แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขอโอกาสพูดกับสามเณรได้ทราบความประสงค์ของการบวชสามเณรตามความต้องการของรัฐบาลหรือประชาชน จึงขอพูดให้สามเณรทั้งหลายเนี่ยมีความพยายามให้สุดความสามารถให้สำเร็จประโยชน์ตามความประสงค์ด้วย สามเณรน่ะคิดให้ดีๆ ฟังให้ดีๆ ทำให้ดีๆ อย่าให้เขาผิดหวัง สามเณรที่บวชน่ะตั้งใจทำให้ดีๆ อย่าให้เขาผิดหวัง ถ้าทางการเขาหวังก็อย่าให้เขาผิดหวัง บิดามารดาพี่ป้าน้าอาหวังก็อย่าให้ผิดหวัง ครูบาอาจารย์เขาหวังก็อย่าให้ผิดหวัง ทีนี้เธอจะไม่ให้ผิดหวังเธอก็ต้องบวชจริงๆ เท่านั้น บวชให้เป็นการบวชจริงๆ บวชไม่จริงน่ะมีมากจนเป็นเรื่องสำหรับล้อ เป็นบวชที่น่าละอายคือไม่จริง ซึ่งบวชลี้ บวชลอง บวชครองประเวณี อะไร บวชหนีทหาร บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อน น่ะก็มีคำล้อว่า เณรสุก เณรสัก เณรลักควาย เณรกินข้าวค่ำ อะไรอีกก็ไม่รู้ นั่นแหละเขามีคำล้อที่บวชไม่จริง ถ้าบวชไม่จริงชนิดนี้ก็ผิดหวังกันหมดเลยๆ กระทั่งว่าผ้าเหลืองนี่ก็เปลืองเปล่าๆ คนทั้งปวงผิดหวังแล้วก็
ผ้าเหลืองยังจะเสียเปล่า มันก็เสียหายมากแหละ ถ้าจะไม่เสียหายเธอนั่นแหละจะต้องเป็นผู้ทำ ทำได้ทำไม่ให้เสียหายได้เมื่อเธอบวชจริงๆ แล้วก็จะไม่มีอะไรเสียหายหมดจะไม่เสียผ้าเหลืองเปล่าจะไม่เสียเวลาเปล่าไม่เสียเงินเปล่าไม่เสียความลำบากเปล่าๆ ทีนี้เราจะต้องพูดเรื่องบวชจริงกันตามสมควร คำว่าบวชๆ น่ะ ป-ว-ช ,บ-ว-ช บพฺพชฺชา(บับ-พัด-ชา),ปพฺพชฺชา(ปับ-พัด-ชา) น่ะบวชๆ ตัวหนังสือก็แปลว่าเว้นจากความเป็นฆราวาสโดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นเธอจะต้องเว้นความเป็นฆราวาสโดยสิ้นเชิง แล้วก็เห็นๆ กันอยู่น่ะแหละว่าไม่กินอยู่อย่างฆราวาสไม่แต่งตัวอย่างฆราวาส ไม่กระทำอย่างฆราวาส แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือไม่คิดนึกใฝ่ฝันอย่างฆราวาสไม่ปราถนาอย่างฆราวาส เนี่ยจึงจะเป็นการบวชที่แท้จริง คือไปหมดๆ เว้นหมดจากความเป็นฆราวาสเขาเรียกว่าบรรพชา นี่ก็เป็นเพียงบรรพชาคือไม่ใช่ชาวบ้าน ไม่ใช่คฤหัสถ์ ที่จริงก็ตรงๆ กันหมดแหละบรรพชาของลัทธิไหนของศาสนาไหนก็เป็นบรรพชาออกจากบรรพชาจากบ้านเรือน ไม่มีความเป็นฆราวาสแล้ว ทีนี้ต่อไปนี้เขาจะอุปสมบทไอ้นั่นจำกัดว่าต้องทำอย่างนั้นจะต้องทำอย่างนี้ จะเข้าไปอุปสมบทอยู่ในคณะสงฆ์ไหน เนี่ยมันก็ต้องทำตามระเบียบของคณะสงฆ์นั้นต้องรับรองต้องมีการตรวจคัดเลือกรับรอง ฟังมติของสงฆ์แล้วจึงจะเข้าไปเป็นสมาชิกของสงฆ์นั่นเค้าเรียกว่าอุปสมบท เนี่ยต้องทำตามกฎเกณฑ์ของหมู่นั้นคณะนั้น ถ้าไม่ทำก็ขับออกไล่ออกก็หมดสิทธิเอง เดี๋ยวนี้เรายังไม่ใช่อุปสมบทจึงเป็นเพียงบรรพชา เว้นหมดไปหมดจากความเป็นฆราวาส มีความหมายสำคัญอยู่ก็คือว่าฆราวาสน่ะเขาทำตามใจตัว ทำตามกิเลส ทำตามใจตัว แต่ถ้าบรรพชาเป็นพรรพชิตแล้วต้องไม่ทำตามใจตัว ตรงกันข้ามเลยน่ะพวกนึงทำตามใจตัวทำตามสบายตามต้องการ นี่คือชาวบ้านฆราวาสทั่วไป ทีนี้พวกนึงไม่ทำตามใจตัวคอยบังคับกิเลสเอาความถูกต้องเป็นหลักเนี่ยเขาเรียกว่าพวกที่บวช นี่แหละความหมายใหญ่ๆ ความหมายที่สำคัญหมายความว่าจะบังคับตัวให้อยู่ในความถูกต้องให้ชนะกิเลสอยู่ตลอดเวลา ดั้งนั้นฆราวาสน่ะก็ปล่อยตามสบาย ถ้าเป็นเรื่องกิเลสส่วนตัวไม่ใช่เรื่องล่วงเกินทางสังคมก็ทำได้ตามใจตัว จะมีเมียกี่คนมีลูกกี่คนมีอะไรแค่ไหนมันก็ทำได้ตามใจตัวเลยทำให้มีกิเลสมาก เราเนี่ยจะประพฤติปฏิบัติสักคราวหนึ่งโดยจะไม่ตามใจตัวจะบวชจะประพฤติพรหมจรรย์จะควบคุมกิเลสอย่างดี เนี่ยความมุ่งหมายว่าให้มาฝึกฝนการบังคับตัวเสียสักระยะๆ หนึ่งให้มันมีนิสัยเกิดขึ้นว่าเราจะบังคับตัว ขึ้นชื่อว่าของชั่วของเลวแล้วก็ไม่เอานี่ขึ้นชื่อว่าของชั่วคือเป็นกิเลสแล้วต้องไม่เอา เพราะฉะนั้นพยายามๆ ให้ปฏิบัติตามระเบียบที่เป็นการบังคับตัว ไม่เกียจคร้านๆ ไม่เห็นแก่
