แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาตมาขอแสดงความยินดีในการที่ได้พบกับท่านทั้งหลายที่เขาเรียกกันว่า เนตรนารี ซึ่งเรียกธรรมดาดีกว่า ว่าลูกเสือ แต่ว่าเป็นสตรีเพศ การเป็นลูกเสือ น่าจะไม่ต้องออกรบอย่างทหาร ก็มีความมุ่งหมายที่จะเป็นประโยชน์ในการป้องกันหรือพัฒนาประเทศชาติ ในลักษณะที่เหมาะสม
ที่ประเทศอิสราเอลหญิงสาวต้องเป็นทหารโดยสมบูรณ์ ทหารอย่างสมบูรณ์ ๒ ปีเต็ม แล้วก็ต้องเป็นกองหนุนที่พร้อมจะเรียกตัวได้อยู่เสมอ จนถึงอายุ ๕๐ ปี นี่คือ ประเทศอิสราเอลที่มอบหมายหน้าที่ให้แก่สตรีเพศ ประเทศอิสราเอลจึงมีอะไรเข้มแข็งไปตามแบบของเขาจนเป็นที่เกรงขาม จนเป็นที่สรรเสริญแก่ประเทศอื่นๆ เป็นประเทศเล็ก มีพลเมืองไม่มาก แต่ก็เข้มแข็ง มีลักษณะเหมือนกับเสือที่จะเรียกว่า เสือ ประเทศไทยเรายังไม่มีทหารที่เป็นสตรี แต่ก็มีสตรีที่เป็นลูกเสือ นั่นหมายถึง ความเข้มแข็ง ความรับผิดชอบที่เต็มเปี่ยม อย่างมนุษย์ ของความเป็นมนุษย์ หากแต่เป็นสตรีเพศ ต่อไปในโลกนี้สตรีเพศจะต้องรับภาระหนักขึ้นหรือมากขึ้นอย่างที่เรียกว่า เสมอกับบุรุษ แล้วภาระหน้าที่นี้มันเป็นของที่หลีกไม่ได้
การทำหน้าที่นั่นแหละ คือ การประพฤติธรรม ถ้าเราทำหน้าที่ต่ำหน่อย ก็ประพฤติธรรมต่ำหน่อย ถ้าเราทำหน้าที่สูงสุด ก็ประพฤติธรรมสูงสุด ประพฤติธรรมะสูงสุด แต่เมื่อได้ทำหน้าที่ของมนุษย์แล้ว ก็เรียกว่า ประพฤติธรรม คนควรจะยินดีพอใจ เมื่อได้ประพฤติธรรม นั่นแหละ คือ การทำบุญ ที่เรียกว่าบุญ คือการทำหน้าที่ของตนอย่างครบถ้วนหรือถูกต้อง ที่เรียกว่าบาป ก็คือ การไม่ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง อย่างกับเป็นมนุษย์ ไม่ทำหน้าที่ของมนุษย์ เป็นบุรุษสตรี ไม่ทำหน้าที่ของบุรุษสตรี ไม่ได้มีการงานที่แยกกัน จะเป็นชาวนาชาวสวน จะเป็นพ่อค้า จะเป็นผู้มีอาชีพใดๆ ก็ตาม ก็เรียกว่า มีหน้าที่ ทำหน้าที่ของมนุษย์เต็มที่ ตามที่ตนจะทำได้ ทำเหมือนกันทุกคน เท่ากันทุกคน มันทำไม่ได้แน่ เพราะบางคนมันแข็งแรง บางคนไม่แข็งแรง บางคนไม่ฉลาด บางคนฉลาดน้อย บางคนฉลาดมาก หน้าที่จึงทำเหมือนกันหรือเท่ากันไม่ได้ แต่มันเหมือนกันได้ เท่ากันได้ตรงที่ว่า ได้ทำหน้าที่ ถ้าได้ทำหน้าที่แล้วก็ไม่มีอะไรบกพร่องที่ควรจะติเตียน เพราะเขาได้ทำสุดความสามารถของเขาแล้ว ไม่ว่าเขาจะเป็นคนกวาดถนน ล้างท่อ ถีบสามล้อ แจวเรือจ้าง เมื่อเขาได้ทำเต็มความสามารถของเขาแล้ว ก็ควรจะถือว่า เขามีเกียรติในความเป็นมนุษย์ เท่ากับเป็นประธานาธิบดี เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นอะไรก็ตามใจ ที่ต้องมีหน้าที่ และต้องทำหน้าที่ของตนให้เต็ม ตามความสามารถ เราอย่าดูหมิ่นดูถูกคนกวาดถนน คนล้างท่อ คนถีบสามล้อ คนแจวเรือจ้าง เรามันจะโง่เอง
