แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาในพระธรรมเทศนาเพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายกว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในบัดนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุเนื่องด้วยท่านทั้งหลายได้มาประชุมกันในสถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้ ด้วยความมุ่งหมายอย่างนี้ อาตมาผู้เป็นเจ้าถิ่นก็ขออนุโมทนา ขอต้อนรับท่านทั้งหลายด้วยธรรมปฏิสันถารตามโอกาสที่จะพึงกระทำได้
ท่านทั้งหลายมาในที่นี้ด้วยเจตนาว่ามาเยี่ยมสวนโมกข์ ก็ควรจะได้อะไรเกี่ยวกับสวนโมกข์กลับไป ดังนั้นจึงต้องรู้ว่าสวนโมกข์นั้นมันคืออะไร โดยใจความแล้วสวนโมกข์ก็คือสถานที่ที่จัดไว้ สำหรับให้ความสะดวกในการที่จะทำจิตใจของตนให้ถึงซึ่งอาการที่เรียกว่าโมกข์ แปลว่าเกลี้ยง คนที่มีจิตใจเกลี้ยงหมายความว่ามีจิตใจปรกติ มีจิตใจบริสุทธิ์ มีจิตใจว่าง มีจิตใจเป็นอิสระ มีจิตใจเยือกเย็น อย่างนี้เรียกว่ามันเกลี้ยง หรือว่าเพราะมันเกลี้ยงมันจึงเป็นอย่างนี้ การที่ท่านมาถึงสวนโมกข์ก็เพื่อจะมีจิตใจอย่างนี้จึงจะถูกต้อง ถ้ายังไม่มีก็พยายามให้มีในการที่จะพยายามให้มีก็ต้องทำให้เข้าใจในเรื่องนี้ เดี๋ยวนี้มานั่งอยู่กลางดินเข้าใจว่าจิตใจมันคงจะเกลี้ยงกว่าที่จะนั่งอยู่บนเรือน เพราะบนเรือนมันเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติ มันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ มีสัตว์ สังขาร เป็นที่รักที่พอใจ ทำให้จิตใจถูกปรุงแต่งวุ่นวายไปไม่มีความเกลี้ยง พอมานั่งลงกลางดินอย่างนี้ มันก็เกลี้ยงเองโดยอัตโนมัติไม่มากก็น้อย เพราะว่าธรรมชาตินี้มันเป็นอย่างนี้เอง โดยเฉพาะผืนแผ่นดินนี้มันมีอะไรๆ แปลกประหลาดอยู่ มันมีลักษณะอาการอย่างไรท่านทั้งหลายก็มองเห็นอยู่ พอมันหยุด มันเย็น มันนิ่ง มันปรกติที่สุด และเป็นที่รองรับสิ่งทั้งหลายทั้งปวง รวมทั้งสัตว์ คนเหล่านี้ด้วยได้อาศัยเป็นที่ตั้งสำหรับจะมีชีวิต สำหรับจะทำทุกอย่าง เราก็ควรจะอย่างน้อยก็รู้สึกขอบใจแผ่นดิน
อาตมาอยากจะขอร้องให้ท่านทั้งหลายนึก ระลึกไว้เสมอไม่มีวันลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดิน คือประสูติบนแผ่นดินเมื่อเวลาบ่ายที่สวนลุมพินี และท่านก็ตรัสรู้กลางดินเมื่อเวลาหัวค่ำที่โคนต้นไม้โพธิ ริมตลิ่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง และก็ท่านนิพพานเวลาหัวรุ่ง เอ้อ, เวลาหัวค่ำ ที่กลางดินที่โคนต้นไม้ในสวนอุทยานแห่งหนึ่ง ก็ลองคิดดูเถอะว่ามันเกี่ยวกับแผ่นดินไปเสียทั้งนั้น ท่านสั่งสอนภิกษุสงฆ์ก็กลางดิน ทำสังฆกรรมก็กลางดิน มีปรากฏอยู่ในพระบาลี กุฏิของท่านก็พื้นดิน นี่อุตส่าห์เอามาพูดให้หมดที่เกี่ยวกับดิน ว่าเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าอย่างไร เพื่อว่าท่านทั้งหลายเมื่อนั่งลงบนดินก็จะมีจิตใจพอใจ มีปีติว่าได้นั่งที่นั่งที่นอนเช่นเดียวกับของพระพุทธเจ้า เราก็จะมีจิตใจเป็นไปในทางที่จะเป็นเช่นนั้นบ้าง คือมีจิตใจที่จะเกลี้ยง จะหยุด จะเย็น จะปรกติ จะเป็นอิสระอยากจะพูดว่าให้เก็บความรู้สึกอันนี้ไว้ให้มากๆ เมื่อนั่งลงไปกลางดินรู้สึกอย่างไรก็ให้เก็บความรู้สึกอันนี้ไว้ให้แน่นแฟ้น พากลับไปบ้านด้วย เมื่อไปถึงบ้านแล้วสามารถจะทำจิตใจให้เหมือนกับนั่งอยู่ที่ตรงนี้ คือมีจิตใจเกลี้ยงสมกับคำว่าโมกข มันก็จะไม่เสียทีที่ว่าได้มาสวนโมกข์ มาเยี่ยมสวนโมกข์เป็นประจำปี
เพื่อจะเข้าใจคำว่าโมกข์ยิ่งๆขึ้นไปในทางศาสนานั้น คำว่าโมกข์แปลว่าหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งก็ย่อมจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงด้วยเป็นธรรมดา เพราะว่ากิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เมื่อไม่มีกิเลสแล้วความทุกข์ก็ไม่มี นั้นความหลุดพ้นก็หลุดพ้นจากกิเลสนั้นแหละเป็นส่วนสำคัญ เราจึงศึกษาภายในจิตใจให้รู้จักกิเลส ให้รู้จักความว่างจากกิเลส แม้ชั่วขณะๆก็ยังพอจะรู้ได้ว่าไอ้ความหลุดพ้นนั้นเป็นอย่างไร หลุดพ้นโดยเด็ดขาดมันก็เหมือนๆ กับหลุดพ้นชั่วขณะ มันต่างกันตรงที่ว่าอย่างหนึ่งมันเด็ดขาด อย่างหนึ่งมันได้ชิมลองดูก่อนชั่วขณะๆ และเมื่อจิตใจมันว่างจากกิเลสเมื่อไรก็ตาม ที่ไหนก็ตาม พยายามชิมรสแห่งจิตใจที่มันว่างจากกิเลสนี้ให้ดีๆ จะเป็นหนทางให้เกิดความก้าวหน้าไปในทางของความหลุดพ้น ทำให้เกิดความพอใจ ทำให้เกิดความแน่ใจ เกิดความพยายาม เกิดความกล้าหาญ ในการที่จะกระทำความหลุดพ้นให้แก่ตน
เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายก็ได้มาถึงที่นี่แล้ว มานั่งกันอยู่ในลักษณะอย่างนี้ ที่ว่านั่งกันอยู่ในลักษณะอย่างนี้ อาตมาหมายความว่าพุทธบริษัทได้มาประชุมกัน จะทำอะไรให้สมกับที่เป็นพุทธบริษัทให้มีความเป็นพุทธบริษัทยิ่งๆ ขึ้นไป อาตมาก็เลยถือโอกาสปรึกษาหารือไปในทำนองว่ามันจะช่วยกันทำหน้าที่ของพุทธบริษัทได้มากยิ่งขึ้น ความเป็นพุทธบริษัทนั้นต้องรู้จักทั้งประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น จะต้องทำความถึงพร้อมให้แก่ความเป็นพุทธบริษัทของตนก่อน แล้วก็บำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่นเพื่อถึงพร้อมแห่งความเป็นพุทธบริษัทของเขาด้วย ขอให้สนใจการที่คนๆ หนึ่งจะคิดแต่เรื่องของตัว คิดแต่ประโยชน์ของตัวนั้น มันจะตกไปในฝ่ายของกิเลสเสียมากกว่า คือมีความเห็นแก่ตัว การที่ระลึกนึกถึงผู้อื่นไว้ให้พอๆ กันกับการนึกถึงตัวมันก็จะป้องกันการเห็นแก่ตัวซึ่งเป็นกิเลส ขอให้ท่านทั้งหลายจงนึกถึงผู้อื่น การนึกถึงผู้อื่นนั้นเป็นการกระทำที่ตรงตามพุทธประสงค์ พระพุทธองค์ตรัสว่าการเกิดขึ้นของตถาคตก็ดี การมีธรรมวินัยของตถาคตอยู่ในโลกนี้ก็ดี การที่จะสืบอายุศาสนาหรือธรรมวินัยของตถาคตให้คงมีอยู่ต่อไปในโลกนี้ก็ดี นั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลาย ทั้งเทวดาและมนุษย์ ช่วยจำคำว่าทั้งเทวดาและมนุษย์ไว้ให้ดีๆ ทำไมถึงต้องแยกพูดเป็นสองพวกว่าพวกเทวดาและมนุษย์ เราจะไม่พูดถึงสิ่งที่มองไม่เห็น จะพูดเฉพาะสิ่งที่มองเห็นกันก่อน ว่าพวกเทวดานั้นคือพวกที่สบายแล้ว พวกมนุษย์นั้นคือพวกที่ยังมีปัญหา ยังต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ พวกเทวดานั้นเป็นพวกที่สบายแล้ว เพราะเหตุอะไรก็ตาม เช่น เพราะความมั่งมี หรืออำนาจวาสนาหรืออะไรต่างๆ ของเขา เขาก็ไม่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ ฟังดูแล้วมันไกลกันเหลือเกิน คนหนึ่งยังต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ อีกคนหนึ่งไม่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ หรือไม่รู้จักเหงื่อเอาเสียทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นคนทั้งสองพวกนี้ก็ยังต้องการธรรมะอยู่นั่นเอง อย่าอวดดีว่าเป็นเทวดาไปแล้วจะไม่ต้องการธรรมะ เพราะว่าเทวดาก็ยังมีกิเลส มีความโลภ มีความโกรธ มีความหลง
ถ้ากล่าวตามที่รู้กันอยู่ทั่วๆไปแล้ว บางทีจะมีกิเลสประเภทราคะหรือกามราคะ เป็นต้น หนาแน่นยิ่งไปกว่ามนุษย์เสียด้วยซ้ำไป เมื่อมีกิเลสแล้วก็ไม่ต้องสงสัย มันต้องเป็นทุกข์โดยแน่นอน นั้นพวกเทวดาก็อย่าอวดดีไปเลย พวกที่ไม่รู้จักเหงื่อแล้วก็อย่าอวดดีไปเลย มันจะอัดกิเลสไว้มาก แล้วมันก็จะแสดงความทุกข์ออกไปในความหมายหนึ่ง นั้นจึงเป็นอันว่าเรามาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ทั้งคนที่ยังต้องอาบเหงื่อ และคนที่ไม่ต้องอาบเหงื่ออีกต่อไป อย่ามาเป็นศัตรูกันเหมือนที่กำลังโง่กันอยู่ในบัดนี้ ซึ่งมีการต่อสู้ระหว่างพวกนายทุนกับชนกรรมาชีพ คือคนที่รวยกับคนที่จน มาต่อสู้กันอย่างนี้มันจะมีประโยชน์อะไร มันไม่ถูกต้องตามธรรมของพระพุทธเจ้า ถึงว่าจะต้องใช้ธรรมะเป็นเครื่องแก้ไขปัญหาของตนๆด้วยกันทั้งนั้น แล้วก็เป็นเพื่อนทุกข์ เพื่อนสุข เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ต้องเป็นศัตรูกัน ก็จะได้รับประโยชน์จากธรรมะเสมอกันทั้งเทวดาและมนุษย์อย่างนี้ เมื่อระลึกนึกได้อย่างนี้แล้วมันก็เป็นการง่ายที่จะปฏิบัติต่อไป ที่ทุกคนจะต้องทำประโยชน์ของตนให้ถึงพร้อม แล้วก็ทำประโยชน์แก่ผู้อื่นพร้อมกันไปในตัว เดี๋ยวนี้ประโยชน์ที่ร่วมกันก็คือความที่ต้องมีธรรมะ จะเรียกว่าพระธรรมก็ได้ จะเรียกว่าศีลธรรมก็ได้ ไม่ว่าพวกไหนต้องมีธรรมะ จะเป็นเทวดาหรือเป็นมนุษย์ ถ้ามีความรู้สึกคิดนึกได้แล้วก็จะต้องมีกิเลสและมีความทุกข์ จะต้องใช้ธรรมะเป็นเครื่องดับกิเลสและความทุกข์ เราจงรู้จักธรรมะไว้ให้เพียงพอและถูกต้องด้วย สำหรับจะแก้ปัญหาทั้งส่วนตัวเราและส่วนผู้อื่น เมื่อท่านจะทำประโยชน์แก่ตนเองก็ต้องอาศัยธรรมะ เมื่อจะทำประโยชน์แก่ผู้อื่นก็ยังคงต้องอาศัยธรรมะ และอาศัยธรรมะเดียวๆ กันด้วย ไม่ได้แตกต่างกันไปที่ไหน ธรรมะคือสิ่งที่จะแก้ปัญหาของมนุษย์
ถ้าจะเกิดถามกันขึ้นว่าธรรมะคืออะไร ท่านทั้งหลายทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ท่านลองนึกดูทีว่า ถ้ามีการถามกันขึ้นมาว่าธรรมะคืออะไร ดูจะตอบตามที่เคยชินมานานแล้วว่าธรรมะก็คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าบ้าง ธรรมะคือสิ่งที่ร้องตะโกนกันอยู่ที่วัดตลอดเวลาบ้าง เป็นเล่มหนังสืออยู่ในตู้บ้าง มันก็พูดกันอยู่แต่อย่างนี้ ถ้าอย่างนี้มันไม่สำเร็จประโยชน์ มันไม่ตรงกับตัวแท้ตัวจริงของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ อาตมาอยากจะขอร้องให้ช่วยจำไว้ให้แม่นยำ สำหรับคำว่าธรรมะนั่นมันหมายถึงอะไร ถ้าเขาถามว่าธรรมะคืออะไรก็ตอบออกไปให้ถูกตามตัวจริงของธรรมะว่า ธรรมะคือระบอบปฏิบัติที่จำเป็นแก่มนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา เท่านี้ก็พอแล้ว ธรรมะคือระบอบปฏิบัติ ไม่ใช่เรื่องพูดเรื่องเรียนหรือว่าตัวหนังสือ ต้องเป็นตัวการกระทำที่ครบถ้วนเป็นระบอบหนึ่งๆ แล้วก็เป็นการปฏิบัติที่จำเป็นแก่ความเป็นมนุษย์ จะเป็นมนุษย์ได้ก็ต้องอาศัยธรรมะที่ประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้องนั่นเอง แล้วก็ถูกต้องทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของมนุษย์นั้น มนุษย์มันเคลื่อนที่ไปเรื่อย มันไม่ได้หยุดอยู่ มันเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา นี้เรียกว่าวิวัฒนาการ
