แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา จำไว้นะ ถึงไปอยู่ที่บ้านก็ได้ ถ้าแม่ไม่ให้ไปดูหนัง ความอยากมันแก่เข้ามันถึงน้ำตาไหล ก็นี่เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตาเหมือนกัน เป็นความกตัญญูกับพ่อแม่ ไม่ต้องไป ไม่ต้อง แต่ใจมันยังอยากเรื่อย ทนมันจนน้ำตาไหล ทำอย่างนี้มันเป็นประพฤติพรหมจรรย์เพื่อตัวเองด้วย กตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ด้วย มันได้หลายอย่างนะ เพราะนั้นจำไว้เถอะว่าไอ้ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตานี้ดีมาก วิเศษมาก คนสมัยนี้จำเป็นมาก แต่คนสมัยนี้ก็ยิ่งไม่รู้จัก ยิ่งไม่รู้จักการประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา เพราะนั้นมันจึงทำเลว มันจึงเป็นอันธพาล แม้มันจะเกิดมาในบ้านเรือนในตระกูลที่ดี มีเกียรติยศชื่อเสียง มันยังทำอันธพาลได้ เพราะมันไม่ยอมทนประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา หรือว่าบางทีไม่ได้รับคำสั่งสอนที่ถูกต้องบ้าง ไม่มีใครดูแลในชั้นต้นบ้าง มันเตลิดเปิดเปิงไปเองก็ได้ แต่ว่าพวกเราเดี๋ยวนี้ได้ฟังแล้วใช่ไหม แล้วจะแก้ตัวว่าไม่รู้ไม่ได้นะ เพราะว่าเราได้ฟังแล้ว ว่าเราได้พูดกันแล้วที่นี่ เวลานี้ วันนี้ จำไว้ด้วย มันมีเพียงเท่านี้ มันไม่มีมากกว่านี้ โดยหัวข้อมันมีเท่านี้ แล้วเราก็ได้พูดกันแล้ว เพราะนั้นอย่าแก้ตัวว่าไม่ทราบ มันจะยังเหลืออยู่แต่ว่าไม่บังคับตัวเอง นี้ต้องพยายามบังคับจนน้ำตาไหล ถ้ายังไม่ได้อีกที่นี้ไม่มีใครโทษแล้ว มีคนให้อภัย แต่นี่ไม่ยอมบังคับ พอกิเลสมันเกิดขึ้นมันก็เอาไปเลย แล้วมันก็หนีไปดูหนัง หนีไปเที่ยว หนีไปเล่นไปอะไรหมด จะไปห้ามเข้ามันก็ด่าเขา ไปประชดเขา ไปอะไรเขา ไม่เคารพแม้แต่พ่อแม่ พ่อแม่ก็เหลือๆ เหลือกำลังที่จะบังคับมันก็ต้องปล่อยไปตามเรื่อง มันก็เสียชาติเกิด คำว่าเสียชาติเกิด แปลว่าอะไร (นาทีที่ 02.29น) อื่ม, ไม่ต้องพูด (นาทีที่ 02.33น) อ้าว, นั่นมันไม่เคย ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะมันไม่เคย เพราะมันไม่เคย ไม่มีทางแก้อะไรนอกจากว่าอยู่มันทีนี่ อยู่ตรงที่กลัว กลัวตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น