แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านทั้งหลายผู้ทําหน้าที่ที่เรียกกันว่า ผู้นําอนุกาชาด การที่ท่านทั้งหลายที่ได้มาที่นี่ในวันนี้ ในสภาพอย่างนี้ อาตมาก็รู้สึกยินดี เมื่อได้รับการขอร้องว่า จะต้องพูดอะไรบางอย่างที่เห็นว่าเหมาะสมก็ขอถือโอกาสพูดเกี่ยวกับธรรมะที่จะเกี่ยวกันกับกิจกรรมอนุกาชาดได้อย่างไร รวมทั้งยุวชนจะต้องประกอบด้วยธรรมะอะไร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย
เดี๋ยวนี้เรากําลังมีปัญหาที่สําคัญที่สุด แล้วก็ไม่รู้ว่า มันเป็นปัญหาด้วยซ้ำไป ข้อนี่ก็คือการศึกษาที่ยิ่งเจริญก็ยิ่งไม่แก้ปัญหาของมนุษย์ การพูดนี้ไม่ใช่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์หรือว่าติเตียน อะไรใครก็ไม่ใช่ แต่เป็นการชี้ให้เห็นว่า เดี๋ยวนี้มนุษย์กำลังมีปัญหาในข้อที่ว่า ยิ่งมีการศึกษา ยิ่งไม่มีสันติภาพ ไม่มีสันติสุข ไม่มีสันติสุขส่วนบุคคล ไม่มีสันติภาพในส่วนรวม ทุกคนก็จะมองเห็นได้ด้วยตนเอง ถ้าเราตั้งใจจะมอง จะพิจารณาในทางมองจากเหตุการณ์นั้นๆ จากการอ่าน จากข่าวสารที่มีมาจากทั่วโลกว่า มนุษย์เราในเวลานี้ไม่มีความปลอดภัยยิ่งขึ้น ไม่มีสันติสุขส่วนบุคคลยิ่งขึ้น แต่การศึกษาก็ถือกันว่า เจริญมากขึ้น เป็นปัญหาที่มืดมัว กระทั่งบางคนไม่มองว่านี่เป็นปัญหาที่เราจะต้องพิจารณาดู การเห็นง่ายให้สังเกตข้อนี้ ก็คือ เพื่อจะให้ทุกคนมองเห็นว่าการศึกษานี้มันประหลาดเสียแล้ว นี่มันไม่พอเสียแล้ว การศึกษาทั้งโลกเขาก็ถือกันว่า ก้าวหน้าที่สุด มันก็วิ่งด้วยเหมือนกัน เราไม่เห็นด้วยในข้อที่พูดว่า มนุษย์คือสังคมที่มันเปลี่ยนแปลงมาก เร็วจนเกินไปจนการศึกษาตามไม่ทัน แต่เรามันมีการมองเห็นว่า มันมีการศึกษาที่ไปคนละทิศคนละทาง ต่อการที่จะแก้ปัญหาของมนุษย์ในโลกนี้ได้ ไม่ใช่ว่ามันไม่ได้จัดให้มากหรือให้พอหรือให้ทันกัน ไม่ได้เป็นอย่างนั้นมันกลับไปเสียคนละทาง ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็รู้ว่าการศึกษามันเปลี่ยนแปลงไปมาก มันก็วิ่งเหมือนกันแหละ ตามหลังฝรั่ง ตามหลังพวกชาวตะวันตกที่เราไปถือว่า เขาไปเจริญก้าวหน้า สรุปความว่าเราไปตามหลังพวกฝรั่งเรื่องการศึกษา ถ้าการศึกษามันจัดถูกต้องดี มันต้องแก้ปัญหาของโลก ของมนุษย์ได้ วิชาตะวันตกเองมันก็ยิ่งยุ่ง ยิ่งไปกว่านั้นอีก ก็คือว่า ไม่มองเห็นว่ามันมีศีลธรรมดีขึ้น บางทีจะมีศีลธรรมเลวลง ตามความรู้สึกของอาตมารู้สึกว่า ฝรั่งก็มีศีลธรรมเลวลง ฝรั่งในสมัยที่ผู้หญิงเขานุ่งกระโปรงยาวถึงตาตุ่ม สวมเสื้อแขนยาวถึงข้อมือนี้มีศีลธรรมดีมากกว่าฝรั่งสมัยนี้ซึ่งเกือบจะไม่นุ่งผ้าแล้วสำหรับผู้หญิง ดังนั้นเราก็ลองดู พิจารณาดูว่า มันจะตามกันไปได้อย่างไร ในส่วนการศึกษาแต่ว่ามันไม่ใช่ตามไปแต่เพียงส่วนการศึกษา มันตามไปในส่วนวัฒนธรรมประเพณีอะไรด้วย มันยิ่งหมดทั้งสองอย่าง สําหรับการศึกษาก็นับว่า ดีในส่วนที่ให้เกิดความรู้ ความเฉลียวฉลาด สามารถประกอบอาชีพได้อย่างดี นี่ดีแน่ในส่วนการศึกษา ส่วนการศึกษามันก็มีอย่างนั้นและมันก็มีส่วนร้าย ส่วนเสีย ที่ว่าการศึกษาอย่างนั้นอย่างเดียวก็ทำให้คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว เห็นแก่เงิน เห็นแก่ความสนุกสนาน ทางวัตถุ ที่เรียกว่า ทางเนื้อทางหนัง มันก็เลยไม่มีรากฐานของศีลธรรม ศีลธรรมมันก็เสื่อมไป จะหาว่าการศึกษาชนิดนี้ทําลายศีลธรรม ก็ไม่ถูกนักแต่มันก็ถูกโดยอ้อม ถ้ามัวแต่ศึกษาชนิดที่เห็นแก่ตัว มันก็ทําลายศีลธรรม ก็ไม่โทษการศึกษา ไม่ใช่ความผิดของการศึกษาแต่ว่ามีหน้าที่ทําให้ฉลาดสามารถ แต่เพราะเหตุที่มันศึกษาแต่อย่างนั้นอย่างเดียว ความฉลาดสามารถในการแสวงหาประโยชน์เป็นวัตถุ มันก็มีมาก คนก็เลยไปบูชาวัตถุและก็ละเลยศีลธรรม ศีลธรรมมันก็เสื่อมไป เพราะมีแต่การศึกษาชนิดนั้น ถ้าเป็นสมัยโบราณ การศึกษาเขาไม่ให้เรียนเฉพาะวิชาความรู้ที่ทําให้ฉลาดสามารถอย่างเดียว เขาก็เรียนอีกอย่าง อีกส่วนหนึ่งคู่กันไป คือ เรื่องเกี่ยวกับจิตใจที่เรียกกันว่า เรื่องศีลธรรม นี่ประกอบกับว่า สมัยโน้น สิ่งยั่วยวนให้คนมีความหลงใหล มันไม่มีมากหรือมันไม่มีทีเดียวก็ว่าได้ นี่น่าจะมีการศึกษาชนิดที่ไม่ได้พูดกันเรื่องศีลธรรมมากนัก มันก็ไม่มีอะไรไปยั่วยวนให้ผิดศีลธรรม วิธีที่ดีกว่านั้นอีกก็คือว่า มันมีศีลธรรมอยู่ในเลือดในเนื้อของมนุษย์สมัยนั้นเอง คือ ในบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย เขามีสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรม อยู่ในเลือดในเนื้อโดยไม่รู้สึกตัว คือ มันอยู่ในประเพณี อยู่ในวัฒนธรรม อยู่ในที่ประพฤติกันอยู่โดยไม่ต้องบอกต้องสอนกันอยู่ คนมีความเมตตา กรุณา รักใคร่ เอ็นดูซึ่งกันและกัน โดยไม่บอก ไม่ต้องขอร้อง ไม่ต้องอะไรกัน แค่นี้ก็มีศีลธรรมอยู่ในสายเลือด ทีนี้ต่อมาๆ มันถูกยั่ว ถูกดึง ถูกจูงไปในทางการศึกษาที่ทําให้คนเฉลียวฉลาดอย่างเดียว ก็ละเลยเรื่องศีลธรรมทีละนิดๆ ไม่กี่ชั่วคน วัฒนธรรมที่ดี ประเพณีที่ดีมันก็หายไปๆ คนเราก็มีแต่เรื่องฉลาดเฉลียวในการที่จะประกอบกิจการงาน มันก็ได้โอกาสที่จะไม่มีศีลธรรม ก็พอดีกับสิ่งยั่วยวนมันมีขึ้นมากเต็มไปหมด ก็เขาเจริญก้าวหน้าแต่ในทางนี้ มันก็ยิ่งทําให้ไม่มีศีลธรรม ในเมืองฝรั่งเอง เขาก็ยืนยันกันว่า มันก็ไม่มีอะไรน่านับถือ น่าเลื่อมใสในแง่ของศีลธรรม มันคอยอ่านหนังสือข่าวต่างๆ ดูที่มาจากทั่วโลกว่ามันเป็นอย่างไร มันมีศีลธรรมกันอย่างไร ที่พูดตอนนี้ก็เพื่อจะชี้นิดเดียวว่า การศึกษาที่ไม่มีการสอนศีลธรรมพร้อมกันไปด้วยในตัวนั้นเป็นอันตรายแก่มนุษย์ การศึกษาที่ทําให้โลกนี้ไม่มีปูชณียบุคคล ไม่มีบิดามารดา ไม่มีพระเจ้า ไม่มีศาสนา มองให้เห็นข้อเท็จจริงอันนี้ก่อน เพราะไม่อย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดต่อไปและเป็นการยากที่จะมอง