ความสุขในความเกียจคร้าน คนโง่เขาเห็นความสุขในความเกียจคร้านได้ความเกียจคร้านแล้วเค้าเห็นว่าเป็นสุข นี่เป็นความโง่ หรือว่าเป็นการหาความสุขในอบายมุข เสพติดต่างๆ สูบบุหรี่หรืออะไรก็ตามหาว่าเป็นความสุข แต่มันเป็นความสุขของคนโง่ เป็นความสุขให้โง่ให้เสื่อมเสีย หรือไปเล่นอะไรยิ่งไปกว่านั้นก็ยิ่งเป็นความเสื่อมเสียมาก ดังนั้นเธอจงบังคับตัวให้อยู่ในร่องในรอยในระเบียบ ตามหลักเขาเรียกว่าสำหรับบังคับตัว ไอ้หลักข้อนี้ในหนังสือเรียนสำหรับเรียนนักธรรมเขาเรียกว่าฆราวาสธรรม ก็ใช้ได้หมดไม่ว่าพระหรือฆราวาสมันเป็นธรรมะเครื่องมือธรรมะหมวดที่เป็นเครื่องมือ สำหรับฆราวาสปฏิบัติเพื่อให้พ้นจากความเป็นฆราวาส ถ้าจะเรียกว่าฆราวาสธรรมก็คือฆราวาสที่พ้นจากความเป็นฆราวาส บรรลุสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะบรรลุได้ เข้าใจว่าเณรที่เคยเรียนนักธรรมแล้วคงจะจำได้ว่า สี่ประการหรือสี่อย่างนี้คือ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ๆ สี่บทนี้ในหลวงท่านก็เอามาขอร้องให้ประชาชนประพฤติปฏิบัติเหมือนกัน แต่ว่าฆราวาสก็ปฏิบัติได้บรรพชิตก็ปฏิบัติได้ ถ้ายังไม่บรรลุธรรมะสูงสุดอยู่เพียงใดแล้วก็ปฏิบัติธรรมะนี่ได้เรื่อยไป ทีนี้เธอถ้าอยากจะให้สำเร็จประโยชน์ในการบวชแล้วก็ต้องจำไว้ให้ดีๆ แล้วก็ปฏิบัติกันให้จริงๆ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ลองว่าไปในใจทำให้ได้ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ข้อที่หนึ่งสัจจะ คือ จริง ต้องเป็นคนจริง ไม่ใช่เป็นคนโกหกหลอกลวง โกหกหลอกลวงผู้อื่นก็ไม่จริง โกหกหลอกลวงตัวเองๆ ก็ไม่จริง ต้องไม่โกหกไม่หลอกลวงทั้งผู้อื่นและตัวเอง หลอกลวงผู้อื่นน่ะรู้กันอยู่แล้วแหละ คนไหนโกหกหรือพูดเท็จก็รู้กันแล้ว แต่หลอกลวงตัวเองน่ะมักจะไม่ค่อยรู้ จนว่าบวชเณรเราบวชเณรแต่แล้วก็หลอกลวงตัวเองไม่ทำอย่างเณรกลายเป็นลิง แทนที่จะได้เป็นเณรกลายเป็นลิง สามเณรกลายเป็นสามลิงไม่ทันรู้น่ะถ้าไม่มีสัจจะ ไม่มีความจริงใจแล้วก็ระวังเถอะมันก็จะกลายเป็นสิ่งที่ผิดตรงกันข้ามแหละ สัจจะแปลว่าความจริงหรือความซื่อสัตย์ซื่อตรงๆ ต่อผู้อื่นทุกคนแหละเราไม่โกหกหลอกลวงใคร ซื่อตรงต่อเวลาตรงตามเวลามาตามเวลาไปตามเวลา ก็ซื่อตรงต่อเวลา ซื่อตรงต่อหน้าที่การงานมีหน้าที่อย่างไรก็ทำให้ครบให้ถ้วน แล้วซื่อตรงต่อพระธรรมซื่อตรงต่อพระศาสนาซื่อตรงต่อพระพุทธซื่อตรงต่อพระธรรมซื่อตรงต่อ
พระสงฆ์น่ะ เขาเรียกว่าซื่อตรงกันหมดเลยทุกอย่างทุกประการแหละสำคัญที่สุดคือซื่อตรงต่อตัวเองอย่าทำลายตัวเองอย่าคดโกงตัวเองซึ่งเป็นการทำลายตัวเองนั่นน่ะ เนี่ยเรียกว่าสัจจะๆ ให้จริงที่สุดเลย ถ้าว่าเป็นพรรชิตแบบนี้ก็ต้องจริงขนาดว่าไม่ยอมเปลี่ยนไม่ยอมเหลวไหล มีคำสำคัญอยู่คำหนึ่งที่พูดกันมามีในบาลีนั่นแหละเรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตาคือรักษาศีลสิกขาบทวินัยจนไม่บกพร่อง ถ้าว่าลำบากเจ็บปวดน้ำตาไหลก็ไม่เปลี่ยนแปลงไม่กลับไปทำผิดทำเลวเขาเรียกประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา ทีนี้เรามีความซื่อตรงต่อ
ตัวเองมากขนาดว่าจะเป็นอย่างไรๆ ก็จะไม่ยอมให้เสียไปในข้อนั้นอดกลั้นอดทนน่ะน้ำตาไหลก็เอา เช่นว่าจะไปล่วง
ละเมิดศีลน่ะในที่สุดเช่นว่าจะไปกินข้าวค่ำหิวจะตายแล้วก็ไม่ต้องๆ อดกลั้นน้ำตาไหลก็ทำได้ อยากจะสูบบุหรี่
เหลือทนก็อดกลั้นจนน้ำตาไหลแล้วก็อดกลั้นได้ไม่ต้องสูบ อยากจะหนีไปเที่ยวหนีไปสำมะเลเทเมา เณรบางคนหนีไปเที่ยวกลางคืนก็ไม่ไปไม่ต้อง อดกลั้นๆ จะน้ำตาไหลก็อดกลั้นนี่เขาเรียกว่าซื่อตรงๆ ต่อตัวเอง ซื่อตรงต่อพรหมจรรย์ แล้วจึงประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา ถ้าเธอยอมถือหลักชนิดนี้แล้วสำเร็จแหละการบวชนี่สำเร็จประโยชน์แหละ
