แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ก็อย่าไปคิดว่าเราไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องรับผิดชอบมากมาย เพราะว่าถ้าบวชเป็นพระกันมาแล้วก็ต้องรับผิดชอบ อย่างความเป็นพระนี่เป็นที่ตลอดเวลาที่บวช จะกี่วันก็สุดแท้ ต้องให้ได้รับผลของการบวช เป็น แล้วก็ต้องไม่ทำอะไรให้ผิดไปจากหลักการที่เกี่ยวกับการบวช ซึ่งจะได้ชี้ให้เห็น ในการบวชนี้ เท่าที่ประมวลดูอย่างทั่วถึงแล้ว ก็รู้สึกว่าควรจะแบ่งเป็น ๓ ชนิด คือ บวชเพื่อประโยชน์แก่ตัวเราเอง นี้อย่างหนึ่ง บวชเพื่อประโยชน์แก่ญาติทั้งหลาย โดยเฉพาะคือ มารดา บิดา เป็นต้น นี้อย่างหนึ่ง แล้วก็บวชเพื่อสืบอายุพระศาสนาให้คงมีอยู่ในโลกนี้อย่างหนึ่ง สามอย่างเป็นอย่างนี้ ถึงจะบวชเดี่ยว ๆ ก็ต้องรับผิดชอบ ให้สำเร็จประโยชน์ตามนี้ บวชเพื่อประโยชน์ตัวเราเองนั้น ก็ศึกษา ปฏิบัติ ค้นคว้า ให้เรารับความรู้คือการปฏิบัติ หรือ ผลของการปฏิบัติเป็นลำดับไป ไม่ว่าจะบวชชั่วคราว มันก็ต้องศึกษาเต็มที่ ให้รู้เรื่องการบวช เพราะว่าความหมายอันสำคัญของการบวชก็คือ การฝึกฝนในการบังคับตัวเอง เป็นส่วนใหญ่ บังคับตั้งแต่ข้างนอก ๆ ไป คือ บังคับร่างกาย กิริยา มารยาท การพูดจาต่าง ๆ จนกระทั่งบังคับจิต จนกระทั่งฝึกฝนอบรม ซักฟอกให้จิตมันเป็นจิตที่สะอาด มีความสว่าง มีความสงบ ถ้าเราทำได้ เราก็ได้รับประโยชน์ส่วนตัวเราอย่างสูงสุด อยู่ต่อไปมันก็ก้าวหน้าไปโดยเร็วไปตามทางของธรรมะ เมื่อสึกไปเป็นฆราวาสก็ได้ผลอย่างวิเศษอยู่อีกเหมือนกัน คือ รู้จักการบังคับตัวเอง ดีกว่าแต่ก่อน นี่ถ้าเราบวชจริง หมายถึงบวชจริง ๆ นะ จะมีการฝึกฝนในการบังคับตัวเองเต็มที่ ฉลาดในการบังคับตัวเองเต็มที่ ถ้าสึกออกไปก็ยังคงฉลาดในการบังคับตัวเองอยู่ ฉะนั้นจึงเรียกว่าไม่ได้สึกออกไปก็ยังได้ผลประโยชน์ส่วนตัวอยู่นั่นแหละ ระหว่างบวชนี้ก็ศึกษาธรรมะด้วย ก็รู้ว่าทิศทางที่มนุษย์เราจะต้องไปข้างหน้านั้นคือ อะไร สุดปลายทางอยู่ที่ไหน เดี๋ยวนี้เรายังอยู่ที่ต้นทางก็จริง แต่ปลายทางอยู่ที่ไหนเรารู้ เพราะว่าเราได้เข้ามาบวช มาศึกษาในเรื่องนี้ เพราะว่าที่โรงเรียน หรือที่มหาวิทยาลัยไม่เคยพูดกันถึงเรื่องนี้ ว่ามนุษย์จะไปมีจุดจบที่สุดท้ายอยู่ที่ไหน ไม่เคยพูด สอนแต่วิชาชีพหรือเรื่องด้วยอาชีพ เท่านั้นเอง ก็อยู่ในโลกนี้ อย่างที่เห็น ๆ กันอยู่ มีตัวอย่างอยู่ เพียงเท่านั้นมันไม่ใช่ จุดหมายปลายทางของมนุษย์ มนุษย์จะต้องรู้จักอะไรมากกว่านั้น คือ ต้องไม่มีความทุกข์กันเลย นั่นแหละเรียกว่าปลายทาง เรามีความรู้ เรามีอาชีพ เรามีเงิน เรามีเกียรติยศ เรามีชื่อเสียง เรามีอะไรทุกอย่าง แต่ว่ามันยังเจืออยู่ด้วยความทุกข์ทั้งนั้นแหละ เพราะว่าเราจับมันไม่เป็น จึงมักเห็นคนที่มีความรู้ มีเกียรติ มีชื่อเสียง ทำอะไรอย่างที่ เรียกว่าเสียหายหมดอยู่บ่อย ๆ แล้วก็เป็นทุกข์ด้วย ฉะนั้นขออย่าให้เราที่ได้บวชแล้ว และบวชจริง อย่าต้องเป็นอย่างนั้นเลย แม้จะสึกออกไปก็จะบังคับตัวเองได้ดี และรู้ว่าจะต้องดำเนินชีวิตไปในรูปไหน จะถึงจุดสูงสุดของมนุษย์เราที่จะเป็นได้ ทั้งหมดนี้เรียกว่า บวชเพื่อประโยชน์แก่ตนเอง
นี้อย่างที่สอง บวชเพื่อประโยชน์แก่บิดา มารดา และญาติทั้งหลาย นี้เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีแต่เดิมโบราณ ทุกชาติ ทุกภาษา ว่า กุลบุตร จะต้องรู้จักบุญคุณของบิดา มารดา และก็ตอบแทนพระคุณของบิดา มารดา ให้สุดความสามารถของตน ของตน เรียกได้ว่าไอ้การตอบแทนพระคุณของบิดา มารดา นั้น ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าทำให้ บิดา มารดา มีความสว่างไสวในธรรมะ มีความมั่นคงในธรรมะ ในพระศาสนา คือ ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การบวชของเราดึงบิดา มารดา มาทำความผูกพัน แน่นแฟ้นในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ขอให้สังเกตุดูเถอะ บางทีว่าเราไม่บวชนี่ พ่อแม่ของเราไม่เคยมาเข้าวัดเลย บางคนนะ นี้เคยเข้าวัดอยู่จริงจัง ต่อเมื่อลูกกำลังบวชอยู่ มันก็เป็นตัวอย่างชัด ๆ อย่างนี้ เห็นลูกบวชมันก็มีความแน่นแฟ้นในจิตใจมากขึ้น ข้อแรกก็คือ มีศรัทธามากขึ้นกว่าแต่ก่อน เมื่อมีศรัทธามากแล้วมันก็จะมีอะไร อะไรที่ศรัทธาจะพามา มากขึ้นกว่าแต่ก่อน ที่สำคัญที่สุดที่เขาเรียกว่า มีสัมมาทิฏฐิ มากขึ้นกว่าแต่ก่อน บิดา มารดาของเราจะมีสัมมาทิฏฐิมากขึ้นกว่าแต่ก่อนถ้าเราบวชจริง นี่ต้องการโปรดบิดา มารดา อย่างสูงสุด คือ สนองคุณบิดา มารดา อย่างสูงสุด แม้จะให้เงินบิดา มารดา สักร้อยล้าน พันล้าน ก็ไม่ทำให้บิดา มารดา ของเรามีความดีขึ้นในทางจิตใจ เพียงแต่จะมีความทุกข์มากขึ้นไปเสียอีกกระมั้ง ถ้าเกิดมีเงินตั้งมาก ๆ อย่างนั้น ให้มีความสุขในทางจิตใจ ได้ใกล้ชิดพระธรรม ทั้งการสนองคุณทางวัตถุ ทางร่างกาย อะไรทำนองนั้น นั้นมันไม่สูงสุด เรียกว่าสนองคุณเหมือนกัน เป็นการสนองคุณ ทดแทนพระคุณ กตัญญู กตเวที ด้วยเหมือนกัน แต่ไม่สูงสุด ไอ้ที่สูงสุดจะไม่ต้องใช้เงินทองเลยก็ได้ แต่ต้องด้วยวิธีการกระทำให้เกิดความสว่างไสวขึ้นในใจของบิดา มารดา ที่เรียกว่า สัมมาทิฎฐิ ให้แน่นแฟ้นมั่นคง ไม่หันหลังกลับ ไม่ถอยกลับ ไปจากพระศาสนา หรือจากพระธรรม คือ จากที่พึ่งอันแท้จริงของมนุษย์ รวมทั้งตัวบิดา มารดาของเราคนหนึ่งด้วย อย่างนี้เขาเรียกว่าบวชสนองคุณบิดา มารดา แต่จะสำเร็จต่อเมื่อเราบวชจริง ไม่ใช่บวชเห่อ ๆ ตาม ๆ กันมา นี่บวชสนองคุณผู้มีพระคุณ มีญาติทั้งหลาย มีบิดา มารดา เป็นประธาน เป็นกฎเกณฑ์ที่มนุษย์บัญญัติด้วย และเป็นกฎเกณฑ์ที่ธรรมชาติก็ต้องการด้วย เพราะเราจะต้องสนองคุณสิ่งที่มีคุณมันจึงจะสืบสายกันไปได้ โดยไม่ขาดสูญไปเสีย สิ่งใดมีคุณ สิ่งนั้นต้องตอบแทน ต้องสนอง ต้องรักษา ต้องประคบประหงมไว้ นี่ธรรมชาติมันก็ต้องการอย่างนี้ ที่มนุษย์ก็ต้องการอย่างนี้ ให้ลูกหลานรู้จักบุญคุณของบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย แล้วก็จะอยู่อย่างผาสุกด้วยกันทุกฝ่าย ถ้าไม่อย่างนั้นไม่มีความหมายว่าเป็นบุตร ธิดา หรือว่าเป็นบิดา มารดา มันไม่มีความหมายอะไร ถึงจะเหมือนกับสัตว์ สัตว์ไม่มีบิดา มารดา ไม่มีปู่ ย่า ตา ยาย ไม่มีความหมาย ไม่มีการสนองคุณ ความเป็นมนุษย์มันต่างสัตว์ตรงนี้ มันเกิดเพราะว่าจิตใจมันสูง จึงรู้ว่ามีบิดา มารดา มีความหมายของบิดา มารดา มีสถาบันของบุคคล ผู้มีพระเดชพระคุณแก่เรา แล้วก็ต้องตอบแทน สนองคุณ นั่นเป็นความถูกต้องด้วย นั้นเป็นความมีประโยชน์อย่างใหญ่หลวงในการที่จะอยู่กันอย่างเป็นผาสุกในโลกนี้ด้วย ขอให้สำนึกในพระคุณของบิดา มารดา เป็นต้น ให้นึกไปว่า ถึงขนาดที่ว่าเรามันเกิดเองไม่ได้ อย่าอวดดีไปเลย เรามันเกิดเองไม่ได้ จะเกิดจากโพรงไม้ จะเกิดจากก้อนหิน มันก็เกิดไม่ได้ มันก็ต้องเกิดจากบิดา มารดา ฉะนั้นชีวิตทั้งหมดของเราควรจะเป็นของบิดา มารดา อย่าลบหลู่ อย่ามองข้าม ถ้าหากว่าบิดา มารดา ต้องการไปในทางที่ไม่ตรงกับความประสงค์ของเรา ผมคิดว่าไอ้ลูกผู้ชายคนนั้นจะต้องยอมให้ สมมุติว่า บิดา มารดา ต้องการให้เราทำให้เต็มอย่างใด อย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ตรงกับความประสงค์ของเรา ในฐานะที่เราเกิดมาจากบิดา มารดา ชีวิตทั้งหมดแม้แต่บิดา มารดา ก็ยอมให้ แต่เดี๋ยวนี้เรื่องไม่ถึงขนาดนั้นแล้ว เพราะบิดา มารดา มันรักบุตรสุดสวาทยิ่งกว่าอะไรหมด ฉะนั้นจะเป็นไปในทางที่จะให้ลูกดีที่สุด ที่จะทำได้ ที่จะนึกได้เสมอ ถ้าเผอิญความคิดเห็นมันไม่ตรงกัน นี่มันพูดจากันได้ มันไม่ต้องทำให้บิดา มารดา เจ็บช้ำน้ำใจ เพราะว่าเขาถือกันว่าไอ้ลูกนี่ มันมีไว้สำหรับให้บิดา มารดา ชื่นใจ ถ้าไม่มีไว้ให้บิดา มารดาชื่นใจ มันก็ไม่ต้องมี พวกอินเดียเขาพูดมากกว่านั้น ลูกมีไว้สำหรับบิดา มารดา ไม่ต้องตกนรกชนิดหนึ่ง ชื่อว่า ปุตตนรก ปุตตนรก คือ นรกที่มีความทุกข์สำหรับบุคคลผู้มิได้มีบุตร ถ้าบิดามีบุตรก็พ้นจากตกนรกขุมนี้ คือ ครั้งแรกก็ดีใจเหลือประมาณที่ได้มีบุตร เพราะทุก ๆ อย่างก็หวังจะได้จากบุตร โดยเฉพาะความยินดี ปรีดา ชื่นอกชื่นใจ ที่จะได้บุตร จนแก่ จนเฒ่า จนตายไป ก็ยังมีบุตรที่จะทำบุญกุศล อุทิศส่วนกุศลส่งไปให้ฉะนั้นบิดา มารดา จึงพ้นหมดจากความร้อนใจที่เกิดจากนรกขุมนี้ คือ นรกแห่งความไม่มีบุตร ฉะนั้นขอให้รับรู้ข้อนี้ บวชนี้เพื่อสนองคุณบิดา มารดา ด้วย แม้สึกออกไปก็ยังมีหน้าที่สนองคุณบิดา มารดา อยู่นั่นเอง ชีวิตของเราไม่เห็นเป็นของสำคัญ จะให้บิดา มารดา เท่าไหร่ เมื่อไร ก็ได้ นั่นแหละเรียกว่ามันเป็นบุตรที่แท้ นี่บางทีไปเห็นแก่ตัวเองมาก ไปเห็นแก่ภรรยามาก ไปเห็นแก่อะไรมากในอนาคต ไม่เห็นแก่บิดา มารดา นี้ ไปพิจารณาดูเองเถอะว่ามันทารุณเท่าไหร่ มันเนรคุณเท่าไหร่ ในเมื่อชีวิตนี้ทั้งดุ้นนี้มันได้มาจากบิดา มารดา แล้วมันเนรคุณเท่าไหร่ ถึงจะลืมบิดา มารดา แล้วไปเห็นไอ้สิ่งสวยงามอย่างอื่นยิ่งกว่าบิดา มารดา ที่บวชนี้ก็เพื่อศึกษาข้อนี้ด้วย ไปรู้จักการสนองคุณบิดา มารดา ถึงจุดสูงสุด ถึงขีดสูงสุดนั่นเอง นี่ข้อที่สองบวชเพื่อประโยชน์แก่บิดา มารดา
