แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา และท่านสาธุชนทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ เรากำลังประชุมกัน เพื่อประกอบพิธี ถวายพระพรสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภาร ผู้เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกแห่งประเทศไทย ท่านทั้งหลายจะต้องทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ จึงจะเป็นการกระทำที่ได้ผลเต็มตามความมุ่งหมายที่ข้าพเจ้าอยากจะปรารภกับท่านทั้งหลาย ตามสมควรแก่เวลาเพื่อให้สำเร็จประโยชน์ในส่วนนั้น เราจะทำอะไร อุทิศผู้ใด ก็จะต้องรู้จักผู้นั้นพอสมควร หรือกิจการของผู้นั้น
เดี๋ยวนี้ จะประกอบกิจกรรมอันหนึ่ง เป็นการถวายพระพร และบุคคลที่เราเรียกกันว่าในหลวง ในด้านของศาสนานั้น เราเรียกท่านว่าสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภาร ผู้เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก เพราะว่าเรา พุทธบริษัทนี้อยู่ด้วยพุทธศาสนา ทั้งผู้ที่อุปถัมภ์พระศาสนาก็คือผู้ที่ทำประโยชน์แก่เรา ข้อนี้เป็นเบื้องหน้า เราจึงมีความพอใจ ยินดี ที่จะประกอบกิจกรรมอันนี้ในวันนี้
เมื่อมองดูในแง่ส่วนตัว เราก็ถือว่าเราเป็นหนี้บุญคุณ หรืออย่างน้อยก็ขอบพระคุณผู้ที่ช่วยทำนุบำรุงพระศาสนาอันเป็นที่รักของเรา เมื่อเราอยากจะให้พระศาสนาอยู่ได้ เราอาศัยพระศาสนานั้นเป็นที่พึ่งตลอดไป
ทีนี้ก็จะมองกันในแง่ที่เป็นประชาชน คนไทยธรรมดา ไม่เกี่ยวกับศาสนา สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภาร ผู้เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก ซึ่งเราเรียกกันสั้นๆว่าในหลวงนั้น ท่านได้ทำอะไรมากมาย เพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติ ที่จะเรียกว่าพวกเราชาวไทย ด้วยเหตุผลเพียง สองอย่างนี้ก็พอแล้ว ที่เราจะต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งให้สุดความสามารถของเรา เดี๋ยวนี้ประชาชนชาวไทย ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นบรรพชิต และเป็นฆราวาส มาปรารภกันถึงข้อที่ในหลวงท่านมีพระชนมายุครบ ๕๐ พรรษา หรือว่าเสวยราชย์ เกินหมื่นวัน ถือเป็นอภิลักขิตสมัยพิเศษ ควรจะทำอะไรให้เป็นพิเศษ ทั้งการจัดพระราชพิธี เฉลิมพระชนม์พรรษา ปีนี้ก็จัดกันเป็นพิเศษ พิเศษเอามาก อย่างที่จะอ่านได้จากหนังสือพิมพ์ หรือฟังจากวิทยุ เครื่องสื่อสารอื่นๆ ในทางวัดนี้ก็เลยได้รับคำสั่งให้ทำเป็นพิเศษด้วยเหมือนกัน ดังที่เรามาประชุมกันเพื่อจะทำตามกำลังสติปัญญาของเรา
เมื่อพิจารณาถึงคำว่า เฉลิมพระชนม์พรรษา ก็มีความหมายเป็นการกระทำที่เป็นการอวยพร เป็นการถวายพระพร แล้วแต่จะอยู่ในฐานะเช่นไรให้ท่านผู้ที่ทรงคุณธรรมอันสูงสุด ด้วยความรู้สึกในหลายแง่ หลายมุม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็มักจะยกข้อที่ว่าเป็น ความสำนึกในพระคุณหรือกตัญญูกตเวที และก็มีความปลาบปลื้ม ยินดี ที่ท่านได้ล่วงการผ่านวัยมา ในลักษณะเช่นนี้เป็นปีๆ ไปจนกระทั่งมาถึงปีที่สมมติกันว่าเป็นพิเศษ สรุปความว่าท่านได้ทำ ท่านได้ทรงทำหน้าที่สูงสุดในฐานะเป็นประมุขของประเทศชาติ เพื่อทุกคนจะได้รับผลดี
ทีนี้เราจะมาพิจารณากันต่อไปถึงข้อที่ว่า การมีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุขนั้นมันมีความหมายอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนไทย ซึ่งมีความเป็นไทยมาในลักษณะอย่างนี้ เรามักจะเชื่อกันว่าเป็นพันปี หรือ พันๆ ปี มาแล้ว คนไทยเกี่ยวข้องกันกับระบบการมีประมุข เป็นมหากษัตริย์ ในรูปแบบใดก็ตาม แต่เราเรียกกันว่า พระราชา หรือ พระมหากษัตริย์ แล้วแต่จะใช้คำไหน เหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้ว ทำให้เรามีความเชื่อว่าระบบนี้เป็นระบบที่เหมาะสำหรับคนไทย หรือจะเรียกว่าคนไทยรอดมาได้ก็เพราะระบบนี้ คือ ระบบที่มีประมุข เป็นพระมหากษัตริย์
ทีนี้ถ้าลองนึกดู ศึกษาดู ใคร่ครวญดู ก็จะพบว่า ระบบมีพระมหากษัตริย์เป็นผู้ปกครองนี้ คือ เก่าแก่ที่สุด กว่าระบบไหนหมด ระบบการเมืองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นผู้ปกครอง เก่าแก่กว่าระบบไหนหมด ถือตามพระบาลี ก็จะพบอย่างนั้น ถือเอาตามเหตุผลที่จะใคร่ครวญเอาด้วยเหตุผล มันก็เป็นอย่างนั้น ถ้าถือตามบาลีก็นึกถึงระบบ สมมติราษฎร์ คือเมื่อมนุษย์ มันมีขึ้นมาในโลกแล้ว เรื่องพบปัญญาที่ไม่มีการปกครอง หรืออยู่กันไม่เป็นผาสุก ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ตามจำนวนที่มนุษย์มันมีมากขึ้น ถึงสมัยหนึ่ง ยุคหนึ่งมันก็ทนอยู่ไม่ได้ ก็เลือกบุคคลให้เป็นหัวหน้า สำหรับ บังคับบัญชาและปกครอง นี่เล่าโดยย่อที่สุด โดยสั้นๆ ที่สุดเพื่อจะขจัดในสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย ที่ค่อยเพิ่มมากขึ้น ในสังคมมนุษย์ที่เพิ่มมากขึ้น และโดยการสมมติของประชาชนเหล่านั้นเอง คือความสมัครใจ ความพอใจของประชาชนเหล่านั้นเอง ไม่มีใครบังคับ ถ้าจะเรียกก็เรียกความจำเป็นมันบังคับ ไม่ใช่มนุษย์บังคับ ทำให้เกิดมีบุคคลที่เรียกกันว่า พระเจ้าสมมติราษฎร์ขึ้นมาเป็นครั้งแรก หรือเป็นคนแรกในประวัติของมนุษย์ สมมติราษฎร์อันนี้ ถือว่าเป็นพระราชาองค์แรก และก็มีพระราชาสืบต่อๆ กันมา ก็เกิดระบบที่มีพระราชาปกครอง เขาสมมติให้ปกครอง ทำดีที่สุดไม่ให้ผิดหวัง จนกระทั่งมีผลปรากฏออกมา เป็นความสงบสุขเป็นที่พอใจ ก่อนนี้ไม่ได้รับความพอใจ มีการเบียดเบียนมีการอะไรเกิดขึ้น เพิ่มขึ้น เดี๋ยวนี้มันหายไป มนุษย์เหล่านั้นก็ออกปากขึ้นมาด้วยความรู้สึกผลักดันในภายใน ว่า พอใจ พอใจ พอใจ ตัวพอใจนี้คือคำว่า ราชา ราชา ราชา นี่การเกิดขึ้นแห่งพระราชา ตามที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ ในพระบาลีเป็นอย่างนี้ หาอ่านดูได้ ดูเหมือนจะเป็นวาเสทสูตร(นาทีที่12.32) ไปดู หาดูเอง
ทีนี้เราก็จะมาดูกันทีเดียวตลอดสายว่า สำหรับมนุษย์นั้น ความมีประมุขเป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้นำนี้ มันจำเป็นหรือไม่ ถ้าจำเป็นจำเป็นกี่มากน้อย มันดีหรือไม่ มันดีกี่มากน้อย ความมีประมุขนั้นมันเป็นสิ่งที่ดี ดีมาก หรือดีน้อย ถ้าตั้งปัญหาอย่างนี้ มันก็จะต้องพิจารณากันก่อนว่าไอ้ความเป็นประมุข มันเป็นอะไร ทีนี้เราจะเรียกกันว่าผู้นำ ประมุขก็แปลว่าผู้นำ ทีนี้มันจะนำไปได้อย่างไร ถ้าไม่เป็นที่รวมแห่งจิตใจ ไม่เป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจ แล้วมันจะนำไปได้อย่างไร ฉะนั้นคนที่เป็นประมุขจะต้องเป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจ ถ้าไม่มีศูนย์รวมแห่งจิตใจมันก็พร่า มันก็ทำอะไรไม่ได้ อะไรที่จะเป็นไปได้ดี แก่สิ่งที่มันประกอบกันอยู่มากมาย เช่นมีคนประกอบกันอยู่มากมาย มันก็ต้องมีจุดศูนย์รวม ฉะนั้นจึงมีพระราชา หรือพระมหากษัตริย์ หรือแล้วแต่จะเรียก ตามที่สมมติขึ้นมาเป็นจุดศูนย์รวม