มีสัจจะถึงขนาดนี้ ทีนี้ข้อที่สองน่ะเรียกว่า ทมะ ท. ทหาร ม. ม้า เรียกว่าการบังคับตัวเอง ถ้าจะให้จริงให้ตรงอยู่ตามเดิมต้องคอยบังคับตัวเอง ถ้าไม่บังคับตัวเองมันเถลไถลออกนอกแนวออกนอกความถูกต้องน่ะ ต้องบังคับไว้ๆ บังคับจิตนี่บังคับยากแหละ เพราะเป็นของที่เบาหวิวเร็วเหลือประมาณบังคับยากถ้าทำเล่นๆ แล้วก็ไม่มีทางเลยที่จะบังคับจิตได้เพราะรู้ว่าบังคับยาก เอ้าไม่ยอมแพ้กี่ปีก็ไม่ยอมแพ้ยี่สิบทีสามสิบทีก็ไม่ยอมแพ้ ก็คอยบังคับจิตไว้เรื่อย แต่ต้องมีความฉลาดบ้าง ถ้าโง่แล้วจะประพฤติแล้วไม่ค่อยจะสำเร็จเรียกว่าเป็นบ้า เขาเปรียบในเรื่องนี้เขาเปรียบอุปมาไว้เหมือนกับว่าหมอช้าง ควานช้าง สามารถที่จะบังคับช้างที่ดุร้าย ช้างตกน้ำมัน ช้างดุร้ายเนี่ย หมอหรือควานช้างที่ฉลาดก็บังคับได้แต่หมอหรือควานช้างโง่แล้วก็ตายเลย ช้างเอาตายเลยทีนี้เราจะต้องเป็นเหมือนกับหมอช้างที่ฉลาดที่สุดเลยๆ จึงสามารถบังคับจิตที่ดุร้ายรวดเร็วเหมือนกับช้างตกมันได้ ทีนี้จิตเนี่ยมันอาจจะดุร้ายกว่าช้างก็ได้เวลาไปบังคับมันจะต่อสู้แหละบังคับมันก็ดิ้นรนต่อสู้ ยิ่งบังคับมันก็ดิ้นรนต่อสู้โกลาหลวุ่นวาย ถ้าไม่ฉลาดมันก็ยอมแพ้ยอมเลิกล้มละลายหมดความหมาย ดังนั้นต้องทำสติให้ดีๆ แหละมีปัญญามีสติเพียงพอจึงจะบังคับไว้ได้ บังคับจิตไว้ได้ให้อยู่ในบรรพชาให้อยู่ในพรหมจรรย์ อยู่ในความถูกต้องเรียกว่ารักษาความสัตย์ไว้ได้รักษาสัจจะไว้ได้ ขอให้จำไว้ว่าข้อที่สองนี่มันคือทมะ บังคับตน ทีนี้ข้อที่สามเรียกว่า ขันติๆ ความอดกลั้นอดทน ถ้าเราบังคับตนๆ มันก็มีความเจ็บปวดแหละซึ่งจะต้องทนน่ะ ถ้าไม่ทนมันก็จะเลิกบังคับแหละแล้วถ้าไม่บังคับก็ล้มละลายเหมือนกัน ดังนั้นเพื่อให้บังคับๆๆ ต่อไปได้เรื่อยๆ ต้องมีความอดกลั้นอดทนเรียกว่าขันติเนี่ยเราจึงรู้ไว้ว่าบรรพชิตน่ะอยู่ได้ด้วยขันติ มีบาลีว่า “ขันติ พลัง ยะวะตีนัง” (นาทีที่:17.55) ขันติเป็นพลังของผู้บำเพ็ญพรต พลังของผู้บวชบำเพ็ญพรมจรรย์ประพฤติพรหมจรรย์เนี่ยมีขันติเป็นกำลัง พอขาดความอดทนก็คือคนหมดแรงๆ ยอมแพ้เลิก ล้มละลาย ฉะนั้นต้องอดกลั้นอดทนจะต้องทนจนน้ำตาไหลเหมือนเขาว่ามาแล้วก็ต้องทนอดทน เพื่อหวังเอาสิ่งที่ถูกต้องหรือดีกว่าการที่ไม่อดทนหมายความว่าไปทำสิ่งที่ต่ำที่เลวที่ชั่วนั่น ถ้าไม่อดกลั้นอดทนหมายความว่าไปทำสิ่งที่ต่ำที่เลวที่ชั่ว ฉะนั้นเราอดกลั้นอดทนได้เสมอแล้วต้องรอคอยได้ด้วยความอดกลั้นอดทน การประพฤติพรหมจรรย์ไม่ใช่ว่าจะได้ผลวันนี้พรุ่งนี้ มันต้องรอไปอีกหลายๆ วันบางทีก็หลายๆ เดือนบางทีก็หลายๆ ปีโน่น เราก็รอได้ด้วยความอดกลั้นอดทน ความอดกลั้นอดทนน่ะทำให้รอได้ให้คอยได้ เหมือนกับชาวนาเนี่ยทำนาแล้วเสร็จแล้วมันก็ต้องรออดทนกว่าข้าวมันจะออกรวง ไม่ใช่ว่าทำนาเสร็จวันนี้แล้วข้าวมันจะออกรวงพรุ่งนี้แล้วมันไม่มีเป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องอดกลั้นอดทนดูแลรักษาเรื่อยไปรอได้คอยได้ นั่นแหละขันติ
อดกลั้นอดทนรอได้คอยได้เรียกว่าขันติๆ จะทำให้พรหมจรรย์นี่ตั้งมั่นๆ แล้วงอกงามเจริญๆ จนถึงที่สุดได้ด้วยความ
อดกลั้นตลอดเวลาของผู้ที่บพรรชา ดังนั้นเราจะต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความอดกลั้นอดทนเรื่อยไปๆ อยู่ด้วยความอดกลั้นอดทนเรื่อยไปๆ นี่เป็นข้อที่สาม เมื่ออดกลั้นอดทนได้ก็จะบังคับตัวเองได้แหละ ทีนี้ข้อที่สี่ สละสิ่งที่ไม่ควรมีในตนเรียกว่าจาคะ สละๆ สิ่งใดที่ไม่ดีไม่ควรจะมีในตนสิ่งนั้นรีบสละๆๆ ออกไปเสีย มันก็จะไม่มีความกดดันมาก มันจะอดทนได้สบายไม่เกินไปชนิดว่าอดทนไม่ไหว เพราะเราระบายออกเรื่อยสิ่งไหนไม่ดีสิ่งไหนเป็นความชั่วเล็กๆ น้อยๆ ก็ระบายออกไปเรื่อยละทิ้งไปเรื่อยๆ แล้วก็ไอ้สิ่งที่จะต้องอดกลั้นอดทนมันก็จะมีพอสมควรก็จะอดกลั้นอดทนไหว
