แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ สำหรับการขอร้องให้บรรยายอะไรบางอย่างที่เป็นประโยชน์แก่ลูกเสือนั้น ก็อยากจะพูดโดยหัวข้อว่า อุดมคติของศาสนากับอุดมคติของลูกเสือ คำว่า อุดมคติ ในที่นี้ขอให้ถือเอาใจความง่าย ๆ ว่า หัวใจของความมุ่งหมายเพื่อผลอันสูงสุดอย่างใดอย่างหนึ่ง เราเรียกว่า อุดมคติ เขาใช้เป็นหลักหนุนการปฏิบัติ การปฏิบัติทุกอย่างมันมีอุดมคติอย่างใดอย่างหนึ่งหนุนหลังอยู่ทั้งนั้น วันนี้เราอยากจะเปรียบเทียบอุดมคติของศาสนากับของกิจการลูกเสือ
อย่างแรกที่สุด อย่างอื่นเป็นอย่างน้อยที่สุด ถ้าจะพูดถึงก่อน ก็เช่นว่า เดี๋ยวนี้ เรากำลังนั่งกันอยู่ในสภาพอย่างนี้ พูดตรง ๆ ก็คือนั่งกลางดิน เมื่อนั่งกลางดิน มันมีความหมายอย่างไร คนชาวบ้านที่เขาถือเกียรติเขาก็โมโหแล้วว่าเจ้าของบ้านต้อนรับอะไรให้นั่งกลางดิน ใช้ไม่ได้นี่เป็นต้น เดี๋ยวนี้เราจะมองดูความหมายในอุดมคติของการนั่งกลางดินกันดูบ้างเป็นเรื่องแรกก่อน ว่าการเป็นอยู่อย่างง่าย หมดเปลืองน้อย ทำประโยชน์ได้มากก็เป็นหลักการอันหนึ่ง เป็นข้อหนึ่งในหลักการของลูกเสือ เขาใช้คำว่าเป็นอยู่ง่าย ทีนี้การเป็นอยู่ง่ายนี้มันก็ต้องรวมกันว่านั่งกลางดินก็ได้ นอนกลางดินก็ได้อะไรอย่างนี้ด้วยเหมือนกัน
ทีนี้มันมีพิเศษตรงที่ว่า พระศาสดาของเราใช้คำว่าอย่างนี้ คือคำว่าศาสนาพุทธก็ดี ศาสนาคริสเตียนก็ดี ล้วนแต่อยู่กลางดิน ตรัสรู้เป็นศาสดานั้น ๆ เมื่ออยู่กับธรรมชาติและกลางดิน โดยเฉพาะพุทธบริษัทแล้วก็ควรจะรู้ว่าพระพุทธเจ้านั้นเมื่อประสูติก็ประสูติกลางดิน เมื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็มานั่งกลางดิน แสดงธรรมโดยทั่วไป หรือทั้งหมดนั้นก็นั่งกลางดิน ในที่สุดนิพพานก็นิพพานกลางดิน หรือว่ากุฏิของท่านก็พื้นดิน ดูความหมายของคำว่ากลางดิน ศาสดาในศาสนาอื่นก็จะอย่างเดียวกัน แม้พระเยซูก็ประสูติกลางดิน ในที่เลี้ยงวัว ศาสดาอื่น ๆ ก็เหมือนกันแหละ ที่เป็นศาสดาได้นั้นเพราะมีการเป็นอยู่ชนิดที่เป็นเกลอกับธรรมชาติ ช่วยจำคำนี้ไว้ด้วยว่ามันต้องเป็นเกลอกับธรรมชาติ จึงจะรู้จักธรรมชาติ ก็จะได้กำลังอันเข้มแข็งของธรรมชาติ ข้อที่ว่าพระศาสนาก็ส่งเสริมการเป็นอยู่อย่างง่าย ตามตัวอย่างของพระศาสดาที่ว่าประสูติกลางดิน อะไรกลางดิน
ทีนี้ลูกเสือถ้าเป็นลูกเสือจริง ไม่เป็นกันแต่ปาก มันก็ชอบตามหลักการที่ว่ามันเป็นอยู่อย่างง่ายที่สุด มันจึงอยู่กลางดินกันก็ได้ ประกอบกิจกรรมกลางพื้นดินกันได้ เพราะว่าพื้นดินมันเป็นสิ่งที่มั่นคง มันไม่มีอะไรมั่นคงเท่ากับพื้นดินอีกแล้ว จึงคิดว่าทุกคนที่นั่งกลางดินนี่คงจะพอใจ คงจะไม่โมโหเจ้าของบ้านที่ไม่ไปขนเก้าอี้ในตึกนั้นมาตั้งให้นั่ง ก็ปล่อยให้นั่งกลางดิน ถ้าไปเอาเก้าอี้มาตั้งให้นั่งแล้วความเป็นลูกเสือมันก็จะน้อยไป มันจะเป็นอะไรก็ไม่รู้ล่ะ แต่ว่าความเป็นลูกเสือจะน้อยไป แทนที่จะนั่งกลางดินหรือจะไปนั่งบนเก้าอี้ ถ้ามาที่นี่แล้วขอให้จำรสชาติของการนั่งกลางดิน ติดในความรู้สึก ประทับใจไปด้วยว่าเรามานั่งกลางดิน มีสปิริต มีเจตนารมณ์ตรงตามแห่งความเป็นลูกเสือ
คนที่บัญญัติคำว่า ลูกเสือ ขึ้นใช้ ท่านจะมุ่งหมายอย่างไรก็ไม่ได้เขียนไว้แต่เข้าใจว่าต้องการให้เป็นอยู่อย่างเข้มแข็ง อดทน กล้าหาญ และก็เป็นเสือ คือ เข้มแข็ง ทำอะไรที่ทำลายไอ้สิ่งเลวร้ายได้ จึงจะเรียกว่าเป็นเสือ หรือเป็นลูกเสือ แต่ไม่ใช่เสืออันธพาล ไม่ใช่อ้ายเสือที่เป็นอันธพาล หรือไม่ใช่เสือชนิดที่ว่าคอยแต่จะกัดคนกิน มันต้องเป็นเสือที่มีคุณธรรมในความหมายอย่างอื่น ไม่ใช่มีหน้าที่กัดคนกิน มันมีหน้าที่ที่จะแสดงความเข้มแข็ง กล้าหาญ อดทนออกมาในการทำประโยชน์ให้แก่สัตว์ทั้งหลายอื่น แล้วก็ถือว่านี่เป็นอุดมคติของลูกเสือ ทีนี้เป็นการปรารภข้อแรก เพราะว่ากำลังนั่งกลางดินอยู่ ก็ถือโอกาสพูดเป็นเรื่องแรกก่อนเรื่องอื่น
ทีนี้เรื่องต่อไปที่อยากจะพูดว่าอุดมคติของศาสนากับอุดมคติของลูกเสือนั้น มันมีตรงกันอยู่เป็นหลาย ๆ ข้อเป็นลำดับไป เช่นข้อแรก เราจะต้องนึกถึงคำว่าเพื่อผู้อื่น ศาสนาเน้นมาก สอนมาก มีหลักการที่ว่าให้ประพฤติกระทำเพื่อผู้อื่นนี่ ว่าสำคัญยิ่งกว่าตัว อุดมคติของลูกเสือก็ดูจะเขียนว่าอย่างนั้น จะบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่น ทีนี้ศัตรูอันเลวร้ายของมนุษย์ก็คือความเห็นแก่ตัว กิจกรรมลูกเสือจัดขึ้นเพื่อทำลายสิ่งเลวร้ายในสังคมหรือในโลก มันจึงโผล่มาเป็นข้อแรก จะบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่น ซึ่งมันก็เป็นหลักหรือเป็นอุดมคติของพระศาสนาอยู่แล้ว ไม่ว่าศาสนาไหน ไม่ต้องแยกเป็นศาสนาไหน ถ้าเป็นศาสนาที่แท้จริง จะศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม อะไรก็ตาม มันเน้นข้อเพื่อผู้อื่นรุนแรงมาก เพราะเขามองเห็นว่า ตัวเองนี่มันคนเดียว แต่ถ้าผู้อื่นมันทั้งโลก เพราะฉะนั้นเรื่องของคนทั้งโลกมันสำคัญกว่าเรื่องของคนคนเดียว มันจึงเน้นเรื่องผู้อื่น ตามหลักของพุทธศาสนา มันก็มีอยู่ว่า ต้องการให้ทุกคนยอมรับว่าเราเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น มันจะกว้างกว่าอุดมคติของลูกเสือกี่มากน้อยก็ลองไปคิดดู แต่ว่ามันมุ่งหมายอย่างเดียวกัน เมื่อบรรดาไอ้สิ่งที่มีชีวิต จะเป็นมนุษย์ หรือเป็นสัตว์ หรือเป็นต้นไม้ ต้นหญ้า ต้นบอน ที่มันมีชีวิต มันมีความรู้สึกทั้งนั้น ทีนี้ขอให้ถือว่ามันเป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้อื่นอย่างยิ่ง ผู้อื่นไม่ยกเว้น มันจะกว้างกว่าลูกเสือบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นก็คงจะมุ่งหมายแต่เพื่อนมนุษย์เท่านั้น แต่ถ้าธรรมะในศาสนา นี่รวมถึงสัตว์เดรัจฉานด้วย จะต้องรักสัตว์เดรัจฉานด้วย จะต้องรักพฤกษาชาติทั้งหลาย ซึ่งก็มีชีวิตด้วยเหมือนกัน จึงอยากจะให้สังเกตดูว่าอุดมคติของศาสนากับอุดมคติของลูกเสือนี่มันตรงกัน หรือว่าอย่างน้อยก็ไปด้วยกันได้หลาย ๆ ข้อ
