แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
สวัสดิ์พิพัฒนมงคลพระชนมสุขทุกประการ จงมีแด่สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภาร พระองค์สมเด็จพระปรมินทรภูมิพลมหาราชาธิราชเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ บัดนี้ ได้รับพระราชทานถวายวิปัสสนาและธรรมวิจักขณกถา ฉลองพระเดชาพระคุณประดับพระปัญญาบารมี ถ้ารับพระราชทานถวายวิปัสสนาไป มิได้ต้องการโวหารอรรถาธิบาย ในพระธรรมเทศนาบทใดบทหนึ่งก็ดี ขอเดชะพระเมตตาคุณ พระกรุณาธิคุณ และพระขันติคุณ ได้ทรงกรุณา โปรดประทานพระราชทานอภัยแก่อาตมะ ผู้มีสติปัญญาน้อย ขอถวายพระพร (บทสวดนาทีที่ 05.08น – 05.46น)
ณ บัดนี้ จักได้รับพระราชทานถวายวิปัสสนา ในธรรมวิจักขณกถา ดำเนินการตามวาระพระบาลีดังที่ได้ยกขึ้นไว้เป็นนิกเขปบทเบื้องต้นว่า โย ธัมมัง ปัสสติ โส มัง ปัสสติ สมาธิ มีใจความว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้ใดไม่เห็นธรรมผู้นั้นไม่เห็นเรา ตถาคต ดังนี้เป็นต้น เพื่อถวายเป็นธรรมเทศนาเนื่องในโอกาสแห่งพระราชกุศลวิสาขบูชา ตามพระราชประเพณี ก็แล ในการกุศลวิสาขบูชานี้ พุทธบริษัททั้งหลายย่อมกระทำการถวายบูชาอันสูงสุดด้วยกาย วาจา ใจ แด่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
การบูชาด้วยกายก็คือ การเดินเวียนประทักษิณ (นาทีที่ 06.51น) เป็นต้น
การบูชาด้วยวาจาก็คือ การกล่าวคำบูชาก่อนการกระทำประทักษิณ
การบูชาด้วยใจก็คือ การน้อมระลึกถึงพระคุณของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น อยู่ตลอดเวลา
แต่ว่าการกระทำทั้ง ๓ ประการนี้ จะสำเร็จประโยชน์ก็ด้วยการเห็นธรรม หลังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต ดังที่กล่าวแล้วเบื้องต้นนั่นเอง ดังนั้น จะได้ถวายวิปัสสนาอันข้อความเกี่ยวกับคำว่า ธรรม ในที่นี้ ตามพระพุทธภาษิตที่กล่าวแล้วเบื้องต้นนั้น ย่อมแสดงให้เห็นอยู่โดยประจักษ์แล้วว่า พระพุทธองค์จริงนั้นคือ สิ่งที่เรียกว่า ธรรม หรือ ธรรม นั่นแหละ คือ พระพุทธองค์จริง พระพุทธองค์จึงได้ตรัสว่า ผู้ใดไม่เห็นธรรม ผู้นั้นไม่เห็นเรา ตถาคต ต่อเมื่อเห็น ธรรม จึงชื่อว่าเห็น ตถาคต พอแลในสมัยที่พระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น พระสรีระร่างกายของพระองค์และตั้งอยู่ในฐานะเป็นตัวแทนแห่งธรรม สำหรับรับซึ่งสักการะบูชาแก่สัตว์โลกทั้งหลาย เป็นต้น ครั้นพระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ก็มีพระสารีริกธาตุ คือ ธาตุเนื้อ กับสรีระนั้น ให้เหลืออยู่เป็นตัวแทนแห่งธรรมด้วยกันตลอดกาลนาน ดังเช่นพระสารีริกธาตุแห่งนี้ที่พุทธบริษัททั้งหลาย มีสอเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภารเป็นประธาน ได้กระทำการสักการะบูชาเสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อครู่นี้ ข้อนี้ตีความได้ว่า พระพุทธองค์พระองค์จริงนั้นยังคงอยู่ตลอดกาล และเป็นสิ่งเดียวกันเสมอไป ได้แก่ สิ่งที่เรียกว่า ธรรม ส่วนนิมิตรหรือตัวแทนแห่งธรรมนั้นเปลี่ยนได้ตามควรแก่สถานะ คือ จะเป็นพระสรีระร่างกาย พระกายของพระองค์โดยตรงก็ได้ หรือจะเป็นพระสารีริกธาตุก็ได้ หรือจะเป็นอุทเทสิกเจดีย์ มีพระพุทธรูป เป็นต้น ก็ได้ ก็ล้วนแต่มีความหมายอันสำคัญ คือ รวมอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า ธรรม นั่นเอง
การเห็นธรรมเป็นการเห็นองค์พระตถาคต คำว่า ธรรม คำนี้ เป็นคำพูดที่ประหลาดที่สุดในโลก คือ เป็นคำที่แปลเป็นภาษาอื่นไม่ได้ เคยมีผู้พยายามแปล คำๆ นี้เป็นภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ เป็นต้น ออกไปตั้งยี่สิบสามสิบคำ ก็ยังไม่ได้ความหมายครบหรือตรงตามความหมายของภาษาบาลี หรือของพุทธศาสนาในคำๆ นี้ ส่วนประเทศไทยเรามีโชคดีที่ได้ใช้คำๆ นี้เสียเลย โดยไม่ต้องแปลออกมาเป็นภาษาไทย เราชาวไทยจึงได้รับความสะดวก ไม่ยุ่งยากลำบากเหมือนพวกที่ต้องพยายามแปลคำๆ นี้เป็นภาษาของตน ของตน คำว่า ธรรม เป็นคำสั้นๆๆ เพียงพยางค์เดียว แต่มีความหมายกว้างขวางลึกซึ้งน่ามหัศจรรย์เพียงไร เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาดูอย่างยิ่งโดยนัยยะดังต่อไปนี้
ในภาษาบาลีหรือจะเรียกว่าภาษาพระพุทธศาสนาก็ตาม คำว่า ธรรม คำนี้ได้หมายถึง สิ่งทุกสิ่ง ไม่ยกเว้นสิ่งใดเลย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งดีสิ่งชั่ว สิ่งไม่ดีไม่ชั่ว ก็รวมอยู่ในคำว่า ธรรม คำเดียวกันนี้ทั้งหมด ดังพระบาลีว่า กุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา อัพยากตาธรรมา เป็นอาทิ ลักษณะที่เป็นเช่นนี้ มีลักษณะอย่างเดียวกันกับคำว่า พระเป็นเจ้า ของศาสนาที่มีพระเป็นเจ้า เช่น ศาสนาคริสเตียน เป็นต้น คำว่า พระเป็นเจ้า นั้น เขาให้หมายความถึง สิ่งทุกสิ่ง ให้สิ่งทุกสิ่งรวมอยู่ในคำว่า พระเป็นเจ้า เพียงคำเดียว ดังนั้น แม้ในพระพุทธศาสนาเรา ถ้าจะกล่าวกันอย่างว่ามีพระเป็นเจ้ากับเขาบ้างแล้ว ก็มีสิ่งที่เรียกว่า ธรรม นี้อีกนั่นเองที่ตั้งอยู่ในฐานะเป็นพระเป็นเจ้าอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ก็เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่า ธรรม ในพระพุทธศาสนานั้น หมายถึง สิ่งทุกสิ่งจริงๆ เพื่อจะเห็นได้อย่างแจ้งชัดกันโดยง่ายว่า สิ่งที่เรียกว่า ธรรม หมายถึง สิ่งทุกสิ่งอย่างไรนั้น ควรจะจำแนกออกไปดังต่อไปนี้
ธรรมชาติทุกอย่างทุกชนิดไม่ว่าอะไรหมด ล้วนแต่เรียกโดยภาษาบาลีว่า ธรรม คือ ธรรม ในฐานะที่เป็นตัวธรรมชาติเอง นี่อย่างหนึ่ง