การที่มันเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเรียกว่าวิวัฒนาการ พูดเพียงเท่านี้ก็พอจะเข้าใจได้ ว่าตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ปฏิสนธิขึ้นมาในครรภ์ของมารดาแล้ว มันก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งคลอดออกมาแล้วมันก็เปลี่ยนแปลงเรื่อยมา ใครๆก็มองเห็นกันอยู่เกือบจะไม่ต้องอธิบาย ขอให้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงว่าออกมาเป็นทารก เป็นเด็ก เป็นหนุ่มสาว เป็นผู้ใหญ่ เป็นคนแก่ คนเฒ่า อย่างที่นี่ก็ดูจะมีครบอยู่แล้ว ก็ดูวิวัฒนาการคือความเปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจของเวลา มันจึงมีขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการเป็นขั้นๆ จะเอาหลายสิบปีเป็นขั้นหนึ่งก็ได้ ปีหนึ่งขั้นหนึ่งก็ได้ เดือนหนึ่งขั้นก็ได้ วันหนึ่งขั้นหนึ่งก็ได้ กระทั่งนาทีเดียวเป็นขั้นหนึ่งก็ได้ มันเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย จงดูให้ดีว่าเราจะทำให้ถูกต้องทุกขั้นตอนของวิวัฒนาการนั้นเป็นอย่างไร เอากันเท่าที่จะพอเข้าใจกันได้ง่ายๆ ว่าเมื่อเป็นทารก เป็นเด็ก ก็มีความถูกต้อง เพราะความช่วยเหลือของบิดามารดา เมื่อเป็นเด็กวิ่งได้แล้วก็มีความถูกต้อง ก็ได้รับการอบรมสั่งสอนดี พอเป็นหนุ่มเป็นสาวก็มีความถูกต้อง เพราะรู้อะไรในทางที่สูงยิ่งๆขึ้นไป พอเป็นพ่อบ้านแม่เรือนก็มีภาระมาก ความถูกต้องมันก็เพิ่มขึ้นมากกระทั่งเป็นคนเฒ่า คนแก่ก็ถูกต้องสำหรับจะมีความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์ ซึ่งจะต้องเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องให้เต็มเปี่ยมเสียก่อนที่มันจะเน่าเข้าโลง เข้าโลงแล้วมันก็เน่า ไปดูศพในโลงสิมันเป็นอย่างไร มันไม่มีความหมาย ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดกันแล้ว เราจะต้องเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องและเต็มเปี่ยมเสียก่อนแต่ที่จะไปนอนในโลงอย่างนั้น นี่คือหน้าที่ ที่จะต้องมีธรรมะให้ทันแก่เวลา
อาตมาจึงขอร้องท่านทั้งหลายที่อุตส่าห์มาจนถึงที่นี่ ที่มานั่งกันอยู่ในลักษณะอย่างนี้ จงเอาปัญหาข้อนี้ไปพิจารณาดูให้ดีว่าทำอย่างไรเราจึงจะมีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องและสมบูรณ์ทันแก่เวลา ถ้าว่ากันโดยที่จริงแล้วมันจะ ต้องมีความถูกต้องและสมบูรณ์ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ เมื่อเป็นเด็กก็ถูกต้องหรือดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ เมื่อเป็นหนุ่มสาวก็มีความถูกต้องหรือดีที่สุดตามที่จะดีได้ เมื่อเป็นพ่อบ้านแม่เรือนก็มีความถูกต้องดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ พอเป็นพระเป็นคนเฒ่าคนแก่ก็ดีพร้อมสำหรับตัวเอง และจะสั่งสอนผู้อื่นด้วย ขอให้เป็นอย่างนี้ก็จะไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และได้พบพระพุทธศาสนา ขอให้สนใจสิ่งๆ เดียว เรียกสั้นๆ พยางค์เดียวว่า ธรรมหรือพระธรรม หรือพระธรรมเจ้า จะเรียกให้เต็มที่เต็มยศก็ต้องเรียกว่าพระธรรมเจ้า คือเป็นพระเป็นเจ้าขึ้นมา จะเรียกว่าพระธรรมก็ได้ เรียกว่าธรรมะอย่างบาลี อย่างคำบาลีก็ได้ เรียกเป็นไทยๆ สั้นๆ ก็ว่า ธรรม เพียงคำเดียว หมายถึงสิ่งเดียวกัน และก็มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าธรรม เพราะเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้สิ่งนี้ ท่านจึงเป็นพระพุทธเจ้า เราก็ต้องรู้ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงนำมาสอน ธรรม ในความหมายที่หนึ่งก็คือ ธรรมชาติทั่วๆ ไป จะเป็นรูปธรรม นามธรรม สังขตธรรม อสังขตธรรม อะไรก็ได้ เรียกว่าธรรมชาติทั้งหลาย แล้วก็เรียกได้ด้วยคำ ๆ นี้ว่าธรรม พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้เรื่องนี้ว่าเป็นอย่างไร ว่าสภาวธรรมทั้งปวงนั้นเป็นอย่างไร
ทีนี้ในธรรมชาติหรือในธรรมนี้ มันก็มีสิ่งหนึ่งคือตัวสัจจะที่เป็นหลัก เป็นกฎเป็นเกณฑ์อยู่ในสิ่งนั้นที่เรียกว่า กฎแห่งธรรมชาติหรือเป็นสัจจะสัจธรรม ที่มีอยู่ในตัวธรรมชาติ อันนี้พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสรู้เรียกว่าเรื่องอิทัปปัจจยตา โดยเฉพาะเรื่องปฏิจจสมุปบาท เรื่องอริยสัจนั้นเอง รู้กฎของธรรมชาติที่เราเรียกกันว่าสัจธรรม เราก็รู้ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้และได้สอน ทีนี้ถัดมาอีก ธรรมในความหมายที่สาม หมายถึงหน้าที่ที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติให้ได้รับประโยชน์ในการที่ได้เกิดมา เราจึงต้องปฏิบัติให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ และต้องปฏิบัติให้ถูกตามสัจธรรม เอามาเป็นธรรมสัจจะเฉพาะเรื่องที่จะเราต้องประพฤติปฏิบัติ แล้วปฏิบัติให้สำเร็จนี้เรียกว่าปฏิปัตติธรรม ธรรมในความหมายที่สามนี่แหละสำคัญที่สุด จะต้องรู้และจะต้องปฏิบัติถึงจะเป็นสิ่งที่จะช่วยได้ ในความหมายที่สี่ ธรรมก็คือผลที่เกิดมาจากการปฏิบัตินั่นเองเป็นพวกวิปากธรรม