แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ ขอถือโอกาสปราศรัยกับท่านทั้งหลายที่เรียกชื่อว่า ลูกเสือชาวบ้าน เป็นพิเศษ อาตมาขอแสดงความยินดีและอนุโมทนาในกิจการและกิจกรรมและกิจการลูกเสือชาวบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่มาแสดงให้ปรากฏที่นี่ในวันนี้ และก็ขอให้ท่านทั้งหลายรู้สึกภาคภูมิใจในการที่ได้บำเพ็ญหน้าที่ของผู้ที่เรียกว่าลูกเสือชาวบ้าน ถ้าว่าที่จริงไอ้ชื่อนี่ก็สำคัญอยู่บ้างเหมือนกันในการที่มาช่วยเตือนสติ ถ้าเราจะไม่มีชื่อเสียเลย มันก็ไม่มีอะไรเตือนสติ ถ้าเรามีชื่อที่ไม่มีความหมาย ไม่มีอุดมคติ มันก็จะยิ่งรวนเรมากขึ้น นั้นจะต้องถือว่าเป็นการดีที่มีชื่อ
ที่นี้สำหรับชื่อว่าลูกเสือชาวบ้านนี่ ก็ต้องพิจารณาดู ถ้าจะถือตามตัวหนังสือ มันก็ชอบกลๆ อยู่ เป็นลูกเสือไม่ใช่ลูกคน ไม่ใช่เป็นชาวบ้านด้วย แต่ถ้าจะพิจารณาเอาความหมายที่ดี มันก็ยังได้ ลูกเสือก็หมายความว่ามันมีคุณสมบัติในลักษณะที่เข้มแข็ง ช่วยตัวเอง เคารพนับถือตัวเอง ไม่พ่ายแพ้แก่กิเลส เป็นต้น ได้ยินเขาพูดกันว่า ชาติเสือ ไม่ต้องขอเนื้อใครกิน คือไม่กินเดนของใคร ถ้าต้องขอเนื้อคนอื่นกินหรือกินเดนของใคร มันก็ไอ้ชาติหมา นี่ถ้าว่าชาติเสือมันก็ไม่ต้องขอเนื้อใครกิน คือมันจะสามารถทำอะไรที่เป็นการช่วยตัวเองได้ ถ้าเป็นลูกเสือมันก็มีความหมายอย่างนี้ อย่างน้อยข้อหนึ่งเป็นแน่นอน แต่อย่างไรมันก็รวมความอยู่ในคำว่ามันเข้มแข็ง มันทำหน้าที่ของมันสำเร็จประโยชน์ ทีนี้ชาวบ้านคำนี้ คำว่าชาวบ้านคำนี้ มันก็ต้องมีความหมาย ลูกเสือบ้าน มันต้องเก่งกว่าลูกเสือป่า เพราะมันอยู่ในการศึกษาอบรม เสือบ้านมันต้องต้านทานเสือป่าได้ ลูกเสือบ้านมันต้องต้านทานลูกเสือป่าได้ ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็ไม่มีความหมายอะไร
ปู่ย่าตายายก็เคยพูดกันไว้แต่กาลก่อนว่า “จุดไฟบ้าน รับไฟป่า” หมายความว่า เมื่อไฟป่ามันจะไหม้มาท่วมป่า แล้วเราก็ไปทำกระท่อม กระต๊อบอยู่ในป่า เพื่อไม่ให้ไฟป่ามันทำอันตรายเราได้ เราก็จุดไฟบ้านของเรารอบๆ กระท่อมของเราเสียหมด ไฟป่ามาถึงก็ทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าเราปล่อยให้ไฟป่ามันมาตามชอบใจ มันก็ไหม้วอดวายไม่มีเหลือ เพราะฉะนั้นการจุดไฟบ้านรับไฟป่า น่าจะเป็นคำพูดที่โบรมโบราณนานมาแล้ว มันก็ยังมีประโยชน์มาใช้ได้จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ นี่ขอให้สนใจความหมายอันนี้ในข้อที่ว่า ไอ้บ้านมันต้องต้านทานป่าได้ คือมีการศึกษาอบรมดีเป็นบ้าน มันต้องต้านทานป่าที่มันป่าเถื่อน ดุร้ายได้ นี่ก็พอแล้ว นั้นลูกเสือชาวบ้านก็หมายความว่าต้องคุ้มบ้าน ต้องตัวรอด
เอ้า...ทีนี้คำว่าบ้านหมายความว่าอย่างไร ถ้าบ้านหมายถึงบ้านเมือง ก็ต้องคุ้มบ้านเมืองของเรารอด แต่ถ้าบ้านหมายถึงบ้านเรือน มันก็ต้องคุ้มบ้านเรือนของเรารอด แต่บ้านที่ดีที่สุด ที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือร่างกายนั่นเอง ร่างกายเป็นเหมือนบ้านสำหรับจิตใจอยู่ รวมกันทั้งกายทั้งใจนี่เป็นบ้านเรือนที่สมบูรณ์ งั้นเราคุ้มบ้านคือตัวเรานี่ให้รอดจากความชั่วร้ายทั้งหลาย ถ้าคุ้มบ้านคือร่างกาย หรือกาย วาจา ใจ อย่างนี้ได้ ก็แน่นอนที่จะคุ้มบ้านเรือนได้ คุ้มบ้านเมืองได้ กระทั่งคุ้มโลกทั้งโลกได้ ทำไมจะต้องเอาโลกทั้งโลกมาเป็นบ้านหรือมาอยู่ในความรับผิดชอบของเรา นี่เราพูดแข่งกับพวกเทวดา พวกเทวดา พวกผีเปรตมันอยู่ที่โลกอื่นโน่น งั้นบ้านของมันอยู่ที่โลกอื่น ไอ้เรานี่ บ้านของเราอยู่ที่โลกนี้ มันก็ต้องคุ้มโลกนี้ให้ได้ จึงจะเรียกว่าไม่เหลวไหล จะต้องช่วยบ้าน ช่วยเมืองได้ บ้านเรือนได้ ร่างกายคือเป็นเหมือนกับบ้านเรือนของจิตใจด้วยก็ได้ ถ้าลูกเสือชาวบ้านคุ้มตัวเองได้ ก็ย่อมคุ้มบ้านเรือนได้ บ้านเมืองได้ เป็นแน่นอน เพราะฉะนั้นขอให้เห็นใจความของคำว่าลูกเสือชาวบ้านนี่ให้ดีๆ ถ้าจะพูดกันอย่างเรียกว่านิยมเกียรติยศอะไรกันบ้าง ชาวบ้านก็เป็นคำว่ามีเกียรติที่สุด ก็มักจะคิดว่าถ้าเป็นชาวบ้านแล้วก็ไม่ค่อยจะรู้อะไร สู้นักศึกษา สู้ทหารไม่ได้ แต่ถ้าทำได้จะว่าอย่างไร มันก็ต้องดีกว่า