ดังนั้นสิ่งใดที่รู้อยู่ว่าไม่ดีไม่ควรเป็นสิ่งเล็กน้อยจงสละออกไปเสียๆ ตัวอย่างเช่นว่าสูบบุหรี่บางคนว่าเล็กน้อยไม่ต้องสละมันก็เพิ่มแหละมันเพิ่มความมักง่ายความไม่จริงของกิเลสในที่สุดก็พ่ายแพ้แก่กิเลส นอนตื่นสายแบบนี้ไม่ใช่ความผิดร้ายแรงอะไรนอนตื่นสายเรื่อยๆ ไม่เท่าไหร่ก็ล้มละลายเมื่อขี้เกียจ สละไปเสียๆๆ สละขี้เกียจ สละนอนตื่นตาย สละสิ่งเสพติด สละความมักง่าย ความผลุนผลัน ความโกรธง่าย ความรู้สึกคิดนึกที่เลวๆ น่ะ เรียกว่าเป็นกิเลสน้อยใหญ่ที่ไม่ควรจะมีอยู่ในใจ ดังนั้นสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในใจน่ะสละออกไป เปิดรูรั่วให้มันรั่วออกไปให้หมดเมื่อสิ่งชั่วๆ เหล่านี้มันน้อยลงไอ้เรื่องที่จะต้องอดกลั้นอดทนมันก็น้อยลงจะสบายจะไปประพฤติพรหมจรรย์อยู่ด้วยความสบายที่เรียกกันว่า จาคะๆ แปลว่า สละ สละสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่ในตน ขอให้จำไว้สี่อย่างนี้แหละจะช่วยให้การบรรพชาของเราสำเร็จ สัจจะ ซื่อตรง ซื่อสัตย์ ทมะ บังคับตัวเอง ขันติ อดกลั้นอดทนรอได้คอยได้ จาคะ ความสละสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในตน เนี่ยถ้าเธอจำสี่อย่างนี้ไว้ได้แล้วก็จะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจจะทำ ธรรมะประเภทนี้เราเรียกกันว่าธรรมะประเภทเป็นเครื่องมือๆ ใช้ทำเพื่อให้ได้ธรรมะอย่างอื่น ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ ธรรมะประเภทเครื่องมือเป็นเหตุให้ได้ธรรมะที่เป็นวัตถุประสงค์เช่น มรรคผล นิพพาน เป็นต้น เธอมีธรรมะชนิดเป็นเครื่องมือให้เพียงพอ แล้วความเป็นสามเณรของเธอจะถูกต้องและสมบูรณ์ได้รับผลตรงความประสงค์ทุกๆ ฝ่าย รัฐบาลประสงค์ บิดามารดาประสงค์ ครูบาอาจารย์ประสงค์ เพื่อนบ้านประสงค์ ก็สมประสงค์กันหมดไม่มีใครผิดหวังผ้าเหลืองไม่เป็นหมัน ผ้าเหลืองก็ใช้ไปอย่างถูกต้องสำหรับความเป็นนักบวช เนี่ยขอให้เราแน่วแน่มั่นคงในความเป็นสามเณรของเรา สามเณรนั่นก็แปลว่าผู้ที่เตรียมตัวเพื่อจะเป็นสามณะ สมณ ก็คือผู้สงบ สามเณระ คือ ผู้เตรียมตัวเป็นสมณะ หมายความว่า ลูกอ่อนน่ะเด็กอ่อนของความเป็นสมณะ มันจะได้แก่ขึ้นๆ จนเป็นสมณะ สา มะ เณ ระ เป็นเหล่ากอของสมณะ คือเตรียมตัวสำหรับจะเป็นสมณะ เป็นสมณะคือความที่สงบเยือกเย็นเป็นสุขเป็นฆราวาสก็เป็นได้ตามสมควร เป็นฆราวาสน่ะเป็นสมณะได้ตามสมควรเป็นนักบวชเป็นได้เต็มที่เป็นได้ถึงที่สุด สามเณรนี่เตรียมตัวสำหรับเป็นสมณะ ถ้าสมมติว่าเธอลาสิกขาไปเป็นฆราวาสก็ต้องเป็นฆราวาสที่ดีกว่าเก่าแหละ เป็นฆราวาสที่มีความสงบมีความสุข เราถ้าไม่มีการบังคับกิเลสๆ ก็จะเป็นนายเราทำให้เราทำผิดจนเลวลงๆ จนถึงกับว่าตาย ทีนี้อย่างน่าเกลียดที่สุดที่เขาเรียกกันว่าตายโหง คำว่าตายโหงๆ น่ะเป็นคำที่ไม่น่าฟัง ทีนี้ระวังนะเด็กๆ ตายโหงเสียมากแล้วนะ เด็กๆ เนี่ยตายโหงเสียมากแล้ว ดังนั้นขอให้พวกเธอเนี่ยต้องเป็นคนตายโหงตั้งแต่เด็กอย่าตายโหงตั้งแต่เด็ก ให้มีความถูกต้องไม่ต้องตายโหงไม่ต้องไปตีกันตาย ไม่ต้องไปฆ่ากันตายไม่ต้องถูกตำรวจยิงตายตั้งแต่เด็กๆ เรียกว่าตายโหงตั้งแต่เด็ก ทีนี้ถ้าเธอบำเพ็ญประพฤติพรหมจรรย์ให้ถูกต้องเนี่ยจะป้องกันการตายโหงตั้งแต่เด็กได้เป็นแน่นอน เพียงเท่านี้มันก็เรียกว่ามันเป็นผลดีที่สุดอยู่แล้วของการบรรพชา พ่อแม่ก็ไม่ต้องการให้เด็กๆ ตายโหงตั้งแต่เล็ก ใครๆ ก็ไม่ต้องการให้เด็กๆ ตายโหงตั้งแต่เล็ก ต้องการให้อยู่เจริญงอกงามเป็นผู้ใหญ่เป็นปู่ตาย่ายายที่ดี สืบมนุษย์สืบความเป็นมนุษย์ได้สูงสุดได้ดี เนี่ยเราจึงต้องฝึกสิ่งที่ป้องกันไม่่ใช้ตายโหงตั้งแต่เล็กคือสิกขาวินัย บังคับจิตใจให้เป็นคนหนุ่มที่ดี เพื่อให้เป็นคนหนุ่มที่บังคับตัวเองได้ เป็นคนหนุ่มเหมือนควานช้างที่ฉลาดบังคับช้างที่ตกน้ำมันได้ พูดกันแล้วหยกๆ ว่าต้องเป็นควานช้างที่ฉลาดจึงจะสามารถบังคับช้างที่ตกน้ำมันได้ ไอ้จิตเนี่ยพอมันคลั่งก็เหมือนกับช้างตกน้ำมันหรือบางทีมันก็แรงไปกว่าช้างที่ตกน้ำมันเพราะมันทำอันตรายได้มากกว่าช้าง