ข้อที่สาม บวชเพื่อสืบอายุพระศาสนา ข้อนี้สำคัญที่สุด คือ มันมีความหมายกว้างที่สุด ถ้าว่าเกิดบวชเพื่อทำลายศาสนาแล้วก็คิดดูเถอะ มันเลวร้ายที่สุดไม่มีอะไรเท่า ต้องบวชเพื่อสืบอายุพระศาสนา ขั้นแรกที่สุดก็ต้องนึกขอบคุณคนที่เขาเกิดมาก่อน เขาได้สืบอายุพระศาสนาไว้ ไม่ให้สูญหายไปเสีย ให้มันยังอยู่จนกระทั่งมาถึงยุคเรา แล้วเราได้บวช เพราะว่าศาสนามันไม่สูญไปเสียก่อน เราจึงได้บวช ฉะนั้นต้องขอบใจเขา เมื่อเราก็สืบอายุพระศาสนาอย่างเดียวกันอีก เพื่อคนที่จะมาทีหลังเราในอนาคต นี่คือการบวชแล้ว เป็นการสืบอายุพระศาสนา สืบต่อ ๆ ต่อ ๆ กันไป ไม่ให้ขาดสูญได้ มันจะไปได้หลายพันปี หมื่นปี ก็ได้ ทีนี้ก็ดูต่อไปว่าเขาสืบอายุพระศาสนากันโดยวิธีใด การสืบอายุพระศาสนานั้น ถ้าสรุปพูดให้มันสั้น ๆ เร็ว กินเวลาน้อยก็ต้องพูดว่าสืบอายุพระศาสนาไว้ด้วยมีผู้บวชจริง แล้วก็เรียนจริง ๆ แล้วก็ปฏิบัติจริง ๆ แล้วก็ได้ผลจริง ๆ แล้วก็สอนสืบต่อกันไปจริง ๆ นับดูว่ามันกี่จริง บวชจริงหนึ่ง เรียนจริงสอง ปฏิบัติจริงสาม ได้ผลจริงสี่ สอนกันไปจริง ๆ ห้า
มันห้าจริง จึงจะสืบอายุพระศาสนา ถ้าไม่อย่างฉะนั้น จะเป็นอย่างไร คือ บวชเท็จ เรียนเท็จ ปฏิบัติเท็จ ได้ผลเท็จ สอนกันเท็จ มันก็ทำลายพระศาสนาหมดไปได้ในพริบตาเดียว ฉะนั้นอย่าให้มีเรื่องเท็จ เรื่องผิด เรื่องหลอกลวงเข้ามาในวงของการบวช นี่คือสืบอายุพระศาสนา เอาที่นี้พูดถึงเรื่องบวชจริง ขอให้จริงอย่างที่รู้ ๆ กันอยู่แล้ว ให้ละความเป็นฆราวาสเสียให้จริง ไอ้กิน ไอ้เล่น ไอ้ตามใจตัวเอง สรุปความแล้วคือตามใจตัวเองอย่างฆราวาสนั้นต้องหมด เพราะคำว่าบวชมันแปลว่าอย่างนั้น ถ้ายังไม่ทราบ บางท่านยังไม่ทราบ ทราบเสียเดี๋ยวนี้ว่า คำว่าบวช นี่ คือ ตัว ป แล้วตัว ว แล้วตัว ช มาจากคำว่า ปับ วช ที่เราได้ยินชินหู บรรพชา เมื่อวันบวช เราขอบรรพชา ขอปับพะชา ปับพะชา นั้น คือ ตัว ป ตัว ว ตัว ช วช แปลว่า เว้น หรือ ไป ปะ แปลว่า หมดสิ้น คำว่า บวช แปลว่า ไปอย่างหมดสิ้น เว้นอย่างหมดสิ้น จากความเป็นคฤหัสถ์ ฉะนั้นบวชหนึ่งเดือนต้องไม่มีเยื่อใย ร่องรอยแห่งคฤหัสถ์หลงเหลืออยู่ ในเรื่องพูดจา ในเรื่องการกระทำ ในเรื่องการกิน การนอน ทุกอย่าง อย่าให้มีร่องรอยของฆราวาสเหลืออยู่ แม้ความคิดที่เกี่ยวกับฆราวาสที่เราคิดเมื่อก่อนบวชนั้น ก็ต้องสลัดไปในระยะนี้ ใฝ่ฝัน แม้แต่นอนฝัน ก็ต้องไม่นอนฝันอย่างฆราวาส ถ้าเกิดมีฝันอย่างฆราวาสเหมือนเมื่อก่อนบวช ควรจะเสียใจให้มาก ควรจะละอายใจให้มากว่าการบวชของเรามันไม่สำเร็จประโยชน์ ฉะนั้นขอให้ตัดใจลงไปในระเบียบ พิธีการอะไรต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องของการบวชด้วยความไม่ประมาท ท่านสอนปัญจกรรมฐาน ปัญจกรรมฐานก่อนบวชอย่าทำเล่น ต้องเอามาทำไว้ในใจ และนอนหลับก็ไม่ฝันอย่างฆราวาส และจะสมาทานสิกขาบทต่าง ๆ ไว้ให้ดี ไม่ฟุ้งซ่าน นอนหลับก็ไม่ฝันอย่างฆราวาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจะนอนนี่ ก็ต้องมีเวลาพอที่จะสำรวมจิต คิดนึก สำรวมความรู้สึกข้อที่ว่าเดี๋ยวนี้เราเป็นฆราวาส เราเป็นบรรพชิตอย่างนั้น อย่างนั้น ไม่ใช่ฆราวาสอย่างนั้น อย่างนั้น ผมเคยแนะให้ว่าถ้ามันมืดมองไม่เห็นก็เอามือคลำศรีษะโล้น ๆ ดู หรือว่าคลำจีวรดู เมื่อดับไฟมืดแล้ว จะนอนแล้วก็อย่าลืมความเป็นบรรพชิตเหมือนเดิมไม่ฝัน มันจะได้ไม่ฝันเหมือนอย่างฆราวาสฝัน ก็ผูกพันกับความเป็นบรรพชิตเสีย อย่างนี้เรียกว่าไม่ประมาท ถ้าสรวลเสเฮฮากันอย่างฆราวาสจนกระทั่งนอนหลับไป มันต้องฝันอย่างฆราวาส เพราะดับไฟมืดแล้ว มันไม่รู้ว่าตัวเป็นฆราวาสหรือบรรพชิตแล้วด้วยซ้ำไป ฉะนั้นผู้ที่ไม่ประมาทควรสำรวมให้ดี เอามือลูบศรีษะโล้น ๆ ผมสั้น ๆ นี้เสมอ ให้รู้ว่าเป็นบรรพชิต เป็นพระ หรือ เป็นเณร และกำลังจะนอน ให้มีสติ สัมปัชชัญญะในการนอนพอประมาณ แล้วจะลุก จะตื่นในเวลาเท่านั้น เท่านั้น มีสติ สัมปัชชัญญะนอน มีสติ สัมปัชชัญญะตื่น มีสติ สัมปัชชัญญะในความเป็นภิกษุ สามเณร ตลอดเวลา อย่างนี้จะไม่ฝันอย่างฆราวาส นี่เรียกว่าบวชจริง ในขั้นแรก หมดจากความเป็นฆราวาส ถือว่าบวชจริงทั้งนั้นแหละ นี่จะศึกษาก็จะเว้นในข้อที่ควรเว้นสำหรับฆราวาสต่อไปอีก สำหรับบรรพชิตต่อไปอีก ซึ่งมีข้อจะต้องเว้นมากไปกว่าฆราวาสซึ่งจะต้องศึกษา ศึกษา เว้นต่อไปอีก เว้นทีแรกคือ เว้นจากจริตนิสัยของฆราวาส เว้นที่สอง เว้นสิกขาบทต่าง ๆ ที่ห้ามไว้สำหรับพระ สองเว้นนี้ นี้เรียกว่าหมดไปหมด ชนิดที่เรียกว่า ปวช หรือที่เรียกว่า ปับพะชา ปับพะชา นี่เรียกว่าบวชจริง