ฉะนั้นข้อแรกก็คือเห็นแก่ผู้อื่นโดยถือว่าทุกคนเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน คือเพื่อนทุกข์ เพื่อนยาก เพื่อนลำบากที่อยู่ในโลกนี้ด้วยกัน ฉะนั้นจึงต้องนึกถึงเป็นข้อแรก และก็ทำไปในลักษณะที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ไอ้เรามันคนเดียวแต่ผู้อื่นมันมาก เห็นแก่ประโยชน์มากดีกว่าประโยชน์เดียวคือคับแคบเพียงคนเดียว การเห็นแก่ผู้อื่นไม่เห็นแก่ตัว นี่ก็เป็นหลักศีลธรรมทั่ว ๆ ไป แม้ไม่เกี่ยวกับศาสนา เขาก็ยึดถือหลักอันนี้กันอย่างมั่นคง เดี๋ยวนี้มันก็มาร่วมกันหมด ทีนี้เมื่อเราเห็นแก่ผู้อื่นหรือยอมรับนับถือผู้อื่น มันก็เกิดหน้าที่ขึ้นมาในการที่จะทำเพื่อผู้อื่น เพราะฉะนั้นกิจกรรมของลูกเสือจึงมีอะไรหลายอย่างที่เป็นการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น แก่สังคม อะไรก็ตาม
ทีนี้ในทางศาสนาก็ต้องการอย่างนั้น ฉะนั้นจึงมีการบัญญัติเรื่องการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การทำสิ่งที่มันเป็นประโยชน์ส่วนรวม รักษาประโยชน์ของส่วนรวมให้ยังคงมีอยู่ ทั้งหมดนี้มันสำคัญอยู่ในข้อที่ว่าจะต้องเป็นผู้บังคับตัวเอง การบังคับตัวเองนั้นคือบังคับจิตหรือบังคับความรู้สึก อย่าให้มันพลุ่งพล่านไปตามอำนาจสัญชาตญาณ ถ้าปล่อยไปตามอำนาจสัญชาตญาณ มันก็โลภ มันก็โกรธ มันก็หลง ที่เรียกเป็นบาลีว่า ราคะ โทสะ โมหะ ถ้าปล่อยไปตามความรู้สึกที่ไม่บังคับมันก็ไปในทางนี้ทั้งนั้น ทีนี้ศาสนาอื่นก็เหมือนกันก็มีบทบัญญัติที่ว่าจะต้องบังคับจิต บังคับตัวเองให้คงอยู่ในร่องในรอยตามหลักของศาสนานั้น ให้บังคับตัวเองไว้ให้อยู่ในความถูกต้อง ซึ่งได้เป็นที่ยุติตกลงกันแล้วว่ามันเป็นความถูกต้อง เพราะฉะนั้นเราไม่ควรมาเถียงกันเรื่องว่าอะไรถูกต้องอะไรไม่ถูกต้องให้มันฟุ้งซ่าน เป็นปรัชญาฟุ้งซ่านเปล่า ถ้าว่ามันเป็นประโยชน์อันแท้จริงแก่เราเองแก่ผู้อื่นก็เรียกว่าถูกต้อง ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์แท้จริงแก่ฝ่ายใดเลยก็เรียกว่ามันไม่ถูกต้อง เมื่อพบเห็นว่าความถูกต้องเป็นอย่างไรก็บังคับตัวเองให้ดำรงอยู่ในความถูกต้อง นี่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่อง
ถ้าลูกเสือไม่มีคำว่า การบังคับตัวเอง ก็เป็นลูกเสือไม่ได้ เรื่องที่ควรเว้นมันก็ไม่เว้น เรื่องที่ควรทำมันก็ไม่ทำ ก็เป็นลูกเสือไม่ได้ ทีนี้ถ้าว่าไอ้ความรู้สึกตามสัญชาตญาณมันเกิดขึ้น มันครอบงำมากเกินไป มันก็หมดความเป็นลูกเสือ หมดความเป็นเสือ ก็เหลือเป็นแมว คล้าย ๆ กัน ถ้าเราไม่บังคับความรู้สึกให้อยู่ในร่องรอยที่ถูกต้อง มันก็ไม่มีอะไรเหลือ กฎของลูกเสือมีตั้ง ๑๐ ประการ ๒๐ ประการ ๓๐ ประการ อะไรก็รู้กันอยู่แล้ว ในที่นี้ไม่ต้องเอามาพูด แต่ดูให้ดีเถอะว่าทั้งหมดนั้นเป็นไปไม่ได้ถ้าไม่มีการบังคับตัวเอง ฉะนั้นการศึกษาในสมัยปัจจุบันนี้ไม่ค่อยเน้นการบังคับตัวเอง