการขาดทุน คือเป็นการน่าปลื้มอกปลื้มใจหรือว่าน่าเวียนหัว ทุกคนก็พอจะมองเห็นได้ แล้วก็มองดูให้ถูกให้ตรงสิ่งที่เรียกว่าความเจริญก้าวหน้าเหล่านั้นว่ามันหมายถึงอะไร ถ้ามองกันหยาบๆ ก็ดูจะสนุกดี แต่ให้มองกันอย่างละเอียดแล้ว ก็คงจะรู้สึกสลดสังเวชในสิ่งที่เรียกว่าความเจริญ เพราะมันช่างสมกันกับว่าความเจริญ คำว่าเจริญนี้ แปลว่ารกรุงรังหรือยุ่งเหยิงมากขึ้น มันมีความรกรุงรังไปด้วยสิ่งที่ไม่ควรจะมีมากขึ้น มันยุ่งเหยิงไปด้วยความระส่ำระสายก้าวก่ายกันไม่เป็นระเบียบ ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ที่ชัดเจนถูกต้อง นี่คือความเจริญของสมัยนี้ เพราะว่าถ้าเรามองดูให้ดีแล้วคนที่ไม่ควรจะมีอยู่ในโลกมันก็เหลืออยู่ในโลกมากขึ้น ข้อนี้หมายถึงทางฝ่ายร่างกายและทั้งทางฝ่ายจิตใจ ทางฝ่ายร่างกายนั้น ถ้าจะพูดให้ตรงๆ โดยไม่ต้องเกรงใจกันแล้วก็น่าจะพูดว่าคนที่ควรตายไปเสียนั้นมันเหลืออยู่มากเหมือนกัน คือว่าโรคภัยไข้เจ็บบางอย่างนั้น การก้าวหน้า วิชาทางการแพทย์ก้าวหน้ารักษาช่วยชีวิตให้รอดไว้ได้ ไม่ต้องตาย ทีนี้มันก็เหลืออยู่เป็นคนอ่อนแอ เป็นพืชพันธุ์ที่ไม่ดี เป็นพืชพันธุ์ที่มีจิตใจไม่สมประกอบเจืออยู่ปนอยู่ในหมู่มนุษย์นี้มากขึ้น ถ้าปล่อยให้ธรรมชาติตัดสิน คนที่ไม่แข็งแรงพอก็ต้องตายไปหมดแล้ว ก็เหลืออยู่แต่ที่ดีๆ ที่เข้มแข็ง ที่แข็งแรง ซึ่งมีร่างกายดีมีอนามัยดีมีจิตใจดีอยู่ตามธรรมชาติ ไม่ขี้มักเป็นโรคปวดหัวหรือโรคเส้นประสาทหรืออ่อนแออย่างอื่นเหมือนคนสมัยนี้ ธรรมชาติมันต้องการอย่างนี้คือต้องการให้อยู่แต่ที่แข็งแรง มันจึงมีโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมาเป็นเหมือนกับการสอบไล่คัดเลือกกวาดล้างทิ้งไป แต่เดี๋ยวนี้เรามีความเจริญในทางการแพทย์ช่วยคนอ่อนแอไว้ เป็นบุคคลที่ทำปัญหายุ่งยากให้เกิดขึ้นมากขึ้นทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ อย่างนี้ลองคิดดูเถิดว่ามันดีขึ้นหรือว่ามันเสื่อมลง แต่ถ้าเราพูดกันอย่างธรรมดาสามัญก็เรียกว่ามันดีขึ้นมันเจริญขึ้น คือช่วยชีวิตกันไว้ได้มากขึ้นมีพลเมืองมากขึ้น แต่อีกทางหนึ่งก็จะว่ามันไม่ได้ดีขึ้น เพราะมันมีคนที่ไม่สมประกอบอยู่ในโลกนี้มากขึ้นก็ได้ มันเป็นเรื่องรกรุงรังไปเท่านั้นเอง จึงไม่ถือว่าความเจริญก้าวหน้าแม้ชนิดที่น่าสรรเสริญบูชา เช่นความเจริญก้าวหน้าในทางช่วยชีวิตคนนี้ มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้โลกนี้ดีงามเสมอไป มันต้องมีส่วนที่ทำให้ยุ่งยากลำบากหรือเป็นโทษรวมอยู่ด้วยเหมือนกัน
ที่เอามากล่าวนี้ก็เพียงแต่จะชี้ให้เห็นว่า แม้ในทางร่างกายนี้ เราก็ไม่ได้ดีขึ้นไม่ได้สูงขึ้นเท่ากับที่ว่าวิชาการแพทย์มันก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป แต่มันเพิ่มปัญหายุ่งยากบางอย่างบางประการให้มากขึ้น ไม่ได้เป็นไปตามกฎธรรมชาติที่ว่าเอาแต่น้อยๆ เหลือแต่ที่แข็งแรงอย่างนี้เป็นตัวอย่าง ทีนี้มองดูกันในทางจิตใจก็จะยิ่งซ้ำร้ายไปกว่านั้น เพราะว่าจิตใจนั้นเนื่องกันอยู่กับร่างกาย เมื่อคนมีร่างกายไม่สมประกอบมากขึ้นจิตใจก็ไม่สมประกอบมากขึ้น มันจึงมีการกระทำที่นอกลู่นอกทางมากขึ้น มีการเบียดเบียนตัวเองเบียดเบียนผู้อื่นอย่างแปลกประหลาดมากขึ้นๆ ดังนั้นมันก็เป็นการเสื่อมทรามไปตามกัน ทีนี้เราเอาปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ปรากฏอยู่เป็นเกณฑ์แล้ว เราจะเห็นว่ามันโกลาหลวุ่นวายมันระส่ำระสาย มันยุ่งยากไปหมดทั้งโลกทีเดียว ไม่ได้มีความสงบอกสงบใจเหมือนในสมัยที่เรียกว่ายังไม่เจริญ เพราะว่าความเจริญนี้มันเจริญไปตามเรื่องของชาวโลกที่มีจิตใจอย่างโลกๆ ซึ่งคอยแต่จะละทิ้งธรรมมากขึ้นทุกที ถ้ามันเจริญทางธรรมควบคู่กันไปด้วย นั่นแหละจึงจะเรียกว่าเจริญจริง แต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็นอย่างนั้น รีบเร่งเจริญแต่ทางฝ่ายเนื้อหนังหรือทางฝ่ายโลกๆ ทางฝ่ายวัตถุทางฝ่ายร่างกายเป็นส่วนใหญ่ มันจึงเกินพอดี ความเจริญนั้นจึงกลายเป็นโทษขึ้นมา ทำปัญหายุ่งยากให้แก่มนุษย์นั่นเองจนลำบากยากเย็นกันไปทั่วทุกหัวระแหง กระทั่งผู้ที่สนใจจะตั้งตัวอยู่ในธรรม ก็พลอยได้รับความยุ่งยากลำบาก เพราะว่าในโลกนี้มีคนที่มีจิตใจผิดปกตินั้นมากยิ่งขึ้นทุกที ผลสะท้อนถึงกันโดยที่ใครๆ ช่วยป้องกันไว้ไม่ได้ จึงกล่าวสรุปให้สั้นๆ ไว้ สำหรับจะได้ไปคิดไปนึกไประวังด้วยกันทุกคนว่า ยิ่งนับวันยิ่งอยู่ในโลกนี้ยากลำบากมากขึ้นทุกที เพราะว่ายิ่งนับวันเท่าไหร่ก็ยิ่งมีแต่คนที่ไม่ประกอบด้วยธรรมมากขึ้นทุกที เพราะไปหลงบูชาเรื่องทางฝ่ายวัตถุหรือทางฝ่ายร่างกายมากขึ้นทุกที ถ้าไม่ได้อย่างใจเขา เขาก็ฆ่าตัวเอง เขาก็ฆ่าผู้อื่นหรือว่าเขาพยายามที่แย่งชิงกอบโกยผลประโยชน์ของผู้อื่น หรือว่าเขาจะทำทุกๆ อย่างที่จะทำให้เขาได้รับประโยชน์ส่วนตัวเขา โดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น ฉะนั้นผู้อื่นที่อยู่ร่วมโลกกับเขาก็พลอยลำบากกันมากขึ้น ที่กล่าวนี้ไม่ได้กล่าวเฉพาะเรื่องส่วนตัวบุคคลเป็นคนๆ แม้เรื่องหมู่คณะก็ยังเป็นอย่างนั้น และแม้เรื่องในระหว่างประเทศต่อประเทศก็เป็นอย่างนั้น หรือว่าเรื่องระหว่างหลายๆ ประเทศ คือกลุ่มของประเทศก็ยังเป็นอย่างนั้น ทั้งนี้ก็เพราะว่าพลเมืองทุกคนมีความหันเหไปในทางนั้น เพราะว่าประเทศนั้นประกอบขึ้นด้วยพลเมืองคนหนึ่งๆ เมื่อพลเมืองคนหนึ่งๆ มีจิตใจอย่างไร ส่วนมากของประเทศก็เป็นอย่างนั้น เมื่อเกิดนิยมความสุขทางวัตถุกันมากขึ้น ทั้งประเทศก็กลายเป็นประเทศที่นิยมวัตถุ ไม่คำนึงถึงกฎเกณฑ์ของธรรมซึ่งเป็นเรื่องทางจิตใจหรือถือเอาจิตใจเป็นหลัก ด้วยเหตุเช่นนี้แหละจึงพูดว่านับวันแต่จะยิ่งอยู่ในโลกนี้ยากขึ้นทุกที เพราะว่าโลกนี้มันผันแปรไปในลักษณะที่ทำให้อยู่กันยากลำบากมากขึ้นทุกที