ดังนั้นเราพอใจยินดีในการที่จะฝึกตนให้เป็นเหมือนกับควานช้างที่ฉลาดสามารถบังคับช้างแล้วก็จะได้ผลของการบรรพชา ทีนี้พูดเรื่องอานิสงค์ของการบรรพชาด้วยหัวข้อกันสักนิดน่ะ ว่าอย่างน้อยต้องให้ได้อานิสงค์สักสามประการแหละ การที่บวชน่ะให้ได้อานิสงค์สักสามประการ อานิสงค์ที่หนึ่งก็ขอให้เราได้รับประโยชน์เป็นความดีเหมือนกับเกิดใหม่ เนี่ย เมื่อเราประพฤติพรหมจรรย์ดีแล้วเราได้รับประโยชน์เป็นคนดีได้ความดีได้สิ่งที่ดีเหมือนกับเกิดใหม่น่ะแหละ อานิสงค์ข้อนี้ผู้บวชน่ะแหละได้รับ ทีนี้อานิสงค์ข้อที่สองน่ะสนองพระคุณบิดามารดาให้บิดามารดาได้รับ ให้บิดามารดาได้ชื่นใจชื่นอกเป็นสุขเพราะการบวชของเรา ให้บิดามารดามีศรัทธาในศาสนายิ่งขึ้นกว่าแต่เดิมกว่าแต่ก่อนน่ะ เธอสังเกตดูสิเมื่อลูกไม่มาอยู่วัดพ่อแม่ก็ไม่ค่อยมาวัด พอลูกมาบวชเป็นพระเป็นเณรอยู่ที่วัด พ่อแม่ก็มาวัดบ่อยๆๆ เนี่ยเขาเรียกว่าเรียกพ่อเรียกแม่ คำว่าหาศาสนานี่มากขึ้น เขาจึงใช้คำว่าทำให้บิดามารดาได้เป็นญาติในพระศาสนาหรือแก่พระศาสนานี่ยิ่งขึ้น อานิสงค์ข้อนี้นี่ได้แก่บิดามารดาพี่ป้าน้าอาญาติทั้งหลายของเรา ดังนั้นในฐานะที่เราสนองพระคุณของผู้มีพระคุณตอบแทนพระคุณของบิดามารดาเนี่ยอานิสงค์ข้อนี้ก็ไม่ใช่เล็กน้อยเป็นลักษณะของมนุษย์ที่ดี รู้บุญคุณของผู้มีพระคุณแล้วก็ตอบแทนพระคุณนั้นให้ดีที่สุด ทีนี้อานิสงค์ที่สามการบวชของเรามีอานิสงค์ที่สามคือสืบศาสนา บวชเนี่ยสืบศาสนาอย่าให้หมด ศาสนาจะมีๆ เนี่ยก็เพราะมีคนบวช มีคนเรียนมีการปฏิบัติมีคนรับผลของการปฏบัติแล้วมีคนสอนสืบๆ ต่อๆ กันไป มันหลายขั้นตอนแหละแต่รวมกันแล้วแหละก็คือศาสนามีอยู่ มีคนบวชนี่แหละมีคนสนใจแล้วบวชแล้วก็มีคนเรียนศึกษาแล้วก็มีคนปฏิบัติตามสิ่งที่ได้ศึกษา แล้วได้รับผลของการปฏิบัติเป็นตัวอย่างให้ดูว่าดีๆๆ แบบนี้มีความสุขเนี่ยได้รับผลของการปฏิบัติ แล้วก็สอนๆๆๆ สืบต่อๆ กันไป มันต้องจริงน่ะๆ บวชก็จริง เรียนก็จริงปฏิบัติก็จริง รับผลปฏิบัติก็รับผลกันจริงๆ ไม่ใช่พูดกันแต่ปาก
หลอกๆ แล้วก็สอนๆ ต่อๆ กันไปจริง นี่แหละทำให้พระศาสนาไม่ตาย ทำให้ศาสนาไม่สิ้นสูญ ทำให้ศาสนายังอยู่ เมื่อศาสนายังมีอยู่ในโลกเนี่ยคนทั้งโลกนี่แหละรับประโยชน์จากศาสนา ดังนั้นพูดได้ว่าเราบวชคนเดียวเป็นประโยชน์แก่คนทั้งโลก ถ้าเราบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สอนกันจริงๆ การบวชของเราเพียงคนเดียวนี่แหละได้ประโยชน์แก่คนทั้งโลกที่เรารู้จัก ที่เราไม่รู้จัก ที่เราไม่เคยพบเคยเห็นก็พลอยได้รับประโยชน์ เพราะว่าเราได้ทำให้ศาสนามีอยู่ในโลก เพราะศาสนาทำให้โลกสงบสุขร่มเย็น คนทั้งโลกพลอยได้รับประโยชน์ข้อนี้แหละน่าภูมิใจน่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง เพราะว่าการบวชของเรามีประโยชน์แก่พระศาสนามีประโยชน์ต่อคนทั้งโลก พูดตลกๆ น่ะก็พูดว่ามีประโยชน์แก่เทวดา คือทำให้สวรรค์ไม่ร้างนะเพราะยังมีคนปฏิบัติดีนี่ มีคนปฏิบัติดีก็มีคนไปเกิดในสวรรค์ๆ ไม่ร้างน่ะ ถ้าไม่มีใครปฏิบัติดีๆ ไม่มีใครไปเกิดบนสวรรค์ๆ ก็ร้างๆ หมดเลย นั่นแหละทำเล่นไปความชั่วความดีตามหลักศาสนามันมีแบบนี้ ถ้าเธอเป็นคนจริงต่อความเป็นมนุษย์ของเธอ ไม่โกหกหลอกลวงต่อความเป็นมนุษย์ของเธอ เธอคงจะพอใจนะเพราะว่าได้ประโยชน์ถึงสามอย่างน่ะ ได้ประโยชน์อานิสงค์ถึงสามอย่างน่ะ ตัวเราก็ได้ บิดามารดาพ่อแม่ก็ได้ ศาสนาหรือโลกทั้งปวงก็ได้ ได้ถึงสามอย่างน่ะ ชีวิตของเรานิดเดียวน่ะไม่พอเสียแล้วไม่พอจะเสียสละ เนี่ยเขาเรียกว่าบวช อุทิศให้หมดเลย เสียสละให้หมดเลย แล้วทำให้ได้ประโยชน์ถึงสามอย่างสามประการ แล้วเป็นประโยชน์มหาศาลเรียกว่าคนๆ เดียวทำประโยชน์ได้มหาศาลเสียสละเรื่องบ้าๆ บอๆ เล่นหัวอย่างฆราวาสเท่านั้นแล้วก็เสียดายอะไรล่ะ