โดยถือเสียว่าการบังคับตัวเองมันผิดหลักประชาธิปไตยบ้างอะไรบ้าง ก็เลยปล่อยตามอารมณ์ ก็เลยไม่บังคับตัวเอง ความถูกต้องก็เลยไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ต้องการจะทำตามความพอใจทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามอำนาจของความรู้สึกฝ่ายต่ำ ความรู้สึกที่เป็นสัญชาติญาณฝ่ายต่ำ ลูกเสือควรจะนึกถึงข้อนี้ว่าเรามีหลักการที่จะดำเนินกันไปเป็นความรู้สึกฝ่ายสูง และก็ควบคุมไอ้ความรู้สึกฝ่ายต่ำ ไม่เป็นไปตามความรู้สึกฝ่ายต่ำ ฉะนั้นเราจะต้องบังคับทุกกระเบียดนิ้วเพื่อให้มันเป็นไปตามความรู้สึกฝ่ายสูง และคำว่า เสือ นี้มันจะต้องมีความหมายไปในทางสูงเสมอ ทีนี้เผอิญเป็นภาษาไทย ถ้าเป็นภาษาอื่นเขาจะมีความหมายอย่างไรไม่ทราบ มันเป็นเรื่องของภาษา แต่ถ้าเอาตามภาษาไทย คำว่า เสือ นี่ก็หมายถึงผู้ที่เข้มแข็ง กล้าหาญ อดทน เพื่อที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุด ที่มีประโยชน์สูงสุด ขอให้คิดถึงข้อนั้น ไม่ใช่ว่าจะเป็นลูกเสือเพื่อความสนุกสนาน เพื่อความโก้เก๋ เพื่อความอะไรต่าง ๆ ต้องมุ่งจ้องอยู่ที่จะทำประโยชน์สูงสุด
ภิกษุในพุทธศาสนา ในพระคัมภีร์นี่ก็อุปมาภิกษุด้วยเสือเหมือนกัน แต่ไม่ได้ใช้คำว่าลูกเสือ คือ ภิกษุทำหน้าที่ของตนเหมือนกับเสือที่คอยจ้องจับเนื้อ แต่ว่าภิกษุนั้นคอยจ้องจับไอ้ความรู้สึกฝ่ายต่ำ ความรู้สึกเลว ๆ ที่เรียกว่า กิเลส ซึ่งก็เสือซุ่มอยู่ในที่ซุ่ม คอยจ้องโอกาสจับเหยื่อ ทีนี้ภิกษุก็ซุ่มอยู่ในที่สำหรับซุ่ม และคอยดูว่ากิเลสเกิดขึ้น และก็จะฆ่าเสียให้ตาย ภิกษุเลยถูกเปรียบด้วยเสือเหมือนกัน อาตมาคิดว่าอันนี้คงใช้กันได้กับอุดมคติของลูกเสือ ขอให้ตั้งอกตั้งใจให้ดี คอยจ้องดูให้ดี อะไรผิด อะไรเลว อะไรชั่วร้าย ก็ทำลายเสียให้หมดไป จึงจะตรงกับความหมายคำว่า เสือ หรือลูกเสือ มิเช่นนั้นมันก็เป็นแต่เพียงเครื่องแบบที่ชอบใจก็มาแต่งเล่น โก้เก๋ หรูหรา ออดแอด ๆ อยู่ มันไม่มีเจตนารมณ์ของความเป็นเสือ ความเป็นลูกเสือ นี่การบังคับตัวเอง เป็นอุดมคติของศาสนาด้วย เป็นอุดมคติของลูกเสือด้วย มันจึงไปด้วยกันได้
ทีนี้มันก็เลื่อนสูงขึ้นไปถึงการบำเพ็ญความดีให้เกิดความรอดของตัวเอง และก็เลยขึ้นไปถึงของทุกคน มันก็เป็นเรื่องของสังคมมากขึ้น เราคิดว่าช่วยกันทำให้โลกนี้มันดีขึ้น ช่วยกันทำให้สังคมมันดีขึ้นโดยตรงดีกว่าที่จะเป็นเพียงแขนงหนึ่งซึ่งก็ประกอบเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วมุ่งหมายว่าจะทำโลกนี้ให้งดงาม ฉะนั้นจึงฝึกฝนความเข้มแข็ง กล้าหาญ อดทน ให้เป็นนิสัย และต่อไปข้างหน้าเมื่อพ้นจากความเป็นลูกเสือก็จะเป็นเสือโดยสมบูรณ์ ก็ทำให้โลกนี้งดงามได้ ก็ด้วยอย่างเดียวกันอีก ด้วยช่วยเหลือผู้อื่น ด้วยทำประโยชน์ให้ผู้อื่น แล้วก็ลงไปจริง ๆ ช่วยรักษาความถูกต้องของสังคม ของบ้านเมือง กระทั่งของโลก