แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การพูดนี้ พูดสำหรับนักศึกษาจากวิทยาลัยภาคใต้ หรือว่าพูดสำหรับพวกเราที่ภาคใต้ทุกๆ คน มันคงจะมีเรื่องพิเศษบ้างไม่เหมือนกับพูดรวมกันหมดทุกภาค ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี ข้อแรก เราพวกปักษ์ใต้ต้องพูดภาษาปักษ์ใต้ เพราะมันจะไม่บ้ามากนักคุณฟังดู พวกบางกอกมันเรียกพวกปักษ์ใต้ว่าพวกเมืองตำปรื้อ นี่คุณไม่เคยได้ยินเหรอ ผมเคยได้ยินและเคยถูกประชดอยู่บ่อยๆ พวกบางกอกเรียกพวกเราว่าพวกเมืองตำปรื้อ พัทลุงสงขลาพูดตำปรื้อจริงๆ ด้วย ไชยานี้ทำพือหรื้อ พอไอ้ตรงพ้นตรงนั้นไปนิดหนึ่ง ทำพรือ เลยลงใต้นี้ตำปรื้อ ฉะนั้นเขาเรียกว่าไอ้พวกตำปรื้อ พวกเมืองตำปรื้อ ทีนี้พวกเราปักษ์ใต้นี่มันมีแล้วตั้งแต่สมัยศรีวิชัย เมื่อปู่เมื่อทวดของพวกบางกอกยังไม่เกิดนั้น คุณฟังดูให้ดี ไอ้พวกเมืองตำปรื้อนี้มีแล้วตั้งแต่เมื่อไอ้พวกปู่ชวดญาติไอ้ของพวกบางกอกยังไม่เกิด สมัยศรีวิชัยนี้มัน ๑,๒๐๐ ปีเศษมาแล้วนะ ไอ้เมืองบางกอกนั้นเพิ่งเกิดไม่กี่ปีนี้ ถึงจะพูดไปถึงสมัยสุโขทัยโน้น มันก็สักเจ็ดแปดร้อยปีเท่านั้น ทีนี้ไอ้พวกเมืองตำปรื้อนี้เจริญมาแล้วตั้ง ๑,๒๐๐ ปีสมัยสร้างพระธาตุไชยาสมัยสร้างพระธาตุนครศรีธรรมราช ตรงไหนที่ในแผ่นดินที่มันมีโบราณวัตถุสถานสมัยศรีวิชัยนั่นแหละ แก่กว่าพวกบางกอกเท่าไหร่ คือถ้าพวกบางกอกมันมา มัวดูถูกไอ้เมืองตำปรื้อนี้ เล่าให้มันฟังเสียบ้าง ว่าเราอยู่มาแล้วตั้ง ๑,๒๐๐ ปีอย่างน้อยเกินนั้น ไอ้เจริญสูงสุดเมื่อ ๑,๒๐๐ ปี ฉะนั้นต้องก่อนนั้นมันจึงเจริญสูงสุดได้ เมื่อเมืองบางกอกยังไม่มี และยังอยู่ใต้ ใต้ทะเล ใต้น้ำ ก่อนสมัยสุโขทัย ที่พูดนี้ไม่ได้พูดให้ลืมตัวหรือดูถูกเพื่อนกัน หรือดูถูกชาวบางกอก แต่ว่าพูดให้รู้จักรักษาเกียรติของตัวเองชาวเมืองปักษ์ใต้ให้รู้จักรักษาเกียรติของตัวเอง เกิดก่อนมีวัฒนธรรมก่อนมีอะไรก่อน สุโขทัยนั้นยังต้องมารับอาจารย์ไปจากเมืองนครศรีธรรมราช ถ้าคุณเคยเรียนประวัติศาสตร์บ้างคุณไม่เหลวไหลเกินไปคุณจะอ่านพบข้อนี้ ว่าพ่อขุนรามคำแหงให้มารับสวามีหรืออาจารย์หลวกกว่าพวกครูเมืองนี้ พ่อขุนรามคำแหงว่าพวกครูเมืองนครศรีธรรมราชมันหลวกกว่าพวกครูเมืองนี้คือสุโขทัย หลวกนั้นก็แปลว่าปัญญา มีปัญญาเฉลียวฉลาด ไอ้ง่าว น่ะมันโง่ ไอ้หลวกกับง่าวนี้เป็นภาษาสุโขทัยตรงกันข้าม ไอ้ง่าวน่ะมันโง่ ไอ้หลวกน่ะมันปัญญา หลวกกว่าพวกกูเมืองนี้ ว่ามีสติปัญญามีความรู้ยิ่งกว่าพระเถระสมัยสุโขทัย ให้รับไปจากนครศรีธรรมราช ตอนนี้บาง กอกยังไม่มีที่นะ ที่สุโขทัยเจริญก็เพราะว่าพวกครูต่างๆ ที่ไปจากนครศรีธรรมราช นี่แหละเมืองตำปรื้อ ฉะนั้นพยายามรักษาเกียรติของเมืองตำปรื้อให้ดีดีอย่าเหลวไหลอย่าเป็นอันธพาล คือเราต้องคิดว่าไอ้แผ่นดินนี้มันศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าคนที่เฉลียวฉลาดมันเคยอยู่เคยเหยียบ คนที่มาจากอินเดียนำวัฒนธรรมอินเดียนำพุทธศาสนามาจากลังกาจากอินเดียก็เหมือนกัน สมัยนครปฐม กรุงเทพฯ ก็ยังไม่มี เรานักประวัติศาสตร์ก็ว่ายังไม่ใช่ไทย นักประวัติศาสตร์บางพวกเถียงว่าเป็นไทย สมัยนครปฐม นครสมัยศรีวิชัยสักสองสามร้อยปีแต่พวกส่วนใหญ่เขาเชื่อและเขาสอนให้นักเรียนเรียนว่ายังไม่ใช่ไทย ทีนี้คนปักษ์ใต้นี่จะไทยหรือไม่ไทยก็ไม่รู้ มันก็มีวัฒนธรรมมีอะไรก็รับจากชาวอินเดียสูงสุดมาแล้วตั้งแต่ ๑,๒๐๐ ปีเป็นอย่างน้อย คุณเป็นลูกหลานเป็นเลือดเนื้อเป็นสายเลือดของคนเหล่านั้น ต้องรักษาเกียรติให้สมกับเมืองที่โบราณถึงพันปีแล้วก็คนฉลาด ฉลาดแบบหัวหมอด้วยนอกจากฉลาดในทางบริสุทธิ์ยังฉลาดแบบแกมโกงด้วย เมืองไชยา เมืองนครฯ เหมือนกันฉลาดแกมโกงมีอยู่ส่วนหนึ่งด้วย เขาเรียกหัวหมอ พูดไล่ไม่จน มันมีปฏิภาณมันมีหัวหมอ พวกเมืองนครฯ นี้ชาวบางกอกกลัวแหละ ในการพูดนี้ ไปให้คนแก่ๆ เล่าให้ฟังมันมีมากเรื่อง เอาละนี้มันพอกันทีสำหรับที่จะพูดว่าดินแดนภาคใต้นี้มันศักดิ์สิทธิ์มาแล้วตั้ง ๑,๒๐๐ กว่าปี ฉะนั้นลูกหลานอย่าเป็นอันธพาล นี่ก็เปิดโอกาสให้มีการศึกษามีสำนักเรียนอะไรมากเหมือนกับภาคอื่นเขาแหละ ก็ต้องถือโอกาสฉวยโอกาสศึกษาเล่าเรียนให้ดีให้เต็มที่ แล้วทำตัวให้มันเป็นผู้รับผิดชอบ ถ้าไม่รับผิดชอบมันไม่ใช่คน คุณฟังให้ดีๆ ถ้าไม่ไม่ยอมรับผิดชอบไม่ทำความรับผิดชอบในหน้าที่มันไม่ใช่คน มันเป็นสัตว์ สัตว์ไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่มีระเบียบให้สัตว์รับผิดชอบ แต่ว่ามนุษย์นี้มันต้องรับผิดชอบมันมีเหตุผลมีความยุติธรรมอย่างไรก็จะต้องรับผิดชอบและมันต้องรับผิดชอบมันบิดพลิ้วไม่ได้ ในฐานะที่เป็นคนไทยก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ของคนไทยให้ไม่มีบกพร่อง ในฐานะเป็นคนภาคใต้ก็ต้องรับผิดชอบเกียรติยศของความเป็นคนภาคใต้ให้มันเต็มที่อย่าบกพร่อง ผมเคยบอกให้ฟังแล้วว่ามีสวนโมกข์นี้ถึงจะเพื่อเผยแพร่ศาสนาวันไหนก็ตาม แต่ส่วนหนึ่งมันมีเพื่อความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นคนภาคใต้อยู่ที่ไชยา มันต้องทำให้ภาคใต้มีเครดิตมีเกียรติมีอะไรไปตามเรื่องเท่าที่จะทำได้ นี่ก็คือความรับผิดชอบ ถ้าปล่อยปละละเลยมันก็เป็นคนที่ใช้ไม่ได้ เพราะไม่รับผิดชอบ ไอ้เรามันเคยเจริญก่อนชาวกรุงเทพฯ แต่แล้วมันก็ความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติของประวัติศาสตร์นี่ก็ทำ ก็ทำให้ล้าหลังชาวกรุงเทพฯ เพราะกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางเป็นเมืองหลวงขึ้นมาในตอนหลังนี้มีจัด จัดการศึกษาอะไรดีมากก็เลยเป็นที่มีเกียรติมีเครดิตสูงขึ้นมาจนใครๆ ก็อยากไปเรียนกรุงเทพฯ จนกรุงเทพฯ แออัดไปหมด นี่ก็เพราะความอยากดีนั่นแหละ แต่ทีนี้มันไม่ต้องไปเรียนถึงกรุงเทพฯ มันก็นับว่ามีโชคดีแหละ ไปเรียนกรุงเทพฯ ไปฉิบหายกันเสียมาก เด็กหญิงเด็กชายปล่อยให้ไปเรียนที่กรุงเทพฯ ไปเสียหายมาก ไม่มีใครควบคุมบังคับ นี่มันไกลไกล ไกลพ่อ ไกลแม่ ไกล ทีนี้มันมีโอกาสที่จะทำไปตามอำเภอใจ มีเรื่องสียหายมากและเปลืองมาก เพราะฉะนั้นมันดีแล้วที่ได้เรียนที่บ้านเรามันไม่เปลืองมากและมันก็ดีที่สุดก็คือว่า มันไม่ค่อยเสียหาย เด็กหญิงเด็กชายไม่ค่อยจะเละเทะ อยู่กรุงเทพฯ มันเหลือวิสัยที่คนหนุ่มคนสาวจะยับยั้งชั่งใจให้ร้อยเปอร์เซ็นต์ได้มีบกพร่องมีเหลวไหล ฉะนั้นควรจะดีใจภาคภูมิใจที่ได้มีการศึกษาโดยมีสถาบันเพื่อการศึกษาขึ้นที่บ้านเราเอง และฉวยโอกาสทำให้ดีที่สุดเถอะ ในเวลาเล่าเรียนเรียนให้ดีที่สุดให้นึกถึงเกียรติของบรรพบุรุษที่เคยเป็นคนเก่งคนดีมีวัฒนธรรมก่อนชาวกรุงเทพฯ ทีนี้ในระหว่างปิดภาคนี่เขาให้บวชก็เพื่อให้มีโอกาสได้รับความรู้อีกแขนงหนึ่งเพิ่มเติมถึงนอกหลักสูตรก็จริงแต่มันมีประโยชน์ต่อความรู้ในหลักสูตร อย่าเข้าใจว่านอกหลักสูตรมันไม่เกี่ยวกันมันไม่ ไม่ทำให้ได้ดิบได้ดีนั่นมันโง่ ใครคิดอย่างนั้นมันเป็นคนโง่ ไอ้นอกหลักสูตรนี่บางทีสำคัญกว่าในหลักสูตรคือมันช่วยให้หลักสูตรในหลักสูตรมันดีขึ้น ถ้าจิตใจไม่ดีมันเล่าเรียนไม่ดี จิตใจดีก็จะเล่าเรียนดี ทีนี้เราบวช บวชพระบวชเณรนี่เพื่อทำให้จิตใจดีนะ ลองเป็นพระเป็นเณรให้แท้จริงบวชจริงเรียนจริงปฏิบัติจริง เพียงเดือนเศษนี้ก็ทำให้ใจดี ให้บังคับตัวเองได้ อย่างน้อย พอใจดีมันก็ไปเรียนดีทีนี้มันจะเรียนดี ให้มันได้ความรู้อีกแขนงหนึ่งคือทางศาสนาด้วย ทำให้ใจดีสำหรับไปเรียนทางไอ้วิชาสามัญทั่วไปนั้นดีด้วย ฉะนั้นจึงขอร้องว่าต้องบวชจริงกันด้วย บวชจริงกัน เรียนจริง บวชจริง เรียนจริงทั้งพระทั้งเณรระหว่างที่บวชนี่ ถ้าบวชจริงก็ต้องอดทนกินข้าวจานแมวอาบน้ำในคูหรืออะไรก็ตามใจ คือเป็นอยู่อย่างง่ายๆ ให้ต่ำที่สุดเพราะจิตใจมันจะไปทางสูง พวกฝรั่งมันก็รู้มันพูดไว้แล้วสำหรับให้ปฏิบัตินั้นน่ะ ทีนี้ก่อนพวกฝรั่งมันพูดที่ว่าอยู่ให้ต่ำๆ แล้วก็คิดให้สูงๆ plain living high thinking นี่เป็นอยู่ ระบบการเป็นอยู่ให้มัน plain คือให้มันธรรมดาสามัญที่สุดเหมือนพระพุทธเจ้าแหละ พระพุทธเจ้าเกิดกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดินโดยมากก็อยู่กลางดิน plain living พระพุทธเจ้ากินข้าวจานแมวเหมือนพวกเราแหละ อาบน้ำในคู ห้วย หนอง คลอง บึงบ้างตามใจก็ได้ ไม่มีรองเท้าไม่มีร่มนี่มัน plain living ที่สุดแหละ แต่ว่าจิตใจของพระพุทธเจ้านั้นสูงลิบ การเป็นอยู่ทางร่างกายยิ่งต่ำเท่าไหร่ทางจิตใจจะยิ่งสูงเท่านั้น พวกไปทำร่างกายให้สูง กินดีอยู่ดีให้สูงกิเลสมันครอบงำจิตใจมันก็เลวก็ต่ำเท่านั้น มันสูงมันหรูแต่ทางกาย ทางใจมันก็เลวต่ำ นี่มันมันเป็นกฎธรรมชาติแบบนี้ ครั้นไปยกย่องบำรุงบำเรอกายไอ้ใจมันก็ต่ำ ทีนี้เราไปยกย่องบำรุงบำเรอใจ ไอ้กายมันก็ต้องต่ำบ้าง เราเลือกเอาที่ทางฝ่ายจิตใจสูง ฝ่ายการเป็นอยู่นี่นอนกลางดินก็ได้ กินจานแมวก็ได้ อะไรก็ได้ นี่มันจะง่ายในการที่จะบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ถ้าไม่บวชจริงก็เป็นอันธพาลแหละ ทั้งในผ้าเหลืองอย่างนี้ทั้งพระทั้งเณร เป็นอันธพาล เป็นอันธพาลทางวิญญาณ ในในผ้าเหลือง ให้กลัวให้มากอย่าดื้อ อย่ากระด้าง ต้องเคารพระเบียบสิกขาวินัยให้มาก อย่ามีความเป็นอันธพาล