แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้ตั้งใจจะพูดกับสามเณรโดยเฉพาะ การพูดนี้ปรารภเกี่ยวกับการอุตสาห์บวชกันในระหว่างปิดภาค สิ่งที่จะพูดก็คือ การทำความเข้าใจอะไรบางอย่าง ให้ได้รับประโยชน์เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เท่าที่รู้สึกอยู่เดี๋ยวนี้ รู้สึกว่าสามเณรเหล่านี้ก็ยังไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดของการอบรมนี้มันคือการทำอะไรลงไปโดยเฉพาะ ซึ่งหมายถึงว่าจะได้รับประโยชน์อะไรโดยเฉพาะด้วย ตามความรู้สึก คงจะรู้สึกว่ามันมากมายหลายเรื่อง หรือถึงกับหลายสิบเรื่องก็ได้ ข้อนี้ไม่เฉพาะแต่สามเณร พวกพระก็เหมือนกันที่บวชตั้งหลายพรรษาแล้วก็ยังไม่รู้ว่า มันมีใจความสำคัญของการบวชอยู่ที่ตรงไหน ข้อนี้เพราะว่าเมื่อมองดูโดยทั่ว ๆ ไปแล้วมันก็มีมากแง่มากมุมเป็นธรรมดา แต่ถ้าเรารู้เรื่องที่เป็นปัญหาของเราโดยเฉพาะ โดยเฉพาะก็คือของมนุษย์ แล้วก็มุ่งหมายจะแก้ปัญหานั้น มันก็จะเหลือเรื่องเดียว คือเรื่องที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ เพื่อให้เขามีความเป็นมนุษย์ที่ดีที่สุด
เดี๋ยวนี้เราบวชนี่ ก็มีเรื่องมาก เช่นว่าเรียนเรื่องพระพุทธ เรื่องพระธรรม เรื่องพระสงฆ์ เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ต่าง ๆ นา ๆ จนฝั้นเฝือ แล้วก็จำได้บ้าง ไม่จำได้บ้าง บางทีก็ลืมหมด เมื่อหลาย ๆ ปี เราจะต้องทำความเข้าใจในเรื่องนี้ชนิดที่มันลืมไม่ได้ ทีนี้อย่างที่กล่าวมาแล้วว่ามันควรจะทำให้เป็นเพียงเรื่องเดียว ให้เหลืออยู่เพียงเรื่องเดียว จึงจะตั้งปัญหาขึ้นมาว่าการที่ออกมาบวชกันในคราวหนึ่งนี้ มันคือทำอะไร คำตอบข้อนี้ก็อยากจะพูดสั้น ๆ แต่ฟังดูออกจะหยาบคาย ว่าเราจะมาศึกษา ฝึกฝน อบรม หรือปฏิบัตินี่ เพื่อให้รู้จักใช้พระพุทธเจ้าให้เป็น ประโยชน์แก่เรามากที่สุด การพูดอย่างนี้มันคล้าย ๆ กับว่าหยาบคาย หรือ จ้วงจาบพระพุทธเจ้า แต่จะมัวพูดอ้อมค้อมกันอยู่มันก็เสียเวลา ก็เลยสมัครใช้คำพูดตรง ๆ นี้ว่า จะใช้พระพุทธเจ้าให้เป็นประโยชน์แก่เรามากที่สุดได้อย่างไร อยากจะพูดว่า ก่อนหน้านี้สามเณรทั้งหลายก็ไม่เคยคิดไม่เคยฝันถึงเรื่องนี้ คือเรื่องที่จะใช้พระพุทธเจ้าให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร นี่คงไม่เคยคิด เพราะยังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้ามีไว้สำหรับใช้ให้เป็นประโยชน์ แม้ว่ามันจะพอรู้ หรือคาดคะเนได้ มันก็ยังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าชนิดไหนที่จะเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ เพราะพระพุทธเจ้าก็มีอยู่หลายรูปแบบ นับตั้งแต่บุคคลคนหนึ่งมีชีวิตอยู่ในประเทศอินเดีย การเกิดโดยทางร่างกายของท่าน ถ้ามาถึงปีนี้ก็ 2๖00 ปีบริบูรณ์ พระพุทธเจ้าอย่างนี้ เราจะใช้ให้เป็นประโยชน์แก่เราได้อย่างไร พวกครูบาอาจารย์ก็จะพูดส่งเดช บ้าน้ำลายไปตามเรื่องของแกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ที่จริงเราไม่ได้มุ่งหมายพระพุทธเจ้าที่เป็นบุคคลอย่างนี้ เพราะไม่ใช่ตัวแท้ของพระพุทธเจ้า อย่างลูกเด็ก ๆ พวกสามเณรเหล่านี้ ควรจะได้รับคำสั่งสอนให้รู้ถึงข้อความที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม นี่เป็นเรื่องแรกกันเสียก่อน เพราะพระองค์ทรงปฏิเสธว่าร่างกายนั้นไม่ใช่พระพุทธเจ้า แม้เห็นก็ยังไม่ชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า ถ้าหากว่าไม่เห็นธรรม บางประโยคก็มีพูดถึงกับว่า แม้จะเกาะแข้งเกาะขาจับชายจีวรไว้ก็ยังไม่เห็นตถาคต จนกว่าเมื่อใดจะเห็นตถาคต ก็ต้องคือเห็นธรรม
ทีนี้เห็นธรรม เห็นที่ไหน เห็นอย่างไร ก็มีปัญหาอย่างเดียวกันอีก เห็นตัวหนังสือในกระดาษ หรือว่าท่องบทธรรมคุณกันให้ ฟุ้งไป หรือทำอะไรทำนองนี้ ฟังเทศน์ ฟังธรรมกันไปเรื่อย มันก็ยังไม่เห็นพระธรรม ถ้าเห็นพระธรรมก็ไม่ใช่พระธรรมอย่างเดียวกับที่เห็นองค์พระพุทธเจ้า ก็ยังไม่ชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า จนกว่าจะเห็นธรรม ทีนี้เห็นธรรมชนิดไหนเรียกว่าเห็นธรรม ก็ไม่ใช่เห็นใบลาน เห็นกระดาษ เห็นสิ่งซึ่งเป็นสัญลักษณ์ หรือกระทั่งเสียงที่พูดที่แสดงธรรมอยู่ พระธรรมที่แท้จริงที่จะเห็นได้ ในความหมายว่าเห็นพระพุทธเจ้านั้น ก็คือธรรมที่ประพฤติ ปฏิบัติอยู่ที่เนื้อที่ตัว และรู้สึกอยู่ตลอดเวลา ว่าธรรมเหล่าใดทำลงไปแล้วมันมีความทุกข์เกิดขึ้น ธรรมเหล่าใดประพฤติปฏิบัติลงไปแล้วดับทุกข์ได้ คือความทุกข์ไม่เกิดขึ้น แล้วก็มุ่งหมายเอาอย่างหลังนี่แหละ คือธรรมที่ประพฤติปฏิบัติอยู่แล้วความทุกข์ไม่เกิดขึ้น ให้กาย วาจา ใจ สะอาดบริสุทธิ์ ความรู้สึกที่เป็นทุกข์ไม่มี เมื่อรู้สึกอยู่ถึงข้อที่ความทุกข์ไม่มีนั่นแหล คือตัวธรรม ที่ความทุกข์ไม่มีนั่นแหละ คือตัวธรรม เพราะฉะนั้นเราต้องทำลงไปจริง ๆ แล้วก็ความทุกข์ไม่มี แล้วรู้สึกอยู่ต่อสิ่งนั้น เรียกว่า “เห็น” “เห็น” ในที่นี้ไม่ใช่เห็นด้วยตา แต่เห็นด้วยความรู้สึก มันยิ่งกว่าเห็นด้วยปัญญาไปเสียอีก เห็นด้วยปัญญามันพร่า มันกว้าง คำว่าปัญญามันกว้าง เป็นความรู้ก็ได้ เป็นการคำนึงคำนวณอะไรกันก็ได้ เราไม่พูดว่าเห็นด้วยปัญญา แต่ว่าเราพูดว่าเห็นด้วยความรู้สึก คือมีรู้สึกอยู่ในใจ นั่นคือการเห็นสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นต้องมีธรรมะที่ประพฤติปฏิบัติอยู่ในใจ และก็ได้รับประโยชน์ ได้รับผล ได้รับอะไรอยู่ รู้สึกต่อรสของพระธรรมนั้นอยู่ จึงเรียกว่าเห็นธรรม เห็นธรรมอย่างนี้ ก็คือมีธรรม มีธรรมอย่างนี้ ก็คือมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ถ้าสามเณรเหล่านี้ได้ประพฤติปฏิบัติในลักษณะนี้จนถึงกับมีรู้สึกอย่างนี้ ก็เรียกว่าเขารู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์จริง เรียกว่ารู้จักพระพุทธเจ้ากันเสียทีก่อน ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์จริงเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องพูดว่าจะใช้พระพุทธเจ้าให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร มันก็พูดได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้
เดี๋ยวนี้เรารู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์จริง คือตัวธรรม ที่เป็นความดับทุกข์ได้ ที่รู้สึกอยู่ในใจ ก็เกิดความเห็นแจ้ง หรือเข้าใจขึ้นมาทันทีว่า นี่คือประโยชน์ที่ได้รับจากพระธรรม ถ้าตั้งใจจะใช้พระธรรมนี้แหละให้เป็นประโยชน์ให้มากยิ่งขึ้นไป พูดอีกทางหนึ่งก็ว่าใช้พระพุทธเจ้าให้เป็นประโยชน์ยิ่งขึ้นไป โดยหลักที่ว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคตผู้นั้นเห็นธรรม ว่าพระธรรมกับพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งเดียวกัน ข้อความในพระบาลีมีอีกมากมายหลายแห่งที่แสดงว่า พระพุทธเจ้าพระองค์จริงเป็นอย่างนี้ และจะอยู่มาตลอดจนบัดนี้และในอนาคตโดยไม่สิ้นไป ไม่ลับไป หรือถ้าให้พูดให้ลึกกว่านั้น ก็ว่าตลอดกาลนิรันดร ในฐานะที่พระธรรมนี้เป็นกฎของธรรมชาติ เป็นตัวธรรมชาติ มันก็อยู่ได้ตลอดนิรันดร คนมีปัญญาเมื่อใดเอาขึ้นมาใช้ ก็ใช้ได้ทันที แล้วไม่รู้จักหมดจักสิ้น เพราะมันไม่ใช่วัตถุ การที่พูดว่าสามเณรบวชเข้ามาครั้งนี้ ถ้าทำได้ดี ไม่เหลวไหล ก็จะได้ผลคือรู้จักใช้พระพุทธเจ้าให้เป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น