ทว่าเกิดการต่อสู้กันขึ้นระหว่างความผิดกับความถูก ลูกเสือมันก็อยู่ในฝ่ายความถูกเสมอ นี่ขอให้มีอุดมคติเป็นเป้าหมายไว้อย่างนี้ สำหรับชีวิตตลอดชีวิต มันเป็นเรื่องที่มนุษย์ทั้งหมดจะต้องรู้สึก จะต้องจัดต้องทำ ไม่ใช่เป็นเรื่องของคนส่วนใดส่วนหนึ่ง อย่างเช่นว่าพวกลูกเสือก็สนใจแต่เรื่องของลูกเสือ อย่างนี้มันก็คงจะน่าหัว เพราะเขาจัดมาเพื่อจะเป็นเรื่องของมนุษย์ มนุษยชาติ คือมนุษย์ทั้งหมดจะต้องเป็นไปอย่างถูกต้อง การเป็นลูกเสือก็เหมือนกับการเตรียมสำหรับความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องและสูงสุดของความเป็นมนุษย์ ก็คือทำโลกนี้ให้มันมีความสงบสุข
ถ้าถามกันขึ้นมาว่าเกิดมาทำไมกัน เดี๋ยวนี้ก็เกิดกันมาแล้วแล้วก็เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ต่าง ๆ กัน นี่เกิดมาทำไมกัน ถ้าเป็นคำตอบทางฝ่ายศาสนาเขาก็จะบอกว่าเพื่อถึงจุดสูงสุดตามหลักของศาสนา แล้วแต่ศาสนานั้น ๆ จะใช้คำว่าอะไร จะใช้คำว่าไปถึงนิพพานตามแบบพุทธศาสนาก็ได้ หรือไปถึงพระเจ้า ไปอยู่กับพระเจ้าเป็นการถาวรตามแบบของศาสนาที่มีพระเจ้าก็ได้ แต่นี่มันจะไกลเกินขอบเขตของคำว่าลูกเสือ แต่ที่แท้แล้วมันก็เป็นสิ่งที่จะต้องเป็นอย่างนั้น คือว่าถ้าคนเราต้องการความสูงสุดของความเป็นมนุษย์มันก็ต้องไปอย่างนั้น แต่ถ้าเราไม่เอาศาสนาเป็นหลัก เราก็ตอบตามความรู้สึกทั่ว ๆ ไปอย่างภาษาโลก ๆ ก็ต้องบอกว่าเกิดมานี้เพื่อทำโลกให้มันงดงาม ให้มันมีความเป็นโลกที่สมบูรณ์ เขาใช้กัน ใช้คำว่าเพื่อมาช่วยกันทำโลกนี้ให้งดงาม ถ้าไม่ช่วยกันมันก็ไม่มีความงดงามในทางทั้งทางฝ่ายวัตถุ ทั้งทางฝ่ายจิตใจ ทีนี้มาช่วยกันทำให้เกิดความน่าดูงดงามทั้งทางฝ่ายวัตถุและทั้งทางฝ่ายจิตใจ ฝ่ายวัตถุนั้นไม่สู้สำคัญเท่าไร ฝ่ายจิตใจนั้นสำคัญมาก กิจกรรมลูกเสือก็มีอุดมคติมุ่งหมายที่จะสร้างสรรค์จิตใจให้งดงาม คอยดูเถิด ไอ้ข้อกฎของลูกเสือทุกอย่างมันจะมีผลสะท้อนลึกลงไปถึงการทำจิตใจให้งดงาม แล้วคนมันก็งาม เมื่อทุกคนในโลกนี้มันงาม โลกนี้มันก็งดงาม จึงหวังว่าเราจะเข้าใจอุดมคติที่ร่วมกันทั้งของศาสนาและทั้งของลูกเสือ และก็พอใจที่จะปฏิบัติให้ได้ผลเต็มตามนั้น ทุก ๆ อย่างมันจะเป็นไปอย่างน่าพอใจทุก ๆ ด้าน ทุก ๆ ระดับ
ขออภัยที่มาพูดกับผู้เยาว์อย่างท่านทั้งหลายนี้ ก็อยากจะพูดโดยหลักที่เห็นว่าง่ายที่สุดก็คือเมื่อเราปฏิบัติถูกต้องตามกฎเกณฑ์ แม้ของลูกเสือนี่แล้ว เราก็จะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา แล้วเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ และก็เป็นสาวกที่ดีของศาสนาของตน ๆ นี่มันพอแล้วและมันเข้ากันได้กับอุดมคติของลูกเสือทั้งหมดเลยทั้งหมดทั้งสิ้นเลย ความเป็นลูกเสือที่ดีจะแสดงผลออกมาให้เห็นว่าเขาจะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ไม่ทำบิดามารดาให้ร้อนใจแต่ประการใดเลย มีเยาวชนเป็นอันมากที่ยังทำบิดามารดาให้ร้อนใจ เมื่อร้อนใจเมื่อไรก็เหมือนกับตกนรกเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นเราจะไม่ทำให้บิดามารดาให้ตกนรกด้วยความเหลวไหลในหน้าที่การงาน ด้วยความเป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เล็ก ไม่บังคับความรู้สึกทางเพศทางกามารมณ์ ไม่เป็นเสือเลย เสือนั้นมันจะไม่มีความเป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เล็ก จึงจะเรียกว่าเสือ มันมีจิตสูงบังคับจิตได้ คนที่เหลวไหลในการเรียนหนังสือ และก็เป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เยาว์วัยอย่างนี้ ก็คือจับบิดามารดาใส่นรกตลอดเวลา บิดามารดาจะต้องอกไหม้ใต้ขมอยู่ตลอดเวลาเพราะบุตรชนิดนี้ อย่างนี้ไม่มีความเป็นลูกเสือ
เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เดี๋ยวนี้เราคิดว่าเราเป็นเสือแล้วเราไม่กลัวใคร เราไม่กลัวแม้แต่ครูบาอาจารย์ ซึ่งมันกำลังเป็นโรคระบาดขึ้นมาในโลกนี้ คือศิษย์ ลูกศิษย์ หรือนักเรียนไม่เคารพครูบาอาจารย์ กำลังเป็นโรคระบาดอยู่ทั่ว ๆ โลก ถ้าเขาเปลี่ยนแปลงอุดมคติอะไรบางอย่าง ถ้าเขาไม่บังคับความรู้สึกอย่างที่ว่า ถ้าเขาต้องการความสนุกสนานความเอร็ดอร่อยไม่มีขอบเขต เขาก็เลยไม่ต้องไม่อยากจะเชื่อฟังครูบาอาจารย์ ความเป็นศิษย์ที่ดีต่อครูบาอาจารย์ก็ลดลง ๆ ความหมายก็เปลี่ยนไป คนชั้นหลังไม่รู้ ไม่เคยเห็น ว่าศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์สมัยโบราณนู้นมีลักษณะอย่างไร เอาสมัยนี้เป็นหลักก็แทบจะหาไม่พบ ขอให้ไปพิจารณาดูเอาเอง ไม่ทำบิดามารดาให้ร้อนใจเช่นไร ก็ไม่ทำให้ครูบาอาจารย์ให้ต้องลำบากใจเท่านั้น แล้วเราก็เป็นผู้ยินดี เป็นที่พอใจของครูบาอาจารย์
ทีนี้ข้อที่ ๓ ที่ว่าเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน หมายความว่า มันยอมรับนับถือกันเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราเกิดมาเป็นพี่น้องกัน เป็นเพื่อน เป็นเพื่อนกันโดยเกิดแก่เจ็บตาย และก็เป็นพี่น้องกัน มันก็ออกมาจากบิดามารดาคนเดียวกัน จึงไม่มีที่ว่าจะด่ากัน หรือจะชกต่อยกันอะไรทำนองนั้น มันต้องไม่มี มันมีความรู้สึกเป็นพี่น้อง หรือว่าเป็นเพื่อนอยู่ตลอดเวลา ความเป็นลูกเสือที่ดีก็จะให้ผลอย่างนี้
ทีนี้จะเป็นพลเมืองที่ดีของชาตินั้นก็เกือบจะไม่ต้องอธิบาย เพราะว่าคงจะอธิบายกันอย่างซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทุกคราวที่มีการอบรมลูกเสือให้เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ ก็ยังเหลืออยู่แต่ว่าเป็นพลเมืองที่ดีของชาติให้ได้จริง ๆ อย่าเพียงแต่จะ ๆ อยู่ ที่นั่งอยู่ที่นี่เข้าใจว่าคงจะเพียงแต่จะ ๆ เท่านั้น จะเป็น ยังไม่ได้เป็น เพราะได้ยินตะโกนว่าข้าพเจ้าจะจงรักภักดีต่อประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้าจะทั้งนั้น ไม่มีใครตะโกนว่าข้าพเจ้าเป็นอยู่หรือเป็นแล้ว