แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ดังที่ท่านทั้งหลายก็ทราบกันดีอยู่แล้ว เนื่องในการที่ท่านเจ้าคุณปัญญานันทมุนีได้บำเพ็ญทักษิณานุปทานกิจอุทิศแด่ท่านบุพการี เป็นการกระทำที่พุทธบริษัททั้งหลายยอมรับว่าเป็นหน้าที่โดยตรง ซึ่งเราจะต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อการสนองคุณด้วย ในการทำทักษิณานุปทานกิจนั้นมีอยู่หลายอย่างหลายประการ รวมทั้งกุศลที่เกิดแก่การให้ทานธรรมเทศนานี้ด้วย และถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญ เป็นการให้ทานที่สำคัญคือให้ผ่านแสงสว่าง หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้ช่วยกันทำในใจให้สำเร็จประโยชน์คือให้ได้เกิดผลตามที่ประสงค์ทุกประการ
สำหรับธรรมเทศนานี้มีหัวข้อที่เห็นว่าสมควรที่คนทุกคนจะถือเอาเป็นเรื่องรีบด่วน คือพระพุทธภาษิตที่ตรัสว่าการเกิดย่อมเป็นทุกข์ร่ำไป การละจะได้ซึ่งความสำคัญว่าตัวเรานั้นเป็นสุขอย่างยิ่ง สำหรับความทุกข์นั้นพระพุทธองค์ทรงระบุการเกิด จึงได้ตรัสว่า ทุกขา ชาติ ปุนัปปุนัง การเกิดเป็นทุกข์ร่ำไป สำหรับความสุขนั้นระบุเอาการละเสียได้ซึ่งความสำคัญมั่นหมายว่าตัวเราที่เรียกว่า อัสมิมานัสสะ วินะโย นำออกเสียได้ซึ่งอัสมิมานะ อัสมิมานะคือความสำคัญว่าเรามีอยู่หรือเป็นอยู่ ปัญหาของมนุษย์ก็มีอยู่ที่ความทุกข์ จะมาจากการเบียดเบียนกันหรือเบียดเบียนตนเอง คือกิเลสของตนเบียดเบียนตนก็ตามมันเป็นความทุกข์ทั้งนั้น ก็เป็นปัญหาเฉพาะหน้าแก่มนุษย์ทุกคน เพราะว่าเราไม่ประสงค์ความทุกข์ ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะสิ่งที่เรียกว่าความเกิดนี้มีความหมายซับซ้อนหลายชั้น และปัญหาสำคัญก็อยู่ตรงที่คำว่าความเกิด คือเราไม่ค่อยจะเข้าใจกันว่าหมายความว่าอย่างไร และมักจะเข้าใจเอาตามความรู้สึกธรรมดาสามัญว่าความเกิดนั้นคือการเกิดจากท้องแม่ เมื่อพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าความเกิด การเกิดเป็นทุกข์ร่ำไป มันจะหมายความแต่เพียงการเกิดจากท้องแม่อย่างเดียวหรือไม่ก็ลองคิดดู ถ้าความเกิดนั้นหมายถึงเกิดจากท้องแม่อย่างเดียวแล้วพระองค์ก็คงจะไม่ตรัสว่า อัสมิมานัสสะ วินะโย เอตัง เว ปะระมัง สุขัง ซึ่งมีใจความว่านำออกเสียได้ซึ่งความสำคัญมั่นหมายว่าเรานี้เป็นความสุขอย่างยิ่ง เพราะมันแสดงชัดอยู่ในตัวแล้วว่าความสำคัญมั่นหมายว่าเรานั่นแหละเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง เมื่อนำออกเสียได้ซึ่งความสำคัญมั่นหมายว่าตัวเรามันก็เลยเป็นความสุขอย่างยิ่ง ฉะนั้นความทุกข์อย่างยิ่งมันอยู่ที่ความสำคัญมั่นหมายว่าเรา เรามีเราเป็น ทีนี้ข้อที่พระองค์ตรัสว่า ทุกขา ชาติ ปุนัปปุนัง การเกิดเป็นทุกข์ร่ำไปนั้น การเกิดนั่นมันหมายถึงอะไรมันจึงได้เป็นทุกข์ร่ำไป การเกิดนั้นก็ต้องหมายถึงการเกิดของอัสมิมานะนั่นเอง คือการเกิดจากความสำคัญมั่นหมายว่าตัวเรานั่นเอง ไม่ใช่หมายถึงการเกิดจากท้องแม่ดังที่เข้าใจกัน นี่แหละคือปัญหาสำคัญ เป็นปัญหาสำคัญอย่างยิ่งหรืออย่างใหญ่หลวงที่ทำให้เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้ เมื่อกล่าวโดยทั่วไปขอให้เข้าใจอย่างกว้างๆว่าคำพูดแต่ละคำมีความหมายหลายอย่างแล้วแต่ว่าคำๆนั้นใช้ในกรณีอย่างไร จนถึงกับเราต้องแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่ายคือคำพูดทางภาษาวัตถุที่ชาวบ้านพูดๆกันนี้อย่างหนึ่ง คำพูดในภาษาจิต ภาษาวิญญาณ ภาษาธรรมะที่ท่านผู้รู้ธรรมะพูดกันนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง อย่างแรกเรียกว่าภาษาคนพูด อย่างหลังเรียกว่าภาษาธรรมคือผู้รู้ธรรมพูด คนธรรมดาพูดก็พูดตามที่คนธรรมดาสอนกันให้พูดอย่างไร เช่นความเกิดก็หมายถึงเกิดจากท้องแม่ แต่ถ้าความเกิดตามภาษาธรรมหรือผู้รู้ธรรมแล้วหมายถึงความสำคัญมั่นหมายว่าตัวเรามีอยู่ เมื่อใดเกิดความสำคัญมั่นหมายในจิตใจว่าตัวเรามีอยู่ เมื่อนั้นจึงจะถือว่าเราได้เกิดอยู่ ถ้าความสำคัญมั่นหมายอันนี้ดับไปก็หมายความว่าตัวเรามิได้มีอยู่หรือดับไปเสียขณะหนึ่ง เมื่อใดความสำคัญมั่นหมายอันนี้เกิดขึ้นในใจอีกเมื่อนั้นก็เกิดมีตัวเราขึ้นมาอีก เกิดอย่างนี้ไม่ใช่เกิดจากท้องแม่ทางวัตถุ แม่ทางวัตถุก็คือมารดาที่เป็นคนเป็นเนื้อเป็นหนัง แต่ว่ามันเกิดจากมารดาที่เป็นนามธรรมคือตัณหาและอวิชชา อุปาทานเป็นต้น จะเรียกว่าตัณหาเป็นมารดา อวิชชาเป็นบิดาหรืออะไรก็ได้ แล้วมันก็ทำให้เกิดอัสมิมานะคือความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นตัวฉันขึ้นมา ตัวฉันมันก็เกิดมาจากพ่อแม่ของมันเหมือนกัน หากแต่ว่ามันเป็นอวิชชาเป็นตัณหา หรือที่เรียกว่าอุปา รวมๆว่าอุปาทานก็ได้ เมื่อใดมีความโง่ มีความหลง มีความเข้าใจผิด เป็นเหตุให้เกิดความสำคัญมั่นหมายว่ามีตัวเราหรือมีตัวกูอย่างนี้แล้วก็เรียกว่ามีการเกิดที่นั่น การเกิดอย่างนี้แหละที่เป็นตัวทุกข์และเป็นทุกข์ร่ำไป การเกิดทางวัตถุทางเนื้อทางหนังคือกาด เกิดจากท้องแม่นั้นมันหมดปัญหาแล้วเพราะว่าคนเราก็เกิดมาแล้ว ตั้งทีแรกแล้วก็ไม่มีการเกิดอีก เกิดจากท้องแม่กินเวลาไม่กี่นาทีก็เสร็จเรื่องกัน ไม่มีการเกิดแล้วเกิดอีก เกิดแล้วเกิดอีก เดี๋ยวนี้มีการพูดว่าเกิดแล้วเกิดอีก เกิดแล้วเกิดอีก การเกิดทุกทีเป็นทุกข์ทุกที นี้มันเป็นการเกิดแห่งอะไร และเป็นการเกิดทางไหน มันก็ได้แก่การเกิดทางจิตใจหรือทางวิญญาณหรือทางนามธรรมที่เรียกว่าเป็นการเกิดในภาษาธรรม การเกิดในภาษาคนคือเกิดจากท้องแม่โดยตรง การเกิดในภาษาธรรมคือเกิดจากอวิชชาตัณหาอุปาทาน เกิดมาเป็นความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นตัวเราหรือเป็นของเรา เป็น ๒ อย่างกันอยู่อย่างนี้ นี่เป็นปัญหาสำคัญเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจ ถ้าทำความเข้าใจเรื่องนี้ไม่ได้ก็เป็นอันว่าเหลวหมด ไม่มีเรื่องอะไรที่จะเข้าใจได้เลยในพระพุทธศาสนานี้ ขอให้สนใจให้ดีเป็นพิเศษว่าภาษาย่อมมีอยู่เป็น ๒ ภาษาเสมอ เป็น ๒ ชั้นเสมอไปคือชั้นภาษาคนทางวัตถุนี่อย่างหนึ่ง ภาษาธรรมทางนามธรรมทางจิตใจที่ท่านผู้รู้พูดกันนั้นอย่างหนึ่ง ยกตัวอย่างคำบางคำมาพอเป็นเครื่องประกอบให้เห็นชัดแจ้งยิ่งขึ้น เช่นคำว่าหนทาง เมื่อเราพูดว่าหนทางเราก็หมายถึงถนนหนทางที่รถหรือคนหรือสัตว์เดินไปมา นี่ก็เรียกว่าหนทาง แต่ถ้าว่าหนทางอีกคำหนึ่งหมายถึงอริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฐิเป็นต้น ซึ่งใครเดินแล้วไปสู่นิพพาน คำว่าหนทางภาษาคนก็หมายถึงถนนหนทาง คำว่าหนทางในภาษาธรรมก็หมายถึงการปฏิบัติถูกต้อง ๘ ประการ เรียกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ นี่มันเป็นคู่ๆกันอยู่อย่างนี้ ทีนี้คำว่านิพพาน ถ้าเป็นภาษาคนก็หมายถึงของร้อนๆเย็นลงไป เช่นถ่านไฟแดงๆเย็นลงก็เรียกว่าถ่านไฟนิพพาน อาหารในหม้อในจานเย็นลงไปก็เรียกว่าอาหารนิพพาน นี้เป็นภาษาคน ส่วนนิพพานในภาษาธรรมนั้นหมายถึงการเย็นเพราะหมดกิเลส