แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
... ทั้งหลาย ในวาระแรกนี้ฉันขอแสดงความยินดี ในการมาของเธอที่นี่ นี่ก็ขออนุโมทนาในสิ่งที่เธอได้กระทำ ที่เรามาพบกันวันนี้ ก็เป็นเรื่องของความยินดีด้วยกันทุกฝ่าย แม้สำหรับพระศาสนาซึ่งมีชีวิตจิตใจ ก็เรียกว่าเป็นที่น่ายินดี
เธอเป็นผู้กระทำ ผู้บวช ฝึกฝนอบรม เรียกว่าเป็นตัวแสดง ครูอาจารย์ผู้จัดผู้ควบคุม ก็เป็นผู้จัดให้มีการกระทำและก็ควบคุมการกระทำ ญาติโยมทั้งหลายก็ได้รับความพอใจในการที่เราได้รับการอบรม คนอื่นๆ แม้ไม่ใช่ญาติโยมเขาก็พอใจ อย่างฉันนี้ก็พอใจเพราะว่า ปฏิปทาของพวกเธอนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ การสืบศีลธรรม สืบอายุของพระศาสนาซึ่งย่อมเป็นประโยชน์แก่คนทุกคนในโลก ถ้าเธอมองเห็นความจริงข้อนี้ ไม่ใช่แต่ได้บุญมาก มีปีติปราโมทย์มาก นั่นจะต้องได้บุญมาก เธอต้องเห็นผลดี ความดีของสิ่งที่เราได้กระทำ ที่กำลังกระทำอยู่ และก็จะกระทำสืบต่อไปจนถึงวาระสิ้นสุดของการบวช และก็จะเป็นความรู้ เป็นความจริง สำหรับให้เราได้ประพฤติปฏิบัติต่อไป จนตลอดชีวิต ทุกคนก็ได้รับประโยชน์ ได้มีความสุข ไม่เฉพาะแต่ในวงพุทธบริษัทเรา เรามองกันทั้งโลก แม้ว่าจะมีพวกที่ถือศาสนาอื่น แต่ก็อยู่ร่วมโลกกัน ก็พลอยได้ รับประโยชน์สุข นี่เป็นความยินดี นี่เพราะมันกินความหมด คือทำประโยชน์แก่มหาชนในโลก ทั้งเทวดาและมนุษย์ ข้อนี้เธอจะจำไว้ได้ง่ายๆ ว่า ถ้าเราสืบพระศาสนาไว้ยังคงมีอยู่ในโลกยิ่งแล้ว พระศาสนานั้นก็จะเป็นประโยชน์แก่มหาชนในโลก ทั้งเทวดาและมนุษย์ คำว่าเทวดาคือคนที่ไม่มีความลำบากยากเข็ญอะไร อยู่กันอย่างสบาย คำว่ามนุษย์คือผู้ที่ยังต้องมีเหงื่อ บางคนถึงกับต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ อย่างนี้เราเรียกว่าพวกมนุษย์ พวกไม่รู้จักเหงื่อเราเรียกเขาว่าพวกเทวดา พวกที่ยังส่องสุขอยู่กับเหงื่อก็เรียกว่าพวกมนุษย์ ศาสนามีประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ เพราะพวกเทวดาก็ยังต้องการธรรมะ ไม่มีธรรมะแล้ว พวกเทวดาก็เดือดร้อนไปตามแบบของพวกเทวดา ที่มีกิเลสอย่างของพวกเทวดา เผาผลาญพวกเทวดาให้เดือดร้อน ไปตามแบบของเทวดา อย่าอวดดีว่าเป็นเทวดาแล้วมันจะหมดปัญหา มันยังมีกิเลสที่ละยากกว่ากิเลสของมนุษย์ นี่พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสแล้วตรัสอีก ตรัสแล้วตรัสอีก ตั้งแต่วันแรกที่ส่งพระสาวกออกไปประกาศพระศาสนา ตรัสเป็นครั้งแรกแล้วก็ตรัสอีกตลอดเวลาว่า ให้พวกสาวกทั้งหลายนี้เผยแผ่ธรรมะ พระธรรมวินัย สืบอายุพระธรรมวินัย ให้เป็นประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์
ทีนี้เธอบางคนก็จะนึกออก บางคนอาจจะนึกไม่ออกว่าการบวชสามเณรของเรานี้ มันจะเป็นการสืบอายุพระศาสนา เป็นประโยชน์ทั้งแต่เทวดาและมนุษย์ได้อย่างไร นี่ถ้าสงสัยอย่างนี้ละก็ควรจะพูดจากันว่า เดี๋ยวนี้ทั้งโลกมันกำลังเดือดร้อนเพราะความไม่มีศีลธรรม ไม่มีการปฏิบัติศาสนา ตามที่แต่ละคนละคนเขายึดถืออยู่ ปัญหาที่ทอดทิ้งศาสนานี้ไม่ได้มีเฉพาะแต่พุทธศาสนา หรือพุทธบริษัท มันจะมีด้วยกันทุกศาสนา ทั้งนี้ก็เพราะว่าโลกกำลังหมุนไปบูชาวัตถุนิยม โลกทั้งโลกกำลังถูกปั่นหัวให้โง่ ให้หลงไปบูชาวัตถุนิยม คือความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางเนื้อ ทางหนังมากขึ้นๆ แทนที่จะบูชาพระธรรม บูชาพระศาสนา บูชาพระเป็นเจ้าเหมือนแต่ก่อนนั้นน่ะ เขาหันมาบูชาความอร่อยทางเนื้อทางหนังคือกิเลสนั่น นี่โลกปัจจุบันกำลังเป็นอย่างนี้แล้ว โลกกำลังหันมาบูชากิเลสซึ่งเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ มันก็ได้ความทุกข์ ได้รับความทุกข์สมน้ำหน้ามันทั้งโลก มันก็ต้องเป็นทุกข์เป็นทุกข์จนจะหยุดบูชากิเลส นี่เรียกว่าโลกมันกำลังทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง กำลังหมุนไปในทางพินาศ ทีนี้อะไรจะต่อต้านมันได้ ก็คือเรียกพระศาสนากลับมา คือทำให้ศีลธรรมกลับมา ให้ศาสนากลับมา ทั้งในชั้นทั่วไปและชั้นสูงสุดเป็นพิเศษ การทำให้ศาสนากลับมา