ทีนี้ก็มาถึงปัญหาที่ว่าจะแก้ไขกันอย่างไร หรือว่าตัวเราจะอยู่อย่างไรจะต้องทำอย่างไร เราจะรีบชิงไปฆ่าตัวเองตายเสียก่อน ดังนั้นมันก็เป็นเรื่องที่น่าหัวเราะหรือเป็นเรื่องที่โง่น่าสงสารมากเกินไป และมันก็ไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นมา ฉะนั้นทางที่ดีอย่างน้อยมันก็เป็นโอกาสที่จะได้ศึกษาหาวิธีที่จะเอาชนะสิ่งเหล่านี้ให้ได้ เรียกว่าเป็นผู้ไม่พ่ายแพ้ เป็นผู้ที่มีอะไรบางอย่างบางสิ่งที่ดีที่จะต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้ได้ ไปๆ มาๆ ก็ไม่มีอะไรอีกนอกจากสิ่งที่เรียกว่าธรรม หรือธรรมะ อีกนั่นเอง ซึ่งถ้าผู้ใดมีก็จะย่อมแก้ปัญหาข้อนี้ได้ทั้งส่วนตัวและส่วนผู้อื่น คือว่าช่วยกันทำให้มีธรรมะขึ้นมาในบ้านในเมืองหรือในโลกอย่างเดียวเท่านั้นจึงจะแก้ปัญหาข้อนี้ได้ คือทำให้สังคมหรือโลกนี้เป็นส่วนรวมดีขึ้น ทีนี้ถ้าหากว่ามันไม่ดีขึ้น เราก็ยังเอาชนะได้ตรงที่เรามีธรรมะชนิดที่ทำให้จิตใจไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร คือไม่เป็นทุกข์ไปตามสิ่งเหล่านั้น ไม่หลงใหลไปตามสิ่งเหล่านั้น เป็นผู้ที่หัวเราะเยาะได้อยู่เสมอไปจนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย เมื่อยังไม่ถึงวาระสุดท้าย ก็ยังทำตนเป็นตัวอย่างที่ดีที่งามสำหรับคนทุกคน เขาจะเอาอย่างหรือไม่ก็ตามใจเขา แต่ว่าเราทำก็แล้วกัน ให้อยู่กันแบบฉบับเป็นหลักเป็นเกณฑ์ว่าธรรมะเป็นอย่างนี้ มีเนื้อมีตัวเป็นธรรมะอย่างนี้ อยู่ก็อยู่ด้วยธรรมะ ตายก็ตายไปด้วยธรรมะ หรือถ้าถึงธรรมะจริงๆ แล้วมันไม่มีอยู่มันไม่มีตาย เพราะว่าธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ได้ตาย จะเรียกว่าอยู่ก็เกินกว่าอยู่เพราะมันไม่ตาย มันไม่เกิด มันไม่เปลี่ยนแปลง มีจิตใจเป็นธรรมะเสียให้หมดโดยสิ้นเชิง อย่ามีอะไรเหลือเป็นของตัว มันก็อยู่เหนือการกระทบกระทั่งทุกๆ ชนิด ความเจ็บก็กระทบกระทั่งไม่ได้ ความตายก็กระทบกระทั่งไม่ได้ จึงเป็นจิตใจที่จะไม่เป็นทุกข์ พอดับสิ้นไปก็เลิกกัน ถ้ายังมีความรู้สึกอยู่ก็ไม่เป็นทุกข์ นี้เรียกว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงสิ่งเดียวที่จะต่อสู้ได้หรือจะช่วยแก้ปัญหาให้เราทั้งหลายได้ ถ้าปู่ย่าตายายมาเห็นความเป็นอย่างนี้ของเรา ก็จะมีความพออกพอใจเป็นอย่างยิ่ง คงจะถึงกับยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว โมทนาสาธุการต่อการกระทำของลูกหลานทีเดียว ไม่เหมือนกับที่มาเห็นลูกหลานตกเป็นฝ่ายเสื่อมเสียทั้งในทางร่างกายและทั้งในทางศีลธรรม แล้วก็เสียอกเสียใจร้องห่มร้องไห้ไม่เป็นการต้อนรับที่ดีเลย ถ้าจะมีการต้อนรับที่ดี ก็ควรจะเป็นการต้อนรับในลักษณะที่ทำให้ตายายเหล่านั้นเกิดความปลื้มอกปลื้มใจ ได้เห็นสิ่งที่ดีได้ฟังสิ่งที่ดีในการกระทำของลูกหลานจนบอกไม่ถูกว่าจะดีอกดีใจอย่างไร นี้เรียกว่าเป็นการต้อนรับที่ดี ถ้าเราพยายามคิดกันดังนี้ อำนาจของความกตัญญูกตเวทีดังที่กล่าวแล้วนั่นเอง จะช่วยให้มีการประพฤติกระทำที่น่าสรรเสริญน่าบูชาน่าปลื้มอกปลื้มใจยิ่งกว่านี้มาก เดี๋ยวนี้จงลองมองดูตามที่เป็นจริงเถิด จะเห็นได้ว่าแม้แต่สิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ก็ยังถูกละเลย หมายความว่าสิ่งที่ตัวเองได้รับประโยชน์อยู่แท้ๆ ก็ยังพากันละเลย อย่างว่าจะช่วยกันรักษาความสะอาดที่หน้าบ้าน ก็ยังเห็นว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัวด้วยซ้ำไป เป็นหน้าที่ของใครก็บอกไม่ถูก แต่ว่านั่นมันหน้าบ้านของตัว มันก็เป็นถนนที่ตัวเองก็เดินมากกว่าคนอื่น แต่แล้วการที่จะช่วยกันรักษาความสะอาดนั้นกลายเป็นไม่ใช่หน้าที่ของตัว หรือว่าถนนหนทางห้วยหนองคลองบึงบาง ที่คมนาคม ที่แสวงหาประโยชน์อย่างอื่นก็เช่นเดียวกัน สิ่งซึ่งเป็นสาธารณประโยชน์นั้นๆ นอกจากไม่ช่วยกันบำรุงรักษาแล้ว ยังช่วยกันทำลายเสียจนกระทั่งเดือดร้อนกันไปหมด เหล่านี้เรียกว่าไม่ได้กระทำตามตัวอย่างที่ดีของปู่ย่าตายาย แล้วก็ไม่ได้ทำเพื่อให้ถูกอกถูกใจตายายด้วย เพราะมันฝืนขนบธรรมเนียมที่ปู่ย่าตายายได้วางไว้ คนที่มีอายุมากสักหน่อย ก็พอจะย้อนระลึกนึกถึงความหลังได้ตามที่ได้เคยเห็นบิดามารดาปู่ย่าตายายของตนได้กระทำอย่างไร ได้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อย่างไร ได้มีจิตใจชนิดที่เห็นแก่ผู้อื่นอย่างไร แล้วมาเทียบกันดูกับการกระทำของคนสมัยนี้ว่ามีความเห็นแก่ตัวโดยเฉพาะอย่างไร และเรื่องมันจึงผิดแปลกกันถึงกับขนาดที่เรียกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้เลย นี่ปรากฏขึ้นทุกวันๆ ถ้าขืนปล่อยไปอย่างนี้ มันก็ไม่มีอะไรอื่นนอกจากการล้างผลาญกันคราวเดียวหมดทั้งโลกเข้าสักวันหนึ่งเป็นแน่