คนที่มีอายุเพียง ๓๐ ปีนี่จะมองไม่เห็น เพราะความเปลี่ยนแปลงมันมีมาก คือว่า หลายสิบปีกว่านั้น ไม่เคยเห็นการเป็นอยู่อย่างที่เรียกว่า มีศีลธรรมอยู่ในเลือดในเนื้อหรือในขนบธรรมเนียมประเพณี สมัยโบราณบ้านไม่ต้องใส่กุญแจจะไปไหนก็เพียงแต่งับประตูไว้ มันก็ปลอดภัยอย่างนี้ คนอายุเท่านี้ไม่เคยเห็น เพราะการที่จะประกอบอาชญากรรมอย่างน่าสมเพชเวทนาอย่างเดี๋ยวนี้นั้น มันไม่มี เพียงไม่กี่ปีมานี้ก็ยังพอจะมองเห็นว่าเจ้าของบ้านนอนอยู่ใต้ถุนบ้าน บนแคร่ บนร้าน เฝ้าวัว เฝ้าควายไปได้ โดยไม่ต้องมีคอก มีซุ้มอะไร ก็ยังได้ เดี๋ยวนี้คนเขานอนไม่ได้ คือ นอนอย่างนั้นก็มีคนมายิงตายหรือว่าวัวควายล่ามโซ่ผูกคออยู่มันก็ยังมาดึงเอาไปได้ มันเปลี่ยนอย่างนี้ในทางศีลธรรม
อยากจะเล่าเรื่องหนึ่งไว้บ่อยๆ ก็อย่าให้ลืมกันเสีย โดยเฉพาะคนรุ่นหลังอย่างนี้ว่า เมื่ออาตมามาเป็นเด็กๆ ถ้าจะปลูกต้นไม้ลงไปในดินต้องวาดคาถา ผู้ที่โยงเขาบอกให้วาดคาถา มันจะมีลูกดกหรือมันจะได้ผลดีที่สุด คาถานั้นก็ว่า “นกกินเป็นบุญ คนกินเป็นทาน” จะปลูกกล้วย ปลูกสับปะรด ปลูกอะไรก็ตาม เมื่อเอาหน่อพืชลงหลุม มันต้องว่าคาถา สองหนสามหนจึงจะเอาหย่อนลงไปในหลุมแล้วกลบดิน “นกกินเป็นบุญ คนกินเป็นทาน” เดี๋ยวนี้ได้ยินไหม? คนรุ่นนี้ได้ยินไหม? เคยเห็นไหม? เคยทําไหม? อาตมาเคยทําด้วยตัวเองและก็เห็นคนทําทั่วๆ ไป ถ้าสิ่งที่เราปลูกลงไปนี้ ถ้านกกิน เราได้บุญ หรือว่าจะสัตว์อะไรก็ตาม ใช้คำว่า นก อาจจะเป็น อีเห็น เป็นสัตว์ชนิดใดมาเจาะมากิน เราก็ได้บุญ ถ้าคนมาขโมยมากินเราก็ยกให้เป็นทานไปเลย ไม่ได้บอกตํารวจมาจับ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ยิน ไม่เห็น ก็คิดดูว่าคนมันเปลี่ยนไปอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็มีจิตใจชนิดเดียว ถ้านกมาเอาปืนมา ไปขโมยมาก็เอาปืนมาหรือว่าไปจับ ไปบอกเอาตํารวจมา มันก็เป็นอย่างนี้ไม่ได้อุทิศให้ตั้งแต่ทีแรกว่า เราก็ได้ทําเผื่อนก เผื่อเพื่อน เผื่อฝูง อะไรเสร็จส่วนที่เหลือก็เป็นของเราได้
ดู ให้สังเกตดู การกระทําที่ปรากฏออกมาอย่างนี้ ก็ดูให้ลึกลงไปในจิตใจของมนุษย์สมัยนั้นว่า เขาคิดกันอย่างไร ถึงไม่เบียดเบียนกัน ดังนั้นคนจึงนอนใต้ถุนบ้านได้ ไม่มีใครมายิงตาย เดี๋ยวนี้นอนบนเรือนในห้องในหับมิดชิดแน่นหนาก็ยังมีคนตามขึ้นไปปล้น ไปฆ่า นี่เรียกได้ว่า รากฐานของศีลธรรมมันได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะเหตุอย่างที่ว่ามาแล้ว ถ้าการศึกษามันก็มีแต่เรื่องทําให้คนฉลาด ไม่ได้มีเรื่องทำให้คนมีศีลธรรม ส่วนการศึกษาที่ทําให้เห็นแก่ตัว ไม่มีธรรมะ ไม่มีศาสนารวมอยู่ในการศึกษา ถ้าเป็นสมัยโบราณการศึกษาก็พระจัด วัดวาอารามจัดและที่เมืองนอกก็เหมือนกัน การศึกษาอย่างสูงสุดอย่างพวกฝรั่งมหาวิทยาลัยต่างๆ ทีแรกๆ ก็พระจัดทั้งนั้น ต่อมาเขาจึงดึงเอาการศึกษาออกมาจากวัด อย่างแม้แต่ในประเทศไทยนี้ เมื่อก่อนโรงเรียนก็อยู่ในวัด ก่อนมีโรงเรียนก็พระสอนทั้งนั้นและด้วยดีแต่ว่ามันผิด มันต่างกันอย่างไร อาตมาจะบอกสักคําหนึ่งว่า ศีลธรรมมันยาก ตอนเด็กๆ สมัยที่เรียนอยู่ในโรงเรียน ศาลาวัดตล๋องแตล๋งงั้นแหละ มีศีลธรรมดีกว่านักเรียนสมัยนี้ ซึ่งเรียนบนโรงเรียนเป็นตึกมีราคาแสน ราคาล้าน จริงไม่จริง สอบถามกันดู ไปสืบถามกันดู บางคนก็ยืนยันว่า แม้แต่วิชาความรู้หนังสือนั่นแหละ สมัยโรงเรียนอยู่ตามศาลาวัด พวก ป. ๔ ด้วยกันยังรู้หนังสือมากกว่าพวก ป. ๔ ที่เรียนโรงเรียนเป็นตึกหรือเป็นอาคารสวยงาม เป็นอันว่าทั้งความรู้และทั้งศีลธรรมมันลดลงๆ ยิ่งเอาโรงเรียนออกจากวัด มันก็ยิ่งมีอะไรที่ทําให้เปลี่ยนไปมากขึ้นในทางที่จะไม่เกี่ยวกับศีลธรรม อย่างเช่น อยู่ใกล้วัดวาอารามหรือว่าสมัยก่อนที่ทางวัดจัดเอง มันอยู่ใกล้ศีลธรรม
ทีนี้อีกที่หนึ่งอยากจะให้สังเกตก็คือว่า การเรียนในโรงเรียนสมัยก่อน ก็มีเรื่องธรรมะ เรื่องศีลธรรม เรื่องศาสนา เรื่องอะไรเจืออยู่มากเป็นวิชาที่เรียนพร้อมๆ กันไป และต่อมาเขาก็ค่อยเอาวิชาศาสนานี้ออกไปๆ จากหลักสูตรการเรียน อย่างที่อาตมาเคยสังเกตเห็นเองว่า เมื่อตัวเองเรียนเป็นเด็กเล็กๆ รู้สึกว่ามันเรียนเรื่องเกี่ยวกับศาสนาอยู่มากกว่าสมัยนี้มาก นี่ก็เพราะว่าเราโง่ไปตามก้นพวกฝรั่งอยู่เหมือนกัน คือ พวกฝรั่งเขาถือว่า เรื่องวิชาธรรมะวิชาศาสนามันเป็นเรื่องส่วนบุคคล ใครต้องการไปหาเอาเอง เดี๋ยวนี้เขาต้องการจะสอนแต่วิชาความรู้ที่มันเป็นสามัญทั่วไปให้คนมีความรู้หนังสือ ให้คนเฉลียวฉลาดในวิชาทั้งหลายแล้วเราจะเป็นผู้สามารถในการงาน ในหน้าที่ ประกอบอาชีพให้ดีหรือทําหน้าที่สําคัญๆ ได้ ส่วนเรื่องธรรมะ เรื่องศาสนานั้นแยกออกไปไว้เป็นเรื่องของบุคคล ในเมื่อใครอยากจะรู้ธรรมะ อยากจะมีธรรมะ มีศาสนาเป็นของตัวก็ไปหาเอาจากโบสถ์ จากวัดหรือศึกษาเอาเป็นส่วนตัว