ให้มนุษย์หันมาบูชาพระศาสนา บูชาพระเจ้าอย่างเดิมนั่นล่ะ คือความรอดของมนุษย์ ถ้าเขายังขืนไปบูชาวัตถุของกิเลสต่อไปอีก ต่อไปอีก หนักขึ้นอีก มันก็ต้องพินาศแน่ ฉะนั้นเราจึงมาเตรียมเพื่อที่จะต้านทานต่อต้านหรือว่าให้มันหมุนกลับ โดยทำให้มีการ ศึกษา และการปฏิบัติธรรมะเหมือนแต่ก่อน ให้ข้าวให้เงินให้อย่างเดียวกับแต่ก่อนหรือยิ่งๆ ขึ้นไป เดี๋ยวนี้มันมีหลายทาง ในทางการศึกษา ในโรงเรียนเขาก็ทำ เขาก็เริ่มทำเหมือนกัน แต่มันไม่พอ มันน้อย มันน้อยนักมันไม่พอ ฉะนั้นเราจึงต้องทำกันนอกโรงเรียนด้วย หรือพวกที่อยู่ในโรงเรียน เวลาปิดเทอมก็มาทำร่วมกับพวกอยู่นอกโรงเรียน ให้มันได้ทำก็แล้วกัน มันจะได้เติมส่วนที่ยังขาดในการศึกษาของยุวชน ในระดับประถมฯ ก็ยังขาดการศึกษาธรรมะ ในระดับมัธยมฯ ก็ยังขาดการ ศึกษาธรรมะ ในระดับอุดมศึกษาก็ยังขาดการศึกษาธรรมะ เรียนกันแต่อย่างอื่นมากเกินไป ทางธรรมะทางศีลธรรมน้อยเกินไป บางแห่งจะไม่มีด้วยซ้ำไป ก็เลยเรียกการศึกษาระบบปัจจุบันนี้ว่ามันด้วน หางมันด้วน หรือยอดมันด้วน ก็แล้วแต่จะเรียก มาช่วยกันทำให้หายด้วน ก็คือการสอนอบรมเรื่องธรรมะเพิ่มเติมให้
ทีนี้วิธีที่ดีมากเลย มาก ได้ผลมาก ก็คือบวชนั่นแหละ คือบวชจะชั่วคราวก็ได้ พอบวชแล้วจะได้เรียนมากปฏิบัติมาก ได้ผลมาก มากกว่าเรียนหรือสอนอยู่ในโรงเรียน ที่มันเป็นเรื่องจดๆ จำๆ ขีดๆ เขียนๆ ไม่ได้ลงมือทำ นี้เมื่อมาบวชเป็นโอกาสที่ได้ลงมือทำ ถึงว่า ถึงเรียกว่าเป็นการเรียนอย่างแท้จริง และเธอก็จะไม่ลืม เพราะมันมีผลถึงกับเปลี่ยนนิสัย ได้ยินว่าฝึกฝนกันทุกอย่าง โดยหลักที่จะให้มนุษย์รอดได้ เราก็จะฝึกฝนกันทุกอย่าง เป็นหลักสำคัญของฆราวาสก็เป็น อันว่าเธอได้ฝึกกันทุกอย่าง คือ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ สัจจะ ความจริง ความเป็นคนจริง
ทมะ คือบังคับตัวเอง ไม่ปล่อยไปตามกิเลส ขันติ อดกลั้น อดทน จาคะ ระบายความไม่ดี ความชั่วออกอยู่เรื่อยไป เรื่อยไปไม่หยุดไม่หย่อน เรียกว่าจาคะ ถ้าเธอได้ทำตามระเบียบของการบรรพชาสามเณรชั่วคราวนี้ เชื่อว่าทั้งสี่ข้อของธรรมะนี้จะสมบูรณ์ คือสัจจะ เณรทุกคนก็ต้องมีสัจจะ โดยเฉพาะในการบวชนี่ต้องมีสัจจะต่อการบวช แล้วก็ว่าสัจจะที่สูงสุดนี้ก็คือ สัจจะต่อความเป็นสามเณร เณรที่นั่งอยู่ตรงนี้ เณรไหนรู้แล้วว่า คือคำว่าสามเณรแปลว่าอะไร แปลว่าอะไร ไม่เคยได้ยินได้ฟัง เคยเรียนนักธรรม บางทีเคยเรียนบาลีบ้าง สามเณร แปลว่า เหล่ากอแห่งสมณะ ทีนี้สมณะแปลว่าอะไร ใครรู้บ้าง หา, ผู้สงบ อื้อ, ทำไมรู้แต่เณรนี้องค์เดียว เณรอื่นนั่งหลับเหรอ สามเณรแปลว่าเหล่ากอแห่งสมณะ ถ้าฟังมันฟังยากฟังลำบาก กุกกุกกักกัก เหล่ากอแห่งสมณะไม่รู้ว่าอะไร เราก็จะบอกเธอว่า สามเณรแปลว่าเตรียมเป็นสมณะ สมณะขั้นเตรียม นั่นคือสามเณร สามเณรแปลว่าเตรียมเป็นสมณะ สมณะคือผู้ที่มีความสงบ ไม่มีความเลวร้าย ไม่มีความทุกข์ยากกระวนกระวาย เตรียมเป็นผู้สงบ ท่านผู้สงบนี้เป็นพระหรือเป็นฆราวาส ใครตอบได้ ที่ว่าผู้สงบ และเราเตรียมที่จะเป็นผู้สงบ ผู้สงบนี้เป็นพระหรือเป็นฆราวาส ใครตอบได้ ไม่มีก็ไม่เป็นไร ก็ยังไม่ได้พูดกันถึงเรื่องนี้ให้เพียงพอนี่เณรถึงตอบไม่ได้ ทั้งที่สามเณรนี้แปลว่าผู้เตรียมเป็นสมณะ แต่พอถามว่าเป็นพระหรือว่าเป็นฆราวาส ตอบไม่ได้ ท่านไม่ได้อธิบายให้ฟัง เป็นได้ทั้งฆราวาส เป็นได้ทั้งบรรพชิต สมณะ คือเป็นสมณะที่สมบูรณ์ เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ มีอยู่สี่ชั้น ในสามชั้นขั้นต้นนี่จะเป็นฆราวาส อยู่ในเพศฆราวาสก็ได้ ฆราวาสอย่างดี ส่วนชั้นสุด ท้ายเป็นพระอรหันต์นั้น มีแต่บรรพชิตอย่างเดียว ฉะนั้นแม้ว่าเราจะต้องลาสิกขาออกไปเป็นฆราวาส เราก็ยังเป็นสมณะได้ต่อไป ต่อไป