นี่คือการกระทำของมนุษย์ใช่หรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาดูอีกเหมือนกันว่ามนุษย์เรามีมาเจริญขึ้นมาและเจริญขึ้นไปตามลำดับนี้เพื่อไปวินาศในที่สุดหรือจะเพื่อไปอย่างไรกันแน่ เรามองเห็นว่าเราจะไปสู่ความสงบสุขเย็นอกเย็นใจหรือว่าเรามองเห็นแต่ว่ามันจะมีแต่ความล้างผลาญกันอย่างวินาศ ขอให้ทุกคนลองพยายามมองหรือลองพยายามคาดคะเนหรือจะเดาเอาก็ตามว่ามันคงจะเป็นอย่างไร เรื่องที่หนาหูมากขึ้นทุกวันๆ นั้นจะบอกได้ดีว่าในอนาคตมันจะเป็นอย่างไร และนี่แหละคือการละทิ้งร่องรอยของบรรพบุรุษของปู่ย่าตายาย จนกระทั่งว่าถ้าคนเหล่านั้นกลับมาเห็นลูกหลานแล้วแทบจะจำไม่ได้ว่าบ้านเมืองของตัวหรือลูกหลานของตัวมันช่างผิดกันไกลเหลือเกินดังนี้ เกี่ยวกับเรื่องนี้เรารวบรวมเรียกกันสั้นๆ ว่าเรื่องความเสื่อมทรามของศีลธรรม ท่านทั้งหลายพอได้ยินคำว่าศีลธรรม ก็คงจะนึกสบายใจบ้าง แต่ถ้าได้ฟังว่าเป็นเรื่องเสื่อมทรามทางศีลธรรม ก็คงจะนึกเศร้าและนึกหวั่นกลัว เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งใดๆ เรื่องความเสื่อมทรามของศีลธรรมนั้นมันทำลายล้างโลกยิ่งกว่าลูกระเบิดหรือยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ยิ่งกว่ายักษ์กว่ามารจะมาทำลาย ความเสื่อมทรามทางศีลธรรมของมนุษย์นั่นเองจะทำลายโลกยิ่งกว่าที่ยักษ์หรือมารจะมาช่วยทำลายหรือว่าลูกระเบิดจะมาทำลาย หรือว่าถ้าพูดถึงลูกระเบิดหรือยักษ์หรือมารที่แท้จริงแล้วมันก็ต้องได้แก่ความเสื่อมทรามทางศีลธรรมนั่นเอง เพราะฉะนั้นอย่างน้อยที่สุดก็ควรจะมองเห็นหรือรู้สึกโดยประจักษ์ว่าความเสื่อมทรามทางศีลธรรมนี้ เป็นข้าศึกศัตรูสุดยอดของมนุษย์เราทีเดียว ไม่มีอะไรจะเป็นข้าศึกศัตรูยิ่งเท่านี้ การที่คนเป็นศัตรูกันก็ยังไม่ทำอันตรายกันได้เท่านี้ หรือว่าจะเอาลูกระเบิดมหาประลัยมาทิ้งให้เป็นห่าฝนก็ยังไม่ทำลายกันได้เท่านี้ เพราะว่าจะทำลายกันได้แต่เพียงร่างกายเท่านั้นเอง ไม่ทำลายความดีความงามอะไรให้เสียไปได้ แต่ถ้าเป็นความเสื่อมทรามทางธรรมทางศีลธรรมแล้ว มันทำลายความดีความงามของมนุษย์หมดสิ้นจนไม่เหลือความเป็นมนุษย์ เหลืออยู่แต่ความเป็นสัตว์ มันก็เลยยิ่งร้ายกาจไปกว่าที่จะยังมีชีวิตอยู่เสียอีก ถ้ามีชีวิตชนิดที่ไม่เป็นมนุษย์หรือต่ำกว่ามนุษย์มากเกินไปหรือทนทุกข์ทรมานมากเกินไป อย่างนี้ใครๆก็คงจะสมัครตายเสียดีกว่าที่จะอยู่ ฉะนั้นเราจึงถือว่าความเสื่อมทรามทางศีลธรรมนั้นเป็นสิ่งที่น่าสะดุ้งกลัวยิ่งกว่าสิ่งใดหมด ถ้าปู่ย่าตายายมาแล้วพบความเสื่อมทรามทางศีลธรรมของลูกหลาน นั่นแหละก็จะมีอาการอย่างที่เรียกว่าผงะหงายหลังเป็นลมตายไปเลย เพราะได้มาเห็นสิ่งที่น่ากลัวแสนที่จะน่ากลัวนี้ นี้เรียกว่าเราจะรับผิดชอบหรือไม่ในการที่ปู่ย่าตายายจะได้มาเห็นสิ่งเหล่านี้แล้วก็มีอาการอย่างที่ว่านั้น ลูกหลานในโลกในสมัยนี้ได้สนใจกับเรื่องเหล่านี้หรือเปล่า หรือว่าสนใจแต่เรื่องปากเรื่องท้องของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญเพียงเรื่องเดียว และเรื่องนอกนั้นไม่มีความหมาย อย่างนี้แล้วจะมาทำบุญตายายที่นี่ให้ป่วยการทำไม เสียเวลาเปล่าๆ เสียของเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับคนที่มีจิตใจชนิดนั้น มีทางที่จะทำก็แต่เพียงอย่างเดียวคือว่าจะต้องรู้สึกรับผิดชอบอย่างยิ่งในการที่จะทำให้ถูกอกถูกใจของบิดามารดา ปู่ย่าตายาย บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วให้จนได้ ให้ถือว่าความเสื่อมทรามทางศีลธรรมนี้เรารับผิดชอบ เรามีหน้าที่ที่จะต้องแก้ไขไม่ให้มันเกิดขึ้น ไม่ให้เสียความหวังของปู่ย่าตายายนั่นเอง
เพราะฉะนั้นจึงได้กล่าวแล้วกล่าว อีกย้ำแล้วย้ำอีกว่า วันเช่นวันนี้ขอให้นึกถึงตายายให้มากเป็นพิเศษ อย่าได้นึกถึงเรื่องอื่นเลย จงนึกถึงแต่เรื่องสำคัญที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้าว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้ตายายปลื้มอกปลื้มใจในการที่ได้มาเห็นลูกหลานของตัวในโอกาสเช่นนี้ ปีหนึ่งเรานึกถึงตายายกันอย่างมากสักวันหนึ่งหรือสองวัน อย่างนี้ก็นับว่าวิเศษอย่างยิ่งแล้ว หรือว่าเป็นการเพียงพอแล้วคือจะคุ้มไปได้ทั้งปีทีเดียว ขอแต่ให้นึกถึงอย่างแท้จริงอย่างสุดชีวิตจิตใจจริงๆ กันสักวันหนึ่งให้จนได้ ว่าอย่าให้เสียทีที่เป็นลูกเป็นหลานของตายาย ที่มีกำเนิดมาจากตายายที่ได้ทำอะไรไว้อย่างเป็นความสงบสุข เป็นความสูงในทางจิตทางใจ มีความเป็นมนุษย์บริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วนทุกอย่าง การที่รู้จักแต่งเนื้อแต่งตัวสวยขึ้นกว่าแต่ก่อนหรือทำอะไรได้หรูหรากว่าแต่ก่อนนั้น อย่าได้เข้าใจไปว่าเป็นความดีเป็นความเจริญหรือว่าจะเป็นที่ถูกอกถูกใจของตายาย มันมีแต่ตายายโง่ๆ เท่านั้นที่จะพออกพอใจในความเป็นอย่างนั้นของลูกหลานของตัว เพราะเป็นตายายที่โง่ๆ เห่อไปตามลูกตามหลานที่มันหลงไม่รู้เหนือรู้ใต้ อยากจะเล่าอะไรให้ฟังสักอย่างหนึ่งว่าเดี๋ยวนี้ลูกหลานจูงตายายมากขึ้นเท่าไหร่ แล้วตายายก็เลยหกคะเมนไปเพราะถูกลูกหลานจูง