ก็แก้แบบพระพุทธเจ้านะแหละ พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน พอออกบวชมันก็กลัว เรื่องๆ เรื่องพิเศษอย่างนี้ ก็ไปหาอ่านดูจากหนังสือ พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ มันเป็นหนังสือเล่มใหญ่ๆ หนาๆ มันไม่เคยผ่านสายตา แต่เรื่องอย่างนี้มันมีอยู่ในนั้นหมด พระพุทธเจ้าแก้ความกลัวของท่านอย่างไร (นาทีที่ 03.29น) นี่เล่าเรื่องนี้ ท่านก็เป็นคนในบ้านในเมืองเหมือนกันนี่ เกิดในวังในรั้ว ทีนี้พอครั้งแรกมันก็ไปอยู่ในป่ามันก็กลัว ป่ายิ่งเงียบสงัดมันยิ่งน่ากลัว ก็น่าสะพรึงกลัวเพียงแต่เข้าไปก็ขนลุก ท่านก็เข้าไป ถ้ามันกลัวตรงนี้ก็อยู่ตรงนี้ นี่ก็ท่านสอนว่าอย่างนี้ เราทำอย่างนั้น คือว่า มันกลัวตรงไหนก็อยู่มันตรงนั้น ถ้าว่าเมื่อยืนมันกลัว ก็ยืนมันทันทีเลยให้มันกลัว หรือเมื่อนอนมันกลัวก็นอนทันทีให้มันกลัว ไม่กี่เท่าไหร่มันหายหมด ถ้าบางทีนกยูงทำกิ่งไม้แห้งหักลงมาโครมใหญ่มันก็กลัว มันก็ไม่รู้ว่าอะไรมันก็สะดุ้ง ต่อมามันก็รู้ มันก็เห็น มันก็ไม่กลัว อย่างนี้เขาเรียกว่า ความกลัวชั้นต้น ความกลัวชั้นนอกสุด ชั้นต้นมันเป็นความกลัวทางธรรมดาสามัญที่คนเขากลัวกัน ไม่เป็นไรหรอกอยู่กับมันให้ชิน ไม่กี่วันหายเลย ทีนี้ไอ้ความกลัวที่มันเกิน ที่มันไม่ใช่ธรรมดา คือ ความกลัวที่ถูกหลอกให้กลัว นี่ยากขึ้นไปอีก เคย พวกเด็กๆ ที่เขาเคยเล่า เคยพูด เคยอะไรกันโดยเรื่องที่ให้มันกลัวนะ กลัวผี กลัวไรก็ไม่รู้ นี่ๆ ไม่ใช่ความกลัวเดิม ความกลัวอย่างนี้ มันสร้างขึ้นใหม่เพราะการถูกหลอก มัน มันยังละยากกว่า มันเป็นเรื่องอุปปาทานที่มาใหม่ที่มันหนาแน่นขึ้นไปอีก ไอ้ที่เรากลัวมืด กลัวผี กลัวตามธรรมดาซึ่งทุกคนก็ ถ้าไม่เคยชินแล้วก็จะกลัว นั่นมันยังละได้ง่ายกว่า อย่างนี้มันก็เป็นผลของการเจริญทางวัตถุด้วย ถ้าเราเกิดในป่า เกิดอย่างคนป่า เกิดในถ้ำ เกิดในโพรงอย่างนั้นก็ไม่กลัว แต่เดี๋ยวนี้เกิดในโรงพยาบาล เกิดในที่ที่มันมีอะไรแวดล้อม มาเปลี่ยนนิสัยผิดจากธรรมดาไปมาก มันก็กลัวมากกว่าธรรมดา แต่นี่พอโตขึ้นมาแล้วก็ถูกเล่าเรื่องผี ไอ้เล่าเรื่องผีนี่ยังไม่สำคัญเท่าที่ว่าเขากลัวผีให้เราดู (นาทีที่ 06.24น.) มันก็ต้องมีในความหมายหนึ่งแหละ มัน