ธรรมชาติต้องการให้คนทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เต็มที่เท่าที่จะทำได้ เมื่อจะทำ เมื่อได้ทำแล้วก็เรียกว่า ไม่มีข้อบกพร่อง ไม่ควรจะถูกติเตียน ควรจะได้รับความเคารพนับถือ ถ้าเราถือกันได้อย่างนี้ เราก็จะอยู่กันเป็นผาสุก แล้วก็ไม่ต้องเดือดร้อน ที่ว่าไม่ได้ทำหน้าที่ ชนิดที่ได้เปรียบเบาสบาย มันอยู่ที่ว่าคนได้ทำหน้าที่ของตนเต็มที่หรือไม่ ถ้าได้ทำเต็มที่แล้วก็ควรจะพอใจ ว่าตนได้ทำหน้าที่ แล้วก็มีความสุข เพราะความพอใจ ความสุขมีต่อเมื่อมีความพอใจ นี่ไปคิดดูเถอะ จะรู้สึกเป็นสุขอะไรได้ก็ต้องพอใจในสิ่งนั้น ไม่ว่าความสุขชนิดไหน ต้องมาจากความพอใจในเรื่องนั้นๆ ทั้งนั้น ขอให้เราพอใจเมื่อได้ทำหน้าที่ เพราะว่านี่เป็นกฎของธรรมชาติ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าธรรมะๆ หรือธรรมชาติ มันมีธรรมชาติ ซึ่งเป็นเนื้อเป็นตัวเป็นอะไรของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง คนก็ดี สัตว์ก็ดี แม้แต่ต้นไม้ก็ดี หรือต่ำลงไปเป็นสิ่งมีชีวิตก็ดี มันก็เป็นตัวธรรมชาติ ในธรรมชาติทุกชนิด ทุกระดับมันมีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าหลีกเลี่ยงก็หมายถึงความตาย เราจึงทำตามกฎของธรรมชาติด้วยกันทุกคน นี่เรียกว่าหน้าที่ การทำตามกฎของธรรมชาติเรียกว่าหน้าที่ เมื่อทำเสร็จแล้วก็ไม่ตาย อยู่ได้ รอดอยู่ได้ แต่เพียงเท่านี้มันไม่พอ เพียงแต่รอดชีวิตอยู่ได้มันก็ไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะมันก็รอดชีวิตอยู่ได้ รอดชีวิตอยู่ได้นี้ต้องทำให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ที่ควรจะได้รับ
ดังนั้นมนุษย์จึงมีหน้าที่ ที่สูงขึ้นไป ยิ่งกว่าเพียงแต่ให้รอดชีวิตอยู่ได้ บางคนจะถือหลักว่า เอาตัวรอดเป็นยอดดี นี่ไม่ถูก มันต้องรอดอยู่ได้ แล้วก็มีอะไรที่ทำได้ดี เต็มที่ รอดครั้งที่สองนี่รอดจากถูกกล่าวหาว่า ทำอะไรได้น้อยเกินไปไม่สมกับมนุษย์ เมื่อเรารอดครั้งที่หนึ่ง คือ รอดชีวิตอยู่ได้ ทำหน้าที่การงานให้รอดชีวิตอยู่ได้ แล้วก็ให้รอดอีกครั้งที่สอง คือว่า รอดจากการกล่าวหาว่าทำอะไรได้น้อยเหลือเกินไม่น่าเลื่อมใส ไม่สูงสุด ไม่ดีที่สุด นี่เราต้องทำให้รอดอีกครั้งหนึ่ง ถ้าอย่างนี้ได้ เรียกเอาตัวรอดเป็นยอดดีก็ได้ ในทางพุทธศาสนา เลี้ยงชีวิตรอดอยู่ได้ ตามปกติแล้ว ก็ปฏิบัติธรรมะให้บรรลุมรรคผลนิพาน นี่รอดจากอำนาจของกิเลศและความทุกข์ อีกอย่างหนึ่ง ยิ่งไปกว่ารอดตาย รอดตายไม่เท่าไหร่ สัตว์เดรัจฉานก็ทำเป็น แต่ว่าจะให้รอดจากกิเลศและความทุกข์นี่แหละ ที่ว่าสัตว์เดรัจฉานทำไม่เป็น ซึ่งเป็นเหตุให้มนุษย์กับสัตว์เดรัจฉานนั้นแตกต่างกัน ฉะนั้นเราจึงต้องมีธรรมะ เพื่อให้แตกต่างกว่าสัตว์เดรัจฉาน ถ้าเพียงแต่หากินได้ รอดชีวิตอยู่ได้ ก็ไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพียงแต่สืบพันธุ์กันได้ ก็ไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน ต้องมีธรรมะที่ได้สิ่งที่ดีที่สุด สำหรับมนุษย์ ท่านลองคิดดูว่าอะไร ก็ถือกันว่า มีธรรมะ สมกับที่เป็นมนุษย์คือ ไม่มีความทุกข์เลย ไม่มีความทุกข์ส่วนตัวก็ยังไม่ดี ต้องเพื่อนกันไม่มีความทุกข์ด้วย เราเองก็ไม่มีความทุกข์ เพื่อนมนุษย์ของเราก็ไม่มีความทุกข์ ถึงจะดีที่สุดสำหรับมนุษย์เรา ซึ่งสัตว์เดรัจฉานทำไม่ได้แล้ว ทิ้งกันไกล แต่เดี๋ยวนี้เมื่อเป็นมนุษย์แล้ว ก็ขอให้ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ตัวเองพ้นจากปัญหาที่เป็นความทุกข์ และก็ช่วยเพื่อนมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์ด้วย หรือยินดีที่ได้เป็นอย่างนี้
จะยกตัวอย่างด้วยความว่า เศรษฐีๆ ตามภาษาบาลี ไม่ใช่เศรษฐี ภาษาอะไรก็ไม่รู้ เอาภาษาบาลี เป็นหลักกันก่อน คำว่า เศรษฐี แปลว่า ประเสริฐที่สุด มนุษย์ที่เป็นเศรษฐีเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐที่สุด ถ้าตามหลักของภาษาบาลี แต่เดี๋ยวนี้ภาษาไทยมันปนเป กำกวมไปหมด เศรษฐีเป็นคนร้ายที่สุดก็ได้ เป็นคนขูดรีดมากที่สุดก็ได้ เราอย่าไปเอา เอาคำว่าเศรษฐี โดยหลักภาษาบาลี เศรษฐะ แปลว่า ประเสริฐ ที่สุด เศรษฐี แปลว่า มีความประเสริฐที่สุด ประเสริฐอย่างไง คำว่า เศรษฐี โดยความหมายเดิมนั้น ทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างดีที่สุด มีบ่าวไพร่ ข้าทาส กรรมกร อะไรมาก มันก็อยู่กันอย่างลูกหลาน ไม่ใช่ทาสชนิดที่ต้องเลิก ทาสชนิดที่ทรมานนั้น เขาเลิกกันแล้ว แต่ว่าคำว่าทาสที่ยังไม่ต้องเลิก ก็คือว่า อยู่กับนายอย่างลูกหลาน ก็คือ เศรษฐีครั้นโบราณ พุทธกาลมี คนใช้ กรรมกร อะไรมาก เลี้ยงกันอยู่หรืออยู่กันอย่างลูกหลาน ก็ไม่มีใครเป็นทุกข์ ก็มันอยู่กันอย่างลูกหลาน ไม่ใช่ว่าถูกเฆี่ยน ถูกตี ถูกทรมาน เหมือนที่เราได้ยินเรื่องทาสสมัยหลังนี่ ทุกคนสบายดี ทุกคนสนุกสนานร่าเริง สนุกในการทำงาน ก็ถือธรรมะ คนเหล่านี้ถือธรรมะ เมื่อได้ทำงานก็พอใจ เมื่อได้ทำงานก็เป็นสุข เพราะเขารู้ว่าการทำงานคือการประพฤติธรรม คนเดี๋ยวนี้มันว่า การทำงานนั้น คือ สิ่งที่น่าเกลียดน่าชัง เขาว่าเหน็ดเหนื่อย จนไม่มีใครอยากจะทำงาน ที่ทำงานเพราะความจำเป็นบังคับ เพื่อจะเอาเงิน เอาค่าจ้างที่ได้รับ มาซื้อหาความสุข นั้นเรียกว่า ไม่ใช่ชอบทำงาน ทำงานเพราะจำเป็นบังคับ ถ้าทำงานด้วยความรัก ว่างานนี่คือธรรมะ งานนี่คือการปฏิบัติธรรม แล้วก็มีความสุขเมื่อทำงาน ขอให้ช่วยจำไปด้วยทุกคนว่ามีความสุขเมื่อทำงาน หาความสุขได้ในการทำงาน