สอง กฎของธรรมชาติ ซึ่งมีประจำอยู่ในตัวธรรมชาติเหล่านั้น ก็ล้วนแต่เรียกว่า ธรรม อีกเหมือนกัน นี้คือ ธรรม ในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาติและมีความหมายเท่ากับสิ่งที่เรียกว่า พระเป็นเจ้า ในศาสนาที่มีพระเป็นเจ้า
สาม หน้าที่ต่างๆ ที่มนุษย์จะต้องประพฤติหรือปฏิบัติ กระทำ ทั้งในทางโลกหรือทางธรรมก็ตาม นี้ก็เรียกโดยภาษาบาลีว่า ธรรม อีกเหมือนกัน มนุษย์ต้องประพฤติให้ถูกต้องตรงตามกฎธรรมชาติจึงจะไม่เกิดความทุกข์ขึ้นมา มนุษย์ส่วนมากสมัยนี้หลงใหลในทางวัตถุมากเกินไป ไม่สนใจในสิ่งที่เป็นความสุขทางนามธรรม การกระทำนี้เป็นการกระทำที่ผิดกฎธรรมชาติ จึงเกิดการยุ่งยากนาๆ ประการที่เรียกว่า วิกฤตการณ์ ขึ้นในโลก จนแก้กันไม่หวาดไม่ไหว มนุษย์สมัยนี้ต้องการสิ่งประเล้าประโลมใจแต่ในทางวัตถุ ไม่ต้องการธรรมเป็นเครื่องประเล้าประโลมใจเหมือนคนในครั้งพุทธกาล และยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์สมัยนี้ยังมีการกักตุนเอาไว้เป็นของตัว เป็นพวกตัว มากเกินไปจนผิดกฎธรรมชาติ จึงเกิดลัทธิอันไม่น่าพึงปรารถนาขึ้นมาในโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดมาแต่ก่อน ดังนี้เป็นต้น นี้เป็นตัวอย่างของการที่มนุษย์ประพฤติผิดหน้าที่ของตนอย่างไม่สมคล้อยดังกับกฎของธรรมชาติ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือ ประพฤติผิดธรรมในฝ่ายที่จะเป็นไปเพื่อดับทุกข์ แต่ได้เป็นไปในฝ่ายที่จะสร้างความทุกข์ขึ้นมา นี้อย่างหนึ่ง
สี่ ผลของการปฏิบัติที่เกิดขึ้นตามกฎธรรมชาติ เช่น ความสุข ความทุกข์ หรือแม้แต่การบรรลุมรรค ผล นิพพาน แม้ที่สุดแต่ความเป็นพระพุทธเจ้า เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นผลของการปฏิบัติไปทั้งนั้น ผลทุกอย่างนี้ ทุกชนิด ก็ล้วนเรียกอยู่ในคำๆ เดียวว่า ธรรม อีกเหมือนกัน
สรุปความแล้วก็กล่าวได้ว่า คำว่า ธรรม เพียงคำเดียวพยางค์เดียวนี้ หมายความได้สี่อย่าง คือ หมายถึงตัวธรรมชาติเองก็ได้ หมายถึงตัวกฎธรรมชาติก็ได้ หมายถึงหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องประพฤติกระทำให้ถูกตามกฎของธรรมชาติก็ได้ และหมายถึงผลดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่นั้นๆ ก็ได้ จึงนับว่าคำๆ นี้เป็นคำพูดคำหนึ่งที่ประหลาดที่สุดในโลก และไม่อาจจะแปลเป็นภาษาอื่นได้ด้วยคำเพียงคำเดียวเหมือนคำๆ นี้ ดังที่กล่าวแล้ว เมื่อสิ่งที่เรียกว่า ธรรม มีมากมายมหาศาลอย่างนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นว่า คนเราจะรู้ธรรมหรือเห็นธรรมทั้งหมดได้อย่างไรกัน เกี่ยวกับข้อนี้ พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้เองแล้วว่า เราอาจจะรู้ได้ทั้งหมดและปฏิบัติได้ทั้งหมดในส่วนที่จำเป็นแก่มนุษย์ หรือเท่าที่มนุษย์ควรจะรู้ เหลือนอกนั้นไม่ต้องสนใจก็ได้
