แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เนื่องจากพวกเธอต้องลาสิกขากันทั้งนั้น วันนี้เราก็จะพูด เรื่องว่าลาสิกขานี่ จะเอาอะไร กลับ ติดตนไปได้บ้าง หรือว่าจะขนอะไรเอาไปได้ เมื่อลาสิกขาออกไป ตามหลักทั่วไป เราถือกันว่า ไอ้การบวชนี่ ต้องได้อานิสงส์ อย่างน้อยเป็น ๓ ฝ่าย คือ เธอผู้บวชเองต้องได้ นี่ฝ่ายหนึ่ง ญาติทั้งหลาย มีบิดามารดา เป็นต้น จะพลอยได้ นี่ก็ฝ่ายหนึ่ง แล้วก็เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งโลก ทั้งพระศาสนาเองด้วย ก็จะต้องได้ นี่อีกฝ่ายหนึ่ง มันก็รวมเป็น ๓ ฝ่าย
สำหรับเธอผู้บวชเองนี่ จะต้องได้อะไร ในระหว่างบวช แล้วก็จะได้ขนเอาอะไรติดตน กลับออก ไปเมื่อสึก ที่จริงนี่ถ้ามันบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง กันแล้ว มันก็ได้ผลทั้ง ๓ อย่างนี้อยู่แล้ว ตั้งแต่แรกเริ่ม คือว่าพอเราได้บวชเข้ามา เราก็มีการปฏิบัติ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ขึ้นในกาย วาจา ใจ ทิฐิ ความคิด ความเห็นของเรา ความถูกต้องที่มันเกิดขึ้นนั่นแหละ คือ ของดีวิเศษ ที่เราได้รับจากการบวช ทางกายก็ถูกต้อง ทางวาจาก็ถูกต้อง ทางใจก็ถูกต้อง ทางความคิด ความเห็น สติปัญญานั่นมันก็ถูกต้อง
ทีนี้เราก็เปลี่ยน เป็นคนที่รู้อะไรได้ และปฏิบัติอะไรได้ นี่มันเป็น ของที่มีค่า เกินกว่าที่จะ พรรณนา ถ้ามันบวชเณรเป็นเณร มันก็ต้องได้อันนี้ ถ้ามันบวชเณรเป็นลิง มันก็ไม่ได้อะไร เพราะมันบวชเณร เป็นลิง มันก็เคยเห็นอยู่บ่อย ๆ บวชเณรแต่ว่ามันเป็นลิง มันก็ไม่ได้ นี่เราต้องได้ความเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้น ที่กาย ที่วาจา ที่จิต และที่ทิฐิ ความคิดความเห็น ข้อนี้เธอใคร่ครวญเอาเอง ศึกษาเอาเอง สังเกตเอาเอง ให้รู้ว่า มันได้เกิดอาการเปลี่ยนแปลง ไปสู่ความถูกต้อง อย่างนี้ขึ้นหรือเปล่า ถ้าได้ก็ควรจะพอใจ
และนี่ก็คือสิ่งที่เรา กำลังจะพูด ว่าเธอต้องขน กลับติดเอาไปบ้าน เมื่อลาสิกขา ความเปลี่ยนแปลง ที่มันทำให้เกิด ความถูกต้องขึ้นมา ที่เนื้อที่ตัวของเรา ทั้งกายทั้งใจนี้ ออกกลับไป กลับออกไปนี้ อย่าให้มัน กลับทิศ เหมือนที่แล้วมา มันต้องเหมือนกับว่า เกิดใหม่ เป็นคนใหม่ มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงพอสมควร เมื่อกลับ ออกไปบ้าน ก็ไปเป็นคนที่ผิดจากแต่ก่อน มีความถูกต้องอยู่ที่กาย ที่วาจา ที่จิต และที่ทิฐิ ความคิดความเห็น มากกว่าแต่ก่อน นี้เธออาจจะไม่สามารถ รวบรัดให้มันถือเอาไปได้ง่าย ๆ นี่ เพราะว่ามัน ไม่รู้จักจัด จักทำให้มัน เป็นเนื้อเป็นตัว เป็นดุ้นเป็นชิ้น เป็นอัน
เราอยากจะ ช่วยพูดให้ฟัง ว่าไอ้ที่เราได้ฝึกฝนกันอย่างมาก ตลอดเวลาที่บวชนั่น ให้มันสรุป ออกไป เป็นธรรมะประเสริฐสุด ชุดหนึ่ง ที่เขาเรียกว่า ฆราวาสธรรม ไอ้สึกออกไปนี่มันก็ไปเป็นฆราวาสนะ แต่เราก็ไม่ได้ ละจากความเป็นพุทธบริษัท เมื่อลาสิกขานั้นรู้กันให้ดีว่า ลาสิกขาอย่างสามเณรเท่านั้นแหละ แต่ก็ไม่ละจากความเป็นพุทธบริษัท ไม่ได้ละพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ได้ละการปฏิบัติอย่าง พุทธบริษัท เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมี มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะอยู่ตามเดิม มีคุณธรรม ของความเป็นพุทธบริษัท ไปตามเดิม แม้ว่าจะไม่ถือศีล ๑๐ อย่างเณรอีกต่อ อีกแล้ว มันก็ไปถือศีลอย่าง ฆราวาส ที่ก็ได้ผล โดยความมุ่งหมายอย่างเดียวกัน คือ การควบคุมตนเอง ควบคุมกิเลส ให้มันอยู่ใน ความถูกต้อง
