แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธศาสนาที่เรียกกันว่านิกายเซนนั้น เขามีหลักชนิดที่จะอบรมใจให้ว่างจากตัวตนอยู่เสมอ จึงมีระเบียบหรือขนบธรรมเนียมประเพณีเรื่องกินน้ำชา เรื่องจัดดอกไม้ในแจกัน เรื่องฟันดาบ เรื่องขว้างเป้า ยิงศรอะไรอีกมากมาย ที่จะฝึกฝนให้กระทำไปด้วยจิตว่างทั้งนั้น ผู้ที่จะยิงศรก็ต้องรู้จักฝึกจิตให้ว่างเป็นเวลาตั้งหลายๆปี จึงจะยิงศรแม่นเหมือนปาฏิหาริย์ การหัดกินน้ำชา ก็หัดทำจิตว่างนับตั้งแต่เอาถ่านใส่เตา กระทั่งยกกา น้า อ่า, เอาๆน้ำใส่กา ยกกาขึ้นวางบนเตา เป็นต้น กระทั่งจะจิบน้ำชา การจัดดอกไม้ก็ต้องฝึกฝนกันเป็นเวลาหลายปีกว่าจะจัดได้ด้วยจิตว่าง ครูบาอาจารย์จะรู้ทีเดียวว่าแจกันๆนี้ ซึ่งจัดไปแล้วนี้ ผู้จัดมีจิตว่างหรือไม่ว่างสักเท่าไร ผู้ที่มีจิตว่างเสียบดอกไม้ลงไปในแจกันจนกระ อ่า, จนๆครบบริบูรณ์นั้น จะแสดงลักษณะแห่งความมีจิตว่างชัดเจนอยู่ที่นั่น ผู้ที่มีจิตหมกมุ่นอยู่ด้วยราคะ โทสะ โมหะ จัดไปแล้ว ผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์ก็จะรู้ได้ดีว่า แจกันนี้จัดไปด้วยบุคคลที่มีจิตกลุ้มอยู่ด้วยราคะ โทสะ โมหะ มากน้อยเท่าไรหรืออย่างไร ดังนี้เป็นต้น
นี้เป็นเครื่องแสดงว่า สนใจในเรื่องการทำจิตให้ว่างเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเป็นการอบรมในส่วนลึกของสันดาน ให้เป็นไปในทางที่จะไม่ยึดถือโดยความเป็นตัวตนหรือเป็นของๆตน นับว่า ถ้าเรียกว่าเป็นวัฒนธรรม ก็เป็นวัฒนธรรมสูงสุด ถ้าเรียกว่าเป็นศาสนา ก็เป็นศาสนาที่เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ในชีวิตประจำวัน อย่างยิ่งเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วคนจะไม่ดีไม่เก่งอย่างไรได้ ขอให้คิดดูให้ดีเถิดว่า พุทธบริษัทเราควรจะเป็นเช่นนี้หรือไม่ อย่างไรและเพียงไร นี้เป็นอันกล่าวได้ว่าคนหนุ่มคนสาวก็ดี พ่อบ้านแม่เรือนก็ดี ถ้ารู้จักทำจิตใจให้ตั้งอยู่ในธรรมะของพระพุทธเจ้าข้อนี้ คือความไม่มีตัวมีตน ความไม่มีของๆตน หรือความไม่เห็นแก่ตนนั่นแล้ว เขาจะเป็นชี เป็นผู้มีชีวิตที่เยือกเย็น สดใส แจ่มใส สมกับที่เป็นมนุษย์มีจิตใจสูงโดยแท้จริง
สำหรับผู้ที่อยู่ในวัยชรานั้น ไม่ต้องสงสัยเลย ยิ่งต้องการสติปัญญาหรือวิชาความรู้ข้อนี้เป็นอย่างยิ่งมากขึ้นไปอีก เพราะว่าวัยชรานั้นเป็นวัยที่ถูกครอบงำ ย่ำยี บีบคั้นด้วยความทุกข์ทรมานของสังขารร่างกาย ถ้าไม่รู้จักปลดเปลื้องแล้ว ก็จะต้องตกนรกทั้งเป็นอีกชนิดหนึ่งหรือระยะหนึ่งอย่างที่น่าสังเวชใจอย่างยิ่ง ใครบ้างจะไม่ชรา ถ้าใครยอมรับว่าตนจะต้องชรา เขาจะต้องเตรียมสิ่งซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่จะช่วยป้องกันตนให้พ้นจากภัยของความชราให้ได้จงทุกคน