การมีประมุขหรือจุดศูนย์รวมนี้ อยากจะให้มองกันไปในแง่ที่ว่า มันเป็นเจตนารมณ์ของธรรมชาติ เราใช้คำว่าธรรมชาติ จะเป็นธรรมชาติที่มีชีวิต หรือไม่มีชีวิต มันก็มีลักษณะไปในทางที่ส่อเห็นว่า ต้องมีจุดศูนย์รวม ถ้ามันมีจิตใจ มันก็เป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจ ถ้ามันไม่มีจิตใจ มันก็เป็นศูนย์รวมแห่งวัตถุ เราจะพูดถึงทางวัตถุกันก่อน เช่น สิ่งที่เรียกกันว่าสุริยจักรวาล ระบบสุริยจักรวาล มีดาวฤกษ์ ดาวนพเคราะห์มาก มีพระอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง แล้วก็วนเวียนกันอยู่โดยมีพระอาทิตย์ดวงนั้น เป็นศูนย์กลาง เป็นระบบจักรวาลหนึ่งๆ และก็มีมากจนนับไม่ไหวในระบบจักรวาลหนึ่งๆ ก็มี พระอาทิตย์เป็นจุดรวม เป็นศูนย์กลาง เป็นอะไรที่ว่ามันจะคุมไว้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นมันก็กระจัดกระจาย และวินาศ มันวินาศ มันไม่มีจุดศูนย์รวม ระบบสุริยจักรวาลนี้ มันมีมากี่ล้าน ล้านปี แล้วก็ไม่รู้ แล้วมันอยู่ได้เพราะมันมีจุดศูนย์รวม มีพระอาทิตย์เป็นจุดศูนย์รวม ดาวฤกษ์ทั้งหลายมันก็วนเวียนอยู่รอบจุดศูนย์รวมนั้น ทำหน้าที่ ต่างๆ กัน และอยู่มาได้ นี่สิ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจแท้ๆ มันยังต้องการจุดศูนย์รวม มันจึงจะอยู่ได้นี่เรียกว่าเป็นธรรมชาติล้วนๆ ครั้นมาถึงสิ่งที่มีชีวิต แล้วมันก็มีจุดศูนย์รวม เราจะดูได้จากสัตว์เดรัจฉานก่อน มันก็มีผู้นำของมันผู้นำมีลักษณะ มีบุคลิกภาพ มีอะไรก็ตาม เป็นที่พอใจ ให้ความมั่นใจ แก่สมาชิกในกลุ่มนั้น เราดูมด ดูปลวก มดชนิดที่มันเคลื่อนย้ายขบวน ดูมดบางชนิดที่เคลื่อนย้ายขบวนจะมีหัวหน้า เป็นตัวนำ แม้แต่มด แมลงเล็กๆ มันก็ยังมีหัวหน้าเป็นตัวนำ มันจึงเป็นระเบียบและไปได้เรียบร้อย ไปได้เร็ว ไปได้ดีกว่า สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกัน เมื่อมนุษย์ไม่ไปเข้าแทรกแซง ไม่เข้าไปทำลายมัน มันอยู่กันอย่างมีระบบ มีผู้นำ แล้วมันก็ปลอดภัย ดีกว่าไม่มีระบบผู้นำ การรวมกลุ่มกันนั้นมันจะต้องมีผู้นำ ทำไม ก็เพราะว่ามันไม่ฉลาดเท่ากัน ส่วนใหญ่มันไม่มีสติปัญญา ต้องมีผู้นำที่ฉลาด หรือมีสติปัญญา ก็นำโดยอัตโนมัติ ก็ค่อยๆ มีความพอใจมากขึ้น มากขึ้น ถ้ามันพูดได้ มันก็คงจะพูดว่า พอใจ พอใจ เหมือนกัน ในกรณีของพระราชาองค์แรกในโลก
ทีนี้มาถึงคน ตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีมา มันก็มีผู้นำ เพราะส่วนมากไม่ฉลาดแม้สมมติว่าฉลาดเท่าๆ กัน ถ้าไม่มีผู้นำที่ยึด ที่ได้รับการสมมติเป็นผู้นำคนหนึ่ง มันก็ทะเลาะวิวาทกัน ผู้มีปัญญาทั้งหลาย เลือกผู้นำ ก็ต้องเลือกขึ้นมาได้ซักคนหนึ่ง สำหรับเป็นผู้นำ ก็เรียกว่าเป็นจุดศูนย์รวมด้วย แล้วก็นำไปได้ถ้ามันไม่เป็นจุดศูนย์รวมมันนำไปไม่ได้ นี่ความเป็นประมุขของผู้นำ ที่เป็นจุดศูนย์รวมนั้น มันมีความจำเป็น โดยธรรมชาติมาตามธรรมชาติ นั้นเราอยากจะพูดว่า เป็นเจตนารมณ์ของธรรมชาติ จะมีชีวิต ไม่มีชีวิตก็ตามใจ มันมีเจตนาได้ตามระดับของมันอย่างว่า ไอ้สุริยจักรวาลนี้มันก็ต้องมีอะไรอันหนึ่ง ที่เป็นมูลเหตุที่ให้มันรวมกลุ่มกันอยู่ได้ โดยมีดวงอาทิตย์เป็นผู้นำ ที่พูดแล้วว่าไอ้ความมีประมุขนี้ มันเป็นเจตนารมณ์ ของธรรมชาติ จะแบ่งแยกกันเป็นส่วนใหญ่ ส่วนย่อย กี่ส่วน กี่ส่วน ก็ตาม ทุกส่วนจะต้องมีประมุข อย่างในบ้าน ในเมือง กระทั่งในครอบครัว มันก็ต้องมีประมุข ลองเป็นครอบครัวที่ไม่มีประมุข มันจะเป็นยังไง จะฉลาด จะวิเศษ จะอวดดี ไปถึงไหน ที่จะไม่มีประมุข หรือไม่มีผู้นำ นั้นเราจึงเห็นว่า ความมีประมุข ซึ่งในที่นี้ เราเรียกกันว่าพระราชา นี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว โดยกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ตามธรรมชาติก็ดี หรือโดยวิถีทางการเมืองก็ดี มันก็ยังต้องการประมุขหรือผู้นำ แม้ว่าวิธีปฏิบัติหรือว่าหลักการมันจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น อย่างไรก็ตามใจ แต่ความเป็นประมุข หรือ ผู้นำมันก็ยังต้องมีอยู่นั่น จะเป็นประมุขถาวร ประมุขชั่วคราว ประมุขไหน มันก็ยังจำเป็นอยู่นั่นแหละ ขอยุติทีหนึ่งก่อนว่าไอ้ความมีประมุข เป็นเจตนารมณ์ ของธรรมชาติ แล้วมนุษย์ก็รับเอามาเป็นเจตนารมณ์ของระบบการเมือง การเป็นอยู่ การปกครองอะไรต่างๆ เดี๋ยวนี้ ทีนี้ ก็มาถึงคำว่า พระราชา ซึ่งเรียกว่าเป็นประมุข “ราชามุขขัง มนุตานัง” ราชาเป็นประมุขของมนุษย์ทั้งหลาย นี่เป็นคำบาลีเก่าแก่ ไม่รู้แต่ครั้งไหน เราก็มีคำว่าสมมติราษฎร์ สมมติองค์แรก เป็นปฐมกษัตริย์ ได้รับการสมมติเป็นองค์แรก และก็สืบต่อกันมา จนกระทั่งวันนี้ ก็ขอให้มองดูความเป็นพิเศษซักหน่อยว่าก็ยังเหลืออยู่ แต่ประเทศไทยกระมัง ที่มีราชาในความหมายของพระราชา ที่เต็มเปี่ยมตามความหมายของคำคำนี้ นั่นแหละ เมื่อ พันพันปีมาแล้ว ประเทศอื่นน่าจะมีพระราชาสักว่าเป็นพิธีกันมากกว่า ในประเทศไทยนี่หล่ะยังมีพระราชาที่มีความหมายถูกต้องเต็มตามความหมายเดิม ควรจะนึกถึงข้อนี้ แล้วก็จะพอใจ ก็จะได้ประกอบพิธีที่จะถวายพระราชกุศล ถวายความจงรักภักดี อนุโมทนากันให้เต็มความรู้สึกแห่งจิตใจ
เมื่อพูดถึงคำว่าราชา มันก็ต้องมีความหมายเป็นระดับ ระดับ พระราชาก็มี มหาราชาก็มี ธรรมมิกราชาก็มี ในอันดับสูงสุดก็เป็นธรรมมิกราชา พระราชาผู้ประกอบไปด้วยธรรม แม้พระราชาองค์แรกที่สุด เป็นสมมติราษฎร์องค์แรก มันก็ต้องประกอบไปด้วยธรรม จึงจะสร้างความพอใจแก่ประชาชนได้ จนออกปากไปว่าพอใจ พอใจ พอใจ ไปทุกหนทุกแห่ง คือคำว่าราชา ราชา นั่นเอง เมื่อดูถึงพระเจ้าสมมติราษฎร์ ก็พบว่าประชาชนสร้างขึ้น ไม่ใช่พระราชามาใช้อำนาจอะไรมาบีบบังคับตั้งตัวเอง เพราะในพระบาลีมีอยู่ชัดว่า ประชาชนสร้างขึ้น สมมติขึ้น แต่เขามีธรรมะกันทั้งพระราชา และทั้งประชาชน ประชาชนมีความรู้สึกจริงใจอย่างไร สมมติพระราชาขึ้นแล้วก็ประพฤติปฏิบัติต่อกันอย่างมีธรรมะ แล้วก็มีธรรมมิกราชา แล้วก็มีธรรมมิกประชาชน มันจึงอยู่กันได้ เพราะมันประกอบด้วยธรรม ทั้งพระราชา และทั้งประชาชน นี่คือหัวใจสำคัญ มันประกอบอยู่ด้วยธรรม พอไม่ประกอบอยู่ด้วยธรรมเท่านั้นแหละ มันก็จะเปลี่ยนทันที มันก็จะเป็นโจร หรือว่าเป็นการบีบบังคับ เป็นทรราช เป็นอะไรขึ้นมาทันที แล้วก็จะทำลายซึ่งกันและกัน วินาศไปในที่สุด
ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า พระเจ้าสมมติราษฎร์นั้นน่ะ ประชาชนสร้างขึ้น เลือกขึ้น อุปโลกน์ขึ้น หลักการอันนี้ก็ยังใช้กันมากระทั่งวันนี้ พระเจ้าแผ่นดินแห่งประเทศไทยทุกๆ พระองค์ ก็จะเรียกว่า สมมติราษฎร์รวมอยู่ในพระปรมาภิไธยทั้งนั้นแหละ ก็แปลว่ายังยอมรับหลักการที่ว่าประชาชนสร้างท่านขึ้นมา พูดให้ชัดๆ ว่าเรานี่สร้างท่านขึ้นมา นั้นเรามีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องพิทักษ์รักษา มีความรับผิดชอบ ในการทำหน้าที่ของประชาชน ผู้สร้างพระราชาสมมติราษฎร์ขึ้นมา นี่เราก็กำลังทำอย่างนี้อยู่แล้วเดี๋ยวนี้ รับผิดชอบ รู้สึก สำนึก และทำหน้าที่ช่วยกันประคบประหงม ประคับประคอง ทุกอย่าง