ในการเตรียมจะเป็นสมณะของเธอ อย่าหยุดเสียเพียงแค่คืบแค่สามเณร ก็ต้องมีต่อไปออก ไปเป็นฆราวาสแล้วก็ต้องมีต่อไป เรียนเป็นสมณะต่อไปแม้จะอยู่ในเพศฆราวาสแล้ว ก็ยังเตรียมเป็นสมณะต่อไป จนได้เป็นสมณะ นี่ฉันจึงพูดว่าขอให้เธอมีสัจจะ มีความจริงต่อการเป็นสามเณร คือเป็นผู้เตรียมสมณะให้ได้ให้จริง บวชเณรนี้มาเตรียมเป็นสมณะก็เตรียมให้ได้จริงๆ ไม่ใช่มาบวชสนุกๆ ไม่รู้เรื่องของสมณะหรือการเตรียมเป็นสมณะ ที่วัดเราก็จะจริงทุกอย่างล่ะ ทีนี้ก็จะจริงไปหมด จริงต่อการเป็นสามเณร จริงต่อความเป็นสมณะ และจริงต่อความเป็นมนุษย์ และจริงต่อเพื่อนมนุษย์ และเมื่อมันได้จริงแล้วมันก็จะจริงไปหมด ฉันจึงหวังว่าต่อไปนี้เธอทุกคนจะเป็นคนจริง จริงหมดต่อทุกสิ่งที่จะต้องจริง จริงต่อความเป็นมนุษย์ของเรา จริงต่อความเป็นสามเณรของเรา จริงต่อความเป็นสมณะของเรา จริงต่อเพื่อนมนุษย์ของเรา จริงต่อหน้าที่การงานของเรา จริงต่อเวลา จริงต่อทุกอย่างที่เราจะต้องจริง จริง ได้เพียงเท่านี้ก็นับว่าได้ผลเหลือหลาย ไม่เสียทีที่บวช ไม่ใช่เพียงแต่ไม่เสียทีที่บวชนะ ซึ่งมันได้อะไรมากเหลือเกิน มันมากมายเหลือที่จะกล่าวได้
ฉะนั้นการที่เธอบวชเข้ามาก็จะหัดให้ ฝึกหัดให้เป็นคนจริงนี่ ก็มีประโยชน์คุ้มค่าแล้ว เพียงข้อเดียวก็คุ้มค่าแล้ว ขอแต่ว่าเธอได้จริงเสียแล้ว ได้ปฏิบัติเพื่อเป็นคนจริง ฝึกฝนทุกสิ่งทุกอย่างตลอดเวลาที่บวชมาเพื่อเป็นคนจริง ฉะนั้นก็ขอให้ความจริงนี้ยังคงมีอยู่ และก็จริงจริงตลอด ไปตลอดชีวิตเลย เรียกว่ามันเหมือนกับปลูกต้นไม้น่ะ ลองเอาเมล็ดเพาะแล้วมันก็งอกงามเป็นต้น ไม้ เป็นใหญ่โตออกดอกออกผลต่อไปอีกน่ะ ฉะนั้น อย่าลืมเสียเรื่องของความจริง และที่เราได้ฝึกฝนให้เป็นคนจริง เดี๋ยวนี้ก็เป็นเพียงสามเณรจริงก็พอ เดี๋ยวนี้น่ะ และต่อไปก็เป็นสมณะจริง เป็นอะไรจริงๆ หลายๆ อย่างที่ว่าแล้ว และมันจะแก้ความเลวร้ายในโลกในโลกนี้ได้ ที่มีอยู่อย่างนี้
ธรรมะข้อที่หนึ่งเรียกว่า สัจจะ เราก็ฝึกกันอย่างที่ว่า อย่างสูงสุดสุดความสามารถที่จะฝึกกันได้ ก็เก็บเอาไว้ให้ได้รักษาเอาไว้ให้ได้
ทีนี้ธรรมะข้อที่สองเรียกว่า ทมะ ทมะ ท.ทหาร ม.ม้า อ่านว่า ทมะ แปลว่าบังคับ บังคับจิต ก็คือบังคับตนเอง บังคับตนเองก็คือบังคับกิเลส อย่างน้อยจำสามคำนี้ให้ได้ คือบังคับ บังคับ บังคับจิต บังคับกิเลสคือจิต บังคับตนเองคือสมมติของจิต เป็นสามเณรเราก็ฝึกการบังคับตนเอง บังคับจิต บังคับกิเลส ถ้าเธอเป็นสามเณรที่แท้จริง มันจะมีการบังคับตนเอง บังคับกิเลส บังคับจิตสามอย่างนี้ เพราะว่าโดยระเบียบวินัยของสามเณร ที่ได้วางไว้เป็นหลักทั่วไป มันก็มีการบังคับอยู่แล้ว บังคับตน บังคับจิต บังคับกิเลสมันมีอยู่แล้ว คือระเบียบที่วางขึ้นเฉพาะในการบวชคราวนี้ หรือในการบวชตามแบบนี้ ก็มีด้วย เธอต้องปฏิบัติหลายอย่างในการบังคับตน ให้อยู่ในระเบียบ บังคับจิตอย่าให้เป็นจิตที่เลว บังคับกิเลสอย่าให้เกิดขึ้นมาได้ นี่ละผู้ควบคุมเขาก็จะควบคุมให้เธอมีการบังคับตน ให้มีสติสัมปชัญญะบังคับตน ทั้งหลับและตื่น เอ้า, ขอร้องอาจารย์หัวหน้าหมู่ที่ควบคุมหมู่ หมู่ในแต่ละหมู่ ให้ช่วยควบคุมสามเณรให้ดี ให้เขาระมัดระวัง ตั้งใจระมัดระวังให้ถึงที่สุด ถ้าถึงที่สุดแล้วมันก็จะมีผลทั้งหลับและทั้งตื่น ถ้าเธอตั้งใจแรงมันก็จะมีผลแม้กระทั่งหลับ ถ้ามันเหลาะแหละหลุกหลิกโลเลมันก็จะไม่มีผล ทีนี้ยิ่งหลับละยิ่งไม่มีผล
ฉันสั่งหัวหน้าหมู่ว่าต้องเอาให้ถึงขนาดว่าหลับก็ต้องมีผล เณรคนไหนนอนหลับผ้าเปิด สบงเปิด กิริยาท่าทางไม่เหมาะสม ให้ตีมันเลย ตีมันทั้งหลับๆ เลย ไม่ต้องปลุกล่ะ เพราะมันเป็นเณรที่ไม่บังคับจิต ไม่บังคับกิเลส และเธอก็ต้องเคยอ่านเรื่องสีหไสยา ในระเบียบของชาตริยานุโยค ต้องนอนอย่างสีหไสยา คือนอนอย่างราชสีห์ ก่อนที่จะล้มลงนอนมันก็ดูที่ที่จะนอน ว่าอะไรอยู่อย่างไรอยู่ตรงไหน แล้วมันก็นอน มันก็ดูว่าวางมืออย่างไร วางตีนอย่างไร วางมืออย่างไร วางหางอย่างไร วางหัวอย่างไร แล้วมันก็นอน ถ้าหลับขึ้นหลับไปแล้วถ้าตื่นขึ้นมาแล้วมันเคลื่อนที่นะ โอ๊ย, หมายความว่านอนดิ้น มันก็ด่าตัวเองว่าไอ้ชาติหมา นอนอย่างหมา ไม่ควรจะเป็นราชสีห์ เพราะมันนอนดิ้น ดิ้นเมื่อหลับ มันก็ลงโทษตัวเอง นอนอีกไม่ไปหากิน ไม่ลุกขึ้นไปหากิน นอนอีก ทำอย่างเดียวกันอีก ถ้าตื่นขึ้นมาเห็นมันกระจุยกระจายอย่างนั้นอีก ก็เรียกไอ้ชาติหมาอีก แล้วก็นอนอีก ไม่ไปหากิน ตั้งใจว่าแม้มันจะต้องอดตายก็ช่างหัวมัน