แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมไม่ใช่เรื่องจะพูดกันได้จบภายในชั่วโมงเดียว วันเดียว ท่านทั้งหลายมาหาความสนุกมากกว่ามาหาความรู้ จัดเวลาให้แก่การศึกษานิดเดียว พวกฝรั่งมาที่นี่เดือนหนึ่งสิบวันสิบคืน แต่คนไทยมาบึ้นๆ บึ้นๆเท่านั้น ไม่ต้องการความรู้อะไร ฝรั่งมันต้องการความรู้ที่ดับทุกข์ได้ ความรู้ที่ทำให้ชีวิตไม่ขาดเจ้าของ (นาทีที่ 1:17) นี่เขาต้องการกันอย่างนั้น ถ้าพูดถึงธรรม ธรรมก็คือความรู้ ที่จะดับความทุกข์ได้ ดับทุกข์ประจำวันได้ ที่ทำให้นอนไม่หลับ ที่ทำให้ปวดหัว ที่ทำให้กระทั่งเป็นบ้า เพราะไม่มีธรรม ถ้ามีธรรมมันก็ไม่เป็นอย่างนั้น มันจะความสะอาดสว่างสงบแห่งจิตใจ และก็มีเสรีภาพ จะมีชีวิตที่สงบเย็นและเป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเป็นผลของธรรม ให้สมกับที่ว่าธรรมเป็นของสูงสุด ทุกคน พระพุทธเจ้ายังเคารพธรรม พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เคารพธรรม เป็นสิ่งสูงสุดที่จะต้องทำให้ดีที่สุด เป็นสิ่งถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องอยู่เสมอ กลางวันกลางคืน ทั้งที่บ้านทั้งที่ไหนก็ตาม
ถ้าว่ากันโดยย่อ คือ ก็คือ รู้จักเหตุแห่งความทุกข์เสียก่อน แล้วมันจึงจะดับทุกข์ได้ ต้องดูด้วยตนเองว่ามีความทุกข์ไหม ถ้าไม่มีความทุกข์ก็ไม่มีเรื่อง ถ้ามีความทุกข์ นี่มีความทุกข์ เห็นอยู่ว่ามีความทุกข์ ก็ดูให้รู้ว่ามีเหตุที่ตรงไหนมีเหตุอะไรมันจึงเกิดความทุกข์ เมื่อพบเหตุนั้นแล้วดับที่เหตุ ดับที่เหตุ ความทุกข์ก็ไม่เกิด ดับไฟก็ต้องดับที่ต้นเหตุแห่งไฟ ไฟมันจึงจะดับไปดับที่ปลายไฟมันก็ไม่ดับ ต้องดับที่เหตุ พระพุทธศาสนามีความสำคัญตรงที่ว่าดับทุกข์ต้องดับที่เหตุ สิ่งทั้งปวงมีเหตุ ไม่ใช่ไม่มีเหตุ แต่ละคนไม่ค่อยจะรู้แล้วก็หาว่าไม่มีเหตุ นี่มันโง่ สิ่งทั้งปวงนี่มันมีเหตุก็จัดการที่เหตุ แล้วผลมันก็ได้ ที่ไม่ปรารถนามันก็หายไป ที่ต้องการก็มีมา นี่คือจัดการที่เหตุ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งเหตุผล อยู่ในอำนาจแห่งเหตุผล ไม่อยู่ในอำนาจของไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์นั้นไม่ใช่พุทธศาสนา ไสยศาสตร์มีเหตุภายนอก ตัวเหตุอะไรก็ไม่รู้ ผีสางเทวดา แต่ถ้าพุทธศาสนามีเหตุอยู่ภายในนั่นคือ ในตัวที่เป็นเหตุคือกิเลส คือความโง่ คืออวิชชา ต้องจัดการที่ต้นเหตุ เมื่อมีเหตุต้องจัดการที่ต้นเหตุ ดับทุกข์ได้ ดับไฟได้ ดับอะไรได้ ถ้าดับที่ต้นเหตุ
สัตว์ที่ฉลาดเป็นราชสีห์หรือเสือมันจัดการที่ต้นเหตุ ถ้าไม่จัดการที่ต้นเหตุมันก็เป็นลูกหมา ไม่ใช่ลูกเสือ ถ้าคุณเอาไม้ไปแหย่เสือ เสือมันจะกระโจนกัดคน ถ้าไอ้หมาโง่มันกัดที่ปลายไม้ หมาโง่มันกัดที่ปลายไม้ที่ปลายเหตุ มันเป็นหมาเพราะเหตุนั้น ถ้าเป็นเสือ เป็นสิงโต เป็นราชสีห์ มันไม่มัวกัดที่ปลายไม้ที่แหย่ มันกระโจนใส่คน มันกัดที่ต้นเหตุ มันจึงสามารถที่จะ มันแก้ความทุกข์ได้ ถ้าเป็นลูกเสือต้องรู้จักจัดการที่ต้นเหตุ ถ้าไปมัวจัดการที่ปลายเหตุก็เป็นลูกหมา ไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องสงสัย มีแค่นั้นแหล่ะ ถึงจะทำไร่ทำนาทำสวนค้าขาย ทำอะไรก็ตาม ต้องจัดการที่ต้นเหตุ ปลายเหตุมันระงับไปเอง เรียกว่าเป็นพุทธบริษัท มีการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า และก็จะต้องจัดการที่ต้นเหตุ เหตุให้เกิดทุกข์คือตัณหา พูดให้เห็นต้นตอก็คืออวิชชา อวิชชาเกิดตัณหา ตัณหาเกิดอุปทาน อุปทานก็เป็นทุกข์เท่านั้น ความทุกข์มันมีเหตุ ต้องจัดการที่ต้นเหตุ แล้วก็ดับทุกข์ได้