ที่นี้ที่ว่าจะเอาไปให้เป็นดุ้น เป็นชิ้น ชัดเจนนะ เหมือนกับว่า ให้ชาวประมงไปสุ่มปลา พอได้ ตัวปลา เขาก็เอาเชือกร้อยมา เป็นตัว ๆ อย่างนั้นนะ ให้มันชัดอย่างนั้น นี้เราก็ควรได้ธรรมะเป็นตัว ๆ ไป อย่างนั้น เพราะฉะนั้นขอให้นึกดูทุกคน เมื่อเราฝึกฝนอยู่ ตลอดเวลาที่บวชนี่ มันมีธรรมะอยู่หมวดหนึ่ง ซึ่งดีที่สุด คือ สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ ถ้ายังไม่ได้ ยินได้ฟัง ก็ยินฟังเสียเดียวนี้ ถ้ายังจำไม่ได้ก็จำให้มันได้ เสียเดี๋ยวนี้ ว่าธรรมะประเสริฐ สารพัดนึก มีอยู่หมวดหนึ่ง คือ สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ ต้องการจะทำอะไร ให้สำเร็จ ก็ให้ใช้ธรรมะหมวดนี้
ตลอดเวลาที่เธอฝึกฝนอยู่อย่างนี้ มันมีสัจจะข้อแรก ถ้าไม่มีสัจจะ มันก็ไม่มีความเป็นเณร เป็นสามเณร ดังนั้นเราบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง มันมีสัจจะ มันก็ต้องได้ผลจริง นี่คือ ผลของสัจจะ เราบวชเณรจริง เราก็ปฏิบัติจริง เราก็เชื่อฟังจริง อะไรจริงไปหมด ตลอดเวลาที่บวชนี้ นี่มันได้ฝึกฝน อย่างยิ่ง สิ่งหนึ่ง ก็คือ สัจจะ ก่อนนี้อาจไม่เคยมีสัจจะ รุนแรง จริงจังขนาดนี้ เดี๋ยวนี้มันก็มี เพราะว่าบวชแล้ว ได้รับ การดูแล ควบคุม อบรม อะไร ให้มันทำจริง ๆๆ เมื่อเพื่อนจริง เราก็ต้องพลอยจริง มันจริงกันไปหมด แปลว่า เราได้ผ่านการ อบรมสัจจะมาแล้ว เราก็มี ธรรมะตัว ๑ แล้ว คือ สัจจะ นี่จะต้องเอาไปด้วย ลาสิกขาไปเป็น ฆราวาสแล้ว ให้มันไปเป็นคนจริง ให้มันเป็นจริงนะ อย่าให้ตัว จ. มันกลายเป็น ตัว ล. แล้วมันก็เป็นลิง ถ้าเป็นลิงมันก็ไม่จริงนะ เธอก็เห็นอยู่แล้วว่าไอ้ลิงนี่มันก็หลอกเรื่อย มันก็ไม่จริง ดังนั้นเราก็ต้องเอาสัจจะ เป็นธรรมะข้อแรกติดตนไป กลายไปเป็นคนจริง ต่อไปจนตลอดชีวิตเลย
นี้ธรรมะข้อที่ ๒ นี่ เมื่อเราบวชอยู่นี้ เรามีสัจจะแล้วเราต้องมีธรรมะข้อที่ ๒ คือ ทมะ ทมะ แปลว่า การบังคับตนเอง บังคับกาย บังคับวาจา บังคับจิต บังคับความคิดความเห็น บังคับตนตนโดยที่แท้ ก็คือ บังคับกิเลสนี่ มันจะขี้เกียจ มันจะเหลวไหล มันจะตื่นสาย มันจะอะไรก็ไม่รู้ เราก็บังคับมัน ให้ปฏิบัติได้ตามข้อ กติกา ไม่ให้น้อยหน้าเพื่อนกัน นี่สำเร็จได้เพราะว่า เรามันบังคับตัวเอง เรียกว่า ทมะ เธอย้อนนึกถอยหลังกลับ ไปดู ตั้งแต่วันแรกบวชจนบัดนี้ ไปอยู่ที่สงขลาก็ดี ไปอยู่ที่ไหนก็ดี มันมีไอ้การบังคับตนเองอยู่ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นจะทำไม่ทันเพื่อน จะไม่ทำได้เหมือนเพื่อน หรือว่าจะไม้ทำได้ดีเต็มที่ ตามที่ครูบาอาจารย์ เขาต้องการ
เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ เราก็จะเป็นคนบังคับตน บังคับตนเอง คนบังคับตนเองเท่านั้นแหละ ที่มันจะไปตามร่องตามรอยของธรรมะได้ ถ้าไม่บังคับตนเองแล้วมันก็ ไม่ทำนะ มันไม่ทำไปให้ถูกต้อง ตามร่องตามรอยของความเป็นมนุษย์ เราต้องบังคับให้มันไปตามร่องตามรอยของความถูกต้อง หรือว่า ที่ตั้งสัจจะไว้ว่าอย่างไร มันก็ต้องมีทมะบังคับให้มันเป็นไปอย่างนั้น มันก็ทำงานรวมกัน ร่วมกัน เนื่องกัน ที่เธออธิษฐานจิตทำจริง ๆ นี้เป็นสัจจะ แล้วก็บังคับให้ทำได้จริง ๆ ตามนั้นมันเป็นทมะ ตลอดเวลาเราก็ได้ ทำมาแล้ว