เมื่อหมดกิเลสเมื่อใดก็มีความเย็นเมื่อนั้นหรือแม้ที่สุดแต่ว่ากิเลสไม่รบกวนเมื่อใดมันก็มีความเย็นเมื่อนั้น เป็นนิพพานชั่วคราว นิพพานหรือความเย็นจึงมี ๒ ความหมาย เป็นภาษาคนอย่างหนึ่ง เป็นภาษาธรรมอย่างหนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น ส่วนคำที่สำคัญบางคำเช่นคำว่าความว่าง ถ้าเป็นความหมายทางภาษาคนทางวัตถุแล้วความว่างก็หมายความว่ามิได้มีสิ่งใดอยู่ เหลืออยู่ ส่วนในภาษาธรรมนั้นคำว่าความว่างหมายถึงว่างจากความรู้สึกว่าตัวเราหรือของเรา ถ้าลองไปคิดดูก็พอจะเข้าใจได้ เพราะถ้าจิตใจของเราไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดว่าเป็นตัวเราหรือเป็นของเราแล้วมันก็เป็นความว่าง คือไม่มีอะไรเหมือนกัน คำว่าความว่างที่แปลว่าไม่มีอะไรนี่มันยังมีความหมายเป็น ๒ ชั้น ทางวัตถุอย่างหนึ่ง ทางนามธรรมอีกอย่างหนึ่ง อย่างที่กล่าวว่าภาษาคนอย่างหนึ่งภาษาธรรมอย่างหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ดีขอให้เข้าใจให้ละเอียดลงไปว่า แม้จะพูดว่าว่างมันก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรเสียเลย อย่างทางวัตถุพูดว่าว่างเปล่าไม่มีอะไร อย่างเป็นสุญญากาศอย่างนี้มันก็ยังมีสุญญากาศนั่นเองอยู่ในนั้นมันไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรเสียเลย สำหรับทางนามธรรมนั้นสิ่งต่างๆมันก็มีอยู่เต็มไปทั้งโลกตามเดิม แต่ไม่มีอะไรที่ถูกยึดมั่นถือมั่นว่าของเรา ดังนั้นมันจึงเรียกว่าว่าง เมื่อจิตใจมองเห็นสิ่งทั้งหลายในฐานะที่ไม่น่าเอาไม่น่าเป็น ไม่น่ายึดถือแล้วมันก็ว่างจากความเอาความเป็นหรือจากความยึดถือมันจึงเป็นจิตที่ว่าง แต่ก็มิได้หมายความว่ามันไม่มีอะไร ทุกอย่างมันยังมีอยู่ ความคิดความนึกของจิตมันก็ยังมีอยู่แต่มันไม่มีไปในทางยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกูว่าเป็นของกู เพราะมันว่างจากความยึดมั่นว่าตัวกูของกูอย่างนี้แหละจึงได้เรียกว่าจิตว่าง ดังบาลีว่าจิตที่ว่าว่างเพราะว่างจากราคะ โทสะ โมหะ โลกนี้ว่างเพราะว่างจากภาวะที่ควรสำคัญมั่นหมายว่าตัวเราหรือว่าของเรา โลกมันก็ว่าง จิตมันก็ว่างในลักษณะอย่างนี้ตามความหมายในทางภาษาธรรม มิได้หมายความตามภาษาวัตถุที่ว่าไม่มีอะไรเสียเลย แม้ในภาษาคนหรือภาษาวัตถุว่าไม่มีอะไรเสียเลยมันก็ยังมีความว่างเหลืออยู่นั่นเอง นี่ขอให้เข้าใจถึงความสับสนหรือสับปลับของภาษาที่มนุษย์ใช้พูดจากันอยู่ มันมีอยู่อย่างนี้ ถ้าเราไม่รู้เท่าทันความสับปลับของภาษาแล้วเราจะรู้ธรรมะไม่ได้ เราจะต้องมีความเข้าใจแจ่มแจ้งในภาษาที่พูดกันอยู่ ดังที่ได้ยกมาเป็นตัวอย่าง และที่สำคัญที่สุดก็เกี่ยวกับคำว่าความเกิดหรือการเกิด
การเกิดที่เป็นปัญหาของเรานั้นเป็นการเกิดทางจิตใจ คือเกิดความรู้สึกสำคัญมั่นหมายขึ้นมาในใจว่าเราก่อน เมื่อเกิดความสำคัญมั่นหมายว่าเราแล้วมันก็ต้องมีคุณหรือคุณสมบัติประกอบว่าเราเป็นอะไร เราเป็นอย่างไร เช่นเราเป็นคน หรือเราเป็นสัตว์ หรือเราเป็นคนดี หรือเราเป็นไอ้คนชั่ว หรือเป็นอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อเราเป็นอะไรขึ้นมาอย่างนี้แล้วความคิดก็เลยไปถึงการเปรียบเทียบว่าเราดีกว่าเขา หรือเราเลวกว่าเขา หรือเราเสมอกันกับเขา ทั้งหมดนี้มันเนื่องกันเป็นอันเดียวกันเรียกว่าอัสมิมานะความสำคัญว่าเรามีอยู่หรือเราเป็นอยู่ นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าความเกิด เพราะฉะนั้นในวันหนึ่งเราจึงเกิดได้หลายครั้งหรือหลายสิบครั้ง ในชั่วโมงเดียวก็ยังอาจจะเกิดได้ตั้งหลายครั้ง หรือถ้าว่าเกิดเก่งก็อาจจะได้ถึงหลายสิบครั้ง เมื่อใดมีความสำคัญมั่นหมายว่าตัวกูขึ้นมาว่าตัวกูเป็นอย่างไรแล้วก็เรียกว่าเป็นการเกิดทั้งนั้น ในขณะใดไม่มีความรู้สึกสำคัญมั่นหมายอย่างนี้มันก็ไม่มีการเกิด มันว่างจากการเกิดอยู่ อยู่ในลักษณะที่ดับเย็นอยู่ ดังนั้นจึงอยากให้ถือเป็นหลักด้วยกันทุกคนว่าเมื่อใดเกิดความรู้สึกว่าตัวกูของกูขึ้นมา เมื่อนั้นก็มีวัฏสงสารขึ้นมาในจิตใจเป็นความทุกข์ เป็นความร้อน เป็นความไหลเวียน และเมื่อใดว่างไปจากกิเลสชนิดนี้ชั่วขณะหนึ่ง เมื่อนั้นก็เป็นนิพพานประจำอยู่ที่นั่น ตามความหมายของคำว่าตทังคนิพพานหรือวิกขัมภนนิพพาน เป็นต้น ในคัมภีร์อังคุตตรนิกายมีกล่าวไว้ถึง ตทังคนิพพานคือความประจวบเหมาะของสิ่งแวดล้อมที่แวดล้อมเราอยู่ในขณะนั้น ทำให้ไม่อาจจะเกิดความสำคัญมั่นหมายว่าตัวเราว่าของเราขึ้นมาได้ ภาวะอย่างนั้นเรียกว่า ตทังคนิพพานคือดับตัวกูของกูได้ชั่วขณะหนึ่งตามอำนาจของสิ่งที่แวดล้อม หรือถ้าดีไปกว่านั้นถ้าเราปฏิบัติธรรมะอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่โดยเฉพาะในการเจริญสมาธิ บังคับไม่ให้เกิดความรู้สึกเป็นตัวกูของกูขึ้นมาได้เลย มันก็เป็นความดับแห่งตัวกูของกู เป็นวิกขัมภนนิพพานอีกประการหนึ่ง พอเมื่อใดทำกิเลสให้หมดสิ้นไปไม่มีเหลือเลยจึงจะเป็นนิพพานแท้จริงโดยสมบูรณ์ ทีนี้เราเอากันแต่ในเวลาวันหนึ่งๆในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป ก็ขอให้เข้าใจไว้เป็นหลักทีหนึ่งก่อนว่าเมื่อใดความรู้สึกว่าตัวกูว่าของกูเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อนั้นเป็นวัฏสงสาร เป็นความทุกข์คือมันเป็นชาติ คือความเกิดแห่งตัวกู แล้วตั้งอยู่ขณะหนึ่งแล้วจึงดับไป แล้วเกิดมาอีกแล้วตั้งอยู่ขณะหนึ่งแล้วจึงดับไปจึงเรียกว่าวัฏสงสาร เป็นความทุกข์เพราะมีความเกิดแห่งตัวกู ถ้าขณะใดมันประจวบเหมาะมันไม่อาจจะเกิด มันระงับอยู่ก็เรียกว่าตทังคนิพพาน นิพพานชั่วคราว นิพพานชิมลอง นิพพานตัวอย่าง เพราะเป็นความสงบเย็น ทีนี้เพื่อเข้าใจคำว่านิพพานให้ดีขึ้นอีกสักหน่อยก็พบได้ในบาลีอังคุตตรนิกายอีกว่านิพพานหมายถึงเย็น วัตถุร้อนๆเย็นก็คือนิพพานของวัตถุ วัตถุนิพพานหรือของร้อนเย็นลงอย่างนี้เรียกว่านิพพานของวัตถุ สัตว์เดรัจฉานหมดโทษ หมดพิษ หมดอันตรายเพราะว่าถูกฝึกฝนอย่างดีแล้ว สัตว์เดรัจฉานตัวนั้นเรียกว่ามันนิพพานคือมันหมดโทษ หมดพิษ หมดอันตราย ทีนี้พอมาถึงคน มีความเย็นอย่างไรบ้าง นี้มันเป็นเรื่องที่ลำบากในข้อที่ว่าความรู้ของคนไม่ได้มีคราวเดียวถึงยอดสุด ความรู้ของคนมีมาตามลำดับๆทีละขั้นๆ เพราะฉะนั้นในยุคหนึ่งในสมัยหนึ่งก่อนพุทธกาลนานไกลนั้นมนุษย์ได้ถือเอาความสมบูรณ์ในทางกามารมณ์ว่าเป็นนิพพาน เพราะว่าถ้าได้อย่างอกอย่างใจไปทุกอย่างในทางกามคุณมันก็มีความเย็นชนิดหนึ่งเหมือนกัน แม้จะเป็นเย็นเปียก เย็นแฉะ หรือเย็นร้อนซ่อนเร้นอยู่มันก็เป็นความเย็นชนิดหนึ่งคือทำให้สบายใจ จะระงับความกระวนกระวายได้อย่างหนึ่งหรือชนิดหนึ่ง มนุษย์จึงถือว่าความสมบูรณ์ในกามคุณเป็นนิพพานกันมาพักหนึ่ง ต่อมามนุษย์ที่ฉลาดขึ้นเริ่ม เริ่มรู้ว่าอย่างนี้ไม่ ไม่ใช่ ไม่ไหว เป็นเรื่องที่หลอกลวงหรือมายาอยู่มาก ก็ไปพบว่าการทำจิตให้สงบด้วยอำนาจของสมาธิ หยุดอยู่ในฌานในสมาบัตินั้นเย็น เย็นจริง แล้วก็บัญญัติว่าเป็นนิพพาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัญญัติสมาบัติในจตุตถฌาณว่าเป็นนิพพานอยู่พักหนึ่ง