ถ้ามันไม่นอนอย่างราชสีห์ ทีนี้มันก็นอนครั้งสุดท้ายนี่เรียบร้อยมาก ไม่มีอะไรขยุกขยิก เหมือนอย่างว่าเธอนอนนะ แล้วก็เอาแก้วใส่น้ำเต็มๆ มาวางไว้ชิดตัวโดยรอบ แล้วนอนหลับไป ตื่นขึ้นมาถ้าไม่มีแก้วอันไหนมันล้มมันหกเลย นั่นล่ะเรียกว่านอนอย่างราชสีห์ ถ้ามันทำล้มไปอะไรไปสักอันหนึ่ง ก็เรียกว่านอนอย่างหมา มันดิ้น ใครใครก็ใช้ภาษาราชสีห์นะ ไปดูในบาลีมีอย่างนี้จริงๆ นี่เรียกว่าบังคับ ฝึกการบังคับจิต ก็ออกมาถึงบังคับกาย บังคับวาจา บังคับกิเลส ที่คอยระวังไม่ให้เกิดได้ เกิดแล้วสลัดไปทันที ก็เรียกว่าบังคับตัวได้ บังคับตัวอยู่ในธรรมะที่ถูกต้องได้
ฉะนั้น อะไรๆ ที่หัวหน้าหมู่เขาควบคุมดูแล แม้มันจะรุนแรง กวดขันไปบ้าง ก็ควรจะยินดี เพราะเขาต้องการให้เธอมีการบังคับตน แรงขึ้นถึงกับมีการเปลี่ยนแปลง จึงได้ผลเป็นผู้บังคับตน ต่อไปนี้เป็นผู้บังคับตน บังคับตนแล้วก็จะเป็นผู้มีความสุข เป็นผู้หลุดพ้น นี้เป็นคำที่พระพุทธ เจ้าท่านได้ตรัสไว้อย่างนี้ ขอให้ทุกคนไม่ว่าใครยินดีในการบังคับตน แม้มันจะต้องลำบากบ้างเจ็บปวดบ้างก็ต้องทน จะอย่างไรก็ต้องทน ตั้งใจแน่วแน่ มีสติแน่วแน่ตลอดเวลาเพื่อจะบังคับตน ฉะนั้นเราก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในจิตใจ ในสันดานของเรา เปลี่ยนนิสัยที่เคยนั่งหลุกหลิกๆๆ ก็จะนั่งแข็งทื่อเป็นตุ๊กตาหินได้ ถ้านิยมการบังคับตน พระพุทธเจ้าสรรเสริญภิกษุหลายองค์ ผู้เจริญอาณาปานสติบังคับตน นั่งเหมือนกับตุ๊กตาหิน ก็สรรเสริญ นี่เราก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ตลอดเวลาที่บวช หากบังคับตนบังคับตั้งแต่ภายนอกเช่น นั่งนิ่งๆ นิ่งๆ ได้ในทางกาย ทางวาจาก็บังคับว่าไม่ให้พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด ไม่มีประโยชน์อย่าพูด ไม่มีประโยชน์แล้วอย่าพูด ดีกว่าพูด พูดออกไปก็ก็เสียหาย บางคนพูดที่ไม่ควรพูด พระพุทธเจ้าได้ตรัสในเรื่องนี้ ถ้าท่านพูดสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ไม่ได้ประกอบด้วยธรรม ไปนอนซะดีกว่า ทั้งที่ไอ้การนอนนั้นก็เลวอยู่แล้ว การไม่ทำอะไรไปนอนเสียมันก็เลวอยู่แล้ว แต่ถ้าไปพูดในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์นั้นยังเลวกว่า ฉะนั้นอย่าพูดเลย ไปนอนซะดีกว่ายังเลวน้อยกว่า นี่ก็เรียกว่าบังคับวาจา ให้พูดแต่ที่ควรพูด ที่ถูกต้อง ที่มีประโยชน์ เราก็ได้ทำแล้วในระหว่างบวช จะได้บังคับกายวาจา บังคับจิตอย่างที่ว่าแล้ว เมื่อบังคับไปแล้ว ทั้งกายทั้งวาจาทั้งจิตน่ะ มันก็มีเท่านั้นล่ะ ทีนี้เราก็บังคับเพื่อรักษาสัจจะไว้ ถ้าไม่บังคับเราก็รักษาสัจจะไว้ไม่ได้ เราก็มีการบังคับเพื่อรักษาสัจจะไว้
ทีนี้ข้อที่สาม เรื่องขันติ แปลว่าความอดทน ข้อนี้มันเนื่องกันถ้าเราบังคับตัว บังคับจิต บังคับกาย บังคับกิเลส มันก็จะเกิดความเจ็บปวดทางกายทางจิตเป็นธรรมดา เราก็ไม่ยอมแพ้ เราต้องอดทน ความลำบากในการเดินทาง อดทนในการไม่เห็นแก่หลับแก่นอน ก็เรียกว่าอดทนได้ดี อดทนต่อการเจ็บไข้ อดทนต่อการเยาะเย้ยถากถาง และอดทนสูงสุดคืออดทนต่อการบีบคั้นของกิเลส กิเลสน่ะมันคอยแต่จะดึงเราไปในทางที่เหลว ที่ล้มละลาย กิเลสจะมาจมูกเราไปทำสิ่งที่ไม่ได้ สิ่งที่ไม่ควรทำ เราอดทนได้ อดทนต่อการบีบบังคับของกิเลส กิเลสมันอยากต้องการให้ไปทำชั่ว ดึงไปทำชั่ว เพราะสนุกดี เธออดทนได้ เหมือนอย่างว่าเธออยากจะไปดูหนัง มันเป็นเรื่องของกิเลส เราบังคับไม่ให้ไป มันก็เจ็บปวดเรื่องไม่ได้ไป ก็ต้องอดทนได้ อดทนต่อการบีบบังคับของกิเลส ที่มันจะดึงไปดูหนังนั้นได้ จะเจ็บปวดใจอย่างไรที่ไม่ได้ไปดูหนังนั้น เราอดทนได้ อย่างนี้เรียกว่าทนต่อการบีบบังคับของกิเลสได้ นั่นแหละอดทนสูงสุด ขันติสูงสุดอยู่ที่นั่น อยู่ที่การทนได้ต่อการบีบบังคับของกิเลส ถ้าเราอยากจะขี้เกียจ หรือง่วงนอนขึ้นมาสักนิด ก็อยากจะไปนอนเสีย นี่ก็พ่ายแพ้แก่กิเลส เราไม่ยอมแพ้ เราอดทนต่อการบีบบังคับของกิเลส อย่างง่วงนอนเต็มทีแล้วก็อดทนมันจนได้ เพราะมันยังอดทนได้ เราก็อดทน ไม่ต้องไปนอน ไม่ต้องพ่ายแพ้ต่อกิเลส