แล้วก็มีความพอใจ มีความจงรักภักดี ถวายพระพรในโอกาสเช่นนี้ ทีนี้จะขอโอกาสแทรกอะไรสักนิดหนึ่งว่า สิ่งที่สร้างขึ้นด้วยจิตใจด้วยความรู้สึกในจิตใจ บริสุทธิ์ใจนี้ มันไม่ควรจะเปลี่ยน มันไม่ควรจะเปลี่ยนทุก ๓ ปี ๔ ปี เช่นที่การปกครองบางประเทศในโลกนี้ ในเวลานี้ ก็เปลี่ยนประมุขทุก ๓ ปี ทุก ๔ ปี หรือแม้ว่า เราจะเพ่งเล็งไปถึงรัฐบาล รัฐบาลก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนได้ และควรเปลี่ยน หรือ ต้องเปลี่ยน แต่พระราชานี้ไม่อยู่ในฐานะที่ควรเปลี่ยนหรือต้องเปลี่ยน เพราะมันมีความหมายอย่างหนึ่ง จะเปลี่ยนกันมันก็ต้องเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องประจำ ไม่ใช่เรื่องที่มันต้องเปลี่ยน เหมือนกับเลือกตั้ง จริงๆ ต่างกันจากหัวหน้าประมุขรัฐบาลที่ต้องเปลี่ยนทุก ๓ ปี ๔ ปี เรียกว่าต่างจากรัฐบาลที่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ พระราชาดำรงอยู่ในฐานะที่สูงกว่า ดำรงอยู่ในฐานะที่ไม่ต้องเปลี่ยน จนกว่าจะมีเหตุการณ์อย่างอื่นซึ่งมันจะเกิดโกลาหล วุ่นวาย ขนาดที่ว่ามันล้มละลาย โดยไม่มีใครเปลี่ยนได้
เดี๋ยวนี้เรามีระบบการปกครองที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง มากหรือเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ก็ไม่มีหลักการที่ว่า จะเปลี่ยนพระราชาได้ตามชอบใจ ให้ถือว่าอยู่เหนือการเมือง เหนือกฎหมาย เหนืออะไรไปตามเดิมเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นจุดศูนย์รวมแห่งจิตใจสูงสุด ก็ทำความพอใจให้ตลอดเวลา จะพูดกันถึงคำว่า ราชา ราชา หรือ พอใจ พอใจ พอใจ นี่อีกสักครั้งหนึ่ง พระราชา ตามตัวพยัญชนะ ผู้ที่ทำความพอใจให้แก่ประชาชน ถ้าไม่อย่างนั้น ก็ต้องไม่ใช่พระราชา
เดี๋ยวนี้ สมเด็จบรมบพิตพระราชสมภารผู้เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก แห่งประเทศไทย เป็นพระราชาสมบูรณ์แบบที่ใครๆ ยอมรับ ไม่ต้องโฆษณาว่าเป็นที่พอใจของประชาชนส่วนใหญ่ มีอะไรผิดแปลกไป จากพระราชาองค์อื่นๆมาก เฉพาะเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงหรืออะไรเปลี่ยนแปลง ก็อย่าไปพูดถึงดีกว่า จะพูดถึงแต่เฉพาะในส่วนที่ท่านได้ทรงกระทำให้เกิดความพอใจ แก่ประชาชน มันมีเรื่องมากเอามาพูดกันไม่ไหว เอาตั้งแต่หัวข้อนับตั้งต้นแต่ว่า ท่านเป็นผู้ที่ทำการค้นคว้า การประดิษฐ์การอะไรต่างๆ อยู่อย่างไม่ทรงเห็นแก่เหน็ดเหนื่อย มีอะไรที่ค้นคว้าพบ กระทำได้ หรือกระทำได้ดีกว่าเก่า เรื่องฝนเทียม เรื่องอะไร นี่เป็นเรื่องการค้นพบ เพื่อประโยชน์แก่การผลิต ทรงค้นคว้าเกี่ยวกับการผลิตมาแนะนำประชาชนเกี่ยวกับการผลิต ในแง่ของเกษตรกรรม หรือกสิกรรม หรือการประมง ทรงกระทำอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย แม้แต่การในแง่ของอุตสาหกรรม ก็ทรงค้นคว้า ทรงทดลอง ทรงทำตัวอย่าง เท่าที่ท่านจะทำได้ เพราะว่ามันมีอะไรจำกัดอยู่บ้าง ไม่ได้อยู่เหนือกฎหมาย แบบสมบูรณาญาสิทธิราชไปเสียทั้งหมด แต่ว่าโอกาสมีเท่าไรพระองค์ก็ทรงทำอย่างยิ่ง แม้แต่ระบบสหกรณ์ ระบบสหกรณ์นี่สำคัญมาก ขอบอกกล่าวเป็นพิเศษ ว่าไอ้โลกต่อไปจะอยู่รอดได้ด้วยระบบสหกรณ์ ในหลวงท่านทรงค้นคว้ามากเรื่องระบบสหกรณ์ เป็นที่ประจักษ์อยู่แก่ทุกคนว่าสหกรณ์ชนิดไหนจะเหมาะแก่คนไทยในส่วนไหน ในแขนงไหน ด้านไหน ยังเป็นนักสหกรณ์ชั้นเอก ทรงค้นคว้าในเรื่องเหล่านี้และกระทำให้เป็นตัวอย่าง กระทั่งในสำนักของท่าน ท่านก็ยังทรงทำอะไรให้เป็นตัวอย่าง