ยุคหนึ่ง จนกระทั่งถึงยุคพระพุทธเจ้าก็มีผู้ที่สอนอย่างนี้ คือสอนสมาบัติที่ละเอียดลึกซึ้งลงไปว่าเป็นนิพพาน อาจารย์คนสุดท้ายของพระพุทธเจ้าคืออุทกดาบสรามบุตร ก็สอนอย่างนี้ว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ นั้นเป็นความสิ้นสุดแห่งความทุกข์ พระพุทธเจ้าได้รับคำสั่งสอนแนะนำอย่างนี้ ท่านไม่เชื่อไม่ยอมรับเอา ไม่ถือว่านั่นเป็นนิพพาน จึงไป จึงได้ไปค้นเอาตามวิธีของพระองค์เอง จนกระทั่งพบว่าความสิ้นไปแห่งกิเลสตัณหาอุปาทานโดยประการทั้งปวงนั้นเป็นนิพพาน อย่างที่ตรัสว่า อัสมิมานัสสะ วินะโย เอตัง เว ปะระมัง สุขัง อย่างนี้เป็นต้น กิเลสหมดไปโดยสิ้นเชิงจึงจะเรียกว่านิพพาน ถ้ากิเลสหมดชั่วคราว กิเลสไม่รบกวนชั่วคราวก็เป็นนิพพานชั่วคราว จึงได้มีคำตรัสถึงตทังคนิพพานบ้าง ทิฏฐธัมมนิพพานบ้าง วิกขัมภนนิพพานบ้างดังที่กล่าวแล้ว แต่ก็มีความหมายอย่างเดียวกันคือหมายถึงขณะหรือภาวะที่กิเลสไม่รบกวน ทีนี้ก็ขอให้ดูกันต่อไปให้ถูกต้อง ให้เข้าใจกันเสียใหม่ว่าคนเราไม่ได้ถูกกิเลสรบกวนเผาผลาญอยู่ทุกนาที ทุกเวลานาที มันมีระยะที่ว่างจากกิเลสเผาผลาญ เพราะว่าถ้ากิเลสเผาผลาญอยู่ไม่มีหยุดทุกเวลานาทีแล้วมันก็เป็นบ้าตายไปหมดแล้ว ไม่ได้เหลืออยู่ในโลกมาเป็นมนุษย์มากมายอย่างนี้ เนื่องจากมันมีระยะที่กิเลสไม่เผาผลาญไม่รบกวนนั้นอยู่พอสมควร ฉะนั้นจึงไม่เป็นโรคเส้นประสาท ไม่วิกลจริตและไม่ตาย ขอให้ ให้ความยุติธรรมแก่ธรรมชาติอย่างนี้บ้าง และขอบใจธรรมชาติในกรณีอย่างนี้บ้างว่าธรรมชาติได้สร้างมาให้เรามีเวลาที่ว่างจากกิเลสรบกวนเป็นเวลาพอสมควรในวันหนึ่งๆ ดังนั้นมันจึงมีเวลาที่นอนหลับ หรือ หรือมีเวลาที่จิตใจโปร่งเยือกเย็นสบายอยู่ ถ้าใครทำได้ตามที่ธรรมชาติต้องการคนนั้นก็ไม่เป็นโรคเส้นประสาท ไม่เป็นโรคจิต ใครทำได้ไม่ถูกต้องไม่พอคนนั้นก็ต้องเป็นโรคเส้นประสาท เป็นมากขึ้นก็เป็นโรคจิตและถึงกับตายได้ นี่แหละขอให้ขอบใจนิพพานชั่วคราว นิพพานชั่วขณะ นิพพานประจวบเหมาะอย่างนี้กันบ้างว่าในขณะนั้นเวลานั้นตัณหา มานะ ทิฐิมันไม่ได้เกิด โดยเฉพาะอุปาทานว่าตัวกูว่าของกูนี้มันไม่ได้เกิด มันว่างอยู่พอสมควร ขอให้พักผ่อนทางจิตใจบ้าง ขอให้นอนหลับบ้างมันจึงสบายดี คนสมัยโบราณมีอาการอย่างนี้มากกว่าคนสมัยนี้ คนสมัยนี้มีการศึกษาเปลี่ยนแปลงไป มีการกระทำเปลี่ยนแปลงไป ทำให้เกิดการรบกวนของกิเลสมากกว่าคนสมัยโบราณ คนสมัยนี้จึงเป็นโรคประสาทเป็นโรคจิตมากกว่าคนสมัยโบราณอย่างน่าอับอายขายหน้า คือว่ามันยิ่งมีวิชาความรู้มากขึ้นมันยิ่งเป็นบ้ามากขึ้น โรง โรงพยาบาลประสาทโรงพยาบาลโรคจิตนี้ยังไม่พอกับที่คนมันเป็นโรคประสาทหรือเป็นโรคจิตกันมากขึ้น นี้มันมีเหตุผลเพียงอย่างเดียวคือข้อที่การพักผ่อนในทางจิตทางวิญญาณนั้นมันไม่พอ มันไปทะเยอทะยานขวนขวายกันมากเกินไป ถูกสอนให้ทะเยอทะยานขวนขวายเกินตัวตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆ ฉะนั้นมันจึงเริ่มเป็นโรคประสาทหรือเป็นโรคจิตไปตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ แล้วมันก็ไปเบิกบานงอกงามพอดี เรียนสำเร็จก็กลายเป็นคนที่มีจิตไม่สมประกอบอย่างนี้ นี่แหละคือข้อที่ไม่สนใจในคำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับความเกิดแห่งตัวกูของกูว่าเป็นความทุกข์อย่างไร
ทีนี้เราจะได้ดูกันต่อไปถึงข้อที่เรียกว่าความเกิด ไม่ว่าจะเกิดกันอย่างไรเป็นความทุกข์ทั้งนั้น เพราะว่าคำว่าเกิดนี่มันหมายถึงความยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน ไม่ใช่เป็นความรู้สึกด้วยสติปัญญา นี้ก็เป็นสิ่งสำคัญเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องเข้าใจให้ดี ถ้าเรารู้สึกว่าเราเป็นอะไรด้วยสติปัญญาอย่างนี้ไม่ใช่การเกิด ไม่เป็นความเกิด แต่ถ้าสำคัญมั่นหมายด้วยความโง่ด้วยกิเลสว่าเราเป็นอะไรอย่างนี้เป็นความเกิด เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้ทุกคนมีสติอยู่เสมออย่าเกิดความยึดมั่นถือมั่นขึ้นมา เรารู้ว่าเราเป็นอะไร มีหน้าที่อย่างไรแล้วก็ทำไปตามหน้าที่ และด้วยสติปัญญาอย่างนี้ไม่มีความทุกข์ เพราะไม่มีความเกิดแห่งตัวกูของกู ถ้าเมื่อใดมันโง่ไป มันเผลอไป มันลืมไป มีความสำคัญมั่นหมายด้วยกิเลสตัณหาอุปาทานว่าเป็นตัวกูของกู กูเป็นอย่างนั้นกูเป็นอย่างนี้แล้วเรียกว่าความเกิด ขึ้นชื่อว่าความเกิดแล้วเป็นทุกข์ทั้งนั้น เป็นทุกข์ทุกชนิดไม่ว่าเกิดเป็นอะไร เกิดเป็นแม่ก็มีความทุกข์อย่างแม่ เกิดเป็นพ่อก็มีความทุกข์อย่างพ่อ ยกตัวอย่างในวันหนึ่งใครเกิดโมโหโทโสขึ้นมาในลักษณะที่เป็นแม่ แล้วก็จะเอาอย่างนั้นจะเอาอย่างนี้มันก็เป็นทุกข์อย่างแม่ คนที่เป็นพ่อก็เหมือนกัน สำคัญมั่นหมายในความเป็นพ่อ จะเอาอย่างนั้นจะเอาอย่างนี้ด้วยความยึดมั่นถือมั่นนั้นมันก็เป็นทุกข์อย่างพ่อ แต่ว่าถ้าเป็นคนมีสติปัญญาไม่ต้องเกิดความเดือดพล่านขุ่นมัวเช่นนั้น มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ รู้ว่าพ่อจะต้องทำอย่างไร แม่จะต้องทำอย่างไร มีหน้าที่อย่างไร แล้วทำไปด้วยใจคอที่ปกติ ไม่มีอุปาทานว่าตัวกูเป็นอย่างนั้นตัวกูเป็นอย่างนี้แล้วมันก็ไม่มีความทุกข์อะไร ซ้ำกลับจะสั่งสอนอบรมลูกหลานให้สำเร็จประโยชน์ได้ดีอีกด้วย นี่แหละขอให้เข้าใจคำที่ถ้าหากจะพูดว่าเกิดเป็นแม่ก็ทุกข์อย่างแม่ เกิดเป็นพ่อก็ทุกข์อย่างพ่อ เกิดอย่างเศรษฐี เกิดเป็นเศรษฐีก็มีความทุกข์อย่างเศรษฐี เกิดเป็นขอทานก็มีความทุกข์อย่างขอทาน จะเปรียบเทียบให้ดูอีกสักคู่หนึ่งว่าถ้ามันมีความโง่ความหลง อวิชชาตัณหาอุปาทานครอบงำแล้ว สำคัญยึดมั่นในความเป็นเศรษฐีของตนแล้วมันก็เป็นทุกข์ทันที แล้วทีนี้มันยังจะพูดอะไร จะทำอะไรออกไปด้วยอำนาจของกิเลสนั้นมันก็ยิ่งเป็นทุกข์ใหญ่ กระทั่งมานอนรำพึง วิตกกังวลในเรื่องความเป็นเศรษฐีของตัว นอนไม่หลับ นี่คือ เป็น เป็นเศรษฐีก็มีความทุกข์อย่างเศรษฐี นี่ถ้าเป็นขอทาน มารำพึงถึงความอับโชค ไม่มีวาสนา มีความทุกข์ลำบากของตนอยู่อย่างนี้มันก็เป็นทุกข์อย่างขอทาน แต่ว่าถ้าทั้งสองคนนี้ไม่ได้คิดอย่างนี้ในเวลาใด ในเวลานั้นไม่มีความทุกข์เลย เศรษฐีนั้นก็มิได้มีความทุกข์อย่างเศรษฐี ขอทานนั้นก็มิได้มีความทุกข์อย่างขอทาน เพราะฉะนั้นในบางเวลาเราจึงเห็นได้ว่าคนขอทานก็นอนร้องเพลงสบายอยู่เหมือนกัน เพราะเวลานั้นเขาไม่ได้เกิดเป็นคนขอทาน เขาไม่ได้สำคัญมั่นหมายว่าเขาเป็นคนขอทานหรือเป็นคนยากจนอะไร ลืมไปขณะหนึ่ง มันก็ไม่ได้เกิดเป็นขอทาน มันเกิดเป็นคนร้องเพลงเป็นนักดนตรีเป็นอะไรไปก็ได้ หรือว่าคนยากจนแจวเรือจ้าง ถ้ามีอุปาทานในความเป็นคนยากจนแจวเรือจ้างอยู่ด้วยความเหน็ดเหนื่อย น้อยอกน้อยใจแล้วมันก็เป็นทุกข์เหมือนกับตกนรกทั้งเป็นที่นั่นและเวลานั้น แต่ถ้าเขาไม่ทำในใจอย่างนั้น นึกถึงแต่เพียงหน้าที่ที่จะต้องทำไปตามธรรมดาที่มนุษย์จะต้องทำการทำงาน ทำไปด้วยสติสัมปชัญญะ ใจคอที่ปกติแล้วก็แจวเรือพลางร้องเพลงพลางก็ยังได้เหมือนกัน ดังนั้นขอให้สังเกตดูให้ดี