ทีนี้ได้ยินมาว่า อุดมคติของลูกเสือชาวบ้านนี่มีข้อสำคัญอยู่ข้อหนึ่ง คือเป็นบุคคลที่พระเจ้าอยู่หัวรู้จักแล้ว คือเป็นผู้ที่ในหลวงรู้จักแล้ว ที่ท่านยอมรับนับถือ รับรู้การกระทำ ดูเหมือนว่าอุดมคติข้อนี้แต่เพียงข้อเดียวก็พอ ถ้าเราจะถือตัวเราว่าเป็นผู้ที่ในหลวงรู้จักแล้ว เราก็ต้องทำอะไรๆ ให้มันสมกับที่ว่าเรามันเป็นผู้ที่ในหลวงรู้จัก ทีนี้ท่านทั้งหลายทุกคนได้ทำอะไรบ้างที่ให้มันสมกับที่ว่าเป็นผู้ที่ในหลวงรู้จัก จะเพียงแต่ว่า รำวงได้ เต้นรอบๆ กองไฟได้ เท่านี้มันก็สมกับที่ในหลวงรู้จัก น่ากลัวว่าจะแย่ นั้นมันเป็นเพียงส่วนประกอบ อย่าให้มันหงอยเหงา แต่เนื้อแท้ของเรื่องมันไม่ใช่เล่นหัวอย่างนั้น
การหัวเราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่นิยมในพุทธศาสนา เพราะว่าคนประมาท อย่างดีที่สุดก็เป็นอาการของเด็กอ่อนนอนในเบาะ ยิ้มแหยหัวเราะ มันเป็นเพียงเท่านั้น นั้นไอ้เรื่องหัวเราะสนุกสนานสรวลเสเฮฮานั้นไม่ใช่อุดมคติของลูกเสือ เพียงแต่ว่ามันเป็นเครื่องประกอบกันอย่าให้หงอยเหงา เพื่อความร่าเริง ถ้าจะหัวเราะ ก็ต้องหัวเราะเพราะรู้สึกว่ามีชัยชนะ ไม่อย่างงั้นก็หัวเราะของคนบ้า หัวเราะของคนบอ หัวเราะของคนที่ไม่มีความหมายอะไร หัวเราะเพราะรู้สึกว่าเราชนะนั่นแหละน่าดู นี้เราได้ชนะอะไรบ้าง เราจึงจะมีสิทธิที่จะหัวเราะ ที่จะมาร้องรำทำเพลงอะไรกันนี่อยู่นี่มันเป็นอาการของคนบ้า หรือว่าอาการของคนที่ได้มีชัยชนะอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งมาแล้ว ต้องคิดดูให้ดี อาตมาคิดว่า ถ้าจะหัวเราะ มันต้องเป็นการหัวเราะของผู้ที่ชนะ มีชัยชนะในสิ่งที่ควรชนะ และก็ชนะแล้วเท่านั้นจึงได้หัวเราะ
เราจะต้องดูกันต่อไปในข้อที่ว่าเราเป็นผู้ที่ในหลวงรู้จักแล้ว ถ้าเราได้ทำอะไรสำเร็จตามอุดมคตินั้นแล้ว นี่เราก็จะหัวเราะได้ตอนนี้ ทีนี้มันต้องดูกันบ้างว่าเราจะต้องรู้อะไร เราจะต้องทำอะไร หลักเกณฑ์ทั่วไปของลูกเสือก็ ที่เป็นส่วนใหญ่พอจะสรุปได้ว่า การบำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวม คนเกิดมาถ้าเป็นคนไม่มีประโยชน์แล้วก็สู้สุนัขและแมวตัวหนึ่งก็ไม่ได้ เพราะว่า แมวมันก็ไม่เคยกินข้าวเปล่าๆ มันมีประโยชน์ จับหนูได้ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าคนเกิดมาไม่ทำประโยชน์ มันก็สู้แมวตัวหนึ่งก็ไม่ได้ นั้นจึงต้องพูดถึงสิ่งที่เรียกว่าประโยชน์ จะเป็นคนที่มีประโยชน์ ประโยชน์มันมีทั้งอย่างเล็กและอย่างใหญ่ ประโยชน์ส่วนตัวมันเล็กๆ มันคนเดียว แต่ประโยชน์ส่วนรวมมันมากคน มันก็ต้องใหญ่เป็นธรรมดา ที่ว่าสูงหรือต่ำนั่นอีกความหมายหนึ่ง แต่เมื่อพูดถึงเล็กและใหญ่นี่ก็ ถ้าจะถือว่าคนเดียวน่ะมันเล็ก หลายคนน่ะมันใหญ่ ประโยชน์สูงก็สูง เล็กก็สูงได้ ประโยชน์ใหญ่ก็สูงได้ ขอแต่อย่าให้มันต่ำก็แล้วกัน นั้นจึงมีอุดมคติในข้อที่ว่า บำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวม ท่านทั้งหลายที่เป็นลูกเสือชาวบ้านคงจะได้ยินคำนี้ก้องหูอยู่ตลอดเวลาว่าจะบำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวม ข้อที่ว่าต้องบำเพ็ญประโยชน์นี่ก็ตามหน้าที่ของมนุษย์ นั้นดีที่สุดก็ต้องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมนั้นเป็นอุดมคติของโพธิสัตว์ในพระพุทธศาสนา ถ้าไม่มีคนชนิดที่เป็นโพธิสัตว์แล้ว มนุษย์นี้ก็จะไม่รุ่งเรืองถึงปานนี้ พระพุทธเจ้าก็เคยเป็นพระโพธิสัตว์ คือต้องมีพระโพธิสัตว์ถึงจะมีพระพุทธเจ้า เมื่อมีพระพุทธเจ้ามาแล้ว ไอ้โลกนี้มันได้รับประโยชน์กี่มากน้อยก็ขอให้ลองคิดดู เอาเป็นว่าต้องมีผู้ที่สมัครบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่นโดยไม่นึกถึงตัวเอง เช่นพระโพธิสัตว์ โลกนี้ก็รุ่งเรืองและงดงาม กระทั่งบริสุทธิ์สะอาดผ่องใส เราจะไม่ทะเยอทะยานถึงกับจะอ้างตัวเองเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ว่าเป็นลูกสมุนของพระโพธิสัตว์นี่มันก็มากพอควรอยู่แล้ว ขอให้ยินดีเถอะว่า ไอ้ผู้บำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวมเพื่อผู้อื่นนี่มันเป็นลูกสมุนของพระโพธิสัตว์ ซึ่งมันมีเกียรติมากมายอยู่แล้ว ไปศึกษาเรื่องพระโพธิสัตว์ดูจะเข้าใจข้อนี้
เดี๋ยวนี้เรามาพูดถึงประโยชน์ส่วนรวม ตามอุดมคติพระโพธิสัตว์ ถ้าจะนึกอย่างเห็นแก่ตัว เป็นคนเห็นแก่ตัวอยู่ก็คิดเป็นทำนองว่า เราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ เดี๋ยวนี้ใครมีความสงสัยอะไรก็ลองคิดดูว่า เราจะอยู่คนเดียวในโลกได้ไหม มันก็จะไม่ได้ตั้งแต่ว่า ถ้าไม่มีพ่อมีแม่เราก็ไม่ได้เกิดมา หรือว่าอยู่คนเดียวนี่มันอยู่ไม่ได้ มันอยู่ได้ด้วยความยากลำบาก นั้นเราจึงต้องบำเพ็ญประโยชน์ชนิดที่เราอยู่ด้วยกันได้ การบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่น ก็เท่ากับเป็นการบำเพ็ญประโยชน์แก่เราเองอยู่แล้วในตัว นี่เราพูดอย่างเห็นแก่ตัวตามธรรมดาสามัญ เห็นแก่ตัวชนิดที่ไม่บาปอะไร ไอ้เห็นแก่ตัวที่เลวเกินไปนั้นมันเป็นการทำผิด ประพฤติผิด ทีนี้มันเป็นการทำถูกประพฤติถูก การเห็นแก่ตัวชนิดนี้ไม่บาป หรือไม่เลว ถ้าว่าเป็นการเห็นแก่ตัวเพื่อจะบำเพ็ญประโยชน์ ด้วยการฝึกฝน นี่เราก็มองเห็นได้ว่า บำเพ็ญประโยชน์แก่โลกนั้นมันเป็นประโยชน์แก่เราทุกคน เราก็เป็นผู้ได้ประโยชน์นั้น ถ้าใจมันกว้างหรือสูงไปกว่านั้นมันก็คิดไปถึงว่า เราคนเดียวก็ไม่เท่าไร ไม่กี่มากน้อย ลืมเสียก็ได้ เพื่อนมนุษย์ในโลกนี้มีมากมายมหึมาเหลือเกิน ถ้าเพื่อประโยชน์เขาก็ได้ ประโยชน์เราจะอะไรหนักหนาเชียว นี่จึงมีเกิดคนที่เสียสละชีวิตของตนเพื่อการอยู่รอดของผู้อื่น ถ้าทุกคนคิดอย่างนี้แล้วโลกนี้ก็เป็นโลกประเสริฐที่สุด ดีที่สุด อย่างจะว่าเป็นโลกของพระศรีอริยะเมตไตรยอะไรทำนองนั้น ไม่มีการเบียดเบียนมีแต่การช่วยเหลือ เมตตากรุณา ประโยชน์มันล้นเหลือไปจนไม่รู้ว่าจะเก็บไว้ที่ไหน ทุกคนได้รับประโยชน์ บำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวมที่เป็นอุดมคติของลูกเสือชาวบ้านนี่ มันตรงกับหลักของพระศาสนา เป็นคำสอนของพระพุทธศาสนา เดี๋ยวนี้จะพูดเสียเลย พูดอย่างท้าทายว่าอุดมคติของลูกเสือทุกข้อน่ะ ไม่แปลกไปจากหลักธรรมในพระพุทธศาสนา แต่นี่ไม่ได้พูดให้ดูถูกดูหมิ่นอุดมคติลูกเสือ แต่พูดสนับสนุนว่าอุดมคติของลูกเสือทุกข้อนั้น มันก็คือหลักธรรมในพระพุทธศาสนา อาจจะไปพิจารณาเอง แล้วยิ่งบำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวมแล้วก็ยิ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนาด้วย ที่เรียกบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นแล้วมันก็ได้แก่ตัวผู้นั้นเอง