มิฉะนั้นควรจะเรียกตัวตนของตนว่า เป็นคนที่โง่ที่สุดในโลก เพราะในเมื่อมีสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ตนแล้ว ตนก็ยังถือเอาไม่ได้ ธรรมะมีประโยชน์แก่มนุษย์อย่างนี้ ทุกขั้น ทุกระดับอย่างนี้ และด้วยธรรมะเพียงข้อเดียวอย่างนี้โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลง และไม่ โดยไม่ต้องสนใจกับข้ออื่น ที่ไปต้องสนใจกับข้ออื่นนั้นเพราะความเข้าใจผิด เพราะความไม่รู้จริง เพราะความไม่รู้ว่าธรรมะนั้นคืออย่างไร แต่ถ้าได้ศึกษา ได้ยินได้ฟัง ได้พิจารณาดูให้ถูกต้องแล้ว ก็จะเห็นจริง หรือเข้าใจตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ว่ามันรวมอยู่ได้ในข้อเดียวข้อนี้
เราลองพิจารณาดูเถิดว่า การที่คนเราไม่มีศีล ขาดศีลกันเสมอ รับศีลสักเท่าไร ก็ไม่เคยมีศีลอย่างนี้ มันเพราะเหตุไร มันก็เพราะเหตุความเห็นแก่ตัวตนข้างเดียวเกินไปนั่นเอง การฆ่าเขาก็เพราะเห็นแก่ตน การลักของเขาก็เพราะเห็นแก่ตน การประพฤติผิดในกาม การพูดเท็จ แม้แต่การดื่มน้ำเมาก็เพราะการเห็นแก่ตนในแบบต่างๆกัน โง่หลงว่ามีตน เห็นแก่ตน ต้องการจะบำรุงบำเรอปรนเปรอตน จึงเอาศีลไว้ไม่ได้เพียงสักข้อเดียว จะเป็นศีลห้า ศีลแปด ศีลสิบ ศีลกี่ร้อยก็ตาม ถ้ามีความเห็นแก่ตนข้อเดียวเข้ามาเท่านั้น มันก็จะทำลายหมด ฉะนั้นถ้าจะมีศีลกันให้ได้ ต้องศึกษาเรื่องความไม่เห็นแก่ตนหรือความไม่มีตนดังที่กล่าวแล้ว
ทีนี้เราลองเขยิบต่ำลงไปถึงเรื่องการให้ทาน การให้ทานที่จะเป็นไปอย่างถูกต้องนั้น มันต้องเป็นไปเพื่อการขูดเกลาตัวตน ไม่ใช่พอกตัวตนให้มากให้หนาขึ้น เราจะเห็นชัดว่าการให้ทานนั้น มีอยู่ ๒ ประเภท แต่เรียกว่าให้ทานเหมือนกัน ให้ทานด้วยเอาหน้า ให้ทานด้วยให้เขารัก ให้ทานเพื่อจะเอาบุญ สำหรับจะได้ไปเกิดในสวรรค์ อยู่ในวิมาน เหล่านี้ไม่ใช่การให้ทาน เพราะไม่ใช่เป็นการเสียสละ แต่เป็นการลงทุนค้าเพื่อเอากำไรมากขึ้นตามส่วน ส่วนการให้ทานที่แท้จริงนั้น มันเป็นการสลัดสิ่งที่ตนยึดไว้ด้วยความรัก ความยึดถือว่าตัวตน ว่าของตน ให้ออกจาก อ่า, จากไป ให้ออกไปจากความยึดถือ ให้ตนเป็นผู้มีความยึดถืออันเบาบาง เพราะฉะนั้นจึงไม่หวังที่จะได้อะไรกลับมา นี้เรียกว่าเป็นทานที่แท้จริง นี่ทำให้เราเห็นได้ว่า แม้แต่จะให้ทาน ถ้าจะให้ทานให้ถูกต้อง เป็นทานจริงๆแล้ว ก็ยังต้องเอาธรรมะข้อนี้เข้ามา