ให้ละเอียดลออชัดเจนว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าการเกิดนั้นมันคืออะไร เศรษฐีเกิดเป็นเศรษฐีเมื่อใดก็เป็นทุกข์อย่างเศรษฐีเมื่อนั้น ขอทานเกิดเป็นขอทานเมื่อใดเวลาใดก็เป็นทุกข์อย่างขอทานเมื่อนั้น ถ้าไม่มีความสำคัญมั่นหมายอย่างนั้นก็มิได้เกิดแล้ว มันก็ไม่เป็นทุกข์เลยทั้งเศรษฐีและทั้งขอทานหรือคนแจวเรือจ้างก็ตาม เดี๋ยวนี้เราไม่สนใจในเรื่องนี้กันเสียเลย ปล่อยให้ความ ปล่อยให้อวิชชาตัณหาอุปาทานครอบงำ เกิดเป็นนั่นเกิดเป็นนี่เกิดเป็นโน่นวันหนึ่งไม่รู้จักกี่อย่าง เกิดทุกอย่างเป็นทุกข์ทุกอย่าง อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่าไม่ยกเว้น ต่อเมื่อไม่เกิดเท่านั้นจึงจะไม่เป็นทุกข์ ฉะนั้นเราก็ขยับขยายให้ดี ระมัดระวังให้ดี ให้ใจคอปกติ มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญาอยู่เสมอ อย่าให้เผลอเป็นเดือดพล่านเป็นตัวกูของกูมันก็ไม่มีความทุกข์ จะเป็นชาวนา เป็นพ่อค้า เป็นทหาร เป็นข้าราชการ เป็นอะไรกระทั่งเป็นเทพเทวดาในสวรรค์มันก็ไม่ต้องมีความทุกข์ แต่ถ้ามีความสำคัญมั่นหมายในการเป็นตัวกูเมื่อไรก็มีความทุกข์ทันที นี่แหละขอให้เข้าใจอย่างนี้เพื่อเป็นหลักปฏิบัติอย่างยิ่ง แล้วก็จะรู้จักพระพุทธศาสนาที่เป็นชั้นหัวใจได้ แล้วก็จะได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนา ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ถ้ามิเช่นนั้นแล้วทั้งๆที่เป็นพุทธบริษัทนี่แหละจะไม่ได้รับประโยชน์อะไร พุทธบริษัทแต่ปาก พุทธบริษัทแต่บัญชี ถ้าเวียนอย่างนี้มันก็ยังต้องนั่งร้องไห้เหมือนกับคนทั้งหลายเหล่าอื่นที่ไม่เป็นพุทธบริษัท คือยังมีความทุกข์มากเหมือนคนที่ไม่เป็นพุทธบริษัท ถ้าเราจะเป็นพุทธบริษัทกันให้จริง ให้ได้จริงก็ต้องปฏิบัติธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ได้จริง ในข้อที่ว่าอย่ามีความสำคัญมั่นหมายเป็นตัวกูของกู แล้วทำอะไรไปด้วยสติปัญญาที่แจ่มใส มันก็ไม่มีความทุกข์ การงานก็ทำได้ดีและการงานยังแถมจะสนุก เมื่อใดจิตวุ่นวายไปด้วยตัวกูของกูอย่างนี้แล้วการงานทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่อยากจะทำอะไร งานเบาก็เป็นทุกข์ก็น่ารำคาญไปหมด แต่ถ้าจิตมันไม่มีความยึดมั่นถือมั่นตัวกูของกู มีสติสัมปชัญญะดีการงานก็สนุกไปหมด แม้งานหนักหรืองานสกปรกมันก็เป็นของสนุกไปหมด นี้เป็นความลับหรือว่าเป็นธรรมะที่เร้นลับที่จะต้องเข้าใจ รวมความแล้วสำคัญอยู่ที่คำว่าความเกิดคำเดียวเท่านั้น ถ้ามีเกิดก็ต้องมีทุกข์ ถ้าถอนไม่เกิดนี้เสียได้ก็ไม่มีทุกข์ ฉะนั้นเราเกิดวันละหลายสิบครั้งเราก็เป็นทุกข์หลายสิบครั้ง ถ้าเราไม่เกิดเลยเราก็ไม่มีความทุกข์เลย เรียกว่าเราปฏิบัติธรรมะอย่างตรงดิ่งไปยังธรรมะที่เป็นตัวพระพุทธศาสนา ระวังจิตใจได้เป็นอย่างดี ไม่เกิดอาการที่เรียกว่าวัฏสงสารขึ้นมาในจิต คงมีอยู่แต่อาการของนิพพานประจำอยู่ในจิต แล้วเราก็ควบคุมรักษาไว้เรื่อยไปให้อาการดับเย็นนั้นมีอยู่ตลอดเวลาและเรื่อยไป ออกไปๆ ออกไปไม่ให้โอกาสแก่วัฏสงสาร มันก็เกิดความเคยชินไปในทางของนิพพาน วันดีคืนดีโอกาสหนึ่งมันก็เป็นนิพพานที่เด็ดขาดและสมบูรณ์ลงไปได้ เดี๋ยวก็มีนิพพานอย่างชั่วคราว นิพพานอย่างประจวบเหมาะ นิพพานอย่างชิมลองไปก่อน ระวังรักษาอันนี้ไว้ให้ดีอย่าให้เกิดโอกาสแก่วัฏสงสารคือตัวกูของกู อย่าให้อัสมิมานะว่าตัวกูของกูเกิด ควบคุมไว้ให้ได้ มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญาสมบูรณ์อยู่ ทำอะไรทุกวันๆทุกชั่วโมงทุกนาทีไปด้วยสติสัมปชัญญะนั้น อย่าให้พลุ่งพล่านเป็นตัวกูของกูแล้วก็เรียกว่าวัฏสงสารไม่ได้เกิด นิพพานมีอยู่เป็นประจำในจิตใจจนกระทั่งมีความเคยชินมากพอ ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็เป็นนิพพานที่สมบูรณ์
เดี๋ยวนี้เรามันถูกกระทำให้มีการเกิดแห่งตัวกูของกูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย จนเป็นความเคยชินในวัฏสงสาร ความเคยชินนี้ถอนยากราวกับว่ามันนอนอยู่ในสันดาน เขาจึงเรียกความเคยชินของกิเลสนี้ว่าสังโยชน์บ้างว่าอนุสัยบ้าง แปลว่าสิ่งที่มันพร้อมอยู่เสมอในสันดาน มันหมายถึงความเคยชินที่จะเกิดเป็นตัวกูของกู เป็นความรู้สึกขึ้นมาเป็นตัวกูของกูในรูปหนึ่งเรียกว่าความโลภ ในรูปหนึ่งเรียกว่าความโกรธ ในรูปหนึ่งเรียกว่าความหลง ไม่ว่าในรูปใดก็ล้วนแต่เป็นเรื่องของตัวกูของกูทั้งนั้น มันเห็นแก่ตัวกูมันอยากได้มันก็โลภ เมื่อมันไม่ได้ตามความต้องการของตัวกูมันก็โกรธ เมื่อตัวกูมันยังสงสัยลังเลไม่รู้อะไรเป็นอะไรแน่มันก็มัวเมาพันพัวอยู่แต่ในสิ่งที่หวังว่าจะได้เป็นตัวกูเป็นของกู เป็นความโลภ ความโกรธ ความหลงอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ของตัวกูนั่นเอง อย่างนี้เรียกว่ามันเป็นวัฏสงสารในจิตใจเสียเรื่อย ไม่มีนิพพานเสียเลย ถ้าเป็นอย่างนี้มันก็ต้องตายในเวลาอันสั้น ทีนี้ธรรมชาติมันช่วยดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่ามันเหนื่อยเข้ามันหยุดไปเองบ้าง มันก็มีการนอนหลับไปบ้างอะไรไปบ้างมันจึงค่อย ค่อยยังชั่วหรือพออยู่ไปได้และไม่ต้องตาย ทีนี้พระอริยเจ้าทั้งหลายเกิดขึ้นมาในโลกนี้ค้นพบว่าเราจะขยายเวลาที่เป็นนิพพานนี้ให้มากออกไป จึงได้สอนการปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งคืออริยมรรคมีองค์ ๘ ประการนี้ให้ปฏิบัติกันเพื่อขยายเวลาแห่งความเย็นหรือนิพพานนั้นให้ออกไปให้มาก ให้ไปหดเวลาของวัฏสงสารหรือความทุกข์นั้นให้สั้นเข้าให้น้อยลง คือว่าปิดโอกาสที่จะไม่ให้เกิดตัวกูของกูขึ้นมาได้นั่นเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เรื่องนี้มันง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อิเม เจ ภิกขเว ภิกขู สมมา วิหเรยยํ อสุญโญ โลโก อรหนเตหิ อสส ถ้าภิกษุทั้งหมายเหล่านี้จักเป็นอยู่โดยชอบไซร้ โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ ฟังดูแล้วไม่น่าเชื่อ แต่เราก็มองเห็นและเชื่ออย่างยิ่งในข้อที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสแต่เพียงว่าถ้าอยู่โดยชอบ โลกนี้ไม่ว่างจากพระอรหันต์ คำว่าอยู่โดยชอบนี่มันมีความหมายสำคัญลึกซึ้ง เพราะว่าถ้าใครอยู่โดยชอบที่เรียกว่า สมมา วิหเรยยํ นี้แล้วตัวกูของกูไม่อาจจะเกิด เราเป็นอยู่กันทุกวันนี้ไม่เป็นอยู่โดยชอบ มันจึงมีการเกิดตัวกูของกูยกหูชูหางขึ้นมาวันหนึ่งตั้งหลายครั้งหลายหน มันจึงไม่มีโอกาสที่จะเป็นนิพพานชนิดที่เด็ดขาดลงไปได้คือไม่เป็นพระอรหันต์นั่นเอง ถ้าเป็นอยู่โดยชอบคือเป็นอยู่ตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ มีความเห็นชอบ มีความสำคัญมั่นหมายชอบ มีการพูดจาชอบ มีการกระทำชอบ มีการเลี้ยงชีวิตชอบ มีความพากเพียรชอบ มีสติระลึกไว้ชอบ มีสัมมาสมาธิคือปักใจมั่นชอบ เป็นความชอบ ๘ ประการอย่างนี้แล้วก็เรียกว่าความเป็นอยู่โดยชอบ เมื่อเป็นอยู่โดยชอบอย่างนี้กิเลสไม่อาจจะเกิด ตัวกูของกูไม่อาจจะเกิด นานเข้าๆมันก็แห้งตายไป เหมือนกับสัตว์ที่ไม่ได้กินอาหารเลยไม่เท่าไรมันก็แห้งตายไป