นี้จะดูคติชั้นหนึ่ง ซึ่งดูอย่างละเอียดกว่าที่กล่าวมาแล้ว ก็ต้องรักษาหัวใจของส่วนรวมไว้ ข้อนี้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างแหละมันมีหัวใจ คือเป็นจุดสำคัญจุดหนึ่ง คือเป็นจุดรวมแห่งความรอดของสิ่งนั้นๆ มนุษย์เรานี่ก็มีหัวใจ แต่ละคนมีหัวใจ ตรงนั้นสำคัญที่สุด บ้านเรือนก็มีหัวใจ กระทั่งโลกหรือคนทั้งโลกมันก็มีหัวใจ มนุษย์ มนุษยชาติ คือมนุษย์ทั้งหมดทั้งสิ้นน่ะมันมีหัวใจ คือ ธรรมะ คือ ศาสนา ถ้าปราศจากพระธรรม มนุษย์ไม่มีความเป็นมนุษย์ ก็จะเลวยิ่งกว่าสัตว์เสียอีก ก็จะร้ายกาจยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานไปเสียอีก ถ้าไม่มีธรรมะนี่คนเรา มันอยู่ได้ด้วยมันมีหัวใจเป็นธรรมะ ถ้าการบำเพ็ญประโยชน์ของเรา มันทำให้เป็นการรักษาหัวใจของส่วนรวมไว้ได้ นี่ก็เป็นอานิสงค์ที่น่าชื่นใจที่สุด อย่างว่ามาช่วยกันบำเพ็ญประโยชน์ที่วัดนี้ ก็ขอให้คิดดูให้ดีว่ามันได้บุญที่ตรงไหน ถ้าจะคิดว่ามาทำประโยชน์ให้แก่เจ้าอาวาส อย่างนี้ มันก็ยังน้อยไป ก็ไม่ค่อยมีความสำคัญอะไร แต่ถ้าว่าจะทำเพื่อให้วัดนี้อยู่ได้ นี้ก็ดีกว่า มากกว่า สูงกว่า แต่ควรจะคิดให้ไกลไปถึงว่าเพื่อให้พระศาสนามันอยู่ได้ เพราะวัดนี้มันก็เป็นสำนักงานปฏิบัติการ เป็นสำนักงานสำหรับปฏิบัติการงานของเจ้าหน้าที่ทางศาสนาหรือเป็นที่ตั้งของศาสนานั่นเอง นั้นถ้ามาช่วยทำอะไรกันในวัด ก็ขอให้มองให้เห็นซึ้งถึงข้อที่ว่ามันช่วยรักษาส่วนที่เป็นหัวใจเอาไว้ ถ้าส่วนที่เป็นหัวใจยังอยู่ ไอ้ส่วนนอกนั้นจะยังอยู่ ช่วยรักษาวัดให้ยังอยู่ ก็หมายความว่าไอ้ธรรมะในโลกมนุษย์นี้ก็จะยังอยู่ นั้นอย่าได้คิดแต่เพียงว่าเราจะมาช่วยกันทำวัตร แล้วก็คิดเอาง่ายๆ ว่าได้บุญ นี่ก็เหมาๆ ทั้งนั้น จะต้องมองให้เห็นชัดลงไปทีเดียวว่าได้บุญอย่างไร นี่คือว่า รักษาหัวใจของส่วนรวมไว้ รักษาศาสนาซึ่งเป็นหัวใจของมนุษย์ทั้งหมดไว้ นี้วัดที่ทำหน้าที่เพื่ออันนี้ มันก็จะเป็นหัวใจในความหมายหนึ่งด้วยเหมือนกัน นั้นช่วยกันบำรุงรักษาวัดไว้ได้มันก็ช่วยกันบำรุงหัวใจของพระศาสนาด้วยเหมือนกัน ถ้าคิดอย่างนี้แล้วมันถูกด้วย แล้วก็ได้บุญมากยิ่งขึ้นไปด้วย
เมื่อพูดถึงหัวใจของส่วนรวม ทั่วทั้งสากลจักรวาลก็ไม่มีอะไรนอกจากธรรมะ แต่เดี๋ยวนี้เรามักจะมองกันแคบๆ กว่านั้น เพราะเหตุไรจึงมองแคบกว่านั้นอย่าไปมัววินิจฉัยกันเลยมันเสียเวลา บางทีจะเกิดความคิดที่ไม่ดีขึ้นมาก็ได้ เอาแต่ว่าทำไมเราจึงพูดว่า ประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งลูกเสือจะท่องกันอยู่ติดปาก ประเทศชาตินั่นน่ะหมายถึงหัวใจอันหนึ่งของคนกลุ่มนี้ ในประเทศนี้ ประเทศชาติหรือชาตินี่มันหมายถึงอุดมคติที่ทุกคนยอมรับ แล้วก็สงวนรักษาเอาไว้ให้ได้ พูดให้ชัดลงไปอีกหน่อยก็ว่าความเป็นไทยสำหรับประเทศไทย ประเทศอื่นก็เรียกไปตามชื่อประเทศนั้นๆ แต่สำหรับประเทศไทยก็ต้องเรียกว่าความเป็นไทย เป็นอุดมคติสูงสุด ถ้าทิ้งอุดมคติอันนี้เสีย มันไม่รักษาความเป็นไทย ไม่เท่าไรก็จะต้องสูญชาติ นี้ประเทศชาติบางประเทศที่มันสูญไปแล้วเพราะมันไม่รักษาความเป็นอย่างนั้นของเขาไว้หรือไม่สามารถจะรักษาไว้ได้ ประเทศไทยนี่ก็เหมือนกัน ถ้ารักษาความเป็นไทยไว้ได้แล้วก็ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัวศัตรูอะไรที่ไหน ขอให้ทุกคนรักความเป็นไทย ทำตนให้สมกับเป็นคนไทยเท่านั้นแหละ มันก็รอดบ้าง ที่จริง ให้เห็นแก่ประเทศชาติ
รายละเอียดมันมีมาก เวลาน้อยจะพูดมันไม่พอ แต่เชื่อว่าท่านทั้งหลายก็พอจะเข้าใจได้เองอยู่แล้วในข้อนี้ว่าเรารักษาความเป็นไทยไว้ให้ได้ แล้วเราก็จะรอด เพราะจิตใจรวนเร ไม่เห็นแก่สินจ้างอามิส ไม่เห็นแก่ความหลอกลวงยั่วยวนต่างๆ มันก็จะคลายความรักในความเป็นไทย ก็กลายเป็นทาสที่เห็นแก่เงินบ้าง เห็นแก่อะไรบ้าง ก็ขอให้สงวนความเป็นไทยไว้ในฐานะที่เป็นหัวใจของคนไทย