ทีนี้ข้อถัดไปก็เรียกว่า ขันติ หรือขันตีก็แล้วแต่จะเรียก แปลว่า ความอดทน ตลอดเวลาที่บวช มานี่เธออดทนกี่มาน้อย ก็ย้อนระลึกนึกถอยหลังไปดูเถอะ เราอดทนตั้งแต่วันแรกบวช เราอดทนมากขึ้น เมื่อไปไกล ๆ เมื่อต้องเดินไปไกล เมื่อต้องเหน็ดเหนื่อย เมื่อต้องหนาว เมื่อต้องร้อน เมื่อต้องไปให้ยุงกัด อะไรก็สุดแท้ มันต้องอดทนทั้งนั้น แล้วเราก็ผ่านการอดทนมาอย่างเต็มที่ บางทีก็พบการนอน การกิน การอยู่อะไรที่ลำบากนะ มันก็ต้องอดทน ดังนั้นก็แปลว่า อดทนกันมาได้ทุกคน จึงมาเหลืออยู่อย่างนี้ ดังนั้นก็ให้ รู้จักความอดทนให้เต็มที่ แล้วก็พากลับออกไปบ้านด้วย เมื่อลาสิกขา นี่มันก็เป็นธรรมะอีกตัวหนึ่ง ได้ ๓ ตัว แล้ว สัจจะ ทมะ ขันตี
ทีนี้ตัวสุดท้าย เขาเรียกว่า จาคะ แปลว่า ความสละ การสละ แต่ในที่นี้เขาหมายถึง เรื่องทางจิตใจ ไม่ได้หมายถึง เรื่องทางวัตถุ คือ ไม่ใช่สละวัตถุ สละเรื่องทางจิตใจ สละสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ใน ใจของเรา ไม่ควรจะมีอยู่ ที่เนื้อที่ตัวของเราว่าอย่างนั้น ก็ควรสละออกไป จะเป็นความชั่ว ความเลว ความอะไรก็ตาม ไม่ว่าตัวเล็ก ตัวใหญ่ มันต้องสละออกไป เพราะฉะนั้นเรามีการกระทำ หรือการปฏิบัติชนิดหนึ่ง ซึ่งมันเป็น การละไอ้สิ่งที่ควรละ นี้อยู่ตลอดเวลา อีกทางหนึ่งมันเหมือนกับว่า มันระบายไอ้สิ่งเลวร้ายและความกดดัน ในจิตใจนี้ออกอยู่ตลอดเวลา มันก็ทำให้เราทนได้ โดยมีขันตีอยู่ได้ เพราะมันพอทนได้ ถ้ามันไม่มีการสละ ระบายออก มันจะระเบิด เดี๋ยวนี้มันก็มีการสละ ระบายออกอยู่ มันก็พอทนได้ มีขันตีทนได้ มันก็บังคับตนเอง ได้ มันก็รักษาสัจจะไว้ได้
เพราะฉะนั้นเราจะมีครบทั้ง ๔ ตัว คือ สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ ถ้าใครมีธรรมะ ๔ ข้อนี้ คนนั้น รอดตัว จะปฏิบัติเพื่อไปนิพพาน เป็นพระ เป็นเณรตลอดชีวิต ก็ต้องใช้ไอ้ ๔ ตัวนี้เป็นพื้นฐาน จะกลับออกไป เป็นฆราวาส ทำไร่ ไถนา ค้าขาย เป็นอะไรก็สุดแท้ กระทั่งจะเป็น บุคคลมีเกียรติสูงสุด ที่สุด มันก็ต้องอาศัย ธรรมะ ๔ ตัวนี้ สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ เพราะฉะนั้นจึงต้องเอาไปด้วย ได้ธรรมะ ๔ ตัว ร้อยพวงแขวนคอไป ดีกว่าไปแขวนก้อนอะไรเล็ก ๆ ปั้นด้วยดิน ปั้นอะไรก็ไม่รู้ เราว่ามันไม่ดี สู้ธรรมะ ๔ ตัวนี้ไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ ต้องเอาติดกลับไปบ้าน ภายหลังจากการ การบวชระยะหนึ่งตามความประสงค์แล้ว
นี่คืออยู่ที่ตนเอง สำหรับที่ตนเองจะพึงได้ ได้เพื่อตนเอง ของดีที่ได้เพื่อตนเอง ประโยชน์ หรืออานิสงส์ ที่ได้ก็เพื่อตนเอง ตลอดเวลาที่บวชอยู่แล้วก็สึกออกไป แล้วก็ไปมีไปดีจนตลอดชีวิต จะทำให้ ขยันขันแข็ง ในการงาน ประสบความสำเร็จในการงาน มีทรัพย์สมบัติ มีความดี เกียรติยศชื่อเสียงที่เป็นเรื่องดี ที่ไม่ใช่ปลอม และจะมีความดี คือ เป็นที่รักใคร่เอ็นดู ของผู้คนที่เขาดี ๆ คือ จะมีคนดีเป็นเพื่อน ว่าอย่างนั้น ดีกว่า มันก็ปลอดภัยไปทีหนึ่งสำหรับการเป็นฆราวาส มีทรัพย์สมบัติพอสม อ่า, พอตัว มีเกียรติยศชื่อเสียง พอตัว มีคนรักใคร่ เอ็นดู อุ้มชู พอตัว ฆราวาสคนไหน ทำได้ครบ ๓อย่างนี้แล้วมันก็เป็น สมบรูณ์แบบ เป็นผู้สมบรูณ์แบบของความเป็นฆราวาส เพราะฉะนั้นเธอเอาไอ้ธรรมะ ๔ ข้อนี้ไป มันจะช่วยเป็นอย่างนั้นได้ ก็ไม่เสียทีที่ได้บวช ไม่เสียผ้าเหลืองเปล่า ๆ ไม่ทำความยุ่งยากลำบากให้แก่บิดามารดา เสียเปล่า ๆ