ทีนี้จะใช้ว่ามากยิ่งขึ้น จะใช้คำว่ามากยิ่งขึ้นนี้ มันก็แน่นักว่าจะถูกหรือไม่ถูก เพราะบางคนอาจจะไม่รู้เลยว่าพระพุทธเจ้านี่ใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ คือคน ๆ นั้นไม่เคยใช้พระพุทธเจ้าในทำนองนี้ ให้เป็นประโยชน์ได้ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่อาจพูดว่า ให้เขารู้จักใช้พระพุทธเจ้าให้เป็นประโยชน์มากขึ้น กลายเป็นว่าจะต้องให้เขารู้จักตั้งต้น จะให้เข้าตั้งต้นรู้จักใช้พระพุทธเจ้าให้เป็นประโยชน์เสียก่อนมากกว่า ขอให้เข้าใจอย่างนี้ ที่มันโง่มาแล้วเท่าไรก็เป็นอันว่าเลิกกัน ไม่ต้องพูดถึงกัน ต่อไปนี้อย่าโง่ คือให้รู้จักใช้พระพุทธเจ้าให้เป็นประโยชน์ ให้มีพระพุทธเจ้าอยู่กับเรา เป็นพระพุทธเจ้าจริง เราในที่นี้ก็โดยสมมุติว่าร่างกาย จิตใจในชีวิตนี้ เรียกว่า “เรา“ เราจะมีตัวเราที่จะให้มีประโยชน์มากที่สุด วิธีอื่นไม่มี มีวิธีเดียวเท่านั้น คือเอาพระพุทธเจ้าเข้ามา พระพุทธเจ้าจริงไม่ใช่พระพุทธรูป ไม่ใช่รูปภาพ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เนื้อหนัง ไม่ใช่วัตถุ แต่ว่าเป็นธรรมะที่ประพฤติปฏิบัติลงไปด้วย กาย วาจา ใจ นี่ก็ได้พระพุทธเจ้าพระองค์จริงมา อาจจะเป็นองค์เล็ก ๆ ก่อนก็ได้ ยังไม่ใหญ่โตอะไร แต่ก็เป็นพระพุทธเจ้าจริง ใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ นี่เรามีพระพุทธเจ้าใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ลองคิดดูเถอะว่ามันเป็นเรื่องเล็กหรือเป็นเรื่องใหญ่ หรือเป็นเรื่องดีที่สุด เราอยากจะบอกว่าเป็นเรื่องเดียวเท่านั้น ไม่มีเรื่องอื่นอีกแล้ว และมันก็เป็นประเสริฐที่สุด ไม่มีเรื่องอะไรจะประเสริฐมากไปกว่านี้แล้ว ดังนั้นขอให้สนใจ ทำความเข้าใจให้มันแจ่มแจ้ง เราเคยพูดกันหลายครั้ง หรือหลายสิบครั้งแล้วก็ได้ว่า ลูกเด็ก ๆ ทั้งหลายนี้ต้องเป็นบุตรที่ดีของบิดา มารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ และก็เป็นพุทธมามะกะที่ดีของพระพุทธเจ้าเป็นข้อสุดท้าย นี่ให้พวกเธอไปคิดดูเอาเองว่า ดีทั้ง 5 อย่างนี่ ถ้าสรุปให้เหลือเพียงอย่างเดียว มันสำคัญอยู่ที่ไหน หรือไปรวมหมดอยู่ที่ไหน ก็น่าจะมองเห็นกันได้ทุกคนว่า ถ้าเราเป็นพุทธมามะกะที่ดี คือเป็นสาวกที่ดีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นแหละ เรื่องเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เพื่อนที่ดีของเพื่อน หรือพลเมืองดีของประเทศนี้มันเป็นได้เอง เป็นได้หมด เป็นได้ถึงที่สุดโดยอัตโนมัติ เพราะความที่เราเป็นพุทธมามะกะที่ดีของพระพุทธเจ้า เรื่องมันจึงเหลืออยู่แต่เพียงเรื่องเดียวว่า เราจะเป็นพุทธมามะกะ หรือว่าสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้าให้ได้ ทีนี้จะทำอย่างไร มันก็มาหาเรื่องเมื่อกี้อีกนั่นแหละ ว่ามีธรรมะอยู่กาย วาจา ใจ ก็มีพระพุทธเจ้าอยู่ที่กาย วาจา ใจ อยู่ที่เรา นี่เรามันถึงขนาดที่ว่ามีพระพุทธเจ้าอยู่ในเรา หรือเป็นเราไปแล้ว ก็ได้รับประโยชน์จากความเป็นเช่นนั้นมากถึงที่สุด คือมีธรรมะอยู่ในเรา อยู่ในเนื้อในตัวของเรา คือมีพระพุทธะอยู่ในเนื้อในตัวของเรา นี่พูดเอาเปรียบไปอีกทีว่าเรามีความเป็นสังฆะ คือสาวกของพระพุทธเจ้าอยู่ในตัวเราด้วย นี่ถ้าคนมันฉลาดต่อไปอีก ก็จะมองเห็น ถึงกับร้องขึ้นมาว่า “อ้าว,ทั้งสามอย่างนี้มันเป็นอย่างอย่างเดียวกันโว้ย”