ทีนี้ความเป็นไทยนี่มันก็อยู่ได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ในตัวศาสนาเองมันก็เป็นหัวใจของคุณธรรม หรือความดีต่างๆ ที่มนุษย์จะต้องมี ที่ประเทศไทยก็มีศาสนา คือพระพุทธศาสนานี่เป็นหัวใจ ความเป็นคนไทยมันจึงเนื่องไปถึงความเป็นพุทธบริษัทด้วย วัฒนธรรมไทยมันเนื่องกันอยู่กับหลักพระธรรมในพระพุทธศาสนา ต้องไปเอาพระพุทธศาสนามาปฏิบัติจนมีความเคยชินอยู่ที่เนื้อที่ตัว ก็อยู่ในสายเลือด คลอดลูกหลานเหลนออกมามันก็มีอำนาจอันนั้นติดมาด้วย นี่เรียกว่ามันมีศาสนาอยู่ในเลือดในเนื้อของคนไทย เอาออกไปไม่ได้ ถ้าเอาออกไปก็หมดความเป็นคนไทย ถ้าพูดถึงสิ่งที่ 3 คือ พระมหากษัตริย์นั้น ก็ไม่ต้องนึกอะไรมาก นึกแต่เพียงว่า ท่านผู้หนึ่งที่จะช่วยควบคุมสิ่งเหล่านี้ไว้ให้เป็นไปอย่างถูกต้องตลอดเวลาเท่านี้ก็พอแล้ว บุคคลผู้ควบคุมให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างถูกต้องตลอดเวลานี่จำเป็นที่สุด ทีนี้กลัวแต่ว่าคนมันจะโกหกตัวเอง เช่นว่า ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนี่กลัวมันจะพูดแต่ปาก ถ้ามันไม่พูดแต่ปาก คือมันเป็นคนจริงแล้วก็เอาตัวรอดได้ เพื่อให้พระมหากษัตริย์นี่สามารถควบคุมความเป็นคนไทยของเราไว้ให้ถูกต้องและสมบูรณ์ เราจึงถือพระมหากษัตริย์นี้ว่าเป็นหัวใจของประเทศชาติ ในความหมายอันหนึ่ง ในหน้าที่อันหนึ่ง หรือจะเป็นผู้ควบคุมให้ชาติหรือศาสนานี่มันตั้งอยู่ได้ มีความสัมพันธ์กันเป็นอย่างดี แล้วนี่ก็เป็นหน้าที่ของผู้ที่เรียกตัวเองว่าลูกเสือชาวบ้าน จงรักภักดีต่อประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขอให้เข้าใจสิ่งเหล่านี้ให้ถูกต้อง แล้วสิ่งต่างๆ ก็จะเป็นไปอย่างดี นี่การบำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวมก็ต้องให้มองเห็นว่าเป็นการรักษาหัวใจของทั้งหมดเอาไว้ รักษาส่วนรวมแต่ภายนอกนั่นมันก็ถูกเหมือนกัน เป็นขั้นผิวๆ ภายนอกรอบๆ ด้าน นั้นก็เรียกว่าบำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวม แต่ถ้าบำเพ็ญชนิดที่รักษาเอาหัวใจไว้ให้ได้ ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ เป็นการรักษาประโยชน์ส่วนรวมยิ่งขึ้นไปอีก หรือ มั่นคง ลึกซึ้ง แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปอีก ขอให้มุ่งหรือปักใจลงไปยัง ไอ้การรักษาหัวใจของส่วนรวมไว้ให้ได้ เช่น มาช่วยกันบำรุงวัด ก็เพื่อรักษาหัวใจของส่วนรวมในแง่ของไอ้ศาสนา ความตั้งอยู่ได้ของศีลธรรม ของประชาชน รักษาความเป็นไทยไว้ให้ได้ ชาติไทยก็จะอยู่ รักษาศาสนาไว้ได้คนก็จะมีธรรมะ คือเป็นมนุษย์ ไม่เป็นสัตว์ป่า รักษาพระมหากษัตริย์ไว้ได้ ก็คือเราจะมีผู้ควบคุมที่ดี ไม่ให้สิ่งต่างๆ มันกระจัดกระจายจนคุมกันไม่ติด
เราถึงอยากจะดูต่อไปกันหน่อยว่าเราจะได้บุญกันที่ตรงไหน คำว่า “บุญ” นี่มันมีหลายความหมาย บุญอย่างงมงายก็มี บุญอย่างฉลาดก็มี ก็หมายความว่าบุญแท้จริงก็มี บุญที่ไม่สู้จะแท้จริงก็มี เป็นแต่เหมาๆ เอาก็มี ดังนั้นมันจึงมีบุญชั้นต่ำๆ ชั้นกลาง ชั้นสูงสุด เป็นชั้นๆ ไป เราจะได้บุญที่ตรงไหนในการบำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวมนี้ คนที่เห็นแต่บุญชั้นต่ำๆ ก็ตอบว่าอ้าว ก็เราได้ประโยชน์แล้วนี่ เมื่อเราบำเพ็ญประโยชน์เราก็ได้ประโยชน์ มันก็เป็นบุญ นี่ก็ถูก ถูกอย่างยิ่งเหมือนกัน มันก็เป็นบุญชั้นต้น