ทีนี้จริงที่สองคือ เรียนจริง มันต้องตั้งต้นด้วยการแยกแยะออกไปว่า อะไรสำหรับเราเรียน อะไรไม่ใช่สำหรับเราเรียน เป็นพระ เป็นเณรแล้วจะต้องเรียนอะไร ฉะนั้นตอนนี้ต้องไม่มีหัวในเรื่องการเมือง ในเรื่องอะไรต่าง ๆ ต้องเลิกสิ้นกันหมด เพราะเราเป็นพระแล้ว จะเรียนแต่เรื่องของพระ ก็คือเรื่องธรรมวินัย พูดสั้น ๆ เขาเรียกสั้น ๆ ว่า ธรรมะวินัย จำไว้ด้วย คำนี้เป็นคำเฉพาะเปลี่ยนไม่ได้ ธรรมะเรื่องเกี่ยวการปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ทางจิตใจโดยตรง วินัย เรื่องเกี่ยวการปฏิบัติทางกาย ทางวาจา เพื่อความสงบเรียบร้อยที่กาย ที่วาจา ทั้งส่วนตัว และส่วนหมู่คณะ นั้นเรียกว่า วินัย คำนิยามมีอยู่อย่างนี้ ในเมื่อเราต้องเรียนเรื่องธรรมะวินัยของภิกษุ สามเณร นี่ว่าจริงในการที่เลือกเรื่องให้ถูกเรื่อง เรียนจริง แล้วก็จริงที่เรียนคือ บากบั่นในการเรียน เพราะว่าเราได้สลัดเวลาที่สำหรับหัวเราะกันเล่น หยอกล้อกันเล่น สรวลเสเฮฮากันเล่น ให้ออกไปหมดแล้ว มันก็มีเวลาที่จะศึกษาจริง ในส่วนเรื่องราวของบรรพชิต คือ ธรรมะวินัย แม้ว่าบวชเดี่ยว ๆ มันก็มีเวลาพอที่จะศึกษาเรื่องธรรมะวินัย เช่น เดี๋ยวนี้ เวลานี้ กำลังพูดเรื่องเกี่ยวกับวินัย ที่พูดกลางคืนนั้นก็เกี่ยวกับธรรมะโดยตรง แล้วก็รวบรัด ลัดที่สุด ให้มันได้ตรงใจความที่สุดเพื่อประหยัดเวลา เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ศึกษาเกี่ยวกับธรรมะวินัยพร้อม ๆ กันไปอย่างแท้จริง แล้วเลือกเรื่องตรงจริง คือ เรื่องธรรมะวินัย แล้วก็เรียนจริง ๆ ลงไปในเรื่องธรรมะวินัย อย่างนี้เขาเรียกว่าเรียนจริง ฟัง แล้วไปคิด ไปนึกอยู่ตลอดเวลา ก็ย้ำบ่อย ๆ เพื่อไม่ให้ลืม นึกถึงอยู่บ่อย ๆ เพื่อไม่ให้ลืม
ทีนี้ก็มาถึงจริงที่สาม คือ ปฏิบัติจริง ปฏิบัติจริงนั่นแหละทำให้ไม่ลืม ไอ้ท่องจำมันยังลืมได้ ถ้ามาปฏิบัติอยู่เสมอมันไม่ลืม ทฤษฎีอะไรต่าง ๆ ที่มันยุ่งยากที่เราจะไม่ให้มันลืม เราต้องเอามาทำเป็นปฏิบัติอยู่ แล้วมันก็ไม่ลืมทฤษฎีเหล่านั้น แล้วเราต้องปฏิบัติจริง ธรรมะวินัยที่เป็นหน้าที่โดยตรง จะต้องปฏิบัติจริง ปฏิบัติโดยความเคารพพระพุทธเจ้า เพราะว่าโกนหัวบวชนี้มันอุทิศพระพุทธเจ้า ฉะนั้นอย่าเล่นตลกกับท่าน อย่าหลอกลวงท่านมันจะตกนรกทั้งเป็น ต้องซื่อสัตย์ต่อพระพุทธเจ้า แล้วก็ปฏิบัติกันจริง ๆ นี้เขาเรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ ทีนี้ต้องรู้ต่อไปว่า ไอ้พรหมจรรย์นี้มันเป็นของจริง เป็นของตรง มันจะสนุกเหมือนดูละครมันทำยาก ทำไม่ได้ หรือจะสนุกสนาน เหมือนเล่นหัว หยอกล้อกัน นี้ก็ไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ ไอ้พรหมจรรย์มันเป็นจริง เพราะฉะนั้นมันจึงตรงไปตรงมา เพราะฉะนั้นมันจึงขูดเกลา หรือมันถากถางบุคคลผู้ประพฤติพรหมจรรย์นั้น แล้วแต่ว่าบุคคลนั้นมันมีอะไรสกปรก เศร้าหมอง รกรุงรัง มากี่มากน้อย ถ้ามันมีมามาก ไอ้พรหมจรรย์มันก็ถากถางขูดเกลาเอามาก มันจะรู้สึกเจ็บปวดมาก ฉะนั้นคนที่เคยแต่ขี้เล่น ขี้กิน ขี้หยอก ขี้หัวเราะ สรวลเสเฮฮา นั่นมันมีไอ้รกรุงแบบนั้นมามาก มันก็ถูกพรหมจรรย์ขูดเกลาถากถางเอามาก มันก็จะเจ็บปวดมาก ไอ้เขาก็เลยทิ้งเสีย ไม่เอา ไม่เอาประพฤติ ไม่เอาพรหมจรรย์แล้ว นี่เรียกว่ามันเล่นไม่ซื่อแล้ว โกหกแล้ว หลอกลวงแล้ว โกหกต่อบิดา มารดา อุปฌาอาจารย์ ต่อสังคม ต่อพระศาสนา ต่อพระพุทธเจ้าแล้ว คือ บวชเข้าแล้วไม่ประพฤติจริง ๆ ไม่ประพฤติจริงเป็นอย่างนี้ ไม่ปฏิบัติจริง ก็ต้องยอมรับ อธิษฐานจิตในการยอมรับความเจ็บปวดอันนี้ เหมือนกับไม่ได้ไปดูหนัง ทนรับการเจ็บปวดด้วยความอยากไปดูหนัง มันกัดแทะเอาจิตใจ เราก็ทนได้ ประพฤติพรหมจรรย์นี่ก็เหมือนกัน มันต้องไม่ทำอย่างนั้น
อย่างนี้ก็เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา ลองไปนึกดูเองว่ามันน่าบูชา น่าสรรเสริญ น่าไหว้ สักเท่าไหร่ คนที่สามารถประพฤติพรหมจรรย์รักษาเอาไว้ได้ด้วยน้ำตา จนกระทั่งน้ำตาไหลก็ไม่ยอมให้เสียไปในส่วนพรหมจรรย์ คนอย่างนี้ไม่ทำทีกล่าว น่าปลื้มใจ คือ กล่าวไว้ในลักษณะที่ว่าแม้เทวดาก็มาสาธุการ เทวดาก็กระหยิ่มในการที่จะไหว้ หรือได้ไหว้บุคคลชนิดนี้ อย่าว่าแต่มนุษย์เลย ถ้าเทวดาหมายถึงคนขี้เล่น สำรวย สำอาง เจ้าสำราญด้วยด้วยกามารมณ์ แต่แล้วก็ไม่วายมาไหว้ผู้ที่ประพฤติพรหมจรรย์ได้ด้วยน้ำตา เขาจึงใช้คำว่าเป็นที่กระหยิ่มทั้งของเทวดา และมนุษย์ นี่คือผู้ปฏิบัติจริง ปฏิบัติในส่วนวินัยก็จริง ในส่วนธรรมะก็จริง นี่มันเป็นจริงที่สามแล้ว
ที่นี้จริงที่สี่ คือ ได้ผลจริง ข้อนี้มันฝากไว้กับข้อที่สาม ถ้าว่าเมื่อเราทำข้อที่สามจริงแล้วก็ ข้อที่สี่คือได้ผลจริง มันก็ได้เองแหละ เกือบจะไม่ต้องพยายามอะไร พยายามแต่เรื่องปฏิบัติจริง ทำจริง มันก็ได้ผลจริง ไอ้ข้อที่ได้ผลจริงนี้ก็ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติ ไม่เกี่ยวกับการที่เราต้องปฏิบัติเพื่อให้ได้ผลจริงอีกแล้ว เพราะว่าเราปฏิบัติจริงอยู่แล้ว เพราะผลมันเกิดขึ้น มันเป็นปฏิกริยาขี้นมาเอง ก็เลยได้ผลจริง ที่หวังอยู่ว่าจะได้ประโยชน์แก่ตัวเรา ก็ได้ ที่หวังอยู่ว่าจะได้ประโยชน์แก่บิดา มารดา ก็ได้ ที่หวังอยู่ว่าจะได้ประโยชน์แก่พระศาสนา คือสืบศาสนา มันก็ได้ เรียกว่าได้ผลจริง ส่วนเราก็ดับทุกข์ได้จริงยิ่ง ๆ ขึ้นไป บิดา มารดาก็ชื่นใจเหลือประมาณ การที่ลูกหลานเป็นพระที่แท้จริง ฉะนั้นศาสนาก็ได้รับประโยชน์คือว่า มีผู้ที่สืบไว้จริง ไม่สูญไม่สลายไป นี่มันเป็นจริงที่สี่ ซึ่งไม่ต้องพยายามมันก็ได้อยู่เพราะการปฏิบัติจริงในข้อที่สาม
นี้ก็มาถึงจริงที่ห้า สั่งสอนสืบ ๆ กันไปจริง ตอนนี้ก็หมายความว่าจริงเท่าที่เราจะทำได้ เพราะว่ามันมีวิธีสั่งสอนหลายวิธี สั่งสอนด้วยปากพูดอย่างที่ผมกำลังพูด นี้มันก็วิธีหนึ่ง ทีนี้ยังไม่ดีเท่า สั่งสอนโดยปฏิบัติให้ดู นี่คุณทำการปฏิบัติดีให้ดู นี่เป็นการสอนที่ดีกว่าพูดด้วยปาก พอเขาเห็น เขาเชื่อ เขาไว้ใจ เขาปฏิบัติตามทันที ที่พูดด้วยปากนี่ไม่แน่นะ ที่ผมพูดนี่ก็ไม่แน่นะว่าเขาจะปฏิบัติตาม เพราะเขาไม่ไว้ใจว่าผมพูดจริงหรือไม่จริง มีข้อยกเว้นอยู่นั่น ถ้าคุณปฏิบัติจริงให้เขาดูแล้ว เขาก็ไม่มีข้อสงสัยเพราะเขาไว้ใจ มันน่าเลื่อมใส เห็นอยู่ เขาก็ทำตาม ฉะนั้นการปฏิบัติจริงของเราก็เป็นการสั่งสอนอยู่ในตัวอย่างหนึ่ง แต่ว่ายังมีดีกว่านั้นอีกชั้นหนึ่งก็ คือว่า มีความสุขให้ดู เราเป็นคนที่มีความสุขให้คนอื่นดู เรามีจิตใจสะอาด สว่าง สงบ แล้ว มีกาย วาจา อันสว่าง สงบ สะอาดด้วย คือ ข้างนอกก็สะอาด ข้างในก็สะอาด ข้างนอกก็สงบ ข้างในก็สงบ นี่เรียกว่ามีความสุขให้ดู อย่างนี้แน่นอนเลย ทุกคนจะทำตามทันที ไม่มีใครดึงเขาไว้ได้ เขาจะต้องทำตาม ก็มันเห็นตัวอย่างอยู่ว่ามันมีความสุข เพราะมีความสุขให้ดู นี่ขออภัยจะพูดเปรียบเทียบ อุปมาโดยพวกคุณทั้งหลายนี่ ที่คุณอุตส่าห์ทนลำบากไปเรียนมหาวิทยาลัย ลำบากแพงมาก อะไรนี่ เพราะคุณเห็นตัวอย่าง ตัวอย่างคนที่เขาเรียนจบไปแล้ว เขาได้อาชีพดี ได้ฐานะดี นั่นเห็นตัวอย่างอย่างนั้น เป็นสิ่งกล้า จึงแน่ใจที่จะเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยด้วยลงทุนที่แพง ด้วยความยากลำบาก ด้วยระยะทางที่ยาวนาน นั่นเป็นการแสดงตัวอย่างผู้ประสบความสำเร็จให้ดู มันเป็นการสอนที่ดีที่สุด ฉะนั้นเราพยายามเป็นผู้ที่มีความสุข หรือมีผลแห่งพรหมจรรย์ให้เขาดู นี่ไม่ต้องพูดเหมือนกัน นี่อย่าคิดว่าถ้าพูดไม่เป็นแล้วจะไม่มีโอกาสสั่งสอนด้วยทำให้ดู ด้วยมีความสุขให้ดูดีกว่าเสียอีก นั่นคือพยายามตลอดเวลาที่บวช ๑ เดือนนี้ ทำดี อยู่ที่เนื้อ ที่ตัว ที่กาย ที่วาจาให้ดู ให้ปรากฎ ว่าให้เป็นสมณะแล้ว ทั้งพระ ทั้งเณรแหละ ให้เป็นสมณะที่แท้จริง อย่าเหลาะแหละ อย่าหลุกหลิก อย่าหัวเราะ สรวลเสเฮฮา อย่าเป็นนักเลงอะไรในทำนองนั้น เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส จะเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ด้วยความสำรวมระวัง ถ้าต้องลำบากด้วยความหิวบ้าง ด้วยความไม่สะดวกบ้าง