การดับทุกข์หรือการแก้ปัญหาเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ทุกคนต้องจำไว้ว่า มันมีประโยชน์ มันกำจัดโทษมันมีประโยชน์ ถ้าไม่มีประโยชน์จะทำไปทำไม เสียเวลา อย่างท่านเป็นลูกเสือชาวบ้าน ต้องทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ถ้าทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ก็เสียเวลาเปล่า แล้วก็ไม่มี ไม่เป็น ทำตัวให้ชนะปัญหาบ้าง แล้วก็ช่วยผู้อื่นแก้ปัญหาด้วย คือดับทุกข์ที่ต้นเหตุ ดับทุกข์ที่ต้นเหตุ เดี๋ยวนี้เรามาดูกันนะ ความทุกข์ ความเลวร้าย วิกฤตการณ์ทั้งหลายในบ้านในเมืองในโลกทั้งโลกนี้มันมาจากอะไร เมื่อมาหาเหตุให้พบว่าทำไม ว่าทำไมจึงเต็มไปด้วยปัญหายุ่งยาก จึงต้องมีนั่นมีนี่ จนกระทั่งมีลูกเสือชาวบ้านนี้เพื่ออะไร เพื่อประโยชน์อะไร ทำลายอะไรออกไปแล้วจะได้อะไรเข้ามา ทำสิ่งที่ทุกข์ที่เป็นปัญหาให้หมดไป ถ้าตอบสั้นๆ เดี๋ยวนี้นะโดยเฉพาะเดี๋ยวนี้นะพวกคุณก็พอจะมองเห็นว่าต้นเหตุแห่งความเลวร้ายทุกชนิดกี่ร้อยกี่พันกี่หมื่น ความเลวร้ายทุกชนิดมาจากความเหตุแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวคำเดียวเป็นต้นเหตุทุกอย่างทุกประการ เขาเรียกว่า ความเห็นแก่ตัวมาจากความโง่ หรืออวิชชา มาจากความโง่ มาจากอวิชชา มันเห็นแก่ตัว มันเป็นกิเลส ก็ทำไปตามกิเลส ตามความเห็นแก่ตัว จึงเกิดปัญหายุ่งยากนานาประการ ต้นเหตุแห่งเลวร้ายที่สุด ทุกชนิดทุกอย่างในโลก คือความเห็นแก่ตัว
พูดถึงเรื่องคนเห็นแก่ตัว สมัยก่อนมันเป็นอย่างไร คนเห็นแก่ตัว มันก็ไม่เห็นแก่พระธรรม มันไม่เห็นแก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คนเห็นแก่ตัวมันเห็นแก่ตัวมันเอง มันไม่เห็นแก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วมันก็ไม่เห็นแก่ผู้อื่น ไม่เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ไม่ดูหน้าใคร ไม่เห็นแก่ความถูกต้อง ไม่เห็นแก่ความจริง เห็นแต่ประโยชน์ของตัว ผู้ที่เห็นแก่ตัวมันจะเห็นแต่ประโยชน์ของตัว ข้อนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า อัตตัตถปัญญา อสุจี มนุสสา เคยได้ยินไหม อัตตัตถปัญญา อสุจี มนุสสา ผู้ที่มีปัญญาแต่ในทางประโยชน์ของตัวเป็นมนุษย์สกปรก อัตถะปัญญา มีประโยชน์ มีปัญญาแต่เห็นประโยชน์ของตัว ของตัว ไม่เห็นประโยชน์ของใคร อสุจี มานุษา เป็นมนุษย์อสุจิ เป็นมนุษย์สกปรก เป็นหลักที่พระพุทธเจ้าตรัส เรามาดูกันการเห็นแก่ตัวเป็นอย่างไร คนเห็นแก่ตัวเป็นอย่างไร แล้วจึงค่อยพูดถึงว่าจะกำจัดมันอย่างไร
คนเห็นแก่ตัว มันไม่เห็นแก่ผู้อื่น มันก็ไม่เห็นแก่ความถูกต้อง มันไม่เห็นแก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นแก่ประโยชน์ของตัวคนเดียว เห็นแก่ตัวนั้นมันประหลาดที่สุด มันขี้เกียจ มันจะนอนแล้วให้คนอื่นทำ ทำ ทำไปแล้วพลอยเอาประโยชน์ อยากจะนอน ตัวเองอยากจะนอนแต่มันจะเอาประโยชน์ คนเห็นแก่ตัวมันจะโง่อย่างนี้ ตัวเองอยากจะนอน แต่ไม่อยากจะทำประโยชน์ แต่อยากเอาแต่เงิน อยากจะมีเงิน มันไม่งกงาน มันงกเงิน คนเห็นแก่ตัว ชวนมาทำถนน เดินกัน คุณทำเถอะ คุณทำ ทำซะ ฉันจะเป็นผู้เดินเอง คนเห็นแก่ตัว ขี้เกียจ คนเห็นแก่ตัวนั้นมันเอาเปรียบ เอาเปรียบทุกอย่างทุกประการ คนเห็นแก่ตัวต้องเอาเปรียบ คนเห็นแก่ตัวจะอิจฉาริษยาผู้อื่น ไม่อยากให้ใครดีกว่า สวยกว่า อะไรกว่า อิจฉาริษยาไปหมด ไอ้ความอิจฉาริษยากัดตัวมันเอง อิจฉาใครคนนั้นไม่รู้สักที แต่ความริษยากัดตัวมันให้ร้อนรน นอนไม่หลับอยู่คนเดียว คนเห็นแก่ตัวอิจฉาริษยาเอาเปรียบผู้อื่น ทำลายธรรมชาติ ทำลายป่า ทำลายแม่น้ำลำธาร ทำลายอะไรก็ตาม คนเห็นแก่ตัว เห็นประโยชน์แก่ตัว เห็นแก่ทำลาย อะไรได้ประโยชน์แก่ตัว ทำลายใครก็ได้ไม่ยอมรับรู้ นี่คนเห็นแก่ตัวทำลายธรรมชาติ คนเห็นแก่ตัวสร้างมลภาวะ ทิ้งสิ่งสกปรกรกรุงรังเต็มไปหมด เป็นเหตุแก่ความสกปรกรกรุงรัง ไม่ควรจะมีก็มีขึ้นมาเพราะมันเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัวสร้างมลภาวะ
