แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
แนะนำตัว สามเณรทั้งหลาย เราขอแสดงความยินดี อนุโมทนา ในการกระทำของเธอทั้งหลาย ที่ได้ทำมาแล้ว และกำลังกระทำอยู่ หรือกำลังกระทำต่อไป ขอแสดงความหวังว่า เธอคงจะทำให้ไม่มีใครผิดหวัง
การที่เราบวชนี้ เป็นความหวังของหลายฝ่าย แม้ที่สุด กับรัฐบาล เขาก็หวังว่า วัยรุ่นหรือยุวชนนี้ จะเข้ามาอยู่ในรูปแบบของศีลธรรมกันเสียที เขามองเห็นว่า ศีลธรรมของวัยรุ่นนี่ตกต่ำนัก ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ก็เลยอยากจะให้มีการอบรม พวกเราก็สนองความประสงค์ของรัฐบาล จัดการอบรมสามเณรฤดูร้อนกันมากขึ้น นี้เรียกว่า รัฐบาลเขาหวัง และบิดามารดาของเราก็หวังว่า ไอ้ลูกน้อย ๆ นี้ มันจะได้รู้ธรรมะ หรือพูดภาษาบ้านว่า รู้ประสีประสากันเสียบ้าง อย่าลุ่มหลงเห็นแต่กิเลส เห็นแต่การได้ หรือการสนุกสนาน ว่าเป็นสิ่งดี ให้รู้ประสีประสาเสียบ้างว่า การตั้งอยู่ในธรรมะ อยู่ในศาสนานั้น เป็นสิ่งดี เขาจึงยินดีให้เรามาบวชเณรภาคฤดูร้อน ประชาชนทั้งหลายก็หวังว่า สามเณรทั้งหลายก็จะเป็นผู้ที่ไม่เป็นอันตรายแก่สังคม เพื่อนของเราก็หวังว่า เราจะได้รับประโยชน์ ตัวเราเองก็หวังว่า จะได้รับประโยชน์ เรียกว่า หลายคนหลายพวก หวัง เราอย่าทำให้มีการผิดหวัง จะให้มองลึก ไกลไปถึงว่า แม้พระพุทธเจ้า เมื่อยังทรงพระชนม์อยู่ ท่านก็ต้องการหรือจะเรียกว่าหวังก็ได้ ว่าให้พวกเราช่วยกันสืบอายุพระศาสนาไว้ เป็นเครื่องดับทุกข์ในโลก พระพุทธเจ้าตรัสว่า ศาสนาหรือธรรมวินัยนี้ มีขึ้นมาในโลกเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชน ทั้งเทวดาและมนุษย์ พวกเธอทั้งหลายจงพยายามสืบธรรมวินัยนี้ ให้ยังคงมีอยู่ในโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชน ทั้งเทวดาและมนุษย์ พวกเธอทั้งหลาย จงพยายามสืบธรรมวินัยนี้ให้ยังคงมีอยู่ในโลก เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ นี่ พระพุทธองค์ทรงหวังตลอดกาลเลย ทรงหวังตลอดกาล ว่าสาวกจะพยายามทำให้มีธรรมวินัย หรือศาสนาให้มีอยู่ในโลก เพื่อประโยชน์แก่มหาชน ทั้งเทวดาและมนุษย์
ทีนี้ เราจะพูดอย่างอุปมา ให้มันเป็นภาษาคน ว่า พระศาสดาของเรานั้น เป็นฝ่ายหนึ่ง ซึ่งอุบัติขึ้นมาในโลก เพื่อจะกำจัดมารร้ายในโลก มารคือสิ่งที่เป็นศัตรูของมนุษย์ พระพุทธเจ้าก็เกิดขึ้นในโลกเพื่อจะกำจัดมาร สาวกทั้งหลายของพระองค์ ภิกษุสามเณรอะไรก็ตามนี่ ก็เป็นผู้สนองพระพุทธประสงค์ จึงเป็นเหมือนเสนา หรือกองทัพของพระองค์ ที่จะดำรงกันอยู่ในโลกนี้เพื่อจะกำจัดมารในโลก คือแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ว่าฝ่ายมาร เลวร้าย สิ่งเลวร้ายในโลก ทำลายโลก เป็นศัตรูของมนุษย์นี้ พวกหนึ่ง แล้วพระพุทธเจ้าและสาวกของพระองค์ กเ็เป็นอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นกองทัพธรรม เขาชอบเรียกกันว่ากองทัพธรม ที่จะปราบมารเหล่านั้นให้หมดไปในโลก เณรทั้งหลายก็เป็นเหมือนทหารใหม่ ทหารฝึกหัด ที่จะเป็นทหารที่จะเต็มสมบูรณ์ในอนาคต เพื่อจะเป็นทหารในกองทัพของพระพุทธเจ้า เพื่อจะกำจัดมารในโลกให้สูญสิ้นไป เธอรู้สึกที่ว่ามันมีเกียรติที่สุดที่เราจะเป็นเสนาของพระพุทธเจ้า เพื่อจะกำจัดมารและเสนาของมารให้หมดสิ้นไป ตัวมารก็มีเสนามาร พระพุทธเจ้าก็มีเสานาสาวก ฉะนั้น เราจะต้องเอากองทัพนี้ ปราบมารให้จนได้