ฉะนั้นเราก็ทำวัตรสวดมนตร์ประพฤติกิจ กิจกรรมต่างๆ ครบถ้วนบริบูรณ์ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน นี่มันดีอย่างนี้ การอดทน ให้จำไว้ตลอดชีวิต ให้ประพฤติปฏิบัติจนตลอดชีวิต มันเป็นเรื่องของการอดทน ฉะนั้น ที่ได้เคยรับการฝึกฝนปฏิบัติแล้วในคราวนี้ ก็เอาติดตัวไว้จนตลอดชีวิต เรียกว่ามีขันติ ก็ต้องอดทนทุกครั้งเมื่อเราอยากจะทำให้มันดี เพราะกิเลสมันจะดึงไปทำชั่ว เมื่อเราต่อสู้กับกิเลสเราก็เจ็บปวด เราก็ต้องอดทน ต้องเอาชนะกิเลสให้ได้ ถ้าเราทนได้เราจะชนะกิเลส ถ้าเราทนไม่ได้เราก็พ่ายแพ้แก่กิเลส ขอให้เธอชอบความอดทน อย่าโง่ตามพวกสมัยใหม่ซึ่งไม่ยอมอดทนอะไร จะเอาแต่สนุกสนานเอร็ดอร่อย ไม่ต้องอดทนไม่ต้องอดกลั้น นี่มันคนโง่สมัยใหม่ ไม่ชอบความอดกลั้นอดทน ก็เลยได้ทำผิดทำชั่วทำอะไรที่ไม่น่าดูเต็มไปหมดเลย เพราะมันไม่อดทน มันอยากทำอบายมุขส่วนไหนมันก็ทำ เพราะมันไม่อดทน เราก็ยินดีที่ว่าเธอได้ฝึกฝนเรื่องความอดทน
เมื่อวานฝนตกผ้าเปียกหมด เดินมาทั้งชุ่มน้ำ ใครโมโหบ้างยกมือขึ้น ใครโมโหบ้างเมื่อวาน จริง พูดจริง เมื่อวานทุกคนน่ะเปียกปอนมา ใครโมโหบ้าง ยกมือขึ้นใครโมโหบ้างเมื่อวาน ชักจะไม่ค่อยเชื่อซะแล้ว จะว่าเณรโกหกก็ไม่ถูกอีกเหมือนกัน เอาละยอมเชื่อว่าไม่มีใครโมโห ถ้าอย่างนั้นเธอมีความอดทนดีแล้ว เธอมีความอดทนถึงขนาดเป็นตามความต้องการของผู้จัดการอบ รมแล้ว เรื่องจริงก็จริงบ้างไม่จริงบ้างไม่ได้จริงบ้าง ไม่ได้อร่อยบ้าง ถ้าใครโมโหคนนั้นก็ไม่อดทน เรื่องเป็นอยู่เหมือนกัน บางทีมันก็ไม่มีเสื่อจะนอน จะปูนอนด้วยซ้ำไป ถ้าใครโมโหมันก็ไม่อดทน คิดว่าจะถามแต่ แต่ว่าก็ไม่ค่อยกล้าถาม เพราะว่าจะทำให้มีคนพูดไม่จริง ถ้าถามออกไป ทำให้เกิดมีผู้พูดไม่จริง แต่ก็ยังอยากจะถาม ก็เชื่อว่าคงจะมีคนพูดจริงจึงได้ถามอย่างนี้ และก็จะถามอีกข้อหนึ่งว่า เมื่อคืนมียุงมาตอมที่หู อี้ๆๆ อยู่เรื่อย ใครโมโหบ้างยกมือ ใครโมโหบ้างเมื่อยุงมาตอมข้างหู เอ่อ, มีพูดจริงด้วยนี่ มีคนพูดจริงแล้วโว้ย มีคนพูดจริง ไหนยกใหม่ ยกให้สูงหน่อยใครโมโหบ้าง อื้อ, ราวๆ สิบกว่าคน นี่เรียกว่าพูดจริงมีสัจจะ เรานั้นก็จะต้องอดทนจะต้องไม่โมโห
ที่นี่อยู่กันเรามีคาถาให้ท่องถือไว้ว่า กินข้าวจานแมวก็กินได้ อาบน้ำในคู บางทีน้ำในห้อง น้ำไม่มีต้องไปอาบในลำห้วย อาบน้ำในคูก็อยู่ได้ อยู่กุฎิเล้าหมูอยู่ในกุฎิเล็กเท่าเล้าหมูก็อยู่ได้ หรือว่าฟังยุงร้องเพลง ฟังยุงร้องเพลงไม่โมโห ที่เธอไม่ฟังให้เป็นยุงร้องเพลงเธอก็โมโห ถ้ายุงมาร้องวี้ๆ มาข้างหู ก็คิดว่ามันมาร้องเพลงให้ฟัง กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู อยู่กุฏิเล้าหมู ฟังยุงร้องเพลง ไอ้ที่มันเจ็บนี่ก็คิดว่าเป็นค่าเสียสตางค์ ค่าผ่านประตู เพราะมันอุตส่าห์มาร้องเพลงให้ฟังทั้งที จะไม่เสียค่าร้องอะไรบ้างเหรอ ยอมให้กินเจ็บ เสียค่าเขามาร้องเพลงให้ฟัง ถ้าเรามองเป็นเรื่องร้องเพลงให้ฟัง เราก็ไม่โมโห นี้แสดงว่าเราสามารถจะเปลี่ยนแปลงสิ่งเลวร้ายให้กลายเป็นดี มันมาในแง่ร้ายเราทำให้กลายเป็นแง่ดี มันมาทำให้เราเสียหาย เราเปลี่ยนให้เป็นมาทำให้เราได้รับประโยชน์ ทุกอย่างที่เข้ามานี่มาช่วยส่งเสริมให้เราได้ฝึกฝนปฏิบัติตน ได้รับประโยชน์ที่สูงขึ้นไป ต้องอาศัยการอดทนนะ ฉะนั้น อย่าลืมเสีย ตั้งแต่วันบวชมาจนบัดนี้ มันต้องอดทนอะไรกี่อย่างจดไว้ก็ยิ่งดี เราได้อดทนอะไรกี่อย่างตั้งแต่วันบวชมาจนถึงวันนี้ แม้แต่เรื่องฟังยุงร้องเพลง