คนเห็นแก่ตัวมันโง่ มันโง่ ไม่เห็นแก่ความถูกต้อง มันไปกินเหล้า มันไปสูบบุหรี่ มันไปเสพยาเสพติด ก็มันเห็นแก่ตัว ก็มันเห็นแก่ตัว ถ้ามันเห็นแก่ความถูกต้องมันไม่ทำสิ่งเหล่านี้เพราะมันไม่มีประโยชน์ ไปทำอบายมุขทั้งหลาย ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน ไม่มีประโยชน์ คบคนชั่วเป็นมิตรไม่มีประโยชน์ แต่มันจะทำ มันทำลายประโยชน์และมันก็สร้างมลภาวะ สร้างโรคติดต่อ สร้างอะไรต่างๆ นานา ในที่สุดมันก็ขี้เกียจไม่อยากจะทำงาน ก็ไปปล้นไปจี้ดีกว่า คนเห็นแก่ตัวพอทำงานพอเหงื่อออกมามันโกรธ โกรธเหงื่อออกมามันร้อน โกรธก็ไปปล้นไปจี้ดีกว่า ดีกว่ามาทำงานเหงื่อออกอยู่อย่างนี้ ไปปล้นไปจี้ เป็นอันธพาล คนเห็นแก่ตัวเป็นอันธพาล ลึกเข้าไปลึกเข้าไปในทางเป็นอันธพาล มันก็ประสบความเลวร้ายมากขึ้นมากขึ้น ไม่มีใครเห็นด้วย ไม่มีใครยอมรับ ในที่สุดคนเห็นแก่ตัวมันก็หลงทาง ความเห็นแก่ตัวของมันนั่นนะหลงทาง ทำสิ่งไม่ควรทำมากขึ้น ทำสิ่งเลวร้ายมากขึ้น มันตัดเศียรพระก็ได้ ทำอะไรก็ได้ มันหลงทางไปหมด จนกระทั่วมันหลงขนาดหนัก แก้ปัญหาไม่ได้เพราะมันตามใจตัว แล้วมันก็ฆ่าพ่อฆ่าแม่ฆ่าลูกฆ่าเมีย ฆ่าตัวเองตายตามไปเลย ฆ่าตัวมันเองตายตามไปเลย คนเห็นแก่ตัวมันถึงขนาดนั้น หรือไม่ถึงอย่างนั้นก็ไปอยู่โรงพยาบาลบ้า ขอท้าให้คุณไปดูลองไปสอบสวนไปถามประวัติดู คนบ้าทุกคนในโรงพยาบาลบ้าว่าทำไมมาอยู่ที่นี่ ถ้าไปศึกษามูลเหตุ มูลเหตุแท้จริง โอ้มันมาจากการเห็นแก่ตัวเป็นตั้งต้น และก็ผิดไปผิดไป จนเป็นบ้า นี่มาอยู่ตามโรงพยาบาลบ้าก็มี ฆ่าตัวเองตายที่สุดก็มี ฆ่าพ่อฆ่าแม่ฆ่าลูกฆ่าอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละคนเห็นแก่ตัวที่มันหลงทางกันมาอย่างเต็มที่
นี่เห็นไหมล่ะกี่อย่างกี่อย่างก็มาจากความเห็นแก่ตัว แล้วก็เกิดปัญหาทั้งบ้านทั้งเมืองหรือทั้งโลก คนมั่งมีก็เห็นแก่ตัว คนยากจนก็เห็นแก่ตัว มันจึงรักกันไม่ได้ คนมั่งมีก็เห็นแก่ตัว คนยากจนก็เห็นแก่ตัว มันจึงรักกันไม่ได้ มันต่อสู้ฝัดเหวี่ยงกันด้วยเงินเดือนด้วยอะไรต่างๆ ฝัดเหวี่ยงกันเรื่อยไป นายจ้างก็เห็นแก่ตัว ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัวมันรักกันไม่ได้ มันแทบจะเป็นศัตรูกันอยู่เรื่อยทั้งที่กินเงินเดือนของเขา นายจ้างก็ได้รับประโยชน์จากลูกจ้าง มันก็ยังเป็นคู่ต่อสู้กันอยู่ มันรักกันอย่างลูกหลานไม่ได้ ไม่ว่านายจ้างหรือลูกจ้าง
เรื่องนี้ทำให้นึกถึงครั้งพุทธกาล ครั้งพุทธกาล คนยากจนก็มี คนมั่งมีก็มี ลูกจ้างก็มี นายจ้างก็มี มันไม่มีปัญหาอย่างนี้ ถ้าคนมั่งมีเขาสงเคราะห์คนยากจนอย่างกับลูกกับหลาน ถ้ากรรมกรมาอยู่กับคนมั่งมีก็รักกันอย่างลูกอย่างหลาน ไปทำงานก็ไปทำด้วยกัน ทำอะไรก็ทำด้วยกัน กินข้าวก็กินด้วยกัน สงเคราะห์กัน มันรักกันอย่างลูกอย่างหลาน เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเหมือนกับบิดามารดา เขาเรียกว่าเป็นพ่อเลี้ยงใจบุญ คนมั่งมีเป็นพ่อเลี้ยงใจบุญให้แก่คนยากจน พอมาถึงยุคนี้ไอ้คนมั่งมีเป็นนายทุนกระดาษซับ เข้าใจไหม เป็นนายทุน เป็นนายทุนอย่างกระดาษซับ ซับหมดทุกอย่างเลย นายทุนกระดาษซับ คนมั่งมีสมัยนี้เป็นนายทุกระดาษซับ ซับเอาประโยชน์หมดเลย คนมั่งมีสมัยก่อนเป็นพ่อเลี้ยงใจบุญเหมือนบิดามารดา เศรษฐีสมัยโบราณทำงานพอมีเงินเก็บได้เท่าไรก็เอาไปตั้งโรงทาน จึงจะเรียกว่าเศรษฐี สมัยพุทธกาลมีเงินก็เอาไปตั้งโรงทานเลี้ยงคนยากจนเข็นใจ เลี้ยงนักบวช เลี้ยงภิกษุ สามเณร เลี้ยงนักบวชตั้งโรงทาน เงินที่เหลือก็เอาไปเก็บไว้ เพื่อหล่อเลี้ยงโรงทาน มันไม่มีธนาคารเหมือนเดี๋ยวนี้ มันก็ไปเก็บซ่อนตังค์ไว้ในที่ที่ไหนไม่มีใครรู้ ไปฝังไว้ในป่า หรือที่ไหนไม่มีใครรู้ พอขัดสนขึ้นมาก็เอามาหล่อเลี้ยงโรงทาน พอมีประโยชน์เหลือก็เอาไปก่อตั้งโรงทานหล่อเลี้ยงโรงทาน คนสมัยนี้มีเงินเยอะๆ ไม่มีใครก่อตั้งโรงทาน ยิ่งไปลงทุนขูดรีดต่อไป ลงทุนให้มากไปอีกขูดรีดมากต่อไปอีก มันต่างกันอย่างนี้ ทั้งโลกจึงไม่เหมือนกัน