ปฏิบัติอย่างไรก็ย่อมได้รับผลตามสมควรแก่การปฏิบัติเสมอ นี่เรามีธรรมที่จะต้องรู้และจะต้องปฏิบัติ ตัวธรรมชาติก็ต้องรู้ ตัวกฎของธรรมชาติก็ต้องรู้ ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติก็ต้องรู้ ผลที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่ก็ต้องรู้ ความรู้นี้เกิดมาจากการปฏิบัติหลังจากการปฏิบัติแล้วจึงจะรู้จริง รู้สำหรับมาปฏิบัตินั้นยังไม่รู้จริง แต่ก็ต้องรู้เท่าที่จะรู้ได้ ครั้นรู้แล้วเอามาปฏิบัติแล้วมีผลเกิดขึ้นแล้ว อย่างนี้จึงจะเรียกว่ารู้จริง ขอให้ไปคิดดูเถอะว่าเราจะรู้อะไรจริงไม่ได้นอกจากเราได้ทำสิ่งนั้นลงไป ได้รับผลมากินมาใช้มาสัมผัสอยู่ อย่างนี้เรียกว่ารู้ธรรมทั้งในส่วนที่เป็นความรู้ ทั้งในส่วนที่เป็นการปฏิบัติ ทั้งในส่วนที่เป็นผลของการปฏิบัติ เรียกตามคำในพระศาสนาว่า ปริยัติธรรม ปฏิปัตติธรรม ปฏิเวธธรรม
มนุษย์เราเกี่ยวข้องกับธรรมทั้ง ๓ ชั้นนี้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าที่บ้าน ไม่ว่าที่วัด ไม่ว่าที่ไหน เราต้องมีความรู้ในสิ่งที่เราจะต้องทำ แล้วเราต้องกระทำสิ่งที่เราต้องทำ แล้วเราก็ได้ผลของการกระทำ ทั้งหมดที่นั่งอยู่นี่คงจะมีต่างๆ กัน เป็นชาวนาก็มี ชาวสวนก็มี ค้าขายก็มี อะไรก็มี แต่ทุกคนต้องมีความรู้ แล้วก็มีการกระทำ และมีการได้รับผลของการกระทำ ๓ อย่างนั้นแหละเรียกว่าธรรมที่จะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องทุกๆ ขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของตนในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ดังนั้นจึงกล่าวว่าธรรม คือระบอบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ช่วยจำไว้ให้ดี เดี๋ยวนี้เราอยู่ในขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการอะไรอย่างไร เราต้องรู้เราต้องทำให้ถูกต้องในขั้นตอนนี้ของเรา ที่นั่งกันอยู่นี้ก็มีอยู่ทั้งเด็ก ทั้งหนุ่มสาว ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนเฒ่าคนแก่ นี้เรียกว่าเป็นขั้นตอนตามธรรมชาติ และยังมีขั้นตอนตามหน้าที่การงานที่สูงต่ำกว่ากันอยู่ เช่นเป็นฆราวาสบ้าง เป็นบรรพชิตบ้าง และที่เป็นฆราวาสก็มีหน้าที่การงานสูงต่ำกว่ากัน เป็นนายก็มี เป็นบ่าวก็มี เป็นลูกจ้างก็มี เป็นอะไรก็มี มันมีหลายขั้นตอนอย่างนี้ ต้องทำให้ถูกต้องทุกๆ ขั้นตอน
อย่างพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า จงปิดกั้นทิศทั้ง ๖ ให้ดี ก็หมายความว่าคนๆ หนึ่งนั้นมันมีเรื่องที่จะต้องทำอย่างน้อยก็ ๖ ทิศทาง ทิศเบื้องหน้าคือบิดามารดา เราต้องปฏิบัติให้ถูกต้องต่อบิดามารดา ทิศเบื้องหลังคือบุตรภรรยา ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องต่อบุตรภรรยา ทิศเบื้องซ้ายคือมิตรสหายทั้งหลาย เราก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องต่อมิตรสหายทั้งหลาย ทิศเบื้องขวาครูบาอาจารย์ ก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องต่อครูบาอาจารย์ ทิศเบื้องบนพระเจ้า พระสงฆ์สมณพราหมณ์ ผู้มีคุณธรรมสูง ก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ทิศเบื้องต่ำคือบ่าวไพร่คนใช้ คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ซึ่งก็ล้วนแต่มีอยู่ด้วยกันทั้งนั้น เราก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องทั้ง ๖ ทิศอย่างนี้ เรียกว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมถูกต้องทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ อันเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์และหน้าที่การงานของมนุษย์นั้น ช่วยฟื้นความจำมาให้ดีๆ เพราะบางคนก็เคยเล่าเคยเรียนมาก่อนแล้ว เช่นทิศทั้ง ๖ นี้คงเคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้ว แต่ไม่เอามาชำระสะสางไม่ปิดกั้นทิศทั้ง ๖ ให้ถูกต้องมันจึงเกิดช่องโหว่ เป็นรูรั่วสำหรับกิเลสและความทุกข์หรือความผิดพลาดใดๆ มันจะได้เกิดขึ้น ทำผิดต่อบิดามารดา ทำผิดต่อบุตรภรรยา ทำผิดต่อมิตรสหาย ทำผิดต่อครูบาอาจารย์ ทำผิดต่อสมณพราหมณ์ พระเจ้า พระสงฆ์ และทำผิดต่อผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเรา นี้คนเหล่านี้ คนชนิดนี้มันเป็นคนผิด มันไม่มีธรรมะ ไม่เป็นมนุษย์ที่ดีที่ถูกต้องตามขั้นตอนของวิวัฒนาการเลย
ท่านทั้งหลายอย่าได้เบื่อหน่าย อย่าได้ระอา อย่าได้ท้อถอย อย่าได้ขี้เกียจ อย่าได้อ่อนแอ จงพยายามนึกให้เห็น และมีความกล้าหาญที่จะทำให้มันถูกทุกขั้นทุกตอน และทุกทิศทุกทาง อย่างน้อยก็ ๖ ทิศ อย่าคิดว่ามันมากเกินไป มันเหลือวิสัยที่เราจะทำได้ ถ้าคิดอย่างนั้นน่ะมันผิดแน่ และมันจะเกิดปัญหายุ่งยากขึ้นมา และมันก็จะเสียหายหมด นั้นอย่ายอมแพ้ในฐานะที่เป็นลูกก็ปฏิบัติต่อบิดามารดาให้ดี ในฐานะที่เป็นบิดามารดาก็ปฏิบัติต่อลูกให้ดี ในฐานะที่เป็นเพื่อนก็ปฏิบัติต่อเพื่อนให้ดี ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาก็ปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ให้ดี ในฐานะที่เป็นทายก ทายิกา เป็นผู้มีศรัทธาก็ปฏิบัติต่อสมณพราหมณ์ พระเจ้า