ทีนี้เขยิบต่ำลงไปอีก ถึงการถือสรณาคมน์ คือถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะนั้น พวกโง่เขลาขี้ขลาดก็ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างถือพระเป็นเจ้า อย่างถือภูตผีปีศาจ ถือเทพารักษ์เอาไปทีเดียว ไม่สำเร็จประโยชน์ตรงตามความมุ่งหมายของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือของพระพุทธศาสนาเลย เพราะเขาไม่ได้ศึกษา เขาไม่มีความเข้าใจ แต่เขาก็มีความกลัว มีความเข้าใจผิด มีความโง่อย่างคนทั่วไป ซึ่งอ้อนวอนเทวดา อ้อนวอนภูตผีปีศาจ อ้อนวอนศาลพระภูมิ อ้อนวอนอะไรต่างๆ นั้นเป็นเรื่องของคนธรรมดา เราไม่ตำหนิติเตียนแต่ประการใด แต่ถ้าเรื่อง เป็นเรื่องของพุทธบริษัทแล้วน่าหัวเราะอย่างยิ่ง เพราะว่าโดยที่แท้นั้นเรานับถือพระพุทธเจ้าเพราะว่าท่านเป็นคนหมดตัวตน ไม่เห็นแก่ตนแม้แต่นิดเดียว เรานับถือพระธรรมเพราะว่าพระธรรมเป็นวิชาความรู้ เป็นการปฏิบัติ และเป็นผลของการปฏิบัติที่จะทำลายความยึดถือตัวตนให้มันหมดสิ้นไป ไม่มีตัวตนเหลืออยู่เลย ที่เรานับถือพระสงฆ์นั้นก็เพราะว่าเป็นผู้ปฏิบัติในการทำลายตัวตนได้หรือกำลังทำลายตัวตนอยู่ เพราะเหตุเช่นนี้แหละ เป็นอันกล่าวได้ว่า พระพุทธก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี มีหัวใจหรือความหมายของคำอยู่ตรงที่ไม่มีตัวตนด้วยเหมือนกัน
พระพุทธเจ้าเป็นผู้ทำความไม่มีตัวตนได้ด้วยพระองค์เอง แล้วสอนผู้อื่น พระธรรมคือวิชาความรู้และการปฏิบัติ หรือผลของการปฏิบัติที่เป็นการทำลายตัวตนโดยตรง พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติเช่นนั้น รวมกันเข้าเรียกว่า พระรัตนตรัย ไม่มีอะไรนอกจากความไม่มีตัวตน ซึ่งเป็นความบริสุทธิ์ สะอาด สว่าง สงบอย่างยิ่ง เราจึงถือเอาเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะเพื่อจะเป็นอย่างนั้นบ้าง นี้เป็นการชี้ให้เห็นได้ว่า แม้แต่ในขั้นต่ำที่สุด คือการถือสรณาคมน์ หรือถือพระรัตนตรัยนี้ ก็ต้องเข้าถึงความหมายแห่งพระธรรมข้อเดียวที่พระพุทธ พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นโดยความเป็นตัวตนหรือของตนดังนี้ สูงขึ้นมาถึงทาน ก็ยังต้องเป็นอย่างนี้ สูงขึ้นมาถึงศีล ก็ยังต้องเป็นอย่างนี้ สูงขึ้นมาถึงสมาธิ ก็ยังจะต้องเป็นอย่างนั้นไปตามเดิม คือว่าสมาธิถ้าหมายถึงความสงบแล้ว สงบด้วยอำนาจอย่างอื่นนั้น เป็นสงบหลอกๆเล่นๆ ต้องสงบเพราะความไม่เห็นแก่ตนจริงๆ ไม่มีความเห็นแก่ตนมารบกวนจริงๆ จึงจะเป็นสมาธิที่แท้จริง คือสงบจากความรบกวนของกิเลสที่เป็นเหตุให้เห็นแก่ตน ทีนี้ถ้าเป็นปัญญา เป็นวิปัสสนาในขั้นสูงสุดแล้ว ก็มันหมายถึงเรื่องความหมดตัวตน หรือการทำลายตัวตนโดยสิ้นเชิง ไม่มีความโง่ ความหลงยึดถือว่าตัวตนหรือของตนเหลืออยู่ในใจ ทำให้เป็นใจว่าง เป็นจิตว่าง คือว่างจากตัวตน ว่างจากถือ หรือกำ หรือกุมอะไรไว้ในใจ มันจึงเป็นจิตว่างขึ้นมาด้วยเหตุนี้
