แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
สามเณรทั้งหลาย ในวันนี้เราจะพูดถึงเรื่อง ความเชื่อฟัง ในฐานะเป็นธรรมะสำคัญที่สุดก็ว่าได้ ในเรื่องความเชื่อฟัง เป็นธรรมะสำคัญที่สุดอย่างไร ก็จะได้พูดกันต่อไป เหตุที่ต้องมีความเชื่อฟังก็เพราะว่า ผู้นั้นมันยังไม่รู้ คือยังไม่ค่อยจะรู้สิ่งที่ควรจะรู้ โดยเฉพาะเด็ก ๆ และโตขึ้นมาหน่อยก็บวชเป็นสามเณร มันก็ยังเป็นเด็ก และบางทีก็จะสึกกลับออกไปเป็นเด็กอีก
คำว่าเด็กก็หมายความว่า ผู้ที่เพิ่งเกิดมา เพิ่งเกิดมามันยังไม่ทันจะได้รู้ได้ศึกษาอะไร มันก็เลยทำอะไรให้ถูกต้องไม่ได้ เพราะว่าไอ้ความถูกต้องนั้นมันมีความหมายมากทีเดียว มันต้องรู้จัก ผิด ถูก ชั่ว ดี ประโยชน์ โทษหรือคุณ หรืออะไรทุกอย่างมันถึงจะรู้ว่า ทำอย่างไรจึงจะเรียกได้ว่าเป็นความถูกต้อง เดี๋ยวนี้เรามันเพิ่งเกิดมา เพิ่งจะเรียนหนังสือหนังหากันบ้าง และก็ไม่ได้รับการสั่งสอนอบรม เรื่องความถูกต้องด้วยซ้ำไป เพราะว่าหลักสูตรในโรงเรียนนั่นน่ะมันยังไม่พอ มันยังมุ่งแต่ให้เรียนหนังสือ เข้าใจว่าถ้าไม่รู้หนังสือแล้วมันก็จะเสียหายหมด ก็เลยเรียนกันแต่หนังสือ ไม่ค่อยได้เรียนเรื่องความถูก ความผิด ความดี ความชั่วอะไรนัก มีบ้างมันก็ติดมาตามขนบธรรม เนียมประเพณี มันก็ผิวเผิน มันไม่จริงจังเหมือนกับที่จะได้เล่าเรียน ดังนั้นพวกเราเด็กๆ นี่มักจะรู้แต่หนังสือ และไม่ค่อยรู้ประสีประสา ฟังดูให้ดีรู้แต่หนังสือ แล้วก็ไม่ค่อยรู้ประสีประสา ยังทำอะไรชนิดที่พูดตรงๆ ก็ว่ายังโง่ ยังทำอะไรที่โง่ๆ อยู่มาก แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวมันโง่หรือการกระทำนั้นมันยังโง่อยู่ เพราะมันไม่รู้ ถึงผู้ใหญ่ก็เหมือนกันแหละ ถ้ามันยังไม่รู้มันก็ทำอะไรโง่ๆ ได้เหมือน กัน เพราะฉะนั้นการพยายามรู้กันซะบ้างนี่ดี ว่าทำอย่างไรถึงเรียกว่าถูกต้อง ทำอย่างไรเรียกว่าไม่ถูกต้อง
ทีนี้จะให้มาพูดกับพวกเธอที่ยังไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันก็พูดลำบาก มันก็พูดลำบาก แต่มันต้องพูด มันก็พูดเท่าที่จะพูดได้ จึงอยากจะให้ความหมาย ให้กฎเกณฑ์ของคำว่าถูกต้อง ถูกต้องนี้ไว้ว่า ไม่ทำอันตรายแก่ใคร และทุกคนได้รับประโยชน์ คือไม่เป็นโทษแก่ใครและทุกคนได้รับประโยชน์ เรียกว่ามันเป็นคุณแก่ทุกฝ่ายก็ได้ ถ้ามันเป็นคุณแล้วมันก็ไม่มีโทษ ความถูกต้องคือเป็นคุณแก่ทุกฝ่าย ไอ้เราจะเอาตามใจเราว่าถูกต้องนั้นคือเราได้ก็แล้วกัน เราได้ตามที่เราต้องการนั่นแหละมันถูกต้อง นั่นมันถูกต้องของอันธพาล หรือบางทีก็เป็นความถูกต้องของสัตว์เดรัจฉาน มันว่ามันได้ก็แล้วกันมันได้กินก็แล้วกัน อย่างอื่นไม่รู้เอานี้เป็นความถูกต้อง เราเรียกความถูกต้องของอันธพาลบ้าง ความถูกต้องของสัตว์เดรัจฉานบ้าง คนอันธพาลก็มีความถูก ต้อง อยู่ที่เขาได้รับประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงปล้น จี้ ขโมย หลอกลวงต่างๆ นานา เพื่อเขาได้รับ ประโยชน์ และเขาก็ถือว่าเขาทำถูกต้องแล้ว คือถูกต้องตามความรู้สึกคิดนึกหรือความต้องการของเขา อย่างนี้คนอื่นมันทนไม่ได้ คนอื่นมันทนไม่ได้ หรือว่าถ้าถือความถูกต้องกันในลักษณะเช่นนี้พร้อมกันทุกคนแล้ว มันก็ฆ่ากันตายหมดแหละ ฉันก็ต้องได้ตามที่ฉันต้องการ ฉันก็ต้องได้ตามที่ฉันต้องการ ฉันก็ต้องได้ตามที่ฉันต้องการพร้อมๆ กันอย่างนี้ มันก็ต้องฆ่ากันหมด แล้วมันจะเป็นความถูกต้องได้อย่างไร
เราจึงบัญญัติกฎเกณฑ์ความถูกต้องหรือถูกไม่ผิดเป็นคุณโดยส่วนเดียว คือว่าทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ไม่มีใครเสียหายเป็นอันตราย ที่จริงพูดว่าทุกฝ่ายได้รับประโยชน์มันก็พอ แล้ว เมื่อทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ ก็ไม่มีฝ่ายใดต้องเสียหายหรือเป็นโทษ แต่พูดกำกับไว้อีกทีให้มันชัดว่า ไม่มีใครเสียหาย หรือเป็นอันตราย จะต้องนึกถึงข้อที่ทุกคนได้รับประโยชน์ และกาลนั้นเป็นความถูก ต้อง พวกอื่นเขาอาจจะบัญญัติอย่างอื่น เขาบัญญัติอย่างนั้น บัญญัติอย่างนี้ ประกอบด้วยองค์ ประกอบอย่างนั้นอย่างนี้หลายๆ ข้อแล้วถึงจะเรียกว่าถูกต้อง เราว่าป่วยการ เอาข้อเดียวก็พอว่าทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ จะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม โดยพื้นฐาน ประเทศชาติก็ได้รับประโยชน์ แต่ละคนก็ได้รับประโยชน์ และอาจจะมีไปถึงเทวดา มาร พรหม อะไรต่อไปด้วย ถ้ามันมีอยู่จริง มันก็ต้องได้รับประโยชน์ด้วย จึงจะเรียกว่าความถูกต้อง นี่เธอก็เหมือนกับอะไร เหมือนกับมีความรู้สึกคล้ายๆ กับอันธพาล หรือคล้ายๆ กับสัตว์เดรัจฉาน กูได้แล้วเป็นถูกต้อง เพราะฉะนั้นมันจึงมีการทะเลาะวิวาทเกิดเรื่องทำร้ายกัน แม้ในหมู่ภิกษุสามเณร ถ้ากูได้ตามที่กูต้องการจึงจะเป็นความถูก ต้อง แล้วมันต่อสู้เพื่อให้ได้ แล้วอ้างว่าถูกต้อง ถูกต้องตามความคิดนึกของผู้นั้น ไม่ใช่ความถูก ต้องของทุกคน ให้เรามารู้จักความถูกต้องกันเสียก่อน นี่เขาสอนให้ประพฤติอย่างถูกต้อง เราก็ไม่เชื่อฟัง เพราะเรามีความถูกต้องตามแบบของเราอยู่ในใจของเรา ไม่ยอมรับความถูกต้องตามแบบของธรรมะสากล นี่เรียกว่าความไม่เชื่อฟัง เด็กๆ ไม่เชื่อฟังบิดามารดา ก็เพราะมันมีความถูกต้องตามแบบของมัน เด็กๆ ไม่เชื่อฟังครูบาอาจารย์ เพราะมันมีความถูกต้องตามแบบของมัน บวชแล้วก็ไม่เชื่อฟังอุปัชฌาย์อาจารย์ เพราะว่ามันมีความถูกต้องตามแบบของมัน บางทีเพียงแต่ว่าขี้เกียจอยากจะนอน นอนให้ถูกต้องแล้วไม่ไปทำการไม่ไปทำงาน ไม่ไปเล่าเรียนด้วยซ้ำไป พอครูบาอาจารย์เข้ามารบกวน ชี้แจงสั่งสอน มันก็โกรธ ชั้นเลวที่สุดมันก็ทำร้ายครูบาอาจารย์ ทำร้ายอุปัชฌาย์อาจารย์ นี่แหละความไม่เชื่อฟังมันได้เกิดขึ้นแล้ว และก็เป็นธรรมดาสามัญที่สุดสำหรับพวกที่ไม่ได้รับการศึกษา สำหรับพวกที่ยังโง่เขลาน่ะ ความไม่เชื่อฟังเป็นของธรรมดาสามัญที่สุดเลย มีได้ทั่วไป มีได้ทุกเวลา มีได้ทุกหนทุกแห่งเลย
เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้จักกันไว้ดีๆ แม้ที่สุด แต่การอบรมนี้ มาบวชชั่วคราวเพื่อรับการอบรมนี้ ความมุ่งหมายส่วนใหญ่ก็ต้องการจะฝึกฝน ไอ้ความเชื่อฟังนั่นแหละเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเรายังนำตัวเราเองไม่ได้ เราก็ต้องเชื่อฟังครูบาอาจารย์ ซึ่งเกิดก่อนเรา ซึ่งรู้อะไร เคยผ่านชีวิตมามาก รู้อะไรถูกอะไรผิดดีแล้ว ท่านก็พูดได้สอนได้ว่า เราจะต้องทำอย่างไร มันก็เลยง่าย ง่ายสำหรับเด็กๆ ที่เกิดมาไม่มีความรู้อะไรติดมาจากในท้อง พอเกิดมาแล้วก็ได้รับการชี้แจงการอบรมแนะนำว่าทำอย่างนั้น ทำอย่างนั้น ถูกต้องแล้วก็ทำ พอทำแล้วก็ได้รับผลดีโดยง่าย โดยสะดวก นี่ประโยชน์หรืออานิสงส์ของความเชื่อฟัง สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้อะไรเป็นส่วนใหญ่ที่สุด และสำหรับผู้ที่ยังรู้น้อย ยังรู้น้อยอยู่ก็ต้องเชื่อฟัง รู้มากขึ้นก็ยังต้องเชื่อฟัง ไอ้ส่วนที่มันยังเหลืออยู่ที่ยังไม่รู้ ฉะนั้นเราจึงมีการเชื่อฟังตั้งแต่ต้นจนปลาย จนกว่าจะถึงที่สุด สิ้นสุดของการเรียนการรู้ จึงต้องมีความเชื่อฟัง ตั้งแต่เกิดมาจนตลอดชีวิต สิ่งใดได้รับคำสั่งสอนให้รู้ ถูกต้องแล้วมันก็รู้แล้ว แต่มันยังเหลืออีกหลายอย่างที่ยังไม่รู้ ที่ยังทำไม่ถูกจึงต้องเชื่อฟัง ที่ว่าเชื่อฟังๆ นี่มันก็มีความหมายเป็นชั้นๆ อยู่เหมือนกัน เชื่อฟังในครั้งแรกก็คือได้ยินมาอย่างไร ก็รับเอาไปศึกษาพิจารณาดู เชื่อเพียงเท่าที่รับเอาไปศึกษาพิจารณาดู ครั้นศึกษาแล้วพิจารณาดูแล้ว โอ้, มันจริง มันดี มันมีประโยชน์ ทีนี้ก็เชื่อเพิ่มความเชื่อเข้าไปอีกให้เต็ม เมื่อได้รับประโยชน์จากข้อแนะนำอันนั้น ปฏิบัติแล้วมีผลจริง ดีจริงก็เชื่อจริง มันก็มีมูลมาแต่ความเชื่อทีแรก ฟังดูแล้วมีเหตุผลว่า มันจะต้องมีประโยชน์ หรือบางทีถ้าเรายังโง่เกินไป เราก็ฝากฝากไว้แก่ผู้ที่รักเรา เอ็นดูเรา เช่น บิดามารดาเป็นต้น มีความรักเรา มีความเอ็นดูเรา มีความหวังดีต่อเราไม่มีใครเท่า แล้วก็ฝากไว้กับความรักอันนี้ เอ้า, ยอมเชื่อ ยอมเชื่อ ท่านพูดก็เชื่อแล้วก็ไปทำตาม เพราะผู้ที่รักเราเขาต้องการจะให้เราดี มีความสุขเสมอเราก็เชื่อท่านที่ว่าเอาไปปฏิบัติตาม ปฏิบัติตาม พอได้ผลของการปฏิบัตินั้นจริงแล้ว เราก็เชื่อมากขึ้น เชื่อบิดามารดา ครูบาอาจารย์คนแรกที่พูดกับเรา เราจะเชื่อมากขึ้น ต่อมาเราพิสูจน์ทดลองของเราเองว่ามันจริงอย่างนั้นแน่ ก็เลยเชื่อกันหมด เชื่อระบบคำสั่งสอนเหล่านั้นทั้งหมด มันก็สำเร็จประโยชน์ได้จริง