ให้จำง่ายๆ เราจะเอาคำพังเพยชาวบ้านที่พูดอยู่แถวนี้ ซึ่งคงจะมีตลอดไป ถึงปลาย สุดปลาย ปลายสุดภาคใต้พูดกันอยู่ก่อนตั้งแต่เราไม่เกิด ได้ยินเกิดมาแล้วก็ได้ยินว่า บวชลี้ บวชลอง บวชครองเวณี บวชหนีทหาร บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อน กี่อย่างนับดู บวชลี้ บวชลอง บวชครองเวณี บวชหนีทหาร บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อน หก ว่าไปทีละอย่าง บวชลี้คือบวชหนี หนีมาบวช หนีนายหนีอันตรายหรือหนีคุกหนีตารางหรือว่าหนีอะไรทั้งนั้น หลบลี้ หนีมาบวช เช่นเป็นทาสก็หนีมาบวช เพื่อนจะตีหัวให้ตายหนีมาบวช บวช บวชลี้หนีภัยมาบวช ทีนี้บวชลองนั้นมันไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี ลองดูคิดว่าน่าจะลอง ลอง นี่คุณระวังให้ดีว่าบวชคราวนี้บวชลองหรือเปล่า บวชลองปิดภาคบวชลองหรือเปล่า ทีนี้บวชที่สามบวชครองเวณีหมายความว่าบวชตามธรรมเนียมครบอายุก็ต้องบวช นี่บวชครองเวณีบวชรักษาประเพณีบวชตามประเพณี ทีนี้บวชหนีทหารนี่มันหนีราชการ ไม่อยากเป็นทหารเป็นต้น แล้วก็บวชหนีมาบวช สมัยก่อนอาจจะพ้นสมัยนี้ก็ลำบาก ที่ว่าบวชก็ยังได้รับสิทธิพิเศษในการหนีหลบหลีกได้บ้างเหมือนกันบวชหนีทหาร บวชผลาญข้าวสุก นี่มันบวชเพื่อจะกินข้าวสุกอาศัยวัดกิน หมดท่าที่ทำมาหากินเองมาบวชกินข้าวสุกวัด ไม่ต้องลำบากอะไรนักขอกินจากพระไปวันๆ หนึ่ง หรือบวชสนุกตามเพื่อน หมายความว่าบางแห่งนั้นเขาเล่นหัวกันสนุกสนาน หรือว่าเกลอของเราบวช เอ้า, เราบวชกัน พอเพื่อนของเราบวชเกลอของเราบวชหรือว่าญาติของเราบวช ก็มันสนุกดี นี่ใน ๖ อย่างนี้เขาหมายความว่ามันใช้ไม่ได้โว้ย ไม่ใช่ว่าดี ไอ้บวชที่ถูกต้องที่แท้จริงคือบวชหนีทุกข์ บวชหนีความทุกข์ บวชเอาชนะความทุกข์ ไอ้บวชลี้ บวชลอง บวชครองเวณี บวชหนีทหาร บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อนนี้เขาเรียกว่ามันใช้ไม่ได้ เป็นคนเหลวไหล ฉะนั้นระวังให้ดีในการบวชปิดภาคคราวนี้อย่าอยู่ใน ๖ อย่างนี้นะ อย่าอยู่ใน ๖ อย่างนี้ เช่นว่าบวชลองนี่ก็ไม่ถูก มันต้องบวชให้จริงมีสติปัญญามองเห็นประโยชน์ของการบวชแล้วบวชจริงไม่ใช่บวชลอง มันไม่ใช่ ไม่ใช่บวชตามประเพณีงม งมงาย แล้วไม่ใช่หนีทหาร แล้วไม่ใช่เพื่อผลาญข้าวสุก ตัวเราทำประโยชน์ได้มากเกินค่าของข้าวสุก ทีนี้มาถึงบวชสนุกตามเพื่อนนี้ดูยังสงสัย จะมีสักองค์สององค์บวชสนุกตามเพื่อน ทีแรกไม่ได้คิดจะบวช พอเห็นเขาบวชกันหลายคน เอ้า, เอากัน นี่บวชสนุกตามเพื่อน ถ้าใครมีอย่างนี้เข้านี่ก็รีบสลัดเสีย ไอ้ความรู้สึกอันนั้นรีบทิ้งไปเสีย บวชเพื่อเห็นจะได้ประโยชน์และถูกต้องตามหลักของพระพุทธศาสนาแหละ แต่ว่าจำไอ้ ๖ อย่างนี้ไว้ให้ดี ไว้เตือนตัวเอง ไว้บอกเพื่อนๆ ด้วยว่าเติบโตไปข้างหน้าจะได้บอกเด็กๆ ให้เด็กๆ เขารู้ไว้ ว่าอย่าทำโว้ย ๖ อย่างนี้ ต่อไปข้างหน้ามีลูกมีหลานจะได้บอกลูกบอกหลานว่าไอ้บวช ๖ อย่างนี้เขาตำหนิติเตียนเขาเหยียดหยามว่ามันไม่ไหว ทีนี้บวชให้ไหวให้ดีคือบวชหนีความทุกข์บวชเพื่อเอาชนะความทุกข์ เป็นสาวกที่แท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นแหละเป็นข้อแรกที่เราจะได้ประโยชน์ได้อานิสงส์จากการบวช ไอ้เรามันสามารถเอา ชนะความทุกข์เอาชนะกิเลสบังคับตัวเองได้ เอาไปเรียนหนังสือดี เอาไปทำการงานดี มีกิเลสที่อยู่ในอำนาจที่เราควบคุมได้ เราก็ได้รับความดีเป็นคนดีได้สิ่งที่ดีเรามันได้ ตามความประสงค์ของพระพุทธ เจ้าเป็นอย่างนี้ ทีนี้แถมพกผล ผลพลอยได้สำหรับพวกเธอที่บวชชั่วขณะนี้ แถมพกอีก ๒ อย่างคือ บวชแทนคุณพ่อแม่ นี่เรากล้าพูดเลยและเชื่อมั่นด้วยว่า ที่เธอบวชกันเข้ามานี้ พ่อแม่ดีใจมากเห็นตามมาส่งก็มี ถึงไม่ตามมาส่งก็ดีใจมาก พ่อแม่ได้เห็นเธอบวชนี่ดีใจมาก อื่นๆ ถ้าไม่ได้ขอให้ได้บวชพ่อแม่ดีใจ การทำให้พ่อแม่สบายใจนั้นน่ะคือแทนคุณพ่อแม่ แล้วเราเป็นพระเป็นเณรที่สวยสดงดงามแล้วพ่อแม่ยิ่งดีใจ พ่อแม่ยิ่งได้บุญได้ ได้กุศลคือความปิติปราโมทย์ของพ่อแม่นั่นมันเป็นบุญเป็นกุศล แล้วพ่อแม่จะมีศรัทธาในศาสนาเพิ่มขึ้นจะมีปัญญาในศาสนาเพิ่มขึ้น เราทำให้พ่อแม่ได้เป็นญาติในพระศาสนายิ่งขึ้นนี่ นี่คือการทดแทนคุณบุญคุณของพ่อแม่อย่างสูงสุดเลย แทนคุณอย่างอื่นไม่สูงสุดไม่ แม้จะหาเงินมาให้พ่อแม่ใช้ให้สนุกสนานก็ไม่สูงสุด เดี๋ยวเอาไปกินเหล้าเสียอีก ถึงแม้ว่าเราจะให้สิ่งของต่างๆ นานา แล้วเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์โดยสุจริตนี่ก็ยังไม่ดี ไม่ดีเท่าทำให้จิตใจของพ่อแม่สูง ให้การบวชของเราทำให้จิตใจของพ่อแม่สูง