ทีนี้ข้อสุดท้ายเขาเรียกว่า จาคะ ข้อที่หนึ่ง สัจจะ จริง ข้อที่สอง ทมะ บังคับ ข้อที่สาม ขันติ อดทน ข้อที่สี่ จาคะ แปลว่า สละ อะไรควรสละก็สละ สิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในเราต้องสละ สิ่งที่เอาไว้จะทำให้เราเสียหายต้องสละ สละหมด ดูเอาเองก็ได้ อะไรเอาไว้แล้วทำให้เกิดความเสียหาย เช่นเขาให้ทานนี่ก็เพื่อสละความขี้เหนียว ไอ้การขี้เหนียวถ้าขืนเอาไว้มันเสียหาย ฉะนั้นเขาจึงสละความขี้เหนียวเขาจึงให้ทาน เขาจะมีจิตใจสะอาดจากกิเลส เราจึงต้องสละทุกอย่างนับตั้ง แต่ว่า ความขี้เกียจ ความขี้เกียจขืนเอาไว้ก็เสียหายหมด ต้องสละ สละโดยการขยัน ตื่นตีสามตีสี่ได้เพราะว่าสละความขี้เกียจ สละความไม่อดทน สละนะก็ตื่นตั้งแต่ดึกได้ ทำอะไรตามหน้าที่ได้ตลอดเวลา นี่เรียกว่าสละความเกียจคร้าน ความเหลวไหล ความอ่อนแอ ความอะไรต่างๆ ก็สละ ถ้าเธอเห็นว่าอะไรควรสละก็สละเถอะ เช่นเธอมาทำวัตรสวดมนตร์นี่มันก็สละความขี้เกียจได้ สละความโง่ได้เพราะมันจำอะไรได้มากขึ้น มันก็เป็นระเบียบ มันจดจ่อต่อการสวดมนต์ก็เป็นสมาธิบ้างเป็นอะไรบ้างตามสมควร เมื่อเราสละไอ้สิ่งที่ไม่ควรมีในตนให้ออกไปเสียจากตน ทุกอย่างทุกประการ ความชั่วทั้งหมดต้องสละ ความประพฤติชั่วทางกายวาจาใจสละออกไปหมด มันก็หมดเรื่องมันก็หมด นี่เราจำไว้ติดตัวไปจนตลอดชีวิต จะสึกไปเป็นฆราวาสหรือจะอยู่เป็นพระเป็นเณรก็ตาม จะต้องสละสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในใจออกไป ออกไป ออกไป ไอ้เรื่องสละบุหรี่ไม่กิน ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้านี่เป็นเรื่องเด็กอมมือ สละไม่ได้ก็โง่มากแล้ว เพราะสละกิเลสมันยากกว่านั้นมาก ละบุหรี่ไม่ได้แล้วอย่าไปหวังเลยที่จะละกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งมันใหญ่โตมาก ฉะนั้น อย่าไปอาลัยอาวรณ์ไอ้ของโง่ๆ เล็กๆ น้อยๆ อย่าไปเสียดาย อย่าไปอาลัยอาวรณ์ สละมันเสีย
บุหรี่นี่ถือเป็นของมึนเมา เพราะว่าสูบแล้วทำให้เกิดฤทธิ์มึนเมาวิปริตผิดปกติ เหล้าอะไรทุกอย่างนี่มันเป็นเรื่องของมึนเมา ต้องสละ การชอบเที่ยวกลางคืนนี่ เป็นกิเลสเลวร้ายอันหนึ่งต้องเสียสละ ดูการเล่น ดูหนังดูอะไรต่างๆ นี่ มันทำไปด้วยความโง่ เสียประโยชน์ก็ไม่รู้ มันก็ต้องสละ เล่นการพนันนี่ผีสิงก็ต้องสละ คบคนชั่วเป็นมิตรก็ต้องเสียสละ ถือคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เคร่งครัด ถ้ามันไม่มีคนดี ก็สละอยู่คนเดียวจนตาย จะไปคบคนชั่วนั้นไม่เอา ถ้าทั้งโลกนี้มีแต่คนชั่ว หาคนดีสักคนหนึ่งเป็นเพื่อนไม่ได้ ก็ยอมอยู่คนเดียว ไม่ยอมไปคบกับคนชั่ว ทีนี้ไอ้คนโง่ๆ มันพูดว่าไม่สูบบุหรี่แล้วมันหาเพื่อนไม่ได้ มันก็เพื่อนโง่เพื่อนเลวทั้งนั้น เราก็นึกถึงพระพุทธเจ้าว่า ถ้ามันหาคนดีมาเป็นเพื่อนไม่ได้ สมัครอยู่คนเดียวไปจนตาย ความเป็นมิตรกับคนชั่วนั้นต้องไม่มี ที่อุปมาแล้วเหมือนกับนอแรด แรดมีนอเดียว ถ้าว่าเราหาคนดีมาเป็นเพื่อนไม่ได้ มันมีแต่คนชั่วแล้วไม่ยอมคบใครเป็นเพื่อน สมัครเที่ยวไปคนเดียวเหมือนกับนอแรด บาลีมีว่าอย่างนี้ ฉะนั้น อย่าไปหวังว่าเราจะมีเพื่อนด้วยบุหรี่ ด้วยเหล้า ด้วยอบายมุข อย่าเอามันเลย
ข้อสุดท้ายเกียจคร้านทำการงาน นี่ต้องละ ละ ต้องละที่สุด เกียจคร้านทำหน้าที่ของตน ของตน ต้องทำหน้าที่ของตน ไม่ทำหน้าที่ก็ไม่เป็นมนุษย์ ไม่เป็นคน เมื่อได้ทำหน้าที่ของตนแล้วก็ให้สบายใจที่สุด ยินดีที่สุด ถูกแล้วเดี๋ยวนี้ทุกคนในโลกนี้มันเกียจคร้านทั้งนั้นแหละ มันทำงานด้วยความจำเป็นบังคับทั้งนั้นแหละ โดยเนื้อแท้ไม่มีใครทำงานด้วยใจจริงและสนุกหรอก มันทำ งานด้วยความจำเป็นบังคับ ความยากจนบังคับ มันก็เรียกว่าคนเกียจคร้านด้วยเหมือนกัน แต่ว่าเราอย่าเป็นอย่างนั้นเลย ไม่ต้องให้ความจนบังคับ ไม่ต้องให้อะไรบังคับ เราทำงานที่ควรจะทำ หน้า ที่ที่ควรจะทำอย่างสนุกสนาน เพราะว่านี่เป็นการทำให้เราเป็นมนุษย์ ทำหน้าที่ของมนุษย์จึงจะเป็นมนุษย์ ฉะนั้น ทำหน้าที่อะไรได้ก็จงทำ ทำหน้าที่สูงไม่ได้ก็ทำหน้าที่ต่ำก็เท่ากันแหละ มันเป็นการทำหน้าที่ของมนุษย์เหมือนกันแหละ เราไม่ต้องรังเกียจงานว่ามันต่ำ ต่ำ จะถีบสามล้อ จะกวาดถนน มันเป็นหน้าที่ของมนุษย์เหมือนๆ กันแหละ เราไม่อาจจะไปเป็นประธานาธิบดี เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นอย่างนั้นได้ เราก็ทำหน้าที่ที่รองๆ ลงมา ด้วยความสนุกสนานต่อไป เป็นชาว นาก็ทำนา เป็นชาวสวนก็ทำสวน แล้วทำด้วยความสนุก ไม่ใช่ว่าจำเป็นบังคับให้ทำ ไม่ทำไม่มีอา หารกิน จะอดตายนั่นแหละความจำเป็นบังคับให้ทำ ถ้าเป็นอย่างนั้นมันทำอย่างตกนรกอยู่ตลอด เวลาแหละ มันฝืนความรู้สึก มันรู้สึกว่าเป็นทุกข์ รู้สึกว่าเป็นโชคร้าย แต่เราจะไม่รู้สึกอย่างนั้น เรารู้สึกว่าหน้าที่ของมนุษย์ทำแล้วดี เป็นมนุษย์ไหว้ตัวเองได้ ยกมือไหว้ตัวเองได้ว่าได้ทำหน้าที่ของมนุษย์ คือปฏิบัติธรรมะ ไถนาก็สนุก ดำนาก็สนุก ทำสวนก็สนุก สนุก ขุดดินก็สนุก อะไรมันก็สนุกไปหมด เพราะว่าได้ทำหน้าที่ของมนุษย์ เป็นการปฏิบัติธรรมะ