โลกที่เคยสงบร่มอยู่กันอย่างเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย เปลี่ยนจากเพื่อนเป็นศัตรู เป็นคู่ศัตรู นายทุนมหาศาลในโลกเห็นแก่ตัว คนเป็นอาชีพกรรมกรทั้งหลายในโลกก็เห็นแก่ตัว มีลัทธิต่อสู้กันจนถึงเดี๋ยวนี้ไม่รู้กี่สิบปีมาแล้วระหว่างนายทุนกับคนกรรมาชีพ ลัทธิคอมมิวนิสต์กับลัทธิเสรีประชาธิปไตยมันไม่มีทางที่รักกันได้ อันหนึ่งเป็นนายทุนขูดรีด อันหนึ่งเป็นคนยากจน นี่เรียกว่ามันอยู่กันไม่ได้ ไม่มีความสงบสุขถ้ามันมีความเห็นแก่ตัว ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเห็นแก่ตัวยิ่งเป็นนายทุนลึกซึ้ง คนจนก็เห็นแก่ตัวเหมือนกัน ไม่ใช่ฝ่ายเดียวมันต้องเห็นกันทั้งสองฝ่าย คนจนก็ยิ่งเห็นแก่ตัว แล้วก็แก้แค้น แก้แค้น พวกคอมมิวนิสต์นี่พวกแก้แค้นไม่มีความสงบทั้งโลก
คุณลองคิดดูถ้าไม่เห็นแก่ตัวแล้วมันจะเป็นอย่างนี้ไม่ได้ มันไม่มีคู่ต่อสู้กัน มันเกิดการร่วมมือกัน ร่วมมือกันแก้ไขทุกอย่างในโลกให้สิ้นสุดเยือกเย็นขึ้น โลกพระศรีอริยเมตไตรย มีแต่ความเห็นแก่ตัวมากขึ้น ไม่รู้จะโทษใคร ความเจริญในโลกสมัยใหม่ ยิ่งเจริญยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเจริญยิ่งเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ยิ่งเจริญยิ่งรักกันนะ คุณดู ยิ่งเจริญ ยิ่งเจริญเหลือเกินโลกนี้ การศึกษาก็เจริญ การอนามัยก็เจริญ การประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ก็เจริญ ไปเที่ยวโลกพระจันทร์ก็ได้ ไปไหนก็ได้ เหาะเหินเดินอากาศก็ได้ เต็มไปด้วยรถยนต์เต็มไปด้วยเครื่องบิน ไม่มีความสงบสุข ยิ่งเจริญยิ่งเห็นแก่ตัว มันใช้สิ่งที่วิเศษเหล่านั้นสร้างความเห็นแก่ตัว
บางคนถึงกับแขวนวิทยุเกี่ยวข้าวไปพลางฟังเพลงไปพลาง มันถึงขนาดนี้ เรียกว่าความเห็นแก่ตัวมันมากขนาดนี้ มันไม่ได้ฟังวิทยุเพื่อฟังเทศน์ มันใช้วิทยุเพื่อฟังเพลง นี่มันเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว มันก็เลยแข่งขันกันแย่งชิงกัน รบรากันต่อสู้กันขัดแย้งกัน ต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัว ไอ้ที่เคยดี ดี ดี มาแต่ก่อนมันก็เลว เลว เลวหมด ควรพิจารณาดูในข้อนี้ดีว่า ถ้าหมอพวกหมอทั้งหลายมันเห็นแก่ตัว เป็นอย่างไร มันขูดรีดค้ายาแพง ขูดรีด เกี่ยงเอามากมาย เพราะหมอไม่มีแล้วหมอเป็นพ่อค้าไปหมดแล้วเพราะความเห็นแก่ตัวเข้ามาเท่านั้น พ่อค้าขูดรีด ไม่ใช่แต่หมอ ครูก็ตาม ครูถ้าเห็นแก่ตัวมันไม่เป็นครูล่ะ มันเป็นพ่อค้า เด็กขูดรีดพ่อแม่ เด็กขูดรีดเด็กไปแล้ว ครูมันก็กลายเป็นผู้ขูดรีดเป็นพ่อค้าไปแล้ว เอ้าผู้พิพากษาอัยการลองเห็นแก่ตัวสิ มันก็กลายเป็นผู้ขูดรีดติดสินบน มันก็ไม่มีที่จะถูกต้องได้ มันเพื่อนกันแท้ๆ เป็นเพื่อนรักเพื่อนเกลอก็ต้องขูดรีด พอเห็นแก่ตัวก็ต้องแยกกัน ต้องแตกกัน เหมือนผัวเมียที่มันรักใคร่กันมากมายพอเกิดความเห็นแก่ตัวมันก็ต้องหย่ากัน ลูกกับบิดามารดานี้ก็เห็นแก่ตัว บิดามารดาก็ต้องน้ำตาตก ลูกมันไม่เอื้อเฟื้อ ลูกมันไม่เคารพพ่อแม่ มันไม่กตัญญูพ่อแม่ มันทำอะไรตามชอบใจมัน มันใช้เงินเปลือง มันเป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เล็ก มันชิงสุกก่อนห่าม ตอนนี้พ่อแม่ก็ตกนรกทั้งเป็น ถ้ามันเห็นแก่ตัวมันก็ทำอย่างนั้น ถ้าไม่เห็นแก่ตัว มันเห็นแก่พ่อแม่มันก็ไม่ทำอย่างนั้น นี่พูดกันว่าความเห็นแก่ตัวมันเลวร้ายอย่างไร ไปเป็นอันตพาลมากขึ้น ไปเป็นอันตพาลมากขึ้นจนเดี๋ยวนี้ปรากฏว่า ไม่มีคุกพอที่จะใส่แล้ว คุกเรือนจำไม่มีพอที่ต้องใส่อันตพาลนี่ เงินไม่พอ ไปจัดการอย่างอื่น ไปจัดการรออาญาคุมประพฤติอะไรก็ตามเรื่อง เพราะมันไม่มีเงินจะสร้างคุก อันตพาลมันมากจนไม่มีเงินจะสร้างคุก จะสร้างตำรวจ สร้างตำรวจขึ้นมาเท่าไรมันก็ไม่พอกับอันตพาล สร้างโรงพักไม่พอกับอันธพาล สร้างโรงพยาบาลก็ไม่พอกับคนบ้า ยิ่งเห็นแก่ตัวยิ่งเป็นบ้า ยิ่งเห็นแก่ตัวยิ่งเป็นบ้า โรงพยาบาลบ้าก็สร้างไม่ทัน ไม่มีเงินจะสร้าง ต้องใช้วิธีการอย่างอื่นแล้ว นี่เรื่องของความเห็นแก่ตัว