เป็นแผนกหนึ่งต่างหาก กล่าวสั้นๆ ก็คือว่า แยกการศึกษาทางธรรมหรือทางศาสนานี้ออกไปเสียจากการศึกษาสามัญทั่วไป คือ เขาจะเรียกกันว่า Secularization คือ แยกการศึกษาธรรมะออกไปจากการศึกษาทั่วไป เดี๋ยวนี้ยิ่งเป็นอย่างนี้หนักขึ้น ถามถึงหลักสูตรการศึกษาของเมืองนอก พวกต่างประเทศเขาดูจะไม่มีเรื่องของศาสนาเหลือให้อยู่เลย ในประเทศไทยยังมีเหลืออยู่บ้างก็ยังหาทํายาหยอดตาได้ ในวิชาศาสนาที่สอนในหลักสูตรการศึกษา ไปตามก้นฝรั่งแล้วก็เป็นอย่างนี้ แยกศึกษาธรรมะ ศึกษาศาสนาออกไปเสียจากการศึกษา มันก็มีปัญหาขึ้นมาว่า ลูกเด็กๆ ที่โตขึ้นมาลักษณะอย่างนี้ มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องธรรมะเรื่องศาสนาที่เพียงพอ เมื่อโตขึ้นมาเป็นคนที่เฉลียวฉลาดปราดเปรื่องในส่วนวิชาสามัญทั่วไป ดังนั้นขอให้คิดดูว่า มันจะเป็นอย่างไร มันจะต่างกันอย่างไร มีแต่ความฉลาดและก็ไม่มีความรู้ที่จะควบคุมความฉลาดให้เดินไปถูกทาง มันเหมือนกับรถหรือเรืออะไรก็ตามที่มันมีกำลังเร็วมากและก็ไม่มีเครื่องควบคุมให้มันเดินไปถูกทาง มันก็เปะปะไปตามเรื่องของมัน มันก็ต้องลงคลองลงเหว ลงอะไรต่างๆ แน่นอน เมื่อเรามีการศึกษาอย่างสมัยเดี๋ยวนี้ เฉลียวฉลาดแต่ไม่มีสิ่งที่ควบคุมความฉลาดให้อยู่ในร่องในรอย ฉะนั้นจึงเห็นคนที่จบการศึกษามาแล้ว ชั้นสูง ชั้นเลิศอะไรมาแล้วทําผิดอย่างไม่น่าทํา ทุจริตอย่างไม่น่าทุจริต คอรัปชั่นอย่างไม่น่าคอรัปชั่นอะไรก็ตาม เพราะมันมีแต่ความฉลาด มันไม่มีธรรมะอยู่ในใจสำหรับควบคุมความฉลาด มันเป็นอย่างนี้ เราอย่าไปเข้าฝูงกับเขาเลย เพราะว่าไหนๆ ก็จะมีกิจกรรมอนุกาชาด ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันก็ตั้งเพื่อแก้ไขปัญหา แก้ไขความเลวร้าย ส่วนที่ขาดศีลธรรมนั่นเอง ที่ผู้นำอนุกาชาดนี่นำเขาไปทางไหน ที่เป็นลูกเสือก็ดี อนุกาชาดก็ดี อะไรที่มันคล้ายๆ กันก็ดี มันจะทำอะไรกัน มันจะไปกันทางไหน ก็เห็นอยู่แล้วว่า มันไม่ใช่เรื่องการศึกษาในห้องเรียนตามธรรมดาสามัญ มันมีความมุ่งหมายที่จะให้ทำอะไรอีกอย่างต่างหาก เช่น อนุกาชาดจงรักภักดี ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือว่าจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม จะบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น กระทั่งว่าจะเป็นผู้มีอนามัยดีด้วยกันทุกคน นี่มันเป็นเรื่องที่แยกแขนงออกมาจากการศึกษาหนังสือ วิชาหนังสือ
ขอให้รู้แต่ว่านั่นแหละมันเป็นเรื่องจะชดเชยกันกับเรื่องศีลธรรมที่มันขาดไปในการศึกษาสามัญทั่วไป หัวข้อฝึกฝนต่างๆ ที่เขาจะฝึกฝนให้แก่ลูกเสือก็ดี อนุกาชาดก็ดี มันเป็นเรื่องศีลธรรมและยังเป็นเรื่องที่ต้องการให้ทำจริงๆด้วย ไม่ใช่เพียงแต่เรียนก็ดูคล้ายๆ กับว่าเป็นเรื่องทำตามๆ กันไปอีก เดี๋ยวจะถ่ายทอดมาจากพลังเล็กๆ ทั้งนั้น ไม่ว่ากิจกรรมลูกเสือก็ดี กาชาดก็ดี อนุกาชาดก็ดีก็เป็นการทำตามๆ ที่ว่าพวกฝรั่งเขานิยมกัน มันก็เลยไม่ได้ดีมากไปกว่านั้น คือ มันเพียงสักว่าทำตามๆ ไม่ได้ทำด้วยเจตนาแท้จริง ๑๐๐ % ด้วยการมองเห็นประโยชน์และทำ และจะดูที่พวกฝรั่งทำ ก็น่าหัว กิจการลูกเสือ เขาไปถ่ายหนังมาให้ดู มันเล่นหัวกันอย่างลิง อย่างค่างทั้งนั้นแหละ ที่จะมีการอบรมศีลธรรมโดยแท้จริง กริยามารยาทมันไม่มี เพราะตลอดเวลามันเล่นหัว มันร้องเพลงอะไรต่างๆ นี้ จะมีผลในการจงรักภักดีประเทศ ชาติ ศาสนา มหากษัตริย์หรือบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นได้อย่างไร แม้แต่อนามัยดีก็ยังไม่ค่อยจะได้ เพราะว่าเราเล่นหัวและร้องเพลงมากเกินไป ถ้ามีความบริสุทธิ์ใจในการที่จะปฏิบัติตามอุดมคตินี้จริงๆ แล้วมันควรจะพิจารณาข้อนี้แหละ ต้องลดเรื่องเล่นหัว เพราะเล่นหัวทำให้เห็นแก่ตัว เล่นหัวทำให้จิตใจมันลอย ไปตามอารมณ์หรือตามความรู้สึกที่มันไม่มีการควบคุม ถ้ามีระเบียบชนิดที่ทำให้บึกบึน เข้มแข็ง คิดมาก พิจารณามาก หัวเราะน้อยนี้อย่างนั้นแหละ ทำให้เกิดผลสมตามความมุ่งหมาย ซึ่งเราควรจะเป็นไทยกันบ้างแล้ว
ถ้าจะจงรักภักดีต่อประเทศ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็ขอให้นึกถึงคำว่า ไทย บ้าง ประเทศไทย ชาติไทย พระมหากษัตริย์ไทย อะไรก็เป็นไทย ควรจะเป็นไทยกันบ้าง ถ้าไปตามก้นฝรั่งแล้วก็หมดความเป็นไทย ขอให้เข้าใจว่า การสูญชาตินั้นไทยมันมี ๒ ชนิด สูญชาติไทยในทางการเมือง หมายความว่า เราต้องเป็นข้าเขา เขาชนะเรา เขาควบคุมเรา เอาเราเป็นเมืองขึ้นอย่างนี้ สูญชาติไทยทางการเมือง ทีนี้ยังมีสูญชาติไทยอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นอย่างนั้น คือ สูญทางจิตใจหรือทางวัฒนธรรม เราไปทําตามอย่างฝรั่งหมด บูชาฝรั่งหมด ทุกอย่าง ทุกประการ ไม่มีอะไรที่เป็นไทยเหลือ ไม่ได้แต่งเนื้อแต่งตัว จะเป็นอยู่ให้มันเป็นฝรั่งไปเสียให้หมด อย่างนี้มันก็สูญชาติไทยในส่วนจิตใจและในส่วนวัฒนธรรม แม้ว่าไม่สูญชาติไทยในทางการเมืองแต่มันก็สูญชาติไทยในส่วนจิตใจ หมดความเป็นไทยเหมือนกัน และสูญชาติไทยทางจิตใจนี่ มันจะนำไปการสู่สูญชาติไทยในทางการเมือง ถ้าจิตใจของเราไปบูชาเขาหมดจนไม่มีวัฒนธรรมไทยเหลือไว้เท่าไร ในบ้านเมืองนี้ก็จะเป็นข้าเขาด้วยตามมาเอง มันจะสูญชาติทั้งทางการเมืองและทางจิตใจ อย่างนี้ด้วยดูให้ดี เราจะไปสอนลูกเด็กๆ ในฐานะเป็นครูบาอาจารย์จะไปสอนเด็กๆ ให้จงรักภัคดีต่อประเทศชาตินั้น มันคือทำอย่างไร ก็ได้ ก็เอาประเทศชาติไว้ให้ได้ เป็นของไทยอยู่เสมอ อย่าไปทำให้สูญชาติในทางใจ ทางวัฒนธรรมและลามออกมาถึงทางภายนอก ทางการเมือง ทั้งพระมหากษัตริย์ จะเป็นผู้นำในทางที่จะรักษาชาติไทย ประเทศไทยไว้ให้ได้ นั่นก็ยังอยู่ในฐานะที่จะต้องสนับสนุนท่าน แต่สนับสนุนก็เพื่อให้ประเทศชาติยังอยู่
กิจกรรมอนุกาชาดในเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักชาติก็ทำกันให้ได้ผล มัวหัวเราะเรื่อย ร้องเพลงเรื่อย ไม่มีทางที่จะรักษาชาติในทางจิตใจไว้ได้และก็ยิ่งรวนเร ยิ่งอ่อนแอ ที่ว่าจะบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่น จะรักใคร่ผู้อื่น นี่ก็เหมือนกันอีก มันต้องเป็นเรื่องเสียสละ มันต้องฝึกฝนการเสียสละทุกอย่างทุกประการ มันจึงจะทำประโยชน์ผู้อื่นได้ ถ้าไม่ฉะนั้นก็เห็นทำแต่ปาก พร้อมก็พร้อมกันบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่น ร้องแต่ปากก็ได้ แต่ว่าไม่ได้ทำอะไรที่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะเราอยากร้องเพลง อยากหัวเราะ อยากเต้นรำมากกว่า ถ้าสงเคราะห์ผู้อื่นก็สงเคราะห์ให้เขาร้องเพลงเก่ง เต้นรำเก่ง เล่นหัวเก่ง มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร มันต้องฝึกหัดเสียสละตามหลักธรรมะ พระพุทธเจ้าสอนให้เสียสละ ศาสนาไหนก็เหมือนกัน ยิ่งสอนให้เสียสละ ถ้าพวกฝรั่งเขานับถือศาสนาคริสต์เตียนอย่างเคร่งครัดตามพระเยซูสอน โลกไม่เป็นอย่างนี้ พระเยซูสอนให้เสียสละ ให้รักผู้อื่นยิ่งกว่าตัวหรืออย่างน้อยก็เท่ากับรักตัว พวกยิวก่อนพระเยซู เขาสอนว่า ฟันต่อฟัน ตาต่อตา ถ้าเขาทำร้ายเราเท่าไร เราก็ทำร้ายเขาเท่านั้น พอมาถึงพระเยซู เขาสอนตรงกันข้าม ถ้าเขาตบแก้มซ้ายก็ให้เขาตบแก้มขวาด้วย อย่าโกรธ เขาขโมยเสื้อไปแล้ว เอาผ้าห่มไปให้ด้วย อย่าพาขึ้นศาล อย่าจับตัวไปส่งศาล นี่พวกฝรั่ง เขาถือกันอย่างนี้หรือเปล่า ถืออย่างพระเยซูสอนหรือเปล่า ทีนี้เขาสอน เขาจะถืออย่างยิวโบราณก่อนหน้านั้น ฟันต่อฟัน ตาต่อตา เขาทำอย่างไร เราทำอย่างนั้น เขาชกเราฟันหักซี่ เราชกเขาฟันหักซี่หนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้มันยิ่งไปกว่านั้นอีก คือ เขาชกเราฟันหักซี่ เราจะชกเขาให้หักร้อยซี่ สิบซี่เลย สิบซี่หรือทั้งปากเลย ไม่ใช่ฟันต่อฟัน ตาต่อตาแล้ว ที่นี่ทำอย่างไร ศีลธรรมในโลกเวลานี้มันไม่ใช่ฟันต่อฟัน ตาต่อตาแล้ว มันมากกว่าแล้ว มันก็เกิดการแก้แค้นกันไป แก้แค้นกันมา แก้แค้นกันไปทั้งโลก โลกก็เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่บำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นเลย ถ้ามาชักชวน เกลี้ยกล่อมให้กันก็เอาเป็นไปพวกสำหรับต่อสู้รบราฆ่าฟันกัน ไม่ใช่ว่าสงเคราะห์กัน นี่ก็ให้คิดดูดี บำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่น มันต้องเสียสละ คำว่า เสียสละ นี่ยังไม่เข้าใจกันอยู่ คือ เสียสละให้ผู้อื่นได้รับความสุข ไม่ใช่ไปซื้อเขามาเป็นพวกเรา แล้วไปหาอุบายวิธีกอบโกยกันให้มากกว่านั้นอีกเอาไปเอามาเป็นของตัว เราจะเสียสละนั้น เราจะต้องลด ฝ่ายของเรา ลดความสุขของเราไปเจือจานผู้อื่น แต่ก็ไม่ใช่ถึงกับว่าเราต้องตาย ตามหลักพระพุทธศาสนานี่สอนให้มีอะไรพอที่สมควรจะมี นอกนั้น มันก็เป็นของผู้อื่นไปเองถ้าเราอย่าเอา ถ้าทุกคนเอาแต่เท่าที่พอสมควรและมันก็จะเหลืออยู่มากกว่านี้มาก เจือจานไปถึงคนอื่น ก็ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องว่าคนที่รํ่ารวยที่สุดกับคนที่ยากจนที่สุดจะต้องต่อสู้กันไป อย่างนายทุนกับชนกรรมมาชีพ อย่างนั้นก็ไม่เกิดขึ้น เดี๋ยวนี้มันกอบโกยเอามาไม่มีขอบเขตและก็ไม่ถูกต้อง อาศัยที่ว่าประชาธิปไตยใครทำได้ก็ทำเอา คนที่มีกำลัง มีอำนาจมีอะไร มันก็เอามาก คนฉลาดก็เอามาก คนโง่มันก็เอาไม่ค่อยจะได้หรือเอาไม่ได้เลย มันก็เกิดความแตกต่างกันอย่างสูงสุด คือ รวยก็รวยจนไม่รู้ว่าจะรวยอย่างไร ไปแข่งกับเทวดาก็ยังได้ ที่จนก็จนจนไม่รู้จะทำอย่างไร แล้วโลกนี่มันจะอยู่กันอย่างผาสุกได้อย่างไร
หัวใจของธรรมะในทุกศาสนา มันต้องการให้ช่วยเหลือผู้อื่น เห็นแก่ผู้อื่น เราอย่าเอาส่วนที่มันเกิน เอาแต่ส่วนที่เราควรจะเอาตามสมควร มันก็จะเหลือไปเจือจานกันไปเอง ความอยู่กันอย่างไม่มีใครเอาส่วนเกินนี่เป็นธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด คือ ความผาสุก เราจงสังเกตดูตามธรรมชาติมันไม่มีอะไรที่เอาส่วนเกิน ต้นไม้นี่มันก็กินนํ้าเท่าที่รากและต้นมันกินได้ มันไม่มีถังนํ้าสำหรับเก็บไว้ต่างหาก หรือว่าสัตว์ นก หนู ต่างๆ มันก็กินเท่าที่กระเพาะมันมี มันไม่มียุ้ง มีฉาง มันก็กินได้เท่าที่จำเป็นจะกิน เอาเท่าที่จำเป็นจะกิน ไม่มียุ้งฉางไปกักตุนไว้ พอมาถึงคนในตอนแรกๆ มันก็คงจะไม่มียุ้งฉาง สมัยโบราณคนป่า สมัยหินไม่มียุ้งฉาง มีกระเพาะนั่นแหละ กินเท่าไรก็เท่านั้น มันก็ไม่มีการกักตุนส่วนเกิน มันก็ยังอยู่กันไปได้ ก็เกิดมีอยู่เป็นที่ มีบ้านมีเรือน เกิดมียุ้งมีฉาง มันก็เริ่มเอาส่วนเกิน ของที่มีอยู่ในป่ามันก็ดี มันเอามาเป็นส่วนเกิน ความโลภมันก็มีมาก มันก็ถึงกับทำลายทรัพยากรของธรรมชาติ กอบโกยมาเป็นส่วนเกิน มันก็สูญหายไปหมด ก่อนแต่ที่เราสมัยนี้จะได้เห็น