เพราะฉะนั้นในจิตที่ว่างนั่นเอง มีครบหมดทุกอย่าง ในจิตที่ว่างนั่นเอง มีสรณาคมน์ ในจิตที่ว่างนั่นเอง มีทาน การให้ทานถึงที่สุด สูงสุด หรือสมบูรณ์ ในจิตที่ว่างนั่นเอง มีศีลบริสุทธิ์และสมบูรณ์ มีสมาธิและปัญญาสมบูรณ์ เป็นตัวมรรคผลนิพพานอยู่ในนั้น เพราะฉะนั้นเราจงได้สนใจในพระธรรมที่มีอยู่เพียงข้อเดียว ที่สอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัวแก่ตน หรือความยึดถือว่าตัวว่าตนนี้เสียโดยสิ้นเชิง เราก็จะเป็นคนสงบเย็น ไม่มีอะไรมาทำให้เป็นทุกข์ได้ ให้พญามารเข้ามาเป็นฝูงๆ ก็ไม่สามารถจะทำบุคคลชนิดนี้ให้เป็นทุกข์ได้ เขาจะดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือในโลกอื่นๆก็ตาม ไม่มีทางที่จะทุกข์ได้ แม้จะเป็นชาวนาที่กำลังทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำอยู่กลางทุ่งนา ก็ไม่มีทางที่จะทุกข์ได้ แม้เป็นคนแจวเรือจ้าง ก็จะร้องเพลงอยู่ตลอดเวลา ดังนี้เป็นต้น และถ้าเขาเผลอปล่อยให้ความมีตัวมีตนเข้ามาครอบงำเท่าไร เข้าเมื่อไร เขาก็ร้องเพลงไม่ออก เขาก็จะด่าคนนั้นว่าคนนี้ เอ็ดตะโรไปทั้งคลอง แต่ถ้าพอเขามีจิตใจว่างจากตัวตน หรือยึดถือว่าของตนขึ้นมา ก็ร้องเพลงไปได้ตามเดิม เพราะฉะนั้นอย่าได้เข้าใจว่า เรื่องจิตว่างนี้เป็นเรื่องของฤษี มุนี โยคี อยู่ตามป่าตามเขา มันต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกันกับคนเราทุกคน แม้แต่คนแจวเรือจ้าง
ให้นึกดูให้ดีว่า อย่างในลัทธินิกายเซนนั้นต้องการให้มาเกี่ยวข้องอยู่ในปัญหาประจำวัน ชีวิตประจำวันทุกชนิดทีเดียว ให้มีจิตว่างเคลื่อนไหวอิริยาบถต่างๆอยู่ ให้คิดเก่ง ให้จำเก่ง ให้รอบคอบ ให้เฉลียวฉลาด ให้มีจิตใจที่มั่นคง สดชื่น แจ่มใส ไม่มีเหนื่อย ไม่มีเพลีย ดังนี้ แต่เราแม้จะไม่ได้ถือนิกายเซน ก็เป็นการถืออยู่ในตัว ถ้าหากว่ารู้จักทำจิตให้ว่างโดยนัยยะของพระพุทธเจ้า ตามที่ได้ตรัสไว้โดยพระพุทธภาษิตบทนั้น เราเป็นคนที่มีจิตว่างจากตัวตนหรือของตนอยู่ตลอดเวลา แล้วก็เคลื่อนไหว กระทำสิ่งต่างๆไปด้วยอำนาจของสติปัญญาที่ไม่มีความเห็นแก่ตนหรือตัวตนเข้าไปเจืออยู่เลย ปัญญานั้นก็เป็นจิตว่าง ถ้ามันไม่มีความเห็นแก่ตนหรือของตนเข้าไปเจือปน การทำการเคลื่อนไหวต่างๆจะเป็นไปอย่างถูกต้อง เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านทำ หรือพระอรหันต์ท่านทำ คนที่ได้ยินได้ฟังพระคัมภีร์มาแล้วย่อมเข้าใจได้โดยง่าย เขาย่อมจะได้ยินได้ฟังว่า พระพุทธเจ้าท่านได้อยู่ มีลมหายใจอยู่ด้วยจิตว่าง คือท่านได้ตรัสว่า ตถาคตอยู่ด้วยสุญญตาวิหาร วิหารในที่นี้หมายถึงวิหารธรรม วิหารธรรมแปลว่าเครื่องประพฤติเป็นอยู่ตลอดชีวิต สุญญตาแปลว่าความว่าง สุญญตาวิหารก็หมายความว่าธรรมะเป็นเครื่องอยู่ คือความมีจิตว่าง พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ตถาคตอยู่ด้วยสุญญตาวิหาร ก็หมายความว่ามีลมหายใจเข้าออกอยู่ด้วยความมีจิตว่าง แต่แล้วท่านทำอะไรได้บ้าง ลองคิดดู