เมื่อทำงานที่โต๊ะทำงาน ที่ออฟฟิศทำงาน พอใจในการงานที่ทำได้ดียิ่งขึ้นแล้วเป็นสุข เป็นสุขที่การงาน ไม่ใช่เป็นสุขที่พอเงินเดือนออก แล้วก็ไปหาอบายมุข ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร ก็ยังเกลียดค้านทำการงานอยู่นั่นแหละ อย่างนี้เรียกว่า อบายมุข ไปทำอบายมุขด้วยเงินเดือนที่หามาได้ แล้วก็คิดว่าเป็นสุข ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน ไปสถานเริงรมย์ อาบอบนวด จนเงินเดือนไม่พอใช้ แม้แต่ที่เป็นครู นี่ก็เงินเดือนไม่พอใช้ อย่าว่าข้าราชการแบบอื่น เป็นครูนี่มันควรจะดี ไม่ไปทำอบายมุขแล้วเงินเดือนเหลือใช้ เดี๋ยวนี้ก็มีครูหลายคนเงินเดือนไม่พอใช้ เพราะไปทำอบายมุข ไม่เป็นสุข เมื่ออยู่ในห้องเรียน หน้ากระดานดำ ถือชอล์กอยู่หน้ากระดานดำ ไม่รู้จักทำให้เป็นสุข คือ ไม่สุขใจเพราะได้ทำงาน ไม่รู้ความหมายของธรรมะ ไม่รู้คำสอนของพระพุทธเจ้าว่าการทำงาน คือ การปฏิบัติธรรม ขอให้ไปหาความสุขที่แท้จริงกันเสียใหม่ทุกคน คือ เมื่อทำงาน พอใจ อิ่มใจ ว่าได้ทำหน้าที่มนุษย์อย่างถูกต้อง เพียงเท่านี้ก็มีปีติแล้ว ปีติ แปลว่า ความพอใจ เราจะทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างถูกต้อง ไม่เหลวไหล เป็นคนดี นึกแล้วก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ ขอให้คิดดูเถอะ ใครยกมือไหว้ตัวเองได้ คนไม่สนใจธรรมะ ไม่มีวันที่จะยกมือไหว้ตัวเองได้ พูดธรรมะอยู่ก็ไปคุยกันเสีย กำลังพูดธรรมะอยู่ก็ไปคุยกันเสีย คนชนิดนี้ที่มันจะยกมือไว้ตัวเองได้ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันไม่ได้สนใจธรรมะ มันจะยกมือไหว้ตัวเองได้ ต่อเมื่อมีธรรมะ ฉะนั้นให้สนใจทำตัวเองให้มีธรรมะ จนยกมือไหว้ตัวเองได้ ให้ถือว่าการงานคือธรรมะ ทำการงาน คือ การปฏิบัติธรรม มีความสุขเมื่อทำการงาน ไม่ต้องเมื่อเอาเงินเดือนไปเที่ยวอบายมุข ทีนี้ก็พยายามที่จะให้มันมากขึ้นไป เราทำการงานอะไรก็ตาม เป็นลูกจ้าง เป็นกรรมกร งานเหนื่อยลำบาก งานขีด งานเขียน งานอะไรก็ตาม งานทุกชนิดล้วนแต่ทำให้ดีขึ้นได้ ไม่มากก็น้อย แม้แต่งานกรรมกร ทำให้ดีขึ้นได้ แล้วก็พอใจ นี่คนดีเขาพอใจ ที่เมื่อทำดีได้เพิ่มขึ้น งานนี้เราทำอย่างนี้เสมอมา ก็พอใจไว้เสียก่อน ว่าทำหน้าที่ไว้อย่างไม่เหลวไหลนี้ เป็นคนดีมีธรรมะ พอใจตัวเอง ทีนี้ทำให้มันดีขึ้นกว่านั้นอีกนิดหนึ่ง ควรที่มันดีกว่านั้นอีกนิดหนึ่ง ควรจะได้ไหว้ตัวเองเพิ่มขึ้น หรือทำได้เลวกว่าที่แล้วมานิดหนึ่ง เลวได้เพียง ๕ นาทีในงานที่เคยทำ ก็ควรจะถือว่ามันดี ดีกว่าเพราะมันทำได้เร็วกว่า ดีกว่า มากกว่า ประณีตกว่า สวยกว่า ก็ควรจะอิ่มใจว่ามันทำได้ดีกว่า และมีความสุข ความสุขชนิดนั้นบริสุทธิ์ ไม่ใช่ความสุขโง่ เมื่อไปอาบอบนวด