เมื่อเราเป็นเด็กๆ ที่ชายทะเลลงไปทางนั้น มันเต็มไปด้วยผลไม้ป่าที่ขึ้นหน้าขึ้นตาอยู่ ๒ ชนิด คือมะปริงกับมะม่วง เต็มไปหมด จนไม่รู้จะเอาไปไหน และก็ต่อมามันก็มีคนอย่างที่ว่านี่แหละ แทนที่มันจะเก็บเอาแต่ลูก มันก็โค่นต้นลงมาเพื่อจะเอามะปริงป่าหรือมะม่วงป่า มันโค่นต้นลงมาและไม่เท่าไรมันก็หมด กระทั่งมันทำลายป่านั้นเสียเป็นประโยชน์อย่างอื่น ของเหล่านั้นมันก็หมดไป ไม่เหลือให้เห็น เมื่อกว่า ๔๐ ปีมาแล้วสัตว์ป่าหน่อยก็ได้ ถ้าเราเดินขึ้นไปทางทิศตะวันตก ไป โมธ่าย-ปากหมาก (นาทีที่ 40.48.5) มันก็จะผ่านดงมะไฟซึ่งเป็นของป่าจะเหลียวไปทางไหนก็เหลืองเหมือนกับผ้าเหลืองอย่างนั้นแหละ เดินไปตั้ง ๑๐ นาที ๒๐ นาที มันก็ยังเห็นมะไฟสล่าง เดี๋ยวนี้ไม่มีให้ดูแล้ว ที่ลองนึกถึงเมื่อหลายร้อยปี พันปี มันจะเป็นอย่างไร นี่มันเป็นเรื่องของมนุษย์มันทำลายธรรมชาติอย่างไร ตัวอย่างของการที่ว่า สิ่งที่เกิดอยู่ในป่า มันถูกกอบโกย ถูกทำลาย เดี๋ยวนี้ก็ยังมี ถ้าใครจะเอาผลไม้ป่า สะตอ หรืออะไรก็ตามที่เขาเป็นของในป่าที่ยังไม่มีเจ้าของโดยตรง มันก็โค่นต้นเพื่อที่จะเอาผล หาบหนึ่ง สองหาบเท่านั้น มันเปลี่ยนแปลงเร็วเสียอย่างนี้ก็ตาม ไม่เห็นจะแคร์ผู้อื่น ไม่เห็นแก่ผู้อื่น ถ้าเราเอาเท่าที่จำเป็นแล้วก็ไม่ทำลายทรัพยากรอันนั้น มันก็ยังไปได้อีกนาน นี่เป็นเครื่องเปรียบเทียบเท่านั้นเอง แต่ข้อเท็จจริงหรือสิ่งที่เป็นต้นเหตุแท้จริง มันมีมากกว่านั้นอีก แปลว่า มันพึ่งมีปัญหาขึ้นเมื่อถึงสมัยที่คนรู้จักเห็นแก่ตัวและกอบโกย นั่นสมัยก่อนหน้านี้ เขาไม่ต้องมาสอนอย่างนี้แหละ สอนเห็นแก่ผู้อื่นก็มันไม่มีใครที่เอาเปรียบใคร เดี๋ยวนี้ทำไมต้องสอนว่า ให้เห็นแก่ผู้อื่น ให้สละให้ผู้อื่น แต่แล้วก็ไม่มีใครทำ เขาสอนกันแต่ปาก เว้นไว้แต่ว่ากิจกรรมอนุกาชาดหรือกิจกรรมลูกเสือนี้ มันจะเป็นไปได้จริงเท่านั้นเพราะกิจกรรมเหล่านี้ อนุกาชาดเป็นต้นนี้ มันก็เป็นไปได้จริงถ้าอุดมคติอันนี้ มันที่จะมีการเห็นแก่ผู้อื่น ประพฤติประโยชน์แก่ผู้อื่น แล้วก็โลกนี้มันก็จะดีขึ้นทั้งโลกได้เหมือนกัน แต่ถ้ามันมีกันแต่ปาก การกระทำมันเป็นการเห็นแก่ตัวอยู่เรื่อยๆ มันก็ไม่ดีขึ้น มันก็มีแต่พิธี พิธีลูกเสือ พิธีอนุกาชาดเพื่อที่จะร้องเพลงเล่นหัวกันเสียมากกว่า ถ้าไม่มีอะไรสนุกสนานอย่างนี้ก็คงจะไม่มากันใช่ไหม นี่คงจะมีส่วนที่มาแล้วมันสนุกสนานบ้าง จึงจะมาอย่างนี้ก็มี ไม่ต้องเกรงใจและก็พูดตรงๆ อย่างนี้ เพราะที่เมืองนอกมันก็อย่างนี้ อาตมาพยายามจะศึกษา จะสังเกต กระทั่งได้ดูที่เขาถ่ายเป็นหนังเป็นอะไรมาว่ามันทำกันอย่างไร มันไม่เป็นอุดมคติตามนั้นเลย ที่ว่าบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่น รักใคร่ผู้อื่น มันต้องทำจริง โดยถือหลักทางศาสนา ซึ่งทุกศาสนาสอนตรงกันหมด คือ ถือว่าทุกคนมันเป็นคนเดียวกัน เป็นมนุษย์คนเดียวกัน ถ้าถือพระเจ้าเป็นศาสนาที่สอนว่ามีพระเจ้าก็มันมาจากคนๆ เดียวกัน มาจากพระเจ้าเดียวกัน ไปหาพระเจ้าเดียวกัน แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่า พระเจ้าหรือมีพระเจ้า แต่ท่านก็ยังสอนว่า ให้มองเห็นว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น คนแก่ที่เป็นบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย ถอยหลังกันไป เขาพูดคำนี้กันติดปาก มาถึงรุ่นพวกคุณนี่คงจะหาฟังยากแล้วกระมัง ที่จะมานั่งพูดอยู่ว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น ถ้ารุ่นอาตมาเป็นเด็กๆ และได้ยินมาก ได้ยินทางโน้นที ทางนี้ที อย่างน้อยที่สุดก็ได้ยินโยมผู้หญิงว่า ทุกคืน เพราะเป็นเด็กๆ ยังไม่ทันหลับ โยมสวดมนต์ต้องว่าบทนี้ด้วย ประโยคนี้ด้วยเสมอไป สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันหมดทั้งสิ้นแล้วก็ว่าอะไรต่อไปอีก และเขาจึงทำอย่างที่ว่าได้ ที่ปลูกผลไม้อะไรลงไปก็ว่า นกกินเป็นบุญ คนกินเป็นทานได้ เดี๋ยวนี้ถ้าว่าจะมีใครว่า คาถานี้ เด็กๆ ก็จะไปรุมกันโฮ เดี๋ยวถ้าว่าพ่อแม่ของคุณจะเกิดท่องคำนี้ขึ้นมา ให้คุณได้ยิน คุณก็จะว่า “แม่นี่ ครึแล้วกระมัง!” เป็นซะอย่างนี้ ระวังให้ดี มันไม่ครึหรอกที่ว่า “สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น” มันคือหัวใจของอุดมคติอนุกาชาด ข้อที่ ๒ ข้อที่อะไรก็ไม่ทราบว่า ที่จะบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่น จะรักผู้อื่น ถ้าไม่มีรากฐานมาจากความจริงของธรรมชาติที่ว่า มนุษย์ทุกคนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นไปไม่ได้ ให้มองในแง่ที่ว่าต้องเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันและมีปัญหาอย่างเดียวกัน มีความต้องการอย่างเดียวกัน ทุกคนในโลกนี่มันต้องการเหมือนกันเลย มีปัญหาอย่างเดียวกัน ต้องต่อสู้กับความเจ็บ ความไข้ นานาอย่างอื่นอีก