เรื่องเขาเล่ากันมีอย่างนี้ว่า สิ่งที่เรียกว่าอบายมุขคือความฉิบหายนั้นมีอยู่ ๖ ประการ แต่เดี๋ยวนี้เขาเพิ่มให้อีกหนึ่งประการเป็น ๗ ประการ อบายมุขที่ ๗ นี้ก็คือการส่งลูกหลานไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ เพื่อให้มันรู้มาก เพื่อให้มันเก่งกล้าสามารถมาก ในที่สุดก็ถูกลูกหลานนั้นหลอกลวงทำให้เสียเงินเสียทองไปเป็นอันมากจนถึงกับต้องจำนำจำนองที่ดินไร่นาใช้เป็นค่าเล่าเรียนแล้วก็ไม่ได้อะไรเลย ความเป็นอย่างนี้มีมากขึ้นทุกทีจนจัดว่าเป็นอบายมุขข้อที่ ๗ ขึ้นมาสำหรับคนบ้านนอก ถ้าอยากฉิบหายก็ส่งลูกหลานไปเรียนที่บางกอกเป็นอบายมุขข้อหนึ่งทีเดียว นี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นอย่างนี้ทุกคน แต่ว่ากำลังเป็นมากขึ้นๆ เพราะตายายที่หลับหูหลับตาโง่เง่าไม่ทันลูกหลาน ทำให้ลูกหลานหลอกได้ต่างๆ นานา จนถึงกับจำนำจำนองที่ดินส่งไปเรียนหนังสือแล้วก็ไปทำเหลวไหลไม่มีอะไรเหลือ ใจความสั้นๆ นั้นอยู่ตรงที่ตายายเป็นฝ่ายงมงายเสียเอง ลูกหลานสมัยใหม่จึงทำให้ตายายหกคะเมนไป ถ้าตายายฉลาดก็คงจะควบคุมไว้ได้ คงจะรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร แล้วก็รู้จักพออกพอใจในทางที่ถูก ไม่ใช่ว่าลูกหลานได้แต่งตัวสวยๆ ได้เที่ยวหรูหราแล้วก็เป็นเรื่องวิเศษวิโสไปทั้งนั้น นั้นเป็นเรื่องความเข้าใจผิด มันต้องดูตรงที่ว่าความจริงมันมีอยู่อย่างไร มีความประพฤติดี มีความรู้ดี มีจิตใจดีด้วยหรือเปล่า ถ้าการส่งให้ไปเรียนที่กรุงเทพฯ จะทำให้มีความรู้ดี มีความประพฤติดี มีจิตใจดี มันก็เป็นการถูกต้องอย่างยิ่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องเห่อๆ ให้ไปนำความหรูหราสวยงามมีหน้ามีตาอะไรมาตามๆ กันไปแล้ว มันก็เป็นเรื่องอบายมุขอย่างที่กล่าวนั่นเอง นี่คือข้อที่ตายายพวกหนึ่งงมงาย แต่เราอย่าได้เข้าใจว่าตายายจะเป็นคนงมงายอย่างนี้หรืออย่างนี้ไปทั้งหมด
ตายายในสมัยเก่าก่อนนั้น มั่นคงอยู่ในทางธรรมอย่างยิ่ง เอาดีเอางามกันในทางธรรม และเกลียดชังในเรื่องหรูหราฟุ้งเฟ้อสนุกสนานทางวัตถุทางเนื้อทางหนังยิ่งกว่าของสกปรก เพราะฉะนั้นตายายเหล่านั้นจึงไม่มีทางที่จะถูกหลอก และตายายเหล่านั้นรู้จักยึดถือเอาส่วนที่ดีเอาของที่ดีเสมอไป เอาส่วนที่แท้ไว้เสมอไป แม้ส่วนที่เป็นของปลอมจะวิจิตรงดงามสักเท่าไหร่ ก็เอามาหลอกมาลวงกันไม่ได้ ถ้ามันยังอยู่ในสภาพเช่นนี้อยู่เพียงไร ก็นับว่ายังเป็นไปตามทำนองคลองธรรมอยู่เพียงนั้น คือทุกคนยังอยู่ในทำนองคลองธรรมทั้งตายายทั้งลูกหลาน แล้วธรรมะนั่นเองก็จะช่วยคุ้มครองเอาไว้ได้ไม่ให้เสื่อมไม่ให้ตกจม เรียกว่าสมกับที่ยังเป็นมนุษย์หรือยังมีมนุษย์อยู่ในโลก มีกี่คนก็ล้วนแต่ใช้ได้ทั้งนั้น ไม่มีทางที่จะเป็นเหมือนกับภูตผีปีศาจ เบียดเบียนตัวเองเบียดเบียนผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผลเหมือนคนสมัยนี้ นี่แหละคือจะเรียกว่าตัวอย่างหรือจะเรียกว่าของจริงก็สุดแท้ ที่แสดงถึงความเสื่อมทรามทางศีลธรรมว่ามันมีอยู่อย่างไร และกำลังเพิ่มมากขึ้นอย่างไร และจะทำให้โลกนี้เป็นไปในลักษณะเช่นไร เรานี้อย่างไรเสียก็ต้องรับผิดชอบในฐานะที่เป็นคนที่อยู่ในโลกเวลานี้ ซึ่งจะต้องถูกสมมติว่าเป็นเจ้าของโลกในเวลานี้ ถ้าโลกในเวลานี้มันเป็นอะไรไป มันก็ต้องปรับหรือว่าจะต้องให้เกียรติแก่มนุษย์ที่อยู่ในโลกนี้ในเวลานี้นั่นเอง ถ้าว่าในโลกนี้เวลานี้มันเต็มไปด้วยความระส่ำระสาย หรือแม้ที่สุดแต่เต็มไปด้วยความหลอกลวง มันก็เป็นเพราะว่ามนุษย์ในโลกสมัยนี้เป็นมนุษย์หลอกลวง ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น มันเป็นที่น่าเสียดายที่ว่าโลกอันงดงามนี้มากลายเป็นโลกของความหลอกลวงหรือเต็มไปด้วยภูตผีปีศาจของความหลอกลวง ความงามนั้นไม่มีประโยชน์อะไรและเป็นหมันไป หรือบางทีก็ยิ่งเป็นเหยื่อสำหรับหลอกลวงมากยิ่งขึ้นไปอีก แล้วคนที่อยู่ในโลกจะเป็นอย่างไร จะมีค่าหรือมีความหมายสักกี่มากน้อยในการที่เป็นคนอยู่ในโลกนี้ในสภาพอย่างนี้ นี่แหละคือสภาพปัจจุบันของลูกหลานของตายาย ขอให้ย้ำและทบทวนอยู่เสมอว่าสภาพปัจจุบันของลูกหลานของตายายกำลังเป็นอย่างไร และเราจะได้เกิดความรู้สึกเกิดความละอาย ช่วยในส่วนที่ควรละอายและก็ช่วยกันแก้ไขเสียให้ได้ ส่วนใดยังคงถูกต้องดีงามอยู่ก็จะได้ปลื้มอกปลื้มใจในส่วนนั้นกันอยู่ต่อไป อย่าได้เป็นผู้หลงใหลประมาทหลงระเริง เห็นดีเป็นชั่วเห็นชั่วเป็นดี หรือว่ามีความคิดผลุนผลันทำอะไรไปในลักษณะที่เห็นผิดเป็นถูกแล้วก็ยิ่งทำผิดมากขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว ในที่สุดก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ช่วยอะไรไม่ได้เพราะความประมาทนั่นเอง ฉะนั้นโอกาสสำหรับความประมาทไม่ควรจะมี ไม่ควรจะเปิดโอกาสให้ความประมาทแม้แต่นิดเดียว จงเป็นผู้มีความกลัวในข้อนี้มีความละอายในข้อนี้ มีความระมัดระวังในข้อนี้ให้มากกว่าที่กำลังมีอยู่ในใจ เพราะว่าดูเหมือนจะมีกันอยู่น้อยเกินไปทุกคนก็ว่าได้ เพราะว่าเราถูกจูงหรือถูกยั่วหรือถูกล่อไปในทางนั้นอยู่เสมอ คือในทางที่จะให้ประมาทอยู่เสมอ จนไม่รู้จักความพอดี ไม่รู้จักความถูกต้องไม่รู้จักความยุติธรรม เห็นแต่เรื่องได้เป็นดีไปเสียทั้งนั้น มันก็เลยทำไปในทางที่เอาแต่ได้เป็นดี และเมื่อไม่ได้ก็ถือว่าไม่ดี และเมื่อแก้ไขอะไรไม่ได้ก็ฆ่าตัวตาย มนุษย์อย่างนี้ไม่ควรจะเรียกว่ามนุษย์เลย แม้แต่เป็นคนก็ยังเป็นคนที่ยังต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉานไปเสียอีก เพราะว่าสัตว์เดรัจฉานไม่เคยฆ่าตัวตาย ทำอย่างไรเสียมันก็แก้ปัญหาของมันได้ ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำจะยากหรือง่ายอย่างไร มันไม่เคยฆ่าตัวมันตาย ถ้าความตายมาถึงในลักษณะที่สุดวิสัยมันก็ตาย แต่ที่จะไปฆ่าตัวตายเพราะความโง่นั้นเป็นสิ่งที่มีไม่ได้