ด้วยความต้องอดกลั้น อดทนบ้าง ก็ถือว่านั่นแหละคือสิ่งที่เราประสงค์ ก็ต้องการจะฝึก การบังคับตัวเอง แล้วก็ต้องบังคับเมื่อมันมีอย่างนั้นแหละ ถ้าไม่มีอย่างนั้นจะไปบังคับอะไรกัน มันเล่นหัวสนุกไป จะไปบังคับอะไรกัน คือมันอิ่มหมีพีมันตลอดไป มันก็ไม่ต้องบังคับอะไรกัน ในเรื่องอาบน้ำในคู กินข้าวจานแมว นี่ถูกแล้ว เรื่องเป็นอยู่ที่บังคับตัวเองอยู่ตลอดเวลา น้ำหนักตัวจะลดลงกี่กิโลให้มันรู้ไป นี่เรียกว่าสั่งสอน เผยแผ่จริง ด้วยการพูดจาบ้าง ด้วยการปฏิบัติให้ดูบ้าง ด้วยการมีความสุขให้ดูบ้าง มันครบห้าจริง บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สั่งสอนกันจริง ฉะนั้นขอให้พยายามให้ได้ห้าจริง สุดความสามารถ เสียสละการเล่นหัว ที่เรียกว่าไอ้ความการตามใจตัวเองทิ้งหมด เมื่อเราเป็นฆราวาสตามใจตัวเองมากชินเป็นนิสัย ฉะนั้นยากที่จะมาหยุดกันกระทันหันอย่างนี้ ผมก็รู้สึกเห็นใจ ผมเองก็เหมือนกัน ผมเคยผ่านมาแล้วทั้งนั้น แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่ทำได้ เพราะฉะนั้นจึงยืนยันในข้อที่ว่าเราจะต้องทำให้ได้ นี่คือบวช เราบวช ต้องให้ได้ประโยชน์ทั้ง ๓ ประการ เพื่อประโยชน์ตัวเราผู้บวชอย่างหนึ่ง ประโยชน์ต่อญาติทั้งหลาย บิดา มารดา เป็นต้นอย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่พระศาสนาอย่างหนึ่ง เมื่อมันเป็นประโยชน์แก่ศาสนาแล้ว มันก็เป็นประโยชน์แก่คนทั้งโลกเอง หมายความว่าเมื่อศาสนายังอยู่ในโลก โลกนี้ยังไม่ล่มจมหรอก ถึงมันจะปั่นป่วน ระส่ำระสายไปบ้าง มันก็ไม่ล่มจม ถ้าศาสนายังมีอยู่ในโลกนี้ ในบรรดาศาสนาทั้งหลายนี่มันเหมือน ๆ กันในข้อที่ว่า บังคับตัวเอง อย่าตามใจตัวเอง บังคับกิเลส อยู่ด้วยความถูกต้อง ทุกศาสนาสอนอย่างนี้ เมื่อมีศาสนาอยู่ในโลก โลกนี้จะไม่ล่มจม นี่เราทำประโยชน์แก่โลกอย่างสูงสุด ลึกซึ้งที่สุด ดีกว่าไปทำชนิดที่เรียกว่าหลับตา เช่น ช่วยโลกในแง่การเมือง รวมไปถึงเรื่องต่อสู้กัน อะไรต่าง ๆ ทำการเมือง เดินขบวนบ้าง อะไรบ้างนั้น มันได้ไปนิดเดียว แล้วมันก็ไม่ช่วยโลกได้อะไรเลย มันเป็นเรื่องหลับตา งมงาย เพื่อผลอันเล็กน้อย เพื่อกิเลสด้วย ถ้าจะช่วยโลกกันจริง ๆ แล้ว ทุกคนช่วยกันทำให้มนุษย์ได้รับประโยชน์จากการที่ศาสนามันมีอยู่ในโลก แล้วก็ทำชนิดที่ให้ศาสนามันยังมีอยู่โลก ฝึกไปแล้วก็ทำไป บวชอย่างนี้ก็ยิ่งทำไป แต่ทำไป ทำในลักษณะธรรมะวินัย ศาสนานี้ยังคงอยู่มีอยู่ในหมู่ชน แพร่ใส่เราแล้วก็แพร่ไปได้ทั่วโลก นั่นแหละทำประโยชน์แก่โลก หรือทำความเป็นธรรมแก่โลก ไอ้เรื่องการเมือง ไอ้เรื่องอะไรต่าง ๆ นั้นนะมันเป็นเรื่องตลบตะแลง กลับไปกลับมา ไม่แน่นอนลงไป เป็นประโยชน์ก็เป็นประโยชน์นิดเดียว แล้วก็ชั่วขณะด้วย ไม่คุ้มกัน ไม่แท้จริง ไม่ถาวร เป็นประโยชน์แก่โลกที่แท้จริงและถาวรละก็ต้องทำอย่างว่านี้ ให้ธรรมะมีอยู่ในโลก วิธีไหนก็ตามก็ต่อสู้อย่างสุดความสามารถ ช่วยให้ธรรมะมีอยู่โลก ธรรมะที่ถูกต้องไม่ใช่ธรรมะที่มุทะลุดุดัน หลับหูหลับตา อย่างนี้ อย่างนี้ถูกต้อง อย่างนี้เป็นธรรม แล้วก็ได้รบราฆ่าฟันกัน อย่างนั้นมันไม่ใช่ อยู่ด้วยความถูกต้อง ให้เรามันอยู่ด้วยความถูกต้อง แล้วก็รู้จักความถูกต้องที่แท้จริง นี่เรียกว่าทำประโยชน์แก่สังคม ทำประโยชน์แก่โลกชนิดที่แท้จริง ไอ้เรื่องการเมืองนั้นมันกลับไปกลับมาอย่างนั้นดูก็แล้วกัน แล้วมันมีสิ่งที่หลอกลวงที่สุดอีกอย่างหนึ่งเหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า วโส อิสสริยัง โลเก
วโส อิสสริยัง โลเก นี่เป็นคำพูดที่คงจะเคยได้ยิน เป็นคำพูดที่แพร่หลายมากนะประโยคนี้ แปลว่า อำนาจเป็นใหญ่ในโลก ก็โลกนี้มันหาความจริงอะไรไม่ได้ พอมีอำนาจแล้วมันก็พาไปได้ อำนาจเงินก็ได้ อำนาจอาวุธก็ได้ อำนาจความหลอกลวง ยั่วยวนอะไรก็ได้ มันเรียกว่า อำนาจ พอมีอำนาจพอมันก็พาโลกไปได้ เขาเรียกว่าอำนาจเป็นใหญ่ในโลก ก็จึงเห็นได้เดี๋ยวนี้ถ้าใครมีอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจทางอาวุธ ฉะนั้นมันก็เป็นใหญ่ในโลก ต่างชาติต่างแข่งขันกันสร้างอาวุธเพื่อมีอำนาจ เพื่อเป็นใหญ่ในโลก อำนาจทางทหารบ้าง ทางการเมืองบ้าง ทางเศรษฐกิจบ้าง ทางอะไรบ้าง แล้วมันก็ไปรวมตัวกันอยู่ที่เรียกว่า อำนาจ แล้วก็ไปรวมตัวกันอยู่ที่อาวุธที่จะประหัตประหารผู้อื่นนั่นแหละ มีศรษฐกิจดีก็เพื่อซื้ออาวุธ เดินแผนการเมืองดีก็เพื่อจะปราบคนอื่นให้ราบคาบลงไปก็เป็นอาวุธ นักการเมืองก็ใช้อาวุธ นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเรื่องนี้ในโลกมันเอาอะไรแน่ไม่ได้ นอกจากมีอำนาจแล้วมันก็มีความเป็นใหญ่ มีอำนาจผิดก็มี อำนาจที่ไม่เป็นธรรมมันก็มี แล้วเอาอำนาจอาวุธเป็นธรรมไม่ได้ เพราะเอาอาวุธเป็นธรรม ก็มันเอาไอ้อำนาจของกิเลสนั่นเป็นธรรม ใครมีอำนาจมากก็ใช้กิเลสได้ ก็ปราบปรามผู้อื่น อย่าไปบูชาชนิดที่ไม่แน่นอนได้นอกจากมีอำนาจอย่างเดียว โลกมันก็เป็นอย่างนี้มาแต่ปีแรก ๆ จนบัดนี้ อำนาจเป็นใหญ่ในโลกตลอดนิรันดร ทว่าในเรื่องทางธรรมซึ่งไม่ใช่โลกนี้มีความถูกต้องเป็นใหญ่ คือ มีธรรมะเป็นใหญ่ ถ้าในเรื่องโลก ๆ มันมีอำนาจเป็นใหญ่ ซึ่งไม่ใช่ธรรม ซึ่งไม่ใช่ความถูกต้อง เพราะมันมุ่งแต่จะมีอำนาจ ฉะนั้นเราหันมาหาสิ่งที่แท้จริงกันดีกว่า คือ ธรรมะที่มันแท้จริง แล้วมันให้อำนาจในธรรม ในฝ่ายธรรม คือในฝ่ายความถูกต้อง ฉะนั้นอย่าไปลุ่มหลงไอ้อำนาจชนิดที่มันชั่วคราว อำนาจของกิเลส อำนาจอาวุธ อำนาจอะไรก็สุดแท้ นักการเมืองต้องใช้ความตลบแตลงเป็นเครื่องมือ ความตลบแตลงคือ โกหกชนิดหนึ่ง แล้วมันก็ไม่น่าชื่นใจ นี่เราเป็นนักศึกษาก็ควรจะศึกษาให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรมันจริงอะไรมันไม่จริง อะไรควรจะถือเป็นอุดมคติ อะไรควรจะหัวเราะเล่น นี่ก็จะได้ผลของความเป็นมนุษย์ในโลก ช่วยกันรักษาโลก ธำรงโลกไว้ให้ปลอดภัย ให้มีประโยชน์ เราจะมองเห็นธรรมข้อนี้ได้มันก็ต้องเกี่ยวกับการบวชเรียน ต้องเข้ามาบวช เข้ามาเรียนในขอบเขตของพระพุทธเจ้าจึงจะเห็นความจริงตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ ฉะนั้นการบวชของเรานี้ไม่เสียหลายหรอก มันจะได้รู้จริงอะไรหลาย ๆ อย่างยิ่งกว่าที่ไม่บวช แม้ว่าจะบวชเพียง ๑ เดือน ๒ เดือน ไม่ให้เสียการเล่าเรียน ไอ้เรื่องธรรมะนี้บางทีไม่ต้องเรียนถึง ๒ เดือนหรอก ธรรมะที่แท้จริงอาจจะพูดได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงจบ ที่เป็นชั้นหัวใจแล้วมันก็ยากในการที่ทำตามนั้นกัน ที่พูดกันมากเป็นปี ๆ นั่นเป็นเรื่องฝอย เรื่องรายละเอียด เรื่องปลีกย่อย เรื่องพูดชวนเชื่อให้เข้ามารับอำนาจ ปฏิบัติธรรมะกัน แต่หัวใจธรรมะแท้ ๆ มันไม่มีอะไรที่ต้องพูด ต้องทำ ในการปฏิบัติ จะไม่ตามใจตัวเอง คำเดียวก็พอ อย่าตามใจตัวเอง คำเดียวก็พอแล้ว มันก็มีศีล มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมาตามลำดับ บวชนี้ก็ถูกแล้วเพื่อบังคับตัวเอง เพื่อไม่ตามใจตัวเอง เข้าถึงหัวใจของพระศาสนาแล้ว ฉะนั้นตั้งหน้าตั้งตารักษาความไม่ตามใจตัวเองไว้ตลอดเวลา เรื่องกิน เรื่องนอน เรื่องอาบ เรื่องถ่าย เรื่องต่ำ ๆ ที่สุดนี้ขึ้นไปจนถึงเรื่องคบหาสมาคม เรื่องการเป็นอยู่ เรื่องให้มันกว้าง ๆ ออกไป อย่าให้มันเป็นเรื่องตามใจตัวเอง มันก็ไม่เกิดกิเลส เพราะตัวเองก็คือกิเลส ไม่ตามใจตัวเอง ไอ้ตัวเองคือกิเลส มันก็ร่อยหรอไปเอง มันก็สะอาดขึ้นมาเอง มีความสงบสุขขึ้นมาเอง เดี๋ยวนี้มันไปดูให้ดีไอ้ความตามใจตัวเองมากนัก นี้มันมีแง่มุมมากมาย หลายสถาน มองชัดแต่ไม่ทั่ว คุณอย่าได้ประมาทในคำ ๆ นี้ ไปมอง ไปพิจารณาดู ไปสนทนา ถกเถียงกันดู อย่าใช้เวลาเพื่อจะหยอกล้อกันเล่น หัวเราะกันเล่น อะไรกันเล่น มันทำลายหมด ใช้เวลาที่จะช่วยถกเถียงวิจารณ์ วิพาก พิจารณาเรื่องคำว่า ตามใจตัวเอง นั้นคืออะไร มันคือความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวแล้วมันคืออะไร ก็คือความโลภ ความหลง ความอะไรต่าง ๆ ที่ใช้ไม่ได้ ที่เป็นทุกข์ ฉะนั้นจงอยู่ด้วยการบังคับตัวเอง ควบคุมตัวเอง สังวรณ์ระวัง ให้เป็นอย่างดียิ่ง ๆ ขึ้นไป นี้คือบวช นี้คือบรรพชา ที่แท้จริง