ไอ้เรื่องเล่นเรื่องสนุกอย่างโลกๆ ในฆราวาสน่ะมันจะมีประโยชน์อะไร เสียสละเสียมาเอาประโยชน์ที่แท้จริงสามประการนี่แหละ เธอก็ได้สิ่งที่ดีที่สุดบิดามารดาก็ได้สิ่งดีที่สุดประเทศชาติศาสนาโลกทั้งโลกก็ได้สิ่งที่ดีที่สุด เราเสียสละคนเดียวไม่ได้เชียวหรือ ถ้าคิดเลขนี้ไม่เป็นก็โง่เต็มทีประโยชน์มหาศาลน่ะ แลกเอาได้ด้วยชีวิตเล็กๆ ชีวิตเดียวก็ยังไม่เอาคือคนที่โง่ที่สุดในบรรดาคนโง่ทั้งหลาย ดังนั้นขอให้เธอคิดให้ดีๆ สิ เมื่อคิดเห็นแน่ใจแล้วตั้งใจปฏิบัติให้ดีอยู่ตลอดเวลาจะสึกหรือจะไม่สึกก็ตามใจแหละ ถ้าต้องสึกก็ต้องสึกแหละแต่ต้องคงปฏิบัติดีต่อไปเพราะว่าเราได้เรียนได้บวชแล้วเนี่ย ถ้ายังอยู่ก็เรียนต่อไปก็ทำต่อไปมากขึ้นๆ จนกระทั่งว่าจนถึงที่สุดแหละ เรานั่งอยู่ที่นี่ทำประโยชน์แก่คนทั้งโลกได้ยังไม่เอาอีกก็บ้าเต็มที เราจงเสียสละทุกอย่างแหละเพื่อประโยชน์เพื่อความดีของมนุษย์ทั้งหมด ของเทวดาทั้งหมด สัตว์ทั้งปวงเลย คือ เราสืบอายุพระศาสนาไว้ให้เขาที่จะมาในอนาคตๆ ยังจะมีมนุษย์เกิดตามมาอีกมากมาย มนุษย์เหล่านั้นก็จะได้รับประโยชน์จากศาสนาจากพระธรรมที่เราได้สืบอายุไว้ให้เขา นี่แหละเรียกว่าอานิสงค์ที่ใหญ่ๆ สามประการ แจงรายละเอียดแจงกันไม่หวาดไม่ไหวแจงกันไม่หมดสิ้น เมื่อเราบวชเนี่ยท่านอุปัชฌาย์แสดงอานิสงค์ว่ามีการได้รับอานิสงค์มากมาย ว่าให้เอาฟ้าอากาศน่ะเป็นกระดาษ ให้เอาเขาพระสุเมรุเป็นดินสอ แผ่นดินเป็นหมึกแล้วละลายน้ำในมหาสมุทรมาเขียนฟ้าเขียนอากาศให้เต็มๆ ไปทั้งท้องฟ้าอากาศก็ไม่หมดคุณๆ ของบรรพชา หรือบางทีก็ไม่หมดคุณของบิดามารดา แต่ถ้าเราได้บวชเป็นการตอบแทนคุณบิดามารดานั้นจึงจะสมกันๆ ตอบแทนคุณที่มีพระคุณที่สุดอย่างสาสมกันแล้วก็ได้รับประโยชน์ได้ความดีที่เราจะได้รับอย่างสาสมกัน นี่แหละจึงเรียกว่ามันเป็นประโยชน์มหาศาล เป็นอานิสงค์สูงสุดแล้วแลกเอาด้วยชีวิตเด็กๆ ชีวิตเดียวนี่มันก็ควรจะได้ถ้าไม่ได้มันก็ควรจะโง่อย่างที่ว่า คือถ้าไม่เอามันก็โง่อย่างที่ว่า ถ้าเอาแล้วพยายามแล้วมันต้องได้ตามสัดตามส่วนแหละแม้ไม่ได้หมดก็ตาม แต่ว่าจะได้หมดในเมื่อตั้งใจทำจริง ได้สักครึ่งเดียวก็เหลือประมาณแล้วมีประโยชน์เหลือประมาณแล้ว ยิ่งได้หมดนี่ก็ยิ่งจะดี เนี่ยเรียกว่าเราบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สอนสืบๆ กันไปจริง เรากลายเป็นคนเกิดใหม่มีแต่ดีอย่างเดียว บิดามารดาได้รับประโยชน์อานิสงค์เป็นที่ชื่นอกชื่นใจสูงสุดแล้วท่านจะดีใจได้พอใจได้ มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายได้รับประโยชน์เพราะมีศาสนาอยู่ในโลกโดยเราเป็นผู้สืบไว้ๆ รักษาไว้ นี่อานิสงค์เหลือประมาณ ดังนั้นขอให้ทำในใจว่าจะได้อานิสงค์นี่น่ะมันจะเกิดกำลังใจขึ้นมาเอง มันจะเกิดความกล้าหาญความเชื่อมั่นความพากเพียรพยายามขึ้นมาเอง ถ้ามองอานิสงค์สามอย่างนี้ไว้เป็นเบื้องหน้า ว่ามุ่งเอาอานิสงค์สามอย่างนี้เป็นเบื้องหน้าแล้วมันจะเกิดกำลังใจเกิด
ความเพียร เกิดความกล้าหาญ เกิดความแน่นอน เกิดความสัตย์จริงอะไรขึ้นมาเต็มที่ แล้วเราก็จะได้สิ่งที่ดีที่สุดๆ
ที่มนุษย์ควรจะได้ ไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้วๆ สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้หรือมนุษย์ควรจะทำได้ นี่แหละเรียกว่าให้เพ่งถึงอานิสงค์ที่จะได้เอามาเป็นเครื่องกระตุ้นจิตใจไว้เรื่อย ให้พยายามพากเพียรไปเรื่อยตามระเบียบกฏเกณฑ์ของการบรรพชา มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นพื้นฐานอยู่ในจิตใจคือคุณธรรมของความสะอาด สว่าง สงบ พอใจในความสะอาด สว่าง สงบของจิตใจ นั่นแหละเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จิตใจสะอาด จิตใจสว่าง จิตใจสงบ นั่นแหละเป็นความหมายของพระพุทธ พระธรรม พรงสงฆ์ ซึ่งยังอยู่ไม่สูญหาย พระพุทธเจ้าแท้จริงแล้วไม่นิพพานไม่สูญหายไม่ตายไปไหนยังอยู่เป็นคุณธรรมสำหรับจะสิงอยู่ในใจของบุคคลที่มีจิตใจสะอาดสว่างสงบ แล้วภาวะจิตใจที่สะอาด สว่าง สงบนั้นแหละคือองค์พระพุทธเจ้าชนิดนี้ ชนิดที่ไม่รู้จักตายน่ะ พระธรรมก็คือภาวะของความสะอาด สว่าง สงบ อย่างเดียวกันกับพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ก็คือผู้ที่มีจิตใจสะอาด สว่าง สงบอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์จึงมีใจความหัวใจเหมือนกันหมดคือ ความสะอาด สว่าง สงบ แห่งจิตใจ เป็นมนุษย์เป็นคนเนี่ยมันมีจิตใจแล้วมันยังเป็นๆ นี่มันยังไม่ตายนี่ๆ จิตใจยังเป็นๆ มันต้องมีลักษณะมีภาวะ หรือมีคุณธรรม ดังนั้นคุณธรรมที่เป็นความสะอาด สว่าง สงบ นั่นแหละคือเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเราเอามาใส่ไว้ในจิตใจได้ ถ้าพระพุทธเจ้าเป็นบุคคลก็เอามาใส่ในใจไม่ได้ ถ้าพระธรรมเป็นตู้หนังสือเราก็เอามาใส่ในใจไม่ได้ ถ้าพระสงฆ์เป็นคนๆ เป็นลูกชาวบ้านหลานชาวบ้านเราก็เอามาใส่ในใจไม่ได้ แต่ว่านั้นมันเปลือกๆ ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หัวใจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือ พระธรรมที่เป็นความสะอาด สว่าง สงบแห่งจิตใจ เราสมารถที่จะเอามาใส่ในจิตใจได้ดังนั้นเราจึงมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในจิตใจได้ ถ้าเป็นได้อย่างนี้นับว่าแน่นอนที่สุดๆ ปลอดภัยที่สุด ไม่มีเปลี่ยนแปลงที่สุดที่จะก้าวไปๆ จนถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าเป็นบรรพชิตก็ไปถึงจุดหมายปลายทางของบรรพชิตน่ะ ถ้าเป็นฆราวาสก็ไปถึงจุดหมายปลายทางของการเป็นฆราวาสแหละ แปลว่าไม่มีทุกข์กันก็แล้วกันเป็นเรื่องดับทุกข์โดยสิ้นเชิงกันเสียแล้วกัน เพราะฉะนั้นกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ ไม่ใช่เป็นสิ่งเหลือวิสัยๆ แต่เป็นสิ่งที่ทำได้ ถ้าเราไม่โง่เกินไปเราจะมองเห็นว่าเป็นสิ่งที่ทำได้แล้วเราก็จะทำได้จริงๆ ด้วย เราจะทำได้จริงๆ ด้วย นี่แหละเราพูดให้เธอฟังในฐานะที่เธออุตส่าห์มาจากที่ไกลมาจากจังหวัดไกล มาด้วยหวังว่าจะได้ฟังอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์ในการบรรพชา เราก็ยินดีที่เธอมายินดีในการที่เธอได้บรรพชา ยินดีในการที่เธอพยายามจะให้มันดียิ่งๆ ขึ้นไป ให้มันสูงยิ่งๆ ขึ้นไป จึงได้พยายามรวบรวมความจริง ที่จะพูดที่ควรจะเอามาพูดแล้วก็เอามาพูดเท่าที่จะรวบรวมได้ ทีนี้ขอให้เธอพิจารณาให้ดีๆ อย่าเหลวไหล อย่าให้เสียผ้าเหลือง อย่าให้บวชเสียผ้าเหลือง เสียเวลาผิดหวังกันหมดทุกคน ก็มีเท่านี้แหละใจความสำคัญมีเท่านี้ ให้เธอบวชจริงเรียนจริงปฏิบัติจริงได้ผลจริงสอนต่อไปกันจริงๆ จะได้รับประโยชน์กันทั้งโลกแล้วเธอก็ปลอดภัย ขอใช้คำหยาบอีกครั้งนึงนะว่าเธอจะไม่ตายโหงตั้งแต่เด็กเนี่ย เธอจะไม่ตายโหงตั้งแต่เด็กเนี่ยขอใช้พูดคำหยาบน่ะเพราะมันพูดคำอื่นไม่ได้นี่ เมื่อพูดคำอื่นมันฟังยากนี่จึงพูดคำหยาบตรงๆ ว่าเณรเล็กๆ ทุกคนนี่อย่าให้ตายโหงตั้งแต่เล็กเลยจงเจริญงอกงามในความเป็นมนุษย์ในพุทธศาสนายิ่งๆ ขึ้นไปจนถึง
จุดหมายปลายทาง เวลานี้เรานั่งพูดกันกลางดินน่ะมีดินนี้เป็นพยานน่ะ แผ่นดินนี่ศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธเจ้าประสูตร
กลางดิน แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์น่ะ พระพุทธเจ้านั่งตรัสรู้ก็กลางดินน่ะ แผ่นดินมันศักดิ์สิทธิ์น่ะ เพราะพุทธเจ้าได้สอนคนก็เหมือนกันนั่งอยู่กลางดินไม่ได้สอนในโรงเรียนในมหาวิทยาลัยไหน ท่านนั่งสอนกลางดินนี่แหละทุกหนทุกแห่งเวลาเดินทางนี่ก็สอน แล้วพระพุทธเจ้าน่ะอยู่กลางดินน่ะกุฏิกลางดินน่ะกุฏิพื้นดินน่ะ เราไปดูแล้วทุกแห่งในประเทศอินเดียน่ะกุฏิพระพุทธเจ้าพื้นดินทั้งนั้น นี่เรียกว่าท่านอยู่กลางดินน่ะ แล้วในที่สุดท่านตายกลางดินน่ะ ระหว่างต้นสาละสองต้นจนหัวท้าย ท่านนิพพานกลางดิน ไม่ได้นิพพานบนปราสาทราชวัง ไม่ได้เกิดบนปราสาทราชวัง นิพพานกลางดิน เมื่อประสูติก็ประสูติกลางดินใต้โคนต้นสาละ เมื่อตายนิพพานก็ตายกลางดินใต้โคนต้นสาละ ทีนี้เธอเก็บใบสาละไปเป็นที่ระลึกได้นั่นน่ะต้นสาละใบมันเก็บไปเป็นที่ระลึกได้ว่าเป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าประสูติที่โคนต้น พระพุทธเจ้านิพพานที่โคนต้น แต่ความหมายสำคัญมันอยู่ที่ว่ากลางดินน่ะ ท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน ตายกลางดิน เนี่ยเราเอาแผ่นดินนี่แหละเป็นพยานว่าเราได้พูดกัน เมื่อเรานั่งกันกลางดินนี่ทุกคนนั่งกลางดิน มีแผ่นดินเป็นหลักประจักษ์พยานว่าเราจะมีความสัตย์มีความจริงรักษาคำพูดรักษาความจริง ให้หนักแน่นเหมือนแผ่นดิน ที่อื่นเขาไม่ค่อยนิยมนั่งกันกลางดินแต่ที่นี่ขอร้องประชุมกันกลางดิน แขกเจ้าใหญ่นายโตมาก็ว่านั่งกันกลางดินนี่แหละ ประชุมอบรมข้าราชการระดับสูงๆ ที่มาขอรับการอบรมก็นั่งกลางดินทั้งนั้น เมื่อสองสามวันนี้ก็มีเมื่อคืนนี้ก็มีข้าราชการที่ดินในระดับสูง มีทนายความของสมาคมทนายความ แล้วก็มีหลายพวกตั้งหลายพวกนั่งกลางดินทั้งนั้นแหละมาที่นี่ต้องนั่งกลางดินทั้งนั้น ครูบาอาจารย์มารับคำสั่งสอนที่นี่เรานั่งกันกลางดินเพราะเราเห็นว่าดินเป็นสูงสุดแล้วก็เป็นสิ่งที่มั่นคงที่สุดมีเกียรติที่สุด เป็นที่ประสูตร ตรัสรู้ นิพพานของพระพุทธเจ้า อีกทางนึงตรงกันข้ามมันมีความหมายว่าเราอยู่ที่ดินนี่แหละมันจะไปขึ้นฟ้า ขึ้นสูงน่ะ ถ้าเราอยู่บนสูงแล้วมันจะกลับตกลงมาที่ดิน ถ้าเราอยู่ที่ดินเรามีแต่ขึ้นไปทางสูง ดังนั้นจงพยายามพอใจอยู่ต่ำๆ กินอยู่ต่ำๆ กินอยู่ง่ายๆ ถ้าบางวันเณรจะต้องฉันข้าวราดน้ำปลาก็จงยินดีเถอะว่ามันเป็นอาหารที่ต่ำจริงแต่มันจิตใจจะไปในทางสูง พระพุทธเจ้าเองก็ในพระบาลีเรื่องบางครั้งบอกว่าพระพุทธเจ้าฉันเข้าตากเลี้ยงมาไม่มีแกงมีกับข้าวนะ พระพุทธเจ้าน่ะฉันข้าวตากที่เขามีไว้สำหรับเลี้ยงม้าทำให้ชุ่มๆ เปียกๆ ไม่ต้องมีแกงไม่มีกับข้าวพรรษานึงตลอดพรรษานึง ถ้าเป็นพวกเธอคงโกรธคงหนีคงด่าเจ้าของบ้านวิ่งไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่ว่าพระพุทธเจ้าน่ะฉันข้าวตากเลี้ยงมาไม่มีแกงไม่มีกับข้าว ทำพอให้เปียกๆ ฉันได้เท่านั้นแหละได้ตั้งพรรษาน่ะ ทีนี้อยู่ให้ต่ำ กินให้ต่ำ อยู่ให้ต่ำ แล้วมุ่งจิตใจกระทำให้มันสูงๆๆ ไปแหละดี ทีนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ชนิดนี้เรียกว่ายังไม่มีอะไร ก็ขอให้พยายามจะได้มีค่าที่สุดจะได้มีเกียรติที่สุดและมีประโยชน์ที่สุดก็เป็นความถูกต้องไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้เราได้รับพระพุทธศาสนา จำไว้ให้ดีๆ ว่าอย่าให้เสียทีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วได้พบพระพุทธศาสนา คือศาสนาที่บอกให้รู้ตามที่เป็นจริงว่าเราจะต้องทำอย่างไรกัน เราจึงจะไม่มีความทุกข์เมื่อสิ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่เราทำได้ด้วยตนเองนี่แล้วเรายังไม่ทำอีก เราก็เป็นคนโง่เหลือประมาณสิ่งที่ดับทุกข์ได้ด้วยตนเองนี่เราก็ไม่ทำอีกเราก็ใช้ไม่ได้แหละ เขาเรียกว่าเสียที เสียชาติเกิดๆ เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนา ดังนั้นจึงหวังว่าสามเณรทั้งหลายเนี่ยจะเข้าใจข้อความนี้ดีแล้วประพฤติตนให้เป็นสามเณรที่ดี อย่าให้ใครชาวบ้านเขานึกในใจว่าเป็นสามลิงเขาเกรงใจเขาไม่ได้พูดออกมาจากปากแต่เขานึกอยู่ในใจไอ้นี่มันเป็นสามลิงไม่ใช่สามเณร อย่าให้ใครเกิดความคิดชนิดนี้แก่เราได้เลย ล่ะแน่นอนแหละเราก็จะได้รับประโยชน์สมตามความมุ่งหมายของทุกๆ ฝ่าย ไม่มีอะไรที่เป็นหมันเสียเปล่า เราขออวยพรด้วยอำนาจของความดีความจริงซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมะนี่แหละ ให้เธอสามารถยึดถือเป็นหลักมีความเชื่อมีความกล้าหาญ มีความบากบั่นมั่นคงเพียรพยายามและดำเนินกิจการให้ก้าวหน้าไปตามธรรม ตามธรรมนองครองธรรม ตามแนวของพระพุทธศาสนา ก้าวหน้าในทางของพระพุทธศาสนาเจริญสุขอยู่ทุกทิพาราตรีการเทอญ