เป็นอยู่โดยชอบนี้มันทำให้ตัวกูของกูไม่ได้กินอาหารเลย คือมันไม่อาจจะเกิดเลยนั่นเอง ไม่เท่าไรมันก็ค่อยถอยกำลังลง ถอยกำลังลงแล้วเหือดแห้งหายไปในวันหนึ่งในโอกาสหนึ่ง ที่เราเรียกว่าบรรลุมรรคผลนิพพาน ฉะนั้นความสำคัญมันอยู่ที่ว่ามีความรู้ถูกต้อง มีการกระทำถูกต้องอยู่เสมอ ไม่ให้เกิดตัวกูของกูแล้วมันก็ไม่มีการเกิดอะไรเลย ไม่มีการเกิดชนิดไหนเลย มันก็ไม่มีความทุกข์เลย แล้วก็เป็นสุขอย่างยิ่ง อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส เมื่อเรามองเห็นข้อเท็จจริงอันนี้จนเชื่อลงไปแล้วว่าการเกิดทุกทีเป็นทุกข์ทุกทีอย่างนี้แล้วก็ระวังการเกิดให้ดี และให้รู้ว่าไอ้การเกิดนี้มันมีในทางจิตและในทางวิญญาณโดยง่ายโดยเร็วอย่างที่เราควบคุมมันได้ยากอย่างนี้ จนวันหนึ่งหรือชั่วโมงหนึ่งเกิดได้หลายหนหลายสิบหนระวังให้ดี ปัญหาการเกิดอย่างนี้เป็นปัญหาเฉพาะหน้า ถ้าเราควบคุมได้ก็เป็นอัน อันว่าควบคุมการเกิด ต่อตายแล้ว เกิดหลังจากเข้าโลงแล้วนั้นได้ด้วย ดังนั้นเราอย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องการเกิดหลังจากตายแล้ว มาสนใจการเกิดที่ยังไม่ตาย ที่ยังเป็นๆอยู่นี่แหละ ที่เกิดวันละหลายๆสิบครั้งนี่แหละให้มากให้ดี แล้วควบคุมให้ได้และปัญหาจะหมดเพียงเท่านี้ เพราะว่าถ้าเราทำให้ไม่เกิดได้ในวันนี้ในชีวิตนี้แล้วมันไม่มีการเกิดที่ไหนอีก ทีนี้ปัญหาปลีกย่อยที่คนเขาสนใจกันอยู่ เช่นว่าตายแล้วไปเกิดในอบาย เป็นสัตว์นรกเดรัจฉาน เปรต อสุรกายก็มี ตายแล้วไปเกิดเป็นมนุษย์อีกก็มี ตายแล้วไปเกิดเป็นพรหมอย่างมีรูปก็มี เป็นเทวดาอย่างในกามาวจรก็มี ไปเกิดเป็นพรหมอย่างมีรูปก็มี ไปเกิดเป็นพรหมอย่างไม่มีรูปก็มีต่างๆกันอย่างนี้ เรียกอย่างหนึ่งว่าทุกข์คติ เรียกอย่างหนึ่งว่าสุขคติ โดยเอาความรู้สึกของตัวเป็นหลักว่าถ้าน่ารักน่าพอใจก็เรียกว่าสุขคติ ถ้าไม่น่ารักไม่พอใจแล้วก็เรียกว่าทุกข์คติ แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรัสอย่างนั้น ท่านตรัสว่าถ้ามีการเกิดแล้วเป็นทุกข์เสมอกันหมดไม่ว่าเป็นการเกิดชนิดไหน เพราะว่าการเกิดนี้มันเป็นความยึดมั่นถือมั่นอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ฉะนั้นจะเกิดเป็นอะไรมันก็ต้องมีความทุกข์เสมอกัน แม้ว่ามันจะมีรูปร่างของความทุกข์ต่างกันเหมือนความทุกข์ของเศรษฐีกับความทุกข์ของคนขอทาน แต่มันก็เป็นความทุกข์ด้วยกัน เป็นความทุกข์ด้วยน้ำหนักที่เท่ากัน มันจะไปเกิดเป็นทุกข์คติมันก็มีทุกข์อย่างทุกข์คติ จะไปเกิดเป็นสุขคติมันก็มีทุกข์อย่างสุขคติ ฉะนั้นต้องหยุดการเกิดเสีย อย่าไปสำคัญมั่นหมายว่าตัวไปเกิดเป็นอะไรเข้า อย่าไปสำคัญมั่นหมายว่าเราไปเกิดเป็นมนุษย์ เราไปเกิดเป็นเทวดาเป็นพรหมเข้า มันก็มีความทุกข์อย่างมนุษย์อย่างเทวดาอย่างพรหม เพราะว่าพวกพรหมก็มีความทุกข์อย่างพรหม ถ้าพวกพรหมไม่มีความทุกข์แล้วมันก็ไม่ ไม่ต้องเกิดพุทธศาสนา พุทธศาสนามีขึ้นมาเพื่อให้เกิดพระอริยเจ้าที่จะดับเสียซึ่งความทุกข์ทุกชนิด ไม่ว่าความทุกข์ของมนุษย์หรือของเทวดาหรือของพรหม ฉะนั้นพระศาสดา พระพุทธเจ้าจึงเป็นพระศาสดาทั้งของเทวดาและมนุษย์โดยลักษณะอย่างนี้ คือเพื่อไม่ให้เกิดความทุกข์แก่คนพวกไหนหมด นี่ระวังให้ดี เราคนหนึ่งๆนี่แหละ ในชาติเดียวนี่แหละมีวัฏสงสารยืดยาวพอที่จะเกิดเป็นอะไรๆได้ทุกอย่างทุกประการอย่างที่ว่ามา เอากันแต่ย่อๆว่าถ้าเกิดเป็นในอบายก็มีอยู่ ๔ อย่าง เป็นนรก เป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย มี ๔ อย่างนี้เป็นอบายเป็นทุกข์คติ ทีนี้ตรงกลางเป็นมนุษย์ ทีนี้สูงขึ้นไปเป็นเทวดาในกามาวจรคือสวรรค์กามคุณ แล้วสูงขึ้นไปอีกก็เป็นพรหมที่มีรูปร่าง แล้วสูงขึ้นไปอีกก็เป็นพรหมที่ไม่มีรูปร่าง มันจึงนับได้เป็น ๘ ที่เป็นอบายเป็นนรกนั้น ๘ นั้น ๔ แล้วเป็นมนุษย์ตรงกลาง ๑ แล้วข้างบนอีก ๓ มันรวมกันแล้วทั้งหมดจึงเป็น ๘
การเกิดในลักษณะ ๘ นี้เป็นความทุกข์ทั้งนั้นไปตามแบบของมัน ถ้ามีความสำคัญว่าเกิดเป็นอะไรจะต้องมีความทุกข์ไปตามแบบนั้น แล้วมันก็ได้เกิดอยู่จริงๆด้วย ในพวกเราทุกคนในวันหนึ่งๆนี่แหละ ถ้าจะเข้าใจเรื่องนี้ต้องเข้าใจความหมายของคำเหล่านี้ยกมา มาพูดกันถึงเรื่องอบายก่อน เรื่องอบายมีนรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สำหรับนรกมีความหมายที่แท้จริงคือความเดือดร้อนใจเหมือนไฟเผา เมื่อใดใครได้ทำอะไรจนเกิดความร้อนใจเหมือนไฟเผาก็ยอมรับเถอะว่าคนนั้นกำลังเป็นสัตว์นรก ไม่ว่าเป็นพระเป็นเณร เป็นอุบาสกอุบาสิกา เป็นชาวบ้านเป็นอะไรก็ตาม ถ้ากำลังมีความร้อนใจเหมือนไฟเผาด้วยเรื่องของตัวกูของกูแล้วกำลังเป็นสัตว์นรก นี้เป็นการพูดกันตรงๆเพื่อประหยัดเวลา ทีนี้ถ้าเมื่อใดมีความโง่อย่างไม่น่าจะโง่ เมื่อนั้นเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน จะเป็นหญิงเป็นชาย เป็นบรรพชิตเป็นฆราวาสอะไรก็ตาม เมื่อใดมีความโง่อย่างไม่น่าจะโง่เมื่อนั้นเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งมีความหมายสำคัญอยู่ตรงที่ความโง่ ทีนี้เมื่อใดตัวกูของกูเป็นไปในทางความหิวกระหายทางวิญญาณ เหมือนคนเล่นการพนัน คนซื้อลอตเตอรี่ มีความหิวที่จะได้เงินจะถูกลอตเตอรี่ มีความหิวทางวิญญาณอย่างนี้ เมื่อนั้นรู้ไว้เสียเถิดว่ามันเกิดเป็นเปรตแล้ว คือมีความหิวอย่างยิ่งอยู่ในจิตใจ ทีนี้ว่าถึงบางคราวมันมีความกลัว มีความขลาดมันก็เกิดเป็นอสุรกายแล้ว อสุรแปลว่าไม่กล้าหาญ กายแปลว่าพวกหรือหมู่ อสุรกายแปลว่าพวกขี้ขลาด ทีนี้ในวันหนึ่งๆเรามีโอกาสที่จะเกิดในอบายครบทั้ง ๔ ระวังให้ดี ระวังเรื่องตัวกูของกูให้ดีมันเกิดขึ้นมาในลักษณะอย่างไร ถ้าเกิดมาในลักษณะร้อนใจก็ให้ถือเป็นสัตว์นรก เกิดมาในลักษณะที่โง่ก็ให้ถือเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้ามาในความหิวทางจิตทางวิญญาณก็เรียกว่าเป็นเปรต ถ้ามันโง่ ถ้ามันขี้ขลาดอย่างไม่น่าเชื่อมันก็เป็นอสุรกาย จะยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆกันลืม เช่นว่านักเล่นการพนัน ไอ้คนที่เล่นการพนันเมื่อมันทำพลาดพลั้งไปมาก เสียยิ่งกว่าหมดเนื้อหมดตัวมันก็ร้อนใจเหมือนไฟเผา มันตกนรกแล้วในบ่อนพนันนั่นแหละ หรือว่าเพราะมันโง่โดยคิดว่าไอ้การพนันนี้จะช่วยได้ ถ้าความโง่มีมากถึงอย่างนี้มันก็โง่เป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วตั้งแต่ก่อนไปเล่น ไปลงมือเล่นการพนัน ทีนี้เมื่อกำลังเล่นการพนันอยู่มันหิวเหมือนใจจะขาดที่มันจะชนะนั้น มันก็เป็นเปรตแล้ว และในบางเวลาบางขณะมันกลัวจะแพ้อยู่ตลอดเวลา กลัวจะเสียจะพ่ายแพ้อยู่ตลอดเวลามันก็เป็นอสุรกายแล้ว นี่ตัวอย่างเพียงในวง ในบ่อนการพนันอย่างเดียวมันก็เกิดเป็นนรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกายได้ครบถ้วน ปู่ย่าตายายของเราไม่ใช่เป็นคนโง่ ถ้าเป็นคนโง่คงจะไม่พูดไว้ว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ลูกหลานเสียอีกที่จะเป็นคนโง่เพราะไปคิดว่าจะตกนรกหรือไปสวรรค์ต่อตายแล้วต่อเข้าโลงไปแล้วนี่ แล้วมันเป็นคนโง่สักเท่าไรลองคิดดู เพราะฉะนั้นขอให้ฉลาดเพียงปู่ย่าตายายของเราก็พอว่าสวรรค์มันอยู่ในอก นรกมันอยู่ในใจ ก็นึกดูถึงเรื่องตัวอย่างในการเล่นการพนัน มันมีนรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกายได้ครบถ้วน ความร้อนใจมันมาจากการทำผิดหรือว่าเป็นผลของกรรมก็ตาม ไอ้ความร้อนใจนั้นมีความหมายเป็นนรกทั้งนั้น สำหรับความโง่นั้นมันก็โง่มากจนไม่น่าจะโง่ นี่ขออภัยพูดตรงๆอย่างนี้เพราะว่าเวลามีน้อย ไปคิดดูให้ดี ไปสังเกตให้ดี ทดสอบให้ดี เราโง่อย่างไม่น่าจะโง่ก็มีอยู่บ่อยๆ ไอ้ความโง่นี่แหละนำไปสู่การทำไม่ถูกหรือทำผิด ส่วนความหิวนั้นมันก็มีอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน อยากดิบอยากดีอยากเด่นอยากอะไรเหล่านี้ ถ้ามันถึงขนาดที่ว่ากระหายในทางวิญญาณแล้วก็เรียกว่ามันเป็นอบายหรือมันเป็นเปรต ทำไมเราจะต้องหิว เรามีสติปัญญาให้เพียงพอ รู้ว่าเราจะต้องทำอย่างไร แล้วเราก็ทำอย่างนั้นไปอย่างสนุกสนานก็แล้วกันไม่ต้องหิวอย่างเปรต แม้ว่าจะซื้อลอตเตอรี่ก็ไม่ต้องหิวอย่างเปรต ซื้อเล่นสนุกๆก็ยังได้ หรือคิดไปในทางถูกต้องจะช่วยเขาเอาเงินไปบูรณะ สง ประเทศชาติก็ยังได้ ไม่ต้องเอา ไม่ต้องซื้อเอามาไว้นอนหิวเป็นเปรต นี่เรียกว่าถ้ามีสติสัมปชัญญะอยู่แล้วมันก็ไม่เกิดตัวกูของกูมันก็ไม่หิวอย่างเปรต ถ้ามันเสียสติสัมปชัญญะไปแล้วมันก็หิวอย่างเปรต แล้วมันก็ได้เป็นเปรตที่นี่และเดี๋ยวนี้ สำหรับความกลัวนั้นก็เหมือนกัน ถูกทำให้กลัวมาจนเป็นนิสัย ลองคิดดูเถอะว่ากลัวกระทั่งจิ้งจก ไส้เดือน ตุ๊กแก ลูกหนูตัวแดงๆ อย่างนี้มันกลัวเกินขอบเขต มันเป็นความกลัวที่ไม่ควรจะกลัว ทีนี้ก็ยังมีกลัวผีที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แล้วก็ที่กลัวมากก็คือกลัวธรรมะ กลัวว่าการปฏิบัติธรรมะจะทำให้เกิดความจืดชืดแห้งแล้ง นิพพานนั้นไม่มีอะไรนอกจากความจืดชืดแห้งแล้ง จึงกลัวธรรมะกลัวนิพพาน อย่างนี้มันคืออสุรกายอย่างยิ่ง อยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ทีนี้เรามาแก้ปัญหาเหล่านี้ ชำระสะสางสิ่งเหล่านี้กันเสียให้หมด อย่าไปทำสิ่งที่ให้เกิดความร้อนใจเป็นอันขาด และเมื่อทำลงไปถ้ามันผิดพลาดก็ไม่ต้องร้อนใจ คิดทำเสียให้ถูกใหม่ เว้นไม่ทำอีกต่อไป ที่จะทำแก้ไขให้ถูกใหม่ได้อย่างไรก็ทำไปมันก็ไม่ต้องร้อนใจ ไม่ต้องตกนรก แล้วก็รู้สิ่งที่ควรจะรู้อย่างยิ่งคือรู้ว่าอย่าไปเกิดตัวกูของกูอย่างเดียวเท่านั้นพอ จะไม่โง่อย่างสัตว์เดรัจฉานอีกต่อไปเลย แล้วก็ไม่มีการหิว การทะเยอทะยาน แล้วก็ไม่มีการกลัวอย่างที่ไม่มีเหตุผล ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างถูกต้องอย่างนี้แล้วก็เป็นอันว่าไม่ตกอบาย ที่นี่ก็ไม่ตกอบาย ตายไปแล้วเข้าโลงไปแล้วก็ไม่ตกอบาย ขอให้คิดดูให้ดีว่าถ้าไม่ตกอบายที่นี่อย่างที่ว่าอย่างนี้แล้วตายไปแล้วมันจะตกอบายที่ไหนได้ เพราะไม่เคยทำความชั่ว ไม่เคยทำความผิด ไม่เคยโง่ ไม่เคยหิวไม่เคยอะไรต่างๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะทำได้ หรืออยู่ในกำมือในอำนาจที่เราจะทำได้มันอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ เราจัดการกับนรก เปรต เดรัจฉาน อสุรกายที่นี่และเดี๋ยวนี้ อย่าได้เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกายที่นี่และเดี๋ยวนี้ ตายแล้วก็ไม่มีเกิดเป็นนรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกายที่ไหนอีก ฉะนั้นอย่าไปสนใจไอ้เรื่องข้างหน้าซึ่งยังไม่มาถึง จงสนใจแต่เรื่องที่กำลังถึงอยู่เดี๋ยวนี้ กำลังเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ กำลังมีอยู่เดี๋ยวนี้ แล้วแก้ไขให้หมดสิ้นไป มันจะเป็นการแก้ไขตลอดไปถึงข้างหน้าด้วย นี่คือการเกิดอย่างเลวๆอย่างนรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย ท่านต้องกำหนดความหมายไว้ดีๆว่านรกนั้นความร้อนใจ เดรัจฉานความโง่ เปรตนั้นความหิว อสุรกายคือความขลาด อ่าว, ทีนี้เราเลื่อนขึ้นมาถึงมนุษย์ ในมนุษย์นั้นมีความหมายของความเหน็ดเหนื่อย เหงื่อไหลไคลย้อยคือทำการงาน เอาเหงื่อแลกอาหาร เอาเหงื่อแลกกามคุณ ไม่เกี่ยวกับความร้อนใจความโง่ความอะไร เอาตรงที่ว่าทำไปโดยสุจริต เอาเหงื่อแลกสิ่งที่ตนต้องการนี่คือความหมายของคำว่ามนุษย์ อย่าให้ไปปนกับคำว่านรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกายนั้นมันต่ำเกินไป นรกมันร้อนใจ เดรัจฉานมันโง่ เปรตมันหิว อสุรกายมันขลาด ส่วนนรกนั้นไม่ต้องมีไอ้ๆ ไอ้ส่วนมนุษย์นั้นไม่ต้องมีอย่างนั้น มีแต่ความพยายามบากบั่น กระทำไปเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการโดยเอาเหงื่อเข้าแลกด้วยความสุจริต อย่างนี้เป็นมนุษย์ ดังนั้นคำว่ามนุษย์ก็มีความหมายสรุปสั้นๆลงไปว่าเหนื่อยเราต้องยอม ยอมเหนื่อย ทีนี้สูงขึ้นไปถึงเทวดาชั้นกามาวจร คือเทวดาที่เราได้ยินเขาบอกเล่ากันว่ามีวิมานมีนางฟ้ามีอะไรแบบนี้เรียกว่าเทวดากามาวจร นี้หมายถึงผู้ที่ไม่ต้องเหนื่อยแล้วก็ได้กามคุณตามที่ตนต้องการ ทีนี้ถ้าว่าสูงขึ้นไปอีกก็คือผู้ที่เบื่อกามคุณ เห็นกามคุณเป็นของสกปรก อยากจะอยู่อย่างจืดอย่างบริสุทธิ์ ก็ขึ้นมาถึงชั้นพรหม มีรูปร่างมีวัตถุที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วยก็เรียกว่ารูปพรหม ทีนี้สูงขึ้นไปอีกเขาว่าไอ้รูปร่างไอ้วัตถุนี้มันๆ มันไม่แน่นอน สู้ไม่ ไม่เกี่ยวข้องกับรูปร่างหรือวัตถุไม่ได้ คือไม่มีรูปเสียเลยจะดีกว่าอย่างนี้เขาเรียกว่าอรูปพรหม คำพูดมันมีอยู่อย่างนั้น แต่ความหมายมันมีอยู่อย่างอื่น เช่นเดียวกับที่ๆ ที่แล้วๆมาว่านรกนั้นเขาเขียนไว้ตามฝาผนังโบสถ์ว่ามันเป็นหม้อทองแดง ว่ามันเป็นไอ้ทะเลน้ำกรด ว่ามันเป็นฝนหอกฝนดาบอะไรนั้นมันเป็นไอ้ปุคคลาธิษฐานที่เขียนให้เห็นโดยวัตถุโดยรูปร่าง เพราะว่าความรู้สึกนั้นมันเขียนเป็นรูปไม่ได้ จึงต้องเขียนอย่างวัตถุ แต่รวมความแล้วมันมีความร้อนใจ มีความเดือดร้อนหรือความโง่ หรือความหิว หรือความกลัว ทีนี้พอมาถึงมนุษย์ก็คือความเหนื่อย พอมาถึงสวรรค์กามาวจรก็คือความอิ่มทางกามารมณ์ ด้วยเหตุใดก็ตามเขามีเงิน มีอำนาจวาสนา หรือมีบุญกุศลหรือมีอะไรก็ตามได้ความอิ่มทางกามารมณ์และไม่ต้องเหนื่อย อย่างนี้เป็นเทวดาประเภทกามาวจร ถ้าเบื่อขึ้นไปอีกก็ไม่ๆ ไม่เกี่ยวข้องกับๆ กับกามคุณ เอาไอ้สิ่งที่มันบริสุทธิ์สะอาด นี่แหละขอให้เปรียบเทียบดูจิตใจของเราในบางเวลามัวเมาในกามารมณ์ แต่เมื่อซ้ำซากเข้ามันก็เบื่อหรือเข็ดฟัน มันต้องการจะพักผ่อน จะไปเล่นของเล่น จะไป ไปสนใจในวัตถุสิ่งของ ทีนี้บางเวลาวัตถุสิ่งของก็ไม่เป็นที่พอใจ ก็ไปนึกถึงสิ่งที่ไม่มีรูป รูปร่างเช่นบุญกุศล เช่นเกียรติยศชื่อเสียงเป็นต้น ซึ่งไม่มีรูป หรือพูดให้ง่ายๆขึ้นมาว่าคนบางคนมัวเมาในกามารมณ์ และคนบางคนหรือบางเวลานั้นไปเล่นกับของเล่นที่ไม่ใช่กามารมณ์ ไปหลงใหลในเรื่องปลากัด นกเขา ต้นไม้อะไรยิ่งกว่าหลงในกามารมณ์ก็ยังมี จิตใจมันเปลี่ยนไปในรูปนั้น ทีนี้บางที บางคนบางเวลาเห็นว่าไอ้เรื่องอย่างนี้มันก็ยังยุ่ง สู้เรื่องนึกฝันไปในทางความคิดความนึกตามบุญตามกุศล หรือความดีความงามหรือเกียรติยศชื่อเสียงซึ่งไม่มีรูปร่างก็ยังดี อย่างนี้มันก็ยังมี และมันไม่ใช่เหมือนกัน มันต่างกันมาก มันต่างกันเป็นภูเป็นชั้น
อยากจะชี้ให้เห็นว่าในคนๆหนึ่งนี่มันเปลี่ยนเกิดได้ครบทั้ง ๘ ทั้ง ๘ ชนิด ท่านจงสังเกตตัวเองว่าตั้งแต่เกิดมาเป็นเด็กจนกระทั่งบัดนี้มีอายุได้กี่สิบปีแล้ว แล้วบางวันความคิดเป็นอย่างไร เปลี่ยนได้กี่อย่าง คนๆเดียวแท้ๆในเวลานี้บางวันก็หลงใหลในกามารมณ์ กามคุณไปสักชั่วโมงสองชั่วโมง แล้วก็อยากจะหยุดอยากจะพักผ่อนไปเล่นของเล่น ไปเล่นกีฬาหรือไปเล่นของเล่น แล้วบางเวลาก็อยากจะอยู่นิ่งๆไม่มีอะไรมากวนเลย อยากจะอยู่นิ่งๆไม่มีอะไรมากวนเลย อย่างนี้มันก็ยังมี แต่ว่ามันยังมีเรื่องที่จะต้องเป็นมนุษย์คือมี มีการทำงานที่เหน็ดเหนื่อย ชั่วโมงทำงานที่เหน็ดเหนื่อยมันจึงมีมาก แล้วบางเวลามันก็มีนาทีที่ไปตกนรกร้อนใจ หรือโง่เป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือหิวเป็นเปรต หรือกลัวเป็นอสุรกาย นั่นแหละคนเดียวแท้ๆภายในวันเดียวก็อาจจะมีได้ถึงหลายอย่างอย่างนี้ หรือว่าในสัปดาห์หนึ่งนี่ก็ยังเกิดได้ครบถ้วนทั้ง ๘ ชนิด นี่เรียกว่าเกิดเป็นอบายก็ได้ เกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ เทวดาก็ได้ พรหมก็ได้ แล้วไปดูให้เห็นว่าไม่ว่าเกิดเป็นอย่างไหนมีความทุกข์ทั้งนั้นสู้ไม่เกิดไม่ได้ นี่ตรงนี้ฟังยาก ถ้าฟังตรงนี้ออกก็จะเข้าใจพุทธศาสนาทั้งหมดทั้งสิ้น และถึงความหมายที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาที่ว่าไม่เกิด คำว่าไม่เกิดนี่ไม่ต้องไปนึกถึงไม่ ตายแล้วไม่เกิด เข้าโลงแล้วไม่เกิด ไปนึกถึงข้อที่ว่าเราจะมีสติสัมปชัญญะอยู่อย่าให้เกิดตัวกูของกูเท่านั้นเอง อย่าให้เกิดอัสมิมานะเป็นตัวกูของกู หรือเป็นอหังการมมังการเป็นตัวกูเป็นของกูอยู่ในชีวิตประจำวันนี่แหละคือการไม่เกิด เหลืออยู่แต่สติปัญญาที่ได้ศึกษามาอย่างไร แล้วก็ทำ ทำหน้าที่ของตนไปตามสมควรแก่หน้าที่ แล้วสนุกไปในการทำหน้าที่ มีปีติปราโมทย์ไปในการได้ทำหน้าที่ที่ถูกต้อง อย่าให้เป็นเรื่องของตัวกูเป็นของๆกูขึ้นมา นี้เป็นหัวใจของพุทธศาสนา แปลว่าให้ทุกคนอยู่ด้วยความรู้สึกนึกคิดที่ไม่มีความหมายเป็นตัวกูของกู ทุกศาสนาก็สอนอย่างนี้ และก็พิสูจน์ได้ตามกฎของธรรมชาติ ของวิทยาศาสตร์ทุกแขนงได้ด้วย ว่าทาง ถ้าความคิดนึกของคนมันเป็นไปในลักษณะที่เป็นความมีตัวหรือเห็นแก่ตัวแล้วมันก็ต้องมีความทุกข์ทั้งนั้น ศาสนาคริสเตียนก็สอนอย่างเดียวกัน เรื่องไม่ให้มีความเข้าใจหรือสำคัญมั่นหมายว่าเป็นตัวกูของกู แล้วพวกคริสเตียนส่วนมากก็ไม่เข้าใจคำสอนเหล่านั้น เช่นเดียวกับพวกเราพุทธบริษัท แทบทั้งหมดนี้ก็ไม่เข้าใจคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นมันก็พอๆกันทั้งโลก ไม่ว่าศาสนาไหนล้วนแต่ไม่เข้าใจสิ่งซึ่งเป็นหัวใจแท้ๆแห่งศาสนาของตน และเดี๋ยวก็พวกพุทธเราไม่เข้าใจคำสอนเรื่องว่าอย่าเกิด หยุดเกิดเสียที ไม่เข้าใจแล้วก็งงแล้วก็ไม่เชื่อในที่สุด หาว่าสอนผิดๆ ไม่กล้าด่าพระพุทธเจ้าก็เก็บไว้ในใจ หรือว่าคิดว่าคนนี้ไม่ได้เอามาสอนจริงตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน มันก็เป็นอย่างนี้ มันก็ไม่ต้องรู้เรื่องอนัตตาเรื่องสุญญตา คือเรื่องที่ไม่มีตัวกูไม่มีของกูนี้กันเสียเลยมันจึงต้องเป็นทุกข์ แล้วก็มีการเกิดมาก มีวัฏสงสารมากกว่านิพพาน มันพิสูจน์ได้อยู่ตรงที่โรงพยาบาลประสาทก็ไม่พอ โรงพยาบาลโรคจิตก็ไม่พอ นี่มันก็พิสูจน์ได้อยู่อย่างนี้แล้วไม่ต้องไปถามใคร เพราะไม่เข้าใจไอ้ธรรมะที่จะไม่เกิดโรค ที่จะป้องกันไม่ให้เกิดโรคทางวิญญาณนั่นเอง พุทธศาสนามีความมุ่งหมายอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านมีความมุ่งหมายอย่างนี้ ให้มีชีวิตอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ ก็มีสติอยู่ทุกเมื่อ มองเห็นโลกโดยความเป็นของว่างจากตัวตนหรือของตน ให้จิตว่างจากความคิดนึกว่าเป็นตัวตนของตนอยู่เสมอ เหลืออยู่แต่สติปัญญา รู้หน้าที่ที่จะต้องทำอย่างไรแล้วก็ทำไป นี่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาไม่มีอะไรมากกว่านี้ ทีนี้อย่างคริสเตียนอยากจะขอเอามาบอกกล่าวให้ฟังที่ว่าพวกคริสเตียนเองก็ไม่สนใจคัมภีร์ไบเบิลภาคสอง คือภาค new testament เขาว่าตอนปลายๆหมวดโครินเธียนส์ เป็นคำพูดของเซนต์ปอลที่สลบ สรุปคำสอนทั้งหมดของพระเยซู ถวายให้เป็นคำสั้นๆสอนประชาชนที่เมืองโครินเธียนส์นั้นว่าถ้ามีภรรยาก็จงมีจิตใจเหมือนกับไม่มีภรรยา ถ้ามีทรัพย์สมบัติก็จงมีจิตใจเหมือนกับไม่มีทรัพย์สมบัติ ถ้ามีความทุกข์ก็จงมีจิตใจเหมือนกับไม่มีความทุกข์ ถ้ามีความสุขก็จงมีจิตใจเหมือนกับไม่มีความสุข ถ้าไปซื้อของที่ตลาดอย่าเอาอะไรมา เป็นข้อๆอย่างนี้ลองฟังดูว่านี่คือหัวใจของพุทธศาสนาที่มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล มีภรรยาก็มีจิตใจเหมือนกับไม่มีภรรยา ตรงนี้เขาพูดกับผู้ชายโดยไม่เคย ไม่ได้พูดถึงเรื่องว่าถ้ามีสามีก็จงมีจิตใจเหมือนกับไม่มีสามี แต่เป็นอันว่ารู้ได้ในตัวว่ามันทั้งสามีและภรรยา ก็หมายความว่าอย่ายึดมั่นถือมั่น สำคัญมั่นหมายว่าของเรานั่นเอง ไม่มีทรัพย์สมบัติก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นหรือสำคัญมั่นหมายว่าทรัพย์สมบัติของเรา มันก็เท่ากับไม่มี มีความทุกข์เกิดขึ้นก็รู้จักสลัดออกไปไม่ใช่ความทุกข์ของเรา มีความสุขอยู่ก็สลัดออกไปไม่ใช่ความสุขของเรา ไปซื้อของที่ตลาดอย่าเอาอะไรมา ก็หมายความว่าเมื่อเราหิ้วห่อของที่เราซื้อมาจากตลาดนั้นในใจไม่ได้สำคัญมั่นหมายว่านี่ของเรา จึงถือว่าไปซื้อของที่ตลาดก็ไม่ได้เอาอะไรมา นี่เป็นคำสอนของพวกคริสเตียน เป็นหัวใจของคริสต์ศาสนาที่เขาสรุปไว้อย่างนี้ อาตมาก็ถามพวกที่เป็นคริสเตียนทั้งๆครูบาอาจารย์ด้วยซ้ำไปว่านี่คุณว่าอย่างไร คุณเข้าใจว่าอย่างไร เลยอึ้งไปหมด ในที่สุดว่าอ้างว่าผมไม่ได้สนใจ พอมันไม่ได้สนใจไอ้ข้อความตอนนี้ในพระคัมภีร์เลยเห็นว่าไม่ๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน กลับไปสนใจเรื่องเชื่อเรื่องอะไรเป็นการใหญ่โต ส่วนไอ้เรื่องที่เป็นสำคัญที่สุดนี้ไม่ได้สนใจ ทีนี้แม้ศาสนาอื่นๆที่เรียกว่าถึงขนาดที่จะเรียกว่าศาสนาแล้วก็ไปดูเถอะ หัวใจของศาสนานั้นๆจะพยายามสอนเรื่องความไม่เห็นแก่ตัว สอนเรื่องความไม่เห็นแก่ตัวเป็นเรื่องสำคัญ ความไม่มีตัวหรือไม่เห็นแก่ตัวเป็นเรื่องสำคัญ แต่แล้วคนแห่งศาสนานั้นๆก็ไม่สนใจเหมือนกัน ก็เหมือนกับพวกเรานี่ไม่สนใจเรื่องสุญญตาเรื่องอนัตตา ซึ่งเป็นของวิเศษในพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า ศาสนาอื่นๆก็เหมือนกัน ก็เลยพูดได้ทีเดียวว่าไอ้มนุษย์ทั้งโลกนี่ไม่สนใจเรื่องที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ ไปสนใจแต่เรื่องปากเรื่องท้อง เรื่องตัวกูเรื่องของกูแล้วก็เพิ่มให้มันมากขึ้น