ข้อนี้ พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า ธรรมที่ตถาคตได้ตรัสรู้ทั้งหมดนั้นมีปริมาณมากเท่ากับใบไม้หมดทั้งป่า ส่วนธรรมที่นำมาสอนคนทั่วไปนั้นมีปริมาณเท่ากับใบไม้กำมือเดียว คือ จะนำมาสอนเท่าที่จำเป็นแก่การทำความดับทุกข์โดยตรงเท่านั้น และทั้งหมดนั้น แม้จะกล่าวกันว่ามีถึง ๘๔,๐๐๐ ข้อ หรือ ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ก็ตาม ก็ยังสรุปลงได้ในคำพูดประโยคสั้นๆ เพียงประโยคเดียวว่า สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ซึ่งแปลว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไม่ควรสำคัญมั่นหมายว่าตัวตนหรือของตน ดังนี้ การที่รู้ข้อนี้ คือการรู้ธรรมทั้งหมด การปฏิบัติข้อนี้ ก็คือ การปฏิบัติธรรมทั้งหมดในพระพุทธศาสนา และเป็นการชนะความทุกข์ทั้งหมดได้ เพราะเหตุฉะนั้น ไม่ว่าความทุกข์ส่วนบุคคลหรือความทุกข์ของโลกโดยส่วนรวมขจัดไปได้ด้วยเหตุนี้ ตลอดผู้ใดเห็นธรรมส่วนนี้โดยประจักษ์ผู้นั้นชื่อว่าเห็นองค์ตถาคต การเห็นธรรม ในที่นี้ หมายถึง การมีธรรมที่เป็นความดับทุกข์อยู่แล้วในตน เห็นประจักษ์อยู่แล้วภายในใจตนว่าความดับทุกข์นั้นเป็นอย่างไร นี่แหละคือ หนทางออกทางเดียวของพวกเรามนุษย์ในสมัยปัจจุบันนี้ ที่อาจจะเห็นพระพุทธองค์พระองค์จริงได้ ทั้งที่กล่าวกันว่า พระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานนานแล้วตั้งสองพันกว่าปี แต่เราก็ยังอาจจะเห็นพระองค์ได้ โดย และสามารถจะนำมาใส่ไว้ในใจของเราได้เสียเลย เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งขึ้นไปอีก
ข้อที่ควรทราบต่อไปอีกหน่อยหนึ่งก็คือว่า สิ่งที่เรียกว่า ธรรม นั้นนอกจากจะเป็นคำพูดที่ประหลาดที่สุดในโลกและแปลเป็นภาษาถิ่นไม่ได้แล้ว ยังได้หมายถึงสิ่งทุกสิ่ง ไม่ยกเว้นอะไรเลยด้วยดังนี้ และยังเป็นของประหลาดที่ว่า เป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง เช่นเดียวกับพวกที่ถือพระเป็นเจ้า ก็ถือว่าพระเป็นเจ้ามีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง ในพุทธศาสนาเราก็ถือว่า ธรรม นี้อยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง ดังที่ปรากฏในบาลี พุทธสันนิบาตชาดก ว่า ธัมโม หะเว ปาตุระโหสิ ปุพเพ ซึ่งแปลว่า ธรรม ได้ปรากฏอยู่ก่อนแล้วแล ดังนี้เป็นต้น