บุญ แท้จริงนั้นมันต้องเป็นเครื่องล้างบาป ถ้าในชั้นต้นนั้น ชั้นต้นๆ นั้น เขามักจะบอกว่าบุญนี่เป็นเครื่องทำให้อิ่มใจ อิ่มอกอิ่มใจสบายใจนี่เป็นบุญ นี่ถูกในชั้นต้น แต่พอสูงขึ้นไปกว่านั้น มันก็กลายเป็นว่าบุญนี่ก็เป็นเครื่องล้างบาป ล้างบาปหมดหมายความว่าไม่มีความชั่ว ยิ่งไปกว่านั้นอีกมันก็ล้างความยึดมั่นถือมั่นแม้ในสิ่งที่เรียกว่าบุญนั่นเอง นี่ก็ยิ่งละเอียดลึกลงไป ทีนี้อาตมาอยากจะพูดเป็นคำสั้นๆ ให้จำง่ายๆ อย่างน้อยสักคำหนึ่งว่า “ไอ้เหงื่อนี่มันล้างตัวกู” ฟังแล้วก็อาจจะงง ถ้าเราทำประโยชน์มันต้องยอมเสียเหงื่อ คำว่าเหงื่อนั้นใช้แทนอะไรได้อีกหลายอย่าง ไอ้เหงื่อที่ร่วงลงไปจากร่างกายจริงๆ ก็เรียกว่าเหงื่อ แต่แม้ว่าจะไม่ต้องออกมาเป็นเหงื่ออย่างนั้นมันก็ออกเป็นเหงื่ออย่างอื่น คือมันลงทุนลงแรงแล้วมันก็ต้องเรียกว่าเหงื่อ เรียกว่าได้ทำให้มีเหงื่อออกไปแล้ว มันก็จะเป็นการล้างตัวกูให้สะอาด ตัวกูมีความขี้เหนียวอยู่ พอเหงื่อออกมามันก็ล้างความขี้เหนียว เหมือนอย่างว่า ไปช่วยกันทำความสะอาดบนยอดเขาพุทธทอง ให้เหงื่อมันออก ให้เหงื่อนั้นมันล้างตัวกู หมายความว่าถ้าเราเคยเห็นแก่ตัว เคยตระหนี่เรี่ยวแรงอะไรต่างๆ เหล่านี้ เหงื่อมันก็จะล้างออกไป เอาคุณเอาเหงื่อไปทิ้งไว้เสียที่บนยอดเขาพุทธทองบ้าง กลับไปบ้านตัวกูมันก็สะอาด อย่างน้อยก็ต้องสะอาดบ้าง ตัวกูนี่คือความเห็นแก่ตัว เหงื่อนี่คือความเสียสละ การบริจาค แล้วเหงื่อมันจะล้างตัวกูเสมอ ไปทำงานที่ไหนออกเหงื่อแล้วมันจะล้างความเห็นแก่ตัวเสมอ มันเป็นบุญ นั่นแหละเป็นบุญที่สูงสุดในพระพุทธศาสนา ทำลายความเห็นแก่ตัว ก็คือทำลายกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี่มาแต่ความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ทำลายความเห็นแก่ตัวได้ก็ทำลายกิเลส มันก็ทำให้เหงื่อออกมาก็คือล้างกิเลส หรือล้างตัวกู การจะมีกิเลสน้อยลงนี่เป็นบุญประเสริฐ เป็นบุญชั้นดี ชั้นถูกต้องหรือชั้นประเสริฐ ไม่ใช่บุญอย่างงมงาย เพราะว่าจะทำให้หมดกิเลส นั่นแหละบรรลุนิพพาน หมดตัวกูโดยแท้จริงเมื่อไรก็เป็นนิพพานเมื่อนั้น แต่ว่ามันมีหลายชั้น หมดตัวกูอย่างหยาบๆ เลวๆ นี่ก่อนก็ยังดีมีความสุข เป็นความสงบของสังคม ไม่เบียดเบียนกัน ถ้าหมดตัวกูอย่างแท้จริง ไม่รู้สึกว่าตัวตนของตนแล้ว มันก็ไม่มีกิเลส แล้วก็บรรลุนิพพาน เรียกว่าได้บุญสูงสุด ก็มีทั้งอย่างต่ำธรรมดา และอย่างสูงสุดเป็นอย่างนี้ นี่ก็ขอให้มองให้เห็น แต่ว่าต้องมองให้เป็น ถ้ามองไม่เป็น มองเท่าไรมันก็ไม่เห็น เพราะมันมองอย่างโง่เขลา มันต้องมองให้เป็นแล้วมันจึงจะเห็นอย่างที่ว่านี้ ก็จะเห็นบุญ เห็นอะไรทุกอย่างอย่างถูกต้อง มันก็ได้ชื่อว่าได้ทำสิ่งนั้นๆ จริงๆ ขอให้คิดดูให้ดี
นั้นการเป็นลูกเสือชาวบ้านนี่มันก็เป็นเรื่องได้บุญ ไม่ใช่จะพูดเอาอกเอาใจหรือว่าไม่ใช่จะพูดโฆษณาชวนเชื่อ พูดตามที่มันเป็นจริง ตามหลักของพระศาสนา ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าตามที่เป็นจริง มันก็เป็นอย่างนี้ ทีนี้จะดูกันต่อไปชนิดหนึ่งที่ว่า ถ้าจะให้เรื่องเหล่านี้มันกระจ่างแจ่มแจ้งแล้วจะต้องดูกันในข้อที่ว่า เกิดมาทำไมกัน ถ้าใครมาพูดด่าเราว่าเสียชาติเกิด นี่เราก็โกรธมาก เจ็บปวดมากถ้าเขามาด่าเราว่าเสียชาติเกิด แต่ว่าเราก็ต้องดูอีกทีว่าที่เขาด่าเรานั้นมันจริงหรือเปล่า เราได้ทำอะไรให้สมกับที่เราเป็นมนุษย์หรือเปล่า ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรให้สมกับที่เป็นมนุษย์ มีใครมาด่าว่าเสียชาติเกิด ก็อย่าได้ไปโกรธเขาเลยเพราะว่ามันจริง เราควรจะมาดูว่าเราได้ทำอะไรสมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรือเปล่า ทีนี้ระวังให้ดีเรื่องนี้มันลึกซึ้ง ที่ว่าเราได้ทำอะไรสมกับที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์หรือเปล่านี่มันลึกซึ้ง คนทั่วไปมักจะคิดว่า เราเกิดมานี่ให้มันมีรายได้ตามที่เราอยากจะได้ ให้อยู่สบายดีก็แล้วกัน