มันพูดยากอย่าเพิ่งพูดดีกว่า มันมีในความหมายหนึ่งซึ่งที่แท้มันก็ไม่ใช่ความจริง แต่ความโง่มันทำให้กลัวผี แต่มันอธิบายกันยืดยาวเพราะนั้นอย่าเพิ่งพูดดีกว่า (นาทีที่ 06.44น.) ก็อ่านสิ อ่านเอาเอง แต่เดี๋ยวนี้เรามัน นั่นมันผีชนิดหนึ่ง นั่นมันผีที่ยากไปกว่านี้ นี่เราพูดถึงผีที่ว่ามันเพิ่งเกิดมีขึ้นมาเมื่อผู้ใหญ่มันทำผิด กลัวผีให้เด็กดู เด็กเลยกลัวผี ร้อยเปอร์เซ็นเลยหรือบางทีก็เล่า เล่านิทานเรื่องผี หนักเข้าๆ มันก็เชื่อ มันก็โง่ไปตาม มันก็กลัวผี นิทานเรื่องผีบางเรื่องเพียงแต่เล่าขนลุกใช่ไหม เพียงแต่เล่า เอามาเล่า ก็ขนลุก นี่มันโง่กันดักดานแล้ว แล้วสถานที่บางแห่งพอจะเดินผ่านมันก็ขนลุกเสียแล้ว ต้นไม้ต้นนั้น จอมปลวกจอมเบี้ย เพียงแต่เดินผ่านค่ำๆ มืดๆ ก็ขนลุก ที่ว่าโดยเฉพาะเดินผ่านป่าช้าคนเดียวมืดๆ นี่มันก็กลัว ขนลุก เพราะมันถูกทำให้เชื่อว่าที่นั่นมันมีผี มันไม่รู้ว่าที่นั่นมันมีแต่กระดูกคน ไอ้ผีนะความโง่ที่มันพาผิดไป กลัวที่นั่น อย่างนี้เขาเรียกว่าผีชั้นที่ ๒ กลัว ก็กลัวกันมาก ละยาก
ที่นี้ไอ้ปราบผี มันผี มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ นั้นคือ ผี เข้าใจผิดเรื่องอะไรนั่นคือ ผีอันหนึ่ง ผีชนิดนี้ทำให้โลกเดือดร้อนมาก ทำให้คนไม่มีความสุข ทำให้คนทำผิด ทำให้คนเป็นอันธพาล นี่ต้องปราบผีชนิดนี้ นี่มันเป็นผีชั้นที่ ๓ ชั้นที่ ๔ พุทธบริษัทต้องไม่กลัวผี ถ้ากลัวผีไม่ใช่พุทธบริษัท ไปบอกเขาแล้วกัน ถ้าเรียกตัวเองว่าพุทธบริษัทแล้วกลัวผีมันก็ขายขี้หน้า คือ คนโง่ คนไม่รู้ ยังเป็นพุทธบริษัทเพราะจดทะเบียน ขึ้นทะเบียนเป็นพุทธบริษัทแต่ยังเป็นจริงไม่ได้ ยังกลัวผี ยังกลัวโน่น กลัวนี่ ถ้ากลัวกระดูกก็ทำดูอย่างนั้นเราก็มีกระดูก ครบดีกว่าอีกโครงกระดูก ดีกว่าที่เขาแขวนไว้เสียอีก ถ้ากลัววิญญาณ เราก็มีวิญญาณที่ดีกว่านั้นอีก จะกลัวอะไร จะต้องกลัวอะไรกับผี ผีบางทีโครงกระดูกก็ไม่มี เขาเผาไปหมดแล้ว อ้าว, มีวิญญาณ เราก็มีวิญญาณ มันจะเอาวิญญาณไหนมาจากมากไปกว่านี้ พอเอาคนนี้เผาไฟ กระดูกไหม้หมดเหลือแต่วิญญาณ ไอ้เราก็ยังคงมีวิญญาณและก็ดีกว่าด้วย และยังมีเนื้อ หนัง กระดูก มีอะไรอีกนะ เพราะนั้นคนกลัวผีมันก็เหมือนกับคนคิดอะไรไม่เป็น คิดอะไรไม่ถูก