อย่างที่ใครๆ ก็เคยรู้ว่ามี โรงสี มีผลิตภัณฑ์ ผลิตนม ผลิตไข่ อะไรก็ตามเป็นเรื่อง ค้นคว้าเพื่อประโยชน์แก่ประชาชน เพื่อได้แบบฉบับที่เหมาะสมเพราะว่าเราเป็นประเทศเล็ก ทำเหมือนประเทศใหญ่ไม่ได้อย่างนี้ นี่เรื่องผลิตเรื่องค้นคว้า ท่านทรงทำมาก ทีนี้อีกด้านหนึ่งเรื่องสุขภาพอนามัยของประชาชน บางคนไม่รู้ถ้าไปรู้กันแล้วจะตกใจที่ทรงเสียสละมาก ทั้งกำลังทรัพย์ กำลังแรง เพื่อสุขภาพอนามัยของประชาชน มีทุกอย่างเท่าที่ท่านจะทำได้ ด้วยความสนพระทัย ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ทีนี้มามองกันในแง่ของศาสนา ในด้านศาสนา ก็ทรงทำอย่างยิ่งเป็นที่ปรากฏอยู่แล้ว เราก็จะไม่ต้องอธิบายกันนัก ท่านทรงทำทุกอย่างที่จะเป็นผลดีแก่พระศาสนา เพื่อสืบอายุพระศาสนาก็ดี เพื่อให้ศาสนาเป็นประโยชน์แก่ประชาชน ประเทศชาติ ก็ดี ในแง่ของวัฒนธรรมก็ทรงกระทำอย่างยิ่งมีรายละเอียดมาก อย่าต้องพูดโดยรายละเอียดเลย แม้จะพูดกันในแง่ของการเมือง ก็ทรงเสียสละมากมาตั้งแต่แรกๆ ทรงเหน็ดเหนื่อยมาก การเมืองในประเทศการเมืองนอกประเทศ เสด็จไปเรียกว่าจะทั่วทั้งโลกเพื่อประโยชน์แก่การเมือง ท่านทรงทำสุดกำลังที่จะทำได้ เท่าที่ยกมาเป็นหัวข้อตัวอย่างมันเกินซะแล้ว เกินกว่าที่ประชาชนจะตะโกนออกมาว่า พอใจ พอใจ พอใจ เหมือนสมัยพระเจ้าสมมุติราชโน้น นั้นเราก็มีเหตุผลที่จะยินดีปรีดาปราโมทย์ ในความมีพระราชาของประเทศไทย ทีนี้ก็อยากจะพูดว่า ไอ้โลกนี่มีอะไร อะไรที่แสดงว่าได้ละทิ้งระบบมีพระราชา ยิ่งขึ้นไปทุกที ยิ่งขึ้นไปทุกที ไปสู่ระบบบ้าบออะไรก็ไม่รู้ที่ไม่มีความเคารพผู้ที่ควรเคารพ ไปหาระบบที่ว่าจะอยู่กันอย่างเสมอภาค ความบ้าบอมันจะอยู่ที่ตรงนี้ ธรรมชาติไม่ได้ยอมให้คนเราอยู่กันอย่างเสมอภาค ก็ต้องมีความลดหลั่นกันตามกรรมที่ตนกระทำหรือว่า ตามที่ธรรมชาติมันสร้างมนุษย์มาให้ไม่เหมือนกัน นั้นการที่จะมาอยู่กันอย่างเสมอภาคนั้นมันเป็นเรื่องของกิเลส เรื่องความโง่ มันจะต้องมีการเคารพกันตามลดหลั่น
โลกปัจจุบันกำลังไม่มีที่ความเคารพยิ่งขึ้นกระทั่งบิดา มารดา ก็ไม่เป็นที่เคารพ ไม่รู้จะไปเคารพอะไรกับคนอื่น นี่ความการอยู่กันอย่างไม่มีที่เคารพนี้มันจะมืดหน้ามัวตา จะเป็นโอกาสของกิเลสมากขึ้น มากขึ้น ในที่สุดมันก็จะวินาศด้วยความที่ไม่มีธรรมะ เพราะธรรมะนี่มันอยู่กันด้วยความเคารพ มีระบบเคารพ คือเป็นความถูกต้องอยู่ในตัวมันเอง ไม่เคารพก็ไม่เชื่อฟัง เดียวนี้ก็มีการพูดจาชนิดที่ไม่แสดงเคารพแม้แต่ผู้บังคับบัญชา เรียกไอ้ เรียกอี ก็มี อย่างที่เราเห็นในหน้าหนังสือพิมพ์ ประโยชน์เห็นคำแรกไม่รู้ว่าใครตาบ้าอะไรที่ไหนหรอกเอ้าพอไปอ่านดูเป็นถึงประธานาธิบดีอย่างนี้เป็นต้น นั่นหล่ะคือความเลวทรามของมนุษย์โดยไม่รู้สึกตัว คือนิยมลัทธิ ไม่มีที่เคารพ ตามลดหลั่น นี่มันผิดหลักพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง ใครๆ ก็รู้อยู่แล้ว แต่เราไม่เอาพระพุทธศาสนาไปเที่ยวบังคับข่มเหงใคร เราเอาตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่มันก็ต้องการให้มีการลดหลั่น ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความเคารพ นี้การที่อยู่กันอย่างไม่มีธรรมะนี่มันก็จะนำไปสู่ความวินาศ และก็จะถึงสมัยหนึ่งซึ่งโลกนี้มันหมดค่าแล้ว มันไปไม่ไหวแล้ว มันก็จะหันมาสู่ระบบที่อยู่กันแบบมีความเคารพ อีกทีหนึ่งก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็คือถอยหลังไปหาระบบที่เคยมีมาแล้ว