ธรรม ในลักษณะเช่นนี้ หมายถึง กฎของธรรมชาติหรืออำนาจอันลึกลับสูงสุดเหนือสิ่งใดที่สามารถบันดาลให้สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปต่างๆ นาๆ อยู่ฝ่ายหนึ่งหรือพวกหนึ่ง แต่ยังมีฝ่ายหนึ่งที่ตรงกันข้าม คือ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการเกิด ไม่มีการตาย ได้แก่ ตัวกฎธรรมชาติหรืออำนาจนั้นนั่นเองดังนี้ ถ้าผู้ใดรู้หรือเข้าใจถึงธรรมประเภทนี้แล้ว ก็จะไม่หลงใหลในธรรมประเภทที่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป นับว่าเป็นสิ่งที่น่าประหลาดมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง
อีกประการหนึ่ง สิ่งที่เรียกว่า ธรรม นี้ยังเป็นสิ่งที่มีอยู่ตลอดกาล ยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ ยิ่งกว่าดวงจันทร์ เป็นต้นเสียอีก ถ้าเอาอายุของดวงอาทิตย์เป็นต้นไปเปรียบเทียบอายุของธรรมแล้ว ก็จะมีลักษณะเหมือนกับการเอาอายุของยุงตัวหนึ่งไปเปรียบเทียบกันกับอายุของดวงอาทิตย์ เป็นต้นอีกนั่นเอง ซึ่งก็จะเป็นสิ่งที่น่าขบขันไม่มีอะไรเหมือน ทั้งนี้ก็เพราะว่าธรรมนั้นสุด ก็คือสิ่งที่มีความสมดุล เป็นความสมดุลหรือเหมาะสมที่จะคงอยู่ตลอดกาล ในทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า สิ่งใดเหมาะสมที่จะอยู่ สิ่งนั้นจะคงอยู่หรือเหลืออยู่ สิ่งใดไม่เหมาะสมที่จะอยู่ คือเข้ากันไม่ได้กับสิ่งที่แวดล้อมเป็นต้นแล้ว สิ่งนั้นจะสูญไป แม้นี้ก็คือกฎของธรรมโดยตรง และธรรมนั่นแหละ เป็นเพียงสิ่งๆ เดียวที่จะคงอยู่ตลอดกาลอันไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น สิ่งที่เรียกว่า ธรรม นั้น จึงตั้งอยู่ในฐานะเป็นสิ่งสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใด จนพระพุทธเจ้าทั้งหลายทุกๆ พระองค์ ทรงล้วนแต่ทรงเคารพธรรม มีธรรมเป็นที่เคารพ ไม่อาจจะมีสิ่งอื่นเป็นที่เคารพ นอกจากธรรมเพียงสิ่งเดียว ทั้งที่พระพุทธองค์ก็ได้เป็นผู้ตรัสรู้ธรรม หรือทำให้ธรรมปรากฏออกมาแก่สายตาของสัตว์ทั้งปวง ซึ่งไม่อาจจะมองเห็นได้ด้วยสติปัญญาของตนเอง ข้อความนี้เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงรำพึงและได้ตรัสไว้เองในคราวที่ตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ซึ่งมีปัญหาเกิดขึ้นว่า พระพุทธเจ้าจะทรงอยู่โดยไม่มีอะไรเป็นที่เคารพหรือหาไม่ ดังนี้
ข้อความทั้งหมดดังที่กล่าวมานี้ ถ้าจะสรุปความให้สั้นที่สุดก็จะสรุปได้ความว่า เนื้อตัวของเราทั้งหมดก็คือธรรม กฎธรรมชาติที่ควบคุมเราอยู่ก็คือธรรม หน้าที่ที่เราจะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฎธรรมชาตินั้นก็คือธรรม และผลต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นแก่เรา ตลอดจนถึงกาลบรรลุ มรรค ผล นิพพาน ในที่สุดของเราก็คือธรรมอีกนั่นเอง
ดังนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสว่า ธัมมทีปา ธัมมสะระณา ซึ่งแปลว่า ท่านทั้งหลายจงมีธรรมเป็นดวงประทีป ท่านทั้งหลายจงมีธรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัยเถิด ดังนี้ สอดคล้องกันนั้นก็ได้ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต ผู้ใดไม่เห็นธรรม ผู้นั้นไม่เห็นเรา ตถาคต แม้ว่าผู้นั้นจะจับกุมจีวรของเราถืออยู่แล้วก็ตาม ดังนี้เป็นต้น ดังที่ได้กล่าวแล้ว
บัดนี้ เป็นการกล่าวได้ว่า เป็นโชคดีมหาศาล เป็นบุญกุศลมหาศาลของประชาชนชาวไทย ที่ได้มีมหาอัตตา คือ ตนหลวงซึ่งเป็นดวงวิญญาณของประเทศชาติ ในฐานะเป็นตนหลวงที่เป็นธรรมมิกราชา เป็นเจ้าตนหลวงที่ประกอบด้วยธรรม เป็นตนหลวงที่ทรงสรรเสริญธรรม เป็นตนหลวงที่ทรงชักชวนประชาชนในธรรม เป็นตนหลวงที่ทรงโปรดปรานผู้ที่ตั้งอยู่ในธรรม และทั้งทรงเป็นพุทธศาสนูปถัมภ์ เพื่อความมีอยู่แห่งธรรมในประเทศไทยและตลอดโลกทั้งปวง การที่ทรงมีพระราชภารกิจต่างๆ ปรากฏเห็นเป็นประจักษ์พยานอยู่แก่สายตาของประชาชนชาวไทยทั้งมวลแล้ว ส่วนที่เป็นพิเศษในวันนี้นั้น สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารได้เสด็จมาถึงที่นี่ เพื่อทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวิสาขบูชา ในที่เฉพาะหน้าแห่งพระธาตุเจดีย์ อันเป็นที่ประดิษฐานพระสารีริกธาตุประจำเมืองพญานี้ ย่อมเป็นการกระทำที่ส่งเสริมความมีอยู่แห่งธรรมในจิตใจของประชาชนให้มั่นคงยิ่งๆ ขึ้นไป หรืออย่างน้อยก็จะยังคงมีอยู่อย่างเพียงพอแก่การที่จะคุ้มครองประชาชนช่วงนี้ ให้ตั้งอยู่ในธรรม มีความร่าเริงกล้าหาญในการที่จะประพฤติธรรม สืบตลอดไป ตลอดกาลนาน แม้ว่าเมืองพญานี้จะเป็นเมืองโบราณแห่งสมัยศรีวิชัย เคยรุ่งเรืองด้วยพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง จนถึงกับแม้แต่บทกล่อมลูกของชาวบ้าน ก็มีการกล่าวถึงปรินิพพาน เป็นต้นมาแล้วก็ดี ดังนี้ก็ตาม แต่บัดนี้ ตกอยู่ในสภาพที่ต้องการสิ่งกระตุ้นเตือนใจในทางธรรมเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้น การเสด็จพระราชดำเนินมาจนถึงที่นี่ ในลักษณะอย่างนี้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ เป็นสวัสดีมงคล เป็นที่ปลาบปลื้มแก่ประชาชนในถิ่นนี้อย่างมหาศาลเหนือที่จะเปรียบปาน ดังที่จะเห็นได้จากการที่มารอเฝ้าถวายความจงรักภักดีตั้งแต่เมื่อวานจนกระทั่งถึงเวลาขณะนี้
ขอให้สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภาร จงได้ทรงทราบถึงความดีข้อนี้โดยประจักษ์ แล้วจงทรงสำราญพระราชหฤทัยตามวิสัยแห่งธรรมราชา ผู้ชักชวนประชาชนทั้งหลายให้มีความกล้าหาญในทางแห่งธรรมจนทุกประการเถิด
ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวัง จงมีด้วยประการฉะนี้ ขอถวายพระพร