พระสงฆ์ให้ดี ในฐานะที่เป็นผู้มีอำนาจวาสนาเหนือเขาก็ปฏิบัติต่อบุคคลผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เช่น ลูกจ้างเป็นต้นให้ดี อย่าเห็นว่ามันมากนัก ขี้เกียจ ไม่อยากทำ อย่างนี้มันไม่ได้ ถ้าว่าเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น มันจะต้องทำความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ นั้นอย่ายอมแพ้ อย่าอ่อนแอ อย่าคิดว่าหน้าที่มันมากนัก ที่จริงมันก็ไม่มากไปกว่าที่จำเป็น ลองฟังให้ดูให้ดี มันไม่มากไปกว่าที่จำเป็น ฉะนั้นที่มันมีอยู่นี้มันจำเป็นทั้งนั้น นั้นเราจะละเลยจะทอดทิ้งหน้าที่ใดๆไม่ได้ นั้นต้องกระทำให้ถูกต้องทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ โดยวัย โดยอายุ โดยธรรมชาติ โดยหน้าที่การงานอะไรต่างๆ
ท่านทั้งหลายมาที่นี่ ก็ลองคิดดูเถอะว่าจะเพื่อประโยชน์อะไร หรืออาตมาผู้เป็นเจ้าถิ่นจะต้อนรับท่านทั้งหลายอย่างไร อย่างน้อยก็ขอให้มองเห็นว่าอาตมามีความหวัง และยินดีอย่างยิ่งต้อนรับท่านทั้งหลายในฐานะที่เป็นเพื่อนพุทธบริษัทก่อนอื่น นี่เพื่อตรงตรงตามพุทธประสงค์โดยด่วนและโดยเร็ว เราเป็นเพื่อนพุทธบริษัทด้วยกัน มีหน้าที่ที่จะตั้ง ค้ำจุนรักษาพระศาสนา หรือระบบแห่งพระธรรมของพระพุทธเจ้าไว้ให้เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลกทั้งปวง ท่านทั้งหลายมาที่นี่ในความหมายอย่างนี้แล้ว อาตมามีความพอใจอย่างยิ่ง รู้สึกว่าเป็นการมีลาภ เป็นการได้ที่ดี ที่ได้มีเพื่อนพุทธบริษัทอย่างนี้ ที่จะได้ช่วยกันทำให้มีธรรมะหรือพระศาสนา ตั้งอยู่อย่างมั่นคงเป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลก สมตามพระพุทธประสงค์ พระองค์น่ะไม่ได้ประสงค์ให้ใครแต่ละคนเห็นแต่ประโยชน์ตน ทำบุญแล้วก็ไปนอนอยู่บนสวรรค์วิมานคนเดียว อย่างนี้มันไม่ถูกต้องตามพระพุทธประสงค์ จะต้องนึกถึงสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ทุกคนไม่ให้มีเหลือและก็ยินดีประพฤติปฏิบัติให้เป็นประโยชน์แก่ทุกคน นั้นขอให้ไปคิดไปนึกว่าจะทำอะไรได้บ้าง ก็ขอให้ทำ เดี๋ยวนี้ปัญหามันมีอยู่อย่างยิ่งว่าโลกมันกำลังจะวินาศ
นี่พูดแล้วมันก็ฟังดูคล้ายกับว่าจะรุนแรง แต่ความจริงมันเป็นอย่างนั้น คือในโลกนี้มันหนาแน่นไปด้วยกิเลสยิ่งขึ้นทุกที มีความเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง มากขึ้นทุกที ทุกหน ทุกแห่ง ทั่วไปทั้งโลก มันจึงกระทำสิ่งที่เป็นการเห็นแก่ตัวตามกิเลสของตัว เอาประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของตัวโดยไม่ถูกต้อง โดยผิดธรรม ไม่มีธรรม จึงได้เกิดการเบียดเบียนกัน ไม่รู้จักสิ้นจักสุด เราจะเห็นว่าในโลกนี้ เวลานี้ ปัจจุบันนี้ มันก็มีการเบียดเบียนอยู่ที่นั่นที่นี่ มีสงครามอยู่ที่นั่นที่นี่ มีการทุกข์ยากแสนสาหัสอยู่ที่นั่นที่นี่ ที่เนื่องมาจากการที่ไม่ประพฤติธรรม มีคนที่เห็นแก่ตัวแล้วทำสิ่งที่ผิดธรรม มุ่งจะเอาประโยชน์ของผู้อื่น นี้มันก็ส่วนหนึ่งที่ว่าน่าเศร้า น่าสังเวช น่าสลดใจ ว่าทำอย่างไรอุปัทวจัญไรอันนี้มันจะหมดไปจากโลกเสียที เดี๋ยวนี้ที่น่าดูมากไปกว่านี้อีกก็คือว่า ทำไมนะความเจริญก้าวหน้ามันยิ่งมีขึ้นในโลกแล้วทำไมโลกนี้มันยิ่งกลับมีความทุกข์ มีปัญหามาก มีความเดือดร้อนมากกว่าเมื่อยังไม่เจริญ เมื่อก่อนนี้ก็ไม่มีอะไร จะใช้สอยสะดวก สบาย สวยงามอย่างนี้ แต่งเนื้อ แต่งตัวอย่างนี้ก็ไม่มี อะไรๆ ก็ไม่มี เดี๋ยวนี้มันก็มี มีมากเหลือประมาณ มีไฟฟ้าใช้ มีถนนหนทาง มีอะไรต่างๆ แต่แล้วทำไมมันกลับมีปัญหามาก ทำไมยิ่งเจริญแล้วยิ่งมีอันธพาล ช่วยจำคำถามนี้ติดตัวไปด้วย ไปปรึกษาหารือกันว่า ทำไมยิ่งเจริญแล้วมันยิ่งมีอันธพาล อันธพาลนั้นแปลว่า โง่ มืด เหมือนกับคนตาบอด อันธพาลมี ๒ ชนิด อันธพาลที่มันเป็นอันตรายแก่ตัวมันเอง นี้เรียกว่าอันธพาลที่เลวร้ายที่สุด อันธพาลอีกอันหนึ่งมันเป็นอันตรายแก่ผู้อื่น นี้มันก็เลวร้ายมากเหมือนกัน ทำไมยิ่งเจริญยิ่งมีอันธพาล ยิ่งมีบ้านเรือน เครื่องใช้ไม้สอยสวยงาม การกิน การอยู่ เครื่องนุ่งห่ม เล่นหวย อะไรต่างๆ เรียกว่าเจริญ อย่างมาจากชุมพรมาที่นี่เดี๋ยวนี้ก็มาแวบเดียว ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน นี่มันยิ่งเจริญด้วยถนนหนทาง ด้วยยานพาหนะอะไรต่างๆ เรียกว่าความเจริญ ทั่วไปทั้งโลกมันมีความเจริญ แต่แล้วทำไมยิ่งเจริญมันยิ่งมีอันธพาล อันธพาลพวกแรก คือว่าโลกยิ่งเจริญมันยิ่งมีคนเป็นโรคประสาท เป็นโรคจิต ทำตัวเองให้ลำบาก เมื่อไม่เจริญมีคนเป็นโรคประสาทหรือโรคจิตน้อย หมอเขาก็ยืนยันอย่างนี้ว่าเมื่อยังไม่เจริญคนเป็นโรคประสาทหรือโรคจิตน้อย พออะไรเจริญไปหมดอย่างนี้ คนเป็นโรคจิต โรคประสาทมาก เข้าใจว่าท่านทั้งหลายก็คงจะมองเห็น นี่ก็คือข้อที่ว่ายิ่งเจริญมันยิ่งเป็นอันธพาล เป็นอันธพาลแก่ตัวมันเอง ในตัวมันเอง เพื่อตัวมันเอง