คอยระวังนะ พูดกันตรงๆก็ได้นะ ประชาชนนี่มันเห็นแก่ตัว มันรับจ้างเลือกผู้แทน เมื่อผู้แทนมันจ้างให้เลือกมันก็เลือก เป็นประชาชนที่เห็นแก่ตัว แล้วผู้แทนคนนั้นมันก็ต้องเห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ตัวมันจึงมาจ้าง ราษฎรก็เห็นแก่ตัว ผู้แทนก็เห็นแก่ตัว เลือกคนเช่นนี้ไปเป็นผู้แทนมากขึ้น เลือกคนพวกนี้เข้าไปเยอะขึ้นก็เป็นสภาของคนเห็นแก่ตัวจนสภาทั้งสภาเต็มไปด้วยสมาชิกที่เห็นแก่ตัว ถ้าสภาชนิดนี้ไปตั้งรัฐบาลขึ้นมา คัดเลือกไปตัวรัฐบาลขึ้นมา มันก็เป็นรัฐบาลที่เห็นแก่ตัวไม่มีอะไรเหลือ ประชาชนก็เห็นแก่ตัว สภาผู้แทนก็เห็นแก่ตัว รัฐบาลก็เห็นแก่ตัว อะไรเหลือ เดี๋ยวนี้พระเจ้าพระสงฆ์ก็จะไม่มีอะไรเหลือนะ แต่พูดแบบนี้มันถูกด่านะ จะพูดกันเงียบๆว่า แม้แต่พระเจ้าพระสงฆ์ก็ชักจะเห็นแก่ตัวมากขึ้น ทำอะไรก็รีๆขวางๆมากขึ้น เป็นกันทั้งบ้านทั้งเมืองทั้งโลกทั้งจักรวาลมันเห็นแก่ตัว พวกเทวดาก็เห็นแก่ตัว เทวดาก็ขบกัดกันเสมอเหมือนกันแหล่ะ มีความเห็นแก่ตัวที่ไหนก็ขบกัดกันที่นั้น
นี่พบหรือยังล่ะต้นเหตุ ต้นเหตุของความเลวร้ายในโลกทุกชนิดกี่ร้อยกี่ชนิดมันมาจากความเห็นแก่ตัว พอมองดูที่ต้นเห็นเออเห็นแก่ตัวทำลายมันเสีย อย่ามัวไปทำลายที่ปลายเหตุ มันจะเป็นลูกหมา ต้องทำลายที่ต้นเหตุมันจะเป็นลูกเสือ จะทำลายให้ได้จริงๆ ต้องทำลายที่ต้นเหตุ ทำลายที่ปลายเหตุมันไม่มีวันจะสำเร็จหรอกโยม ให้ทุกคนสนใจที่จะไม่เห็นแก่ตัว ทำลายความเห็นแก่ตัว เป็นลูกเสือนั่นแหล่ะจุดหมายแท้จริงคือทำลายความเห็นแก่ตัว จุดหมายที่แท้จริงคุณอาจจะไม่รู้ก็ได้ คุณเป็นลูกเสืออาจไม่รู้ก็ได้ว่า เป็นลูกเสือนี่คือการทำลายความเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ว่าทำลายเพียงขี้เหนียวไม่ใช่ ทำลายความเห็นแก่ตัวทั้งหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เอาเปรียบไม่ฉ้อฉลไม่เหลาะแหละทุกอย่าง อุดคติของลูกเสือ เสียชีพไม่เสียสัตย์ ถ้าเห็นแก่ตัวมันรักษาไว้ไม่ได้ มันรักษาสัตย์ไว้ไม่ได้ มันเห็นแก่เงินแก่อะไร มันก็เสียสัตย์ไปหมด ต่อให้ตาตื่นมาจะช่วยผู้อื่นก็ช่วยไม่ได้หรอกเพราะมันเห็นแก่ตัว มันต้องการประโยชน์ ต้นเหตุมันไม่ช่วย มันไม่สามัคคี มันไม่สามัคคี เพราะมันเห็นแก่ตัว มันไม่ได้รักชาติด้วยใจจริง มันรักแต่ปาก ว่าใจมันรักเงิน มันรักประโยชน์ มันรักเงิน แต่ปากมันรักชาติ รักชาติ มันรักชาติเอาไว้ขาย มันชาติแบบนี้เอาไว้ขาย นี่เรียกว่าลูกเสือที่แท้จริงมันต้องไม่เห็นแก่ตัว มันทำทุกอย่างเพื่อจะไม่เห็นแก่ตัว จะให้ทาน
สมมติว่าคุณจะให้ทานก็ต้องช่วยลดความเห็นแก่ตัว ให้ทานไปเท่าไรมันเอาความเห็นแก่ตัวออกไป เอาความเห็นแก่ตัวออกไป เขาเรียกว่าการให้ ให้ทานก็ลดความเห็นแก่ตัว ถ้าให้ทำบุญให้ทานเอาสวรรค์ มันค้ากำไรเกินควร ไม่ใช่ทำบุญ ไม่ใช่บุญ ถ้าจะทำทานให้เป็นบุญจริงๆ ต้องช่วยลดความเห็นแก่ตัว คือมันล้างบาป ล้างบาป ถ้าเป็นบุญโดยแท้จริงมันจะล้างบาป ล้างบาป ล้างบาป ไม่ใช่มาเพิ่มความร่ำรวย ไม่ใช่เพิ่มความงดงาม เอร็ดอร่อย สนุกสนาน ไม่ใช่ อย่างนั้นมันไม่ใช่บุญ มาล้างบาป รักษาศีลก็รักษาศีลช่วยลดความเห็นแก่ตัว ไม่ใช่อวดใคร จะทำสมาธิวิปัสสนา หมดความเห็นแก่ตัว จะทำบุญให้ทาน ทำบุญให้ทานอย่างที่คุณทำกันอยู่ตลอดเวลา ก็ให้มองให้เห็นชัดว่านี่มันต้องลดความเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ทำบุญเอาหน้า ทำบุญอวดคน มีแต่ทำบุญเอาหน้า ทำบุญอวดคน ทำบุญแล้วก็ตีฆ้องร้องป่าว กูทำบุญโว้ย กูทำบุญโว้ย ทำบุญเอาหน้า