เดี๋ยวนี้พวกสามเณรนี่ คนไหนบ้างที่มองเห็นลึกว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่เป็นสิ่งเดียวกัน เข้าใจว่าจะยังไม่มี ถ้ามีก็ไปจำเขามาไปหัดดูกันเสียใหม่ พระพุทธเจ้าคือพระธรรม พระธรรมคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า หรือพระธรรมอย่างนี้ มันมีเมื่อมีการปฏิบัติ ก็มีตัวผู้ปฎิบัติ ก็มีพระสงฆ์อยู่ที่ผู้ปฎิบัติ ก็เลยอยู่ในที่แห่งเดียวกัน หรือเป็นสิ่งเดียวกัน ที่ว่าเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสิ่งเดียวกันอยู่ในเรา มองเห็นว่ามีอยู่ในเราจริง ๆ กันเสียชั้นหนึ่งก่อน ทีนี้พยายามมองต่อไปให้เห็นว่า จะใช้ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร ถ้าพูดอย่างกำปั้นทุบดิน ก็พูดได้ว่ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในเรา เราก็ไม่มีความทุกข์ แล้วก็เป็นการใช้ให้เป็นประโยชน์แก่เราอยู่แล้วในตัว แต่เดี๋ยวนี้มันยังปัญหาอีกมาก ปัญหาที่ว่าเรายังไม่สามารถจะมีพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆะเจ้าให้ถึงที่สุด ยังมีแต่ในขั้นตระเตรียมเล็ก ๆ น้อยเสียมากกว่า และก็ยังเป็นเด็ก ๆ ด้วย ขอให้สังเกตดู
ระหว่างที่เธอบวชหนึ่งเดือน ถ้าบวชจริง บวชจริงกันนะ มันหมายถึงมีการปฏิบัติจริง บวชจริง ปฏิบัติจริง ก็มีธรรมะเกิดขึ้น ถ้าทำเล่น ทำเป็นพิธี มันก็มีธรรมะไม่จริง มีธรรมะพอเป็นพิธี เพราะฉะนั้นจึงขอร้อง แนะนำ ตักเตือนอะไรแล้วแต่จะเรียกว่าเราจะต้องทำกันให้จริง ๆ บวชมาแล้วนี่จงทำให้จริง ๆ ในส่วนที่เรียกว่าการปฏิบัติ นับตั้งแต่ไปบิณฑบาต ฉันอาหาร เป็นอยู่ประจำวันให้ถูกต้อง แล้วยังไหว้พระสวดมนต์ แล้วก็ระวังรักษาศีล ทำจิตให้เป็นสมาธิ ถือธุดงค์ พยายามบังคับตัวเองอยู่ในทุกแง่ทุกมุม นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม เมื่อปฏิบัติจริง มันก็มีธรรมจริงเกิดขึ้น หรือปรากฏอยู่ที่ใจ เราก็ได้พระพุทธเจ้าจริงมา เมื่อตะกี้พูดกันแล้ว มันยุติไปแล้วว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นพระพุทธเจ้าผู้นั้นเห็นธรรม คือเป็นสิ่งเดียวกัน ทีนี้เราก็มีธรรมจริงด้วยการปฏิบัติ ไม่ใช่ธรรมท่องจำ หรือธรรมสวดมนต์ เอาเป็นธรรมจริง เพราะการปฏิบัติได้ผลตามสมควรแก่การปฏิบัติ เราก็มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เคยประพฤติเลว ๆ อะไรก่อนบวช มันก็หมดไป แม้ที่สุดแต่ว่าหลายคนเคยสูบบุหรี่ เดี๋ยวนี้ก็ไม่สูบ ความโง่นั้นมันก็หมดไป ความโง่อย่างบรมโง่ ไปทำในสิ่งที่ไม่ต้องทำ เช่นไปสูบบุหรี่เป็นต้น นี่มันอยู่กับพระพุทธเจ้าไม่ได้ ถ้าในจิตของเธอมันมีความโง่ถึงขนาด เห็นบุหรี่เป็นสิ่งที่ควรสูบแล้ว จิตของเธอมันเลวเกินไป ไม่อาจจะมีพระพุทธเจ้าปรากฏอยู่ด้วยได้ เราต้องจัดการทุกอย่างที่จะทำให้มันมีความเหมาะสมที่จะให้พระพุทธเจ้าอยู่ในจิตใจของเรา แต่นี่มันไม่ใช่แต่เรื่องสูบบุหรี่ มันได้ละหลายอย่างทุกอย่าง การพูดจาหยาบคาย หรือพูดจาไร้สาระไม่มีประโยชน์ก็เลิกไป การกระทำที่เป็นบาปเป็นกรรม เป็นอกุศลไม่น่าดูมันก็เลิกไป ความคิดเลว ๆ ก็เลิกไป ระมัดระวังไม่ให้เกิดขึ้น นี่คือการประพฤติปฏิบัติธรรม ให้ธรรมปรากฏขึ้นในใจ สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าอยู่กับเรา