มันก็ได้เป็นอะไรอย่างที่ว่าเป็นนรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกายมากกว่าที่จะเป็นมนุษย์ หรือเป็นมนุษย์ก็เหงื่อไหลไคลย้อยมากเกินไปไม่รู้จักทำให้มีการพักผ่อน แล้วถ้าสูงเตลิดเปิดเปิงไปก็ไปมีตัวมีตนชนิดที่มันมีความทุกข์แบบอื่น อย่างอื่นแปลกๆออกไป เช่นเป็นเทวดาเป็นพรหมเป็นอะไรแบบนี้ นี่เรียกว่าไม่เข้าใจและตกอยู่ในวิสัยของพระยามาร พระยามารมาดึงไปในทางของพระยามารหมด ไม่ได้ไปในทางของพระพุทธเจ้าเลย แล้วเราก็ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าพระยามาร พระยามารนี้โดยเนื้อแท้ก็หมายถึงไอ้สิ่งที่ยั่วยวน ที่จะดึงจิตดึงใจของคนไปสู่อำนาจของมันเราหลงอะไรสิ่งนั้นก็เป็น เป็นมารโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกกามารมณ์หรือกามคุณ จอมแห่งมารนั่นเขาเอาไปไว้ที่สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี สวรรค์ที่สมบูรณ์ด้วยกามารมณ์อย่างยิ่งแล้วมีผู้อื่นคอยให้คอยช่วยคอยอะไรประคบประหงมทุกอย่าง นั่นแหละเขาเรียกว่าจอมของพระยามารอยู่ที่นั่น ทีนี้เราก็ตกเป็นเหยื่อหรือเป็นลูกน้องของพระยามารเพราะหวังจะได้แต่สิ่งเหล่านั้นและมีการเพิ่มให้แก่ตัวกูของกูมากขึ้น มันคอยจะมีตัวกูของกูไม่มีที่สิ้นสุดมันก็เลยไปในกระแสแห่งมาร ไม่มาในกระแสแห่งพระหรือพระพุทธเจ้า
นี่เรื่องมันมีนิดเดียวเท่านี้ ถ้าเมื่อใดจิตมีตัวกูมีของกูมันก็เป็นมารเป็นลูกน้องของมาร เมื่อใดจิตว่างจากตัวกูของกูก็เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันหนึ่งๆท่านเป็นลูกน้องของมารกี่ชั่วโมง เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากี่ชั่วโมง ทุกคนรู้ได้ด้วยตนเองไม่ต้องพูด เพราะว่าขืนพูดก็คงพูดไม่จริง ฉะนั้นไม่ต้องถามกันดีกว่า แล้วก็ไปรู้เอาของคนแต่ละคนๆว่าวันหนึ่งๆมีตัวกูของกูกี่ชั่วโมง ว่างจากตัวกูของกูกี่ชั่วโมง แล้วก็ดูให้เห็นว่าขณะที่มันมีตัวกูของกู หรือว่าย่อมจะมีการเกิดเป็นนั่นเป็นนี่ด้วยความสำคัญมั่นหมายแล้วเป็นทุกข์ทุกที ควรจะรู้จักเข็ดรู้จักหลาบกันเสียบ้าง แล้วก็หันมาในทางที่จะไม่ให้มันเกิดคือรักษาเวลาที่เป็นเวลาว่างหรือสงบหรือนิพพานนั้นไว้ให้มาก และให้มากออกไป มากออกไปแล้วก็จะหายจากโรคทั้งทางวิญญาณและทั้งทางร่างกาย โรคเบาหวาน โรคความดันสูง โรคหัวใจโรคอะไรต่างๆเหล่านี้มาจากตัวกูของกูทั้งนั้น คือความสำคัญเรื่องตัวกูของกูนี้รบกวนจนมีการพักผ่อนไม่พอ มีจิตใจกระวนกระวายมาก มีการใช้น้ำตาลในโลหิตอย่างโลดโผน ขึ้นๆลงๆแรงเกินไปจนไม่มีความเป็นปกติ ก็เกิดโรคทางกายขึ้น แล้วทางวิญญาณก็มีโรครบกวนเป็นความทุกข์อยู่ รวมกันแล้วร่างกายนี้มันก็ทนไม่ได้ มันก็กลายเป็นโรคประสาท กลายเป็นโรคจิตหรือกระทั่งตาย หรือแม้ไม่ตายก็อยู่ในความทนทุกข์ มีความหม่นหมองเหมือนกับตกนรกชนิดใดชนิดหนึ่งอยู่แล้ว ขอให้เข้าใจว่าโดย โดยรายละเอียดปลีกย่อยนั้นเขาแบ่งลง ลงไปอีกมากเช่นนรกอย่างนี้ อาตมาพูดแต่ว่าความร้อนใจเพียงอย่างเดียว แต่ในคัมภีร์ที่ละเอียดนั้นเขาแบ่งนรกเป็น ๑๘ ขุมบ้าง ๒๘ ขุมบ้าง กี่ขุมบ้าง มันต่างๆ ต่างๆกัน แต่ในที่สุดมันมีความหมายตรงที่ว่าร้อนทั้งนั้น ไม่มีนก นรกไหนที่เย็น เป็นความ มีแต่ความหมายของความทุกข์ทั้งนั้น ถึงเปรตก็เหมือนกันแบ่งเป็นหลายชนิด เปรตเป็นงู เปรตเป็นปากเท่ารูเข็ม ท้องเท่าภูเขา เปรตอะไรต่างๆมันก็ล้วนแต่ว่ามันหิวทั้งนั้น นี่นั่นรายละเอียดอย่าง ปลีกย่อยอย่างนี้ไปคิดเอาเองว่ามันมีได้อย่างไร มากน้อยเท่าไร สั้นยาวเท่าไร แต่แล้วเอาความหมายของมันให้ถูกต้องว่านรกก็ต้องร้อนใจ เปรตก็ เดรัจฉานก็ต้องโง่ เปรตก็ต้องหิว อสุรกายก็ต้องขี้ขลาด มนุษย์ก็ต้องเหนื่อย กามาวจรก็หลงใหลในกามารมณ์ รูปพรหมก็หลงใหลในวัตถุบริสุทธิ์ อรูปพรหมก็หลงใหลในนามธรรมอันบริสุทธิ์ ล้วนแต่เป็นการเกิดทั้งนั้นไม่มีใครที่ไม่เกิด แล้วก็ต้องเป็นทุกข์ร่ำไป พยายามที่จะละความสำคัญมั่นหมายอันนี้เสีย ให้ได้ในบทว่า อัสมิมานัสสะ วินะโย เอตัง เว ปะระมัง สุขัง อยู่ด้วยสติ สัมปชัญญะ ปัญญา อย่ามีตัวกูของกู ไม่ต้องเกิดก็ไม่ต้องทุกข์เลย ดังนี้เรื่อยไปๆจนมันเด็ดขาดตายตัวลงไปเป็นสมุทเฉทปหาน ก็เป็นนิพพานอย่างแท้จริงที่สมบูรณ์ เดี๋ยวนี้อยู่ด้วยนิพพานชั่วขณะๆไปก่อนก็ยังดี ยืดมันให้ยาวออกไป หดไอ้ความทุกข์หรือวัฏสงสารให้สั้นเข้าๆ ก็พอจะทำทันได้ ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาอายุแปดสิบปีร้อยปี ถ้าเราไม่รู้จักเลื่อนชั้นอย่างนี้แล้วอยู่อีกกี่พันปีมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าเรารู้จักเลื่อนชั้นแล้วมันก็จะทันได้ในชีวิตนี้ สมมติว่ามีอายุเพียง ๘๐ ปี เป็นเด็กมาเป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นพ่อบ้านแม่เรือนก็รู้ความหมายของสิ่งเหล่านี้ดีๆว่ามันเป็นมาอย่างไร มันหลงไปอย่างไร แก้ไขเสียให้ถูกต้อง ควบคุมไอ้ความเห็นแก่ตัวหรือตัวกูของกูนี้ให้ได้ แล้วมันก็จะรู้ได้เอง ก็จะเบื่อหน่ายได้เอง ก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เยือกเย็นเป็นสุขไม่มีความทุกข์เลยได้เอง เรียกว่ามันมีเพียงเท่านี้ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านสรุปไว้สั้นๆว่า สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราหรือของเรา ไม่ว่าอะไรทั้งหมด จะเป็นวัตถุสิ่งของหรือเป็นภาวะหรือเป็นการกระทำ เป็นนามธรรมเป็นผลของการกระทำอะไรก็ตาม ล้วนแต่อย่าไปเข้าใจว่ามันเป็นตัวเราหรือของเรา ให้เข้าใจว่าเป็นของธรรมชาติ เป็นธรรมชาติ เป็นของธรรมชาติ เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ เป็นสมบัติของธรรมชาติ อย่ากล้าไปเอามาเป็นตัวกูของกู ใครกล้าไปยึดว่าเป็นตัวกูของกูคนนั้นเป็นโจร เป็นโจรปล้นเอาของธรรมชาติมาเป็นของตน เมื่อเป็นโจรแล้วมันก็หาอะไรดีไม่ได้ มันก็ต้องเป็นทุกข์ไปตามแบบโจร นี่พระพุทธเจ้าท่านจึง จึงตรัสว่าสิ่งทั้งปวงอันใครๆไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูว่าของกูอย่างนี้ แล้วท่านยังตรัสสั้นๆอย่างที่เราเข้าใจไม่ได้และไม่ค่อยจะยอมเชื่อกันว่าถ้าเป็นอยู่กันให้ชอบแล้วโลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ เป็นอยู่ชอบก็คืออย่าให้เกิดตัวกูของกูได้เลย โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ จะยังมีพระอรหันต์อยู่ในโลกนี้ตลอดไป
นี่สรุปความได้เป็นอย่างนี้ หวังว่าท่านทั้งหลายทุกคนจะได้มีความสนใจเอาไปคิดไปนึกไปพิจารณาให้เข้าใจพระพุทธศาสนาในส่วนที่ลึกซึ้งหรือเป็นหัวใจของพระธรรม ที่จะช่วยคนให้ดับทุกข์ได้จริงในฐานะเป็นนิยานิกธรรมแล้ว อุ อุทิศส่วนกุศลที่เกิดขึ้นเพราะการณ์นี้ให้แก่คุณโยมผู้ล่วงลับไปแล้วนี้ ทิ้งสรีระไว้เป็นพยานสำหรับเราทั้งหลายจะได้เกิดความไม่ประมาท จะได้เป็นผู้ชนะไอ้ความเวียนว่ายตายเกิดได้ในเวลาอันสมควร ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา ขอยุติธรรมเทศนาแต่เพียงนี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้