ทีนี้สำหรับมนุษย์นั้นโง่มากถึงขนาดที่ฆ่าตัวตายได้มากขึ้นๆ ทุกๆ ขั้นของความเจริญของโลกสมัยใหม่นี้ นี่แหละคือข้อที่มนุษย์เป็นอะไรไปแล้ว ผิดจากความเป็นมนุษย์ของปู่ย่าตายายไปอย่างมากมายแล้ว มีจิตใจชนิดไหนก็ยากที่จะกล่าวได้ แต่ว่ามันมีจิตใจชนิดที่มืดมนนั้นเป็นแน่นอน มีจิตใจที่เร่าร้อนนั้นเป็นแน่นอน และเป็นจิตใจที่สกปรกนึกแล้วน่าสะอิดสะเอียนนี้เป็นแน่นอน มันจะมีมูลมาจากอะไรมันก็มีมูลมาจากเรื่องต่างๆ อย่างที่กล่าวมาแล้วนั้น เพราะฉะนั้นเราในฐานะที่เป็นลูกหลานของตายาย ก็จะต้องมีความรับผิดชอบในเรื่องศีลธรรมของตัวของตัวเองด้วยกันทุกๆ คน แล้วก็ยังรับผิดชอบร่วมกันในเรื่องศีลธรรมของส่วนรวม ข้อนี้เราอย่าได้เป็นคนใจแคบ เห็นแต่เรื่องของตัวส่วนเดียว คือว่าศีลธรรมของเราดีแล้วก็จงช่วยให้ผู้อื่นดีด้วย ไม่ใช่ว่าเราจะเป็นคนก้าวก่ายไปทำอะไรนอกหน้าที่หรือว่าไปหาเรื่องยุ่งมาใส่ตัว นั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก คนที่เขาเรียกกันว่าเสือกกะโหลกหรือก้าวก่ายนั่น มันเป็นอีกชนิดหนึ่งต่างหาก ไม่ใช่เรื่องเดียวกับคนที่มีเมตตากรุณา ตัวเองได้ดีมีความสุขแล้วก็อยากจะให้ผู้อื่นได้ดีด้วย เพราะว่าหนทางมันต่างกัน เรามีหนทางที่จะทำให้เขาได้รับความดีหรือประโยชน์สุขโดยที่ตัวเราไม่ต้องเดือดร้อนก็ยังมีอยู่มาก ฉะนั้นมันจึงเป็นการทำให้ความดีมากขึ้น ให้เป็นโลกที่น่าอยู่มากขึ้น ไม่ใช่เรื่องนอกหน้าที่ แต่ว่ามีคนเขลาๆ บางคนทำตนเป็นอาจารย์คนอื่นจนเขาเกลียดน้ำหน้า ได้รับความทุกข์ความลำบากเพราะเหตุนั้นก็มีอยู่มากเหมือนกัน จะเอามาปนกันไม่ได้ นั้นมันเป็นเรื่องโง่เขลาทำผิดทำไม่ถูกไม่ตรงไม่รู้ประมาณ เป็นเรื่องประมาท เป็นเรื่องหลงใหลและเป็นเรื่องเจตนาไม่ดี คือเจตนาจะเป็นอาจารย์เขา เจตนาจะเอาประโยชน์อะไรจากเขา อย่างนี้มันเป็นเจตนาทุจริตเสียตั้งแต่ทีแรกแล้ว ถูกเข้าอย่างนั้นก็สมกันแล้ว แต่ถ้าเป็นคนมีเมตตากรุณาจริงไม่จำเป็นจะต้องเข้าไปตั้งตัวเป็นอาจารย์เขาหรือจะเอาเปรียบเขาอย่างใดอย่างหนึ่ง เพียงแต่เป็นเพื่อนกันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน บอกทางประโยชน์ให้แก่กันและกัน อย่างนี้คงไม่มีใครโกรธ คงไม่มีใครรังเกียจ เป็นสิ่งที่ทำไปได้ด้วยกันทั้งนั้น ต่างคนต่างมีความดีหรือวิธีอะไรของตนๆ ไม่เหมือนกัน ก็แลกเปลี่ยนกันได้ ไม่มีใครเกลียดใคร เพราะว่าล้วนแต่มีเจตนาดีเมตตาปราณีตั้งใจช่วยกันทั้งนั้น ไม่เหมือนคนที่จะไปยกตนข่มท่าน ที่จะไปตั้งตัวเป็นอาจารย์เขาหรือว่าจะแสวงหาประโยชน์อะไรอย่างเร้นลับจากเขา อย่างนี้มันแน่นอน มันจะต้องถูกเขารู้เข้าและเกลียดน้ำหน้าเอา หรือทำอันตรายเอาก็ได้ เราไม่ได้มุ่งหมายอย่างนั้น มุ่งหมายแต่ว่าทำตัวเองให้ดีเสียก่อน ให้สมกับที่เป็นลูกหลานที่ดีของตายายเสียก่อนแล้วก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้ดีไปพร้อมๆ กันเท่าที่จะทำได้เพื่อแก้ไขส่วนที่ไม่ดีนั้นให้มันดีเสีย เขาจะได้อยู่กันมีความสุข
เดี๋ยวนี้ก็ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว มันจึงดีไปไม่ได้ มันดีไปคนเดียวไม่ได้ถ้ามีความเห็นแก่ตัว คือว่าแม้เราจะดีอย่างไรจะไม่เบียดเบียนคนอื่นอย่างไร แต่ถ้าในโลกนี้มันมีคนพาลมาก เราก็ต้องเดือดร้อนโดยไม่ต้องสงสัย ทีนี้เราจะไปฆ่าไปฟันเขาก็ไม่ได้ แต่เราอาจจะยืมมือของพระพุทธเจ้ามาใช้ได้ คือเราช่วยกันทำให้ธรรมะนี้ระบาดออกไป ธรรมะนั่นแหละจะจัดการให้คนชั่วคนพาลนั้นเบาบางลงไป เดี๋ยวนี้เรามันเห็นแก่ตัวมากเกินไปไม่ช่วยเหลือร่วมมือกันในข้อนี้ คนพาลมันจึงยังเต็มโลก แล้วก็พลอยได้รับความเดือดร้อนกันไปทั้งที่ตัวเป็นคนดี ทีนี้บางคนก็แย้งว่าเราคนเดียวจะไปทำได้อย่างไร มันมากมายจะไปทำไหวหรือ นั้นมันก็มีส่วนจริงอยู่นิดเดียวในข้อที่ว่ามันต้องช่วยกันมากหน่อย มันไม่ใช่เป็นเรื่องที่ไม่ไหว มันเลยกลายเป็นเรื่องแก้ตัวของคนขี้เหนียวของคนขี้เกียจในการที่จะไม่ช่วยใครไม่บริจาคอะไรมากกว่า ในที่สุดต้องถือว่าคนชนิดนี้มีส่วนที่ช่วยให้โลกนี้เพิ่มคนพาลมากขึ้นเหมือนกัน แล้วเขาเองก็ต้องได้รับโทษอันนี้ด้วยและโลกนี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้ด้วย ทีนี้ถ้าคนเราช่วยกันในเบื้องต้นคือตั้งตัวเองให้ดีเสียก่อน แล้วก็ช่วยกันทำส่วนรวมให้ดี โดยบริจาคเวลาเล็กๆ น้อยๆ ช่วยกันแก้ไข บริจาคเงินทองเล็กๆ น้อยๆ ช่วยกันแก้ไข บริจาคเรี่ยวแรงเล็กๆ น้อยๆ ช่วยกันแก้ไข เมื่อหลายเล็กๆ หลายน้อยๆ มันมากคนด้วยกัน รวมกันแล้วมันก็มากขึ้นอยู่เอง