แล้วก็ได้รับประโยชน์ เมื่อทำจิตใจเป็นอย่างนี้ได้ มันเปลี่ยนแปลงกี่มากน้อย เธอก็ลองคำนวณดูเอง ความเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปในทางดีมีค่านี่มันก็มีแล้ว และก็รักษาไว้เพื่อประโยชน์ต่อไปข้างหน้า แม้ว่าเธอจะต้องลาสิกขาบท กลับออกไปเป็นนักเรียนอีก มันก็มิใช่สลัดทิ้งสิ่งเหล่านี้ และไม่จำเป็นที่จะต้องจัดตัวเองไว้เป็นคนเลวเหมือนเดิม ขอให้มีจิตใจที่เราอบรมดีตั้งแต่ครั้งที่บวชนี่ ติดอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งลาสิกขาไป ไปเป็นนักเรียน เข้าโรงเรียนอีก ก็จะเป็นนักเรียนที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เพราะว่าเดี๋ยวนี้ คนนี้มันคล้าย ๆ จะเกิดใหม่แล้ว มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงมากถึงขนาดนั้น การเปลี่ยนแปลงถึงขนาดนั้นมีค่ามาก จนตีราคาไม่ไหวไม่รู้ว่ากี่แสนกี่ล้านหรือกี่โกฏิกัน ความดีมันตีราคาลำบาก ไม่มีตัวเลขจะใช้กับค่าของความดี ไอ้ค่าของวัตถุนี่มันตีได้ แม้ทั้งโลกนี่ ก็ยังพูดได้ว่ามันมีค่าทางวัตถุเท่าไร แต่ว่าความดี หรือธรรมะในจิตในใจของคนนี่ไม่รู้จะเอาตัวเลขที่ไหนมาตีค่า เพราะฉะนั้นเขาจึงให้คำพูดไว้คำหนึ่งว่า มันเป็นสิ่งที่อยู่ เหนือการตีค่าไม่ต้องตีค่า บางทีก็ใช้คำที่ฟังยาก คือใช้คำว่า “หาค่าบ่มิได้” บางคนจะฟังได้ว่า หาค่าบ่มิได้นี่คือไม่มีค่า แต่ความจริงเขาหมายความว่า มันอยู่เหนือการตีค่า เพราะฉะนั้นมันไม่เกี่ยวกันกับค่า อย่ามัวตีค่ากันเลย ยกไว้ให้เป็นสิ่งสูงสุดจนตีค่าไม่ไหว นี่ถ้าเรามีธรรมะ หรือมีความดีในทางจิตใจ มันได้สิ่งนี้ ซึ่งตีค่าไม่ได้ และมันยังน้อยไปเสียอีกที่ว่าจะมาทำให้เราเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เพราะว่ามันได้ทำให้เราเป็นพุทธมามะกะที่ดีของพระพุทธเจ้า เป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า จนเป็นอริยบุคคล บรรลุมรรคผลนิพพานไปเลยโน่น มันไปไกลถึงที่โน่น เอาล่ะ,เดี๋ยวนี้อย่าเพิ่งพูดถึงส่วนนั้น เพราะเธอบวชเดือนเดียว จะปลุกปล้ำกันเป็นเวลาหนึ่งเดือน จะให้ได้อะไรให้มากพอ สำหรับจะไปใช้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตที่จะสึกกลับออกไปเป็นนักเรียน คือเป็นฆราวาส
ตอนนี้มาตั้งอกตั้งใจ สอดส่องใคร่ครวญกันให้ดี ๆ เก็บให้มันหมด เก็บสิ่งที่ดีมีค่าไปให้หมด ทุกอย่างทุกประการ เพื่อเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ให้ได้ชื่อว่าพระธรรมเป็นประโยชน์แก่เรา พระพุทธเจ้าเป็นประโยชน์แก่เรา พระสงฆ์เป็นประโยชน์แก่เรา และเราก็มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง อย่างน้อยก็จริงกว่าเมื่อยังไม่ได้บวช ซึ่งยังไม่ค่อยรู้อะไร เดี๋ยวนี้ก็ได้ปฏิบัติแล้ว พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริงก็ได้ปรากฏขึ้น ไม่มากก็น้อย แต่ถ้าไม่สอนกันให้ดี ไม่ได้ชี้ไม่แนะกันให้ดี ก็อาจจะไม่เข้าใจ ไม่มองเห็นก็ได้ ทีนี้เมื่อครูบาอาจารย์เขาแนะ เขาสอน เขาชี้ให้เห็น ก็ควรจะรีบทำความเข้าใจ ถือเอาให้ได้ว่าบวช 3 เดือนนี้ได้มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง เพิ่มขึ้นเท่าไรหรืออย่างไร ถ้าเธอมันเป็นคนจริง มันก็อยู่กับเธอจริงเหมือนกัน ถ้าเธอเป็นคนโกหกหลอกลวง มันก็หายไปหมดเหมือนกัน นี่มันแน่นอนอย่างนี้