และมาในรูปใหม่ที่เรียกว่าศาสนาของพระศรีอารย์ ศาสนาของพระศรีอารยเมตไตรที่สมบูรณ์ไปด้วยคุณธรรมทั้งหลาย ให้กลับมามีระบบที่มีแต่ความเคารพ มีธรรมิกราชย์ ธรรมิกราชามาเป็นผู้นำหมู่ เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนทั้งโลกกันอีกสักทีหนึ่งก็ได้ แต่เราคงไม่ได้เห็นคงตายซะก่อน แต่เดียวนี้เมื่อมองดูโดยเหตุผลแล้ว เมื่อมันหมดค่าลงแล้วมันก็ต้องดิ้นไป ดิ้นไป จนพบระบบที่ทำให้อยู่ได้อีกนั้นระบบที่มีผู้นำที่ดี ระบบธรรมิกราชาจะต้องกลับมาอีกทีหนึ่ง นี่พูดเลยไปถึงว่าศูนย์รวมแห่งจิตใจเป็นที่เคารพเชื่อฟังนับถือนี้ มันมีลักษณะวิเศษอยู่อันหนึ่งคือการบังคับบัญชากันได้ ซึ่งมีความหมายกำกวมมาก คำนี้ก็คือคำว่าเผด็จการ คนเขาเกลียดคำว่าเผด็จการ แต่อาตมาเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี เผด็จการด้วยธรรมะด้วยความถูกต้อง ด้วยความรัก ด้วยความเมตตานี้ดี ดีกว่าให้กิเกสมันขึ้นมาเผด็จการและก็ทำลายธรรมะ จนไม่มีอะไรเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ให้สนใจคำว่าเผด็จการ ให้ถูกต้อง ให้ธรรมะเผด็จการ โดยบุคคลหรือผ่านทางบุคคล ที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะนั้น นี่จะเป็นระบบที่จะช่วยโลกได้
เผด็จการคืออำนาจอันหนึ่งที่จะทำให้สำเร็จประโยชน์ ในหน้าที่ที่จะต้องทำ แต่มันมีความหมายที่ว่าผิดก็ได้ถูกก็ได้ ก็คนในโลกมันก็จะทำอยู่กัน ๒ อย่างนี้ ผิดหรือถูก เมื่อเอาเผด็จการมาใช้ในทางที่ถูกมันก็ไม่เดือดร้อน ไม่มีใครเดือดร้อน ทุกคนสมัครใจที่จะกระทำตามความที่มันถูก คือธรรมะเผด็จการ มันก็เลยมีความสงบสุขมีความเป็นอยู่อย่างเป็นที่น่าพอใจ
ถ้าถามว่าพระพุทธเจ้าเป็นอะไร ก็อยากจะตอบว่าเป็นเผด็จการ แต่เป็นเผด็จการโดยบริสุทธิ์ เผด็จการโดยธรรม เผด็จการด้วยความเมตตา มหากรุณา มันก็เลยสำเร็จประโยชน์ คณะสงฆ์ของพระพุทธองค์ปกครองโดยระบบเผด็จการโดยธรรม โดยความถูกต้อง โดยความเมตตากรุณา เดี๋ยวนี้ไอ้โลกนี้มันกำลังมีกิเลสบ้าเป็นผู้เผด็จการ ไปใคร่ครวญดูทั้งโลกรวมกันทั้งโลก กำลังมีกิเลสบ้าเป็นผู้เผด็จการ มันเผลออยู่ใต้อำนาจกิเลสเกินไปแล้ว จะใช้ความรู้สึกอันนี้เป็นผู้เผด็จการ คือจัดโลกไปตามความรู้สึกอันนี้ อาตมาขอยืนยันอยู่เสมอว่าโลกกำลังมีกิเลสบ้าเป็นผู้เผด็จการ ลัทธิอุดมคติทางการเมืองบ้าๆ บอๆ ก็ตามอะไรก็ไม่รู้ กำลังจะมาเผด็จการในโลกนี้ แต่โดยที่แท้แล้วมันก็คือกิเลสเผด็จการ มันออกมาในรูประบบการเมืองอย่างนี้ การเศรษฐกิจอย่างนี้ อะไรๆ ก็อย่างนี้ ยิ่งเผด็จการยิ่งแยกออกเป็นขวาเป็นซ้าย เป็นนายทุน เป็นกรรมกร เป็นอะไรอย่างไม่มีธรรมะเลย นี่มันกิเลสเผด็จการ แต่ถ้าธรรมะเผด็จการจะไม่มีอย่างนี้ไม่อาจจะเกิดนายทุน เกิดชนกัมมาชีพ เกิดอะไรที่มันเป็นคู่ปรปักษ์เพื่อจะทำลายร้างซึ่งกันและกัน มันมีอะไรอันหนึ่งมาทำให้เลิกความหมายมาด ความอาฆาต ความมุ่งร้าย ความเห็นแก่ตัว ความเอาเปรียบ อะไรนี้ออกไปเสียได้ คำว่าเผด็จการโดยธรรมมันจะใช้ได้ดีที่สุด โดยพระราชาผู้ประกอบด้วยธรรมนั่นเอง เพราะถ้าไม่มีบุคคลเผด็จการมันก็ไม่มีอะไร ที่จะดำเนินการไปได้