มันพอที่จะแก้ไขให้โลกนี้ให้ดีขึ้นได้อยู่เอง เดี๋ยวนี้ต่างคนต่างมาคิดเสียว่า กูก็ไม่ช่วย มึงก็ไม่ช่วย เป็นเรื่องช่วยเล็กน้อยจะได้ประโยชน์อะไร มันก็เลยไม่ได้ช่วยกันจริงๆ ไม่มีการแก้ไขอะไรเลย บ้านเมืองหรือโลกทุกวันนี้มันจึงเป็นอย่างนี้ ข้อนี้จะจริงหรือไม่ ขอให้ลองสังเกตดูต่อไป ในไม่เท่าไหร่ก็จะมองเห็นได้เองด้วยกันทุกคน เพราะว่าถ้ามันจริงอย่างที่คนขี้เกียจหรือขี้เหนียวคิดแล้ว ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ไม่มีประโยชน์อะไรโดยแน่นอน ถ้าว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นของจริงและมีประโยชน์แล้ว คำพูดเหล่านั้นก็ผิดโดยแน่นอน เพราะว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นต้องการให้ทุกคนประพฤติธรรมก่อน แล้วพยายามช่วยเหลือผู้อื่นคนละเล็กละน้อยรวมกันเข้าแล้วมันมากเอง มันพอจะแก้ไขคนทั้งเมืองคนหรือทั้งโลกให้ดีได้เอง และบัญญัติไว้ในฐานะเป็นสิ่งที่ต้องทำด้วยกันทุกคน ต้องทำอย่างนั้นด้วยกันทุกคน อย่าได้ไปคิดว่าเราดีคนเดียวจะเอาตัวรอดไปได้ มันลำบากมากเกินไปกว่าในการที่จะเอาตัวรอดคนเดียวได้ สู้พยายามให้เอาตัวรอดพร้อมๆ กันไปไม่ได้ และเราก็ไม่เสียหายอะไรมากมาย มีแต่ได้ประโยชน์มากมาย แล้วก็ได้ช่วยกันแก้ปัญหาส่วนใหญ่ที่กล่าวแล้วกล่าวอีก กล่าวแล้วกล่าวอีกมาอย่างซ้ำซากว่า ลูกหลานของตายายสมัยนี้ไม่ไหวเสียแล้วนั้น จะได้เป็นการกลับกันเสียทีว่าลูกหลานของตายายสมัยนี้มันดีขึ้น นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปก็เอา คือว่าขอให้ลูกหลานของตายายสมัยนี้มันดีขึ้น อย่าให้มันเลวลงหรือกลับทรุดลง อย่าให้มีคนหนุ่มคนสาวที่มัวแต่ฟุ้งเฟ้อลืมตัว ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ วันหนึ่งคืนหนึ่งเอาแต่หัวเราะร่วนไปด้วยเรื่องบ้าๆ หลังๆ ของตัวเท่านั้น ไม่มีสิ่งที่เป็นแก่นสารสาระอะไร เพราะดูหมิ่นดูถูกตายายว่าเรื่องของตายายนั้นมันครึทั้งนั้น เรื่องของตัวเองนั่นแหละดี แต่ความจริงนั้นมันตรงกันข้าม เรื่องของคนสมัยนี้ไร้สาระหมดเปลืองเวลา หมดเปลืองสิ่งที่ไม่ควรหมดเปลือง แล้วมาทำให้จิตใจนั้น คล้ายกับภูตผีปีศาจที่ร่างกายสวยงามวับๆ แวมๆ เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากดีไปกว่านั้น ปู่ย่าตายายโน้น แทบจะว่าไม่มีผ้าห่ม ไม่มีเสื้อจะใส่ ไม่มีการแต่งเนื้อแต่งตัว แต่ถ้ามองกันในทางจิตใจแล้ว ยังมีความสะอาดสว่างสงบเหลืออยู่มากทีเดียว มีจิตใจเป็นธรรมตั้งอยู่ในธรรมหรือประกอบไปด้วยธรรมมากทีเดียว ฉะนั้นจึงอยู่เย็นเป็นสุขและไม่มีทุกข์ไม่มีร้อน แม้ว่าไม่มีอะไรจะแต่งเนื้อแต่งตัว ไม่มียาจะแก้โรคมากมายเหมือนเดี๋ยวนี้ ก็ยังเยือกเย็นกว่าเดี๋ยวนี้ ไม่มีปัญหาที่เกี่ยวกับส่วนนั้นเลย เพราะว่าความตายไม่มีความหมายสำหรับบุคคลที่มีจิตใจถึงธรรม เมื่อมันจะต้องตายมันก็ตายของมันเอง แต่เมื่อยังไม่ตายก็เอาข้างดีข้างถูกข้างบริสุทธิ์ข้างยุติธรรมไว้ก็แล้วกัน เป็นความสงบสุขก็แล้วกัน ดีกว่าที่จะอยู่กันอย่างชุลมุนวุ่นวายไม่มีความสงบสุขเลย แม้ว่ายังไม่ตาย แม้ว่าจะรอดตายกันมากขึ้น ก็มารอดตายกันอยู่อย่างชุลมุนวุ่นวายหาความสุขสงบมิได้ อย่างนี้ไม่เห็นว่าประเสริฐที่ตรงไหน เป็นเรื่องโง่เป็นเรื่องหลงมากขึ้นไปเสียอีก สู้อยู่กันอย่างเยือกเย็นไม่ได้ มีอายุอยู่สักวันหนึ่งก็ยังดีถ้ามันเยือกเย็น มีอายุอยู่ด้วยความเยือกเย็นวันหนึ่งก็ยังดีกว่าที่จะอยู่กันด้วยความระส่ำระสายตั้งปีๆ หรือตั้ง ๑๐ ปีหรือตั้ง ๑๐๐ ปี บางทีจะมีความหลงใหลกันในข้อนี้ คือว่าเอาแต่ให้รอดไปได้ก็แล้วกันโดยไม่ต้องนึกถึงว่ามันดีหรือไม่ดี ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วมันก็มีแต่จะร้อนยิ่งขึ้น แล้วมันก็จะเป็นไปในทางที่ว่าที่อยู่นี่แหละจะเลวกว่าที่ตายไปเสียอีก ที่ยังมีชีวิตอยู่นี้จะยิ่งเป็นโทษเป็นภัยยิ่งไปกว่าที่ตายไปเสียอีก แปลว่าอยู่ในนรกนี่ มันจะดีอย่างไร ขอให้อยู่ในนรกสักพันปีนี้กับอยู่ในเมืองที่สงบสุขสักวันเดียวอย่างนี้จะเลือกเอาข้างไหน ทุกคนก็ลองคิดดูให้เห็น แล้วนำมาเปรียบเทียบกันดูกับการเป็นอยู่ของเราทุกวันนี้ ว่าเราสมัครจะอยู่กันไปเพื่อความทนทรมานอย่างนี้หรือว่าเราจะทำให้มันเกิดความสงบเย็นขึ้น แม้ว่าจะได้อยู่สักวันหนึ่งก็ยังดี นี่แหละคือความมุ่งหมายของธรรมะของการมีธรรมะ ว่าให้ยอมเสียสละสิ่งที่หลอกลวงเหล่านั้นเสีย ให้เข้าถึงธรรมะแล้วมีความสุขสงบเย็นอยู่แม้สักวันเดียวแล้วแตกดับไปก็ยังดีกว่าที่จะไม่รู้จักความสงบเสียเลย ตายไปด้วยความเร่าร้อนเหมือนกับปีศาจที่กระหายจัดแล้วก็ตายไป มันก็ต้องเกิดมาเป็นปีศาจที่กระหายจัดอีกนั่นเอง มันไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ มันควรจะเป็นมนุษย์ตามแบบของพระอริยเจ้ากันให้มากเท่าที่จะมากได้ และเป็นได้สักวันหนึ่งแตกดับไปก็ยังเป็นการดี