นี่ เป็นหลักการ หลักการทั่วไป เรากำลังเตรียมกองทัพชนิดที่จะทำลายมารให้หมดไปจากโลก ให้โลกนี้มีสันติสุข มีสันติภาพ มีความสงบเย็น อยู่กันอย่างมนุษย์ดี ๆ ไม่มีมาร เรียกว่าปราบมารในโลก ฉะนั้น การที่เธอพยายามฝึกฝนอบรตนตลอดเวลาที่บวชนี้ จึงเป็นสิ่งที่น่าพอใจ น่าปลื้อมใจ น่าสรรเสริญ น่าอนุโมทนา น่าอะไรทุกอย่าง ฉะนั้น เราจึงว่า ขออนุโมทนา
เอาละ ทีนี้ ก็จะพูดกันต่อไปว่า จะปราบมารกันอย่างไร ในเมื่อเธอก็เต็มใจอุทิศชีวิตเพื่อเป็นเสานาของพระองค์ในการที่จะปราบมารและเสนาของมาร ทีนี้ เราจะปราบมารนั้นอย่างไร พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เท่าที่จำได้ มีอยู่ประโยคหนึ่งว่า โยเธ ธมฺมารํ ปญฺญา อุเทน ท่านตรัสเป็นคำกลอน โยเธ ธมฺมารํ จงรบมาร หิปญฺญา อุเทน ด้วยอาวุธ คือปัญญา โยเธ ธมฺมารํ หิปญฺญา อุเทน จงรบมาร กำจัดมารด้วยอาวุธ คือปัญญา ถ้าเธอไม่มีอาวุธ มันก็ฆ่ามารไม่ได้ พระพุทธจ้าท่านตรัสว่า ปัญญาเป็นอาวุธ จะปราบมารได้ ฉะนั้น ตลอดเวลาเหล่านี้ เธอก็ต้องอบรมปัญญา คื มีความรู้ในทางธรรมะนั่นแหละ อยู่ทุกวัน ๆ ๆ ให้เพียงพอ แล้วก็มีสติ คือความว่องไว ในการที่จะเอาอาวุธคือปัญญานั้น มาเข่นฆ่ามารให้ทันแก่เวลา เอ้า ทีนี้ก็จะถามต่อไปว่า มารอยู่ที่ไหน เธอมีความรู้ไหมว่ามารอยู่ที่ไหน เดี๋ยวนี้ มารมันอยู่ในจิตใจของคนโง่ ถ้าถามว่ามารอยู่ที่ไหน มารก็อยู่ในจิตใจของคนโง่ เมื่อไรเธอโง่ มารก็อยู่ในจิตใจของเธอนั่นเอง เมื่อไรเธอฉลาดมีปัญญา มารก็ไม่มี เพราะว่าปัญญานั้น มันฆ่ามารตายหมด มารไม่มีอยู่ในจิตใจของเธอ เมื่อไรเธอโง่ มารก็มีอยู่ในจิตใจของเธอเต็มไปหมด นี่คือฆ่ามารด้วยอาวุธ คือปัญญา เพราะนั้น เราจะต้องรู้จักจิตใจของเรา เรียกว่านามรูปนี้ ที่ประกอบขึ้นเป็นอัตภาพนี้ ชีวิตนี้ ที่มันประกอบอยู่ด้วยจิตใจเป็นหลักเป็นสำคัญ ถ้าคนมันโง่ พอได้รับอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เกิดวิญญาณในการรับรู้อารมณ์นั้นแล้ว มีผัสสะอย่างนี้แล้ว มันโง่ มันเป็นผู้โง่ มันไม่มีปัญญาที่อบรมไว้ดี มันไม่มีสติที่จะเอาปัญญามาใช้ มันก็เป็นผัสสะโง่ มันก้เกิดเวทนาดง่ มันเกิดตัณหา อุปาทาน เป็นทุกข์ นี่ คือ มาร มารเกิดขึ้นเมื่อเรามีความโง่ในขณะแห่งผัสสะ เป็นเวทนาโง่ เป็นเหยื่ออย่างดีของพญามาร มันก็เกิดตัณหา ซึ่งได้แก่พญามาร เกิดอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น นี่เป็นกองทัพมาร สมบูรณ์แบบแล้ว ก็เกิดความทุกข์ อะไร ๆ ก็เอามาเป็นตัวตนหมด ก็เป็นความทุกข์ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ โสกะเทวะโทมนัสอุปายาส อะไรทั้งหมดนั้นแหละ ก็มาเป็นแถว มาเป็นความทุกข์เพราะว่าเรามีความโง่ ในขณะแห่งผัสสะ ถ้าใระหว่างที่บวชนี้ ตลอดเวลา กี่วันกี่เดือนแล้ว ได้รับการอบรมให้มีสติอย่างยิ่ง สำหรับจะมีสติในขณะแห่งผัสสะ ผัสสะอะไรก็ตาม มีสติ ผัสสะก็ไม่โง่ ถือไม่เป็นผัสสะที่ประกอบอยู่ด้วยความโง่ แต่เป็นผัสสะที่ประกอบอยู่ด้วยปัญญา ถ้าเธอมีการอบรมปัญญา ซึ่งเป็นอาวุธที่จะฆ่ามารที่ตรงนั้นเอง ที่ตรงผัสสะนั้นเอง เราทำสมาธิก็ดี ทำวิปัสสนาก็ดี ถ้าทำถูกวิธี มันจะเกิดปัญญา ถ้าทำผิดวิธีมันก็ไม่เกิด ทำไปตามพิธีรีตรอง ก็ไม่เกิด ถ้าเราฝึกอานาปานสติเป็นต้น เราก็มีสติ เขาเรียกว่าฝึกสติ สติปัฏฐาน เราก็เป็นคนมีสติเพียงพอ รวดเร็วพอ สติก็จะเอาปัญญา ความรู้นั้น มาทันที ในขณะแห่งผัสสะ มาพร้อมกับการเกิดแห่งผัสสะ หรือว่าเก่งมาก มันก็มีไว้ล่วงหน้า เมื่อมีวี่แววว่าจะมีผัสสะ มันก็มีสติปัญญามารออยู่แล้ว แม้ว่าผัสสะมันจะรวดเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ สติและปัญญา มันก็ยังมาทันอยู่นั่นเอง เพราะสติ มันมาเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบไปเสียอีกก็ได้ เพราะนั้นเราจะฝึกสติให้มีพอ เร็วเหมือนสายฟ้าแลบ หรือยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ มีปัญญาพอ รู้จักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สุญญตา ตถาตา อย่างเพียงพอ รู้ความที่อะไร ๆ มันเป็นเช่นนั้นเอง อยู่ไปโง่ยินดียินร้ายกับมัน มันเป็ฯเช่นนั้นเอง นี่เป็นปัญญา สติเอาความรู้เรื่องเช่นนั้นเอง มาทันเวลา ในขะแห่งผัสสะ แม้ว่าผัสสะจะรวดเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ มันก็ยังมาทันอยู่นั่นแหละ ถ้าเราฝึกไว้ดี แะนั้น เธอก็ฝึกความมีสติ สติปัฏฐานฝึกปัญญาคือวิปัสสนา กรรมฐานให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การที่จะเห็นสิ่งเหล่านี้นั้น ต้องเป็นสิ่งที่มันมีอยู่จริง ไม่ใช่เอาหนังสือมาอ่าน แล้วอยู่ในหนังสือ หรืออยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เธอต้องมีอะไรอยู่ในตัว เวลานั้นที่จะดู จะดู ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ก็ดูไป ที่ตัวของจริงว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จะดูที่เวทนาเกิดขึ้น เป็นสุขเป็นทุกข์อยู่ก็ดี ก็เห็นว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะดูสัญญาความหมายมั่น สังขารความคิดนึกหรืออะไรที่มันมีอยู่จริงที่ในตัวเรา ที่เรียกว่าขันธ์ ๕ ก็ได้ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดูสิ่งทั้งปวง ก็เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดูเวทนาก็เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดูจิตก็เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดูสิ่งทั้งปวง ก็เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดูการกระทำทุกขึ้นตอนที่ฝึกฝนอยู่ในเวลานั้น ก็เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่น นี่เรียกว่าเห็นอนิิ่จจัง ทุกขัง อนัตตา นั่น นี่เรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพียงพอ เป็นความรู้ที่เพียงพอไว้ส่วนหนึ่ง เป็นความรู้ที่นี้ ฝึกสติให้เร็ว ไม่ทำอะไรโดยที่ไม่มีสติ ก็เอาไอ้ปัญญาหน่ะ มาทันเวลาที่มีผัสสะ ผัสสะหน่ะ เกิดเพราะว่าอายตนะภายใน อายตนะภายนอก ถึงกันเข้าแล้ว เกิดวิญญาณทั้ง ๖ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อวิญญาณรู้แจ้งในอารมณ์นั้นอยู่ เขาเรียกว่าผัสสะ ในขณะแห่งผัสสะ ต้องมีปัญญา โดยสติเอามาทันแก่เวลา ควบคุมผัสสะนั้นไว้ อย่าให้กลายเป็นผัสสะของอวิชชา คืออย่าให้เป็นผัสสะโง่ เต็มไปด้วยความโง่ แต่ให้เป็นผัสสะฉลาด คือมีสติปัญญาควบคุมอยู่ พอผัสสะมันถูกควบคุมอยู่ด้วยปัญญา ด้วยวิชชา เป็นต้น มันก็ไม่เกิดความโง่ แม้จะเกิดเวทนาขึ้นมา มันก็เป็นเวทนาที่รู้เท่าทันว่า โอ้ สักว่าเวทนาเท่านั้นหนอ สักว่าเวทนาเท่านั้นหนอ สักว่าความรู้สึกทางอายตนะเท่านั้นหนอ ไม่ใช่ตัวกู ของกู ไม่ใช่ตัวตนของตน ไม่ใช่อะไรชนิดนั้น เป็นสักว่า ความรู้สึกตามธรรมชาติ เกิดมาจากเหตุปัจจัย คืออายตนะ เป็นต้น เท่านั้นนะ นี่ หนอ หนอ หนอกันให้เป็นนะ ถ้าหนอไม่เป็นก็เหมือนกับคนบ้า หนอชนิดที่มันไม่มีความหมายอะไร เดินหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ มันก็รู้ว่าหนอ หนอ คนมันต้องรู้ว่านี่ เป็ฯเพียงสรักว่าอาการ ยก เหยียบ อย่างนี้เท่านั้นหนอ ไม่มีตัวบุคคล ผู้ย่างเหยียบหนอ ไม่มีบุคคลผู้ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ กินหนอ นอนหนอ อะไรหนอ มันมีแต่สักว่ากิริยาอาการ ตามธรรมชาติเท่านั้นหนอ ถ้าหนออย่างนี้ ก็ได้ มีประโยชน์ เป็นการพอกพูนทั้งสติและพอกพูนทั้งปัญญา อยู่ตลอดเวลาที่เธอปฏิบัติ ย่างหนอ เหยียบหนอ ยกหนอ กินหนอ นอนหนอ ถ้าทำได้จริง ไม่ได้ทำพอเป็นพิธี เคลิ้ม ๆ มันก็มีสติปัญญาเพียงพอในการปฏิบัติ หนอ ๆ นี่ มันจะมีสติเร็วขึ้น จะมีปัญญามากขึ้น แล้วก็พอ สำหรับจะเอาไปใช้ ในเมื่อมันมีผัสสะ เมื่อมันมีผัสสะ มันจะควบคุมผัสสะไว้ให้เป็น ผัสสะที่ประกอบอยู่ด้วยปัญญา ด้วยวิชชา ด้วยแสงสว่าง กิเลสไม่เกิด มารไม่เกิด เพราะว่ากิเลสก็คือมาร มารก็คือกิิเลส เมื่อกิเลสไม่เกิด ก็คือมารไม่เกิด ก็มารตายหมด มารถูกฆ่าตายหมด นี่เรารบมาร มีกองทัพ รบมาร ฆ่ามาร ที่มันอาศัยอยู่ในความโง่ของเรา มารอาศัยอยู่ในจิตใจของเราเมื่อมีความโง่ พอปัญญามันเข้ามา มารก็หนีไปหมด หรือว่าตายหมด เหมือนกับเอาไฟใส่เข้าไปนั่นละ มันก็เผา มารตายหมด อาวุธคือปัญญา เหมือนกับไฟ ใส่เข้าไปที่ในกิเลส ซึ่งเปรียบเหมือนมารมันก็เผามารตายหมด นี้ เพราะนั้น เราฝึกสติ และฝึกปัญญากันอยู่ตลอดเวลาที่อบรมในการบวช แม้ ๑ เดือน ๒ เดือน ๓ เดือน อะไรก็แล้วแต่ ขอให้วันคืนล่วงไป ๆ ด้วยการอบรม เหมือนกับฝึกกองทัพทหาร เราไปดูที่กองทหารที่เขามีอยู่ที่กองทหารหน่ะ เขาหัดกันอย่างไร หัดกิน หัดนอนอย่างไร หัด พลศึกษาอย่างไร หัดใช้ปืนอย่างไร หัดใช้รถถังอย่างไร หัดใช้อะไรอย่างไร เขาหัดกันอย่างไร ดูให้เห็นว่าเขาฝึกหัดเพื่อให้มันพร้อม เพื่อให้มันเก่ง เพื่อให้มันเร็ว เพื่อให้มันใช้ได้ทันท่วงทีในการที่จะรบกันกับกิเลส เดี๋ยวนี้พวกเราก็เหมือนกับทหารเหล่านั้น เราก็จะฝึกหัดในการจะมีสติในการจะมีปัญญาและธรรมะอื่น ๆ ซึ่งเป็นองค์ประกอบอันสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อินทรีย์ ๕ พล ๕ โภชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ เหล่านี้ คือเครื่องมือเครื่องใช้ที่เป็นอาวุธนา ๆ ชนิดที่จะฆ่ามารได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อินทรีย์ ๕ พละ ๕ ท่านยกขึ้นเป็นหลักสำคัญ ต้องมีมาก ต้องมีพอ ต้องใช่้กันอย่างถูกต้อง ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เธอกระทำชนิดที่ว่า มีศรัทธาในพระธรรม ในความดับทุกข์หน่ะ อยู่ตลอดเวลา อย่างนี้เรียกว่า มีศรัทธา มีวิริยะ คือความพากเพียรอย่างยิ่ง ไม่มีความเหน็ดเหนื่อย ก็เรียกว่าวิริยะ สติ ความระลึก ควบคุมสิ่งทั้งปวง มีเต็มที่ไม่บกพร่อง สมาธิ ความเข้มแข็งแห่งจิต ความว่องไวแห่งจิต นี่ก็มีเต็มที่แล้วปัญญามีความรอบรู้ สิ่งทั้งปวงก็มีอย่างเต็มที่ มีธรรมะ ๕ ประการนี้ ในลักษณะที่เป็นอินทรีย์ คือความสำคัญก็ได้ มีธรรม ๕ ประการนี้ ในลักษณะที่เป็นพละ คือกำลังก็ได้ เหมือนทหาร เขาหัดใช้ปืน หัดใช้ระเบิด หัดใช้รถถัง หัดใช้
ฉะนั้น เราก็ฝึกฝนในการมีอินทรีย์ มีพล มีโภชฌงค์ ตามเรื่องที่เราได้เรียนมา เราก็เป็นผู้ที่ฝึกหัดดีแล้ว เป้ฯทหารที่ฝึกหัดดีแล้ว กำจัดมารและเสนามารให้หมดไป หมดไปจากโลกแห่งมาร โลกแห่งมารอยู่ที่ไหน โลกแห่งมารอยู่ที่ไหน โลกแห่งมารอยู่ในจิตใจของคนโง่ ถ้าเป็นสามเณรโง่ ในจิตใจนั้นก็มีโลกแห่งมาร ถ้ามันเป็นสามเณรฉลาด ในจิตใจนั้น มันก็ไม่ีมาร มันมีสาวกหรือทหารของพระพุทธเจ้า ไปอยู่แทน นี่ขอให้กองทัพของพระพุทธเจ้าครองโลก คือครองจิตใจของคนทุกคนในโลก โลกคือจิตใจของคนทุกคน ถูกยึดครองไว้ด้วยกองทัพของพระพุทธเจ้า ข้าสึกคือมารทั้งหลาย ไม่มีหนีไปไหน หมดก็ตามใจมัน มันตายหมด เมื่อถูกกักไว้ไม่ให้เสบียงไม่ให้อุปกรณ์ไม่เท่าไร ไอ้มารเหล่านี้หมดอาหาร ก็ตายหมด ก็เหลืออยู่แต่ธรรมะหรือพระอยู่ครองแทน นี่ เรียกว่าเราพูดนะให้เป็นอุปมา พูดภาษาธรรมะให้เป็นภาษาคน พูดธรรมาธิษฐานให้เป็นบุคคลาธิษฐาน เพื่อว่าให้เธอฟังได้ง่าย ๆ เข้าใจได้ง่าย ๆ ว่าเธอทั้งหลายจะเป็นเหมือนกองทัพของพระพุทธเจ้าเถิด เป็นกองทัพที่กำลังฝึกฝนกันอย่างดีที่สุด ตั้งแต่ต้น คือเป็นพลทหารใหม่ เกณฑ์มาใหม่ มารับการฝึกข้างต้นให้ดี ยิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วเราก็จะเป็นกองทัพของพระพุทธเจ้าที่จะกำจัดมาร ซึ่งมันมีโลกของมันอยู่ในหัวใจของเรา เมื่อมีความโง่ โลกของมาร คือหัวใจของมนุษย์ที่เป็นอยู่ด้วยความโง่ ด้วยการกำจัดมารเหล่านั้นไปเสีย ก็เป็นหัวใจที่สว่างไสว ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ แล้วก็ไม่มีมาร เท่านี้เอง นี่เป็นหลักง่าย ๆ ว่าเธอจงเป็นกองทัพ ฝึกฝนเป็นทหาร เพื่อปรับปรุงกันเป็นกองทัพของพระพุทธเจ้า แล้วเราก็จะได้รบมาร ชนะมารด้วยอาวุธคือปัญญา ทำโลกนรี้ให้หมดไปจากมาร ให้เหลืออยู่แต่พระ สาวกของพระพุทธเจ้าเป็นผู้ควบคุมโลก เรากล้าท้าว่า ไม่มีอะไรดีกว่านี้ ไม่มีอะไรประเสริฐมากกว่านี้ ไม่มีอะไรจะเป็นของประเสริฐวิเศษเท่าอย่างนี้ เว้นไว้แต่คนโง่ มันจะเห็นว่า โอ้ ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะมันไม่รู้ เพราะมันไม่เข้าใจ ไอ้สามเณรโง่ ๆ มันคงจะคิดอย่างนั้น แต่สามเณรที่ฉลาดมันจะมองเห็นเลยว่า นี่เรากำลังทำหน้าที่สูงสุด ฝึกตนเป็นผู้รู้จักใช้ปัญญาวุธเหล่านี้ ใช้สำหรับตน