แต่ก็ไม่ได้โทษในข้อนี้ โทษเพราะว่าเขาสอนให้กลัวผีโดยไม่มีเหตุผลตั้งแต่เล็กๆ ไอ้เด็กเล็กๆ มันก็จะต้องขู่กันว่าผีหลอก นี่ ผีหลอก ให้มัน อีกคนหนึ่งมันกลัว อา, ถ้าไปทางนั้นผีหลอกตาย อย่างนี้ ไอ้คนนี้มันก็เชื่อที เชื่อที ทุกสิ่งที่มันแวดล้อมมันทำให้คนเรากลัว กลัวผี นี่ถ้าเราเลิกไอ้ระเบียบนี้วัฒนธรรมนี้กันเสีย มันก็ไม่กลัวผี เดี๋ยวนี้สุนัขมันก็ไม่กลัวผี แต่คนมันกลัวผี วัวควายก็ไม่กลัวผี คนมันกลัวผี นกหนูอะไรก็ไม่กลัวผี ที่ดีกว่านั้นก็คือ หนอนมันกินผีหมดเลย มันก็ต้อง มันต้องคิดกันบ้าง มันอยู่ที่ไม่ค่อยคิด พูดอีกทีนะ ขนาดพวกเธอนี่ถ้าเอาเวลามาคิดบ้าง มาฉลาด แต่นี่ไม่คิด ไม่คิด ไม่มีเวลาจะคิด ไม่มีสิ่งแวดล้อมให้คิด ระหว่างบวชนี่ก็คิดเสีย จะได้คิดเป็น ว่าฝึกไปแล้วมันก็จะคิดได้ ได้คิดเป็น เพราะนั้นอย่ามานอนกลัวผีอยู่ เสียเวลา ความกลัวนี่เป็นสิ่งที่เป็นทุกข์เหมือนกัน เป็นนรกชนิดหนึ่งเหมือนกัน จัดไว้ในนรกชนิดหนึ่ง ความทุกข์ที่เกิดมาจากความกลัวนี่เป็นนรกชนิดหนึ่ง มันมาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นี่เหมือนกัน เพราะนั้นเราปิดนรก ใช้คำว่าปิดนรกไปเรื่อยๆ ทีละขุมสองขุม นรกจำนวนเยอะแยะปิดเสียเรื่อยๆ ทีละขุมสองขุม ก็กลางคืนมาออกมานอนที่เฉลียงข้างนอกประตู มันก็จะหายกลัวผี กลัวก็น้อยลง หลายๆ คืนเข้าไม่กลัวเลย พอตายก็ตาย ถ้าผีมาเป็นได้เห็นดีกันแน่ ไอ้เราเคยๆ เคยเอาตัวรอดอย่างนี้ แต่ว่ายังดีกว่านั้นหน่อยหนึ่ง ถ้าเราได้เห็นผีก็ต้องถือว่าเรามีโชคดีที่สุด เพราะว่าคนอื่นไม่ได้เห็นผี เพราะนั้นออกมานั่งมืดๆ คนเดียวกลางคืนตรงนั้น ตรงนี้ เพื่อจะได้เห็นผี เพื่อจะได้มีโชคดีจะได้เห็นผี นี่จะไปเล่าให้เพื่อนฟัง มันก็ไม่เห็นสักที แต่ระวังให้ดีเวลาที่แสงมันกำลังเปลี่ยน ตามันฝ้าเห็นอะไรได้ ก็ต้องระวังว่าแสงกำลังเปลี่ยน เช่น หัวค่ำนี่ยังไม่ค่ำสนิทนี่แสงกำลังเปลี่ยน เห็นๆ ตามันฝ้า เห็นอะไรเป็นรูปเป็นร่างเป็นผีได้ และเมื่อจะหัวรุ่ง มันก็ยังจะเปลี่ยน หรือว่าเราจะเปลี่ยนจากแสงสว่างมากๆ ไปสู่ความมืด อย่างนี้มันก็เปลี่ยน ตอนนี้มันก็จะเห็นไอ้ภาพหลอน ภาพอะไรซึ่งไม่ใช่ผีหลอน มันเส้นประสาทมันตามไม่ทัน ผีหลอกตอนหัวค่ำมากที่สุด