ฉะนั้นจึงขอให้ขยันบากบั่นพากเพียรในการที่จะเข้าถึงธรรมะให้ได้ก่อนแต่ที่จะตายแม้แต่สักว่าวันหนึ่งก็ยังดี ยังจะเป็นที่ชื่นอกชื่นใจของตายาย ว่าลูกหลานนี้ก้าวหน้าจริง ลูกหลานนี้เก่งกว่าตายายจริง หรือว่าลูกหลานนี้อย่างไรเสียก็ต้องไม่เลวกว่าตายายเลย ขอให้เราพุทธบริษัททุกคนจงได้พยายามสะสางปัญหาของตนให้ลุล่วงไปให้เป็นอย่างดีให้เหมาะสมแก่ความเป็นพุทธบริษัทของตนทุกคนเถิด ไม่ใช่ว่ามีข้าวกินมีบ้านอยู่มีอะไรหรูๆ หราๆ แล้วมันก็จะพอแล้วเท่านั้นก็หามิได้ นั้นมันพอแต่เรื่องทางฝ่ายโลกนี้ มันพอแต่เรื่องทางฝ่ายร่างกาย มันพอเท่านั้นมันก็ดีเหมือนกัน แต่มันยังไม่หมด มันยังไม่แก้ปัญหาส่วนใหญ่ได้ ทำอีกนิดเดียว เขยิบก้าวหน้าไปอีกนิดเดียว คือให้เรื่องทางจิตทางใจมันสว่างไสวสะอาดสงบเย็นเป็นธรรมให้มากยิ่งขึ้นไปอีก มันไม่ต้องทิ้งบ้านเรือนไร่นาไปที่ไหน ยังคงทำไปตามเดิมได้ แต่ว่าสนใจในเรื่องทางจิตใจให้มากขึ้นอีกสักหน่อย เพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่งให้เป็น ๒ เรื่อง ให้เป็นการสมบูรณ์ทั้งภายนอกและภายในคือร่างกายก็สบายจิตใจก็สบาย ร่างกายก็เป็นสุขจิตใจก็เป็นสุข นั่นแหละนับว่าถูกต้องอย่างยิ่ง เดี๋ยวนี้คงจะหลงไปว่าจะได้รับความสบายทางกายแล้วทางใจก็จะเป็นสุขเอง อย่างนี้มันไม่ถูกแน่ ถ้าให้สบายทางกายแล้วมันไม่มีทางที่จะสบายได้ ยิ่งจะให้สบายมากมันก็ยิ่งยุ่งยากลำบากเดือดร้อนมาก เพราะมันต้องอาศัยความโลภความอยากให้มากในเรื่องของทางกาย มันจึงเป็นความทุกข์อยู่ในความสุข เป็นความเร่าร้อนอยู่ในความสุข ถ้าเป็นเรื่องทางกายฝ่ายเดียว ยิ่งมีมากก็ยิ่งทุกข์มากยิ่งร้อนมาก แต่ถ้ามีธรรมะเข้ามาด้วยแล้ว แม้จะมีมากเท่าไหร่มันก็หาทุกข์หาร้อนไม่ แล้วยังได้ใช้เป็นประโยชน์สูงยิ่งขึ้นไปอีก ไม่หวงไว้บำรุงบำเรอกายเพียงอย่างเดียวแต่เอาไปใช้ให้มันเป็นประโยชน์แก่กายนั่นแหละมากขึ้นไปอีก แก่ผู้อื่นหรือแก่โลกหรือแก่ศาสนาหรือแก่อะไรมากขึ้นไปอีก แล้วมันก็ไม่ไปไหนเสีย มันก็คงเป็นของคนนั้นเหมือนกัน หากแต่ว่ามองไม่เห็นเพราะคนนั้นเห็นแต่เรื่องกายเห็นแต่เรื่องวัตถุสิ่งของอย่างเดียว มองไม่เห็นเรื่องความดีความงามที่ว่าทำไปแล้วมันก็ไม่ได้ไปไหน มันคงอยู่เป็นของเรา แต่มันไม่ได้เป็นชิ้นเป็นก้อนเหมือนกับข้าวปลาอาหาร มันจึงดูคล้ายๆ กับว่าไม่ได้อยู่กับเรา นี้เป็นเรื่องของคนที่งกแต่ในสิ่งของทางวัตถุ มองไม่เข้าใจในเรื่องของธรรมซึ่งเป็นเรื่องไม่ใช่วัตถุหรือมองไม่เห็นตัว แต่แท้ที่จริงมันก็มี และเมื่อใครทำมันก็เป็นของคนนั้น มันอยู่เป็นของคนนั้น และมันยังไม่ทำความลำบากยากใจให้แก่คนนั้น ไม่ต้องเก็บรักษาใส่หีบใส่ห้องอะไร โจรก็ลักไปไม่ได้ ไฟก็ไหม้ไปไม่ได้ มันคงอยู่เป็นของเราตลอดเวลาโดยแท้จริง ไม่ทำความยุ่งยากลำบากเหมือนกับทรัพย์สมบัติทางกายอย่างนี้ เพราะฉะนั้นทุกคนน่าจะมีการจัดการทำเสียใหม่ชนิดที่ไม่เป็นการทรมานตนให้มากเกินไป คือมีความขวนขวายพร้อมๆ กันไปทั้งสองทาง มีทรัพย์สมบัติในทางวัตถุสิ่งของนี้พอสมควรแก่การที่จะเป็นสุข แล้วก็เหลือนอกนั้น ก็แสวงหาความงามความดีในทางจิตทางใจคือในทางธรรมนั้น เอามาเพิ่มให้อีกส่วนหนึ่ง ให้เป็นผู้ได้ทั้งสองส่วน คือทั้งส่วนโลกและส่วนธรรม ทั้งประโยชน์โลกนี้และประโยชน์โลกอื่น นั่นแหละจึงจะเรียกว่าเป็นผู้มีศีลธรรมดี เป็นลูกหลานของตายายที่มีศีลธรรมดี แก้ปัญหาต่างๆ ได้ อยู่ในร่องในรอยของธรรมเหมือนกับที่ปู่ย่าตายายได้เคยมีมาแล้ว ถ้าเราจะไปถามปู่ย่าตายายของเราว่าจะเลือกเอาเงินก่อนหรือเอาธรรมะก่อน ปู่ย่าตายายในยุคที่มีศีลธรรมดี ก็จะต้องตอบว่าเลือกเอาบุญกุศลหรือเอาธรรมะก่อน แต่ส่วนลูกหลานสมัยนี้ต้องเอาเงินก่อนเป็นแน่นอน มันเป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม ใครจะถูกใครจะผิดนั้นมันต้องวินิจฉัยกันให้จริงๆ สักหน่อย จะทำอย่างประมาทไม่ได้ เพราะว่าในสมัยนี้มันได้ลืมตัวไปมากแล้ว คือได้ประมาทไปมากเสียแล้วจนบูชาเงินบูชาวัตถุกันเกินไปเสียแล้ว คงจะต้องตอบว่าเงินดีกว่าธรรมะหรือดีกว่าบุญกว่ากุศลเป็นแน่นอน แต่มันจะจริงหรือไม่จริง มันจะถูกหรือไม่ถูกนั้น ธรรมชาติเท่านั้นจะเป็นฝ่ายที่ตัดสิน คือถ้าทำผิดแล้วมันต้องได้รับทุกข์กันทั้งบ้านทั้งเมืองหรือทั้งโลกอย่างไม่มีทางที่จะแก้ไขได้ แต่ถ้าทำถูกแล้วมันก็จะได้รับความสงบสุขกันทั้งบ้านทั้งเมืองเหมือนกัน
นี่แหละคือข้อที่ลูกหลานของตายายจะต้องรับผิดชอบในความเสื่อมทรามของศีลธรรมหรือว่าความเจริญงอกงามของศีลธรรมของตนร่วมกันเพื่อประโยชน์แก่การที่จะยืนยันกับตายายทั้งหลายว่าลูกหลานทำถูกหรือทำผิด ลูกหลานได้ทำให้เสียชื่อเสียงของตายาย หรือว่าได้ทำไปอย่างดีที่สุดแล้ว ถ้าว่าเราทั้งหลายได้หยิบยกเอาปัญหาข้อนี้มาวินิจฉัยเพื่อสะสางกันในวันเช่นวันนี้ให้บ่อยๆ และให้จริงๆ จังๆ โดยไม่ต้องเกรงใจกันแล้ว เรื่องมันคงจะดีขึ้นโดยแน่นอน ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนถือว่าวันทำบุญตายายเช่นวันนี้นั้น เขาได้ตั้งขึ้นไว้สำหรับให้เราพูดกันถึงเรื่องนี้ ให้เราคิดกันถึงเรื่องนี้ ให้เราปรึกษาหารือกันถึงเรื่องนี้ และให้เราทำกันเพื่อจะแก้ไขปัญหาข้อนี้ เพราะฉะนั้นเราอย่าได้ใช้วันเช่นวันนี้ไปทำอย่างอื่นเสียเลย หรืออย่าได้ทำพอให้แล้วๆ ไปว่าเอาข้าวมากินกันสนุกสักมื้อหนึ่งแล้วก็กลับบ้าน อย่างนี้ไม่ตรงกับความประสงค์ของวันทำบุญให้ตายาย เราจะต้องใช้วันนี้นั่งทำสมาธิถึงตายาย สอดส่องถึงความเสื่อมหรือความเจริญแห่งศีลธรรมของลูกหลานของตายาย