สูบบุหรี่ กินเหล้า ทำไมถึงเรียกว่าสุขโง่ ปอดมันอยู่ดีๆ เอาควันไฟไปรมให้มันเสียเร็ว ก็สูบบุหรี่ มีความสุข มีความอร่อย มันสุขโง่ ปอดมันไม่ต้องการให้เอาควันไปรม เอาควันไปรมมันเสียเร็ว แล้วมันก็จะมีอะไรๆ เป็นปัญหาเพิ่มขึ้น ความสุขที่เกิดจากสูบบุหรี่มันก็เป็นความสุขโง่ทำลายชีวิตตัวเอง ทำให้เปลืองเงิน ทำให้เสียนิสัย อ่อนแอ บังคับตนไม่ได้ ไปกินเหล้าก็เหมือนกันแหละ ปอด ตับ กระเพาะ มันไม่ต้องการเหล้า ที่กินเข้าไป ทำให้มันเสียเร็ว ก็เรียกว่า ความสุขโง่ เงินก็เสีย ร่างกายก็เสีย เวลาก็เสีย อะไรก็เสีย ไม่เห็นว่ามันไม่ใช่ความสุข ถ้าจะให้เป็นความสุข ต้องเป็นความสุขของคนโง่ อบายมุขทั้งหลาย เรื่องอาบอบนวด เรื่องอะไรกี่อย่างๆ ไปนับดูเถอะ มันเป็นเรื่องความสุขโง่ ตกเป็นเหยื่อของความโง่ จึงจะเห็นว่าเป็นความสุข กามารมณ์ ก็เหมือนกัน ต้องโง่พอๆ กัน จึงจะเห็นกามารมณ์เป็นสุข เดี๋ยวนี้เราไม่เป็นทาสของกามารมณ์ พอใจของการทำงาน การงาน คือ ธรรมะได้ปฏิบัติธรรมะก็พอใจ ก็เป็นสุข ยกมือไหว้ตัวเองได้ คนทำอบายมุขไม่มีทางจะยกมือไหว้ตัวเองได้
อย่างมาเป็นเสมียน วันนี้ทำงานได้เร็วนิดหนึ่ง ก็ พอใจแล้วว่าดีขึ้น เด็กๆ วันนี้เขียนตัว ก. ได้สวยกว่าเมื่อวาน ก็ควรจะพอใจ ว่ามันดีขึ้น ยกมือไหว้ตัวเองได้ เสมียนกรอกบัญชี วันนี้กรอกได้เรียบร้อย ตัวเลขสวยกว่าเมื่อวาน ก็ควรจะดีใจ เคารพตัวเอง ว่ามันดีขึ้น ยกมือไหว้ตัวเองได้ ทุกคนจะเป็นผู้มีอาชีพชนิดไหน แม้แต่กรรมกรก็สามารถที่จะทำให้งานนั้นดีขึ้นนิดหนึ่งๆ เสมอไป จนเรารู้สึกว่ามันดีกว่าเมื่อวาน วันนี้ทำ ๑๐ นาทีเสร็จ พรุ่งนี้จะทำให้เสร็จใน ๙ นาที ๘ นาที วันนี้ดีเท่านี้ พรุ่งนี้ต้องดีกว่านี้ จะเรียบร้อยกว่านี้ ประณีตกว่านี้ น่าดูกว่านี้ อะไรดีกว่านี้ นั่นคือ การเลื่อนชั้นตัวเองด้วยความดี จะทำอย่างนี้ได้ก็เพราะพอใจ ว่าธรรมะคือการทำงาน ธรรมะคือการทำหน้าที่ของมนุษย์ พอได้ทำหน้าที่ของมนุษย์ แล้วก็พอใจ เป็นสุข เงินค่าจ้างนั้นไม่ได้นึกถึง เพราะมันเป็นสุขเสียแล้ว มันเป็นสุขอยู่ที่งานเสียแล้ว ฉะนั้นไม่ต้องคอยรอวันเงินเดือนออก จะไปหัวหกก้นขวิด มันไม่มี มันเป็นสุขอยู่ทุกวันๆ ขณะที่ทำงานนี่ มันก็ได้มากทุกวันๆๆ เป็นความสุขแท้ ไม่ใช่ความสุขหลอกด้วยกิเลส นี่มนุษย์ที่มีความสุขส่วนตนเป็นอย่างนี้ อย่างอื่นเป็นความสุขหลอกทั้งนั้น ฉะนั้นเราจะรอดจากกิเลส รอดจากความทุกข์ มันก็ต้องทำให้เป็นอย่างนี้ คือ สุขเมื่อมีการงาน ทำการงานดีมีความสุข
ที่พุทธบริษัททั้งหลาย ก็ถือหลักอย่างนั้น ไม่ได้ถือหลักดีที่เงิน กินเหล้าเมายา ถือหลักว่าประพฤติหน้าที่ ทำการงานให้ที่ดีสุด ยกมือไหว้ตัวเองได้ นี่คือความสุข เศรษฐีที่ว่าเมื่อสักครู่ เพราะมีคนร่วมมือมาก อยู่กันอย่างเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ใช่ลูกจ้าง สำหรับขูดรีดหรือเอาเปรียบ อยู่กันอย่างเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย และทุกคนทำงานเป็นสุข ทำนานี่แหละก็เป็นสุข ดำนาก็เป็นสุข เกี่ยวข้าวก็เป็นสุข อะไรก็เป็นสุข เมื่อทำได้เร็วขึ้นมากขึ้นนิดหนึ่งก็ยิ่งเป็นสุข ผู้ที่มีธรรมะเมื่อเหงื่อไหล อยู่กลางแดด ทำการงานอยู่ในทุ่งนาเขาก็มีความสุข แต่เป็นคนยุคโบราณแต่โดยมาก จนเดี๋ยวนี้มันอยากจะไปกินเหล้า ไปเที่ยวตลาด มันไม่ๆๆ หาดูยากแล้ว เที่ยวความสุข ยิ้มกริ่มอยู่เมื่อขุดนา เมื่อไถนา เมื่ออะไรอย่างนี้ หาดูยากแล้ว คือจะเป็นสมัยที่ธรรมะดีอยู่ ก็จะเป็นอย่างนั้น ไม่สนใจเรื่องจะขายข้าวได้เท่าไหร่ เพราะสุขมันมีเสียแล้ว เมื่อขุดนา เมื่อไถนาตั้งแต่แรกเริ่ม ดังนั้นการงานจึงดีมาก ได้ผลดี เศรษฐีที่มีลูกน้องมาก จึงทำงานได้ผลดีครบทุกคน ถือว่าการทำหน้าที่ของตน คือการปฏิบัติธรรม ถึงเศรษฐีจะทำนา ก็ได้ผลมาก สนุก เป็นสุข ในการทำด้วย ทีนี้เขาก็ใช้มันแต่น้อย ใช้กิน อยู่ แต่พอดี ไม่หลงเรื่องอร่อย เหมือนคนสมัยนี้ เขากินอยู่แต่ถูกต้องพอดี ทำไมจึงต้องกินเหล้า ทำไมจึงต้องสูบบุหรี่ ทำไมจะต้องไปอาบอบนวด เหมือนคนสมัยนี้ ข้าราชการก็ดี ชาวบ้านก็ดี มันยังลุ่มหลงสิ่งเหล่านี้ มันก็เงินไม่พอใช้ด้วยกันทั้งนั้น ต้องคอรัปชั่น เมื่อไม่มีส่วนเกินอย่างนี้ เงินมันก็เหลือ ของมันก็เหลือ ส่วนที่เหลือ เอาไปช่วยผู้อื่น ช่วยฟังไว้หน่อยว่า ใช้กินแต่พอดีให้มันเหลือ แล้วที่เหลือเอาไปช่วยผู้อื่น จะเก็บไว้เป็นทุนสำรองก็ได้ บ้างก็ได้ แต่ว่าต้องมีส่วนช่วยผู้อื่น ถ้าไม่อย่างนั้นไม่ดี เศรษฐีมันดีตรงนี้ ลงทุนผลิตมาก กินแต่พอดี เหลือไปช่วยผู้อื่นนี่ ไม่ให้ดีอย่างนี้ ให้ดีอย่างไหน คิดดู อย่างไหนมันมีดีอย่างนี้เท่ากับความเป็นคน มันผลิตมาก ใช้แต่น้อยเหลือไปช่วยผู้อื่น ช่วยคนยากจนก็ได้ ช่วยศาสนาก็ได้
ดังนั้นคำว่า เศรษฐีๆ แปลว่า ผู้ประเสริฐที่สุด เศรษฐะ แปลว่า ประเสริฐ เศรษฐี แปลว่า ผู้มีความประเสริฐ เพราะว่า มันผลิตมาก กินแต่พอดี เหลือ ไปช่วยผู้อื่น ไม่ใช่นายทุนสมัยนี้ เดี๋ยวจะบอกว่ามีเงินมากจะเรียกเศรษฐีเหมือนกันหมดไม่ได้ เพราะเศรษฐี ก็มีหลักว่า ผลิตมาก กินแต่พอดี เหลือไปช่วยผู้อื่น จะมีเงินมากหรือน้อยไม่ได้เอาเป็นหลัก เอาการกระทำเป็นหลักว่า ผลิตมาก กินแต่พอดี เหลือไปช่วยผู้อื่น