ทีนี้จะชี้ในแง่ที่ว่ามันเกี่ยวข้องกันอยู่ ก็ต้องมองให้กว้างกว่านั้น คือจะสรุปเป็นคำพูดสั้น ๆ ว่า มนุษย์เรานี้ต้องอยู่ด้วยสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ หรือพระพุทธเจ้านั่นเอง พูดใหม่อีกครั้งหนึ่งก็ได้ว่า คนเรานั้นมันต้องอยู่ด้วยสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ อย่างที่ว่าเมื่อตะกี้นี้ ธรรมะซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ เป็นพระธรรมก็ได้ เป็นพระสงฆ์ก็ได้นั่นแหละ คนเรามันต้องอยู่ด้วยธรรมะนี้ มันจึงจะเป็นผู้เป็นคน ไม่อย่างนั้นมันก็ถึงขนาดที่เรียกว่า ไม่เป็นผู้ไม่เป็นคน ทีนี้มีธรรมะในระดับที่จะทำให้เป็นผู้เป็นคน ก็ยังมีว่าจะต้องเป็นคนที่ดี ที่ดับความทุกข์ได้ คือเป็นมนุษย์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป และเราจะต้องเตรียมมีธรรมะยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อความเป็นมนุษย์ หรือเป็นคนที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปให้ถึงที่สุดได้ เดี๋ยวนี้เราบวช 3 เดือน ก็เป็นระยะสั้น ๆ สำหรับจะศึกษา สำหรับจะเข้าใจ สำหรับจะตระเตรียม
เมื่อตอนเช้านี้ก็ได้พูดให้ทายก ทายิกาทั้งหลายฟังว่าขนบธรรมเนียมประเพณีมันเปลี่ยนแปลงไปมาก ขนบธรรมเนียมประเพณีแต่โบราณนั้นเขาทำให้ลูกเด็ก ๆ ตั้งแต่แรกคลอดออกมา ติดพันกันอยู่กับศาสนาหรือธรรมะ มันจึงมีธรรมะได้ง่าย โดยอัตโนมัติ โดยไม่รู้สึกตัว เดี๋ยวนี้ขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างนั้นมันหายไป พ่อแม่มันก็ไม่รู้ แล้วลูกมันเกิดออกมามันจะรู้ได้อย่างไร ทั้งความเกี่ยวข้องกับธรรมะ หรือศาสนานั้นมันห่างเหินไป จนถึงกับเรียกว่าเป็นอันตราย จนโตมาถึงป่านนี้แล้วมันก็ยังไม่รู้ว่าอะไรอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นเพื่อจะรวบรัดใช้เวลา ๑ เดือนบวช ศึกษาปฏิบัติก็ต้องกระทำกันอย่างเข้มข้น อย่ามัวเหลวไหลโลเลอยู่ ใช้เวลาเพียง ๑ เดือน เพื่อชดเชยความผิดพลาดเป็นปี ๆ สิบปี ยี่สิบปีโน่น บวช ๑ เดือนนี้มันต้องกระทำกันอย่างดีที่สุด เป็นเนื้อหาสาระที่สุด เข้มข้นที่สุด เราจึงจะมีธรรมะพอสำหรับจะเป็นเครื่องรับประกันได้ชั้นหนึ่งก่อนว่า ต่อไปนี้มันจะปลอดภัย เรียกว่ามีเดิมพันที่พอใช้กันทีหนึ่งก่อน แล้วก็ไปทำให้มันงอกเงยออกไปในอนาคต ขอให้เธอมองดูให้ดีว่า เราได้ลงทุนใช้เวลา ๑ เดือน ใช้กำลังกาย กำลังจิต ความอดกลั้นอดทนในการประพฤติปฏิบัติเท่านี้ แล้วมันได้อะไรมาให้สมควรกันจริง ๆ มองเห็นชัดเจนอยู่ พอใจในตัวเองอยู่ สามารถที่จะพูดได้เต็มปากว่าเราได้ทำในสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ และจะได้ไปอธิบายให้พ่อแม่ฟังเมื่อจะสึก หรือสึกแล้วก็ดี พูดให้พ่อแม่เขาเข้าใจอย่างนี้ แล้วเขาก็จะมีความสุขด้วยกันกับเรา เขาอาจจะคิดเลยไปถึงว่า ไม่เสียทีที่เขาเกิดเรามาด้วยความยากลำบาก พ่อแม่จะคลอดลูกออกมาสักคนนี่มันเจ็บปวดยุ่งยากลำบากเหลือประมาณ แต่ถ้าว่าลูกมันคลอดมาแล้ว มันทำอะไรได้ดีถึงขนาดนี้ พ่อแม่เขาก็สบายใจ ว่ามันคุ้มค่าหรือเกินค่า เพราะฉะนั้นเธอไปพิสูจน์ให้พ่อแม่รู้เสียด้วยว่าเธอได้ทำให้พ่อแม่ได้รับประโยชน์คุ้มค่า หรือเกินค่า และไม่ผิดหวัง เธอจนฟังคำที่เราพูดนี้ให้ดี ๆ ให้เข้าใจ แล้วเธอก็จะมองเห็น แน่ใจว่าเราก็ได้ประโยชน์คุ้มค่าในการบวชนี้ และพ่อแม่ก็ได้รับประโยชน์คุ้มค่า เพราะการกระทำของเรา ก็เป็นว่าได้กำไรแล้ว นี่พูดอย่างการค้านะ มันได้กำไรมหาศาลที่ได้บวช ๓ เดือนนี้ คือสามารถจะมีพระพุทธเจ้าที่จะเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้มากมายทีเดียว ในการที่จะเป็นนักเรียน ศึกษาเล่าเรียนต่อไป ก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ได้มาก ซึ่งเธอจะไปทำอะไรนอกจากนั้น ก็ยังใช้ประโยชน์ได้มาก