พระเยซูฝ่ายศาสนาคริสต์สอนมากเรื่องนี้ อย่าทำบุญเอาหน้า คือว่าทำบุญแล้วอย่าเป่าแตร เขาพูดอย่างนั้น นี่ทำอะไรก็เป่าแตร ทำอะไรก็เป่า ทำอะไรก็ขยายเสียงมาตะโกนลั่นหมด รู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองทั้งวันทั้งคืน นี่มันทำบุญเอาหน้า พระเยซูเขียนอักษรไว้อย่างนี้ ทำบุญแล้วอย่าเป่าแตร อย่าแห่กันไปเอ็ดตะโร โฆษณากูทำบุญ กูทำบุญ สอนตั้งแต่ว่ามือซ้ายทำบุญอย่าให้มือขวารู้ เดี๋ยวมันจะเป่าแตร ถ้ามือขวาทำบุญแล้วอย่าให้มือซ้ายรู้เดี๋ยวมันจะเป่าแตร มันจริงเท่าไรมันซื่อตรงเท่าไร อยู่ที่ว่าเราสมัครปิดทองหลังพระ ไม่เอาหน้า ไม่เอาหน้า ไม่เอาหน้า ทำบุญเอาหน้ามันไม่ใช่บุญ ทำบุญได้บุญมันก็ต้องล้างบาป สมัครปิดทองหลังพระ ทำบุญแท้จริง ทำบุญอย่างยิ่ง ทำบุญแท้จริงแล้วมันก็ได้บุญแท้จริง ไม่ใช่ปิดทองหลังพระ เดี๋ยวนี้มีแต่ปิดทองหน้าพระ แย่งกันไปปิดที่ตรงนั้น นี่มันไม่จริง มันไม่จริง คนเราสมัครปิดทองหลังพระนี่ได้บุญจริง ได้บุญดีกว่า
ดังนั้นขอให้เราปรับปรุง ปรับปรุงไอ้ความเห็นแก่ตัวจงหมดไป ไอ้ความไม่เห็นแกตัวจงเข้ามา ต้องมีสติต้องมีปัญญา มีปัญญาคือรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรเป็นทุกข์ อะไรไม่เป็นทุกข์ อะไรเป็นโทษ อะไรเป็นคุณ ต้องมีสติระลึกให้ได้ ระลึกให้ได้ สติระลึกให้ได้ ถ้าอย่างนั้นคือถูกต้องอย่างนั้นคือไม่ถูกต้อง ระลึกให้ได้ มันต้องมีขันติ ขันติ สมาธิรวมกันบังคับไว้ อย่าให้ทำผิด ให้ทำแต่ถูกต้อง ถ้ามีสมาธิมันก็บังคับจิตได้มันก็ไม่ทำอะไรผิดๆ เราก็รอดตัว รู้ว่าอะไรถูกผิดอย่างไร เรามีสติระลึกได้ทันท่วงทีอย่าเผลอไผล แล้วก็บังคับไว้ให้ทางเดินให้ถูกต้องอยู่เสมอ มีสัจจะต่อตัวเอง สัจจะต่อตัวเอง ก็สัจจะหมดแหล่ะ ถ้าไม่สัจจะต่อตัวเอง มันก็มีแต่ปากพูดไม่จริง ถ้าตรงต่อวาจา ตรงต่อเวลา ตรงต่ออะไรก็ ถ้ามันไม่ตรงต่อตัวเอง ไม่มี สัจจะอื่นไม่มี ซื่อตรงต่อความเป็นมนุษย์ของเรา เป็นมนุษย์ที่ถูกต้องมีจิตใจสูง บังคับกิเลสได้ สัจจะต่อตัวเองอย่างนี้ บังคับให้อยู่อย่างนี้ ต้องอดทน ถ้ามันเจ็บปวดต้องอดทน อดทน อดทน ถ้าจะสละออกไปได้ ก็สละออกไป จะได้ไม่บ่นมาก
ธรรมข้อนี้เป็นพุทธภาษิต ในหลวงเอามาใช้เป็นหลักสอนประชาชนให้ยึดถือธรรม 4 ข้อนี้ วิเศษ นอกจากฆราวาสแล้วไม่มีธรรมใดวิเศษไปกว่าไอ้ธรรม 4 ข้อนี้ พอเรามีธรรมเหล่านี้ สิ่งที่เป็นโทษก็อย่าทำเลย แม้ว่าจะไม่เป็นโทษแต่ไม่มีประโยชน์ก็อย่าทำเลย ถ้าไม่มีประโยชน์มันก็เปลืองเปล่า มันก็เท่ากับเป็นโทษอยู่นั่นแหล่ะ จะไปสูบบุหรี่ทำไม จะไปกินเหล้าทำไม มีแต่เรื่องหลอกลวง หลอกลวง หลอกลวงว่าอร่อย มันให้โทษเหลือประมาณ มันตายเร็วโดยไม่ต้องมีใครแช่ง ยิ่งสูบบุหรี่มากๆ กินเหล้ามากๆ ตายเร็วไม่มีใครแช่ง พิสูจน์กันมาทั้งโลกแล้วว่ามันเป็นอย่างนั้น โรคมะเร็งมันคอยรับ คอยต้อนรับ ไอ้นักบุหรี่นักกินเหล้า คอยอยู่รออยู่ ไม่ต้องมีใครแช่งมันตายเร็ว อบายมุขทั้งหลายเป็นอย่างนั้น ดื่มน้ำเมานี่ เที่ยวกลางคืนมันก็ทรมานกาย ดูการเล่นทำให้โง่ เรื่องที่ฉลาดมีน้อยมาก ที่ไปดูๆ มันทำให้โง่ทั้งนั้น เล่นการพนันจริงๆแล้วอย่างกับผีสิง เกลียดคร้านทางการงานนี่มันผิดหน้าที่ คบคนชั่วเป็นมิตรก็จูงกันไป
ธรรมคือหน้าที่ ธรรมคือหน้าที่ หน้าที่คือสิ่งที่ช่วยให้รอด ธรรมคือสิ่งที่ช่วยให้รอด หน้าที่ก็คือสิ่งที่ช่วยให้รอด ดังนั้นธรรมกับหน้าที่มันคือสิ่งเดียวกัน ธรรมเป็นบาลี เรียกเป็นไทยว่าหน้าที่ เรียกเป็นบาลีว่าธรรม ธรรมกับหน้าที่เป็นสิ่งเดียวกัน เป็นสิ่งที่จะช่วยให้เรารอด ปฏิบัติหน้าที่คือปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมคือปฏิบัติหน้าที่ เป็นชาวนา ชาวสวน เป็นพ่อค้าแม่ค้า เป็นข้าราชการ เป็นใครก็ตาม กระทั่งเป็นคนขอทาน คนขอทาน ทำหน้าที่ถูกต้อง หน้าที่ถูกต้องเทอญ หน้าที่ถูกต้อง หน้าที่ถูกต้อง เดี๋ยวมันก็รอด รอดพ้นหมด ธรรมมันคือสิ่งที่ช่วยให้หลุดพ้นจากความทุกข์ ถ้าเหงื่อออกมาให้พอใจว่าเป็นน้ำมนต์ อย่าได้น้ำร้อน ถ้าเราพอใจธรรม รักธรรม เหงื่อจะออกมาเป็นน้ำมนต์ ยิ่งยุทำให้สนุกยิ่งขึ้นไปอีกมันก็ไม่ใช่เหงื่อออกรีบวิ่งหนีวิ่งไปเสีย แล้วถ้าคนมันโง่ มันไม่ถือธรรม มันถือความสะดวกสบายของมัน โอ้ยไม่เอาแล้วเหงี่อออก กูไปปล้นไปขโมยดีกว่า ไปปล้นไปจี้ไปขโมยดีกว่ามาทำงายอยู่อย่างนี้ มันต่างกันถึงขนาดนั้น สมมติว่าเป็นชาวนาด้วยกัน คนหนึ่งมันไม่ถือธรรม พอเหงื่ออกมา กูไปปล้นไปจี้ดีกว่า แต่คนหนึ่งถือธรรม พอเหงื่อโอ้ยดีแล้ว กูจะทำให้สำเร็จรุล่วงไป เวรกรรม เพราะมันพิสูจน์ว่ากูทำแล้ว ได้ทำแล้ว นี่เหงื่อมันจึงได้ออกมา