นี่เธอลองคำนวณดูเถิดว่า ถ้าไม่มีความเชื่อ มันจะเป็นอย่างไร มันจะเป็นอย่างไร มันก็ตายซะภายในไม่กี่มากน้อยแหละ มันต้องทำผิด หรือไปทำสิ่งที่เป็นอันตรายจนต้องตาย นี่ถ้าไม่ถึงตาย มันก็อยู่ด้วยความเป็นทุกข์เจียนตาย เกือบตาย เสียหายยุ่งยากไปหมด เรียกว่ามันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นขอให้เราทุกคน รู้จักสิ่งที่จำเป็นที่สุด สำหรับมนุษย์ที่เพิ่งจะเกิดมา ใช้คำมนุษย์ที่เพิ่งจะเกิดมา คือ ยังเป็นเด็ก ยังเป็นเด็ก มันเพิ่งจะเกิดมา มันเพิ่งจะลืมตาขึ้นมาสู่โลกนี้ มันเพิ่งจะเกิดมา เรียกว่ามีความจำเป็นที่สุดที่เขาจะต้องเชื่อฟัง ถ้าเราจะนึกถึงพระพุทธภาษิตบ้าง ก็ยังมีหลักอย่างนั้น ตรัสไว้อย่างนั้น คือพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในเรื่องบุตร เกี่ยวกับบุตร บุตรที่ดีเกิดมาดีกว่าบิดามารดา ฉลาดกว่าบิดามารดาหรืออะไรก็ตาม และบุตรที่เกิดมาพอเสมอกับบิดามารดา มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ร่างกาย กำลังกายเสมอบิดามารดา นี่ก็พวกหนึ่ง ต่ำกว่า ด้อยกว่าบิดามารดานี่พวกหนึ่งเป็น ๓ พวก คือ ดีกว่าบิดามารดา เสมอกันกับบิดามารดา ด้อยกว่าบิดามารดา ในบรรดาบุตรทั้ง ๓ พวกนี้ บุตรที่เชื่อฟังเป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุด เธอลองฟังดูให้ดี บุตรที่เชื่อฟังเป็นผู้ประเสริฐที่สุด บุตรที่ดีกว่าบิดามารดา เก่งกว่าบิดามารดา แต่มันไม่เชื่อฟังบิดามารดา มันไม่เคารพเอื้อเฟื้อบิดามารดา มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแก่บิดามารดา มันก็เป็นทารุณโหดร้ายอยู่ในโลก ทีนี้บุตรที่เสมอกันกับบิดามารดา ถ้ามันไม่เชื่อฟังบิดามารดา มันก็ไม่ทำประโยชน์อะไรที่เกื้อกูลกับบิดามารดา มันทำตามกิเลสตัณหาของมันเอง มันก็ไม่ดีอะไร ทีนี้บุตรที่ด้อยกว่าบิดามารดา แต่มันเชื่อฟังบิดามารดา เคารพบิดามารดาเป็นพระเจ้าเลย เคารพบิดามารดาเป็นสิ่งสูงสุด เป็นพระพรหม เป็นพระเจ้า เป็นอะไรก็แล้วแต่ที่ว่าจะเรียกว่าสิ่งสูงสุด บุตรคนนี้แม้จะโง่เง่าอย่าง ไร ก็มีประโยชน์แก่บิดามารดา เพราะเชื่อฟังบิดามารดา ไม่มีทางที่จะทำผิด เขาก็จะทำถูกอยู่ทุกเวลานาที ก็เป็นคนมีประโยชน์แก่บิดามารดา จึงกล่าวว่า บุตรที่เชื่อฟัง บุตรประเสริฐที่สุด ไม่ได้ถือหลักเกณฑ์ว่าบุตรนั้นมันดีกว่าบิดามารดา บุตรนั้นมันเสมอกับบิดามารดา บุตรนั้นมันเลวกว่าบิดามารดา นี้ไม่เป็นประมาณ ถ้ามันไม่เชื่อฟังไม่เคารพบิดามารดา ก็ใช้ไม่ได้ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งนั้น ทั้ง ๓ พวกนั้นถ้ามีเชื่อฟัง กลายเป็นผู้เชื่อฟังขึ้นมาก็ดีที่สุด จะมีบุตรกี่อย่างกี่ชนิด บุตรที่เชื่อฟังเคารพบิดามารดาประเสริฐที่สุด
ทีนี้พวกเธอ เมื่อเกิดมาคงจะมีการทำผิดพลาดที่ไม่เชื่อฟังบิดามารดา หรือบิดามารดาไม่ ได้ให้คำสั่งสอน หรือเธอเป็นเด็กยังโง่เกินไป ก็เห็นแต่ความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อย เห็นแก่ปาก เห็นแก่ท้อง เห็นแก่เนื้อหนัง ในที่สุดก็ไม่เชื่อฟังบิดามารดา ฝืนทำความชั่วได้ทุกอย่างนานา ต่างๆ นานา เรียกว่าไม่เชื่อฟังบิดามารดา มันก็มีปัญหาขึ้นมาเรื่อย อย่างที่ได้รับโทษสาสมกัน ต้องขอใช้คำเลวๆ ที่สุดคือ คำว่า มันตายโหงตั้งแต่ยังเล็ก เด็กคนนี้มันจะต้องตายโหงตั้งแต่ยังเล็ก เพราะโทษที่ไม่เชื่อฟังบิดามารดา มันไปทะเลาะวิวาทฆ่ากันตายในระ หว่างเด็กก็ได้ หรือตำรวจมาเก็บเอาไปเสียตั้งแต่อายุ ๑๖ ๑๗ ปี ซึ่งมีอยู่บ่อยๆ ก็มันเหลือที่จะทนได้ เหลือที่สังคมจะทนได้ ตำรวจต้องมาเก็บเอาไปเสียตั้งแต่อายุ ๑๖ ๑๗ ปี เรียกว่ามันตายโหงตั้งแต่ยังเล็ก โทษมันเกิดมาจากการที่มันไม่เชื่อฟังบิดามารดา ถ้าเชื่อฟังบิดามารดามันไม่เป็นอย่างนั้น ทำตามคำสั่งทุกอย่างทุกประการ น่ารักน่าเอ็นดูแก่คนทั่วไป คนทุกคนเห็นแล้วก็รักใคร่พอใจ เมตตากรุณา ช่วยเหลือทุกอย่างทุกประการ แล้วมันจะตายได้อย่างไรเล่า มันไม่ตายโหงตั้งแต่เล็กหรอก เขาเรียกว่ามันมีธรรมะคุ้มครอง มีสวัสดี สิ่งที่ทำความสุขสวัสดีคุ้มครอง คุ้มครอง แต่ดูเถิด มันต้องทำของมันเอง คือมันต้องทำให้เป็นเด็กที่เชื่อฟังบิดามารดา ปฏิบัติตามคำแนะนำของบิดามารดา มันก็เลยไม่ต้องตายโหงตั้งแต่เล็ก คำนี้หยาบคายมาก เลวทรามมากนะ ถ้าใครคนใดคนหนึ่งต้องตายโหงตั้งแต่ยังเล็ก คือมันเลวมาก เลวจนไม่รู้จะพูดยังไง ฉะนั้นเธอระวังให้ดี