ดังนั้นเศรษฐีทุกคน จะต้องมีโรงทาน เศรษฐีนี่ คู่กับโรงทาน โรงทานคู่กับเศรษฐี ถ้าไม่มีโรงทานไม่มีใครเรียกเศรษฐี เมื่อเศรษฐียังประคับประคองโรงทาน เป็นของชิ้นสูงสุด จึงเอาเงินเอาทรัพย์ไปฝังดินไว้ สำรองไว้ เผื่อใช้ เผื่อเหลือ เผื่อขาด แก่โรงทานนั้น เพราะมันไม่มีธนาคาร ไม่มีออมสินอะไร เหมือนสมัยนี้ ฉะนั้นเขาก็ต้องไปซุกไปซ่อนไว้ มีไว้สำรองเมื่อโรงทานมันขาดแคลน จะได้เอาเงินที่ฝังไว้นั้นมาช่วยโรงทาน บางทีลืมสูญหายไปก็มี บางทีแม่น้ำเซาะตลิ่งพัง เอาของที่ฝังไว้ สูญหายไปเสียก็มี นี้ก็มีเป็นธรรมดา ในเรื่องของเศรษฐี แต่ความประสงค์ ก็คือว่า จะต้องสะสมทรัพย์ไว้ส่วนหนึ่งหล่อเลี้ยงโรงทาน เพราะฉะนั้นโรงทานจึงไม่ล้ม เศรษฐีใหญ่ก็มีหลายโรงทาน สงเคราะห์ผู้อื่นด้วยโดยตรง โดยข้าวปลาอาหาร อย่างนี้ก็มี ด้วยการบำรุงพระศาสนา เพราะศาสนา มันทำประโยชน์แก่ส่วนรวม แก่โลก ฉะนั้นบำรุงศาสนาก็คือช่วยส่วนรวม ช่วยโลก เศรษฐีจึงช่วยศาสนาอีกแผนกหนึ่ง นอกจากโรงทาน ที่ช่วยคนยากจน เข็ญใจตามธรรมดา
วัดทั้งหลายในพุทธกาล ก็สร้างโดยเศรษฐีกันทั้งนั้น แม้ในประเทศไทยเรานี่ ถ้าเป็นสมัยก่อนๆ โน้น ก็เศรษฐีโดยมากเป็นผู้สร้างวัด แล้วจึงค่อยยกให้เป็นของหลวง กลายเป็นวัดหลวงทีหลัง วัดอย่างนี้มีมากที่สุด ในกรุงเทพฯ ทีแรกสร้างขึ้นด้วยเศรษฐีแห่งตระกูลหนึ่งๆ นี่ ใครอยากรู้ก็ไปหาอ่านเอาเองเถอะ ประวัติวัดสำคัญในกรุงเทพฯ ที่ทีแรกเป็นวัดเศรษฐีสร้าง ต่อมายกให้เป็นวัดหลวงมากที่สุด เศรษฐีเมื่อมีทรัพย์เหลือ ก็นึกถึงผู้อื่น นึกถึงสร้างวัด คู่กับโรงทาน คู่กับสร้างวัด นั่นแหละเรียกว่าเศรษฐี แปลว่าผู้ประเสริฐที่สุด เดี๋ยวนี้เรามีพวกนายทุน ร่ำรวยที่สุด จะรวยกว่าเศรษฐีก็ได้แต่ เขาไม่ทำอย่างนั้น ดังนั้นเขาไม่ใช่เศรษฐี เขาเป็นพวกนายทุนกระดาษทรัพย์ กระดาษทรัพย์ จะซับให้มันหมด ไม่มีอะไรเหลือ คือ คนร่ำรวย เดี๋ยวนี้มันเป็นนายทุนกระดาษทรัพย์ ไม่ใช่เศรษฐี
ที่เอาเรื่องเศรษฐีมาเล่าให้ฟัง ก็เพราะมันคือ ประเสริฐที่สุดของมนุษย์ เราก็เป็นได้เศรษฐี พวกครูทั้งหลายนี่ก็เป็นได้ ถ้ามีหลักว่า ผลิตให้มาก ทำให้มาก ให้สุดความสามารถ สนุกในการผลิต การหา การทำ สนุกเมื่อทำ ก็อย่ากินให้หมด กินแต่พอดี แล้วก็เหลือเอาไปช่วยผู้อื่น ทำอย่างนี้จะเป็นเศรษฐียังได้ ประเสริฐที่สุด ไม่ต้องมีเงินมากเป็นสิบล้าน ร้อยล้าน พันล้าน มีตามสมควร แต่กิจการที่ทำอยู่นั่นนะคือเศรษฐี แปลว่ามนุษย์ผู้มีความประเสริฐที่สุด ทำงานมาก สนุกเป็นสุข ในการงาน ได้ผลมาก็ไม่ใช้หมด ไม่กินหมด เหลือไว้ช่วยผู้อื่น ก็มองเห็นชัดอยู่ว่า ตัวเองก็เป็นสุข เพื่อนมนุษย์ก็เป็นสุข นั่นแหละ คือ มนุษย์ที่เราต้องการ มนุษย์ในโลกพระศรีอริยเมตไตรย์ ก็ทำกันอย่างนี้มีความรักเพื่อนมนุษย์ เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เบียดเบียนกันไม่ได้ รวมกลุ่มกันได้ ทำความดี ความงาม ให้ทั้งบ้านทั้งเมือง ทั้งโลกมันมีความสุข