คนบางคนเข้าใจเอาเองหรือว่าเอาเองว่า พระพุทธเจ้าท่านมีการอยู่ด้วยพรหมวิหาร พรหม พรหมวิหารคือเมตตา กรุณา อ่า, มะ มุทิตา อุเบกขา ซึ่งเรารู้กันอยู่ดี แล้วก็คิดว่าพระพุทธเจ้าคงจะได้อยู่ด้วยวิหารธรรมข้อนี้ ข้อนี้เป็นความเข้าใจผิด ไม่เคยได้ยินได้ฟังว่าพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า พระองค์ได้อยู่ด้วยวิหารธรรมข้อนี้ เราว่าเอาเอง พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ท่านอยู่ด้วยสุญญตาวิหาร ก็คืออยู่ด้วยความมีจิตว่าง ทั้งนี้ก็เพราะเหตุว่า การอยู่ด้วยพรหมวิหารนั้นยังเป็นเพียงพรหม คือยังมีตัวมีตน แม้จะเป็นตัวเป็นตนที่สูงสุดก็ยังมีตัวมีตน คือมีความคิดว่ามีเรา และมีความคิดว่ามีเขา มีความคิดว่ามีเราสามารถช่วยเขา เขาลำบาก เขาตกทุกข์ได้ยาก เราต้องช่วยเขา อย่างนี้เป็นความคิดเรื่องมีตัวมีตน จะสูงไปได้อย่างมากก็เพียงแค่พรหม ไม่อาจจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปได้ เพราะเหตุเช่นนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงไม่ได้มีตัวตน จึงไม่ได้มีการเป็นอยู่ด้วยตัวตน หรือเป็นอยู่ด้วยพรหมวิหารเป็นต้นเลย แต่อยู่ด้วยสุญญตาวิหาร คือความมีจิตว่างอยู่ตลอดเวลาดังนี้
แต่แล้วคิดดูเถิดว่าท่านทำอะไรได้บ้าง ท่านสอนคนเท่าไร ท่านขี้เกียจเท่าไร ยิ่งศึกษาพิจารณาถึงประวัติของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ยิ่งเห็นได้ว่าท่านทำงานมากกว่าพวกเรา ไม่ขี้เกียจกว่าพวกเรา ท่านทำงานได้สูงสุดกว่าพวกเรา ทำงานได้เป็นผลดีกว่าพวกเรา และไม่มีความทุกข์เลย นี้ก็เพราะเหตุผล อ่า, เพราะอำนาจของสิ่งๆเดียว คืออำนาจของความมีจิตว่างจากความยึดถือว่าตัวตนและของตนนั่นเอง เราควรจะตั้งหลักเป็นสมมติฐานขึ้นมาว่า จิตที่ว่างจากตัวตนนั้น ทำอะไรได้มาก ทำอะไรได้ดีที่สุด อย่าเข้าใจผิดเหมือนดังที่บางคนเข้าใจว่า ถ้าจิตว่างแล้ว มันก็ไม่ต้องทำอะไรเลย มันก็แข็งทื่อเป็นก้อนหินไป นี้เป็นการโง่เขลา เป็นความคิดเห็นที่ว่าเอาเอง เดาเอาเอง คำว่าจิตว่างของพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้หมายความอย่างนั้น ท่านหมายความถึงว่างจากความรู้สึกว่าตัวตนหรือของตน ว่างจากความรู้สึกว่าตัวกูหรือของกูนั้นต่างหาก ส่วนสติปัญญา เมตตากรุณานั้นยังอยู่สมบูรณ์ จึงทำสิ่งต่างๆไปด้วยสติปัญญา จึงไม่มีการทำผิดได้ในตัวมันเอง นี่แหละเรียกว่าจิตว่างนั้นหรือความว่างนั้นเต็มไปด้วยความรู้อยู่ในตัวมันเองและอย่างสมบูรณ์ จึงเป็นธรรมะอย่างยิ่ง เป็นธรรมะที่ถ้ามีแล้ว สามารถจะเอาชนะโลกทั้งหลายได้หมดและอยู่เหนือโลกได้โดยแน่นอน เราควรจะสนใจธรรมะข้อเดียวนี้กันให้มาก เพื่อศึกษาพิจารณา เพื่อความเจริญก้าวหน้าต่อไปในอนาคต คือธรรมะข้อที่ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรเข้าไปยึดถือโดยความเป็นตัวตนหรือของตนนั่นเอง ถ้าสามารถทำจิตให้ว่างได้แล้ว ก็จะเป็นผู้อยู่เหนือความทุกข์ หรือเหนือทุกสิ่ง เหนือโลกทุกโลกได้โดยไม่ต้องสงสัยเลย
ถ้าจิตยังไม่ว่าง ยังถูกปรุงแต่งอยู่แล้ว มันก็ไม่มีทางที่จะเอาชนะอะไรได้แม้แต่นิดเดียว เรียกว่ายังจมอยู่ในวัฏสงสารหรือความทุกข์อย่างยิ่ง ยังเต็มไปด้วยพญามาร เพราะฉะนั้นเราควรจะศึกษาคำว่า ความว่าง หรือจิตที่ว่างนี้เสียบ้างตามสมควร จิตที่ไม่ว่างก็เพราะมันถืออะไรเอาไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะมันกุมอะไรเอาไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือว่ามันถูกกวน ถูกปรุง นี้จึงเรียกว่าจิตไม่ว่าง ท่านเรียกว่าเป็นจิตที่คิดปรุง อาศัยสะพานทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือทางจิตเองก็ได้ ก่อให้เกิดความคิดปรุง ปรุงในฐานะที่ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเราหรือเป็นของเรา หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นอุปสรรคศัตรูต่อของเรา ต่อตัวเราหรือต่อของๆเรา ในทางแรกทำให้รัก ในทางหลังทำให้เกลียด ทั้งรักและทั้งเกลียดสองอย่างนี้ปรุงจิตให้ไม่ว่าง ต่อเมื่อไม่มีอาการอย่างนี้จิตจึงจะว่าง
เพราะฉะนั้นหลักปฏิบัติที่สำคัญที่สุดก็คือ มีสติรอบคอบ ป้องกันไม่ให้เกิดความคิดปรุงแต่งในจิตขึ้นมาได้ ในทางที่จะเป็นตัวเราหรือเป็นของๆเรานั่นเอง ในเมื่อได้เห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรสหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง อย่าให้เผลอสติถึงกับติดใจในสิ่งเหล่านั้น ปรุงแต่งเป็นความคิดขึ้นมาว่านี้น่ารักนี้น่าเกลียด แล้วตนก็รัก หรือตนก็เกลียด แล้วก็มีความคิดไปตามความรักหรือความเกลียด อาการที่เป็นความคิดปรุงแต่งอย่างนี้ทำให้จิตวุ่นเหลือที่จะวุ่น เพราะฉะนั้นจึงเต็มไปด้วยความทุกข์หรือภาวะที่ไม่พึงปรารถนาทุกสิ่งทุกประการ คือถ้าหากว่าไม่มีความคิดปรุงแต่งอย่างนั้น มันก็ว่าง เหมือนกับว่าน้ำในทะเล ถ้าไม่มีลมมากวน มันก็ไม่มีคลื่น มันมีความเป็นน้ำ แต่พอมีลมมากวน มันเกิดความเป็นคลื่นขึ้นมาปิดบังน้ำเสียโดยสิ้นเชิง เราจึงเห็นแต่คลื่น ไม่เห็นความเป็นน้ำ หรือความเป็นของสงบ เห็นแต่เป็นความวุ่น