พูดอย่างนี้มันพูดรวมๆ กว้างๆ มันก็ถูกได้ มันอาจจะถูกได้ แต่อย่าลืมว่า มองกันในแง่นี้แล้วไอ้ความเห็นแก่ตัวมันจะเข้ามาไม่ทันรู้ ถ้ามองแต่ตัวเอง มีอะไรสบายดี เกิดมาได้สบายดี ได้กิน ได้อยู่ ได้สมบูรณ์ดีในเรื่องกิน ในเรื่องกาม ในเรื่องเกียรติ คือทรัพย์สมบัติเราก็มีมาก กินอยู่สบาย แล้วกามคุณทั้งหลายก็สมบูรณ์ ทั้งเกียรติยศชื่อเสียงก็สมบูรณ์อย่างนี้ก็พอแล้ว อย่างนี้มันก็ถูกในความหมายหนึ่ง แต่มันยังไม่ถูกเต็มที่ในความหมายที่สูงสุด เพราะว่าเรามักจะมีกิเลส เป็นผู้กินหรือเป็นผู้เสวยกาม เป็นผู้เสวยเกียรติ จะมีกิเลสเป็นตัวเรา แล้วก็หลงใหลในการกิน หลงใหลในเรื่องกาม หลงใหลในเรื่องเกียรติ อย่างนี้แล้วคงไม่มีอะไร ที่พอจะยินดีปรีดาว่าสมแก่ความเป็นมนุษย์ ตัวเองสบายดี แล้วมันนึกถึงคนอื่นหรือเปล่า หรือควรจะถามกันว่าไอ้ที่เราสบายดี ร่ำรวยดีนี่มันเพื่ออะไรกันแน่ เพื่อความลุ่มหลงอยู่ในกิเลสอย่างนี้ตลอดไปหรืออย่างไร เรามีชีวิตอยู่อย่างสบายแล้วนี่มันพอกันทีหรือยัง ฟังดูทีแรกก็คล้ายว่าพอแล้ว ถ้าเรามันสบายดี มันก็พอแล้ว อย่างนี้ ระวังให้ดี ถ้าเรามันสบายดี เรามันเห็นแก่ตัวโดยไม่รู้สึกตัว จะไม่เพื่อผู้อื่นสบายด้วย นี่คือคนโดยมาก มองแต่ตัวเอง เห็นแต่แก่ตัวเอง ตัวเองได้ ตัวเองดี ตัวเองอะไรก็แล้วแต่ ไม่ได้นึกถึงว่าคนอื่นจะได้สบายด้วย นั้นการเกิดมา นี่มันก็ต้องได้สบายหรือได้ดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย คือทุกคน จึงจะเรียกว่าเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง
หรือว่าจะตีความหมายของคำว่า กิน ว่ากาม ว่าเกียรติกันเสียอีกแบบหนึ่งก็ได้ ถ้าคำว่า “กิน” หมายถึงการกินอาหาร มันก็ไม่ถูก มันต้องกินธรรมะด้วย ถ้าว่า “กาม” หมายถึงความใคร่ มันก็ต้องมีความใคร่ในทางธรรมะด้วย ที่เรียกว่า ธรรมะกาโม (นาทีที่ 40.26) ผู้ใคร่ในธรรม ก็มีกามในธรรม มีธรรมนั่นแหละเป็นกาม อย่างนี้มันก็เป็นมนุษย์ชั้นสูง ถ้ามีเกียรติ ก็ไม่ใช่เกียรติชนิดที่ชาวบ้านโง่ๆ ช่วยเทิด ช่วยทูน ช่วยเชิด ช่วยชู มันต้องเป็นเกียรติที่ถูกต้องของพระธรรม จนถึงกับว่าพระอริยะเจ้า พระพุทธเจ้าท่านประทานเกียรติ ท่านชมเชยว่ามันจริง หรือถ้าดีกว่านั้นอีก นี่ไม่ใช่จะลบหลู่พระพุทธเจ้า ถ้ามันถึงขนาดที่เรียกว่าตัวเองไหว้ตัวเองได้นั่นแหละคือเกียรติอันสูงสุด ไม่มีใครจะรู้จักตัวเราได้ดีเท่ากับตัวเราเอง เราจะเลว จะดี จะชั่ว จะอะไร เรารู้ รู้ดีกว่าคนอื่น ถ้าวันไหนถึงขนาดที่เรายกมือไหว้ตัวเองได้ ก็ให้ถือว่าวันนั้นเป็นวันที่มีเกียรติสูงสุดยิ่งกว่าที่ใครประทานให้ ถ้าอย่างนี้ล่ะก็เรียกว่าเป็นมนุษย์ ที่มีจิตใจสูงสมแก่คำว่ามนุษย์จริงๆ นั้นเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินี่ อย่าให้มันเป็นเรื่องโลกๆ ไปเสียหมด เป็นเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติของธรรมะในความหมายชั้นสูงด้วย จึงจะดีและปลอดภัย
นี่ขอพูดกันบ่อยๆ สักหน่อยว่า คำพูดมีสองความหมาย ที่เป็นภาษาคน ก็ความหมายหนึ่ง คือ ความหมายต่ำๆ ธรรมดาสามัญ ที่เป็นภาษาธรรมนั่นเป็นความหมายชั้นสูงของพระอริยะเจ้า เมื่อก่อนก็นึกเอาเองแล้วก็พูดว่าอย่างนี้ ต่อมาเมื่อเร็วๆ นี้กลับไปพบในพระบาลี ที่เขาใช้อยู่ในพระไตรปิฏกว่าโวหารสำหรับพูดในหมู่มนุษย์นั้น มีอยู่ 2 ชั้น ชั้นหนึ่งเรียกว่า ทิฏฐธรรมิกโวหาร (นาทีที่ 42.37) คือโวหารพูดที่พอพูดออกไปจากปาก คนอื่นเข้าใจได้ทันที และรู้กันอยู่ทั่วไปทั้งบ้านทั้งเมือง นี่ก็คือภาษาคน อีกอันหนึ่งก็เรียกว่า สัมปรายิกโวหาร (นาทีที่ 42.55) สัมปรายิกในทีนี้ไม่ใช่โลกหน้า ตายเข้าโลงแล้วจึงจะไปถึง คำว่า