นี่แหละเลิกเสีย ไอ้การเกียจคร้านทำการงานนั้นทิ้งหมด ให้มันเหลือว่าทำงานแล้วสนุก ทำงานแล้วมีปีติยกมือไหว้ตัวเองได้ นี่เราจะละอบายมุขทั้งหกอย่าง ถ้าเธอคนไหนยังจำไม่ได้ ไปเรียนเสียให้จำได้ ไปท่องเสียให้จำได้ ทีนี้กลัวว่าทั้งหมดนี้จะจำอบายมุขทั้งหกได้ไม่ครบ ก็จะมี จะไม่ถามล่ะ ถามเดี๋ยวจะละอาย อบายมุขหก ไปศึกษาให้เข้าใจ จำได้แม่นยำ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน หกประการนี้เรียกว่าอบายมุข ปิดประตูแห่งอบาย อย่าไปเข้าประตูแห่งอบาย มันจะวินาศ มันจะฉิบหาย ปิด ปิดตายเลย ไม่มีสำหรับเราประตูแห่งอบาย ไม่มีอบายมุข ไปศึกษาให้ดีแล้วเว้น เว้น เว้นอย่างของน่าเกลียดน่าชังนี่ อบายมุขทั้งหลาย ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ฉะนั้นอย่า อย่าเข้าข้างตัว เว้นเอาบุหรี่ออกเสีย ไม่ใช่อบายมุข เอาเฮโรอีนออกเสียว่าไม่ใช่น้ำเมาอย่างนี้ ไม่ถูก ถ้ามันทำให้เกิดการผิด ปกติต่อสติสัมปชัญญะแล้วเป็นน้ำเมาหมด ไปจดจำไว้ให้ดี ศึกษาไว้ให้ดี อย่าให้มีอบายมุข
นี่ระหว่างบวชนี้มันก็ทำไม่ได้แล้ว นี่ออกไปนี้ก็ไม่ต้องทำสิ อย่ากลับไปหาไปยุ่งเข้าอีก แม้จะมีโอกาส แม้จะมีใครเอามาให้ ก็มองดูมันอย่างอบายมุข ของน่าเกลียดน่าชัง น่าขยะแขยง เกี่ยวกับข้อนี้ พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ดี ให้รังเกียจเกลียดชังไอ้อกุศลทุจริตอย่างยิ่ง เปรียบเหมือนกับว่า คนหนุ่มคนสาวและคนวัยรุ่น พระพุทธเจ้าท่านก็ฉลาดรอบคอบนะ ท่านยกตัวอย่างด้วยคนหนุ่มคนสาว กำลังรักสวยรักงาม ถ้าเด็กๆ หรือคนแก่นี่ไม่มีหรอก ระบุคนหนุ่มคนสาวแต่งเนื้อ อาบน้ำขัดสีฉวีวรรณ ขัดสีที่สุด ... (นาทีที่ 50.02) ของหอม ประดับประดาตกแต่ง ที่สุดแล้วจะให้เขามานั่งขยำของสกปรก เช่นอุจจาระนี่เขาไม่ทำหรอก มันทำไม่ได้ มันทำไม่ลง โดยธรรมชาติมันทำไม่ลง อาบน้ำแต่งตัวชำระชะล้างสะอาดดีที่สุดแล้ว จะให้มาแตะ แตะต้องของสกปรกนี้มันทำไม่ลง นี่เราก็เหมือนกันล่ะ ถือว่าอาบน้ำของพระพุทธเจ้า ได้บวชได้เรียนนี้เหมือนได้อาบน้ำชำระกายสะอาดแล้ว จะไปให้แตะต้องของสกปรกนี้ทำไม่ลง ในเรื่องของศีลห้าก็ดี ศีลแปดก็ดี กุศลธรรมบทก็ดี ที่เป็นส่วนอกุศลนี้มันของสกปรกแตะต้องไม่ลง แต่ถ้าเป็นของดีเหมือนกับดอกไม้ ก็ยินดีที่จะจับไปลูบไปคลำ นี่เป็นฝ่ายดี ฝ่ายกุศลธรรมบท เว้นเสียจากสิ่งที่เป็นอกุศลทั้งหลาย ก็ยินดีที่จะรับนะ แต่งเนื้อแต่งตัวแล้วจะให้ไปลูบคลำขี้หมานี้ทำไม่ได้ แต่ถ้าดอกไม้ของหอมแล้วก็เอา คล้ายเป็นอย่างนั้น นี่เราอาบน้ำแล้ว หรือนี่เดี๋ยวนี้ถือว่าเราอาบน้ำแล้ว กำลังสะอาดแล้ว จะไปลูบคลำขี้หมา ไปดูดบุหรี่ปุดๆ อยู่อย่างนี้ทำไม่ได้ มันไม่ควรจะทำ ก็เลิกเสีย ทำแต่สิ่งที่ดี ที่พอที่จะเปรียบกันได้กับดอกไม้ของหอม มันจึงจะถูกต้อง นั้นก็เป็นอันว่าเราจะได้มี จาคะ สละ สิ่งที่ควรสละออกไปจากตัวเราให้หมดสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอบายมุขทั้งหก ที่มาก่อนอะไรหมด เลวมาก ต่ำมาก ของหยาบคายมาก แล้วก็มีละเอียดดีรับยิ่งๆ ขึ้นไป จะไม่เอาทั้งนั้นแหละ ถ้าของที่เป็นอันตราย ความคิดที่ไม่ดี ที่เรียกว่ากิเลสทุกชนิด เป็นไม่เอา ต้องสละ แล้วขยันทำแต่ความดี ขยันทำแล้ว สึกออกไปแล้วก็ขยันไหว้พระสวดมนต์ ขยันศึกษา ขยันประพฤติปฏิบัติ ให้มีศีล สมาธิ ปัญญาอยู่อเรื่อยไป แม้จะสึกแล้ว และเมื่อตะกี้นี้เราก็พูดกันแล้วว่ามาเตรียมที่จะเป็นสมณะนะ แล้วสมณะนี้ก็เป็นได้ทั้งเพศฆราวาส กับเพศบรรพชิต แม้จะสึกออกไปอยู่ในเพศฆราวาสแล้ว ก็ยังเตรียมเป็นสมณะอยู่นั่นแหละ มันจะได้เป็นสมณะในเพศฆราวาส ตามที่บัญญัติกันไว้เป็นได้ทั้งสามระดับ คือโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อยู่ในเพศชาวบ้านได้