จิตนี้ก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีอะไรเข้ามาปรุงแต่ง มันก็จะมีสภาพเป็นความว่าง หรืออยู่ในลักษณะที่เป็นความว่าง ไม่ก่อให้เกิดความทุกข์แต่ประการใดด้วย แล้วยังเป็นจิตที่เหมาะสม มีอำนาจพลังอย่างยิ่งที่จะใช้ประกอบการงานใดๆให้สำเร็จผลตามที่ ที่สติปัญญาต้องการ ได้ตามความปรารถนาจริงๆ แต่แล้วมันไม่เป็นเช่นนั้นเลย แทบจะกล่าวได้ว่าทุกวินาที หรือทุกนาที หรือทุกชั่วโมง มันมีอะไรเข้ามาปรุงเสียเรื่อย ไม่มีขาดตอน มีอะไรเข้ามากวนเสียเรื่อย ไม่มีการขาดตอน จึงไม่เคยประสบกับความว่าง หรือความมีจิตว่างกันอยู่เป็นส่วนมาก แต่ลองพิจารณาดูให้ดีเถิดว่า บางคราวบางเวลาจิตนั้นก็ว่าง ได้แก่เวลาที่เราไม่มีความรู้สึกที่เป็นๆๆเรายึดถือตัวกูหรือของกูนั่นเอง เมื่อเราร้องเพลงเล่นสนุกๆ โดยไม่มีความหมายอะไร อย่างนั้นเรียกว่าจิตว่างเหมือนกัน แล้วมันมีความทุกข์อะไรลองคิดดู มันมีแต่ความสงบ มีแต่ความเยือกเย็น แต่ถ้าเราร้องเพลงด้วยความกำหนัดในกาม มันก็เต็มไปด้วยความไม่ว่าง หรือความวุ่น
เมื่อเราตื่นนอนล้างหน้า ถูฟัน จิตก็ยังว่างอยู่ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่มีความทุกข์ แต่เราก็ทำสิ่งเหล่านั้นไปได้ ไม่เป็นคนละเมอ ไม่ทำผิดถึงกับว่าแปรงฟันแล้วไปแปรงเอาจมูก นี่ก็เพราะว่าจิตว่างนั้นย่อมเต็มอยู่ด้วยปัญญาตามธรรมชาติในลักษณะที่เป็นอัตโนมัติ ถ้าเรารู้จักใช้จิตว่างในสภาวะเช่นนี้ให้สูงขึ้นไป สูงขึ้นไปจนถึงที่สุดแล้ว เราก็จะมีความว่างจากกิเลสได้ตลอดวันตลอดคืน เป็นชีวิตที่สมจะเรียก อ่า, ที่สมกับที่จะเรียกว่าเป็นมนุษย์ คือมีจิตใจสูงอยู่เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวงได้ เพราะฉะนั้นเราจงพยายามมีหลักในการที่จะทำลายเสียซึ่งความคิดปรุงแต่ง ให้ยังคงเหลือแต่สติปัญญาสูงสุดของจิตที่อยู่ในลักษณะที่ว่าง ในความว่างนั้นเอง มีสติปัญญาสูงสุด มีธรรมะสูงสุด เพราะว่าธรรมะสูงสุดก็หมายถึงความว่างอย่างยิ่ง ดังที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า ธรรมะอย่างยิ่งนั้นคือนิพพาน นิพพานัง ปรมัง วทันติ พุทธา พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่าสิ่งสูงสุดนั้นคือนิพพาน และได้กล่าวว่า ว่างอย่างยิ่งนั่นแหละคือนิพพาน โดยบทว่า นิพพานัง ปรมัง สุญญัง ที่ว่างอย่างยิ่งนั่นแหละคือนิพพาน ดังที่ปรากฏอยู่ในบาลี ปฏิสัมภิทามรรค เป็นต้น หรือแม้แต่ที่บัณฑิตในชั้นหลังจะเอามาผูกเป็นคำว่า นิพพานัง ปรมัง สุญญัง ก็ยังมีหลักเกณฑ์อันเดียวกัน ว่าว่างอย่างยิ่งนั่นแหละคือนิพพาน ที่ไม่ว่างไม่มีทางที่จะเป็นนิพพานได้ แต่เมื่อว่างถึงที่สุดนั่นแหละคือนิพพาน หมายความว่า เมื่อจิตว่างจากการปรุงแต่งว่าตัวกูหรือของกูโดยสิ้นเชิง นั่นแหละคือนิพพาน