ที่นี้ยิ่งเจริญแล้วยิ่งเป็นอันธพาลแก่ผู้อื่น คือมันมีอันธพาลเบียดเบียนผู้อื่น มีจี้ มีปล้น มีฆ่า มีอะไรมากมายยิ่งกว่าเมื่อยังไม่เจริญ เมื่อไม่มีถนนมันก็ไม่มีจี้ปล้นกันทั้งคันรถอย่างที่เมื่อมีถนนอย่างนี้เป็นต้น ยิ่งเจริญยิ่งมีอันธพาล แม้ที่กรุงเทพในยุคที่ยิ่งเจริญมาก ยิ่งมีอันธพาลเป็นภัยเป็นอันตรายมากนี่ ทำไมมันจึงเป็นอย่างนี้ คำตอบมันง่ายๆ นิดเดียวเหมือนกำปั้นทุบดิน เพราะว่ายิ่งเจริญมันยิ่งไม่มีธรรมะ ยิ่งเจริญยิ่งไม่มีศีลธรรม เพราะว่ามันไปเป็นทาสของความเอร็ดอร่อยทางเนื้อ ทางหนัง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มันไม่บูชาพระธรรม มันไม่นับถือพระธรรม มันไปนับถือความเอร็ดอร่อยสนุกสนานทางเนื้อ ทางหนัง ระวังให้ดีๆ ทุกคนระวังให้ดีๆ อย่าไปบูชาความสวย ความงาม ความเอร็ดอร่อยทางอายตนะตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันจะเกิดความเป็นอันธพาลขึ้นมาไม่ทันรู้ เดี๋ยวนี้มันก็เจริญจนถึงกับเกินแล้วมันก็ไปเอาส่วนเกิน มันก็ไปหลงส่วนเกินเรื่องกินก็เกิน เรื่องนุ่งห่มแต่งตัวก็เกิน เรื่องบำรุงร่างกายก็เกิน บ้านเรือน เครื่องใช้ไม้สอยในบ้านเรือนก็เกิน มันไม่มีวันพอ มันมีของกินอย่างนี้ มันก็อยากจะกินให้มากกว่านี้ แพงกว่านี้ที่เงินมันไม่พอ มันมีเครื่องนุ่งห่มอย่างนี้มันก็อยากจะมีอย่างอื่นที่ทำให้เงินไม่พอ มันมีบ้านเรือนอย่างนี้มันก็ยังจะเอาบ้านเรือนอย่างอื่นที่ทำให้เงินไม่พอ มันขยับขยายไปในทางเกินเรื่อยไป จนได้เป็นโรคประสาท จนได้เป็นโรคจิต หรือเมื่อไม่ได้อย่างนั้นมันก็ไปเป็นอันธพาล ประทุษร้ายผู้อื่น เพื่อจะยื้อแย่งเอาประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของตน ยิ่งเจริญยิ่งไม่มีธรรมะ ยิ่งไม่มีธรรมะก็ยิ่งเป็นอันธพาล ยิ่งเป็นอันธพาลก็ไม่มีความสุขทั้งส่วนตัวเองและส่วนผู้อื่น ขอให้เข้าใจว่าไอ้ความเจริญทางวัตถุล้วนๆ นั้นยิ่งเจริญยิ่งเป็นอันธพาล ยิ่งสวย ยิ่งรวย ยิ่งอะไรก็ตามมันยิ่งเป็นอันธพาล ก็ไปบอกกล่าวกันให้ดีๆ และจะต้องช่วยกันแก้ปัญหาข้อนี้ อย่าปฏิเสธว่าไม่ใช่หน้าที่ของเราเป็นหน้าที่ของผู้อื่น หน้าที่ของรัฐบาล หน้าที่ของอะไร นั้นมันไม่ถูก ถ้าเห็นแก่พระพุทธเจ้าแล้วก็จะต้องถือว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องกระทำแก่กันและกันในบรรดาสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
ดังนั้นต่อไปนี้ท่านทั้งหลายจงพยายามที่จะทำให้มีธรรมะเกิดขึ้นมา เพื่อจะต่อสู้กับความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ ถ้าธรรมะมาแล้วมันก็เป็นแสงสว่าง เมื่อเป็นแสงสว่างมันก็ไม่เป็นอันธพาล เพราะอันธพาลนั้นแปลว่ามืด ว่าบอด ว่าไม่มีแสงสว่าง นี้ธรรมะเป็นแสงสว่างช่วยกันทุกอย่างทุกประการให้มันมีธรรมะเกิดขึ้น ที่กล่าวเป็นส่วนรวมแล้วก็ขอให้ช่วยกัน ร่วมมือกันในฐานะเป็นพุทธบริษัท ว่าพุทธบริษัททั้ง ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา จะช่วยร่วมมือกันให้ธรรมะนี้กลับมาคุ้มครองมนุษย์ มนุษย์ทำผิดมากในเรื่องของวัตถุจนกระทั่งธรรมะหายไป จะหามาทำยาหยอดตาก็ไม่ค่อยจะได้ มันเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวซึ่งมิใช่ธรรมะ นั้นเราช่วยกันทำให้ธรรมะกลับมา ช่วยกันให้มีการเล่าเรียน ช่วยให้มีการปฏิบัติ ช่วยให้มีการเผยแผ่ อบรม สั่งสอน นี่เหมือนกับที่เรากำลังทำกันอยู่นี่ ก็ขอให้มองเห็นอย่างนี้ ที่ว่ามาทอดผ้าป่าก็เป็นการบำรุงการศึกษาให้มีการศึกษาเล่าเรียนและมีการปฏิบัติ และมีการสั่งสอน อาตมาเข้าใจว่าวัดทั้งหลายก็พร้อมที่จะทำอย่างนั้น เมื่อได้รับการช่วยเหลือจากคฤหัสถ์ ทายก ทายิกา แล้วก็จะทำหน้าที่ของตน คือศึกษาเล่าเรียน ประพฤติปฏิบัติได้ผลแล้วก็ทำการเผยแผ่สั่งสอนต่อไป ท่านทั้งหลายจงช่วยกันร่วมมือกับวัดในลักษณะอย่างนี้ ช่วยร่วมมือกับวัดชนิดนี้ กับวัดในลักษณะอย่างนี้ คือในลักษณะที่จะช่วยให้เกิดการศึกษาการปฏิบัติ และการเผยแผ่สั่งสอนไม่ว่าที่ไหน ที่ชุมพร ที่สมุย ที่อะไรก็ตามแล้วแต่ว่ามัน เรามันอยู่ที่บ้านไหนเมืองไหน ก็ให้ถือว่าเป็นภาระหน้าที่ ที่เราจะต้องช่วยเหลือบ้านนั้นเมืองนั้น เราไม่ช่วยแล้วใครมันจะช่วย แต่เมื่อเราช่วยแล้วทุกๆ แห่งต่างคนต่างช่วยแล้ว มันก็จะเป็นการช่วยหมดทั้งประเทศหรือทั้งโลก เมืองไทยก็ช่วยเมืองไทย เมืองฝรั่งก็ช่วยเมืองฝรั่ง เมืองไหนก็ช่วยเมืองนั้น มันก็เป็นการช่วยกันหมดทั้งโลก นี่ขอให้คิดนึกอย่างนี้เถิด อย่าได้ไปเห็นแก่ตัวหรือเหวี่ยงหน้าที่ไปให้ผู้อื่น เราไม่อยากจะทำ เราทำไม่ได้อย่างนี้ไม่ควรจะคิด
ทีนี้จะเห็นชัดๆ ลงไปในวงแคบๆ เพราะว่าในหมู่บ้านหนึ่งๆ ตำบลหนึ่งๆ หมู่บ้านหนึ่งๆ ก็ช่วยกันปรับปรุงกิจการต่างๆ ที่เกี่ยวกับพระศาสนาหรือพระธรรมเถิด ขอให้ช่วยกันปลูกความสนใจในพระธรรม ให้คนทุกคนสนใจในพระธรรม แม้แต่ลูกเด็กๆ เล็กๆ ก็ให้มันรู้จักร้องเพลงที่เกี่ยวกับพระธรรม อย่าให้มันไปร้องเพลงที่ทำจิตใจให้เป็นเหยื่อของกิเลส ปีศาจร้ายเลย เด็กๆ ชอบร้องเพลงที่ส่งเสริมกิเลส เพราะผู้ใหญ่มันชอบอย่างนั้น มันสอนกันอย่างนั้น หรือมันอำนวยอย่างนั้น นี้เราช่วยกันเสียใหม่ ผู้ใหญ่อย่าร้องเพลงส่งเสริมกิเลสสอนเด็กๆ ให้รู้จักร้องเพลงของพระธรรม จะตัวเล็กตัวน้อยอะไรก็เอามาสอนให้ร้องเพลงพระธรรมให้จงได้ เป็นการศึกษาธรรมะโดยไม่รู้สึกตัว ให้ทำอย่างอื่นเขาไม่สนุก