แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พวกเราที่อยู่ภาคใต้ ชาวเมืองทำพรื่อ พูดบ้านเราดีกว่า พูดบางกอกเหนื่อยเปล่าๆ ที่อยู่ภาคใต้นี้ พวกบางกอกมันดูถูก เรียกพวกเราว่า ไอ้พวกเมืองทำพรื่อ เธอไม่เคยได้ยินบ้างหรือ ตั้งแต่หลังสวน มาไชยา สุราษฎร์ฯ นครฯ พัทลุง สงขลา ตลอดไปโน้น ถูกเรียกว่าพวกเมืองทำพรื่อ ทำพรื่อนี่ เรามันพูดกันอยู่จริง ไม่ปฏิเสธ เวลาถามว่าทำอะไร หรือทำอย่างไร เราว่าทำพรื่อ ที่ตรงไชยาพูดว่าทำผรือ เลยไปถึงบ้านนา นาสาร ทำพรือ ไปทางใต้เรียกทำพรื่อ ทำพรื่อสุดโน่นเลย ถูกเรียกว่าพวกเมืองทำพรื่อ ไอ้พวกป่าเถื่อน ชาวบางกอกว่าเราป่าเถื่อน เรียกว่าเราว่าเมืองทำพรื่อ เราพูดภาษาสำเนียงเมืองทำพรื่อ ภาษาปักษ์ใต้ สำเนียงปักษ์ใต้ ถ้อยคำภาคใต้ ให้ชาวบางกอกมันงงอยู่นั่นแหละ พูดว่าทำพรื่อมันฟังไม่ถูก พูดว่าหยูเครงก็ฟังไม่ถูกหรอก ชาวบางกอกมันงงอยู่แบบนั้น เราพูดว่าหยูเครง ฟังไม่ถูก แปลว่าอะไร
พวกเธอ เป็นเณร บวชเณรกัน ด้วยความตั้งใจว่า จะให้สิ่งต่างๆมันดีขึ้น เราอยากจะพูดว่าให้ดีขึ้นนี้ต้องแก้ไขตัวเองให้มันดีจริงๆ เขาจะเรียกเราว่าอย่างไรก็ตามใจเขาแหละ แต่เราไม่ได้เป็นแบบนั้นก็แล้วกันแหละ เขาเรียกพวกเราว่าพวกเมืองทำพรื่อ เราก็ไม่โง่ ไม่งงก็แล้วกัน ให้คนเรียกงงไปข้างเดียวน่ะ การที่เธอจะเปลื้องข้อดูหมิ่นนี้ออกไปเสียได้ ก็โดยวิธีเดียว ก็พยายามทำให้ดีสิ พยายามเล่า พยายามเรียน พยายามปฏิบัติ พยายามทำตัวให้ดี เมื่อเวลาเปิดภาค เราก็เล่าเรียนให้ดี อย่าเหลวไหล เรียนในโรงเรียน พอเวลาปิดภาค เรามีโอกาสบวช ก็บวชให้ดี ให้เป็นเณรที่ดี คนโบราณเขาพูดไว้ พวกบ้านเราฉลาดที่สุดแหละ พวกเมืองทำพรื่อนี่ ฉลาดที่สุด พูดไว้ว่า เณรสุข เณรสัก เณรลักสาร เณรกินข้าวค่ำ เณรรำควาย เณรสุข เณรสัก เณรลักสาร เณรกินข้าวค่ำ เณรรำควาย (นาทีที่ 4.26) ใช้ไม่ได้ มันเป็นชนิดใช้ไม่ได้ ผู้เป็นเณรที่ไม่บังคับตัวเอง เณรคนไหนไม่บังคับตัวเอง อยากจะทำอะไรก็ทำ เป็นอันธพาล เกเร เณรที่ดีต้องบังคับตัวเอง สิกขาวินัยมีอย่างไรต้องปฏิบัติให้เคร่งครัด ไม่เกเร แล้วก็ไม่ใช่ เณรสุข ไม่ใช่เณรสัก ไม่ใช่เณรลักสาร ไม่ใช่เณรกินข้าวค่ำ ไม่ใช่เณรำควาย (นาทีที่ 5.11)
ในระหว่างบวชนี้ เราเรียนอีกอย่างหนึ่ง คือเรียนเรื่องทางจิตใจ เรื่องทางธรรม เมื่อไม่บวช เรียกว่าเรียนเรื่องธรรมดาสามัญ วิชาสามัญ เขามักจะเรียกว่าเรื่องทางโลก เราบวชเรียนเรื่องทางธรรม เรียนทั้งสองอย่างมันดี คนเรามันมี 2 ด้าน 2 ชั้น มีร่างกายชั้นหนึ่ง มีจิตใจชั้นหนึ่ง ชั้นร่างกายเราก็เรียนอย่างร่างกาย อย่างโลก อย่างธรรมดาสามัญ ชั้นจิตใจต้องเรียนตามวิธีของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก เพื่อสอนเรื่องราวทางจิตใจ คราวนี้ทางกายก็ดี ทางใจก็ดี แล้วก็เป็นมนุษย์ก็ดี ถ้ามันดีแค่ทางกายมันก็ดีแต่เปลือกข้างในมันไม่ดี มันกลวง หรือมันเน่า เพราะฉะนั้นการที่เธอบวชถูกที่สุดเลย ถูกต้องที่สุดเลย เราขอแสดงความยินดีด้วยทุกคน เพื่อว่าจะได้เรียน อย่างบวช เรียนเรื่องทางจิตใจให้ทางจิตใจมันดี ทางกายมันก็ดีอยู่แล้ว ทางจิตใจมันก็ดี ร่างก็ดี ครบบริบูรณ์ ก็เป็นมนุษย์ที่ดี
พูดถึงมนุษย์กันก่อน เป็นมนุษย์กันก่อน มนุษย์นี่เขาแปลว่าใจสูง คือแปลว่าเหล่ากอของคนที่มีใจสูง มนู แปลว่าใจสูง เหล่ากอของมนู เหล่ากอของผู้มีใจสูง ถ้าเราเป็นมนุษย์ ทุกคนจะเด็กผู้ใหญ่ก็ตามต้องมีจิตใจสูง จิตใจสูงก็หมายความว่า ไม่โง่ ไม่งง ทำถูกต้องในสิ่งที่ควรจะทำ มันมีหลักเกณฑ์ว่า ทำถูกต้องถ้ามีใจสูง ถ้ามีใจต่ำก็ทำผิด มีใจต่ำไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำมันก็ผิดทั้งนั้น เรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ เรื่องอะไรก็ตามใจ ไปทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ นี่เขาเรียกว่ามัน มันไม่ไหว เธอลองคิดดู