โดยเฉพาะเราบวช ๑ เดือนแล้วก็มาอยู่ที่นี่เพื่อเป็นโอกาสแก่การบังคับตัวเอง อยู่ที่อื่นก็อาจจะทำได้ แต่อาจจะไม่สะดวกเท่ากับสถานที่อย่างนี้ ในการที่จะปฏิบัติเพื่อการบังคับตัวเอง ฉะนั้นเมื่อทุกอย่างมันเข้ารูปกันอย่างนี้แล้วก็ อุตส่าห์พยายามใช้ประโยชน์ ให้สำเร็จประโยชน์ในการบังคับตัวเอง และจะเป็นที่พอใจ ยินดีปรีดาแม้แก่พวกเทวดา อย่าว่าแต่มนุษย์เลย ลงทุนสักหน่อย สละการตามใจตัวเองแค่นั้น อย่าเล่น อย่าหัว อย่าโลเล อย่าเหลาะแหละ อย่าแสวงหาความสุขด้วยการกิน การนอน แสวงหาความสุขที่เกิดมาจากความพอใจตัวเอง ว่าตัวเองได้ทำสิ่งที่ดีที่สุด ที่ถูกต้องที่สุด นี่ก็เป็นความสุขนะ ความสุขที่ดีกว่าสุขที่เกิดมาจากการเล่นหัว ความสุขที่เกิดมาจากการเล่นหัวก็เป็นเรื่องของกามารมณ์ชนิดหนึ่ง เป็นอามิจชนิดหนึ่ง เป็นกิเลสนั่นแหละ มันก็ดีได้อย่างนั้น ไปพอใจกับมัน มันก็พอใจอย่างโง่เขลา หลงใหล ทีนี้การบังคับตัวเองมาในทางธรรม การบังคับวินัยให้มันสะอาด มันบริสุทธิ์ มันสูงขึ้น มันประเสริฐขึ้น เราพอใจสิ่งเหล่านี้มันเป็นความพอใจที่ประเสริฐที่สูงฉะนั้นความสุขเกิดจากความพอใจเสมอไป นี่เป็นความสุขที่สะอาดที่สูง ควรจะพอใจกันอย่างนี้ ฉะนั้นเรามีปณิธาน หรือปักใจลงไปในการที่จะสำรวมระวัง ตามความหมายของคำว่า บรรพชา บวช สำรวมระวังเป็นอย่างดี อย่าส่งใจไปหาอารมณ์ที่มันจะทำให้ฟุ้งซ่าน มีใจกำหนดอยู่แต่ไอ้ธรรมะว่ามันเป็นอย่างไร ให้มันเด่นชัดขึ้นมาทุกที ก็เรียกว่าน้อมจิตไว้ภายในด้วย อย่าส่งจิตออกไปข้างนอกให้ฟุ้งซ่าน หลับหูหลับตาเสีย จะเดินไปไหน มาไหนยังมีวินัยบรรญัติว่า พึงดูแค่ ๑ วาตรงหน้าจะช่วยให้ง่ายเข้าในการที่จะสำรวมระวัง ในปากนี้ก็เหมือนถูกเย็บเสียอย่าพูด ถ้าพูดมันก็ยังพูดในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องพูด ถ้าพูดต้องพูดธรรมะ ถ้าไม่พูดธรรมะจงนิ่งเสีย ถ้านิ่งไม่ได้ อดทนไม่ได้ ไปนอนเสียยังดีกว่า ทั้งที่ว่าการนอนนั้นมันเลวอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ ทั้งที่การนอนเป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าต้องพูดสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมะแล้ว ไปนอนเสียดีกว่า ท่านตรัสไว้อย่างนี้ให้จำไว้ด้วย แล้วปากจะไม่พูดสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมะ หุบปากเสียดีกว่า ถ้าพูดก็พูดธรรมะ นี่เรียกว่าการสำรวมปาก ระวังปาก พร้อม ๆ กันไปกับการสำรวมกาย มือเท้า การกระทำทางกาย แล้วมันก็เป็นการสำรวมใจด้วย ไอ้การสำรวมทั้งหลาย ทั้ง ๓ นี้ คือ ความหมายของการบวช มันไม่ยากถ้าเราอุทิศกันจริง ๆ บวชอุทิศพระพุทธเจ้าจริง ๆ มันไม่ยาก มันก็สนุกไปในการสำรวม พอใจไปในการสำรวม มีความสุขไปในการสำรวม นี่ถ้าเราบวชเท็จ บวชตาม ๆ กันมา บวชไม่จริง มันก็ไปหาความสนุกสนานอย่างเคยแหละ อย่างที่ฆราวาสเป็นอย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ มันก็เสียหายหมด บิดา มารดาก็ผิดหวัง ไอ้เราเองก็ผิดหวัง ศาสนาก็ถูกทำลาย เพราะมันมีแต่พระ เณร ที่เล่นหัว เหลาะแหละ หลุกหลิก เหมือนฆราวาส นี่ศาสนาถูกทำลายก็หมายความว่า คนเขาเห็นแล้ว เขาไม่เลื่อมใสในศาสนาเป็นส่วนรวม แม้แต่คนเดียว หน่วยเดียวพยายามรักษาเครดิตของศาสนาด้วยความอดกลั้น อดทน แม้จะต้องน้ำตาไหล ที่เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา เป็นอันว่าวันนี้ผมพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับวินัยของบุคคลผู้บวชแล้ว เป็นวินัยกว้าง ๆ ที่เรียกว่า การเว้น หมดจากความเป็นฆราวาส เว้นหมดจากสิกขาบทที่เขาห้ามไว้อย่างไรด้วยความสำรวมระวังให้ดีที่สุดเพื่อให้เกิดการบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สอนกันจริง แล้วผลก็จะเกิดขึ้นเป็นอานิสงส์ ๓ ประการ อย่างที่กล่าวแล้วว่า อานิสงส์สำหรับผู้บวชเอง อานิสงส์สำหรับบิดา มารดา เป็นต้น อานิสงส์สำหรับศาสนาและส่วนรวม นี่ขอให้ถือว่ามันมีเท่านี้ มันมีเท่านี้ทั้งหมดมันมีเท่านี้ ที่พูดนี้ไม่ใช่พูดในนามของผม ไม่ใช่ความรู้ของผม หรือบทบัญญัติของผม มันเป็นบทบัญญัติของพระพุทธเจ้า เป็นความรู้ เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า สอนสืบ ๆ กันมาถึงผม ผมก็พูดไปตามที่มีอยู่อย่างไร ก็ด้วยความหวังว่าเราทุกคนนี้จะช่วยกันสืบอายุพระศาสนา ส่งเสริมบำรุงพระศาสนา ไม่มีส่วนแห่งการทำลายพระศาสนาแม้แต่นิดเดียว แม้แต่นิดเดียวหมายความ แม้แต่ ๑ คนหรือครึ่งคน ไม่มีผู้ใดที่เป็นอยู่อย่างชนิดที่เรียกว่าเป็นการทำลาย ศรัทธาประสาทะ ของคนในโลกที่จะพึงมี ในที่หมู่สงฆ์ ในพระพุทธศาสนา หรือในพระรัตนตรัยก็ตาม ขอยุติการพูดเรื่องวินัย ด้วยท่านทั้งหลายผู้เป็นสหธรรมิก พรหมจารีย์ร่วมกัน เอาแหละ วันนี้ก็เท่านี้ดีกว่า พรุ่งนี้มาพูดกันอีก