ดังนั้นเราก็ไม่ควรจะเอาเปรียบเขา ก็ควรจะช่วยเหลือเขาซึ่งกันและกัน นี่เป็นอุดมคติอนุกาชาด ช่วยสงเคราะห์ที่สุดกับความต้องการของธรรมชาติที่ให้มันอยู่ด้วยกัน อย่างต้นไม้ที่มันอาศัยกันอยู่เป็นปึกแผ่นหนาแน่น มันก็มีอาการอาศัยกันในเมื่อมีลมปะทะ มีอะไรต่างๆ มันช่วยถ่ายเทให้ซึ่งกันและกัน อย่าว่าแต่คนเลย เมื่อคนเราจะต้องนึกถึงข้อนี้ว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น คนเราจะพยายามไม่เอาส่วนเกิน และก็พยายามเจียดส่วนเกินออกไปช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าเอาส่วนเกินไปไปไว้คนเดียว จนรํ่ารวยแข่งกับเทวดาได้ มันก็เป็นอื่นไปแล้ว มันไม่ใช่เป็นมนุษย์ธรรมดาแล้ว คือ ไม่เห็นแก่เพื่อนฝูงแล้ว พระพุทธเจ้าให้ภิกษุ ทรงอนุญาตให้พระภิกษุมีอะไรจำเป็นเท่าที่จะต้องมี ถ้าเหลือมันจะได้ไปให้คนอื่น เช่น ภิกษุจะไปรับอาหารจากโรงที่เขาให้ทานนั้น ทุกวันไม่ได้ จะให้ไปได้เพียง ๒-๓ หนอย่างมากเมื่อจำเป็นกันจริงๆ ให้ไปหาที่อื่นๆ แม้ว่าเขาตั้งใจจะให้ทานก็ยังอยู่ แต่ว่าจะไปเอาเสียให้มันกวนคนอื่นเขา มันขาดไป ภิกษุจะมีเครื่องนุ่งห่มเกิน ๓ ชิ้นหรือในบางฤดู ๔ ชิ้นไม่ได้ ถ้าไปได้จีวรใหม่มาเป็นผืนที่ ๔ แล้วก็จะต้องสละออกไปให้เป็นส่วนกลาง ให้เป็นของกลางใครใช้ก็ได้ ตัวเองมีได้ถึง ๓ ผืน แม้แต่บาตร อนุญาตให้มีได้ใบเดียว มีบาตรใบที่ ๒ มาก็ต้องสละเป็นส่วนกลาง ถ้าทำกุฏิอยู่ก็เพียง ๑๒ คืบ ๑๗ คืบ ก็อย่าให้มันเปลืองมาก ให้มันเหลือไปใช้เป็นประโยชน์ผู้อื่น พระภิกษุจะทำกุฏิอยู่ได้ลำพังตน ไม่รบกวนใครมาก ไม่ทำให้หมดเปลืองมาก เล็กๆ ขนาดห้องนํ้ามากกว่า นั่นมันเศรษฐีที่เป็นพุทธบริษัทเขาก็ตั้งโรงทานจึงจะเป็นเศรษฐี ถ้าเป็นมหาเศรษฐีก็มีโรงทานมาก มีข้าทาสบริวารมาก ก็ช่วยกันทำนามาก ได้ข้าวเปลือกมากก็เพื่อมาหล่อเลี้ยงโรงทาน ถ้าว่าจะฝึก ถ้าจะฝากสะสมทรัพย์ ฝังทรัพย์ไว้ ก็ฝังทรัพย์ไว้เพื่อหล่อเลี้ยงโรงทานในอนาคต เพื่อว่าลูกหลาน มันจะหย่อนความสามารถหรือในบางครั้งบางคราว มันเกิดวิกฤติการณ์ต่างๆ ทรัพย์ที่ฝังไว้จะได้เอามาหล่อเลี้ยงโรงทาน นี่คือเศรษฐีที่เป็นพุทธบริษัทตามเรื่องในพระคัมภีร์เป็นอย่างนี้ ขอให้คิดดูว่า มันเป็นผู้บำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นจริงหรือไม่ มันจริงยิ่งกว่าจริง เดี๋ยวนี้ใครทำอย่างเศรษฐีนั้นบ้าง ถ้าไม่ทำอย่างนั้น มันก็ไม่เป็นเศรษฐีในพุทธศาสนา มันก็กลายเป็นนายทุนหรือจอมนายทุนหรือเป็นอะไรไปทางโน้น ซึ่งเขาจะได้มาเท่าไรก็หาใช้เป็นเครื่องมือหากำไรเพิ่มขึ้น ไม่ใช่เพื่อมาสร้างโรงทาน นี่การบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นของอนุกาชาดมันตรงกับหลักพระพุทธศาสนาในข้อที่ว่า เราจะไม่เป็นอยู่ให้มันเกินพอดี มันก็จะมีส่วนที่รั่วไหลไปให้ผู้อื่นเอง มันก็จะได้ไม่มีคนที่จนมากหรือรวยมาก และก็สอนลูกเด็กๆ ในข้อนี้ด้วยว่า อย่าเอาส่วนเกินที่มันเกินพอดี ยิ่งกว่านั้นต้องเจียดให้มันเป็นส่วนเกินขึ้นมาให้ได้และให้เพื่อน อย่างเด็กคนหนึ่งก็มีสตางค์มา ๕๐ สตางค์จากบ้าน มาที่โรงเรียน ถ้าเขาให้เพื่อนสัก ๕ สตางค์จะเป็นอย่างไร เขาก็ยังไม่ลำบากเลย ดังนั้น ๕ สตางค์ที่เขาไปให้เพื่อน ที่มันไม่มีเลย ก็เด็กที่มันไม่มีสตางค์เลยก็มีในวันหนึ่งๆ เมื่อเรามีมา ๑๐ สตางค์เชียว มันจะไม่พอกินอยู่แล้ว มันก็เจียดเอาไปให้ ๑ สตางค์ ให้เพื่อนที่มันไม่มีเลย เมื่อเราเอา ๙ สตางค์มันก็จะพอแก้ปัญหาไปได้วันหนึ่ง นี่ไม่เอาส่วนเกิน นี่เจียดเลือดเนื้อมาเป็นส่วนเกินที่จะช่วยเหลือผู้อื่น คุณเคยสอนเด็กๆ อย่างนี้ไหม? เด็กๆ ที่อยู่ในการควบคุมของคุณนั่นแหละ เด็กอนุกาชาด คุณสอนอย่างนี้ไหม? นอกจากจะไม่เอาส่วนเกินและเจียดเลือดเนื้อมาเป็นส่วนเกินให้ผู้อื่น มันเป็นอุดมคติมากไปหน่อย เขาเรียกว่า อุดมคติของโพธิสัตว์ คนนั้นมันไม่ตายหรอก มันมี ๙ สตางค์ ๑๐ สตางค์มันเจียดไป ๑ สตางค์ เอา ๙ สตางค์มันยังก็อยู่ได้ อย่างนี้เป็นอนุกาชาดจริง ไม่ทำแต่ปาก บำเพ็ญตนเป็นประโยชน์ผู้อื่น รักผู้อื่น ให้ผู้อื่น มันจะต้องเจียดส่วนเกินออกมาจนได้ ก็จริงเท่านั้นแหละ และต่อไปมันจะเป็นอย่างไร เด็กๆ เหล่านี้จะเป็นอย่างไร ต่อไปเมื่อมันก็เติบโตขึ้นมา มันก็จะไปด้วยกันได้เป็นเพื่อนไปด้วยกันได้ ไม่ยากจนหรือว่ามั่งมีจนกระทั่งทิ้งกันเลยมองกันไม่เห็น มีอนุกาชาดอีกข้อหนึ่ง อุดมคติที่ว่าจะมีอนามัยดีด้วยกันทุกคน มันก็ต้องเรื่องเสียสละอีกเหมือนกัน ที่จะให้ผู้อื่นมีสุขภาพอนามัยดี เราก็ต้องช่วย ถ้าช่วยมันก็ต้องเสียสละเป็นแน่นอน ก็เข้าในรูปที่ว่าบําเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นก็ต้องเสียสละ ถึงแม้ว่า ตัวเองนั้นจะเป็นผู้มีอนามัยดี มันก็ยังต้องเสียสละ มันเสียสละอีกแบบหนึ่ง ก็เสียสละส่วนเกินนี่ไง อย่าสูบบุหรี่ ทีนี้ครูก็สูบให้ดูเป็นตัวอย่าง ส่วนเกินที่ไม่มีประโยชน์อะไรควรสละ และหัวหน้าอนุกาชาดก็ยังสูบให้ดูเป็นตัวอย่างนั่นอนามัยดีที่ตรงไหน? หรือว่าจะไปดูหนัง ดูละคร ดูอะไรเป็นอบายมุขค่ำคืนต่างๆ นี่มันก็ต้องไม่ทำ ต้องยอมสละความสนุกสนานอย่างนั้น นั่นเขาเรียกว่า เสียสละ มันจะไปดูหนังกันจนได้ ไปดูละครกันจนได้ อบายมุขอย่างใดอย่างหนึ่งให้จนได้ ไม่ยอมเสียสละ นรกนี่ พูดมันก็หยาบเพราะว่าเขาไม่ยอมเสียสละนรก เขาจึงเป็นคนมีอนามัยเลว เพราะอบายมุขมันมีว่า ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน นี่ ๖ อย่างมีรายละเอียดอยู่ในหนังสือไปดูเองก็แล้วกัน อบายมุขปากทางสำหรับลงไปสู่อบาย ก็ไม่ยอมเสียสละ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนันแล้วมันจะมีอนามัยดีได้อย่างไง เมื่ออนามัยของตัวก็ไม่ดีแล้ว มันจะไปช่วยคนอื่นอนามัยดีเป็นไปไม่ได้ คำว่า น้ำเมา นั้นมันต้องหมายถึง ของเสพติดทุกชนิดนับตั้งแต่บุหรี่ขึ้นไป อะไรก็ตาม เดี๋ยวนี้ก็มีอะไร สูงสุดถึงเฮโลอีนถึงอะไรยิ่งกว่าเฮโลอีน นั่นก็เรียกว่า ของที่ทำให้เมาและเสียสติสัมปชัญญะ เมื่อเสียสติสัมปชัญญะ มันก็ตัดทอนสุขภาพอนามัยเป็นธรรมดา คือ มันจะทำผิดยิ่งขึ้นไปอีกกว่าที่มันเป็นโทษอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ควรจะเสียสละสิ่งที่ต้องเสียสละ มันจึงมีอนามัยดี เกียจคร้านทางการงาน ก็ขยายความเรื่องเกียจคร้านบริหารร่างกายให้ดี ต้องเรื่องเกียจคร้านทางการงานเหมือนกัน ไม่บริหารร่างกายให้ดี มันก็มีอนามัยเลว มันก็เป็นคนมีอนามัยเลวก็ไม่ยอมเสียสละการเกียจคร้านในการบริหารร่างกาย