สิ่งที่ไม่มีประโยชน์แล้วไปทำ มันก็ให้โทษทั้งนั้น มีมากมายหลายอย่าง อย่างที่เห็นกันง่ายๆ เช่นเรื่องสูบบุหรี่ เรื่องสูบบุหรี่นี้เป็นเรื่องไม่บังคับตัวเอง เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ไปทำเข้ามันก็เกิดโทษ เสียเวลา เสียร่างกาย เปลืองสตางค์ แล้วก็เสียเวลา แล้วก็เสียร่างกายคือร่างกายมันถูกบุหรี่มันทำให้ทรุดโทรม แล้วก็เป็นโรคเป็นอะไรก็มี มันให้โทษ ถ้าไม่มีประโยชน์ก็ให้โทษ ถึงเราไปทำสิ่งที่ให้โทษ มันฆ่าตัวเอง เชือดคอตัวเอง ถ้าใจมันทราม ใจมันต่ำ ยังไม่เป็นมนุษย์ รีบแก้ไขให้เป็นมนุษย์ เณรตัวเล็กๆ อย่าสูบบุหรี่ มันทำลายร่างกาย ร่างกายจะอ่อนแอมาก ถ้าใครสูบก็รีบละเสีย จะปลอดภัย ใจจะสูงจะเป็นมนุษย์ ขอให้ถือหลักสิ่งไหนที่ไม่มีประโยชน์ ไม่ยอมทำเป็นอันขาดเลย ไม่ใช่แค่สูบบุหรี่ จะมีกี่ร้อยเรื่องก็ตามใจถ้าไม่มีประโยชน์ ไม่ยอมทำ เกิดเป็นมนุษย์ มีใจสูง แล้วสมกับความเป็นสามเณร สามเณรเขาแปลว่า เหล่ากอของสมณะ มนุษย์แปลว่าเหล่ากอของผู้มีใจสูง สามเณรแปลว่าเหล่ากอของสมณะ สมณะนั้นหมายถึงพระสมณะ มีพระพุทธเจ้าเป็นจอม พูดภาษาบ้านเราง่ายๆว่า ผู้ที่จะเป็นพระ เณรคือผู้ที่จะเป็นพระ เป็นเหล่ากอของสมณะ คือเป็นหน่ออ่อนๆ ที่จะเจริญงอกงามเป็นสมณะ สมณะ เป็น สามณะ เณระ เป็นสามเณระ คำเดียวกัน สมณะ กับสามเณร คำเดียวกัน แต่ว่าเขาทำความแตกต่างแยกกันไว้นิดหนึ่งว่า อันหนึ่งเป็นสมณะแล้ว อันหนึ่งกำลังจะเป็นสมณะ เราก็เตรียมตัวให้ดี ให้ได้เป็นสมณะ เป็นเณร ทำดี แล้วเป็นสมณะได้เหมือนกัน เวลานี้เป็นสามเณร เป็นสามเณระ ไปก่อน เพื่อความเป็นสมณะข้างหน้า มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย พวกเธอถึงจะตัวเล็กๆ แต่่มันมีเครดิต คือมีเกียรติมากเข้ามาแล้ว คือผู้จะเป็นสมณะในอนาคต ให้เป็นเณรให้จริงๆ มันอยู่ที่จริง ถ้าไม่จริงล้มละลายหมด บวชแล้วต้องจริง
งามที่ผี ดีที่ละ พระที่จริง ปู่ย่าตายายพูดไว้ งามที่ผี ดีที่ละ พระที่จริง นิพพาน คือตายเสียก่อนตาย อยู่ที่ตายเสียก่อนตาย เมื่อบวชเณรในเวลาที่นุ่งห่มผ้ากาสายะ อุปัชฌาย์สอนปฏิกูลกรรมฐาน คือความเป็นซากศพของร่างกาย เกศา โลมา นขา ทันตา อธิบายความที่เป็นซากศพของร่างกายเขาเรียกปฏิกูล นั่นแหละมันงามที่นั่นแหละ ถ้าเห็นความเป็นปฏิกูลแล้วก็เป็นสมณะ ถ้าไม่เห็นความเป็นปฏิกูล รักสวยรักงาม ก็เป็นชาวบ้าน เธอให้รู้ว่ามันดี ไอ้ความเป็นปฏิกูลมันดี เห็นแล้วให้เป็นพระเป็นเณร งามที่ซากผี ให้พระ เณร มันพิจารณาถึงซากผี แล้วใจมันก็จะไม่เกิดกิเลส มันก็เป็นคนดี เป็นพระเณรที่ดี นี่ที่เขาเรียกซากผีมันงาม มันควรจะไปชมไปดู งามที่ซากผี เราจึงได้เป็นพระเป็นเณร บวชมาด้วยกรรมฐาน ที่สอนว่า ร่างกายเป็นซากศพ เป็นของปฏิกูล งามที่ซากผีข้อหนึ่ง
ข้อสองดีอยู่ที่ละ ดีอยู่ที่ไม่เอา ความดีอยู่ที่สละออกไปไม่ใช่เอาเข้ามา ถ้าเอาเข้ามา เห็นแก่ตัว เดี๋ยวก็ทำผิด ทำชั่ว ทำคอรัปชั่น เพราะเห็นแก่ตัว ถ้า สละ สละ สละ อยู่เรื่อย ไม่มีทางจะชั่วได้ ให้มันละออกไปเรื่อยๆ ดีมันอยู่ที่ละ ไม่ใช่อยู่ที่เอา ไม่ใช่อยู่ที่ได้ เวลานี้ถือศาสนาได้กันให้หมด เอาก็ได้ ได้จนไม่รู้จักที่ถูกที่ควร มันก็เลยทำชั่ว เห็นอยู่ทั่วๆไป ที่โกงกัน ที่เบียดเบียนกัน เพื่อจะเอาเพื่อจะได้กันทั้งนั้น มันเลยไม่ดี คนโบราณเขารู้ เขาจึงพูดว่าดีอยู่ที่ละ อยู่ที่สละ อยู่ที่ไม่เอา พระอยู่ที่จริง จะพระหรือเณรก็ตามใจ อยู่ที่จริง คำว่าจริง คำเดียวมันกว้าง บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สอนต่อๆกันไปจริง หลายจริง บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สอนกันไปจริงๆนั่นแหละ พระหรือเณรมันอยู่ที่จริง อย่ามัวแต่เหลาะแหละ ล่อกแล่ก หัวเราะกันไปเรื่อย ยิ่งหัวเราะเท่าไหร่ก็ยิ่งโง่เท่านั้น เพราะเวลาที่หัวเราะใจฟุ้งซ่าน ใครหัวเราะได้โดยใจไม่ฟุ้งซ่าน