เมื่อเธอได้บวชเทอมหนึ่ง เรียกว่าบวชเทอมหนึ่ง ได้ฝึกฝนปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในสิ่งที่ควรปฏิบัติ แล้วก็ได้รับความรู้อะไรอีกมาก ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อให้มีศีลธรรมในเรา เพื่อจะแพร่ หลายไปถึงคนอื่น ช่วยกันทำให้โลกนี้มีศีลธรรม เป็นโลกที่มีค่ามีประโยชน์ เราได้รับประโยชน์ ผู้ช่วยเหลือเราก็ได้รับบุญกุศล บิดามารดาก็ได้รับบุญได้รับกุศล ไปเป็นญาติในพระศาสนายิ่งๆ ขึ้นไป ครูบาอาจารย์ที่ช่วยอบรมเราก็ได้เสียสละเป็นอันมาก ยอมเหน็ดเหนื่อยเป็นอันมาก เพื่อให้เรามันดีขึ้น เราจึงควรจะขอบพระคุณท่าน แล้วก็ยินดีปฏิบัติตาม จำไว้ปฏิบัติจนตลอดชีวิต การบวชนี้ก็จะได้รับอานิสงส์สูงสุดเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยไม่ต้องสงสัย ฉันจึงบอกตั้งแต่แรกต้นว่า ขออนุโมทนาในการที่พวกเธอได้ประพฤติกระทำกันอย่างนี้ แล้วก็ขอแสดงความยินดีในการมาถึงที่นี่ของพวกเธอ เป็นเหตุให้เราได้พบกัน ถ้าเธอไม่มาเราก็ไม่ได้พบกัน แต่นี่เพราะว่าเธอมาเราก็ได้พบกัน เราก็ได้พูดกัน เราก็ได้ปรึกษาหารือกัน ได้ทำความเข้าใจระหว่างกันและกันให้ยิ่งขึ้นไป ได้ช่วยกันสร้างประโยชน์สุขแก่มนุษย์ สมตามพระพุทธประสงค์ เธอควรจะรับรู้ไว้ด้วยว่า พระพุทธประสงค์นี้แปลก พระพุทธองค์นั้นไม่ได้มีพระพุทธประสงค์ว่าให้พระองค์อยู่สุขสบาย ไม่มีเลยไม่เคยพบเลย พบแต่ว่ามีพระพุทธประสงค์แก่สัตว์ทั้งหลาย ทั้งเทวดาและมนุษย์อยู่เป็นสุข แปลกดีไหม เธอเคยคิดอย่างนั้นไหม เธอเคยคิดอย่างพระพุทธเจ้าไหม ไอ้ตัวเราไม่รู้ไม่ชี้ แต่ขอ ให้ทุกคนนอกจากเรามีความสุข ท่านได้ตรัสไว้หลายสิบแห่งในพระบาลีในพระไตรปิฎก ว่าการเกิดของตถาคตนี้เพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์ ธรรมวินัย ธรรมวินัยของตถาคตมีขึ้น เพราะเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์ ให้ธรรมวินัยนี้ยังอยู่สืบไปสืบไป เพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์
ฉะนั้น ขอให้เธอทั้งหลายนี้ช่วยกันสืบธรรมวินัยนี้ไว้จนกระทั่ง ไอ้เทวดาและมนุษย์นั้น น่ะมันสอนกันและกันได้ จนกระทั่งเทวดาและมนุษย์มันบอกต่อๆ ต่อๆ กัน ต่อๆ ต่อๆ กันไปได้โดยลำพังพวกเขานั้น ท่านหวังเป็นอย่างยิ่ง ครั้งแรกท่านทรงหวังอะไร ให้พระภิกษุนี้สอนให้ประชาชนให้รู้ แต่ว่าให้รู้จนกระทั่งประชาชนบอกสอนแก่ประชาชนต่อๆ กันไปได้เอง นี่คือพระพุทธประสงค์ ไม่ทรงประสงค์หรอกพระองค์จะอยู่เป็นสุข มันไม่ใช่วิสัยของพระพุทธเจ้า แต่ทรงประสงค์ให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงพ้นจากทุกข์ เราบวชแล้วก็มาเรียนพระธรรมวินัย ที่สืบๆ ต่อกันมาจนถึงเรา และเราก็จะช่วยกันสืบไว้ต่อๆ กันไปจนถึงคนชั้นหลัง นี่เรียกว่าตรงตามพระพุทธประ สงค์ ยังจะมีลูกมีหลานมีเหลนมีอะไรต่อไปข้างหน้าอีกมากมาย ก็ได้รับประโยชน์อย่างเดียวกัน ไอ้เราทำนี้เตรียมสำหรับเป็นสมณะ จะเป็นตัวอย่างแห่งสมณะ แล้วคนทั้งหลายก็จะได้เอาเป็นอย่าง จะได้เป็นสมณะกันให้มากเข้ามากเข้า ให้มนุษย์ได้มีความสุข มีความสงบสุข เป็นมนุษย์มีจิตใจสูงอยู่เหนือกิเลสและความทุกข์ เพราะว่าเขาได้อาศัยพระธรรมวินัยคือพระศาสนา ช่วยกันรักษาไว้ ช่วยกันสืบต่อๆ กันมา ช่วยกันสืบต่อกันไปในอนาคตไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อเธอได้ทำอย่างนี้ หรือได้ทำสิ่งที่มันจะมีผลอย่างนี้ ฉันก็ขออนุโมทนา
ในที่สุดนี้ก็ให้พร ขอให้พวกเธอทุกคนจงฟังคำที่ฉันพูดนี้เข้าใจนะ เข้าใจคำที่ฉันพูดนี้ แล้วให้มีความเข้าใจแจ่มแจ้งพอที่จะมองเห็น เพราะมันจะมีประโยชน์ที่สุด แล้วก็เชื่อในการที่จะปฏิบัติตาม แล้วก็มีความกล้าหาญ ไม่ขี้ขลาด กล้าหาญในการที่จะปฏิบัติตาม ให้มีความขยันขัน แข็ง วิริยะอุตสาหะอย่างเต็มที่ จะสำเร็จประโยชน์ แล้วพวกเธอก็จะมีความสุขอยู่ด้วย ก้าวหน้าในหน้าที่การงานของมนุษย์ ที่มนุษย์จะต้องทำด้วย เรียกว่ามีผลดีที่พึงปรารถนา อยู่ตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