เขาไม่อาจจะทำ แต่ถ้าร้องเพลงมันพอจะสนุกบ้าง และเขาก็คงจะทำ นั้นช่วยกันทุกคนมีลูกมีหลานตัวเล็กตัวน้อย ให้มันรู้จักร้องเพลงพระธรรม อยู่คนเดียวก็ร้องฟังคนเดียว อาตมาจะเล่าสักนิดหนึ่งว่าเมื่อพระพุทธองค์ประทับนั่งอยู่องค์เดียวพระองค์ทรงร้องเพลงอิทัปปัจจยตา เรื่องปฏิจจสมุปบาท นี้ไม่ใช่เป็นการกล่าวจ้วงจาบพระพุทธเจ้า หรือลดลงมาเป็นเรื่องต่ำๆ คือท่านประทับนั่งอยู่องค์เดียวก็กล่าวขึ้นมาโดยองค์เดียว ฟังอยู่คนเดียวว่า อาศัยตาด้วย รูปด้วย เกิดจักษุวิญญาณ ๓ ประการนี้ถึงกันเข้าเรียกว่าผัสสะ เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัยก็มีเวทนา มีเวทนาเป็นปัจจัยก็มีตัณหา มีตัณหาเป็นปัจจัยก็มีอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยก็มีภพ ภพเป็นปัจจัยก็มีชาติ ชาติเป็นปัจจัยก็มีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส เมื่อพูดเรื่องตาจบแล้ว ท่านก็ร้องเพลงเรื่องหู หูก็เสียอาศัยกันเกิด โสตวิญญาณ ๓ ประการนี้เรียกว่าผัสสะ เหมือนกันอีกเรื่องตา เรื่องหู เรื่องจมูก เรื่องลิ้น เรื่องกาย เรื่องใจ นั้นการร้องเพลงอิทัปปัจจยตา หรือที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท มันเป็นหลักของการเกิดแห่งความทุกข์ และความดับทุกข์โดยตรง
ทำไมเราไม่เอาเรื่องความทุกข์และความดับทุกข์โดยตรงมาร้องเพลงกันตามอย่างพระพุทธเจ้าบ้าง อาตมาขอร้องว่าถ้ายังไงๆ ก็ช่วยร้องเพลงที่มันประกอบไปด้วยธรรมะให้ลูกเด็กๆ เขานิยมร้องให้คนแก่ๆ ก็จะได้ฟัง ชินหูเข้ามันก็จะดึงไปในทางของธรรมะ นี้ก็เรียกว่าเป็นการช่วยกันปรับปรุงส่งเสริมให้มีการศึกษา มีการปฏิบัติ มีการเผยแผ่อยู่ในตัวมันเอง ให้ตัวเล็กตัวน้อยมันก็เผยแผ่ธรรมะได้ ร้องเพลงธรรมะให้ยายแก่ฟัง เพราะว่ายายแก่อ่านหนังสือไม่ออก ลูกเด็กๆ เขาร้องเพลงให้ฟังมันก็ดีอยู่แล้ว นี่มันมีเรื่องที่จะทำได้มากมายถึงอย่างนี้ ขอให้ช่วยจดช่วยจำกันเอาไป จะทำได้อย่างไรเท่าไรก็ขอให้ทำให้เต็มที่ นี่คือการปรึกษาหารือ เมื่อเรามาพบกันที่นี่ ปีหนึ่งพบกันครั้งหนึ่งก็ยังดี แต่ว่าพบกันทีไรก็ขอให้ได้มีการปรึกษาหารือที่จะให้ธรรมะกลับมา ให้ศีลธรรมกลับมา ให้พระเป็นเจ้ากลับมา มาครองโลกนี้ให้มีความสุข เป็นผาสุก มันกำลังจะวินาศอยู่แล้ว มันลุ่มหลงทางวัตถุมากจนเกินไป เกินยิ่งกว่าเกิน เราช่วยกันต่อต้านเพื่อประโยชน์ของคนทุกคนทั้งเทวดาแลมนุษย์ คนจนกับคนรวยกำลังรบราฆ่าฟันกัน ถ้าธรรมะเข้ามาแล้วเขาหยุดได้ นั้นเราช่วยธรรมะเข้ามาเถิด คนจนกับคนรวยก็จะเลิกรบกัน ในโลกนี้เวลานี้มันอยู่ในเรื่องนี้ คือเรื่องที่ประเทศที่ยากจน ไอ้คนที่ยากจนกับคนที่ร่ำรวยมันเกิดเป็นลัทธิ ถือลัทธิแบ่งแยกกัน เพื่อจะรักษาประโยชน์ของตนจนเป็นเหตุให้ประเทศชาติรบกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ขืนรบกันในรูปนี้ใช้อาวุธร้ายกาจไม่เท่าไรโลกนี้ก็จะวินาศ มาทำความเข้าใจกันเสียใหม่ให้ทุกคนรู้ว่าธรรมคืออะไรในประเทศของตน กระทั่งออกไปนอกประเทศ เราสามารถจะเผยแผ่ธรรมะออกไปนอกประเทศ ในภาษาต่างประเทศ เพราะเป็นหน้าที่ของคนที่จะทำได้ ขอให้กระทำ เราทำไม่ได้ก็สนับสนุนด้วยให้กำลัง ให้ความสะดวก ให้ความร่วมมือก็ชื่อว่ามีส่วนแห่งการกระทำด้วย ดังนั้นจึงขอให้ถือเป็นหลักว่าเราจะร่วมแรงกันในพุทธบริษัททั้ง ๔ ทั้งภิกษุ ทั้งภิกษุณี ทั้งอุบาสก ทั้งอุบาสิกา ช่วยกันสืบอายุพระศาสนาของสมเด็จพระศาสดาไว้เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลกทั้งเทวดาและมนุษย์ตลอดกาลนาน
นี่คือข้อที่อาตมาตั้งใจมีความประสงค์ที่จะพูดกับท่านทั้งหลาย ในลักษณะที่เป็นการปรึกษาหารือ ปีหนึ่งครั้งเดียวก็ยังดี ขอได้รับฟัง ขอได้จำไป ติดเอาไปในใจ ไปคิดนึก ปรึกษาหารือกันต่อๆ ไปให้ธรรมะกลับมา บ้านไหนเมืองไหนก็ขอให้ธรรมะกลับมาเป็นเครื่องคุ้มครอง คือกลับมามีศีลธรรม ซึ่งมีหลักใหญ่ๆ ว่าจะต้องยอมรับว่าเราเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ดังนั้นเราจะต้องระมัดระวังให้ดีอย่าสะเพร่า เราต้องควบคุมตัวเองให้ดี บังคับความรู้สึกให้ดี อย่าให้ทำอะไรลงไปผิดจากหลักที่ว่าทุกคนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน เดี๋ยวนี้เขาฆ่าฟันกันอย่างไร เขาเบียดเบียนกันอย่างไร ไม่มีความหมายที่ว่าทุกคนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันเหลืออยู่เลย เราฟื้นไอ้ความถูกต้องอันนี้ขึ้นมาใหม่ ความถูกต้องของพระธรรม ว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย สิ่งใดมีชีวิตแล้วก็ขอให้ถือว่ามันเป็นสิ่งที่มีความรู้สึก แล้วก็ถือว่ามันก็เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย แม้แต่ต้นไม้อย่างนี้ก็ถือว่ามันเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ลองไม่มีต้นไม้ มนุษย์ก็อยู่ไม่ได้ตายหมด ก็คิดง่ายๆ ก็มองเห็นทุกคนว่าลองในโลกนี้ไม่มีต้นไม้อย่างเดียวเท่านั้น มนุษย์อยู่ไม่ได้ก็ตายหมด จึงต้องถือว่ามนุษย์เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายกันกับต้นไม้ สัตว์เดรัจฉานหรืออะไรทั่วๆ ไป ถ้าเราทำผิดแล้วเราจะลำบาก เดี๋ยวนี้เราอกตัญญูต่อสิ่งที่มีบุญคุณ สัตว์ทั้งหลายก็มีบุญคุณ ต้นไม้ก็มีบุญคุณ เราก็ไปทำลายมันเสีย เรามันเป็นคน เป็นสัตว์อกตัญญูทำลายสิ่งที่มีบุญคุณ เช่น ต้นไม้ มันมีบุญคุณทำไมจะต้องไปทำลายมัน ต้นไม้เป็นของโปรดปรานของพระพุทธเจ้า เราเคารพพระพุทธเจ้าแล้วเราจะไปทำลายสิ่งโปรดปรานของพระองค์ได้อย่างไร ถ้าไม่มีต้นไม้ เรารอดชีวิตอยู่ในโลกนี้ไม่ได้ ในทางอาหารการกิน ในทางการเป็นอยู่ ในทางกายหายใจ อะไรก็ตาม ไม่มีอากาศที่ถูกต้องสำหรับจะหายใจถ้าไม่มีต้นไม้ เรื่องมันลึกมากถึงขนาดนี้