ความหมายของคำว่าธรรมิกราชา มีอยู่ว่าเผด็จการโดยธรรมแต่ไม่ต้องเลือดตกยางออก เพราะว่าอำนาจของธรรมมันไม่ต้องทำให้เลือดตก ยางออก และก็ทำไปได้อย่างรวดเร็ว และเฉียบขาดที่สุด ไอ้การอยู่กันอย่างเสมอภาคอย่างไม่มีสูงต่ำบังคับกันได้นั้น มันเรื่องโง่ เรื่องบ้า เรื่องเมา เรื่องล้มหรืออะไรสารพัดอย่าง แต่ถ้าธรรมะเผด็จการแล้ว ก็จะมีลดหลั่นกันไปตามสมควร แก่ธรรมะที่บุคคลนั้น นั้นเขามีหรือที่คนชั้นนั้นเขามี ตามหน้าที่การงานของตนเป็นพวกๆไป แล้วทีนี้ประเทศไทยเราเป็นที่เชื่อถือได้ว่าจะหวังพึ่งระบบธรรมิกราชาเป็นผู้ปกครอง แม้ว่าเหตุการณ์จะเปลี่ยนแปลงไป จำกัดสิทธิอำนาจของพระราชาลงไปเป็นอันมาก มันก็ยังเหลืออยู่มาก เพราะว่ามันอยู่ในน้ำใจของประชาชน ที่มีความเป็นมาอย่างนี้อบรมกันมาอย่างนี้ โดยอำนาจของพระพุทธศาสนานั้น เราจึงมีบุคคล ชนะน้ำใจประชาชนถึงขนาดที่เรียกว่าเผด็จการโดยธรรมอยู่บุคคลหนึ่งเป็นอย่างน้อย คือผู้ที่เราเรียกกันอย่างภาษาพระว่า สมเด็จบรมบพิตรราชสมภาร ผู้เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก โดยน้ำใจท่านสามารถจะเผด็จการได้ด้วยคุณธรรมและบารมีที่ได้สร้างสรรค์มาเป็นอย่างดี
ระบบของธรรมะจำเป็นอย่างนี้ เดี่ยวนี้ขอให้มองต่อไปสักนิดหนึ่งว่าเราจะต้องมีองค์ประกอบที่เรียกว่า ประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ๓ อย่างนี้ จำเป็นอย่างยิ่งเหมือนกับไม้ ๓ ขา ถ้าอิงกันอยู่ได้ก็ไม่ล้ม ถ้าปลดออกเสียขาหนึ่งก็จะต้องล้ม ประเทศชาติหนึ่ง ศาสนาหนึ่ง พระมหากษัตริย์หนึ่ง จะอยู่ตามลำพังไม่ได้ ประเทศชาติก็จะอยู่โดยปราศจากศาสนาไม่ได้ ปราศจาก พระมหากษัตริย์ คือผู้นำไม่ได้ ศาสนาก็มีอยู่ไม่ได้โดยปราศจากประเทศชาติ หรือปราศจากผู้อุปถัมภ์ พระมหากษัตริย์ ก็มีอยู่ไม่ได้โดยที่ปราศจากประเทศชาติ หรือศาสนา นั้นขอให้ถือว่าองค์ ๓ นี้จำเป็นที่จะต้องมีพร้อมๆ กัน เขียนเป็นคำกลอนสั้นๆ ว่า ประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้รวมเป็นอัตตภาพไทยอันไพศาล ประเทศชาติ ศาสนา มหากษัตริย์ รวมกันเป็นอัตตภาพไทยอันไพศาล อัตตภาพไทยรวมอยู่ด้วยองค์ประกอบ ๓ คือ ประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จึงไพศาล จึงมั่นคง จึงใหญ่หลวง จึงได้ปลอดภัย เดี๋ยวนี้เรากำลังจะทำกิจกรรมบ้างอย่างเพื่อพระมหากษัตริย์ เพื่อถวายพระพร สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ แสดงออกซึ่งความพอใจ ความจงรักภักดี ทำอะไรตามหน้าที่ของตน แม้บรรพชิตก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำ ถ้าเรายอมรับว่าพระศาสนา ตั้งอยู่ได้ด้วยความมีประมุขของประเทศชาติ คือพระมหากษัตริย์ ฉะนั้นขอให้เราทำหน้าที่อันนี้อย่าละเลยหน้าที่อันนี้
เดี๋ยวนี้ก็มีหมายกำหนดการมาแล้วว่า ๑๖.๓๐ น. ที่มาถึงแล้วนี้ พระสงฆ์จะประชุมกันทำวัตรเย็น แล้วก็จะเจริญพระพุทธมนต์ตามแบบฉบับแล้ว ก็จะทำสมาธิภาวนาเพื่อว่าจิตจะเป็นสมาธิ มีกำลังแรงมาก และอุทิศส่วนกุศลนั้นๆ ถวายแด่องค์ศาสนูปถัมภก และจะแสดงออกด้วยการถวายพระพรชัยมงคล มีการย่ำฆ้อง ย่ำกลอง ย่ำระฆัง อะไรตามสมควร ในวันนี้ตามหมายกำหนดการเป็นอย่างนี้ ที่ผมก็ขอพูดแก่พระภิกษุ สามเณร ทั้งหลายว่า จงทำในใจครั้งหนึ่งถึงเรื่องราวหรือข้อเท็จจริงอะไรตามบรรยายมาแล้วนี้ เข้าใจวัตถุประสงค์อันนี้ มีความบริสุทธิ์ใจแท้จริงที่จะทำ ไม่ได้ทำแต่สักว่าท่าทาง อย่างที่กล่าวแล้วว่าเราจะทำอะไรเราต้องเข้าใจ ระลึกสิ่งนั้น เราจะทำอะไรแก่ใครเราก็ต้องเข้าใจบุคคลนั้น เท่านี้ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ที่จะมีความรู้ความเข้าใจ ในประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลวงผู้เป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก เวลาก็พอดีแล้วก็ขอให้ดำเนินการต่อไป