และต้องรับผิดชอบในความเสื่อม ช่วยกันแก้ไขให้ได้จริงๆ หันหน้ามาปรึกษาหารือกัน แก้ไขความเสื่อมทรามทางศีลธรรมของลูกหลานของบ้านนี้ให้ได้จริงๆ แล้วบ้านอื่นก็กระทำอย่างนั้นด้วย แล้วทุกบ้านก็จะดีขึ้น เป็นลูกหลานของตายายชนิดที่เรียกว่าตายายให้พร มีความสุขมีความเจริญ ไม่มีทางที่จะเสื่อมเลย สิ่งที่เราเคยกลัวก็ไม่ต้องกลัวเพราะว่าเดี๋ยวนี้ตายายได้ให้พรแล้ว ไม่ได้แช่งชักหักกระดูกแล้ว ก็นับว่าไม่มีอะไรดีไปกว่านี้ การทำบุญตายายของเราก็ประสบผลสมตามที่ประสงค์มุ่งหมายทุกประการ ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนจงได้เอาไปคิดไปนึกดูด้วยตนเองเถิดว่าที่พูดนี้เป็นเรื่องพูดจริงหรือพูดเล่นอย่างไร หรือว่าเป็นเรื่องจริงหรือว่าเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างไร มันเกี่ยวกับคนทั้งหลาย มันเกี่ยวกับโลกนี้ทั้งหมดหรือไม่ ขอให้คิดว่าความรอดของเรามันอยู่ที่นี่ หรือว่าความวินาศของเรามันก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน คือการกระทำผิดหรือการกระทำถูก แต่ว่าทำผิดหรือทำถูกนี้มันต้องอยู่ที่ความหมายอันแท้จริง ไม่ใช่ว่าพอมาทำบุญให้ครบตามพิธี หรือว่าแม้แต่ร้านเปรตก็ยังไม่ขาด อย่างนี้แล้วจะครบจะบริบูรณ์ อย่างนี้มันยังไม่ได้ มันต้องเล็งถึงความหมายว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่ จะยกตัวอย่างสักนิดหนึ่งว่า อย่างเรื่องร้านเปรต เราไม่ให้ขาดนั้น โดยรูปร่างลักษณะท่าทางมันก็ถูกแล้ว แต่ว่าโดยความหมายมันอาจจะยังไม่ถูกก็ได้ ร้านเปรต นั้นมันมีความหมายเรื่องการสงเคราะห์คนยากจน เดี๋ยวนี้เราสงเคราะห์คนยากจนกันหรือเปล่า เราขี้เหนียวมากกว่าแต่ก่อนหรือเปล่า เราให้ทานแก่คนยากจนเหมือนดังแต่ปู่ย่าตายายเคยทำหรือเปล่า ถ้าเปล่าแล้วก็ป่วยการ เลิกร้านเปรตเสียทีก็ได้ มันเกะกะรุงรังไปเปล่าๆ มันไม่มีความหมาย ถ้าว่ายังทำอยู่ มันก็ต้องให้รู้ความหมายว่าสอนให้ช่วยสงเคราะห์คนยากจน ให้อุตส่าห์เชือดเนื้อเถือหนังของเรานี้เจือจานแก่คนยากจน แม้ว่าจะเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ บ้าง มันก็ยังเป็นสิ่งที่ควรทำ นั่นแหละคือความหมายของคำว่าร้านเปรต หมายความว่าคนชั้นที่ยากจนไม่อยู่ในสังคมเดียวกัน แต่เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ในโลก เราต้องเจียดเนื้อเจียดหนังของเราสงเคราะห์เอื้อเฟื้อเจือจานแก่เขาเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าจะทำไปเป็นส่วนเล็กน้อยมันก็ยังประเสริฐ มันประเสริฐอยู่ที่จิตใจงดงามมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ยังเคารพนับถือคนยากจนว่าเป็นเพื่อนมนุษย์เหมือนกันกับเรา ไม่ดูถูกดูหมิ่นเขาแต่ประการใดเลย นั่นแหละคือความหมายหรือดวงวิญญาณของสิ่งที่เรียกว่าร้านเปรต ถ้ายังรักที่จะมีร้านเปรต ก็จงช่วยประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ด้วย การบำเพ็ญบุญตายาย ก็จะมีความหมายครบถ้วนถูกต้องทุกประการไม่เพียงแต่ตั้งร้านเปรตให้สุนัขมันกิน จนสุนัขไม่กินแล้วก็ไปหลอกลูกเด็กๆ ให้เอามากินว่าจะได้บุญได้กุศล อย่างนี้เป็นเรื่องหลอกเขาอีกทีหนึ่ง ความจริงเขาไม่ได้ตั้งไว้ให้ลูกเด็กๆ กิน แต่เขาตั้งไว้ให้คนยากจนที่อยู่ในสังคมที่ต่ำเกินไปจนไม่สามารถจะมาทัดเทียมกันได้นั้นได้กิน แต่เดี๋ยวนี้คงจะคิดกันเสียว่าเปรตนั้นไม่มีแล้ว ก็ให้คนนั่นแหละกิน แต่มองดูให้ดีเถิดว่าคนที่มีจิตใจอย่างเปรตนั้นก็ยังมีอยู่มาก เพราะฉะนั้นเปรตยังมีอยู่ในโลก ยังไม่ได้สูญหายไปไหน มันก็ควรจะให้คนเหล่านั้นกิน ฉะนั้นเราก็ควรจะสงเคราะห์คนที่อยู่ในลักษณะเหมือนกับเปรต คือว่าให้เขากินแล้วก็ช่วยอบรมสั่งสอนเขา ช่วยเหลือเขาให้เขายกตัวขึ้นมาให้ได้ทัดเทียมกับเรา จึงจะชื่อว่าตรงตามความมุ่งหมายเดิมอยู่นั่นเอง ทำไมจะต้องทำอย่างพิธีรีตองละเมอๆ ไป พอครบๆ ตามธรรมเนียมประเพณีเล่า เราควรจะทำให้ถูกตามความหมาย ให้ตรงให้จริงตามความจริง ให้มันลึกซึ้งถึงความจริง ให้มันสมกับที่เราเป็นพุทธบริษัท คือเป็นผู้รู้จริงเพราะได้อาศัยการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เราจึงได้รู้จริง เราจะต้องทำให้สมกับที่เรารู้จริง คือปฏิบัติให้ถูกความหมายจริงๆ ให้สำเร็จประโยชน์จริงๆ แม้ที่สุดแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นเรื่องร้านเปรต นี้เป็นต้น ส่วนเรื่องใหญ่ๆ ที่เราจะกระทำต่อปู่ย่าตายายโดยตรงนั้นมันใหญ่กว่านี้มาก มันยังจะต้องทำอีกมาก เหมือนกับที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง ซึ่งสรุปความแล้วก็คือว่าเราจะต้องตั้งตัวของเราเป็นลูกหลานที่ดีของตายายให้ได้เสียก่อน แล้วเราก็จะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันออกไปแก่กันและกัน จนกระทั่งดีกันไปหมดจนตายายชมเชยได้ว่าทั้งบ้านทั้งเมืองมันเป็นลูกหลานที่ดีกันไปหมด จงอยู่กันด้วยความเยือกเย็นเป็นสุขเถิดดังนี้ เราจงระลึกอย่างนี้ปีหนึ่งครั้งหนึ่งเป็นอย่างน้อยทุกๆ ปี ระลึกมากเป็นพิเศษแล้วกระทำให้จริงให้จังจนตลอดปี การทำบุญตายายของเราก็จะประสบผลสมตามความมุ่งหมายทุกประการ ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้