เด็กๆ เคยอ่านหนังสือเรื่องเนื้อสมันอกตัญญู อาตมาพูดอย่างนี้หลายคนคงจะนึกได้ หนังสือสอนธรรมจริยา นิทานสุภาษิต หรืออะไรทำนองนี้ ก็มีเรื่องเนื้อสมันอกตัญญู เล่ามาสั้นๆ อีกทีหนึ่งก็ได้ว่า ไอ้เนื้อสมันตัวหนึ่งเห็นนายพรานถือปืนตามมา มันก็วิ่งเข้าไปซุกอยู่ในสุมทุมพุ่มไม้ดก ใบดก นายพรานเดินมาไม่เห็นก็เดินเลยไป มันก็รอดตาย และไอ้สัตว์อกตัญญูตัวนี้มันเกิดกินใบไม้ของสุมทุมพุ่มไม้นั่นเอง จนหมดเกลี้ยงโปร่งไปหมด ทีนี้พอนายพรานย้อนกลับมามันก็เห็น แล้วมันก็ยิงเนื้อสมันตัวนั้นตาย เนื้อสมันอกตัญญูตัวนั้นมันมีโทษถึงตาย เดี๋ยวนี้มนุษย์เราก็กำลังเป็นเนื้อสมันอกตัญญู สิ่งใดในโลกที่มีประโยชน์แก่มนุษย์ มนุษย์ได้อาศัยมาช้านานแล้วแต่ดึกดำบรรพ์โน้น เดี๋ยวนี้เราก็มาช่วยกันทำลายมันเสียจนขาดแคลน จนทุกข์ยากจนลำบาก จนกระทั่งว่าไม่มีน้ำจะทำนา นี่ก็เพราะว่าประทุษร้ายต่อธรรมชาติที่มีบุญคุณนั้นมากเกินไป จำใจความข้อนี้ไว้ดีๆ อย่าได้ทำลายอะไรที่มันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์บุญคุณต่อมนุษย์ คนอื่นเขาก็ทำลายกันมากมายแล้ว ช่วยกันต่อต้าน ช่วยกันแก้ไข ช่วยกันชี้แจงให้หยุดการทำลายสิ่งที่เป็นบุญคุณต่อมนุษย์ นี้ก็เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน เราเองก็ไม่ทำ เราก็ไม่ทำลายทรัพยากรของธรรมชาติอย่างที่ได้ยินว่า มันทำลายป่าจนวินาศ หรือว่าใช้ไฟฟ้าช็อตบ้าง ใช้ลูกระเบิดบ้างระเบิดปลาจนหมดไปเป็นอ่าวๆ ในทะเล นี้มันเป็นการทำลายสิ่งที่มีประโยชน์ หรือมีบุญคุณแก่มนุษย์ แล้วบาปมันก็จะย้อนมาถึงมนุษย์ แล้วมนุษย์ก็จะต้องลงนั่งเป็นทุกข์ หมดความเป็นมนุษย์ เหลือแต่คนที่ทนทุกข์เพราะไม่มีธรรมะเลย
จึงหวังว่าท่านทั้งหลายจะได้ช่วยกันเอาความหมายของคำว่าธรรมะนี้ไปคิดนึกศึกษาพิจารณา จนกระทั่งเห็นจริงว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดยิ่งกว่าสิ่งใด อาตมาพูดแล้วท่านคงจะไม่เชื่อ แต่อาตมาก็จะพูด พูดว่าธรรมะนี้จำเป็นยิ่งกว่าข้าวปลาอาหารที่เรากินอยู่ทุกวันเสียอีก เราไม่ได้กินข้าวปลาอาหารมันอาจจะตายก็ได้ แต่มันไม่สูญเสียความเป็นมนุษย์ เราลองไม่มีธรรมะเถิด เราจะสูญเสียความเป็นมนุษย์ ไม่มีความเป็นมนุษย์ แล้วอย่างไหนมันจะร้ายแรงกว่ากัน ธรรมะจำเป็นสำหรับความเป็นมนุษย์ยิ่งกว่าสิ่งใด ต่อเมื่อมีชีวิตแล้วจึงค่อยหาอาหารกิน หาเสื้อผ้ามานุ่งห่ม หาบ้านเรือนอยู่ หาอะไรต่างๆ ตามที่จะต้องมี แต่ให้เป็นมนุษย์กันเสียก่อน อย่าเป็นแต่เพียงสักว่าคนเลย มันไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานกี่มากน้อย นั้นถ้ามีชีวิตอยู่ก็ขอให้มีชีวิตอย่างมนุษย์เถิด อย่ามีชีวิตอย่างคนสักว่าคนนี้เลย นี่เป็นมนุษย์เป็นได้เพราะใจมันสูงสมกับคำว่ามนุษย์ มีแสงสว่างที่จะอยู่เหนือกิเลสและเหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวงนี้เรียกว่าเป็นมนุษย์ มาปรึกษาหารือกันอย่างนี้ทุกปีก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นใจ หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะเข้าใจ และคงจะพอใจในการที่ได้มาปรึกษาหารือกันด้วยเรื่องนี้เป็นประจำปี แล้วก็เอาไปกระทำให้มันมีความหมาย ให้ความฝันนั้นกลายเป็นความจริงขึ้นมา สั่งสอนลูกหลานเล็กๆทั้งหลายให้มีความเข้าใจข้อนี้ถูกต้องข้อนี้ยิ่งๆขึ้นไป ไม่เท่าไรทุกหนทุกแห่งก็จะประกอบไปด้วยศีลธรรมหรือธรรมะ มีความสงบสุข ทำโลกนี้ให้เป็นโลกของพระศรีอาริย์ได้ทันเห็นทันตา
หวังว่าพุทธบริษัททุกคนคงจะเข้าใจข้อความดังที่ได้กล่าวมานี้ และเมื่อเห็นแก่พระพุทธองค์ เพื่อจะสนองพระพุทธประสงค์ก็ดี เพื่อจะบูชาพระคุณอันใหญ่ยิ่งของพระองค์ก็ดี จงช่วยกันกระทำอย่างนี้ คือให้ธรรมะกลับมาครองโลกเป็นแสงสว่างสำหรับโลก มีจิตใจหลุดพ้นจากกิเลสและความทุกข์ ลุถึงสิ่งที่เรียกว่าโมกข์ อย่างที่ท่านตั้งใจจะมาเยี่ยมสวนโมกข์ให้ได้ความหมายของคำว่าโมกข์กลับไปดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ทั้งหมดนี้เป็นความหวัง เป็นความประสงค์ของทุกคน ควรจะเป็นของทุกคนและร่วมกันทำให้เกิดความสมประสงค์ขึ้นมา เพราะเหตุที่ว่าเรายังมีความเชื่อ ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ถือพระรัตนตรัยเป็นหลักประจำใจอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ขอให้เป็นผลสำเร็จตามความประสงค์ทุกๆ ประการ ธรรมเทศนาวิสัชนา สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงนี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้