และต่อไปข้างหน้า เธอก็จะต้องสอนเพื่อนฝูง หรือจะเติบโตไปเป็นฆารวาส มีครอบครัว ก้จะรู้จักสั่งสอน อบรมครอบครัวให้สามารถทำตนให้อยู่ในลักษณะอย่างนี้ แปลว่าพุทธบริษัททุกคนในพุทธศาสนานี้ เป็นทหาร ผู้ปราบปรามพญามารของโลกด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่า ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อย่างไรก็ตาม นี่ เรื่องจบ เราคิดว่าเรื่องมันจบ มันไม่มีอะไรดีกว่านี้ ฆ่ายักษ์ตายหมด เรื่องจบ เรื่องทุกเรื่องมันเป็นอย่างนี้ บรรลุถึงนิพพาน เรื่องก็จบ เหมือนกับว่า นิทาน นิยายเรื่องนี้ ฆ่ายักษ์ตายหมด เรื่องมันก็จบ ถ้าใครไม่เห็นว่านี้เป็นเรื่องดีวิเศษที่สุด คนนั้น บรมโง่ เธอได้ใช้ชีวิตของเธอให้มีประโยชน์ที่สุด ดีที่สุดอยู่แล้ว เธอก็ไม่รู้อีก มันก็โง่ละ โง่เหลือโง่ มันก็ไม่มีกำลังกาย กำลังใจ ไม่มีความพยายาม ไม่มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ในการที่จะบำเพ็ญหน้าที่ของตน เพราะเธอไม่เข้าใจ ความหมายลึกซึ้งของเรื่อง เพราะเธอไม่รู้จักจุดมุ่งหมายอันแท้จริงอันประเสริฐที่สุดของพระพุทธเจ้า ที่ว่าพระพุทธองค์เกิดจึ้นมาในโลกนี้ ก็เพื่อจะกำจัดมารและเสนา พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาในโลกเพื่อกำจัดมารและเสนา ตรัสว่า ให้รบมารด้วยอาวุธ คือปัญญา ตามความหมายคำว่าพุทธะ นั่น คำว่าพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั่นละ เป็นความหมายของปัญญา เป็นพุทธะแล้ว ก็มีปัญญาสำหรับที่จะกำจัดมาร คืออวิชชา ความโง่นั้นเสียได้ แะนั้น เขาได้ควบคุมเธอ ให้ปฏิบัติสติปัฏฐานก็ดี วิปัสสนาก็ดี ไอ้ที่รวมอยู่ในอาการที่ยุบหนอ พองหนอ เดินหนอ เหยียบหนอ ย่างหนอ ยกหนอ กินหนอ อิ่มหนอ นั่นหน่ะ ถ้าหนอถูกต้อง มันก็เป็นการอบรมทั้งสติและปัญญา ถ้ามันหนอไม่ถูกต้อง ยกไม้ยกมืออย่างไรมันก็เป็นคนบ้า เป็นคนละเมอ อย่างดีที่สุดก็เป็นคนละเมอ อย่างดีที่สุดก็เป็นคนละเมอ หรือเป็นคนบ้าที่มันออกท่าออกทางอยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้ว่าอะไร มีแต่ทำตามตามกันไป เอาละ เชื่อว่า คงจะได้ฝึกฝนอบรมกันมาเพียงพอแล้ว ให้มีสติควบคุมไว้ไม่ให้เกิดความรู้สึกว่า มีตัวกูของกู ไม่มีตัวตนของตน ไม่ใช่กูเดิน ไม่ใช่กูยก ไม่ใช่กูย่าง ไม่ใช่กูเหยียบ ไม่ใช่กูกิน ไม่ใช่กูอิ่ม มันเป็ฯสักว่าความเป็นไปของนามรูป ตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติเท่านั้นหนอ สักว่าการปรุงแต่งของธรรมชาติเท่านั้นหนอ สักว่าการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติเท่านั้นหนอ และจะเป็นเรื่องของอะไร มองดูแล้วก็จะเห็นว่า โอ้ นั่นหน่ะ มันไม่มีตัวตน มันปราศจากตัวตน แต่มันก็ยังทำไปได้ถึงขนาดนั้น สำหรับให้คนโง่มันหลงไปว่ามีตัวตน มีของตน มีกู นี่แหละ จะเป็นผู้ยก ผู้ย่าง ผู้เหยียบ ผู้อิ่ม ผู้กิน ผู้อาบ ผู้ อะไรทุกอย่าง ตามที่มีอยู่ในบทสำหรับจะพิจารณา ถ้าเราทำได้อย่างนีตลอดไป มันก็หมดความโง่ที่เรียกว่ามีตัวตน เข้าถึงความจริงที่ไม่มีตัวตนนั่นหล่ะ มันจะชนะมาร ปราบมารให้หมดไปจากจิตใจ ของคนในโลก จนเรียกว่า โลกนี้ไม่มีมาร มีแต่ธรรมะ มีแต่พระ มีแต่พระอริยะ มารนี่เขาเปรียบเป็นคู่ตรงข้ามกับพระ โง่เป็นกิเลส นั่นก็เรียกว่ามาร ฉลาด ไม่มีกิเลส ก็เรียกว่าพระไง โพธิ ปัญญา โง่เป็นกิเลส ฉลาดเป็นโพธิ ใครมีโง่ มีกิเลส ก็เป็นมาร ใครมีโพธิ มีปัญญา มีฉลาดก็เป็นพระ พระกับมาร พอเข้ามาถึงกัน มันก็รบกันเอง ถ้าเราอบรมโพธิมากพอ ก็มีกำลังพอที่จะกำจัดเสียซึ่งกิเลส กิเลสตาย พญามารตาย เรื่องจบ