เณรคนไหนหัวเราะได้โดยใจไม่ฟุ้งซ่าน หัวเราะแล้วใจมันก็ฟุ้งซ่าน มันก็ไม่มีสมาธิ ไม่มีสมาธิมันก็ฟั่นเฟือน มันก็เลย ความคิด สติปัญญามันก็จาง หรือละลายไป ละลายไป ยิ่งหัวเราะเท่าไหร่ ยิ่งโง่เท่านั้น งั้นอย่าชอบหัวเราะ อย่าพูดเสียงดัง อย่าหัวเราะ เล่นหัวเสียเรื่อยไป พระพุทธเจ้าห้าม พระพุทธเจ้าสอนให้พูดเบา พูดน้อย ไม่จำเป็นอย่าพูด และพูดเบาๆ เรื่องหัวเราะไม่ต้องพูดเลย ห้าม เพราะมันเป็นเรื่องโง่ เรื่องไม่มีประโยชน์ อย่าหยอกกัน อย่าเล่น อย่าหัวกัน อย่าทำให้หัวเราะเรื่อยไป ถ้าทำอย่างนั้นไม่ได้บวช มันเหลาะแหละเป็นลิงอยู่เรื่อย จะเป็นพระที่สำรวม เป็นเณรที่สำรวม ต้องสำรวม อย่าให้มันเหลาะแหละ อย่าให้มันหัวเราะเรื่อย อะไรก็จะเล่นจะหยอกเสียเรื่อย หัวเราะเรื่อย มันไม่จริง ต้องบังคับตัวให้สำรวม ให้มัธยัสถ์ ไม่เหลาะแหละ ไม่หาความสนุกด้วยการหัวเราะ หาความสุขสนุกด้วยการนิ่ง ด้วยการคิด ด้วยการนึก เวลาบวชมีน้อย ไม่ได้บวชตลอดไป บวชแค่เดือนเดียว รีบแก้ไข รีบดัดแปลงนิสัยเสีย ให้มันทันกับเวลาสึก ไปเล่าไปเรียนอีก จะได้ดีกว่าเก่า ดีกว่าเดิม เวลามันน้อย มันจึงแพงมาก อย่ามัวเล่น อย่ามัวเหลว อย่ามัวเหลาะแหละอะไรอยู่ พยายามจริง บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง อะไรจริง ให้จริงจนถึงวินาทีสุดท้ายก็จะลาสิกขา ถ้าไม่ลาก็ยิ่งดี นี่ที่เรียกว่าพระอยู่ที่จริง งามอยู่ที่ซากผี ดีอยู่ที่สละ พระอยู่ที่จริง นิพพานอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย ข้อนี้มันลึก หมายความว่า อย่ายึดมั่นตัวกู ของกู อย่ามีความคิดเป็นตัวกู ของกู ให้ตัวกูของกูมันตายเสีย ร่างกายยังอยู่ ในใจไม่มีตัวกู ไม่มีของกู นี่เขาเรียกว่าตัวกูมันตายเสียก่อนร่างกายตาย มันมีความสะอาด สว่าง สงบ มีตัวกูของกูมันสกปรก มืดมัว เร่าร้อน ตัวกูของกูมันคือกิเลส กิเลสเห็นแก่ตัวกู กิเลสเห็นแก่ของกู ยึดมั่น ถือมั่น เห็นแก่ตัวกู ก็เกิดความโลภ ความโกธ ความหลง ทำผิดทำชั่ว ไปอบาย ที่นี้ให้เราฆ่าตัวกูเสีย ร่างกายยังไม่ตาย มันมีร่างกาย จิตใจที่บริสุทธิ์ สะอาด ไปนิพพาน เพราะฉะนั้นนิพพานอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย
ปู่ย่าตายายของคนในเมืองทำพรื่อพูด ไม่ใช่ชาวบางกอกพูด ฉะนั้นลูกหลานของชาวเมืองทำพรื่ออย่าโง่นัก คือพวกเธอทุกคนเป็นลูกหลานของคนเมืองทำพรื่อ อย่าโง่นัก ปู่ย่าตายายพูดไว้ดี ฉลาดที่สุด ที่เอามาพูดให้ฟังนี้ งามที่ผี ดีที่ละ พระที่จริง นิพพานอยู่ที่ตายเสียก่อนตายนี้ คำพูดฉลาดที่สุด ประเสริฐที่สุด ฉลาดเหมือนพระพุทธเจ้าพูด ว่านิพพานนี้ละตัวตนเสีย ชาวเมืองทำพรื่อ ที่พวกบางกอกดูถูกนัก พูดสิ่งที่ชาวบางกอกพูดไม่เป็น แค่กล่อมลูกให้นอน ก็ยังกล่อมลูกถึงเรื่องนิพพาน “มะพร้าวนาฬิเก เดี๋ยวไปดูที่สระโน่น กล่อมลูกให้นอน มะพร้าวนาฬิเกร์ ต้นเดียวโนเน กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง กลางทะเลขี้ผึ้ง ต้นเดียวเปลี่ยวลิงโลดเอย” เขาหมายถึงนิพพาน ชาวบางกอกทำไม่เป็น จนตอนนี้ก็ทำไม่เป็น แล้วชาวบางกอกกล่อมลูกให้นอนไม่ได้เรื่องทั้งนั้น สู้ชาวเมืองทำพรื่อไม่ได้ ตั้งแต่หลังสวน ไชยา บ้านดอน นครฯ พัทลุง สงขลา กล่อมลูกมีเรื่องมีราวเป็นสาระ ไม่รู้อะไร ชาวบางกอกกล่อมลูกให้นอน พูดเก้ๆกังๆไม่รู้อะไร เราพยายามฟังตั้งนาน ก็ไม่รู้อะไร ชาวบางกอกมันยังดูถูกพวกเราว่าเมืองทำพรื่อ คนเมืองทำพรื่อ กล่อมลูกมันยังกล่อมดีกว่า เธอรู้บางเถอะ อย่านั่งโง่ไป เราพูดเรื่องนี้ เธอไม่เคยฟังหรือ เข้าไปดูที่สระ มีสระใหญ่ มีต้นมะพร้าวอยู่กลาง เราอุตส่าห์ทำลงทุน ช่วยรักษาความฉลาดของปู่ย่า ตายาย เมืองทำพรื่อไว้ เดี๋ยวไปดูเสียด้วย