ไปถามพวกนักเลงผีถูกผีหลอกดู ต้องเมื่ออะไร มันกำลังไม่ ไม่เข้ารูป เรื่องนี้มันมีอยู่ในพระคัมภีร์ พระภิกษุที่จะไปทำกรรมฐานประเภทที่ไปอยู่กับศพ ไปนั่งดูศพในป่าช้ากลางคืน หรือจะไปอยู่ในป่าช้า หรือจะถือธุดงค์ในป่าช้าก็ตาม ก็ต้องไปตั้งแต่กลางวัน คือว่าไปตั้งแต่สว่างๆ อย่างนี้แล้วไปนั่ง ไปนั่งดูด้วยความตั้งใจอย่างยิ่ง ดูวิวทิวทัศน์บริเวณนั้น นั่นเป็นต้นไม้ นั่นเป็นจอมปลวก นั่นเป็นก้อนหิน นั่นเป็น นั่นเป็น นั่นเป็น นั่นเป็นนั้น เดี๋ยวดูให้ทั่วจนกว่ามันจะมืดลง มืดลง มืดลง พอมันมืดสนิทมันก็ยังเห็นดีอยู่ว่าตรงนั้นมันเป็นนั่น เป็นนั่น มันไม่เกิดไอ้ภาพที่เลือนหลอนขึ้นมาเป็นจอมปลวกกลายเป็นคนขึ้นมา อะไรทำนองนี้
เรื่องนี้มันเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว แต่ถ้าไม่รู้มันก็เป็นเรื่องใหญ่โต แต่ถึงอย่างไรก็ตามต้องรู้ไว้ว่า ไอ้ความกลัวนี้ยังจะต้องมี มันจะไปหมดสิ้นต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์ จะหมดเลยหมดสิ้นต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์ เพราะนั้นตอนนี้มันก็ต้องมีไปบ้าง เหลืออยู่บ้าง เหลืออยู่ เหลือน้อยลง น้อยลง แต่ที่กลัวเพียงความมืด กลัวอะไรธรรมดานี่ควรจะหมด ควรจะหมดไปก่อน แล้วก็หมดผีชนิดที่ถูกเขาสอนให้กลัว ทีนี่ก็เหลือแต่กลัวจริงๆ ด้วยความยึดมั่นถือมั่นเกี่ยวกับชีวิตที่มันจะต้องมีความกลัวตายนั่นแหละ เพราะนั้นถ้าอะไรเป็นนิมิตแห่งความตายมันก็ต้องกลัวแหละ เช่น เสือ ช้าง หรืออะไร หรือว่า งู อย่างนี้ หรือว่าเราเดินไปเรารู้สึกว่าเหยียบงูนี้เราก็ต้องกลัว เพราะมันยังกลัวตาย ไม่ใช่กลัวงู นี่ก็ยังจะเหลืออยู่ เหลืออยู่ เป็นพวกสุดท้าย เพราะนั้นเรียกว่ามันไม่ใช่กลัวผีแล้ว มันกลัวสิ่งที่เป็นเหตุผลจริงๆ ว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของความตายแล้วมันกลัว มันกลัวถูกยิง กลัวถูกฆ่า กลัวอะไรอย่างนั้นอยู่ เมื่อมีเหตุผลมันก็ต้องกลัว จนกว่ามันจะหมดกิเลสนี่ มันก็ไม่กลัว หรือว่าถ้ามันมีอะไรบ้าบิ่นขึ้นมารับแทนกันเพียงพอมันก็ไม่กลัวเหมือนกัน เช่น โมโห โมโหสุดขีดนี่มันก็ไม่กลัว ไม่กลัวผี ไม่กลัวอะไรเหมือนกัน หรือว่าความรักสุดขีด ไม่กลัว หนุ่มสาวนัดพบกันในป่าช้าเพราะสะดวก ก็ไม่มีใครไป ไปดู ไปเห็น เพราะความรักสุดขีดมันทำให้กล้าไปพบกันในป่าช้า อย่างนี้ไม่ได้เรียกว่าเขาละความกลัวได้ เขาเอาอะไรบางอย่างมาทับถมความกลัวไว้ ความกลัวยังมีอยู่แต่ว่าถูกกลบไว้ด้วยอำนาจความรู้สึกอย่างอื่น ถ้าเป็นพระอรหันต์จริงไม่มีกิเลสที่จะมีเหตุให้ ให้โลภ ให้โกรธ ให้หลง หรือว่าจะให้คิดว่ามันมีตัวเรา อย่ากลัว อย่างง่ายๆ อย่างเด็กๆ นี่อย่าไปกลัวมัน ต้องคอยละมันไป ละมันไป แล้วก็ตั้งหลักขึ้นมาสักข้อหนึ่งว่าจะกลัวมันทำไม มันไม่มีประโยชน์อะไร พอกลัวแล้วมันทำผิดง่าย เหมือนอย่างว่าเรากลัวสุนัขอย่างนี่ มันก็สู้สุนัขไม่ได้ นี่หมามันจะกัดถ้าเราไปกลัวมัน เดี๋ยวมันก็จะกัดจริงๆ เพราะความกลัวทำให้เสียหลัก เสียความคิด เสียอะไรต่างๆ เพราะนั้นไม่ต้องกลัว เข้ามาก็เตะมันหรือถ้าจะวิ่งก็วิ่งชนิดที่ไม่กลัว ถ้าวิ่งไปกลัวไปเดี๋ยวมันหกล้ม เดี๋ยวมันก็ให้หมากัดอยู่ดี เพราะนั้นกล้าคิดถึงว่าแม้ต้องไปพบเสือก็ไม่ต้องกลัว นี่ไม่ใช่ว่าพูดธรรมะ พูดหลักธรรมะ พูดลอจิก พูดอะไร เพราะมันเป็น ไปพบเสือจะกลัวทำไม ถ้ากลัวจะได้ประโยชน์อะไร ก็เลยมีหลักว่า จะมีสติสัมปชัญญะที่จะไม่กลัวไว้ก่อน จะวิ่งก็วิ่งโดยไม่ต้องกลัว จะขึ้นต้นไม้ก็ขึ้นไม่ต้องกลัว ถ้ามันวิ่งก็ไม่ได้ ขึ้นต้นไม้ก็ไม่ได้ ถ้าว่าต้องต่อยกับเสือก็ไม่ต้องกลัว ตายก็ไม่ต้องกลัว ตายไปเลย ถ้าเห็นว่ามันไม่มีทางจะวิ่ง เราไปกลัวเข้ามันก็มีความทุกข์ เพราะคนมีความทุกข์เพราะความกลัวนี่มากในโลกนี้ มันมีเรื่องให้คิดเอาเองสำหรับกลัวมากนัก เมื่อคราวสงคราม ถ้าเห็นไอ้ภาพความกลัวนี่แหม มันน่าทุเรศ น่าเศร้า น่าขบขันก็น่าขบขัน แต่ที่สุดมันน่าเศร้า กลัวเขาก็เที่ยวย้ายไปย้ายมากันเรื่อย เดี๋ยวย้ายไปอยู่ตรงนั้น เดี๋ยวย้ายไปอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวขึ้นไปในจากหลุม เดี๋ยวลงไปในหลุม เดี๋ยวหอบไปบ้านโน้น เดี๋ยวหอบไปบ้านนี้ ด้วยความกลัวนะ ที่จริงไม่ถูกนะ ที่เขาทำไม่ถูกนะ อุ้มลูกจูงหลาน เดี๋ยวไปทางหมู่บ้านโน้น เดี๋ยวมาทางหมู่บ้านนี้ ที่แถวนี้ก็มี มันเพียงแต่ว่าเรือบินมันมาบิน ยิงกราดไอ้รถไฟของพวกญี่ปุ่นที่มันแล่นอยู่บนรางรถไฟ ชาวบ้านนี้กลัวไม่รู้ว่ากี่ร้อยเท่า