แล้วก็ให้จิตใจของพ่อแม่สบาย พูดถึงตรงนี้ต้องเอาประเพณีอินเดียมาพูด หรือวัฒนธรรมอุดมคติของอินเดียเขาว่า ลูกคือผู้ไปยกพ่อแม่ออกจากนรก จำไว้หน่อย ไอ้คำว่าบุตร บุตรนั้นมันเป็นชื่อของนรกเขามีปัจจัยถ่ายทรัพย์ให้ได้ความว่ายกจากนรกที่ชื่อบุตร ฉะนั้นให้จำไว้ให้ถือเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ว่าบุตรคือผู้ยกพ่อแม่จากนรก ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่บุตรเป็นอะไรก็ไม่รู้แล้วแต่จะเรียก เป็นหน่วยสกปรกอะไรหน่วยหนึ่งออกมาจากท้องแม่ นั่นมันไม่ใช่บุตร ถ้าบุตรต้องยกพ่อแม่จากนรก นรกคือความเดือดร้อน คือความทุกข์ ความเป็นทุกข์ ไม่มีบุตรก็เป็นทุกข์ บุตรเลวก็เป็นทุกข์ ฉะนั้นเราให้เป็น ให้มี ให้พ่อแม่ได้บุตรพ่อแม่สบายใจ ถ้าเป็นบุตรที่ดีพ่อแม่ยิ่งสบายใจ สบายใจตลอดชีวิตเลย นี่คือยกพ่อแม่ออกจากนรก เป็นพระเป็นเณรยกพ่อแม่ขึ้นจากนรกได้มากกว่า พูดพิสูจน์ง่ายๆ ว่าเธอเป็นนักเรียนที่วิทยาลัยพ่อแม่ก็สบายใจ แต่ว่าพอพวกเธอบวชนะ สบายใจกว่านั้น ฉะนั้นเราจึงถือว่าเราบวชนี่ทำให้พ่อแม่ขึ้นจากนรก ยิ่งกว่าที่ไม่บวช ขอให้บวชให้ดี ให้บวชจริงเรียนจริงปฏิบัติจริงได้ผลจริงในระหว่างบวช นี่อานิสงส์ข้อที่ ๒ แทนคุณพ่อแม่ คราวนี้อานิสงส์พลอยได้อีกอันหนึ่งก็คือว่า สืบศาสนา เราบวชนี้เพื่อสืบอายุพระศาสนา บวชเดือนหนึ่งก็สืบเดือนหนึ่ง บวชสองเดือนก็สืบสองเดือน บวชกี่ปีก็สืบเท่านั้นปีแหละ แต่การที่ในระหว่างบวช ต้องเป็นการสืบอายุพระศาสนา พระศาสนามีชีวิตอยู่ได้เพราะเราบวช ในระหว่างเราบวชหนึ่งเดือนนี่ ต้องมีชีวิตอยู่ได้แน่นอน ไม่ขาดตอนไม่ขาดช่วง และมั่นคงขึ้นเพราะมันมากขึ้นนี่ ทีนี้บวชเพื่อสืบอายุพระศาสนานี้ต้องบวชจริงแหละ บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ถ้ามีคนเรียนมีคนปฏิบัติมีคนได้ผลของการปฏิบัติแล้วสอนต่อๆ ไป นี่ก็พระศาสนายังอยู่ เธอจงพยายามเรียนและปฏิบัติเอาให้ได้ผลแล้วสอนต่อๆ ไป สึกแล้วก็สอนได้ นี่บวชอยู่ก็สอนได้ ขอแต่ว่าในเมื่อบวชอยู่นี่ให้เรียนจริง ให้ปฏิบัติจริง ให้ได้ผลจริง เพราะมันสะดวกกว่าไม่บวช นี้มันเห็นอยู่ชัดๆ มันสะดวกกว่าไม่บวช ถ้าเธอไม่บวช ก็เธอเรียนได้เรียนพุทธศาสนากันตามลำพัง โดยไม่บวช แต่มันไม่จริงมันเหลวไหลเดี๋ยวเหลวไหล รวมกลุ่มกันไปเล่นอะไรไร้สาระเสียหมด ทีนี้พอมาบวช ถึงมันบวชนี่ มันบังคับไม่ให้เหลวไหล ต้องบวชจริง เรียนจริง เขามีการเรียนจริงได้มากกว่าหลายเท่าแหละ ทีนี้เด็กคนไหนอวดดีกูไม่บวชเอาหนังสือมาดูศึกษาพุทธศาสนาตามลำพัง มันได้ไม่ ไม่เท่าไหร่ได้นิดหน่อยแต่มันเหลวไหลสู้บวชไม่ได้ มันอยู่ในกรอบในวินัย มันก็เรียนจริงและปฏิบัติจริงอดทน ในระหว่างที่บวชอยู่นี้อุตส่าห์เรียนจริง ปฏิบัติจริง ด้วยความอดทน สืบอายุพระศาสนา ศาสนานี้มันหล่อเลี้ยงกันไว้ได้ด้วยการเรียน การบวช การเรียน การปฏิบัติ การสอนกันต่อๆ ไป นี่เราสืบอายุพระศาสนาเราแทนคุณศาสนา เราช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เราทำให้ศาสนามีอยู่ในโลกโลกมีศาสนาก็ร่มเย็น เรามีส่วนร่วมมือช่วยเหลือให้โลกมีความร่มเย็น จึงเรียกว่าช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ทำประโยชน์แก่โลกเป็นวงใหญ่วงกว้าง เป็นประโยชน์แก่โลก อุตส่าห์เสียสละกัดฟันเพราะมันมีอานิสงส์ใหญ่หลวง เราก็ได้ดีได้แทนคุณพ่อแม่ด้วย ได้ช่วยรักษาสืบอายุศาสนาด้วย ให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ทั้งโลกด้วย ฉะนั้นอย่าเหลวไหล อย่าเป็นอันธพาล มัวแต่หัวเราะ มัวแต่เล่นหัว มีแต่พูดดัง มีแต่ มีแต่โลเลโลเลนั่นแหละ นั่นมันเป็นอันธพาลถึงเป็นพระเป็นเณรก็เป็นอันธพาล ไปสังเกตดูให้ดี ไอ้เรื่องที่หัวเราะน่ะทำให้โง่ ชอบเล่นชอบหัวชอบหัวเราะกันนัก แต่ไม่รู้ว่าหัวเราะนั้นมันทำให้โง่นะ แล้วหัวเราะน่ะทำให้สูญเสียกำลังใจ หารู้ไม่ เอาละ ลองไปหัวเราะจิตฟุ้งซ่านไม่เป็นสมาธิไหม สูญเสียกำลังใจตอนนี้แหละ ฉะนั้นไปหาเรื่องให้ได้หัวเราะกันทุกทั้งวันเสีย จะเหนื่อยจะเพลียในทางกำลังใจ ไม่มีสมาธิจิตฟุ้งซ่านและมันก็โง่แหละ เป็นธรรมดาแหละ พระอรหันต์ไม่หัวเราะพระอรหันต์ฉลาดเป็นที่สุด ไม่มีอะไรมาทำให้พระอรหันต์น่าอัศจรรย์ใจเลย ไอ้เรานี่มันโง่เพื่อนพูดอะไรแปลกนิดเดียวก็ชอบหัวเราะกันใหญ่โต เพื่อนพูดตลกนิดเดียวเท่านั้นน่ะ หัวเราะจนเหน็ดจนเหนื่อย มันโง่ เขามาจี้ให้หัวเราะก็หัวเราะ เขาพูดเรื่องตลกนิดเดียวก็หัวเราะ คนมันโง่ ถ้าคนมันฉลาดมันไม่หัวเราะเพียงเท่านั้นมันไม่หัวเราะ มันเห็นเป็นเรื่องน่าสงสาร