อย่าให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรา การตายโหงตั้งแต่ยังเล็ก อย่าได้มาเกี่ยวข้องกับชีวิตของเราเลย นี่เราต้องการอย่างนี้ เราจึงมาบวชเณร ฝึกฝนความเชื่อฟังอย่างเคร่งครัด ในบางกรณีก็ต้องพูดว่า ชดเชยกับที่เราไม่เคยเชื่อฟังมาแต่กาลก่อน ที่เราแล้วๆ มาแต่หนหลังเราไม่เชื่อฟัง เดี๋ยวนี้เรามากลับตัวมาเปลี่ยนใหม่เป็นผู้เชื่อฟัง ก็มีการประพฤติปฏิบัติตั้งต้นกันใหม่ ถ้าสึกออกไป สมมติเธอที่ต้องสึกลาสิกขาไปต้องเชื่อฟังบิดามารดา เคารพบิดามารดาในฐานะที่เป็นผู้ให้ทุกสิ่ง บิดามารดาที่มีคุณสมบัติสมบูรณ์ตามแบบแล้ว ท่านอาจจะให้ได้ทุกสิ่ง ข้อแรกท่านให้กำเนิดมา คือให้ชีวิตมา ถ้าท่านไม่ให้กำเนิดมา เราก็ไม่ได้มีขึ้นมานั่งกันอยู่ที่นี่ นี่มีชีวิตมานั่งกันอยู่ที่นี่ก็เพราะบิดามารดาให้ชีวิต ให้กำเนิดมา นี่ท่านสามารถจะให้ แล้วก็ให้การเลี้ยงดูเอาใจใส่ ประคบประหงมไม่ตายตั้งแต่ในเบาะ ไม่ตายตั้งแต่ยังเล็กๆ ด้วยการเสียสละของบิดามารดา กล่าวได้ว่าเรารอดตัวมาด้วยการกินเลือดในอกของบิดามารดา คือ น้ำนม พระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อกล่าวโดยภาษาอริยวินัย เลือดในอกของบิดามารดา คือน้ำนม หรือน้ำนมคือเลือดในอกของบิดามารดา นี่กล่าวตามประสาคนฉลาด พระอริยเจ้า ภาษาพระอริยเจ้า ท่านกล่าวว่านม คือเลือดในอกของบิดามารดา นี่เด็กๆ ก็โตขึ้นมา เรียกว่ารอดชีวิตกันมาด้วยเลือดของบิดามารดา ซึ่งถ่ายให้มาทางน้ำนม จนกระทั่งให้การเลี้ยงดู การเจริญเติบโตอีกเป็นขั้นที่สอง ให้ชีวิตมาแล้วก็ให้การประคบประหงมให้รอดชีวิต ทีนี้ก็สั่งสอนทุกอย่างทุกประ การ ให้มันรอดชีวิต ให้มันไม่ต้องตาย ให้รู้จักหลบหลีกอันตราย ให้รู้จักประพฤติแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตนเองตลอดไป บิดามารดาก็สอนทุกอย่างๆ ให้รู้จักว่าอะไรสกปรก อะไรสะอาด อะไรกินได้ อะไรกินไม่ได้ ทุกอย่างแหละที่ท่านสอน สมกับที่ในธรรมวินัยนี้กล่าวไว้ คือกล่าวไว้ว่า บิดามารดาเป็นอาจารย์คนแรก เรียกว่าบุพพาจาริยา บุพพะ คนแรก อาจาริยา ก็อาจารย์ อาจารย์คนแรกคือบิดามารดา บิดามารดาคืออาจารย์คนแรก เธอลองคิดดูใครมันสอนอะไรให้เราก่อนบิดามารดา บางทีแม่ซะอีกที่จะเป็นอาจารย์คนแรกก่อนพ่อ สอนให้กินนม สอนให้กินนม ถ้ามันดูดไม่เป็นก็สอนให้ดูดนมเป็น ให้รู้จักนม จะเป็นอาจารย์คนแรกที่สุด เราต้องเคารพบิดามารดาในฐานะเป็นอาจารย์คนแรก แล้วท่านทำหน้าที่ของบิดามารดา ด้วยความรักอย่างสุดซึ้งที่สุดเลย คนอื่นทำหน้าที่ต่อเราอาจจะด้วยความรู้สึกอย่างอื่นก็ได้ แต่บิดามารดาทำหน้าที่ของท่านต่อเราด้วยความรักอย่างที่สุด เมื่อมีความรักอย่างที่สุดเขาเรียกว่าเป็นพรหม เป็นพระพรหม เป็นพระพรหมของโลก ของสัตว์โลก เรามีบิดามารดาเป็นพระพรหม ที่เราจะต้องรู้บุญคุณถึงที่สุด เคารพถึงที่สุด เอาใจใส่เอื้อเฟื้อที่สุด บิดามารดาเป็นพรหม
เอาล่ะ, ทีนี้ก็จะพูดให้หมดไปเลยว่า บิดามารดาเป็นครูบาอาจารย์ของเราตั้งแต่เกิดมา ทีนี้ต่อมาเมื่อพ้นวิสัยหรือพ้นระดับที่บิดามารดาจะเป็นผู้สอนเราได้ ก็ไปที่โรงเรียนเพื่อวิชาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ทีนี้ก็ไปพบครูบาอาจารย์อีกชนิดหนึ่งที่โรงเรียน ครูบาอาจารย์คนแรกอยู่ที่บ้าน คือบิดามารดา ต่อมาเรามาพบครูบาอาจารย์รุ่นถัดไปที่โรงเรียน เราก็ต้องเชื่อฟังอีกแหละ เธอทั้ง หลายก็เคยเข้าโรงเรียน เคยไปโรง เรียน เคยเข้าโรงเรียน แล้วเธอทุกคนคงจะได้สังเกตเห็นว่า เด็กบางคนเลวมาก ไม่เชื่อฟังครูบาอาจารย์ ถูกเฆี่ยน ถูกตี ถูกลงโทษอยู่เสมอ และก็มีเด็กบางคนดี เชื่อฟังครูบาอาจารย์ ทำแต่สิ่งที่ดีในหน้าที่การงานในการเรียน ไม่เคยถูกเฆี่ยน ถูกตี มีแต่ได้รับรางวัล ได้รับคำชมเชย และเขาก็เจริญงอกงามให้คนอื่นเห็น นี่ในโรง เรียนแท้ๆ เราก็มีทางที่จะสังเกตเห็น คุณและโทษของการเชื่อฟังและไม่เชื่อฟังบิดามารดา ไม่เชื่อฟังครูบาอาจารย์ เราจึงมีครูบาอาจารย์ลำดับที่ ๒ ที่โรงเรียนนี่ ฟังกันให้ดีทุกคนๆ ทีนี้ต่อมาอีกระยะหนึ่ง เราก็เป็นหนุ่มแล้วมาบวช มาเรียน มาอยู่วัด มาบวชมาเรียน ก็มาปะมาพบครูบาอาจารย์รุ่นที่ ๓ คืออุปัชฌาย์อาจารย์ อาจารย์ที่วัดเป็นอาจารย์อุปัชฌาย์ คือผู้บวชให้ก็มี หรือไม่ได้บวชให้ก็ดูแลสั่งสอน ในฐานะเป็นอาจารย์ประจำวัด