มีแต่พูดว่าข้าพเจ้าจะจงรักภักดีต่อประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็มีแต่จะทั้งนั้น เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้ก็ยังจะอยู่ทั้งนั้น ยังไม่ได้เป็น เพราะถ้าจะเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติมันก็ต้องเลยจะไปหน่อย ได้ทำอยู่แล้ว ได้ทำอยู่จริง ๆ ไม่บกพร่องในหน้าที่ของลูกเสือ ซึ่งจะเติบโตขึ้นเป็นเสือที่สมบูรณ์ ถ้าใครพูดว่าจะ ๆ อยู่ก็ช่วยทำในใจเสียใหม่ว่าไม่มัวแต่จะอยู่นั้น จะทำจริง ๆ จะเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ และก็เป็นจริง ๆ ไม่ใช่จะ คอยจะ ๆ อยู่ พอถึงคราวเอาจริงก็ไม่เอา พอลำบากกันหน่อยก็ไม่เอา ก็พูดแต่ว่าจะทั้งนั้น ทีนี้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นั้น จะต้องศึกษากันให้เข้าใจจนจิตใจยอมรับ ยอมรับเต็มที่ เมื่อนั้นก็จะหมดจะ คือจิตใจมันยอมรับ ก็เรียกว่าเป็น ชาติคือความจำเป็นที่จะต้องมีชาติ ความสำคัญที่สุดที่ต้องมีชาติ หรือเพราะมีชาติจึงรอดอยู่ได้ เห็นความสำคัญอันนี้แล้วก็พอใจในชาติ ก็เรียกว่าจงรักภักดีต่อชาติ ถ้าจะ ๆ ๆ อยู่ ก็แปลว่ายังไม่รู้ ว่ามันดียังไงก็ถูกสอนให้ว่าแต่จะ ๆ ๆ ๆ อยู่นั่นเอง
ศาสนานี่ก็เหมือนกันแหละ ถ้าคนไม่มีศาสนาก็อยู่ไม่ได้ ชาติก็อยู่ไม่ได้ ศาสนาคือระบบที่จะควบคุมกาย วาจา ใจ ของคนเราให้มันถูกต้อง กฎระเบียบทั้งหลายสำหรับความประพฤติที่ถูกต้อง น่าจะเป็นกฎของลูกเสือ มันก็รวมอยู่ในคำว่าศาสนานั่นเอง อยากจะบอกอย่างท้าทายเลยว่า ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรที่ไหนในโลกนี้ที่มันจะแปลกออกไปจากกฎในทางศาสนา กฎของลูกเสือกี่ข้อ ๆ มันก็ไปรวมอยู่ได้ในหลักเกณฑ์ของพระศาสนา หรือของแขนงอื่นก็เหมือนกันอีกแหละ ให้มองดูให้ดี จะไม่มีอะไรแปลกออกไปได้จากหลักเกณฑ์ในทางศาสนา เพียงเราแยกออกมาบางส่วนมาตั้งชื่อใหม่อย่างนั้นอย่างนี้ ดูคล้ายกับว่ามันไม่เกี่ยวกับศาสนา ที่แท้มันเป็นตัวธรรมะในศาสนานั้น ๆ อยู่ก่อนแล้ว ถ้าไม่มีศาสนาคนเราก็ไม่มีความสูงในทางจิตใจ มีแต่ความเจริญในทางร่างกาย แม้จะรอดเป็นชาติอยู่ได้ มันก็ไม่มีทางที่จะอยู่กันอย่างผาสุก ฉะนั้นจึงต้องมีศาสนาเพื่อความถูกต้องทางจิตใจ แต่ว่ามันไม่รู้จัก เห็นว่ามันไม่สำคัญ ทีนี้ก็ปล่อยไปอย่างผิด ๆ มันก็ไปทนทุกข์ทรมานจนไหม้เกรียมไปแล้วกว่าจะรู้จัก มันก็เหมือนกับตายแล้ว มันจะมีประโยชน์อะไร เพราะถ้าเรารู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมหรือพระธรรม หรือธรรมะนี่ว่าดีว่ามันเป็นที่ตั้งของชาติของศาสนา เมื่อธรรมะก็ให้ถือว่าเป็นอันเดียวกับศาสนาก็ได้ แล้วแต่ว่าเราจะชอบคำไหน ธรรมะคือการปฏิบัติให้ถูกต้องต่อความเป็นมนุษย์ของเราทุกขั้นทุกตอนของชีวิต ปฏิบัติให้ถูกต้องต่อความเป็นมนุษย์ของเราทุกขั้นทุกตอนแห่งชีวิต นั่นแหละคือธรรมะหรือศาสนา จำเป็นกี่มากน้อยก็ลองไปคิดดูเอง การปฏิบัติที่ถูกต้องทุกขั้นตอนของชีวิต นี่คือศาสนา จะเป็นเรื่องสูงขึ้นไปกว่าเรื่องทางวัตถุ คือเป็นเรื่องทางจิตใจ เรื่องทำมาหากิน เรื่องบริหารร่างกาย นี่มันก็เป็นเรื่องทางวัตถุ ก็รวมอยู่ในศาสนาด้วยเหมือนกัน