น่าสงสารคนพูดมันเลยไม่หัวเราะ นี่คนที่ไม่หัวเราะเป็นคนฉลาด พระอรหันต์จึงไม่หัวเราะถูกใจอะไรก็เพียงแต่ยิ้มๆ แล้วบางองค์ยิ้มไม่เป็นด้วยซ้ำไป ถึงจะแสดงความพอใจก็แสดงด้วยการยิ้ม ยิ้มแย้มไม่ต้องหัวเราะ มันมีพระพุทธภาษิตเกี่ยวกับการหัวเราะนี่ว่า ร้องเพลงคือร้องไห้ หัวเราะคืออาการของเด็กอ่อนที่นอนเบาะ เต้นรำคืออาการของคนบ้า เคยอ่านเรื่องกามนิตไม่ใช่เหรอ นั่นแหละ ผู้แต่งกามนิต รับตั้งแต่บาลีพระไตรปิฎก ในอังคุตตรนิกาย มันมีอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสว่า ร้องเพลงคือร้องไห้ หัวเราะนี่คืออาการของเด็กอมมือเพิ่งเกิดนอนในเบาะ ยิ้มแยะ เต้นรำฟ้อนรำคืออาการของคนบ้า นี่หัวเราะไม่ใช่มีความหมายอะไร มีค่าอะไร มันเรื่องของคนโง่ เรื่องของคนฟุ้งซ่าน จิตไม่เป็นสมาธิ เสียหายทำให้จิตไม่เป็นสมาธิ วันหนึ่งถ้าหัวเราะมากเท่าไรก็ จิต จิตฟุ้งซ่านและอ่อนกำลังเท่านั้นแหละ เพราะฉะนั้นอย่าชอบหัวเราะกันนัก จับกลุ่มกันหัวเราะ ไปอาบน้ำก็หัวเราะ ฉันข้าวก็หัวเราะ อะไรก็หัวเราะ นั่นเขาเรียกว่ามันไม่ไหว ไม่ไหวแล้ว ไม่มีความสัง สังวรณ์ระวังใช้ไม่ได้ มันไม่ถูกแล้ว มันเป็นเรื่องเหลวไหลโลเลแล้ว ฉะนั้นข้อแรกก็ต้องบังคับตัวเองอย่าให้ไปเที่ยวชอบไอ้อย่างนั้น ชอบเล่น ชอบหัว ชอบหยอก ชอบเอิน ชอบอะไรกันไปเรื่อย ในโรงเรียนในมหาวิทยาลัยก็มากเหลือเกิน เราสังเกตเห็นว่าในโรงเรียนก็มีมากเหลือเกิน พอว่างแล้วหยอกกัน อะไรกัน หัวเราะกัน อะไรกันนี่ นั่นทำให้จิตฟุ้งซ่านทำให้จิตอ่อนแอในทางสมาธิ แล้วถ้าจำไปสัง สังเกตดูนะ จริงหรือไม่จริง หัวเราะเท่าใดจิตยิ่งอ่อนแอยิ่งไม่เป็นสมาธิเท่านั้น แล้วยิ่งทำให้โง่เท่านั้น ช่วยจำไปสังเกตดูต่อไปในอนาคตเมื่อสึกออกไปแล้ว การหัวเราะนี้เป็นอันตรายที่สุด แต่เรากลับชอบที่สุด คราวนี้มันยังมีอื่นๆ อีกนอกจากการหัวเราะ พูดแต่เรื่องหัวเราะเรื่องเดียวก็ (นาทีที่ 33.43) ฟังไม่ออก-ขำมากมาย ถ้าเราเล่นหัว เหลาะแหละหลุกหลิก หัวเราะเรื่อย เพื่อนก็ไม่นับถือ เพื่อนก็ไม่เกรงใจ เด็กๆ มันลูบหัวได้ ถ้าเราตั้งตัวไว้ดี ปกติดูเคร่งขรึมน่ากลัว เด็กก็ไม่กล้าลูบหัว ลองไปเล่นเถอะ เด็กๆ หัวเราะเข้าให้ เดี๋ยวก็เด็กก็ลูบหัว หมาก็ไม่ ไม่กลัวกับคนหัวเราะ ถ้าวางตัวดี เคร่งครัดสำรวมมัธยัสถ์ดี หมาก็กลัวคนก็กลัว คนที่โลเลเหลาะแหละลอกแลกหัวเราะเรื่อยไม่มีใครกลัว จะขาดทุน ฉะนั้นเมื่อบวชเข้ามาแล้วเลิกเรื่องที่เหลาะแหละโลเลลอกแลกหัวเราะหัวให้นี้เสียที พระพุทธเจ้าปรับอาบัติเรื่องเล่นเรื่องหัวเรื่องหัวเราะอะไรพวกนี้ อาบัติปาจิตตีย์ข้อลงไปอาบน้ำได้ ไม่เป็นอาบัติ แต่ถ้าลงไปหัวเราะในน้ำเป็นอาบัติ ถ้าลงไปเล่นน้ำสนุกสนานสรวลเสเฮฮาหัวเราะกันในน้ำเป็นอาบัติ อาบน้ำตามปกติไม่เป็นอาบัติ ต้องกันเรื่องหัวเราะออกไปเสีย นี่คือเรื่องไม่จริง เดี๋ยวนี้เราบวชจริงเรียนจริงปฏิบัติจริงได้ผลจริงสอนกันไปจริง เอา เอาเวลาไหนมาหัวเราะ ถ้าเอาจริงกันนะ ไอ้นั้นน่ะมันยากเรื่องนี้ ผมก็เห็นว่ายากเพราะตั้งแต่เกิดมาโน่น ตั้งแต่เล็กๆ มาโน่นเขาสอนให้หัวเราะ เขาจี้ให้หัวเราะแล้วเด็กๆ ก็หาเรื่องที่จะเล่นหัว หัวเราะกันเรื่อยเขาดูว่าเป็นความสุข ถูกแหละเป็นความสุขแต่ความสุขที่ทำให้โง่ ฉะนั้นอย่าหัวเราะให้มากนักเลย หัวเราะแต่พอสมควรเถอะ ร่างกายมันก็สบายดีแข็งแรงดี เดี๋ยวนี้มันเกินไปมันเสียในทางจิตใจ นี้คือข้อไม่สำรวม ไม่สำรวมก็ไม่ใช่พระ ไม่สำรวมก็ไม่ใช่บรรพชิต บรรพชิตต้องสำรวม บวชนี้ก็แปลว่าเว้น คือสำรวมเว้นหมดไปหมดจากความเป็นฆราวาสจากการเล่นการหัวจากการเหลวไหลนานาชนิด บวช ป ว ช เป็นภาษาไทยถอดออกมาจากคำว่า ปพฺพชฺชา ป ว ช ไปหมดเว้นหมดจากสิ่งที่ควรเว้น คุณบวชแล้วก็ต้องเว้นจากสิ่งที่ควรเว้นทุกชนิดเลย ก็จะเป็นบวช เดี๋ยวนี้ไม่สนใจกัน กันนี่คำว่าบวชแปลว่าอะไร รู้แต่ว่าโกนหัวเข้าวัดแห่มาบวชกันนี่ ก็เรียกว่าบวชเป็นอย่างนั้นเสีย ไอ้บวชไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้ไม่โกนหัวก็ได้แต่โกนหัวก็ดีเหมือนกันมันอยู่ที่เว้น เว้นสิ่งที่ควรเว้น สิ่งที่ควรเว้นคือสิ่งที่กิเลสมันพาไป กิเลสความโลภ ความโกรธ ความโง่ ความหลงมันพาไป นั่นแหละสิ่งนั้นต้องเว้น เราไม่ให้กิเลสพาไป เราให้สติปัญญาควบคุมเอาไว้ นั่นน่ะคือบวช จะนุ่งผ้าเหลืองหรือจะไม่นุ่งก็ตามใจจะโกนหัวหรือไม่โกนก็ตามใจเรียกว่าบวชหมด ถ้าผู้ใดเว้นจากสิ่งที่ควรเว้นชนิดนี้แล้วคนนั้นเป็นบวช ไว้ผมยาวก็ได้นุ่งผ้าอื่นสีอื่นก็ได้อยู่ อยู่บ้านก็ยังได้ แต่อย่าไปทำอะไรที่จะต้องเว้น