ก็เป็นครูบาอา จารย์ นี่ครูบาอาจารย์รุ่นที่ ๓ คือครูบาอาจารย์ที่วัด แล้วเธอก็ดู แม้ว่าเธอจะบวชในเวลาอันสั้น เธอก็พอจะมองเห็นว่า มันก็มีคน มีพระมีเณร ที่เชื่อฟังครูบาอาจารย์ เชื่อฟังอุปัชฌาย์อาจารย์ บางคนที่ไม่เชื่อฟังอุปัชฌาย์อาจารย์ แล้วมันต่างกันอย่าง ไร มันเกิดมีเณรที่เลว มีเณรที่ดี มีพระที่เลว มีพระที่ดีเห็นๆ กันอยู่อย่างนี้ นี่มันก็เป็นโทษของการที่ไม่เชื่อฟัง หรือว่าการที่เชื่อฟังอุปัชฌาย์อาจารย์อย่างเคร่งครัด ตอนนี้ก็เรียกว่ามันมีการเกิดใหม่ในทางวิญญาณ บิดามารดาเกิดเราที่บ้านเป็นการเกิดครั้งแรกในทางร่างกาย พอขึ้นมาสู่ศาสนาอยู่วัดอยู่วา อุปัชฌาย์อาจารย์ได้ทำให้เกิดชีวิตใหม่ จิตใจใหม่ นี้ก็เรียกว่ามันเกิดอีกครั้งหนึ่ง เกิดอีกครั้งหนึ่งคือเกิดทางวิญญาณ การที่พวกเธอสมัครบวชชั่วเวลาปิดเทอมอย่างนี้ มันก็เหมือนกับมีการเกิด เข้ามาสมัครตัวมีการเกิดทางวิญญาณซักพักหนึ่ง ก็จะพ้น แต่ว่าถ้าทำไม่ดี มันก็จะติดกลับไป สิ่งใดที่เธอทำได้ในระหว่างที่บวช มันติดอยู่ในใจ แม้เธอจะสึกกลับไปอยู่ที่บ้าน มันก็ติดไปในใจได้ ตอนนี้สังเกตดูให้ดีว่า ถ้าอะไรดีมีดีอยู่ในการศึกษาปฏิบัตินี้แล้ว ให้มันติดอยู่ในใจ แล้วกลับเอาไปที่บ้านด้วย แม้ว่าเรากลับ ไปบ้านแล้ว เราจะเปลี่ยนจีวรเป็นนุ่งผ้า สวมเสื้อกางเกงอย่างชาวบ้านแล้วก็ตาม แต่ในจิตใจนั้นอย่าต้องเปลี่ยนเลย อะไรที่ดี ที่ถูกต้อง ที่มีประโยชน์ ที่พิสูจน์ความมีประโยชน์ ให้มันยังคงอยู่ ให้มันยังปฏิบัติอยู่ นี่เรียกว่าได้รับผลจากการเกิดใหม่ที่วัด แล้วมันก็ให้เป็นว่าได้เกิดใหม่ตลอดชีวิตเลย เป็นการเกิดใหม่แล้วตลอดชีวิต คือ ไม่โง่ ไม่เขลา ไม่หลงทางอีกแล้วจนตลอดชีวิต นี่คือประโยชน์ของการบวช ก็ได้ครูบาอาจารย์คือ อุปัชฌาย์อาจารย์รุ่นที่ ๓ รุ่นที่ ๓ นี่เอากันตลอดชีวิตเลย ถ้าไม่สึกอยู่ต่อไปได้จนตลอดชีวิตมันก็ดี มันก็ง่ายที่จะเดินไปตามแนวนั้น แต่ถ้าแม้ว่าจะต้องสึกออกไปอยู่ที่บ้าน มันก็เพียงแต่เปลี่ยนเสื้อผ้า จิตใจอย่าต้องเปลี่ยน จิตใจให้อยู่กับความดี ความถูกต้องอยู่เสมอไป โดยหลักที่ว่า มีแต่การประพฤติกระทำ ที่ทำให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ เราก็ได้รับประโยชน์ ผู้อื่นก็ได้รับประโยชน์ ทั้งโลกก็พลอยได้รับประโยชน์ ถ้าเราทำได้มาก ทำได้กว้างขวาง ทำสิ่งที่เป็นประ โยชน์แก่คนทั้งโลก
เอาล่ะ, เป็นอันว่า เธอจะสังเกตเห็นว่า มีความเคารพเชื่อฟังอย่างเดียวเท่านั้น มันจึงจะเป็นอย่างนี้ได้ ถ้าไม่มีความเคารพเชื่อฟัง มันก็ตรงกันข้าม มันก็ตรงกันข้าม มันกลายเป็นผู้ทำลายตัวเอง ทำลายผู้อื่น ทำลายโลก ทำลายหมดเลย นั่นคือความเสียหายที่สุดของมนุษย์เรา ที่เกิดมาเป็นผู้ทำลายหมด เพราะฉะนั้นเราจะต้องจัด จะต้องทำให้เกิดมาเป็นผู้ทำให้เกิดประโยชน์ คือความสุขความเจริญแก่ทุกคน และสิ่งนี้ทำได้เพราะความเชื่อฟัง เราเกิดมาไม่รู้อะไรมา เกิดมาไม่รู้อะไรมา เราก็รู้รู้เพราะเชื่อฟังบิดามารดารุ่นที่ ๑ เชื่อฟังครูอาจารย์ที่โรงเรียนเป็นรุ่นที่ ๒ เชื่อฟังอุปัชฌาจารย์ที่วัดเป็นรุ่นที่ ๓ แล้วมันก็ตลอดไป นี่เรามีความเชื่อฟังกันทั้ง ๓ ระดับซึ่งมันสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป ดังนั้นถ้าบวชเป็นเณรอย่างนี้แล้วยังอวดดีอยู่ ก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไร มันก็เป็นคนโง่ เกิดมาสำหรับไม่ได้รับประโยชน์อะไรแล้ว ยังทำแต่สิ่งที่เป็นโทษเป็นอันตราย นี่มันเสียชาติเกิดนะ ระวังคำว่าเสียชาติเกิด เสียชาติเกิดไว้ดีๆ อย่าให้มามีแก่เรา อย่าให้เรากลายเป็นคนที่เรียกว่าเกิดมาเสียชาติเกิด เพราะไม่มีอะไรดี เราจงระมัดระวัง กระทำให้ถูกต้องตามที่ได้เล่าเรียนสั่งสอนมา ให้ดีให้ถูกต้อง ให้ดีให้ถูกต้องอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว และทุกหนทุกแห่ง ทุกอิริยาบถ พูดว่าทุกกระเบียดนิ้ว ก็หมายความว่า กาย วาจา ใจ ถูกต้องหมดเลยทุกกระเบียดนิ้ว ถูกต้องทุกเวลานาที ทุกเวลาวินาทีก็ถูกต้องหมด ทุกวินาที และก็ทุกๆ อิริยาบถ ไม่ว่าจะกำลังยืน เดิน นั่ง นอนก็ถูกต้องตลอดเวลา ไม่ว่าเวลาตื่นอยู่หรือหลับอยู่ก็ให้มีความถูกต้อง เมื่อมีความถูกต้อง หลับลงมันก็หลับไปจนตลอดเวลาหลับ ตื่นขึ้นมาก็มีความถูกต้อง