ดังนั้นหลักธรรมะทั้งหมดมันใช้กันได้ทุกข้อของการที่จะเป็นลูกเสือที่ดี อนุกาชาดที่ดี ขอให้สนใจตอนนี้ ค่อยจะสำเร็จประโยชน์ มิฉะนั้นก็จะมีแต่ปากว่า แต่พิธีรีตอง ไม่มีตัวจริง ของสิ่งนั้นๆ ไล่มาตั้งแต่การศึกษา ยิ่งศึกษายิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งศึกษายิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งไม่เห็นแก่ผู้อื่น และจะมาร้องตะโกนในฐานะเป็นอนุกาชาดว่า จะบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่น จะรักผู้อื่นอะไรนี้ก็เป็นไปไม่ได้ การศึกษานั้นศึกษากันแต่ในทางชี้ให้เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวจนยกพวกตีกันระหว่างโรงเรียน ระหว่างวิทยาลัย ระหว่างมหาวิทยาลัยแล้วก็อ่านหนังสือข่าวดูเองก็แล้วกัน กระทั่งในโรงเรียนเดียวกันมันก็ยังตีกัน ระหว่างชั้น ระหว่างห้อง เพราะมันมีการกระทำผิดในการเรียนชนิดที่เรียนเพื่อเห็นแก่ตัว และมีกิจกรรมภูตผีปีศาจแทรกแซงเข้ามา อีกชนิดหนึ่ง คือ พวกกองเชียร์ พวกกองเชียร์กีฬา อาตมาเรียกว่า มันเป็นกิจกรรมภูตผี ปีศาจ มันสอนให้เห็นแก่ตัว ให้เห็นแก่ฝ่ายตัวและมันโห่ ร้องฝ่ายอื่น มันเยาะเย้ยฝ่ายอื่น มาเอาใจช่วยฝ่ายตัวอย่างไม่มีธรรมะ กองเชียรนี่พึ่งมีขึ้นมาในโลก ก่อนนี้ไม่มีเป็นกิจกรรมอย่างภูตผีปีศาจ ย้อมความเห็นแก่ตัว มันจะมาเป็นอนุกาชาดได้อย่างไร ที่จะมาแก่เห็นประโยชน์ของผู้อื่น บำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นคือมันไม่ได้ มันมีการทำผิดในการศึกษา ในการกีฬา ในการอะไรต่างๆ ถ้าดูข่าวกีฬา ชั้นเลิศของโลกระหว่างชาติ มันยิ่งไม่มี มารยาทของนักกีฬา ไม่มีสปิริตตรงนักกีฬามากขึ้นๆ มันจะร้ายไปกว่าในบ้านเราก็ได้ แต่ว่าในบ้านเราก็เต็มทีแล้ว โรงเรียนก็ดี วิทยาลัยก็ดี มหาวิทยาลัยก็ดี มีการกีฬาที่เพิ่มความเห็นแก่ตัว ให้เห็นแก่ฝ่ายตัว ให้เห็นแก่พวกตัว คือ ไม่เล่นกันแต่เพียงแสดงความเป็นนํ้าใจนักกีฬา กีฬาเขาให้แสดง ให้เล่นเพื่อแสดงความเป็นนักกีฬา ไม่ใช่เพื่อแพ้เพื่อชนะ ถ้าแพ้เพื่อชนะ ถ้าเพื่อแพ้เพื่อชนะ มันก็ต้องมีความเป็นนักกีฬา มีนํ้าใจนักกีฬายิ่งกว่า มิฉะนั้นความแพ้ชนะมันจะดึงไปหาความเห็นแก่ตัว มันจะเกิดความคิดที่เป็นบาป เป็นอกุศล เพราะการเล่นกีฬานั่นเองนี่ การศึกษาที่ผิดมันก็เป็นอย่างนี้ ที่นี่มันก็ไม่ทันกันที่เราจะมาร้องแต่ปากว่า จะเห็นประโยชน์ผู้อื่น จะบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นแต่ปาก แต่ส่วนการกระทำจริง มันเห็นแก่ตัว ย้อมความเห็นแก่ตัวมากขึ้น ในการศึกษาผิด การกีฬาที่เกี่ยวกับการศึกษามันก็ผิด การศึกษาไม่มีศีลธรรมรวมอยู่ด้วย คือ ไม่มีการเสียสละรวมอยู่ด้วย ไม่มีหลักรากฐานที่ว่ามนุษย์ทุกคน เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายซึ่งกันและกัน ถ้าเราให้เด็กๆ เขารู้ข้อนี้แล้วไม่มีการชกต่อยในโรงเรียนนั้น นับว่าสำเร็จประโยชน์มาก ถ้ามันยังเห็นแก่ตัว มันยิ่งมีการชกต่อยกันยิ่งขึ้นๆๆ ความที่เห็นแก่ตัวมากขึ้น เพราะการศึกษามันเดินมาผิด
ดังนั้นอาตมาขอสรุปว่า อุดมคติของอนุกาชาดมันอยู่ที่การศึกษาถูกต้องด้วย ทีนี้ถ้าการศึกษามันเดินไปผิดแล้ว เราจะแก้ไขด้วยกิจกรรมอนุการชาดที่มีความเมตตากรุณาสูงขึ้นจนเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เห็นแก่ผู้อื่น มีอนามัยดีทั้งทางร่างกายทั้งทางจิตใจ และก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้เป็นอย่างนั้น นี่มันจะชดเชยสิ่งที่มันขาดไปให้กลับมาได้ คือ ศาสนาและศีลธรรมที่มันแยกไปเสียจากการศึกษาทั่วไป มันกลับมาใหม่ได้ในรูปของกิจกรรมลูกเสือหรือกิจกรรมอนุกาชาด ดังนั้นเขาจะถือว่ากิจกรรมอนุกาชาดเป็นเพียงของแฝงเล็กๆ น้อยๆ เป็นงานอดิเรกแฝงอยู่ในการศึกษา แฝงอยู่กับศึกษา เพราะเราทำน้อยกว่าการศึกษา นี่ถ้าเจอไม่ถูกแล้ว การศึกษามันจะบ้าเหมือนควายเปลี่ยว จะเป็นอันตราย มันไม่มีศีลธรรมควบคุม การศึกษามันจะบ้าเหมือนควายเปลี่ยว กิจกรรมลูกเสือ กิจกรรมอนุกาชาด มันจะเป็นเครื่องถ่วงเอาไว้ ถ้าเป็นควายอีกตัวหนึ่งก็เป็นควายตัวที่รู้ประสีประสาที่ถูกต้องที่จะเคียงคู่เอาไว้ อย่าให้มันไปลงเหว เพราะฉะนั้นกิจกรรมลูกเสือกิจกรรมหรือกิจกรรมอนุกาชาด ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่กิจกรรมที่แฝงอยู่กับการศึกษาหรืออะไร มันจะเพื่อจะแก้การบ้า ความบ้าของการศึกษาให้กลับมาอยู่ในร่องในรอย ถ้ามันมีแต่การศึกษา มันก็มีเห็นแก่ตัวมากขึ้น เพราะการศึกษามันผิดแล้ว มันแยกไปจากศาสนาหรือธรรมะแล้ว นี่ศาสนาหรือธรรมะมันก็กลับมาในรูปกิจกรรมลูกเสือหรือกิจกรรมอนุกาชาด เพื่อชดเชยกันอยู่ตามเดิม