แต่ประโยชน์สูงสุดที่ดีกว่าอย่างไหนหมดก็คือ เธอรู้จักทำตัวเองให้ไม่มีความทุกข์ เมื่อคนอื่นเขามี ความทุกข์ เราไม่มีความทุกข์ อย่างนี้ก็วิเศษที่สุดแหละ ขอให้จำไว้เถอะ ถ้ารู้ธรรมะถึงขนาดแล้วมันก็ไม่มีความทุกข์ รู้จักแก้ไขความทุกข์ รู้จักป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ ตอนนี้อ่ะมันประเสริฐที่สุด ที่จะเล่าเรียนดีได้ปริญญายาวเป็นหางในที่สุดนั้น มันก็ไม่ดีเท่ากับมีธรรมะที่ทำใจไม่ให้รู้จักเป็นทุกข์ ข้อนี้ต้องเอาไว้ให้ได้ก่อน เพราะเห็นว่าสำคัญที่สุด ส่วนที่ว่าจะไปเล่าเรียนดี มีอะไรดี สังคมดี ดีไปตามเรื่องของมนุษย์ที่จะอยู่ในโลกนั้นมันก็ดี เรียกว่าเราใช้พระพุทธเจ้าให้เป็นประโยชน์แก่เราได้มากที่สุด พูดอย่างนี้ เมื่อตะกี้นี้บอกแล้วนะว่ามันฟังค่อนข้างระคายหู หรือหยาบคาย ขอเปลี่ยน ขอเปลี่ยนเป็นว่าต่อไปนี้เราจะมีพระพุทธเจ้าที่คุ้มครองเราได้มากที่สุด ท่านจะมาคุ้มครองเรามากที่สุด ไม่ให้เสียอะไรไป มีแต่ให้ได้ ให้ได้ทุกอย่างที่ควรจะได้ และก็ได้ดีที่สุด ได้มากที่สุด เรามีพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพนับถือ ท่านก็คุ้มครองเราถึงที่สุด ทีแรกก็อยากจะพูดอย่างนี้ แต่กลัวว่าเธอจะฟังไม่เข้าใจ ยังเป็นลูกเด็ก ๆ มากอยู่ เพราะฉะนั้นจึงพูดทีแรกว่าจะใช้พระพุทธเจ้าให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด จนเธอเข้าใจว่าจะใช้ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร แล้วก็มามองเห็นทีหลังว่า อ้าว, พระพุทธเจ้าจะคุ้มครองเรามากที่สุด ไม่ให้ตกไปในฝ่ายที่ชั่ว ฝ่ายที่ไม่ดี ฝ่ายที่ไม่น่าปรารถนานั่น เป็นอันว่าอย่างน้อยที่สุดต่อไปนี้พระพุทธเจ้าจะคุ้มครองเธอ ไม่ให้ตกต่ำไปในทางที่จะเป็น ลูกที่เลวของบิดามารดา ไม่เป็นศิษย์ที่เลวของครูบาอาจารย์ ไม่เป็นเพื่อนที่เลวของเพื่อน ไม่เป็นพลเมืองที่เลวของประเทศชาติ ไม่เป็นสาวกที่เลวของพระพุทธเจ้า แต่ข้อนี้ไม่ต้องพูดก็ได้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านไม่มีสาวกที่เลวหรอก ถ้ามันเลวมันเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าไม่ได้ มันจะคุ้มครองเธอไม่ให้ขี้เกียจ ไม่ให้ใช้เงินเปลือง ไม่ให้เป็นจ้าชู้ตั้งแต่เล็ก แม้ที่สุดแต่ไม่ให้กลับไปสูบบุหรี่ เป็นคนโง่คนเลวในข้อนี้กันอีก นี่เรียกว่าคุ้มครอง คุ้มครองไม่ให้เยี่ยมกรายไปที่ประตูของอบาย ไม่ให้ถึงกับตกตูมไปใน อบาย แม้แต่ที่ประตูก็ไม่ไป ประตูของอบายเขาเรียกว่า อบายมุข แจกหัวข้อใหญ่ ๆ ไว้ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน รวมกันเป็น ๖ ประการนี้เรียกว่าอบายมุข แปลว่าประตูแห่งอบาย พระพุทธเจ้าจะคุ้มครองเธอไม่ให้เฉียดไปแม้ที่ประตูของอบาย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีโอกาสที่จะตกนรก หรือตกอบาย อ้าว,แต่ถ้าเธอเหลวไหล โลเล โกหก เล่นไม่ซื่อ สลัดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทิ้งกลับไปหาสภาพเดิม มันก็อย่างเดิมอีกแหละ ไม่ต้องสงสัย ท่านไม่ช่วย ไม่อาจจะช่วย ถ้าพลัดตกลงไปในอบาย ขอให้ระมัดระวัง