ทีนี้ประเภทที่ ๒ คือ ประโยชน์ หรือความดี หรืออานิสงส์ ที่ญาติทั้งหลาย มีบิดามารดา เป็นต้น จะพึงได้ ข้อนี้ขอให้เราหวังมากสักหน่อย แล้วก็พูดให้ตรง ๆ กันสักหน่อยนะ ว่าไอ้ความเป็นสัตว์อกตัญญูนี้ จะต้องหมดไป เพราะการบวช เด็กคนใดไม่รู้ พระคุณของบิดามารดา นั้นเขาเรียกว่า เป็นสัตว์อกตัญญู ความเป็นสัตว์อย่างนี้จะต้องหมดไป เกลี้ยงไป เพราะการบวช ซึ่งเป็นการทำให้รู้อะไรหลาย ๆ อย่าง กระทั่งรู้ ว่าบิดามารดา เป็นผู้ให้ชีวิตเรามา ถ้าบิดามารดาไม่ได้ให้ชีวิตเรามา เราก็ไม่ได้มาเกิด เป็นคนอย่างนี้ได้
ที่นี้เราก็ได้รู้ความรัก ของบิดามารดา ว่าสูงสุดเพียงไร ให้ชีวิตเรามา เพราะฉะนั้นเราก็จะต้อง สนองพระคุณ บิดามารดาให้รับความสบายใจ จึงหวังว่าไอ้การบวชแล้ว ทำได้ดีแล้วนี้ จะกลับออกไปเป็นผู้ทำ ความยินดีปรีดา ชื่นอกชื่นใจ ให้แก่บิดามารดา อย่าไปทำความร้อนอกร้อนใจให้แก่บิดามารดา เหมือนอย่างที่ เคยทำมาแต่ก่อนถ้าหากว่ามันมี เพราะใคร ๆ ก็เห็นอยู่ ว่าไอ้เด็กวัยรุ่นนี่มันทำแต่ความร้อนใจ ให้แก่บิดามารดา ด้วยอำนาจ ความหลง ความโง่ หรืออวิชชา ทำบิดามารดาให้เกิดความร้อนอกร้อนใจอยู่บ่อย ๆ ขี้เกียจเล่าเรียน ใช้เงินเปลือง เป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เล็ก อย่างนี้เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่า ทำความร้อนใจให้แก่บิดามารดา เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ ต้องไม่มีอีกต่อไป เพราะว่า เราได้บวชได้เรียน แล้ว และเป็นการบวช การเรียน เพื่อสนองพระคุณ ของบิดามารดาด้วย
ถ้ากลับไปทำความร้อนใจให้แก่บิดามารดา มันก็เท่ากับไม่ได้บวช นั้นเป็นการหลอกกัน มันก็ไม่ บวชเป็นเณร แต่มันบวชเป็นลิง เหมือนอย่างที่ว่าเมื่อก่อนหน้านี้ เพราะฉะนั้นบวชเป็นเณรกันเถอะ คำว่า เณร มาจากคำว่า สามเณร สามเณร มาจากคำว่า สมณะ กับ เณ-ระ เอ-ระ นี่ สามเณร คือ คนที่จะเป็นสมณะ สามเณร นี่แปลว่า คนจะเป็นสมณะ ผู้ที่จะเป็นสมณะ คือ ความสงบ หรือคือ ผู้สงบ เราเป็นสามเณร แล้วเราก็ จะเป็นสมณะ คือ เป็นผู้สงบ ถ้าสงบอยู่ที่วัดไม่ได้ก็ไปสงบอยู่ที่บ้านได้ อย่าไปทำอะไรให้มันผิด แล้วมันก็สงบ แหละ ถ้าทำอะไรผิด มีกิเลสเกิดขึ้นแล้ว มันก็วุ่นวาย มันก็มีความทุกข์ ดังนั้นรักษาไอ้ความสงบนี่เอาไว้ให้ได้ สึกออกไป มันก็ยังเป็นเณรอยู่นั่นแหละ ในคุณสมบัติที่เป็นเณรนะ คือ จะรักษาไอ้ความสงบเอาไว้ให้ได้ มันไม่มีความผิดพลาด ก็เป็นที่พออกพอใจ ของบิดามารดาอย่างยิ่ง นี่ต่อไปมันจะเป็นอย่างนี้
กลับออกไปนี้ มันก็จะไปทำ ความยินดี ปรีดา ปราโมทย์ เย็นอกเย็นใจ ให้แก่บิดามารดา แม้จะต้องเสียชีวิต ก็ยอมเสียชีวิต ดีกว่าที่จะทำบิดามารดาต้องร้อนใจ นี่เพราะว่าชีวิตของเรานี้มันได้มาจาก บิดามารดา ไม่มีอะไรจะ ไม่มีใครนะ ที่จะรักเรามากเท่าบิดามารดา ไปคิดดูเถอะ แม้แต่สัตว์ ลูกแมว ลูกหมา มันก็มีมารดา ที่รักมันที่สุด เพราะฉะนั้นเราก็เป็นมนุษย์ เราก็ควรจะรู้ได้ ว่าคนที่รักเราที่สุด ตายแทนเราได้ ก็คือ บิดามารดา เพราะฉะนั้นเราก็ต้องรักบิดามารดา ชนิดที่ยอมตายดีกว่า ที่จะทำบิดามารดา เขาร้อนอก ร้อนใจ เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น นี่เธอกลับออกไปเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาอย่างนี้ เรียกว่า เป็นประโยชน์ เป็นอานิสงส์ที่พาติดตัวไปด้วย หลังจากการที่จะลาสิกขาในเร็ว ๆ นี้