รับช่วงกันไปเรียกว่ามีความถูกต้องทุกกระเบียดนิ้ว ทุกวินาที ทุกอิริยาบถทั้งหลับและทั้งตื่นนั่นแหละดี เป็นเหตุให้เคารพนับถือตัว เองได้ว่าไม่เสียชาติเกิด ไม่เสียชาติเกิด มันมีอะไรดี มันมีอะไรดี ดีมากเข้าก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ คำนี้คงจะแปลกสำหรับพวกเธอ เราขอฝากคำนี้ไว้กับพวกเธอว่า จงทำดีจนถึงกับยกมือไหว้ตัวเองได้ การยกมือไหว้ตัวเองได้นั่นแหละคือสวรรค์ สวรรค์ที่ไหนๆ สวรรค์ที่ไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับสวรรค์ที่นี่ คือทำดีจนยกมือไหว้ตัวเองได้ ถ้าได้สวรรค์ชนิดนี้แล้ว สวรรค์จะมีอีกกี่ชนิดต้องได้หมด ต้องได้หมด สวรรค์ที่ตายแล้ว หรือสวรรค์โลกไหนก็ตามถ้ามันมี มันจะได้หมด เพราะสวรรค์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ขอให้ได้สวรรค์ที่นี่และเดี๋ยวนี้กันเสียก่อน คือยกมือไหว้ตัวเองได้ ทำอะไรดี ทำอะไรถูกต้องอยู่เสมอจนยกมือไหว้ตัวเองได้ การที่ยกมือไหว้ตัวเองได้นั่นแหละ คือสวรรค์อันแท้จริง เธอต้องสังเกตดูว่าการที่ยกมือไหว้ตัวเองได้ มันต้องมีความถูกต้อง และตัวเองก็รู้ว่ามีความถูกต้อง และก็พอใจในความถูกต้อง พอใจหนักเข้า พอใจหนักเข้าก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ นี่คือสวรรค์ที่แท้จริงยิ่งกว่าสวรรค์ไหนๆ หมด ที่นี่และเดี๋ยวนี้ในโลกนี้ ทำให้ดีจนยกมือไหว้ตัวเองได้ พอได้สวรรค์ชนิดนี้แล้ว รับประกันได้เลยจะมีสวรรค์อีกกี่ชนิดก็ได้หมด ได้หมด อยู่ในกำมือของเราหมด ถ้าเรามีสวรรค์ชนิดนี้ที่นี่และเดี๋ยวนี้
ขอให้เณรทุกคนลองทบทวนตัวเองดู ทบทวนตัวเองดูทุกๆ คน ว่ามีอะไรไหมที่ทำให้ยกมือไหว้ตัวเองได้ ถ้าไม่มีก็ยังใช้ไม่ได้ อย่างน้อยมันก็ต้องมีบ้างที่เธออุตส่าห์ทำมา ที่ประสบความ สำเร็จ พอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้ แม้ว่าจะไม่ทำการไหว้โดยกิริยาอย่างนี้ ก็นึกอยู่ในใจก็ได้ ในใจมันแน่ใจ มันนึกเป็นความไหว้ เหมือนกับยกมือไหว้ตัวเองอยู่ในใจได้ ก็ได้เหมือนกัน ทีนี้ก็จะขอแถมพกว่า ยกมือไหว้ตัวเองนี่แหละ ไหว้ด้วยมือจริงๆ ยกขึ้นท่วมหัวนี่แหละ เช่น พอจะนอน เรากราบพระพุทธทีหนึ่ง กราบพระธรรมทีหนึ่ง กราบพระสงฆ์ทีหนึ่ง และก็แถมพกให้อีกทีหนึ่ง คือ ไหว้ตัวเอง กราบตัวเอง ไหว้ตัวเองอีกทีหนึ่งก็ไม่เป็นไร เกินสามก็ไม่เป็นไร เพราะว่ามันมีอยู่ส่วนหนึ่งคือตัวเอง ทีนี้ถ้าเป็นคนฉลาด คนฉลาดมันไม่โง่นะ ใช้คำหยาบคาย มันไม่โง่นะ มันก็จะรู้ว่าไอ้ที่ยกมือไหว้ตัวเองได้นี่คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มารวมกันหมด พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เอามารวมกันแล้วคือความดี ที่ทำให้เรายกมือไหว้ตัวเองได้ มันก็ไม่นอกออก ไปจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กราบทีแรกกราบพระพุทธเจ้า กราบทีที่สองกราบพระธรรม กราบทีที่สามกราบพระสงฆ์ กราบทีที่สี่คือกราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รวมกันหมดเป็นหน่วยเดียว คือความดีที่เราทำขึ้นมาได้ โดยเราเรียกว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่สร้างขึ้นมาได้โดยเรา เราก็กราบยกมือไหว้ตัวเอง ใครทำได้อย่างนี้ได้ผลคุ้มค่า ในการที่ได้เกิดมา ได้บวชและได้เรียน มิฉะนั้นพอกลับไปบ้าน หรือบางทีเลยไปเป็นอันธพาล ตายโหงตั้งแต่ยังเล็ก ก็ไม่มีใครรับรองหรอก เพราะมันไม่ทำตามกฎเกณฑ์ ของธรรมชาติที่มันมีอยู่เด็ดขาดอย่างนี้ มันต้องทำอย่างนี้ ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ มันมีอยู่อย่างเด็ดขาดว่าถ้าทำอย่างนี้ ผลจะเกิดอย่างนี้ จะทำอย่างนี้ ผลจะเกิดอย่างนี้ จะทำอย่างนี้ ผลจะเกิดอย่างนี้ มันมีอย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนี้ แล้วพอทำอย่างนี้ อย่างนี้ ชนิดที่ให้เกิดความสงบสุข ให้เกิดความพอใจกันได้ทุกฝ่ายและทุกคน นั่นแหละเรียกว่าได้ทำถึงที่สุดแล้ว ทำได้ถึงขนาดนี้ก็ไม่เสียชาติเกิด คือทำจนยกมือไหว้ตัวเองได้ อยากจะพูดว่าไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว ไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว เพราะว่าในการไหว้ตัวเองได้ มันมีหมด มันมีความดีทุกชนิดๆ ทุกระดับหมด มันไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว ไม่มีอะไรดีกว่าทำชนิดที่ทำให้ยกมือไหว้ตัวเองได้ จึงหวังว่าเณรทุกคนจะทำได้อย่างนี้ ถ้าไม่เคยทำได้มาแต่ก่อน ก็ทำให้ได้ต่อไปนี้ ขอให้ทำให้ได้ แต่ก่อนสึกก็ขอให้ทำได้ สึกแล้วก็ขอให้ทำได้ ให้ทำชนิดที่ยกมือไหว้ตัวเองได้ เป็นที่ชื่นใจเป็นที่พอใจแก่เราเอง แก่ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ก็เรียกว่าจบ เรื่องมันจบ ถ้าเธอกระทำ กระทำ กระทำ ดี ดี ดี ถูก ถูก ถูก จนยกมือไหว้ตัวเองได้ เรื่องมันจบ มันจะมีแต่บรรลุมรรคผลนิพพาน ไม่ต้องสงสัย เรื่องมันจบ ก็ปฏิบัติด้วยความตั้งใจจริง จะเชื่อฟังบิดามารดา ครูบาอาจารย์ พระเจ้า พระสงฆ์ อุปัชฌาย์อาจารย์ ให้มีความประพฤติกระทำที่ถูกต้อง ชนิดยกมือไหว้ตัวเองได้อยู่เสมอ
เมื่อวานก็พูดแล้วว่า อาศัยสัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ สัจจะตั้งใจจริงว่าจะทำอย่างนี้ ทมะบังคับตัวเองให้ทำอย่างนี้ ขันติอดกลั้นอดทนเมื่อทำอย่างนี้แล้ว มันเจ็บปวดบ้าง แล้วอะไรไม่ดี อะไรไม่ดี ระบายออกอยู่เสมอ ระบายออกอยู่เสมอ มันก็ไม่ต้องอดกลั้นอดทนมากเกินไปจนจะทนไม่ไหว นี่ขอให้ใช้ธรรมะเครื่องมือ คือความสัจจะ มีจริง มีความจริงต่อตัวเอง ต่อความเป็นคนของตัวเอง รู้ว่าตัวเองจะต้องทำอย่างนี้ ตัวเองจะต้องทำถึงขนาดที่ให้ยกมือไหว้ตัวเองได้ สัจจะจริงใจต่อความเป็นอย่างนี้ และมีทมะบังคับให้ทำอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ในการบังคับจิต บังคับกาย บังคับวาจา มันก็ต้องมีความเจ็บปวดบ้างเป็นธรรมดา ก็อดทนได้ และดีใจที่ได้อดทน และก็ไม่ต้องอดทนมากเกินไป อะไรไม่ดีก็ทิ้งไป ทิ้งไป ทิ้งไป นับตั้งแต่เรื่องสูบบุหรี่เลวๆ นี่ ทิ้งไปเสีย ทุกอย่างก็ทิ้งไป ทิ้งไป ทิ้งไป มันก็ไม่มีอะไรมากที่จะต้องอดทนจนต้องน้ำตาไหล ทีนี้ถ้าต้องอด ทนจนน้ำตาไหล ก็ยินดี ยินดีอดทนจนน้ำตาไหล ไม่ยอมให้เสียหายในการประพฤติและปฏิบัติ จะรักษาข้อปฏิบัติไว้ถูกต้องเสมอไป แม้ว่าจะต้องอดทนจนน้ำตาไหล อย่างนี้เรียกว่าเธอมีสัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ เต็มที่แล้ว เป็นเครื่องสร้างความสำเร็จ สำหรับฆราวาสจะพ้นจากความเป็นฆราวาส เขาเรียกธรรมะ ๔ ข้อนี้ว่าธรรมะสำหรับฆราวาส แต่มิได้หมายความว่าให้มันจมปลักอยู่ในฆราวาส ไม่ให้จมโคลนอยู่ในความเป็นฆราวาส แต่ให้มันพ้นจากความเป็นฆราวาส ให้ฆราวาสใช้ธรรมะสำหรับฆราวาสนี้ ถอนตัวขึ้นมาให้พ้นจากความเป็นฆราวาส ที่โง่ ที่หลง ที่เป็นปุถุชนเกินไป ให้มันได้ขึ้นมาเป็นอริยสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า จากความเป็นฆราวาส เลื่อนขึ้นมาเป็นอริยสาวกที่ดี ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาศัยฆราวาสธรรม ๔ ประการนั้น ขอให้รู้จักฆราวาสธรรม ๔ ประการนั้นให้ดีๆ ที่เป็นครูสอนนักธรรม อย่าไปสอนว่าสำหรับฆราวาสจมปลักอยู่ในฆราวาส หรือดีอย่างฆราวาสเท่านั้นมันก็ไม่พอหรอก มันต้องดีพ้นจากความเป็น ฆราวาส ดีอย่างฆราวาสมันก็จมอยู่ในกองกิเลส ดี ดี ดี จนเป็นบ้า เราจะต้องขึ้นมาพ้นจากปลักหนองของกิเลส ของความโง่ ของอวิชชาเหล่านั้นเสีย ก็ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และพบพระพุทธศาสนา ที่เราได้บวชเณรนี่ ก็เพื่อจะได้ฝึกฝนให้ได้เป็นมนุษย์ที่ดี ถูกต้องตามความเป็นมนุษย์ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ และพบพระพุทธศาสนา
นี่การบรรยายอันสมควรแก่เวลาแล้ว ขอทบทวนว่าเราต้องเชื่อฟัง เพราะว่าเราเกิดมาโดยไม่มีความรู้ เราเกิดมาจากท้องแม่โดยไม่มีความรู้ แล้วเราจะต้องเชื่อฟังพ่อแม่ ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์รุ่นที่ ๑ เชื่อฟังครูบาอาจารย์ที่โรงเรียนรุ่นที่ ๒ เชื่อฟังอุปัชฌาย์อาจารย์เป็นครูบาอาจารย์รุ่นที่ ๓ และเราก็จะได้รู้ว่าอะไรควรทำอย่างไร และรู้อย่างยิ่งว่าเราจะต้องบังคับตนนี่อย่างไร เท่าไหร่ เพียงไร บังคับตนให้อยู่ในความถูกต้องแม้น้ำตาจะไหลก็ไม่ยอมแพ้ ก็มีแต่ความถูกต้องยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้นจนยกมือไหว้ตัวเองได้ พอยกมือไหว้ตัวเองได้ก็เป็นสวรรค์ที่แท้จริง ซึ่งเป็นเหตุให้ได้สวรรค์ทุกชนิด เรื่องก็จบ และขอให้พวกเธอสามเณรทั้งหลาย จงเข้าใจเรื่องที่เราพูดนี้ และเธอจงมีความเอาใจใส่เชื่อฟังในชั้นแรก พอที่จะนำไปคิด ไปนึก ไปทบทวน ไปลองปฏิบัติดู ครั้นปฏิบัติแล้วได้ผลจริงตามนั้นทุกประการ เธอจงมีความเชื่อ ความกล้าหาญยิ่งๆ ขึ้นไปในการจะปฏิบัติให้ถึงที่สุด ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
สาธุ
ถอดความจากภาษาใต้ เป็น ภาษากลาง นาทีที่ 50.56
พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน ตายกลางดิน ใครไม่รู้ยกมือ ใครไม่รู้ข้อนี้ยกมือ ใครไม่รู้ข้อนี้ ข้อที่พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน ตายกลางดิน ใครไม่รู้ ใครไม่รู้ข้อนี้เรื่องนี้ ยกมือ ดี ดี ขนาดรู้กันทุกคนนี่ดี ดี จำไว้เธอ พระพุทธเจ้าอยู่ต่ำที่สุดแหละ อยู่ต่ำที่สุด แต่ว่าทำทำสูงที่สุด อยู่ต่ำที่สุด ทำสูงที่สุด เราอย่าไปบ้าเรื่องดี เรื่องสวย เรื่องอร่อย เรื่องสนุกสนาน เรื่องงดงาม เรื่องปราสาทวิมาน ป่วยการ อยู่กลางดิน แต่พบทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเทวดาที่อยู่บนสวรรค์บนวิมาน ก็ยังต้องลงมาหามนุษย์ที่อยู่กลางดิน แผ่นดินเป็นพื้นฐานมั่นคงรองรับสิ่งทั้งปวง ความหมายเหมือนธรรมะ ธรรมะเหมือนกับแผ่นดิน แผ่นดินเหมือนกับธรรมะ ธรรมะเหมือนกับแผ่นดิน รองรับสิ่งทั้งปวง พอใจที่ได้นั่งกลางดิน ไม่ใช่ว่าเราไม่มีโบสถ์ ไม่ใช่ว่าเราไม่มีโบสถ์อันสวยงามให้เธอนั่ง ถ้าเราจะทำ เราก็ทำได้ โบสถ์ที่สร้างๆ ถ้าจะทำ เราก็ทำได้ แต่เราต้องการจะมีโบสถ์ของพระพุทธเจ้า โบสถ์ของพระพุทธเจ้า ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน ตายกลางดิน นี่ที่นั่ง ที่นอน เสนาสนะ โบสถ์ของพระพุทธเจ้า จำไว้เถอะจะได้นั่งกลางดินอีกหรือไม่ ถ้าไปที่อื่นมันจะได้นั่งหรือไม่ก็ไม่แน่ แต่ว่าที่นี่นั่นแน่นอน แน่นอนว่าต้องนั่งกลางดิน เอามือลูบดิน แล้วยกขึ้นใส่หัว ที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า เราได้มานั่งมานอน มาใช้ ขอถวายความเคารพ ขอขมาลาโทษ ถ้าเก็บไปได้หมด จำไปได้หมด มันก็มีประโยชน์ ถ้าพูดแล้วแล้วกัน ตกอยู่ที่นี่ ไม่มีอะไรติดไปในจิตใจก็เท่าเดิม เท่าเดิม พูดหยาบคายว่าโง่เท่าเดิม โง่เท่าเดิม เมื่อมาโง่มาเท่าไหร่ เมื่อไปขอให้โง่น้อยลงกว่านั้น เมื่อมาโง่เท่าไหร่ เมื่อกลับไปขอให้โง่น้อยลงกว่านั้น ใช้ได้ ก็ไม่มีอะไรแล้วเราพูดเท่านี้
เรื่องมรรยาท มรรยาท ถ้าเธอจะออกไป เธอออกไปอย่างผู้มีมรรยาทในพระพุทธศาสนา เธอต้องเอาฝ่ามือไว้ข้างนี้เสมอ ไว้ข้างสิ่งที่เธอเคารพ เช่น พระพุทธรูป เมื่อเธอจะเดินออกไป จะ ต้องเดินออกในลักษณะที่มือขวาอยู่ข้างนี้เสมอไป ไปพอลับตาพอสมควรแล้วจึงเลี้ยวไป จะไปไหนก็ตามชอบใจ แต่ไม่ใช่ลุกจากสถานที่นี้ ซึ่งมีสิ่งวัตถุ สัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าเป็นต้นอยู่ เธอจะต้องเดินด้วยมือขวาอยู่ข้างนี้แล้วเดินออกไป พอลับตาแล้วจึงค่อยแยกย้ายกันไป อย่าลุกขึ้นหันหลังสะบัดทรายใส่หน้า เป็นมรรยาทที่เลวที่สุด มรรยาทของลิงของค่าง ไม่ใช่สามเณร ลุกขึ้นแล้วหันหลังกลับสะบัดทรายใส่หน้าแล้วต่างคนต่างไป ยุ่งกระจุยกระจายวุ่นวายไปหมด มันต้องมีระเบียบ มีระเบียบลุกขึ้นแล้วก็เดินไปทางขวา ถ้าอยู่อย่างนี้ก็หมายความว่า ขวาหัน มือขวาอยู่ไปทางสิ่งที่เราเคารพแล้วก็เดินไป เค้าเรียกว่า ประทักษิณ ประทักษิณ ทำให้เป็นเบื้องขวา รูปหินสลักในอินเดีย สลักหินพันกว่าปี เกือบสองพันปีแล้วกระมัง ที่เอามาติดไว้ที่ตึกนั้นก็มี แล้วก็มีพระราชาเข้ามาเฝ้าพระพุทธเจ้า จะเข้ามาในลักษณะที่มือขวาอยู่ข้างพระพุทธเจ้า จะออกไปในลักษณะที่มือขวาอยู่ข้างพระพุทธเจ้าเสมอไป ก็เป็นธรรมเนียมที่เค้าสลักหิน สลักหิน เป็นภาพหินสลัก เข้ามาอย่างประทักษิณ ออกไปอย่างประทักษิณ เป็นธรรมเนียมตายตัวของพุทธบริษัท ในมรรยาทเกี่ยวกับการเข้ามาและการออกไปด้วยความเคารพ จะเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ตึงตัง ตึงตัง และควรจะถือเป็นประจำ เป็นประจำตลอดชีวิต นี่ก็เรียกว่าความเชื่อฟังเหมือนกัน ขนบธรรม เนียมประเพณีที่บรรพบุรุษได้ทำขึ้นและมีประโยชน์ เพราะมันทำด้วยสติ มันทำด้วยความเคารพ สำนึกในความเคารพและเชื่อฟัง ก็ดี แต่ทำด้วยสติ สติสมบูรณ์ ไม่ใช่ใจลอย ไม่ใช่ใจลอยออกไป มีสติออกไป สติสัมปชัญญะออกไป มีลักษณะประทักษิณกำหนดอยู่ในใจ ใช้ได้ ปิดประชุม