นี่ขอให้บูชาธรรม เคารพธรรม เหมือนที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ท่านเคารพธรรม คือหน้าที่ หน้าที่ พระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้ใหม่ๆ นะ ท่านสงสัยว่าต่อไปนี้จะเคารพใครล่ะ เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านใคร่ครวญไป ใคร่ครวญ เออเคารพหน้าที่ เคารพหน้าที่ เคารพธรรม ธรรม แล้วประกาศออกมาพระพุทธเจ้าทุกองค์กร อดีต ปัจจุบัน อนาคต ล้วนแล้วแต่เคารพธรรมเป็นหน้าที่ แล้วก็ทำหน้าที่ ทำหน้าที่ ทำหน้าที่ พระพุทธเจ้าของเรา แต่เราไม่สนใจ ไม่ค่อยจะสนใจ พระพุทธเจ้าทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้าอย่างเหลือสูง สูงสุด เราทำทีเล็กของท่านก็ไม่ได้นี่ พอพูดอย่างนี้อย่า อย่าหาว่าหยาบคาย กระแหนะกระแหน พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน หัวรุ่งก่อนสว่าง หัวรุ่งท่านนึกสอดส่อง เล็งญาณตรวจโลกว่า พรุ่งนี้รุ่งเช้าจะไปโปรดใครที่ไหน ท่านจะสังเกตเห็นที่นั่นมีนั่น ที่นั่นมีนี่ รู้อยู่ว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปโปรดใครที่ไหน หัวรุ่งท่านก็ทำแล้ว ทำงานแล้ว พอสว่างขึ้นมาท่านก็พยายามไปที่นั่น ไปที่นั่นให้พบกับคนนั้น ไปที่บ้านคนนั้น พูดจากับมันจนให้มันรู้ธรรมจนได้ สายเที่ยงก็เอา ต่อสู้เอาให้มันรู้ธรรมยอมรับธรรมจนได้ เที่ยงก็พักผ่อนหน่อย ตอนบ่ายก็มาที่วัด คนที่คอยไปฟังที่วัดก็มี ตอนบ่ายตอนเย็นสอนคนที่อยู่ที่วัด สอนคนที่ไปหาที่วัด ประชาชนชาวบ้านไปหาที่วัด ท่านก็สอนตอนบ่ายและตอนเย็น พอพลบค่ำ พลบค่ำ โทรเฟภิกษุโอวาทธรรม (นาทีที่ 37:07) พลบค่ำสอนภิกษุสามเณรที่อยู่ด้วยกันที่วัด พลบค่ำสอนไปจนเที่ยงคืน เที่ยงคืน นี่บาลีว่า อัฑฒะรัตเต เทวะปัญหานัง เวลาเที่ยงคืนแก้ปัญหาเทวดา เทวดาทั้งหลายมาเวลาเที่ยงคืน เทวดาที่มาจากบนฟ้าก็มาเวลาเที่ยงคืน เทวดาสมมติเทพ เทวดามหาสัจจะก็ไปเวลาเที่ยงคืน เวลาเที่ยงคืนต้องแก้ปัญหาพวกนี้ จนเลยเที่ยงคืนดึกดื่นไปนั้น ได้พักผ่อนนิดหน่อยเดี๋ยวก็หัวรุ่งอีกแล้ว หัวรุ่งสอดส่องอีกแล้ว เช้าก็ไปอีกแล้ว ไปต่อสู้ เที่ยงหรือเย็นก็สอนพวกที่ไปหาที่วัด ค่ำหรือเย็นก็สอนพวกที่อยู่ที่วัด เที่ยงคืนไปแล้วก็สอนพวกเทวดา ท่านทำงานครบรอบวงจร 24 ชั่วโมง
พวกเราทำอย่างนั้น ทำอย่างนั้น ยังหาเวลาไปเล่นไพ่ ไปกินเหล้าเสียมากกว่า ไม่ตั้งใจจะทำงานให้ครบวงจรอย่างนั้น นี่ขอให้เคารพพระพุทธเจ้าเทอญ ท่านเคารพหน้าที่ เคารพหน้าที่ ท่านอดหลับอดนอน รอบวงจร วันคืนวันคืน วันคืนวันคืนเป็นอย่างนี้ ท่านเคารพหน้าที่ เมื่อท่านทำหน้าที่ที่เมืองนี้เสร็จแล้ว จะย้ายไปที่เมืองอื่นจังหวัดอื่นท่านก็ไป มันไม่มีรถยนต์นี่ พวกคุณขี่รถยนต์มาได้มาทางนี้ พระพุทธเจ้าไม่มีรถยนต์ เจอรถม้าก็มีท่านไม่นั่ง เกวียนก็มีท่านไม่นั่งเพราะมันเทียมกับสัตว์มีชีวิต เมื่อไม่นั่งยานพาหนะที่เทียมด้วยสัตว์ อย่างนี้ก็ต้องเดินสิ ท่านก็เดิน ถ้าท่านตรวจดูในบาลี พระพุทธเจ้าไม่มีร่มบังแดด ไม่มีรองเท้าสวม ข้างล่างข้างบนก็ไม่มีร่ม ไม่มีร่ม ไม่มีรองเท้า ท่านก็ยังเดินได้เป็นโยชน์โยชน์ไปเมืองนั้นเมืองนี้ เที่ยวสอน ไปอยู่ที่เมืองไหนก็ทำอย่างนี้ ครบวงจร วันคืนวันคืน อย่างนี้เรื่อยไปจน 40 กว่าปี คืนนี้จะนิพพานอยู่แล้วท่านก็ยังทำ สอนนาทีสุดท้ายแล้วก็นิพพาน