พันเท่า หมื่นเท่า ที่มันไม่ต้องกลัว มันเดือดร้อนกันมาก เพราะว่าเรา เรากลัวตลอดเวลา เมื่อเรือบินมาสักทีหนึ่ง ก็บางทีก็ไม่ได้ทำอะไร ในหลายๆ ร้อย หลายๆ พันชั่วโมง เรากลัวตลอดเวลา แต่เรือบินมาสักนาทีเดียว นี่มันความ มีกิเลส มีอาสวะ มีอวิชชา อย่างนี้มันละไม่ได้หรอกด้วย ด้วยไอ้วิธีอย่างที่ว่ามา มันจะละได้บ้างเหมือนกันแต่มันละได้ไม่หมด คือถ้ากลัว อ้าว, ยอมกับมัน เข้าไปหามัน เอาให้มันหายกลัว มันก็ได้บ้างเหมือนกัน แต่มันไม่หมด ไม่เหมือนกับเรื่องที่ว่าเรากลัวมืดแล้วไปอยู่ในที่มืดจนหายกลัว นี่มันหมด แต่ถ้าว่าเรากลัวภัยสงคราม กลัวอะไรนี่ ถ้าเราเข้าไปมันก็ช่วยบรรเทาได้บ้างแต่มันไม่หมด ส่วนลึกมันยังอยู่ว่าไม่อยากตาย ไม่อยากอะไร เว้นไว้แต่ว่าจะไปทำให้เห็นแจ้งในข้อที่ไม่มีเรา ไม่มีตัวตน บุคคลอะไรนี่ ไม่มีความตาย ไม่มีความเกิด นี่มันถึงจะหายกลัว พวกนี้ยังไกลอีกมากต้องเรียนกันอีกมาก ต้องพิจารณากันอีกมาก แล้วประพฤติพรหมจรรย์ไปได้ถึงนั้นมันก็หมด หมด จบพรหมจรรย์ หมด โลภะ โทสะ โมหะ หมดจากความกลัวทุกอย่าง เดี๋ยวนี้กำลังตั้งต้น ตั้งต้น บวชนี่มันก็เป็นเรื่องตั้งต้นให้รู้จักหนทาง ที่จะเดินไปตามหนทางเรื่อยๆ ไป ถ้าบวชแล้วได้ความรู้ข้อนี้ มีความสว่างใน ในเรื่องนี้ก็นับว่าใช้ได้ ไม่เสียทีบวช ก็จะเป็นการบวชถูกต้องตรงไปตามเรื่องตามแนวของพระพุทธเจ้า (นาทีที่ 23.07น.) และที่ๆ ที่คิดบวชโดยคิดว่ามันจะต้องมีประโยชน์บ้างนี่ก็ถูกแล้ว นี่ก็บวชแล้ว ก็พยายามทำ ๒ อย่าง เพื่อศึกษาหาความรู้ด้วยการฟังอันนี้อย่างหนึ่ง แต่ก็ไม่ดีเท่าอย่างที่ ๒ คือ เป็นอยู่ อย่างที่มันเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ เป็นอยู่ให้เหมือนพระพุทธเจ้าเข้าไว้ ที่เราเรียกว่า กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู นั่นแหละไว้ จะเหมือนพระพุทธเจ้า ถ้าตีความหมายถูกต้องมันก็จะ มันมีการประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในการเป็นอยู่ตลอดเวลา ไอ้เรื่องไหว้พระสวดมนต์ เรื่องอะไรต่างๆ มันก็รวมอยู่ในข้อนี้อยู่แล้ว คือบังคับตัวเองอยู่ตลอดเวลา อย่าให้นอนสาย ไหว้พระสวดมนต์ ให้มาระลึกถึงคำสอนที่พระพุทธเจ้าได้สอนว่าอย่างไร