คราวนี้พูดถึงหลักฐานโบราณอีก พระธาตุเมืองไชยา พระธาตุเมืองนครฯ มีตั้ง ๑๒oo ปีกว่า มาแล้ว คนเมืองทำพรื่อนี่ฉลาดมาตั้ง ๑๒oo ปีกว่ามาแล้ว ชาวบางกอกยังไม่ผุดไม่เกิด ไม่รู้จักผุดจักเกิดเลย บางกอกอยู่ใต้ทะเลโน่น ทะเลขึ้นไปถึงนครสวรรค์โน่น ถึงปากนำโพโน่น ชาวบางกอกยังไม่ผุดไม่เกิด แผ่นดินยังอยู่ใต้ทะเลโน่น มันเพิ่งเกิด ๒-๓ วัน มันว่าเราเมืองทำพรื่อ เอากับมันสิ งั้นเธอมานะให้มากซักนิดนะ มานะแบบนี้ดีนะ พระพุทธเจ้าว่าธรรมะสอนให้มานะชนิดนี้ คือมานะอย่าให้เลวกว่าเขา ที่ว่าให้ละตัณหาด้วยตัณหา ละมานะด้วยมานะ มานะที่ละได้เป็นอรหันต์ เราต้องละด้วยมานะ เรามานะว่า เมื่อคนอื่นเป็นพระอรหันต์ได้ เราก็เป็นพระอรหันต์ให้ได้เหมือนกัน มานะชนิดนี้ดีมีประโยชน์ เรามานะว่าจะเปลื้องข้อดูถูกดูหมิ่น อย่าให้ชาวบางกอกมาเรียกเราว่าพวกเมืองทำพรื่ออีกต่อไป มาช่วยกันสร้าง ช่วยกันทำ เราทำสวนโมกข์นี่เรามาน่ะคนบางกอก ทำสวนโมกข์ให้ชาวบางกอกมันดูว่าชาวเมืองทำพรื่อมันทำอะไรได้บ้าง ชาวบางกอกก็ไม่วายก็ต้องมาดูสวนโมกข์ กล้าอวด กล้าคุย นี่มันอยากว่าเราเมืองทำพรื่อทำไม เราก็โกรธขึ้นมาบ้างสิ คราวนี้พวกเธอก็เหมือนกัน ที่ว่าเมืองทำพรื่อ พยายามเรียน แสดงฝีไม้ลายมือของเมืองทำพรื่อ อย่าเหลวไหล อย่ามัวแต่สูบบุหรี่ อย่ามัวแต่นอน อย่ามัวแต่เหลาะแหละ ได้ยินบางคนเขาเกณฑ์ให้บวชเพราะว่าเหลวไหล มันเหลวไหลนักจับให้มาบวช รีบละความเหลวไหลเสียเถอะ จะได้แก้ข้อบกพร่องนี้ได้ ละความเหลวไหลเสียก็เป็นคนดี แล้วก็เล่าเรียนให้ดี อย่าให้เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา
ขอพูดเรื่องการเป็นสามเณรไว้สักนิดก่อน สามเณรคือเป็นเด็ก ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ เป็นเด็กก็ต้องเป็นเด็กที่ดี เป็นเณรก็เป็นเณรที่ดี เป็นพระก็เป็นพระที่ดี ขอให้ทุกๆคนนี้เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบา-อาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า ให้มันได้สัก ๕ ดีอย่างน้อย เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ไม่ใช่เกิดจากโพรงไม้ มีพ่อแม่ ต้องเป็นบุตรที่ดีของพ่อแม่ เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะทำให้เราฉลาด เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน อย่าชกอย่าต่อยกัน แม้แต่อย่าหยิกอย่าข่วนกัน ได้ยินว่าเป็นเณร แล้วยังมีหยิกมีข่วน มีต่อยใช้ศอกกระแทกกัน นั่นมันไม่ใช่เพื่อนที่ดีของเพื่อน คราวนี้ก็จะได้เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า ได้สัก ๕ ดี นี่ก็พอแล้ว ถ้าเอาดีเดียวก็เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ถ้าเธอเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์อย่างเดียวพอ เพราะครูย่อมสอนให้เป็นคนดี ดีตลอดไป ก็ไปเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ เป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า เราเชื่อฟังครูบาอาจารย์อย่างเดียว เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์อย่างเดียวรอดตัว นี่จะเป็นอันธพาล เป็นจิ๊กโก๋ จิ๊กกี๋ ไม่เชื่อครู เห็นว่าครูนี่มันลูกจ้างโว้ย รับจ้างสอนหนังสือโว้ย ไม่เคารพมันโว้ย นี่มันเป็นอันธพาล แล้วตัวเองนั่นแหละเสียหาย ไม่ใช่ครูเสียหาย เมื่อเราเป็นอันธพาล ดูถูกครู ไม่เคารพครู เราเองเสียหาย ไม่ใช่ครูเสียหาย มันเรียนอะไรไม่รู้อยู่อย่างนั้น หัวใจมันไม่เรียน เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ อย่าคิดว่าครูบาอาจารย์เป็นลูกจ้างสอนหนังสือ ให้ถือว่าครูบา-อาจารย์เป็นผู้ชักจูงไปในทางสูงในทางจิตในทางวิญญาณ ถึงมันมีครูเลวๆบางคนก็มันบางคนเท่านั้นแหละ ขึ้นชื่อว่าครูต้องดี ครูส่วนใหญ่ทั่วไปเป็นครูจริงๆก็ดีแหละ ถ้าเลวก็ไม่ใช่ครู เข้าใจครูบางคนมันเลวก็อย่าเอามาเป็นตัวอย่าง อย่าไปดูถูก ครูทั้งหมดส่วนใหญ่มันก็ยังดี ทำหน้าที่ของครูอยู่ ต้องเชื่อฟัง นั่นแหละ บรรดาบุตรทั้งหมด บุตรที่เชื่อฟังเป็นบุตรที่ดีที่สุด พระพุทธเจ้าว่า ไม่ใช่เราว่า