ลองพิจารณาดู ให้ใครมาพิจารณาดู ทั้งโลก ตามมาพิจารณาดูว่า ไอ้การทำอย่างนี้ประเสริฐไหม การกระทำอย่างนี้วิเศษไหม เป็นสิ่งสูงสุดของมนุษย์ไหม ให้เธอมีกำลังใจ มีความอิ่มใจ ว่าเราได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว เราได้โอกาสทำสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบกับพุทธศาสนา ทีนี้ เรื่องมันก็จะมีอยู่หลือแต่เพียงว่า ฉันเองนะ เป็นคนโง่หรือไม่ ที่เอาเรื่องที่เณรฟังไม่ถูกมาพูดให้เณรฟัง ถ้าฉันได้เอาเรื่องที่เณรฟังไมม่ถูก มาพูดให้เณรฟังแล้ว ฉันก็เป็นคนโง่ที่สุดด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เณรทั้งหลาย ช่วยกระทำอย่าให้ฉันเป็นคนโง่เลย เธอช่วยตั้งใจฟังให้จริง ๆ แล้วก็ฟังให้ถูก ให้สำเร็จประโยชน์ ฉันก็พูดมีประโยชน์ ไม่เป็นหมันเปล่า เพราะว่าเธอฟังถูก นี่เรามีความผูกพันกันอย่างนี้ ขอร้องให้เธอพยายามที่จะฟังให้ถูกที่จะเข้าใจให้ได้ ในสิ่งที่ฉันเป็นผู้ถ่ายทอดสิ่งนั้นมาจากพระพุทธเจ้าและมาสู่เธอ เธอยังไม่อาจจะศึกษาเล่าเรียนจนรู้เรื่องนั้น ฉันผ่านมาแล้วในเรื่องนั้น ซึ่งเป็นของพระพุทธเจ้า แล้วฉันก็ถ่ายทอดมายังเธอ โดยหวังว่าเธอจะพยายามจนสุดความสามารถในการที่จะรับเอาให้เป็นประโยชน์ให้จนได้ แล้วเราก็จะได้เป็นสามเณร เป็นสามเณร ไม่ใช่สามลิง ถ้าเธอไม่รู้ ยังโง่เหมือนเดิม ยังหลุกหลิกเหมือนเดิม ก็เป็นสามลิง คือเป็นลิง ไม่ได้เป็นสามเณร นี่ ขอให้เราได้เป็นสามเณร อย่าได้เป็นสามลิง อดกลั้น อดทน อย่าง่วงเสีย อย่าเล่นหัวกันเสีย อย่าหยอกล้อกันเสีย แม้ในขณะที่พูดให้ฟังนี่ เรายังเห็นสามเณรบางแห่งหรือว่าบางครั้ง หลอกหลอกล้อจี้ไขกันเสียในขณะที่พูดให้ฟัง นี่มันเป็นสามลิง ยังเป็นสามลิงอยู่ เห็นจะไม่ทันแล้ว ไม่ทันแล้ว ไม่ทันเป็นสามเณรแล้ว ต้องเป็นสามลิง สึกออกไปเป็นลิง เพราะมันไม่พยายามจัดการกับเวลาให้เร็ว ๆ ให้เป็นสามเณรทันแก่เวลาก่อนจะสึก สามเณรแปลว่าเชื้อแถวเหล่ากอ หรือผู้เตรียมตัวที่จะเป็นสมณะในอนาคต สมณะคือผู้ชนะมารแหละ สมณะคือผู้ชนะมาร เงียบ สงบ ไปเลย มารร้าย กิเลสร้าย สงบไปเลย เป็นสมณะ สามเณรก็คือผู้ที่จะเป็นสมณะ จะชนะกิเลส มันเป็นเกียรติยศสูงสุดนะ ถ้าเธอไม่รู้จัก เธอก็เป็นไก่โง่ ที่ไม่รู้จักค่าของเพชรพลอย เขาเล่าเป็นนิทานเปรียบว่าไก่ตัวหนึ่ง มันเที่ยวคุ้ยเขี่ยหาอาหาร พอพลอยเม็ดหนึ่งของใครก็ไม่รู้ตกอยู่ในลานบ้าน มันว่า เอ้อ ดีแล้ว เพชรพลอย จะมีค่าสุ้ข้าวสารเม็ดเดียวก็ไม่ได้ ไก่มันคิดว่าเพชรพลอยมันมีค่าสุ้ข้าวสารเม็ดเดียวก็ไม่ได้ นี่เรากลัวว่าเธอนี่จะเข้าใจผิดทำนองนั้น จะไปเห็นเรื่องเล่นหัวสนุกสนาน เอร็ดอร่อย ทางเนื้อทางหนัง ว่าเป็นของประเสริฐ ไอ้ธรรมะที่สงบเย็นนี่ ไม่มีความหมายอะไร นี่ เรื่องที่เราจะพูดกัน มีสาระสำคัญอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ให้ถือกันว่าเราพูดกันในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่พูดเล่น เรากำลังพูดกันกลางดิน ซึ่งเป็นที่นั่งที่นอนที่เกิดที่ตรัสรู้ ที่นิพพานของพระพุทธเจ้าคือกลางดิน ดินเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดสำหรับพระพุทธเจ้าอย่างนี้ พระพุทธเจ้าประสูติใต้ต้นไม้ ตรัสรู้ใต้ต้นไม้ สอนใต้ต้นไม้ อยู่ใต้ต้นไม้ นิพพานใต้ต้นไม้ ใต้ต้นไม้นี้ ก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น เราพูดเล่นกันไม่ได้ พูดหลอกกันไม่ได้ พูดเหลวไหลไม่ได้ เพราะว่าพูดกันในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ย่อมจะมัดหรือถูกอายัติไว้กับทุกคนที่พูดที่ฟัง เพราะว่าเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ลืมไม่ได้ จะต้องเข้าใจ และต้องเอาไปประพฤติปฏิบัติให้ถึงที่สุดให้จนได้ เรามีสัญญาผูกมัดกันโดยคุณของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ผูกมัดกันโดยอะไร ผูกมัดกันโดยพระคุณของพระพุทธเจ้า ให้เราช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้ทำสิ่งที่จะต้องทำให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี จะไม่เห็นแก่ตัว จะไม่ดูดาย จะไม่ขี้เกียจในการที่จะว่ากล่าว สั่งสอน ตักเตือนซึ่งกันและกัน อย่าเห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย เอาละ เรื่องมันก็จะมีเท่านี้ เรื่องที่เราจะต้องทำมีอยู่อย่างที่ว่า ก็จะต้องรบมาร ปราบมารให้เกลี้ยงไปจากโลก แล้วเราก็รู้สึกตัวว่า ได้ทำหน้าที่สูงสุด ได้ทำสิ่งที่มีเกียรติสูงสุด ผู้ปฏิบัติก็ดี ผู้อบรม สั่งสอนก็ดี ต้องผสานหน้าที่ของทั้งสองฝ่ายเข้าด้วยกัน ผู้อบรมก้เสียสละที่จะอบรม ผู้ที่รับฟังก็เสียสละที่จะรับฟัง และปฏิบัติ เป็นการถูกฝาถูกตัว กันดีอย่างนี้แล้ว ทุกสิ่งก็จะเป็นไปสมปรารถนา ไม่มีใครผิดหวัง รัฐบาลก็ไม่ผิดหวัง บิดามารดาก็ไม่ผิดหวัง ประชาชนก็ไม่ผิดหวัง เพื่อนของเราก็ไม่ผิดหวัง ตัวเราเองก็ไม่ผิดหวัง แม้แต่พระพุทธเจ้า ก็ไม่ผิดหวัง เราพูดอย่างกับว่าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ท่านหวังอยู่ตลอดเวลา อนันตกาลว่า สาวกของท่าน จะช่วยกันสืบอายุพระศาสนา กำจัดมารในโลกอยู่ตลอดเวลา เมื่อเราทำอย่างนี้แล้ว แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ผิดหวัง ท่านหวังไว้อย่างไรก็ได้รับการสนองตอบจากสาวกของพระองค์เป็ฯอันว่า ดีแล้ว ถูกแล้วที่เราตั้งใจ พยายามกระทำกันอย่างแท้จริง ทุกผู้ ทุกคน ทุกรูป ทุกนาม ทุกองค์ ทั้งที่เป็นพระทั้งที่เป็นเณร ทั้งที่เป็นผู้สอน ทั้งที่เป็นผู้ปฏิบัติ ฉันก็ขอแสดงความหวังไว้ในที่นี้อีกทีว่า เธอทั้งหลาย จะมีความเข้าใจในเรื่องนี้ จะมีความเชื่อ กล้าหาญในเรื่องนี้ จะพยายามปฏิบัติตามในเรื่องนี้ให้ดีที่สุด ให้เข้มแข็งที่สุด ให้สำเร็จประโยชน์ ถึงที่สุดแล้ว ก้มีความงอกงาม ก้าวหน้าอยู่ในทางแห่งพระศาสนา ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