ที่เอามาสวดนี่ว่าอย่างไร ผลสุดท้ายมันก็กลายเป็นเรื่องเดียวกัน อย่างนี้ก็เรื่องว่าบวชจริง ถึงไม่มีอะไรที่แสดงให้ใครเห็นมากมายกว่านี้ มันก็เป็นการบวชจริงที่สุดเลย บวชถูกต้องตรงตามที่เป็นการบวช บวชจริง ได้อานิสงส์คือ ว่าเราเปลี่ยนแปลงอย่างน่าดู ตัวเราเองมีความเปลี่ยนแปลงอย่างน่าดู พ่อแม่ก็พลอยได้รับประโยชน์ ทั้งพ่อแม่ที่ตายแล้วและพ่อแม่ที่ยังอยู่ คือพ่อแม่ก็จะแน่ใจใน ในศาสนา ในพระธรรม ในอะไรยิ่งขึ้นสำหรับพ่อแม่ที่ยังเป็นอยู่ สำหรับพ่อแม่ที่ตายแล้ว ก็พูดถึงว่ามันไม่มีอะไรดีกว่าที่ทำอย่างนี้ เราทำอย่างนี้เราอุทิศส่วนกุศลให้ ถ้ามันจริงเหมือนเขาว่า คือพ่อแม่รู้และได้รับมันก็ดีที่สุด ถึงแม้ไม่จริงอย่างเขาว่ามันก็เป็นการที่เราได้ทำดีที่สุดแล้วสำหรับพ่อแม่ที่ตายไปแล้ว อย่างนี้ช่วยกันทำมนุษย์ให้มีศาสนา ทุกคนบวชก็เพื่อให้ดีช่วยกันทำโลกนี้ให้มีศาสนา นี่คือบุญที่มันดีจนพูดไม่ไหว มันดี โต ใหญ่มาก จนพูดไม่ไหว คือไม่ใช่ดีคนเดียว ดีทั้งโลก เป็นบุญแก่คนทั้งโลก เพราะนั้นตั้งใจ ตั้งใจให้มันเป็นบวชจริง และก็ได้รับประโยชน์อานิสงส์ทั้ง ๓ ฝ่าย
มาสรุปความให้ท่านวันนี้มันมีอยู่ว่า มาอยู่ที่นี่ต้องให้ได้ไอ้สิ่งที่มันหาไม่ได้จากที่กรุงเทพ คือความเป็นอยู่กับธรรมชาติก่อน แล้วมันก็ได้สิ่งที่พลอยได้คือ ได้ยิน ได้ฟัง คำบรรยาย นี่เป็นเรื่องของพลอยได้เท่านั้นเอง เพราะว่าเราอ่านที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ เพราะนั้นมาอยู่ให้ธรรมชาติเข้าแวดล้อมให้จิตใจมันคล้ายจิตใจของพระพุทธเจ้านะดี แล้วเราก็พยายามผสมโรง ผสมรอยกับธรรมชาติด้วย อย่าไปต่อต้านมัน ยินดีที่จะอยู่ง่ายๆ ง่ายๆ ง่ายๆ เพราะนั้นบวชอยู่เพียงเดือนเดียว เพียงครึ่งเดือนมันก็ได้อะไรในทางจิตใจมาก คือได้ในทางความรู้สึก Experience ตัวนี้มันมาก และอันนั้นมันติดใจ อยู่ในใจจริงๆ และมันมีประโยชน์ว่านี่คือ ความตั้งใจที่จะชี้ให้เห็น จะชี้แนะให้เกิดความเข้าใจ แล้วก็ไม่เสียทีที่ว่าอุตส่าห์มาด้วยความยากลำบากมา บวชแล้วมาอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ได้สิ่งนี้ก็ไม่คุ้มกัน ที่ไหนก็ได้ที่จะพักผ่อนไปตามแบบ หรือว่าอ่านหนังสืออย่างเดียว เอาแล้วพอกันที นานพอสมควรแล้ว