อาตมาคิดว่า กิจกรรมลูกเสือก็มีจุดมุ่งหมายอย่างนี้ เพื่อให้เราก็มีความสุข เพื่อให้เพื่อนมนุษย์ของเราก็มีความสุข ไปแยกดูเอาเองว่ามันจะเป็นได้อย่างไร ข้อใหญ่ใจความก็คือ ไม่เห็นแก่ตัว เป็นลูกเสือไม่เห็นแก่ตัว เป็นเสือในป่า เสือ สัตว์เดรัจฉาน เป็นเสือในป่า กัดกวางได้ กินแล้วก็ทิ้ง ไม่หวง อยู่ข้างหลัง หมาจะมากินก็ได้ สุนัขจิ้งจอกมากินก็ได้ เสือมันได้หวง มันต้องอย่างนั้น เราจะต้องทำงานให้เกิดผล เกิดอะไรขึ้นมา กินเองอิ่มแล้วก็เหลือให้ผู้อื่นกินด้วย จึงจะเป็นเสือ ไม่ต้องขอเนื้อใครกิน หากินได้ กินแต่พอดี เหลือก็ให้ผู้อื่นกิน นี่มันเข้าอุดมคติของเศรษฐีเสือ เป็นลูกเสือหญิงก็ตาม ลูกเสือชายก็ตาม เข้าใจความเป็นลูกเสือไว้เถอะ แล้วก็ยังมี โอกาสหนึ่ง ถึงๆ ที่สุดของความเป็นมนุษย์ เรียกว่า ผู้ประเสริฐที่สุดได้เหมือนกัน ไม่เห็นแก่ตัวอย่างเดียว จะแก้ปัญหาได้หมด เพราะจะรักผู้อื่น เมื่อไม่เห็นแก่ตัวจะรักผู้อื่น เมื่อรักผู้อื่นก็ไม่เบียดเบียนใครก็ยังขาดเลย มันเบียดเบียนไม่ได้เพราะเรารักเขานี่ รักผู้อื่น มันก็ฆ่าเขาไม่ได้ ขโมยเขาก็ไม่ได้ ละเมิดของรักของเขาก็ได้ โกหกก็ไม่ได้ สูบบุหรี่ให้คนอื่นรำคาญก็ไม่ได้ เพราะว่าเรารักผู้อื่น เราก็เลยไม่มี ไม่มีการทำผิด ทำลายล้างอะไร มีแต่ช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน ไม่ทำร้ายใคร และช่วยส่งเสริมก็มีความสุข นี่อุดมคติสูงสุดของมนุษย์หรือจะเรียกว่าของลูกเสือนี่ก็ได้ ถ้าใช้คำพูดอย่างอื่นก็ได้ แต่ใจความมันเหมือนกัน ทำดีให้มาก สุดที่มนุษย์จะทำได้ แล้วก็ไม่ทำเพื่อตนเองอย่างเดียว ทำเพื่อเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายด้วย
อุดมคติของลูกเสือ ที่สุดก็เข้าไปอุดมคติของผู้ประเสริฐที่สุด ของมนุษย์ ผลิตมาก กินน้อย ใช้น้อย เหลือ ช่วยผู้อื่น แล้วก็จะมีความสุข ยกมือไหว้ตัวเองได้ทุกคน และเทวดาก็จะยอมยกมือไหว้คนนี้ แม้ว่าเขาจะเป็นคนกวาดถนน ล้างท่อ ถีบสามล้อ เทวดาก็จะยกมือไหว้ คนชนิดนี้ที่เขาทำงานเต็มที่ กินแต่พอดี เหลือเอาไปช่วยผู้อื่น ถ้ากรรมกรคนไหนมันทำอย่างนั้น เทวดาก็จะยอมยกมือไว้ ว่าเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ
เวลาที่คุณกำหนดให้ ๓๕ นาที หมดแล้ว ขอแสดงความหวังว่า ขอให้คุณจำไป โดยหัวข้อว่า ผลิตให้มาก กินแต่น้อย แล้วก็ช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าทำอย่างนี้แล้ว คอมมิวนิสต์หายหมดจากโลกนี้ หายไปเองโดยไม่ต้องฆ่า ขอให้ทุกคน ถือหลักว่าผลิตให้มาก กินแต่น้อย เหลือ ช่วยผู้อื่น คอมมิวนิสต์ก็จะหายไปหมด นายทุนก็จะหายไปหมด เหลือแต่พุทธบริษัท สุภาพบุรุษที่ดี อยู่กันในโลกนี้อย่างมีความผาสุก ขอให้ประพฤติให้ได้ หรือพยายามจะประพฤติให้ได้ พอใจยกมือไหว้ตัวเองได้ เป็นสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