สิ่งที่ต้องเว้นก็ต้องเว้นบวชอยู่ที่ อยู่ที่ละนะ พระอยู่ที่จริง ดีอยู่ที่ละ พระอยู่ที่จริง พระอยู่ที่จริงเณรก็อยู่ที่จริงนั้นแหละอย่าเพียงแต่พระ อยู่ที่บวชจริง เรียนจริงปฏิบัติจริงได้ผลจริงสอนกันจริง จริงนี้ทำให้เป็นพระเป็นเณร ดีอยู่กะสละอย่าเอา เอามันยิ่ง ยิ่งเลว สละออกไปสละออกไปนั้นแหละ ดี ไอ้พระนั้นอยู่ที่จริง ถ้าไม่สละก็สะสมแหละ เก็บสตางค์ไว้ซื้อยาสูบ ไว้กินกาแฟ กินอะไรตามเรื่องตามราว นั่นเป็นเรื่องสะ สะสม ไม่ดี เราไม่คิดสะสมไอ้ของชนิดนี้ สะสมเอาแต่ความดีสะสมความดีไว้มากๆ ไอ้เรื่องเหยื่อของกิเลสอย่าไปสะสมมัน มันจะพาลงไปในนรกในความต่ำ เป็นบรรพชิตเขาแปลว่าผู้บวชหรือนักบวช ปพฺพชฺชัง ปพฺพชฺชา ก็คือบวช ปพฺพชฺชาแปลว่าการบวชคือความเป็นคนบวช ปพฺพชิโตคือผู้ที่ได้บวชแล้ว เวลานี้เราเป็นบรรพชิตคือผู้ที่ได้บวชแล้ว เราต้องเว้นบังคับตัวเองให้เว้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเว้นความโลเลเหลาะแหละหัวเราะกันเรื่อย ถ้าได้ยินเสียงกันหัวเราะ สรวลเสเฮฮาอยู่ ทีนี้ชาวบ้านแอบขึ้นไปดู อ้าว, พระทั้งนั้นเณรทั้งนั้น นั่นน่ะคือข้อฉิบหาย ชาวบ้านจะดูถูกจะเกลียดชังจะไม่นับถือ พระอะไรหัวเราะกันดังลั่นสรวลเสเฮฮาหยอกเอินกัน มันไม่ ความไม่เป็นบรรพชิต มันอยู่ที่ไหน เป็นบรรพชิตต้องสำรวมให้จิตใจอยู่ในสภาพที่ถูกต้องเสมอ ให้กายวาจาพลอยอยู่ในสภาพที่ถูกต้องไปตามจิตตามใจด้วย ดำรงจิตใจให้ถูกต้องก่อน แล้วกายวาจาไม่ไปไหนเสีย เวลานี้เรามันไม่สำรวมจิตไม่สำรวมใจนี่ ไอ้กายวาจามันเตลิดเปิดเปิงไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำ เล่นหัวกันเรื่อย เห็นแก่ปากเห็นแก่ท้องเห็นแก่ความสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางตาทางหูทางจมูกอยู่เรื่อยเหมือนกับไม่ได้บวช บางคนนะบางแห่งบางคนบวชแล้วยิ่งเลวกว่าไม่บวช เพราะเมื่อไม่บวชมันจนไม่ค่อยมีสตางค์ใช้ไม่ค่อยได้สูบบุหรี่ พอบวชเข้าแล้วเขาให้สตางค์ให้โน่นให้นี่กันมา มีสตางค์ซื้อบุหรี่ซื้อกาแฟซื้ออะไรมาก เลยเลวกว่าเมื่อไม่ได้บวช แต่ไม่ใช่ผมว่าหมายถึงคุณ ไม่ใช่ พวกคุณคงไม่อยู่ในสภาพนั้น แต่คนที่อยู่ในสภาพนั้น มันก็มีอยู่เหมือนกัน เห็นอยู่กับตา เมื่อ เมื่อไม่ได้บวชมันจน พ่อแม่ก็จนพอบวชเข้าคนโน้นให้คนนี้ให้ไปสวดมนต์ไปบังสกุลเลยได้มาเรื่อย มันก็เลยทำไอ้สิ่งอย่างนี้ ยิ่งกว่าเมื่อไม่ได้บวช นี่วันแรก นี่วันแรกพูดจากันเรื่องนี้ก็ต้องพูดเรื่องนี้แหละ เรื่องอื่นไม่จำเป็น ขอให้เป็นพระเป็นเณรที่ดี ให้ถูกต้อง คำว่าสามเณรนั้นเขาแปลว่าเหล่ากอของสมณะ คนที่เคยเรียนบาลีแล้วรู้ทุกคนแหละ ถึงเป็นเณรมันเคยเรียนบาลีมันรู้ สามเณระนี้แปลว่าอะไร แปลว่าเหล่ากอของสมณะ เพราะคำว่าสามเณระนี้มันออกมาจากสมณะ ออกมาจากศัพท์ว่า สมณะ สมณะแปลว่า สมณะผู้สงบ เขาลงปัจจัยเอระแล้วทำสะให้เป็นสาให้ยาว จึงเป็นสา มะ เณ ระ คือสมณะนั่นเอง ฉะนั้นสามเณรคือเหล่ากอของสมณะ หมายความว่ามันจะเป็นสมณะในข้างหน้า สามเณรเป็นเหมือนกับหน่ออ่อนๆ ที่เพิ่งแตกหน่อออกมาเพื่อจะเติบโตเป็นต้นใหญ่โตข้างหน้าในความเป็นสมณะ ทีนี้พระก็อย่าดูถูกเณร อย่าดูถูกเณร เณรคือผู้ที่พร้อมจะเป็นสมณะเหมือนกัน แล้วเณรก็อย่าตีตัวเสมอพระเพราะว่าเรามันยังอ่อนอยู่ รักษาเสงี่ยมเจียมตัวอย่าไปตีตัวเสมอพระไปนั่งเทียมพระ ไปอะไรเหมือนพระ ต้องให้ความเคารพแก่พระเสมอ เพราะเราเป็นเพียงหน่ออ่อนของสมณะเท่านั้น ผู้ที่จะเป็นพระในอนาคต แต่พระก็อย่าไปดูถูกเณร อย่าไปพูดจาล่วงเกินอย่าไปแสดงกิริยาล่วงเกิน หรือดูหมิ่นในจิตใจ เพราะว่าเณรคือผู้ที่กำลังจะงอกงามขึ้นมาเป็นพระ อย่าไปทำ ทำการดูหมิ่นย่ำยีอะไรเสีย จงช่วย ช่วยเหลือช่วยประคับประคองช่วยเหลือให้ความเป็นเณรน่ะมันเป็นมากขึ้นมากขึ้นมากขึ้น แล้วอาจจะมีอะไรเท่าพระได้เหมือนกันทั้งเป็นเณรนี่ เพียงแต่ว่าอายุมันยังน้อยเขาจัดเป็นระเบียบวางไว้ว่าให้บวชเณรกันก่อน ให้มันปฏิบัติไหวเพราะว่ามันยังเด็กก็ให้ปฏิบัติแต่น้อยพอปฏิบัติไหว พอเป็นพระเป็นผู้ใหญ่สมบูรณ์เป็นพระแล้วก็ให้ปฏิบัติมากขึ้นไปอีก ฉะนั้นพระกับเณรนี้ต้องรู้จักปฏิบัติต่อกันและกันให้ดีๆ อย่ากลายเป็นเพื่อนร่วมมือกันเหลวไหลทำสกปรกทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ภิกษุหนุ่มและสามเณรมีปัญหาเป็นปัญหา มักจะกลมเกลียวกันไปทำในสิ่งที่ไม่ควรจะทำ ระวังให้ดีๆ อย่าให้มันเสีย เสียแต่ต้นมือ มันจะกลายเป็นว่าไอ้หน่ออ่อนนี้ถูกแมลงกัดกร่อนเสียจนหน่ออ่อนนี้เน่าตายไปไม่ขึ้นไม่งอกงาม พระบวชใหม่สามเณรนี้เหมือนๆ กันแหละในข้อนี้ ระวังให้ดี สามเณรคือหน่ออ่อน ไอ้พระบวชใหม่ก็เพียงแต่หน่อที่แก่เท่านั้น แต่ยังไม่เป็นลำต้นอะไรมากมายนัก ต้องบวชไปนานๆ จึงจะรู้อะไรพอสมควรปฏิบัติให้ได้พอสมควร ช่วยกันเห็นอกเห็นใจกันให้ดีๆ ช่วยกันให้ไปแต่ในทางดีทางสูงแหละ อย่าชวนกันไปในทางต่ำ ในความเป็นเณร ฉะนั้นเราก็ได้โอกาสบวชเณรบ้าง บวชพระบ้าง บวชพระก็เป็นพระหนุ่มพระใหม่ ระวังกันให้ดีๆ อย่าให้ผิดหวังของบิดามารดาของครูบาอาจารย์ที่เขาแนะนำให้เราบวช หรือจัดให้เราบวช ถ้าบิดามารดาหรือครูบาอาจารย์ที่วิทยาลัยรู้เข้า แล้วจะเสียใจ เสียหายมาก ตัวเราก็เสียหาย มนุษย์ก็เสียหาย สถาบันก็เสียหาย รับผิดชอบก็อย่าทำให้เสียหาย ทีนี้จะพูดถึงข้อที่ว่าทำอย่างไรจึงจะทำได้ เราไม่อยากจะเสียหาย แต่เรายังทำเสียหายนี้เพราะเหตุไร เพราะเหตุว่าบังคับตัวไม่ได้ การบังคับตัวเองไม่มีหรือมีไม่มากพอ นั่นแหละพาให้ความเสียหาย คำว่าบังคับตัวเองนี้เป็นคำที่สำคัญในโลกรู้หรือไม่ การบังคับตัวเองนี้เป็นคำที่สำคัญในโลก ทุกชาติทุกศาสนาจะมีคำนี้ ไม่เกี่ยวกับศาสนาก็มีคำนี้ เกี่ยวกับศาสนาก็มีคำนี้ สุภาพบุรุษตามธรรมดาในความหมายของพวกฝรั่งแล้วก็คือบังคับตัวเองได้ คำว่าบังคับตัวเองสั้นๆ นี้ไม่ใช่เล่นๆ เป็นคำที่ศักดิ์สิทธิ์ของโลกไปเลย พอปราศจากการบังคับตัวเองแล้วก็โลกนี้ฉิบหายแหละ มีการล่วงเกินกันโดยไม่รู้สึกตัว หรือโดยเจตนาด้วย แล้วก็จะเบียดเบียนกัน จะทำลายกัน จะอะไรกัน เห็นแก่ตัว ฉะนั้นบังคับตัวเองให้ได้แล้วสิ่งต่างๆ จะเป็นไปในทางดี เวลานี้ผิดศีลผิดวินัยเพราะบังคับตัวเองไม่ได้ โง่เง่าสะเพร่าขี้หลงขึ้ลืมนี่ก็เพราะบังคับตัวเองไม่ได้ ทุกอย่างแหละจะเป็นความเสียหายขึ้นมาโดยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดีมันมาจากการบังคับตัวเองไว้ไม่ได้ ทีนี้บวชก็คือการบังคับตัวเองหัดบังคับตัวเอง ในระหว่างบวชหัดบังคับตัวเอง มันก็จะแก้ปัญหาได้ ไอ้สิ่งที่ทำไม่ได้จะทำได้ บังคับตัวเองก็หมายความว่าอย่าตามใจตัวเอง ตัวเองในที่นี้หมายถึงกิเลส ตามใจกิเลสนั่นแหละคือตามใจตัวเอง ในที่นี้ในกรณีอย่างนี้ตามใจกิเลสก็คือตามใจปาก ตามใจท้อง ตามใจหูตาจมูกลิ้นกาย เขาเรียงลำดับไปแล้ว ตาหูจมูกลิ้นกาย ตามันอยากจะไปดูหนัง มันก็ไปดูทั้งเป็นพระเป็นเณร เคยเห็นบางวัดบางแห่งพระเณรไปดูหนังกันแดงเถือกไปเลย หนังมาฉายในวัดหรือว่าข้างๆ วัดปีนรั้วดูกัน นี่บังคับตาไว้ไม่ได้ บังคับตัวเองทางตาไม่ได้ บังคับตัวเองทางหู ถ้าบังคับไม่ได้ก็เปิดวิทยุเพลงฟัง เป็นพระเป็นเณรแอบเปิดวิทยุเพลงฟังข้างหมอนกลัวไม่ให้ใครได้ยิน กลัวใครจะได้ยินก็เปิดเบาๆ อยู่ข้างหมอน นี่บังคับตัวเองทางหูไม่ได้ ทางจมูกก็เหมือนกันเลื้อยไปหาของหอม ถูสบู่หอม เณรบางคนมาหลอกผมว่าถูสบู่ซันไลต์นี้มันคัน มันมันหลอกอยากถูสบู่หอม ใช้ไม้สีฟันธรรมดาไม่ได้ต้องเอายาสีฟันที่หอมๆ มาถู มันมันมันบังคับตัวเองไม่ได้ในทางจมูก มันอยากให้หอม ทางลิ้นทางปากมันอยากให้อร่อย ถ้าไม่อร่อยก็บ่น ทีนี้มาเป็นพระเข้าแล้วจะเอาอร่อยทางลิ้นนี้ไม่ได้มันจะไม่เป็นพระ ถึงเป็นฆราวาสก็เถอะตามใจลิ้นชอบอร่อยนัก เดี๋ยวเถอะเกิดเรื่องแหละ อย่างน้อยก็หมดเปลืองแหละ เอาที่มันถูกต้องที่มันมีประโยชน์ก็แล้วกัน อร่อยก็ดีไม่อร่อยก็ได้ ถ้ามันบำรุงร่างกายได้ ก็เอาก็แล้วกันกินเข้าไปได้ ทีนี้ทางผิวหนังชอบความนิ่มนวลชอบอะไรกามารมณ์ทางผิวหนังนี่ร้ายกาจ ถ้าบังคับไม่ได้ละก็มีหวังฉิบหาย นักเรียนหญิงเลวก็เพราะเหตุนี้ นักเรียนชายเลวก็เพราะเหตุนี้ เพราะบังคับไอ้ความรู้สึกสัมผัสทางผิวหนังระหว่างเพศไม่ได้ มันจึงเป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เล็ก (นาทีที่ 51.17) ฟังไม่ออก เรื่องบังคับตาหูจมูกลิ้นกายไว้ไม่ได้ มันล้มละลายถึงมันไม่ถึงกับล้มละลายมันก็เลวๆ อยู่อย่างนั้นแหละ มันอยู่ในสภาพที่เลวๆ ฉะนั้นเราเวลานี้มันเป็นผู้ที่ต้องระวังสำรวมที่สุด ภาษาศาสนาเขาเรียกเป็นพรหมจารีย์ เด็กเกิดมาก่อนแต่งงานก่อนสมรสเขาเรียกพรหมจารีย์ เป็นเด็กชาวบ้านก็ได้บวชพระบวชเณรก็ได้เป็นพรหมจารีย์หมด ต้องประพฤติเคร่งครัดสำรวมระวังอย่างดีที่สุด บังคับตัวเองอยู่ที่คำว่าบังคับตัวเองอย่างเดียว พรหมจารีย์เขาแปลว่าประพฤติประเสริฐ ประพฤติอย่างประเสริฐสะอาด ประพฤติอย่างประเสริฐก็คือให้มันสะอาดหมดจดให้มันไม่มีความผิด นั่นคือบังคับตัวเอง เป็นพระเป็นเณรก็บังคับตัวเองให้มันสะอาดหมดจดอยู่เรื่อยไป เป็นพรหมจารีย์นี่ก็คือบวช นี่ก็คือเป็นพระเป็นเณร แล้วนี่ก็คือข้อจะแก้ปัญหาได้คือบังคับตัวเอง