ทีนี้ประโยชน์ที่ ๓ คือ ประโยชน์ที่จะได้แก่ เพื่อนมนุษย์ทุกคนในโลก เพราะว่าเราบวชนี้ มันบวชเพื่อสืบอายุพระศาสนา พระศาสนามีชีวิตอยู่ได้ไม่สาบสูญไป เพราะว่ามีคนบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สอนสืบ ๆ กันไปจริง ๆ ถ้ามีการทำอย่างนี้ก็มีการสืบอายุพระศาสนา เราบวชเดือนหนึ่ง มันก็เป็นการสืบอายุพระศาสนาเดือนหนึ่ง ตามกำลังสติปัญญาของเรา ขอแต่ให้เรามันบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง แล้วช่วยแนะนำผู้อื่น ไปตามสติปัญญาของเราจริง การทำอย่างนี้มันทำให้มีศาสนา อยู่ในโลก เมื่อศาสนามีอยู่ในโลก ทุกคนที่อยู่ในโลกก็พลอยได้รับประโยชน์ ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม เขาจะรู้จักเรา เราจะรู้จักเขา หรือไม่นั้น ไม่เป็นประมาณ จะมามีธรรมะอยู่ในโลก ก็อาศัยอำนาจของธรรมะ มันได้ทำให้ ทุกคนในโลกอยู่ได้ โดยปลอดภัย โดยมีความสุข เป็นสันติสุข เพราะฉะนั้นช่วยกันทำศาสนาให้มีในโลก
เพราะฉะนั้นเราบวชเรียนพระศาสนา ก็ควรจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่า ศาสนา ศาสนานั้น คือ การปฏิบัติ ทำลายความเห็นแก่ตน ความเห็นแก่ตน คือ กิเลส ออกรูปแบบมาเป็นความโลภบ้าง ออกรูปแบบ มาเป็นความโกรธบ้าง ออกรูปแบบมาเป็นความหลงบ้าง เพราะมันมีความเห็นแก่ตน ความเห็นแก่ตนนี้ มันเกิดมาจาก ความยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งเอร็ดอร่อย แก่กิเลสของเรา พอเรามีความเอร็ดอร่อยแก่กิเลสของเรา ก็เกิดความรู้สึกเป็นเรา ก็เห็นแก่ตน อยากได้อะไรเกินที่ต้องการ คือ อยากด้วยความโง่นะ ถ้าอยากอะไรด้วย ความโง่ ก็เรียกว่า ความโลภทั้งนั้น ต้องอยากด้วยสติปัญญา จึงจะไม่เรียกว่า ความโลภ ถ้าอยากไปต้องการด้วย ความโง่ ความเห็นแก่ตัว ไอ้ความอยากนั้นก็เรียกว่า ความโลภ
แต่ถ้าว่าอยากด้วยสติปัญญา รอบรู้ในสิ่งที่ตนอยาก แล้วมันก็ไม่ใช่ความโลภ มันเป็นความ ต้องการที่ถูกต้อง เป็นสัมมาสังกัปโป เป็นความต้องการที่ถูกต้อง นี้ถ้าว่าเมื่อไม่ได้อย่างใจอย่างที่มันเห็นแก่ตน มันก็โกรธ คือ โทสะมันก็เกิด นี้ว่ามันเห็นแก่ตน แม้มันไม่โลภ มันไม่โกรธ มันก็ไปหลงอยู่ที่ สิ่งที่ยั่วให้มันหลง ไอ้ความเห็นแก่ตนนี่มันหวังไว้มาก มันต้องการจะเผื่อไว้มาก เที่ยวหลง เที่ยวแวดล้อม เที่ยวไอ้สนใจ เที่ยวอะไร ไว้อย่างโง่เขลา เพราะฉะนั้นความเห็นแก่ตน ก็ทำให้เกิดกิเลส มันก็ไม่มีความเห็นแก่ผู้อื่นแลย มันไม่รักผู้อื่น เพราะฉะนั้นถ้าใครดูจิตใจของตน ตรวจสอบดูจิตใจของตนเอง ว่าถ้ามันยังไม่มีความรักผู้อื่น ก็เรียกว่า มันยังมี ความเห็นแก่ตน มันยังไม่มีธรรมะ มันยังไม่มีศาสนาอยู่ในจิตใจนั้น
เพราะฉะนั้นทุกคน มีความซื่อตรง บริสุทธิ์ใจ ต่อตนเอง แล้วตรวจสอบจิตใจตนเองดู ว่าเรามี ความรักผู้อื่นหรือไม่ ถ้าไม่มี มันก็แสดงว่ามันไม่มีธรรมะ ไม่มีศาสนา มันมีแต่กิเลส คือ ความเห็นแก่ตน เดี๋ยวมันก็ออกมาเป็นความโลภ เดี๋ยวก็มันออกมาเป็นความโกรธ เดี๋ยวมันก็ออกมาเป็นความหลง มันก็ล่วงเกิน ผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น ได้ชกได้ต่อยกัน ทั้งที่เป็นพระเป็นเณรนี่ ไอ้ข่าวที่ว่าพระเณร เขาชกกัน แทงกันตาย อะไร ก็มันมี นี่คือความที่มันบวชแล้ว มันไม่เป็นพระเป็นเณร บวชแล้วไม่เป็นพระเป็นเณร ก็เป็นลิงแน่นอน มันก็เลยไม่มีความถูกต้อง