สัมปรายิกแปลว่าอื่น จากที่รู้จักกันอยู่ อื่นโดยเด็ดขาดจากที่คนทั่วไปรู้จักกันอยู่ เรียกว่าสัมปรายิก สัมปรายิกโวหาร คือ โวหารที่คนธรรมดายังฟังไม่ถูกทันที ต้องอธิบาย หรือต้องศึกษา ต้องสอบสวน นี่คือภาษาธรรม ซึ่งกิน กามเกียรติในภาษาคนนี่มันไม่ไหว ถ้ากินกามเกียรติในภาษาธรรม ก็พอดี ก็น่าชื่นใจ นั้นการที่เราเกิดมานี้ ถ้าพูดอย่างภาษาคน ก็เกิดกันมาแล้วทุกคน ที่นั่งอยู่ที่นี่ทุกคนก็เรียกว่าเป็นคนแล้ว เกิดมาแล้ว แต่ถ้าพูดโดยภาษาธรรม สัมปรายิกโวหารแล้ว ต่อเมื่อมีจิตใจมันสูง โน่นจึงจะเรียกว่ามันได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าเผลอไปจิตใจต่ำมันก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ในรูปร่างอันนี้ก็ได้ ถ้าจิตใจมันต่ำ ในรูปร่างอันนี้ที่เรียกว่าคนนี่ เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ถ้าใจมันต่ำ ถ้าใจมันสูง ก็เป็นมนุษย์ คือใจมันสูง นี่เกิดในสัมปรายิกโวหารมันต้องเป็นอย่างนี้ เรียกว่าในภาษาธรรม ภาษาธรรมะหรือภาษาธรรม คำว่าเกิดมันก็หมายถึงอย่างนี้ ถ้าเป็นภาษากิเลส คำว่าเกิด หมายถึงเกิดแห่งตัวกูของกู ถ้าเป็นเรื่องของกิเลส เกิดทุกปีเป็นทุกๆ ปี แต่ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ตามความหมายที่ถูกต้อง ในภาษาสัมปรายิกโวหารนี้ก็ว่าไม่มีความทุกข์ เพราะเรายังเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง นี่ทำไมเราจึงเกิดเป็นตัวกูของกูกันเสียอยู่เรื่อย ก็เพราะมันมีกิเลส ที่สะลมจนเป็นความเคยชิน สะสมความเคยชินของการเกิดกิเลสไว้มันจึงง่ายที่จะเกิดกิเลส ก็เกิดเป็นทุกข์ ก็ขูดเกลาความเคยชินอันนี้เสีย ด้วยความระมัดระวัง ทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง สำนึกในความหมายของมนุษย์ ในเกียรติยศของมนุษย์ ก็ทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง ที่เป็นการกำจัดกิเลส ซึ่งเรียกในภาษาลูกเสือของพวกท่านทั้งหลายก็ว่า บำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่น บำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นอยู่เพียงใดก็ขูดเกลาไอ้กิเลสที่ตัวกูอยู่เพียงนั้น นั่นแหละมันจะเป็นการช่วยให้เราได้เกิดอย่างถูกต้องและไม่เสียชาติเกิด ก็ควรจะภูมิใจและควรจะพอใจ เรียกว่าได้เกิดมาทั้งทีมันถูกต้องและไม่เสียชาติเกิด
นั้นจึงสรุปความว่า การบำเพ็ญอุดมคติของลูกเสือ แม้ลูกเสือชาวบ้านนี้ก็เพื่อว่ามันจะไม่เสียชาติเกิด คือไม่ได้เกิดมาเห็นแก่ตัว ข้างเดียว อย่างเดียว มันเกิดมาเห็นแก่ทั้งหมด มนุษย์ทั้งหมด เพื่ออยู่กันเป็นผาสุก แต่มีคนที่อาสาจะสละชีวิตของตน เพื่อการอยู่รอดของคนอื่นทั้งหมด ตามอุดมคติของพระโพธิสัตว์อย่างนี้
เอาล่ะ เป็นอันว่าได้พูดมาพอสมควรแล้วที่แสดงให้เห็นว่าลูกเสือชาวบ้านนี่เป็นอุดมคติสูงสุด ถูกต้อง ถูกต้องตามหลักของพระพุทธศาสนา หรือจะว่าให้มันกว้างกว่านั้นก็ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของธรรมชาติที่ว่า เราอยู่คนเดียวไม่ได้ เราต้องอยู่กันอย่างผูกพันกันและเจริญกันมาพร้อมๆ กัน นี่ธรรมชาติเขาต้องการอย่างนี้ ขอให้มีความภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตน ของท่านทั้งหลายทุกคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นลูกเสือชาวบ้าน ในที่สุดนี้อาตมาขอให้พร ขอให้พรให้ท่านทั้งหลายที่เป็นลูกเสือชาวบ้านที่ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องแล้วนี้ จงมีความเจริญงอกงามในหน้าที่ของตนไปตามลำดับ ไปตามลำดับ มีความก้าวหน้าพร้อมด้วยความผาสุกอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