มันอยู่ที่ความเชื่อฟัง ถ้าเชื่อฟังมันทำชั่วไม่ได้ มันไม่มีโอกาสจะทำชั่ว มันทำแต่ดีๆ มันไม่มีทางจะทำชั่ว ถ้ามันเชื่อฟังอย่างเดียว นี่เรามันยังเป็นเด็ก มันก็ต้องมีหน้าที่เชื่อฟังจนกว่าเราจะเป็นผู้ใหญ่เอง เป็นเด็กนี่เขาเรียกว่าพรหมจารีย์ แปลว่าประพฤติให้ดีที่สุด อุตส่าห์เล่าเรียนให้ดี อุตส่าห์ระมัดระวัง สำรวม ตั้งอกตั้งใจ บังคับตัวเองให้ดี สำรวมระวังให้ดี เคร่งครัดในระเบียบวินัย ทำแบบนี้เขาเรียกว่าพรหมจารีย์ จนกว่าจะไปเป็นคฤหัสถ์ คือไปมีเหย้ามีเรือน เขาเรียกว่าเป็นคฤหัสถ์ ถ้ายังไม่เป็นคฤหัสถ์ ไม่มีเหย้ามีเรือนนี่เขาเรียกเป็นพรหมจารีย์ พรหมจารีย์แปลว่าผู้ประพฤติดีที่สุด เรียนดี บังคับตัวเองดี ละเว้นความชั่ว อย่างเคร่งครัด ทำแต่ความดีอย่างเคร่งครัดนี่เขาเรียกว่าพรหมจารีย์ ประพฤติประเสริฐที่สุด พวกเธอเป็นลูกหลานของปู่ย่าตายายเมืองทำพรื่อ ได้รับพุทธศาสนามาแล้วตั้งแต่สมัยศรีวิชัย ๑๒oo ปีกว่ามาแล้ว อย่าให้เสียชื่อของปู่ย่าตายายเหล่านั้น อย่าให้เสียชื่อตัวเอง จงพยายามประพฤติให้ถูกต้องว่าเป็นพรหมจารีย์ ก็เป็นพรหมจารีย์ตั้งแต่เกิดมาจนกว่าจะแต่งงาน นี่เขาเรียกว่าเป็นพรหมจารีย์ ประพฤติให้สะอาด ให้น่าดู ให้น่านับถือเรื่อยไป อย่าให้ใครมาประณามได้ว่าไอ้นี่มันเกเร ไอ้นี่มันเณรเกด(นาทีที่ 27.47) ไอ้นี่มันบวชเณรเพราะเขาบังคับให้มันบวชเพราะมันเกเร เปลื้องตัวเองออกมาเสียให้พ้น อย่าให้มันอยู่ในกรอบ ให้เขาว่าได้อย่างนี้ ถึงเคยเกเรมา ละเสียก็แล้วกัน มันหมด อย่าไปนึกถึงมันเลย เคยเกเรมาแต่ก่อนอย่านึกถึงเลย ต่อไปอย่าเกเร ทุกคนแหละ ก็ต้องเคยเกเร ไม่มากก็น้อย เกเรมากมันไม่ไหว เกเรแล้วยังไม่ละ อย่างนี้ยิ่งไม่ไหวเข้าไปอีก ถ้าเกเรแล้วละเสียใช้ได้ กลายเป็นคนดีได้ ขอให้ถือว่าที่แล้วมาไม่ต้องพูด บัดนี้เป็นจุดตั้งต้น ที่แล้วข้างหลังลบหมดเหลือศูนย์ บวกหรือลบไม่มี ตั้งต้นศูนย์ใหม่ คราวนี้ให้มีแต่บวกจะดีขึ้นเรื่อย ดีขึ้นเรื่อย ดีขึ้นเรื่อย นับตั้งแต่บวชแล้วคราวนี้ วันนี้ เราจะเหมือนเกิดใหม่ ไอ้บวกไอ้ลบไอ้ผิดๆถูกๆดีๆชั่วๆมาแต่หนหลัง ลบทิ้งหมดเลย ให้เหลือศูนย์ เหมือนกับเราเรียนเลข คราวนี้ต่อไปนี้ให้มีแต่บวกๆๆๆๆๆ บวกขึ้นไปเรื่อย คือมีแต่ดีอย่างเดียว นี่เขาเรียกว่าเกิดใหม่ เป็นคนดี แล้วมันก็รอดตัวแน่ การบวชนี้ได้อานิสงส์แน่ บวชให้เราเป็นคนดี บวชแทนคุณพ่อแม่ บวชสืบอายุศาสนา ไม่เป็นเณรสุข เณรสัก เณรลักสาร เณรกินข้าวค่ำ เณรรำควาย (นาทีที่ 29.19) ก็ยังพูดอีกครั้งว่า บวชหลี่ บวชลอง บวชครองเวณี บวชหนีทหาร บวชผลาญข้าวสุก บวชหนุกตามเพื่อน ในพวกเราที่นั่งตรงนี้ ใครบวชแบบไหนวะ บวชหลี่ บวชลอง บวชครองเวณี บวชหนีทหาร บวชผลาญข้าวสุก บวชหนุกตามเพื่อน บวชหลี่ คือมันหนี หนีอันตรายมา มาบวช หรือมันไม่มีอะไรจะกินที่บ้านมัน มันหนีมาบวชวัด นี่เขาเรียกว่าบวชลี้ บวชหนีมา บวชลอง คือลองบวชดู ลองบวชดู เพื่อที่มันจะดี บวชครองเวณี คือบวชตามธรรมเนียม ครบบวชแล้วก็บวชตามธรรมเนียมบวชหน้าไฟ นี่คือบวชตามธรรมเนียม บวชหนีทหาร เขาจะเกณฑ์ทหารเธอหนีมาบวชเสีย บวชผลาญข้าวสุก พวกกินอย่างเดียว เล่นอย่างเดียว เสียข้าวสุกเปล่าๆ เสียข้าวสุกของชาวบ้านที่บิณฑบาตรเปล่าๆ พวกนี้เรียกบวชผลาญข้าวสุก บวชหนุกตามเพื่อน เห็นเพื่อนบวชก็บวชตาม นี่คือบวชหนุกตามเพื่อน ใน ๕ อย่างนี้เราบวชแบบไหนกันบ้างล่ะ ที่นั่งอยู่ตรงนี้กันทุกคน ที่บวชเข้ามาแล้วเป็น บวชลี้ บวชลอง บวชครองเวณี บวชหนีทหาร บวชผลาญข้าวสุก บวชหนุกตามเพื่อน อยู่บ้าง ถ้ามีไม่ได้โว้ย ต้องยกเลิก อย่าให้มีเป็นอันขาด ใน ๕ อย่างนี้ ให้เรามันบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สืบๆไปจริง บวชให้เป็นคนดี บวชแทนคุณพ่อแม่ บวชสืบอายุศาสนา จำได้ไหม ท่องไว้ บวชหลี่ บวชลอง บวชครองเวณี บวชหนีทหาร บวชผลาญข้าวสุก บวชหนุกตามเพื่อน ท่องเข้าเถอะ บวชหลี่ บวชลอง บวชครองเวณี