ดังนั้นจึงหวังได้ว่าถ้ากิจกรรมลูกเสือหรือกิจกรรมอนุกาชาดเป็นไปได้จริงตามอุดมคตินี่แล้ว มนุษย์เรายังปลอดภัย รุ่นเด็กๆ ของเรา ยุวชนของเราที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่นี้จะปลอดภัย ก็ยังมีธรรมะมีศาสนามาปนอยู่ในการศึกษาควบคู่กันไป ออกมาแล้วก็เป็นสุภาพบุรุษที่ประกอบอยู่ในธรรมะได้ นี่ยุวชนกับกิจกรรมอนุกาชาดจำเป็นที่จะต้องมี คือ ยุวชนจะต้องมีกิจกรรมอนุกาชาดเพื่อชดเชยธรรมะหรือศีลธรรมที่มันถูกตัดออกไปจากการศึกษา ยุวชนจึงมีทั้งการศึกษาสามัญทั่วไปและมีการศึกษาที่เป็นกิจกรรมของลูกเสือและอนุกาชาด เพื่อคุ้มครองจิตใจของเขาให้อยู่ในร่องในรอยของธรรมะหรือของศาสนา เหมือนกับที่บรรพบุรุษของเรามีธรรมะ มีศาสนาอยู่ในเลือด ในเนื้อ ในสายโลหิต และมันก็จางไปๆๆ เพราะว่าการศึกษามันเดินไปผิด มันทำแต่ให้ฉลาดอย่างเดียว จึงขออนุโมทนาสาธุการด้วยเป็นอย่างยิ่งที่ว่ากิจกรรมอนุกาชาดก็ดี หรือกระทั่งลูกเสือเป็นต้นก็ดีจะช่วยแก้ปัญหาข้อนี้ แล้วความเป็นพุทธบริษัทในเลือดในเนื้อของเราก็จะยังคงมีอยู่ต่อไป
ดังนั้นขออวยพรให้ท่านทั้งหลายทุกคนจงประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของตน เพื่อผดุงศีลธรรมของประเทศ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ต่างๆ ให้สมกับที่ว่าเราเป็นพุทธบริษัทชาวไทยมีความเจริญงอกงามก้าวหน้า ในทางของธรรมะอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
มีอะไรอีกที่จะให้ จะต้องทำ จะให้พูดหรือไง
เป็นอันว่ารู้จักอนามัยของตนเองนั่นแหละให้สูงขึ้นไป ถึงอนามัยทางจิต อนามัยทางวิญญาณด้วย จึงจะมีอนามัยทางกายได้ถูกต้องและสมบูรณ์ นี่เราจะบอกลูกเด็กๆ ของเราให้รู้จักสังเกตว่า เด็กที่ไม่มีอนามัยเพราะมันทำผิดในทางศีลธรรมไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง บางทีบิดามารดา ทำผิด บางทีลูกเล็กๆ นั้นมันทำผิดเสียเอง ถ้ามีศีลธรรมดี มันก็นอนหลับสนิท มันก็มีการประพฤติที่ไม่เป็นอันตรายแก่เนื้อหนังของมันอะไรต่างๆ ทุกอย่าง เอาละเป็นอันว่า ศีลธรรม มันก็อยู่ในเรื่องของอนามัย ศีลธรรมก็อยู่ในเรื่องของมิตรภาพ และศีลธรรมก็อยู่ในการที่จะเป็นพลเมืองที่ดี ประพฤติปฏิบัติถูกต้องต่อประเทศ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพราะฉะนั้นอาตมาจึงถือว่า คําพูดโดยสังเขปในวันนี้ก็พูดโดยหัวข้อที่ว่า งานกาชาดและงานอนุกาชาดที่มองดูในแง่ของศีลธรรม มันเป็นอย่างนี้เอง ยังหวังว่าท่านทั้งหลายจะได้เอาไปคิด ไปพิจารณาดูให้เข้าใจและก็อบรมลูกเด็กๆของเรา ในความรับผิดชอบของเราที่เราจะต้องบริหารเขาให้สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ลุล่วงไปได้และก่อนแต่จะจบนี้อาตมาขอเตือนอีกครั้งหนึ่งว่า อย่าลืมว่าเรานั่งกลางดิน ตรงนี้เรานั่งกลางดิน คือเราปฏิญาณตัวเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน เป็นอยู่กลางดินจนตลอดชีวิต ทรงแสดงธรรมทั้งหมดนั้นก็กลางดิน นี่เป็นเรื่องของสติปัญญาส่วนหนึ่งด้วย เป็นเรื่องของการเสียสละอย่างยิ่งด้วย ไม่ไปเห่อ ทะเยอทะยานแต่เรื่องวัตถุนิยม และก็สามารถจะทำหน้าที่นี้ได้เป็นแน่นอน อาตมาขอยุติคำบรรยายไว้เพียงเท่านี้ ก็สมควรแก่เวลาแล้ว
ขอเอ่ยถึงสถานที่ต่างๆ ช่วยให้เข้าถึงพระธรรม ทำไมถึงจึงพูดว่า พระธรรมเป็นมหรสพ เพราะว่าใครเข้าถึงพระธรรมก็จะได้รับความพอใจยิ่งกว่าดูหนังดูละคร ขอให้เข้าถึงพระธรรมและอุปกรณ์การเข้าถึงพระธรรมก็มีหลายอย่าง แต่ที่ดีที่สุด คือ ธรรมชาติ อย่างที่เราพูดถึงเมื่อสักครู่นี้ นี่เรากำลังนั่งอยู่ในโรงละครของธรรมชาติ นี่เราว่าง กำลังว่างจากความรู้สึกที่เป็นกิเลส ดังนั้นเราจึงสบาย กำลังเป็นมหรสพแต่เป็นมหรสพทางวิญญาณ พยายามใกล้ชิดธรรมชาติให้มาก ทีนี้ก็สร้างขึ้นโดยตรง อย่างตึกหลังนี้เป็นโรงมหรสพนี้ก็สร้างขึ้นโดยตรง ก็เพื่อเป็นอุปกรณ์ในความสะดวก เข้าถึงพระธรรม ศึกษาพระธรรม และครึ่งสร้างครึ่งธรรมชาติอย่างที่ตรงโน้นมีสระใหญ่ๆ มีต้นมะพร้าวอยู่กลางสระ มันไม่ได้สร้าง ๑๐๐ % มันครึ่งสร้างครึ่งธรรมชาติ คือ ดัดแปลงธรรมชาติตรงนั้นหน่อยมันเกิดอย่างนั้นขึ้นมา สระใหญ่ๆ ที่มีต้นมะพร้าวอยู่กลาง ศูนย์กลาง เรียกว่า ภาพของนิพพาน นิพพานอยู่ท่ามกลางวัฏฏะสงสาร คือ ความดับทุกข์มันหาพบที่ท่ามกลางของความทุกข์ หรือความสุขหาพบที่ท่ามกลางของความทุกข์ พยายามจมมหรสพอันนี้ มีภูเขาอยู่กลางวัด หรือเดินรอบวัดก็จะพบสิ่งที่เรียกว่า โรงมหรสพทางวิญญาณใน ๓ ประการนี้ คือ ธรรมชาติโดยตรงก็มี ครึ่งธรรมชาติก็มี ทำขึ้นโดยมือมนุษย์ก็มี ขอเชิญไปดูตามความพอใจ จะถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับวัดนี้ ก็ที่เสาโพธิสัตว์อวโลติเกสวรเป็นสัญลักษณ์ของคุณธรรมที่ทำให้บุคคลเป็นโพธิสัตว์ เขาเรียกว่า สุทธิ ปัญญา เมตตา ขันติ ๔ หัวข้อ อนุกาชาดก็ใช้ได้ สุทธิ คือ ความเป็นคนไม่มีทำความผิด ความชั่ว ความรัก เมตตาก็อย่างเดียวกัน สุทธิแล้วก็ปัญญา ความรู้ที่ควรจะรู้ และ เมตตา ความเป็นมิตร ขันติ อดทน ขันติขาดไม่ได้ ขาดขันติแล้วล้มละลาย ถ้าไปถ่ายรูปกับอวโลติเกสวรนั้น ก็คือ หมายความว่า เราสมัครรับหลักการ มีอุดมคติคือ สุทธิ ปัญญา เมตตา ขันติ เดี๋ยวจะเสียสละ เดี๋ยวจะหมดเวลาที่เดินไป