เพราะฉะนั้นนิพพานจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนเราจริงๆ คนเราจึงจะไม่เป็นโรคเส้นประสาท หรือจะไม่เป็นโรควิกลจริต หรือจะต้องฆ่าตัวตาย เป็นต้น นั่นเป็นไปด้วยจิต อำนาจของจิตที่วุ่น เป็น อ่า, เป็นไปด้วยอำนาจของความวุ่น ส่วนจิตที่ประกอบอยู่ด้วยความว่าง เป็นจิตเดิมแท้ หรือเป็นจิตอันหนึ่งอันเดียวของสากลโลกนั้น ไม่มีทางที่จะทำให้สัตว์เป็นอย่างนั้นได้เลย เพราะว่ามีความเป็นพระพุทธเจ้าเต็มที่อยู่ในจิตชนิดนั้นแล้ว จึงเป็นอันว่าเราได้เข้าถึงหัวใจของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ หรือได้รับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะสูงสุดเข้ามาเป็นเครื่องดำเนินชีวิต จึงเป็นชีวิตที่ไม่ประกอบไปด้วยความทุกข์แต่ประการใด
เท่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นการชี้ให้เห็นได้ว่าสิ่งที่เรียกว่าธรรมะที่แท้นั้นมีเพียงอย่างเดียว มีเพียงข้อเดียว คือข้อที่เป็นความว่างจากตัวตนหรือของตน ความว่างจากตัวตนหรือของตนนั่นแหละคือธรรมะข้อเดียวที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ ที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ท่านแนะให้ปฏิบัติ และให้สรุปธรรมะทั้ง ๘๔,๐๐๐ ข้อลงในธรรมะข้อนี้ และธรรมะข้อนี้สามารถจะใช้ได้แม้แก่บุคคลทุกประเภท ทุกวัย ทั้งแก่คนที่ยังหิวอยู่ ทั้งแก่คนที่กำลังอิ่มปากอิ่มท้องแล้ว ใช้ได้ทั้งแก่เด็กที่ยังอยู่ในครรภ์ เด็กที่คลอดออกมาแล้ว เด็กที่วิ่งได้ คนหนุ่มคนสาว พ่อบ้านแม่เรือน และคนแก่คนเฒ่าคนชรา ธรรมะนี้ไม่ได้มุ่งหมายให้ใครพ่ายแพ้แล้วหนีจากโลกไป ธรรมะนี้ต้องการให้คนอยู่ในโลกด้วยชัยชนะอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นธรรมะนี้จึงต้องเป็นสิ่งที่ควรสนใจ ยิ่งกว่าเรื่องปากเรื่องท้องเป็นไหนๆ
ขอให้พิจารณาดูให้ความเป็นธรรมแก่สิ่งที่เรียกว่าธรรมะ หรือคำสอนของพระพุทธเจ้านี้ด้วยกันทุกๆคนเถิด ถ้าอานิสงส์เกิดจากการฟังธรรมนี้มีแต่ประการใดแล้ว ขอได้พร้อมใจกันอุทิศส่วนกุศลแก่บุคคลผู้ทอดทิ้งสรีระ อ่า, ผู้ทอดทิ้งสรีระให้เหลืออยู่ที่นี่ ล่วงลับไปสู่ปรโลกอื่นแล้ว ด้วยสติปัญญาของตนจงทุกๆคนเถิด
สิ่งที่ อ่า, ข้อที่เรามาประชุมกันในที่นี้ ในสถานที่นี้ ในเวลานี้ เพื่อวัตถุประสงค์อันใด วัตถุประสงค์อันนั้นจะสำเร็จเต็มเปี่ยมได้ และถึงที่สุดจริงๆด้วยการกระทำเพียงอย่างเดียว เพียงข้อนี้ข้อเดียวเท่านั้น ขอให้ความหวังอันนี้จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จด้วยอำนาจที่เราทั้งหลายมีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยไม่คืนคลาย ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้.