บวชหนีทหาร บวชผลาญข้าวสุก บวชหนุกตามเพื่อน ท่องจำไว้ติดไปด้วย จะได้ป้องกัน อย่าให้มันเป็นนะ เณรสุข เณรสัก เณรลักสาร เณรกินข้าวค่ำ เณรรำควาย (นาทีที่ 31.29) ท่องไว้ อย่าให้มันมีเป็นอันขาดเลยทีเดียว แล้วมันรอดตัวแน่ ให้เหลือเป็นพระเณรที่แท้จริง ดีที่ละ พระที่จริง แล้วก็บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง เราก็ได้ พ่อแม่ก็ได้ เพื่อนมนุษย์ก็ได้ ศาสนาก็ได้ เรามันบวชให้ศาสนารุ่งเรือง นี่แหละสามเณรไม่ใช่เล่น นี่แหละได้ประโยชน์ได้อานิสงส์ส่วนธรรมะ ส่วนชาตินิยมนั้นเราชักชวนไปตามเรื่องให้เธอมานะสักนิด ไม่ให้เขาดูถูกว่าเมืองทำพรื่อ แก้ตัวให้มันรอด ให้มันหลุดพ้น ไอ้เมืองทำพรื่อมันไม่โง่หรอก มันถามอยู่เรื่อยว่าทำพรื่อ ทำพรื่อ ทำพรื่อ มันจะโง่ได้หรือ ทำพรื่อก็คือทำผรือ ทำอย่างไร ถ้าใครคอยถามว่าทำอย่างไร ทำอย่างไร ทำอย่างไร คนนั้นมันจะโง่ได้หรือ มันอยากรู้ มันถามเรื่อยไป เพราะฉะนั้นคนเมืองทำพรื่อไม่โง่ ชาวบางกอกมันไม่รู้เรื่อง มันเรียกไอ้พวกเราว่าเมืองทำพรื่อ คล้ายๆป่าเถื่อน คนป่า คนยาง คนโย แต่คนทำพรื่อมันถามคนอื่นอยู่เรื่อยๆ ทำพรื่อ ทำพรื่อ ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรถูก ทำแล้วทำอย่างไรอีก ถามว่าทำพรื่อ ทำอย่างไร ทำอย่างไร ทำอย่างไรต่อไป เธอพยายามถามครูบาอาจารย์เรื่อยๆ ทำอย่างไรครับ ทำอย่างไรครับ ทำอย่างไรครับ เรื่อยไป แล้วเธอก็จะฉลาด จะเรียกว่าเมืองทำพรื่อก็ไม่เป็นไร ไม่เท่าไหร่ก็จะมีอะไรแสดงให้คนที่ว่าเรานั้นดู คนที่ดูถูกเรา เราจะมีอะไรแสดงให้ดู นี่แหละ บวชทีก็ให้เป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้ เพื่อจะกู้หน้ากู้ตาให้ใครเขาดูถูกเราว่าเมืองทำพรื่อให้ลุล่วงไปเสีย ให้เราเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ เป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า ทั้งๆที่ตัวเป็นเณรนี่แหละ ทำได้ เป็นสามเณรพร้อมจะเป็นสมณะ เป็นสมณะประเสริฐเขาไหว้กันทั้งโลก เทวดาก็ไหว้ มนุษย์ก็ไหว้ ถ้าใครเป็นสมณะแท้จริง มนุษย์ก็ไหว้ เทวดาก็ไหว้ พยายามให้เป็นสมณะที่แท้จริง เวลานี้ก็กำลังเป็นสมณะเตรียมตัว สามเณรนี่แหละ เป็นผู้เตรียมตัวที่จะเป็นสมณะ เตรียมตัวให้ดีๆ สึกไปเรียนหนังสืออีกก็ไม่เป็นไร อย่าให้มันเลวกว่าเดิม อย่ากลับไปสูบบุหรี่ อย่ากลับไปเกเร เหลาะแหละ เป็นอันธพาล พยายามเรียนหนังสืออย่างเดียว ให้มันเหมือนกับบวช ผิดแค่เพียงเราเรียนที่โรงเรียน แล้วว่างๆมีโอกาสบวชอีก ปีหน้าบวชอีก ปีโน่นหน้าโน่นบวชอีก ปิดภาคก็ได้ ปิดภาคก็บวชอีก เปิดภาคเรียนอย่างชาวบ้าน ปิดภาคเรียนอย่างของพระพุทธเจ้า สลับกันไปเรื่อย ไม่กี่ปี ดีแน่ รอดตัวแน่ ที่เราพูดนี้จริงไม่จริงก็เอาไปคิดดูนะ ถ้าเห็นว่ามันจริง มันมีเหตุผล แล้วก็ต้องทำตามนะ ประโยชน์ได้กับเธอ ไม่ใช่ได้กับเรา เราพูดให้เธอได้ประโยชน์ ไม่ใช่เราพูดเอาประโยชน์ เธอต้องเอาไปคิด ไปนึก เห็นด้วยก็ทำตาม ยิ่งตัวเล็กๆแบบนี้แหละดี อาจารย์ตัวใหญ่หัวหงอกแล้วถึงทำดี เขาว่าไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าตัวเล็กๆทำดีเขาว่าดีมาก ตัวเล็กๆทำดีได้มันพิเศษมันน่าอัศจรรย์ ผู้ใหญ่ทำดีได้เท่ากัน มันไม่น่าอัศจรรย์เลย ยิ่งตัวเล็กเท่าไหร่ยิ่งทำดีได้ ยิ่งน่าอัศจรรย์ ได้เปรียบอยู่ที่พวกเธอ อายุยังน้อย ตัวยังเล็ก ทำดีเขาก็อัศจรรย์กันไม่ไหว เด็กๆทำดีมันน่าอัศจรรย์ ผู้ใหญ่ทำดีมันก็ไม่ค่อยน่าอัศจรรย์ ก็เพราะมันโตแล้ว เพราะฉะนั้นต้องพยายามเล่าเรียนให้ดี ปฏิบัติให้จริง เคร่งครัดในระเบียบวินัย อย่าเห็นแก่ความเหลวไหล เขาเรียกว่าเห็นแก่ความสุขสนุกสนาน เอร็ดอร่อย ทางเนื้อทางหนัง แบบนั้นก็ไม่เท่าไหร่ก็ได้เป็นภูติผีปิศาจ เป็นสมุนของภูติผีปิศาจ สมกับที่เขาด่าว่าไอ้เมืองทำพรื่อ ถ้าเธอไปเห็นแก่ปากแก่ท้อง แก่ความเอร็ดอร่อย ทางเนื้อทางหนัง ทางเล่นทางหัว