หมายความว่าตกลงจะนิพพานกันที่นี่ตรงนี้ที่ในสวนมัน ในป่าสาระ ในป่าสาระนี่ จะนิพพานกันหัวค่ำนี้ ก็มีนักบวชศาสนาอื่นมาขอให้สอน มาขอให้สอน สอบถามปัญหาขอให้สอน ประชาชนทั้งหลายก็โอ้ยจะนิพพานอยู่แล้วทำไมมารบกวน ไป ไป ไป พระทั้งหลายไล่มันไป พระพุทธเจ้าได้ยินก็โอ้ยอย่าไล่เรียกมาเรียกมา พระที่ถูกไล่นั่นถูกเรียกมาอีก ให้ถามปัญหาท่านสอน สอน สอน จนคนนั้นมีความรู้ธรรมพอจนเป็นพระอรหันต์ จนเป็นพระอรหันต์องค์สุดท้ายในบรรดาสาวกองค์สุดท้ายของพระพุทธเจ้า ต่อมาไม่เท่าไรท่านก็นิพพาน อีกไม่กี่นาทีต่อมาท่านก็นิพพาน นี่ต้องขอใช้คำว่าท่านทำหน้าที่หรือทำการงานจนนาทีสุดท้าย นี่พูดอย่างบ้านนอกพูดอย่างหยาบคาย ทำงานจนตาย ทำงานจนตาย พอท่านจะปรินิพพานท่านก็เข้าญาณ พอเข้าญาณออกจากญาณท่านก็ปล่อยชีวิตดับ เรียกว่า เหมือนกับปิดสวิซต์ไฟฟ้าดับ นิพพานของท่านอย่างนี้
นี่ตัวอย่างพระพุทธเจ้าท่านบูชาหน้าที่เคารพหน้าที่ทั้งวันทั้งคืนตลอดเวลาจนนาทีสุดท้าย เคารพหน้าที่ เคารพหน้าที่ ไม่มีตัวจนเห็นแก่ตัว ไม่นอนขี้เกียจ พระเหล่านี้เขาด่ากัน ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน บ่ายพักผ่อน ค่ำจำวัด พระสมัยนี้ถูกด่า ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน บ่ายพักผ่อน ค่ำจำวัด เอาเวลาที่ไหนมาทำงานล่ะ ได้ฟังพระพุทธเจ้าเรื่องพระพุทธเจ้าทำงานอย่างไร ขอให้ท่านทั้งหลาย สาวกของพระพุทธเจ้าทำงานสนุก เป็นสุขเมื่อทำงาน ทำงานสนุก เป็นสุขเมื่อทำงาน เหงื่อออกมาเป็นน้ำมนต์ พบแต่ความถูกต้อง พอใจ ถูกต้อง พอใจ ที่ไร่ที่นาก็ดี ที่อุทิศก็ดีที่ไหนก็ดี ถูกต้อง พอใจ ถูกต้อง พอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้ ถูกต้อง พอใจ ถูกต้อง พอใจ จนยกมือไหว้ตัวเองได้ ยกมือไหว้ตัวเองได้ ที่ไหนก็เป็นสวรรค์เมื่อนั้น สวรรค์แท้จริงที่นั่น สวรรค์ที่ไม่ต้องรอให้ตายแล้ว ทำความดีจนยกมือไหว้ตัวเองได้ ที่ไหนก็เป็นสวรรค์เมื่อนั้น ทำผิด ผิดจนเกลียดน้ำหน้าตัวเองที่ไหนก็ตกนรกที่นั่น ไม่ต้องรอให้ตายแล้ว นรกจริง สวรรค์จริงไม่ต้องรอให้ตายแล้ว มันอยู่ที่ว่าทำผิดหรือทำถูก ทำถูกจนยกมือไหว้ตัวเองได้ก็เป็นสวรรค์ที่นั่น ทำผิดจนเกลียดหน้าตัวเองก็เป็นนรกที่นั่น
นี่ขอให้ท่านทั้งหลายทำหน้าที่สนุก ทำการงานสนุก ช่วยตนเองช่วยผู้อื่นช่วยชาติบ้านเมืองช่วยทำถูกต้อง ถูกต้อง อยู่กันปกติจนไหว้ตัวเองได้ เรื่องก็จบ นี่ขอให้ลูกเสือชาวบ้านซื่อตรงต่ออุดมคติ ซื่อตรงต่ออุดมคติของลูกเสือชาวบ้าน ว่าไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ความถูกต้องเห็นแก่ประเทศชาติ ศาสนา เห็นแก่ความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เห็นแก่พระนิพพาน จะปฏิบัติเพื่อบรรลุพระนิพพาน นี่ถูกต้องตามอุดมคติ อย่าลืมว่าจะแก้ปัญหาอะไรต้องแก้ที่ต้นเหตุ ให้เป็นลูกเสือ แก้ที่ต้นเหตุ แก้ที่ปลายเหตุเป็นลูกหมา คงจะไม่ลืมนะ พูดให้มันจำง่าย ๆ เป็นลูกเสือก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุ แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อย่าไปแก้ที่ปลายเหตุ ถ้าท่านถือหลักอย่างนี้โดยถูกต้องชัดเจนแล้วไม่มีความเสื่อม ไม่มีความเสื่อม มีแต่ความเจริญอย่างเดียว มีสติสัมปชัญญะให้มากอย่าให้อะไรมันหลอกลวงไป อย่าให้ของหลอกมา ของหลอกให้หลง ให้คงอยู่ในของจริง ของจริง ของจริง อะไรเป็นของหลอกอย่าไปเอากับมัน อย่าไปเอากับมัน ถึงจะเรียกว่าตั้งอยู่ในธรรม มีธรรมเป็นที่ตั้ง อาศัยมีความดับทุกข์เป็นที่ภายในเบื้องหน้า ก็เท่ากับว่ามีพระนิพพานเป็นที่ภายในเบื้องหน้า มีความสุขสวัสดีอยู่แต่ละวัน แต่ละวัน แต่ละวันอยู่ เคารพตัวเองได้ ว่ามีแต่ความถูกต้อง ตัวเองมีแต่ความถูกต้อง ยกมือไหว้ตัวเองได้ทุกวันทุกคืนนั่นแหละประสบความสำเร็จ ขอให้ท่านทั้งหลายประสบความสำเร็จอย่างนี้ มีความสุขสวัสดีอยู่ทุกทีพาราตีกาลเทอญ