แล้วเป็นพระเป็นเณรมันจริง พอไม่บังคับตัวเองแล้วก็เหลวหมด ถึงเป็นนักเรียนก็เหมือนกันแหละจะเป็นนักเรียนที่ดีได้เป็นนักศึกษาที่ดีได้เป็นนิสิตที่ดีได้มันก็ต้องบังคับตัวเอง บังคับตัวเองในทุกกรณีที่ควรบังคับ นี่ นี่มันไปกันใหญ่แล้วนี่ คุณก็รู้ใช่ไหมในมหาวิทยาลัยนี่ ในมหาวิทยาลัยก็เป็นนักเรียน นอกมหาวิทยาลัยก็เป็นฮิปปี้ แล้วเปิดเทอมก็เป็นนักศึกษาปิดเทอมก็ไปเป็นฮิปปี้ มันบังคับตัวเองไม่ได้เท่านั้นแหละ มันไม่ใช่มีเรื่องอะไร แล้วมันก็เลอะเทอะหมด ฉะนั้นเราจงภาวนาในการที่จะบังคับตัวเอง อธิษฐานจิตที่จะบังคับตัวเอง บังคับตัวเองนี้มันต้องทนนะ ไม่ใช่มัน ไม่ใช่มัน ไม่ใช่มันสนุกเรามันต้องทน ต้องยอมเสียสละต้องยอมอดทนเจ็บปวดก็ต้องอดทน น้ำตาไหลก็ต้องทน เขามีคำไพเราะไว้อีกคำหนึ่งว่า ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตาพอฟังออกไหม เรารักษาศีลวินัยคือประพฤติพรหมจรรย์แล้วก็ทำด้วยน้ำตา หมายความว่ามัน มันฝืนความรู้สึกของเราเหลือเกิน แต่เราก็ไม่ยอม เราจะเอาให้ได้ น้ำตาไหลก็ไม่ยอม รักษาไว้ให้ได้ สมมติว่าเณรหิวข้าวตอนเย็นหิวใจจะขาดก็ไม่ยอมกินข้าวไม่ยอมกินข้าวตอนเย็น น้ำตาไหลก็ไม่ ไม่ยอมกินข้าวตอนเย็น นี่ตัวอย่างที่ว่าประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา เรื่องที่อยากจะสูบบุหรี่ อยากจะไปสำมะเลเทเมาอะไรก็อดกลั้นไว้จนน้ำตาไหล ก็ไม่ไป ประ พฤติพหรมจรรย์ด้วยน้ำตา แม้กระทั่งว่าทำรักษาศีลเจริญสมาธิอะไรทำไม่สำเร็จ ก็ทำให้มันสำเร็จให้จนได้ เหน็ดเหนื่อยหรือว่าน้ำตาไหลเพราะความอดทน ก็ต้องทนให้มันได้นั่นแหละความอดทนมันช่วยให้การบังคับตัวเองเป็นไปได้ พอเราไม่ทนก็เราเลิกเสียแล้ว ไม่บังคับตัวเองอีกต่อไป สิ่งอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องก็อย่าไปเกี่ยวข้องมันจะไม่ต้องทนมากเกินไป ละเว้นเสียอย่าไปเกี่ยวข้องด้วย ถ้าไปเอามาเกี่ยวข้องเข้าแล้วมันทำให้ลำบาก สิ่งอะไรไม่ควรมีในห้องนอนอย่าเอามาใส่ไว้ เช่น รูปเปลือย หรือว่าวิทยุ หรือโทรทัศน์อะไรนี่ อย่าเอามาใส่ไว้ในห้องนอน มันจะทำให้ต้องทนเกินไปแล้วทนไม่ได้แล้วล้มละลาย นี่พระเณรบางคนยังมีรูปเปลือยสะสม นี่แก้ตัวว่ามันภาพศิลป์บ้าง calendar บ้าง โกหกทั้งนั้น ใจมันชอบไอ้ความเปลือยความไอ้นั่นกามารมณ์ มันหารู้ไม่ว่านั่นอันตราย มันทำให้เราปั่นป่วนจนบังคับไม่ไหวจนจิตใจมันเลวทราม ผ้าเหลืองมันร้อนแล้วมันก็ต้องไป ว่าจะบวชสักพรรษาหนึ่งก็ต้องสึกกลางพรรษา นี่เรียกว่าการบวชหรือพรหมจรรย์นี่อยู่ได้ด้วยความอดทน ความอดกลั้น ความเฉลียวฉลาดในการอดทน อดทนให้ได้สู้ให้ได้อย่าให้ล้ม กิเลสมันก็เปรียบเหมือนกับข้าศึกที่จะมาทำลาย เราต้องสู้ให้ได้ ถ้าแล่นเรือในทะเลกิเลสก็เหมือนพายุ ถ้าพายุมา ไอ้เจ้าของเรือต้องเก่งต้องฉลาดต้องเก่งต้องต่อสู้ต้องอะไรอย่าให้เรือมันจม ชีวิตเหมือนกับการเดินทาง สิ่งที่ทำให้ล้มละลายมีมาก เราต้องฉลาดเราต้องต่อสู้ จะสำเร็จด้วยความอดทนไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เอาล่ะ คุณกำหนดจดจำให้ดีเสีย วันนี้พูดเรื่องอะไรบ้าง พูดเรื่องเมืองตำปรื้อมันศักดิ์สิทธิ์ มาตั้ง ๑,๒๐๐ ปี รักษาเกียรติของเมืองตำปรื้อไว้บ้าง เราอุตส่าห์เล่าอุตส่าห์เรียนอุตส่าห์ทำให้ดีก็จะมีคุณค่า รักษาเกียรติของเมืองตำปรื้อไว้ได้ อย่าให้พวกบางกอกมันดูถูกได้ คำนี้มาจากเจ้านายพูดกันทั้งเมืองกรุงเลย ดูถูกคนปักษ์ใต้เรียกว่าเมืองตำปรื้อ แล้วก็ชาวบ้านมันพลอยเอาอย่าง ชาวบางกอกมันเรียกชาว ชาวปักษ์ใต้ว่าเมืองตำปรื้อ เราก็จะแสดงภูมิของเมืองตำปรื้อไว้ อย่าเหลวไหลทำให้เก่งเท่าชาวบางกอกให้เก่งกว่าชาวบางกอก เพราะเรามีเลือดมีเนื้อเคยสูงเคยมีมานานแล้ว ทีนี้อุตส่าห์เรียนในหน้าที่การงานอุตส่าห์เรียน ทีนี้ปิดภาคเรียนเราบวช เพื่อเอาผลประโยชน์อีกส่วนหนึ่งซึ่งมันจะวิเศษสำหรับทำให้เรามีความสุขได้ง่าย ให้มีจิตใจดีเหมาะที่จะไปเล่าไปเรียนใหม่ให้ดีกว่าเดิม อบรมจิตใจเตรียมให้ดีเอาไปใช้ในการเล่าเรียนในการเปิดภาคใหม่คราวหน้าให้ดี ระหว่างบวชนี่ต้องบวชจริงเรียนจริง ทำให้ได้ผลจริง แล้วก็ให้แทนคุณพ่อแม่ ให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ และพรหมจรรย์นี้ต้องลงทุนมาด้วยน้ำตา และก็มีการบังคับตัว เองอยู่ตลอดเวลา ก็เลยสำเร็จตามความประสงค์มุ่งหมาย นี่วันแรกนี้ให้พรขอให้ทุกคนเจริญก้าวหน้าในพรหมจรรย์สำเร็จสมตามความประสงค์มุ่งหมาย วันหลังจะได้พูดเรื่องอื่นต่อไปตามลำดับ วันนี้ยุติที พอสมควรแก่เวลาหนึ่ง