นี่เขาเรียกว่าใจมันทราม เขาด่าว่าไอ้คนทำพรื่อ ก็ถูกแล้วแหละ อย่าไปเห็นแก่ของเอร็ดอร่อย เล็กๆน้อยๆ ทางเนื้อทางหนัง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น อย่าไปสนใจ สมมุติว่าเธอคนหนึ่งไม่ไปดูหนังเลยตลอดชีวิตมันจะบ้าหรือ จะบ้าเชียวหรือ จะตายเชียวหรือ ใครไปคิดดูซิ ถ้าว่าเรานี้ไม่ไปดูหนังตลอดชีวิต ไม่บ้า ไม่เห็นตาย เราไม่เชื่อว่าใครจะตาย หรือจะบ้าเพราะไม่ได้ไปดูหนัง หรือไม่ได้สูบบุหรี่ หรือว่าไม่ได้ไปเที่ยวเกเร ไม่เห็นจะต้องตาย แล้วทีนี้มันจะยิ่งฉลาดขึ้น ไม่ไปเสียเวลา ไปทรมานตัวเอง หรือไม่ไปทำลายตัวเอง ไอ้พวกนั้นเขาเรียกว่าอบายมุข ทำให้ตัวเอง ตกอบาย ดื่มของเมา กินของเมา สูบของเมา นี่แหละอบายมุข ทำให้สติสัมปัชชัญญะฟั่นเฟือน ไม่รู้จักดีจักชั่ว ตกอบาย เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน อะไรก็ตาม มันล้วนแต่เป็นอบายมุข อย่าเห็นแก่การไปเที่ยวสนุกๆ พอค่ำ ไปเที่ยวกุฏิโน้น ไปเที่ยวกุฏินี้ ไปเที่ยวนั่งหัวเราะกัน นี่แหละเที่ยวกลางคืนของพระของเณร ดูการละเล่น หนังมาฉาย ปีนต้นไม้ดูกันแดงพรืดไปเลย หรืออุตส่าห์เอาวิทยุเอาโทรทัศน์มาหลบซ่อนฟังอยู่ในห้องนอน บางทีก็เล่นการพนัน ไม่รู้พนันอะไร ก็พนันไม้ขีดไฟ เหมือนนิสัยการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร นี่เคยมาแล้ว ต้องละ ขี้เกียจ ขี้เกียจทำงาน ขี้เกียจเล่าเรียน นอนดีกว่า ไม่เท่าไหร่มันฟ้องตัวเอง หน้ามันเหลืองขึ้นมาสิ ฟ้องตัวเอง คนไหนขี้เกียจทำการงาน ไม่เท่าไหร่หน้ามันเหลือง ฟ้องตัวเองให้เพื่อนรู้ ไอ้นี่มันขี้เกียจทำการงาน ถ้าทำการงานนี่เหงื่อออกอยู่เสมอ ออกกำลังอยู่เสมอมันไม่หน้าเหลือง มันหน้าแดง เป็นปกติ ทั้งหมดนั้นมันเป็นอบายมุข คือปากทางแห่งอบาย ความตกต่ำ ความเสื่อม เรียนไม่ได้ ทำงานไม่ได้แล้วเดือนร้อน แล้วเป็นทุกข์
นี่แหละอาจารย์ของเธอพาเธอมาหาพวกเรา มาหาเราที่นี่ เราไม่มีอะไรให้นอกจากสิ่งที่เราเห็นว่าดีที่สุด งั้นเธอเชื่อเราเถอะ ว่าใครมาหาเรา เราอยากจะให้แต่สิ่งที่เราเห็นว่าดีที่สุด คนอื่นจะเห็นหรือไม่เห็นก็ไม่รู้ แต่เราเห็นว่าดีที่สุด เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราพูดกับเธอนี้คือสิ่งที่เราเห็นว่าดีที่สุด พยายามเลือก พยายามนั่งนึก นั่งคิด พยายามเลือก ว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่จะให้ลูกเด็กๆมาวันนี้ ก็เลยพูดให้ฟัง ด้วยเจตนาดี เพราะว่าเธอก็มาด้วยเจตนาดี มาเพื่อหวังจะได้รับโอวาทบ้าง เราก็ต้องสนองเจตนาดีด้วยการให้โอวาท แล้วก็เลือกที่ดีที่สุด ที่เห็นว่าดีที่สุด ให้มีมานะทิฏฐิในการที่กระทำดี ให้เปลืองข้อครหานินทาดูถูกดูหมิ่นออกไปเสียจากตัว และให้รู้จักบังคับตัวเอง จำให้แม่นยำคำเดียว ว่าบังคับตัวเองให้ได้ ที่แล้วมามันบังคับตัวเองไม่ได้ มันจึงไปทำสิ่งที่ไม่น่าทำ และไม่ควรทำ ต่อไปเราต้องบังคับตัวเองให้ได้ เช่น ง่วงนอนนี้บังคับให้ได้ ไม่ให้ง่วงนอน ก็นอนหยิกขาเข้า เดี๋ยวมันจะขี้เกียจเรียน เอามาให้มันมาเรียนให้ได้ ยังไม่ถึงเวลานอนก็ไม่นอน บังคับจิต เขาเรียกบังคับตัวเอง บังคับตัวเองคือบังคับจิต อบรมกันให้มากๆ บังคับจิต นั่นแหละบังคับตัวเอง ต้องเอาจริง เพราะจิตมันบังคับยาก บังคับยากเหลือแสน บรรดาสิ่งต่างๆที่พวกเธอบังคับ จิตนี่บังคับยากกว่าสิ่งใดหมด คือบังคับตัวเองนี่บังคับยาก เราต้องเอาจริง ต้องระดมทุ่มเทเอาจริง บังคับให้ได้ อย่าไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอันขาด ทำสิ่งที่ควรทำให้สุดความสามารถ มันจะสมกับบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง ทำประโยชน์ให้ผู้อื่นจริง จำไว้ ๕ จริง แล้วก็เป็นเณรที่ดี เป็นพระที่ดี เป็นนักเรียนที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นลูกที่ดี ยกพ่อแม่จากนรกได้ ฟังแล้วน่าสนใจ ไม่น่าสนใจ ว่าลูกที่ดี ยกพ่อแม่ขึ้นมาจากนรกได้ ลูกที่ไม่ดีจับพ่อแม่ใส่ในนรก เณรนี่แหละ ไม่ต้องเป็นใครหรอก ถ้าเป็นลูกที่ดีก็ยกพ่อแม่ขึ้นมาจากนรกได้ ถ้าเป็นเด็กที่ไม่ดี จับพ่อแม่ใส่ลงไปในนรก ทำให้พ่อแม่ร้อนใจจนผอมตายไปเลย ร้อนใจเมื่อไหร่เป็นนรกเมื่อนั้น เธออธิษฐานใจสักอย่าง อย่าทำให้พ่อแม่ร้อนใจ พ่อแม่มีบุญคุณ เกิดเรามา ให้ชีวิตเรามา ทั้งหมดนั้นพ่อแม่ให้ ชีวิตคือทั้งหมดพ่อแม่ให้ ไม่มีใครให้ เราต้องสนองคุณพ่อแม่ อย่าทำพ่อแม่ร้อนใจ เป็นบุตรที่ยกบิดามารดาขึ้นมาเสียจากนรก คือความร้อนใจ แล้วอื่นๆมันก็ดีหมด เป็นพลเมืองที่ดี เป็นอะไรที่ดีไปหมด เพราะพ่อแม่ไม่ต้องการให้เราทำชั่ว เราไม่ทำชั่ว พ่อแม่ไม่ร้อนใจ พ่อแม่ได้ขึ้นสวรรค์ ได้สบายใจ นึกถึงข้อนี้ก่อน เพราะเราเป็นหนี้บุญคุณของพ่อแม่ เรียนจริง ทำดี ทำที่ควรทำ ให้ก้าวหน้า ให้ดีทั้งทางกาย และทางใจ เมื่อตอนแรกทีเดียวเราก็พูดถึงว่าทางกายและทางใจ เรียนที่โรงเรียนก็เรียนให้ดี ทางกาย มาบวชในศาสนา ถ้าไม่ดีก็ทางใจ พวกเธอมีความดีที่สมบูรณ์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นมนุษย์ที่เต็มเปี่ยม พูดมากก็จะลืม พูดแค่หัวข้อสั้นๆย่อๆ มันจำได้สักนิด ก็จำไปด้วย อย่าให้มันทิ้งไว้ที่นี่ซะหมด มันจะไม่คุ้มค่ารถ ที่อุตส่าห์มา เธอต้องจำที่เราพูด มันถึงจะคุ้มค่ารถที่อุตส่าห์มา
จงนึก จงนึกถึงพระพุทธเจ้า เราบวชอุทิศพระพุทธเจ้า ถ้าใครยังไม่รู้ก็รู้เสียน่ะ ว่าเราจะบวชแบบไหนก็ตามใจ ที่เราบวชนี้ อุทิศให้กับพระพุทธเจ้า เอสาหัง ภันเต สุจิระปะรินิพพุตัมปิ อุทิศให้กับพระพุทธเจ้า เราต้องพูดจริง อย่าพูดแต่ปาก อย่าหน้าไหว้หลังหลอก อย่าหลอกลวงพระพุทธเจ้า ถึงพระพุทธเจ้าปรินิพพานนานแล้ว เป็นทีพึ่ง เป็นสรณะ พร้อมทั้งพระธรรม ทั้งพระสงฆ์ และจะบรรพชา และขอบรรพชา เมื่อเราได้ประกาศไปแล้วในท่ามกลางสงฆ์ ท่ามกลางประชุมใหญ่ ว่าเราจะอุทิศพระพุทธเจ้า ชีวิต เลือดเนื้อร่างกายทั้งหมดนี้ยกให้พระพุทธเจ้า จะทำตามพระพุทธเจ้า เพื่อให้เราพ้นทุกข์ด้วย อย่าลืมในข้อนี้ บวช วันบวช แล้วรักษาไว้เรื่อยไป แล้วก็ปฏิบัติกรรมฐานเห็นงามที่ผีอยู่เรื่อยไป กิเลสก็เกิดไม่ได้ เธอจะมีความเจริญงอกงามในพระศาสนาของสมเด็จพระศาสดาเป็นแน่นอน
อีกข้อที่จะอยากกำชับอีกอย่าง ฟังให้ดีนะ ว่าเด็กๆ อย่างเพิ่งอวดดี เพราะเพิ่งเกิด อายุยังน้อย เห็นโลกนิดเดียว เด็กๆอย่าอวดดี เชื่อผู้ใหญ่ไว้ก่อน จนกว่าจะเป็นผู้ใหญ่เอง แล้วรอดตัว เด็กคนไหนไม่อวดดี เชื่อฟังผู้ใหญ่ คนนั้นรอดตัว และมันไม่ควรจะอวดดีเพราะเพิ่งเกิด เพิ่งเกิด ๒-๓ วันนี้ เห็นโลกน้อย เห็นสิ่งต่างๆน้อย ผู้ใหญ่เขาเกิดนานเห็นสิ่งต่างๆมาก เราก็เชื่อไปก่อน เชื่อครูบาอาจารย์ เชื่อบิดามารดา เชื่อคนที่เขาเกิดก่อนเรานั่นแหละ เขาพูดอะไรให้เรามาคิดดู เห็นจริงด้วยก็เชื่อสิ ถ้าไม่เห็นจริงด้วยก็ยังไม่เชื่อก็ได้ แต่ว่าคำพูดทั้งหมดของผู้ที่เกิดก่อนเรานั้นแสดงความถูกต้อง แสดงความน่าเชื่ออยู่เสมอ เขาพูดไปตามความรู้สึกจริง เขาพูดด้วยความเมตตาปราณี มันยิ่งถูก ยิ่งเข้าใจง่าย ให้ถือว่า บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ทั้งหลายนั้นเขารักเรา เขาเอ็นดูเรา เขาจึงพูดชนิดนั้น มิฉะนั้นเขาจะพูดให้เหนื่อยทำไม เขาพูดเพราะรักเรา เอ็นดูเรา เราสนองตอบ เราฟังด้วยดี ปฏิบัติตามด้วยดี แล้วมันก็เป็นสวัสดีมงคลแก่เรา เรื่องก็จะจบได้นี่แหละ
ขอให้ทุกคนจงอย่าได้ประมาทเลย จงเกลียดความประมาท ความอวดดี ความเย่อหยิ่งจองหอง มานะ ทิฏฐิ อย่าคบมันเอาไว้ แล้วก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตัว เชื่อฟัง ความตั้งใจจริงในการศึกษาเล่าเรียน ประพฤติ ปฏิบัติ และขอให้ทุกๆเณรมีความเจริญงอกงามในพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา สมตามความมุ่งหมายของการบรรพชาในโอกาสนี้ จงทุกๆประการ จงทุกๆคน ทุกๆทิพาราตรีกาลเทอญ