ดังนั้นเราอย่าเห็นแก่ตน อย่าโง่เขลานะ เห็นแก่ตนนี่หมายถึง เห็นแก่ตนด้วยความโง่ ด้วยความ หลง ด้วยกิเลส ไม่ใช่ด้วยสติปัญญา ถ้าเรามีสติปัญญา เราจะรักตนจะเห็นแก่ตนก็ยังได้ แต่ต้องเห็นด้วยสติ ปัญญา คือ ตั้งใจจะทำให้ตนนั้นนะ มันดี ๆๆๆๆ จนกว่าจะถึงที่สุด แต่ทำอย่างนี้เขาไม่เรียกว่า เห็นแก่ตนหรอก คำว่า เห็นแก่ตนนั่น เอาไปใช้กับความรู้สึกอย่างเลว อย่างที่จะทำให้เกิดกิเลสโน้น ถ้ารักตน สงวนตนจัดการไป ในทางที่จะให้มันเป็นมนุษย์สูงสุด อย่างนี้เขาเรียกว่า ความเคารพตน ความนับถือตนนี่ใช้ได้ ถ้ามีความเห็นแก่ ตนแล้วเลวมาก เลวที่สุด ถ้าเคารพตน นับถือตน บังคับตนนี่ดีที่สุด
เพราะฉะนั้นเราต้องเคารพตน คือ เคารพความเป็นมนุษย์ของเรา ทำให้มันถูกต้อง จนเห็นว่า มันเป็นตนที่ดี แล้วเรายกมือไหว้ตนเองได้ นั่นแหละคือ ดีที่สุด นั่นแหละคือ ไหว้พระที่แท้จริง มองเห็น ความดี อยู่ในตน จนยกมือไหว้ตนเองได้ นั่นแหละคือ ไหว้พระที่แท้จริง นอกนั้นเป็นไหว้พระหลอก ๆ ทั้งนั้นแหละ มันว่าละเมอเพ้อฝัน แล้วดู อะไรดี อะไรชั่ว อะไรผิด อะไรถูก รักษาไว้แต่ในทางที่ดีที่ถูก และก็บังคับตน จนเคารพตัวได้
เมื่อเราเด็ก ๆ เราได้ยินไอ้คำนี้มากที่สุด มันอยู่ไอ้หนังสือธรรมจริยา คำสอนต่าง ๆ ที่สอนเด็ก ๆ นี่เขาจะพูดกันไอ้เรื่องนี้ เรื่องเคารพตน เรื่องไว้ใจตน คือ เชื่อตน แล้วก็บังคับตน ถึงเขาจะไปยืมของพวกฝรั่ง มา หรือจะไปยืมในพระพุทธศาสนามา มันก็ได้ทั้งนั้นแหละ เพราะมันเป็นธรรมะของธรรมะ ฝรั่งสมัยก่อน เมื่อเรายังเด็ก ๆ ได้ยินฝรั่งเขาอวด ของดีของเขา ไอ้ Self Control บังคับตน ไอ้ Self Confident ไว้ใจตน Self respect เคารพตน นี่เขาพูดมาก แล้วก็เอามาเป็นของอวด ฝรั่งดีกว่าไทยที่ตรงนี้ ก็ยอมนับถือฝรั่ง เขาเรียกว่า ฝรั่งมันเป็น Gentleman มากกว่า เดี๋ยวนี้หาฝรั่งชนิดนั้นทำยาหยอดตาก็ยาก ฝรั่งเดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนกับ ฝรั่งเมื่อ๖๐-๗๐ปีมาแล้ว ที่ที่เข้ามาเมืองไทย สมัยเราเด็ก ๆ ฝรั่งแต่ละคนมันก็ยกดีกรี เคารพตน นับถือตน ไว้ใจตน นี้มา เป็นเครื่องอวด หรือเป็นเครื่อง รับประกันนี่ นี้ต่อมาเดี๋ยวนี้ก็หาฝรั่งชนิดนั้น ทำยาหยอดตา ก็แทบจะไม่ได้แล้ว มันเปลี่ยนมากถึงอย่างนี้
ทีนี้เราไม่ต้องเปลี่ยน เรามันเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า การเคารพตนนี้ก็เป็นคำสอน ของพระพุทธเจ้า ท่านว่าอย่าให้ตนแก่กิเลสเสีย รักษาตนเอาไว้ สงวนตนเอาไว้ แล้วก็บังคับจิต หรือบังคับตน ที่เรียกว่า ธรรมะนั่นแหละ แล้วก็มีศรัทธา ความเชื่อในความเป็นมนุษย์ของตน ต้องทำได้สิ ไม่อย่างนั้นอย่าเกิด มาเป็นคน นี่เกิดมาเป็นคนทำอย่างคนไม่ได้ มันก็เสียชาติเกิด เกิดมาเป็นมนุษย์ทำอย่างมนุษย์ไม่ได้ มันก็เสีย ชาติเกิด เพราะฉะนั้นเราต้องไว้ใจ เชื่อแน่ว่าเราต้องทำได้