เธอกลับออกไปนี้ ก็พยายามทำตนเป็นปฏิปักษ์กับอบายมุขทั้ง ๖ ประการอย่างเต็มที่ เพียงเท่านี้ก็จะ ไม่เสียทีที่ได้บวช แม้เพียงเดือนเดียว คือลบนิสัยเลว ๆ ให้พ่ายแพ้ไป คือนิสัยเลว ๆ ชนิดที่มันจะไปทำให้มันชอบอบายมุข อย่างใดอย่างหนึ่งใน ๖ อย่างนั้น หรือทั้ง ๖ อย่างก็ตามใจ ก็พอแล้ว นี้เรียกว่าพระพุทธเจ้า คุ้มครองมากแล้วสำหรับพวกเธอ รู้จักใช้พระพุทธเจ้าให้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งแล้ว แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่เพียง เท่านี้ มันไม่ใช่เพียงละอบายมุข ๖ มันมีอะไรอีกมากที่เราจะรับประโยชน์ ถ้าเราฝึกจริง บวชจริง เรียนจริง ฝึกจริงในระหว่างที่ ก็จะเปลี่ยนนิสัยให้เป็นคนขยันขันแข็ง ให้เป็นคนบังคับตัวเอง เป็นคนซื่อตรงต่อตัวเอง เป็นคนอดกลั้นอดทน ควบคุมความรู้สึกไว้ได้ ความรู้สึกโลภหรือโกรธหรือหลง ควบคุมไว้ได้ ถ้ายังมองไม่เห็น ก็จะบอกตัวอย่างเช่นว่า ถ้าเป็นพระ เป็นเณร มันก็ฉันอาหารอย่างไม่ตะกละ มันต้องฉันด้วยสติสัมปชัญญะ รู้สึกตัวก่อนแล้วจึงฉัน ไม่มีโอกาสที่จะฉันมูมมาม หรือตะกละ นี่ถ้าเราบังคับตัวเองอย่างนี้อยู่ทุกวัน ๆ หลายวันเข้ามันก็เปลี่ยนนิสัย เป็นผู้ที่ไม่บริโภคอาหารอย่างตะกละ ทีนี้ถ้าอาหารมันไม่อร่อยเราก็รู้จักบังคับจิตใจให้ปกติได้ ไม่ไปเที่ยวโพนทะนา นี่เป็นตัวอย่างอย่างนี้
เรื่องความโกรธก็เหมือนกัน อยู่ในระเบียบวินัยแล้วมันโกรธไม่ได้ เพราะเขาสอนให้บังคับความโกรธ ให้ควบคุมความโกรธ ให้มีสติสัมปชัญญะ ส่วนโมหะนี่มันอธิบายยาก เขาได้มีระเบียบวินัยวางไว้ให้เสร็จแล้วว่าทำตามนั้นแล้วมันก็ขจัดโมหะเบื้องต้นออกไปเรื่อย ๆ แหละ ค่อย ๆ รู้จริงหรือว่าฉลาดขึ้นมาเอง ราคะหรือโลภะ ก็ถูกคุมกำจัดส่วนที่ควรกำจัด โทษะหรือโกธะ ก็ถูกควบคุมหรือกำจัดที่ควรกำจัดไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นโมหะ ความโง่ความหลงก็ถูกกำจัดเรื่อย ๆ
อ้าว, ทีนี้ก็ไปทดสอบดูว่า ตลอดเวลาที่เราบวช ๑ เดือนนี้เราได้ทำอย่างนี้หรือเปล่า เราได้ทำทุกสิ่ง ทุกอย่างที่มันให้เกิดผลอย่างนี้หรือเปล่า เชื่อว่าอย่างน้อยก็ต้องมีแหละ เพราะมีผู้คอยควบคุมบังคับบัญชาอยู่ ถือเอาให้หมดเท่าที่ทำได้นั้นมันก็เรียกว่าพอเป็นเดิมพัน เอาไปใช้เป็นทุนรอนสำหรับจะทำให้มันงอกงาม เจริญต่อไปข้างหน้า ถ้าปีหน้าเราได้บวชอีก มันคงเพิ่มขึ้นมาอีก ปีต่อไปได้บวชอีก กระทั่งบวชพระ บวชอะไรไปข้างหน้ามันก็จะเพิ่มขึ้นมาเอง เพราะฉะนั้นในระยะนี้ ก็ขอให้ทำให้มันเป็นการตั้งต้นที่ดี สำหรับจะเจริญงอกงามต่อไปในอนาคต จนถึงที่สุดของชีวิตนี้เรียกว่าเป็นมนุษย์ที่ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ ควรจะได้รับ เอาล่ะเป็นอันว่าวันนี้ หรือครั้งนี้เราพูดกับเธอทั้งหลาย ด้วยใจความสั้น ๆ ว่า บวช ๑ เดือนนี้ เพื่อทำให้รู้จักใช้พระพุทธเจ้าให้เป็นประโยชน์แก่เรามากที่สุด ถ้าคำนี้มันหยาบคายไป ก็เปลี่ยนใหม่เป็นว่า บวช ๑ เดือนนี้ จะรู้จักทำให้พระพุทธเจ้าคุ้มครองเราให้มันมากที่สุด จนกระทั่งว่าได้สิ่งที่ดีที่สุด คือปลอดภัย โดยประการทั้งปวง เวลาสำหรับพูดมีเท่านี้ ขอยุติการพูดในวันนี้
อ้าว,ใครมีอะไรจะถามบ้างไหม เณรมีอะไรจะถามบ้างไหม ที่พูดมาแล้ว ถ้าไม่เข้าใจก็ถามได้ ระหว่างที่เราบวชนี้ เราเคยรู้สึกพระคุณของพระพุทธเจ้าจนถึงกับพองขน หรือว่าน้ำตาไหล หรือว่าสะดุ้ง อะไรบ้างหรือเปล่า ทำในใจถึงพระพุทธเจ้า จนมองเห็นบุญคุณของพระพุทธเจ้าจนขนลุก จนน้ำตาไหล จนสะดุ้งอะไรนี้บ้างหรือเปล่า ใครมีบ้าง ยกมือขึ้นซิ มีใครบ้าง-ไม่มี แสดงว่ายังไม่มี ก็ฝากไว้โอกาสหน้า เอาไปใคร่ครวญ พินิจพิจารณา ใคร่ครวญถึงพระคุณพระพุทธเจ้าเหนือสิ่งใด จนน้ำตาไหลจนพองขน