นี่เธอสึกออกไปนี้ มันต้องเชื่อตน ไว้ใจตน ว่าต้องไปเป็นคนที่ดีได้ เป็นมนุษย์ที่ดีได้ เมื่อเรายัง เชื่ออยู่อย่างนี้ เราก็ขะมีการบังคับตนจนได้เหมือนกัน แล้วก็เป็นคนที่มีความถูกต้อง สำหรับความเป็นมนุษย์ มันก็พอกัน เรื่องมันก็จบนะ เป็นมนุษย์ที่ถูกต้องสมบูรณ์ได้ โดยความเป็นมนุษย์ แล้วเรื่องมันจบ เพราะฉะนั้น อุตส่าห์จดจำเอาไว้ ไปสร้างสมไอ้ความเป็นมนุษย์นี้ ให้มันถึงที่สุด เต็มเปี่ยมของความเป็นมนุษย์ ไอ้ก่อนบวช มันจะทำผิดพลาดไปบ้างก็ไม่ต้องพูดแล้ว ยกเลิกกันได้ แต่ว่าต่อไปนี้เธอจะทำผิดอีกไม่ได้ ต้องตั้งใจว่าอย่างนี้ เราจะมีแต่ทำถูกเสมอไป ถ้าทำผิดแล้วก็ต้องเสียใจให้มาก เขกกระบาลตนเองตั้งร้อย ตั้งพันเลย ว่ามันเลวอะไร มากถึงขนาดนั้น แล้วต่อไปนี้ มันจะมีแต่คะแนนบวก อย่าให้มีคะแนนลบ
สึกออกไป ตั้งศูนย์กันใหม่ แล้วต่อไปนี้ก็ให้ มีแต่บวกจะไม่มีลบ มันก็จะต้องบวก ๆๆ มาไป จน ๆๆ เต็ม ของความเป็นมนุษย์เป็นแน่นอน นี่เรียกว่า เรามันมีศาสนา มีธรรมะ เราบวชเพื่อเข้าถึงศาสนา เพื่อเข้าถึงธรรมะ เพื่อสืบธรรมะไว้ให้มีอยู่ในโลก เราพูดอย่างนี้หมายความว่า เธอทุกคนสึกออกไป เป็นคนมี ธรรมะ นั่นแหละเขาเรียกว่า สืบอายุธรรมะไว้ ในโลกยังมีอยู่ในโลก ศาสนายังมีอยู่ในโลก เพราะยังมีคน ปฏิบัติธรรมะ
เพราะฉะนั้นเมื่อเราไม่อาจจะอยู่ในเพศบรรพชิต อย่างเป็นสามเณรนี้ได้ เราก็ออกไปเป็น ฆราวาส ก็ยังสืบศาสนาได้ สืบอายุศาสนาได้ สืบธรรมะได้ คือ การปฏิบัติธรรมะอยู่ตลอดไป ธรรมะ และศาสนาก็จะมีอยู่ในโลก แล้วคนทั้งโลกก็พลอยได้รับประโยชน์ ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม อย่างที่ว่ามา ส่วนนี้เธอต้องเรียนเมื่อ บวชนี่ เพราะว่าในโรงเรียนเขาไม่สอนกัน ในโรงเรียนนะเขาสอนแต่หนังสือ เขาสอนวิชาชีพ ส่วนที่ว่าจะเป็นมนุษย์กันให้ถูกต้องอย่างไรนั้น เขาไม่ได้สอนกันในโรงเรียนประถม มัธยม มหาวิทยาลัย ไม่ได้สอน เราเรียกว่า การศึกษาที่เหมือนหมาหางด้วน
การศึกษาในโลกปัจจุบันนี ้เป็นการศึกษาที่เหมือนหมาหางด้วน ไม่มีหาง หมาหางด้วน ใครเห็นว่ามันสวยบ้าง มันไม่สมบรูณ์ แล้วมันก็วิ่งไม่ตรงไปดูเถอะ จับหมามาตัดหางแล้วปล่อยวิ่ง มันวิ่งเปะปะ เปะปะ เพราะไม่มีหางที่จะถือ ทรงความทรงตัวให้มันตรงได้ มันไม่มีหางสำหรับไปเชิดชู ความเป็นหมาของมัน มันก็ไม่เป็นหมาที่สมบรูณ์ หมาหางด้วนมันใช้ไม่ได้ เดี๋ยวนี้การศึกษาในโลก มันเหมือนกับหมาหางด้วน เพราะว่ามันรู้แต่หนังสือ กับรู้อาชีพเท่านั้นเอง เขาเลิกสอนธรรมะ เลิกสอนศาสนา ในการศึกษา เพราะฉะนั้นเธอไม่ยอมแพ้ พอปิดภาคเรียน เธอมาบวชหาการศึกษาส่วนนี้ ไอ้การศึกษาของเธอ ก็จะไม่เป็นหมาหางด้วน ถ้าไม่ศึกษาส่วนนี้ต่อให้ไปเรียนเมืองนอกเมืองนา ปริญญายาว มาเป็นหาง มันก็ยังเป็น หมาหางด้วน กลับจากเมืองนอกปริญญายาวมาเป็นหาง มันก็ยังเป็นหมาหางด้วน อยู่นั้นแหละ
เพราะฉะนั้นเรามีโชคดี ปิดภาคเรียนได้บวช ได้เรียน การศึกษาส่วนที่ ๓ ที่ว่าจะเป็นมนุษย์ กันอย่างไร ให้เป็นความเป็นมนุษย์ที่สูงสุด คือ ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ดังนั้นเป็นสิ่งที่เธอทำได้ เมื่อเธอไม่ทำก็ตามใจเธอสิ เธออยากจะบวชเณรให้เป็นลิงก็ตามใจเธอสิ มันเป็นสิ่งที่เธอทำได้ จะมีการศึกษานี่ ให้ดี แล้วก็เอาไปรวมเข้ากับการศึกษาในโรงเรียน คือ วิชาหนังสือกับวิชาชีพนั่น แล้วก็ต้องมีวิชาธรรมะ สำหรับการเป็นมนุษย์ให้ถูกต้อง การศึกษาของเราก็สมบรูณ์แบบ ไม่เป็นหมาหางด้วน เหมือนที่กำลังมีอยู่ ทั่ว ๆ ไปในโลกเวลานี้ นี่ประโยชน์สูงสุดของการบวชของเธอ จะทำให้ดำเนินไปอย่างถูกต้อง ทั้งทางโลก ทั้งทางธรรม ทั้งอย่างต่ำ ทั้งอย่างสูง ในทุก ๆ แง่ ทุก ๆ มุม
เพราะฉะนั้นการบวชที่ได้รับผลขนาดนี้ เรียกว่า ได้รับผลอานิสงส์มากเหลือประมาณ จนเขา เรียกว่า พรรณนาไม่ไหวนะ อานิสงส์ของการบวช หรือพระคุณของบิดามารดานี่ เขาจัดไว้ใน สิ่งที่พรรณนา กันไม่ไหว เขาว่าให้เอาแผ่นฟ้านะ ทั้งฟ้าเป็นเหมือนกับกระดาษ แล้วก็เอาไอเแผ่นดินเหมือนกับหมึก เอาน้ำ ละลายหมึกเขียนจนเต็มแผ่นฟ้า แล้วก็ยังไม่หมด ประโยชน์ หรืออานิสงส์ของพระธรรม หรือของพระคุณ ของบิดามารดาด้วย บวชแล้วรู้จักพระคุณของบิดามารดาให้ถูกต้อง แล้วก็รู้จักประโยชน์ของพระธรรม ของพระศาสนา ของการบวช ของการเรียนเหล่านี้ให้มันถูกต้อง ก็จะได้ผลเกินค่าแล้ว ไม่ใช่คุ้มค่าแต่มันเกินค่า เกิน ๆๆๆ คือ ได้กำไรมากเหลือประมาณนั่นนะ
เพราะฉะนั้นขอให้การบวชทุก ของทุกคนนะ มัน ๆๆ สำเร็จประโยชน์เต็ม อย่างที่ว่ามานี้ แล้วก็เธอ ก็เอาประโยชน์อย่างที่ว่ามานี้ กลับไปบ้าน สึกออกไปนะ ไปฝากพ่อแม่เขาให้สบายใจ เย็นอกเย็นใจ ไอ้เราก็เป็นลูกที่ดีของบิดามารดา หากทั้ง ๒ ฝ่าย มีแต่ความยินดีปรีดา ปราโมทย์ เย็นอกเย็นใจ มีแต่ความ ถูกต้องในการเป็นอยู่ เรื่องมันก็จบ ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์อะไรอีกต่อไป เรื่องมันก็จบ เพราะฉะนั้นเรา ทำลายความเห็นแก่ตนหมดสิ้น มันก็ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป เดี๋ยวนี้เรียนไม่รู้จักทำลายความเห็นแก่ตน
เอาละสรุปความว่า เธอบวชนี้ต้องได้ประโยชน์ ๓ สถาน ที่ ๑ คือ ตนเองได้ ที่ ๒ คือ ญาติ ทั้งหลาย มีบิดามารดา เป็นต้น พลอยได้ ที่ 3 ก็คือ เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายในโลก โลกทั้งโลกนี้ก็พลอยได้ เพราะการบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง สอนจริง อะไรของเรานี่ ไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว ฉันขอยืนยันอย่างนั้น ว่าที่ได้เคยนึกคิด ค้นคว้า เสาะแสวงหาอะไรมาจนบัดนี้ มองไม่เห็นอะไรที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว ให้เธอเอาไปคิดดู จึงหวังว่าทุกคนที่ตั้งใจบวชจริง เรียนจริง แล้วเป็นเณรจริงนี้ ไม่เป็นลิงเลยนี่ จะต้องมีความงอกงาม เจริญ ก้าวหน้าไปตามทางของพระศาสนา ความเจริญงอกงามก้าวหน้าอย่างอื่น บ้านะ ไม่เอานะ เอาแต่ความเจริญ งอกงาม ก้าวหน้า ไปตามทาง ของพระศาสนา ไม่บ้า ไม่รกรุงรัง ไม่เฟ้อ ไม่ฟั่นเฟือน ไม่อะไรต่าง ๆ
เพราะฉะนั้นบวชแล้วนี้ จะได้ รู้จักทำให้มันได้เจริญ งอกงามก้าวหน้าไปตามทางของพระศาสนา ของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลายทุกคน นี้ขอให้ความหวังข้อนี้ ความจริงข้อนี้ ให้มันเป็นไอ้ความจริงขึ้นมา เธอก็ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ครูบาอาจารย์ที่ช่วยกันจัด ช่วยกันทำ นี่ก็ไม่เหนื่อยเปล่า เราก็ขออนุโมทนา แล่วเราก็ขอให้พร ตามธรรมเนียมว่า ให้เธอทั้งหลายที่ตั้งใจบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง สอนจริงเหล่านี้ จงมีความเจริญงอกงามก้าวหน้า ไปตามทางแห่งพระศาสนา ของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลายอยู่ ทุกทิพา ราตรีกาลเทอญ