ทีนี้พระมหากษัตริย์นั้นมีความสำคัญตรงที่ว่าจะเป็นเครื่องประสานชาติกับศาสนาเป็นข้อแรกก่อน เรามีพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องประสานชาติกับศาสนาให้ยังคงอยู่ด้วยกันได้ เพราะฉะนั้นพระมหากษัตริย์จึงมีหน้าที่ส่งเสริมศาสนา แล้วก็ทำให้ชาติมีศาสนา ชาติเหมือนกับร่างกาย ศาสนาเหมือนกับจิตใจ ทีนี้พระมหากษัตริย์ก็เหมือนกับระบบประสาทที่ทำความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตใจ ถ้าจิตใจอยู่เสียทางหนึ่ง ร่างกายอยู่เสียทางหนึ่ง ไม่มีระบบประสาททำให้สัมพันธ์เนื่องกัน มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสองฝ่าย คือทำอะไรไม่ได้ทั้งสองฝ่าย ทีนี้เรามีพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องหน่วงเหนี่ยว ยึดเหนี่ยวไม่ให้เกิดการแยกกันระหว่างชาติกับศาสนา และที่ละเอียดไปกว่านั้นก็คือว่า คนยึดหน่วงอยู่ที่พระมหากษัตริย์ เพราะเขาจะทะเลาะวิวาทอย่างไร เขาก็ยังเห็นแก่พระมหากษัตริย์ และก็ทำลายชาติไม่ได้ ราษฎรต่อราษฎรทะเลาะกัน ก็ยังมีพระมหากษัตริย์ยืนอยู่นั่นแหละ ก็ไม่ทำอะไรให้มันเสื่อมเสียแก่ประเทศชาติได้ อย่างในสภาผู้แทนก็แบ่งเป็นพรรคแล้วก็ทะเลาะกัน สุดเหวี่ยงยังไงก็ตาม เขาก็ยังมีพระมหากษัตริย์เป็นจุดรวม จุดหน่วงอยู่ที่นั่น มันก็แตกแยกกันไม่ได้ หรือว่าถ้ารัฐบาลแตกแยกกันกับสภานี่ จะแตกแยกกันอย่างแรงร้ายยังไง เขาก็ยังมีพระมหากษัตริย์เป็นจุดรวมหน่วงเหนี่ยวให้มันแยกจากกันไปไม่ได้ อันนี้คือความจำเป็นที่ต้องมีบุคคลคนหนึ่งทำหน้าที่อย่างนี้ในชาติ ทีนี้ประชาชนจะแตกแยกกันก็ตามใจ รัฐบาลจะแตกแยกกันเองก็ตามใจ สภาจะแตกแยกกันเองก็ตามใจ อะไร ๆ จะแตกแยกกันยังไงก็ตาม พระมหากษัตริย์ยังยึดหน่วงทุกคนให้ยังเป็นชาติไทย ยังเป็นของชาติไทย ชาติจึงไม่สลาย
ทีนี้ระบบที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแบบประชาธิปไตยนี้มันถูกต้องที่สุดแล้ว เรียกว่าจำเป็นด้วย เพราะการที่เราปฏิญญาว่า ข้าพเจ้าจงรักภักดีต่อประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นั้น เป็นคำพูดที่ไพเราะ งดงาม น่าฟัง มีค่ามากที่สุด ขอแต่อย่าว่าจะเลย อย่าว่าจะ ขอจะทิ้งเสีย พอไปยืนรวมกัน ปฏิญญากันทั้งหมด เรานิ่งเสีย คำว่าจะ เรานิ่งเสีย เอาเป็นว่าข้าพเจ้าจงรักภักดีต่อประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็น infinitive คือไม่มีอดีต ปัจจุบัน อนาคต ข้าพเจ้าตลอดกาลเลย จงรักภักดีต่อประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถ้าชอบจะ ๆ มันก็ชอบเล่นตลก ๆ อยู่เรื่อยไปนี่ มันจะเล่นตลกกับตัวเอง พอยุ่งยากลำบากก็ไม่เอาแล้วโว้ย ไม่ได้สัญญา พูดแต่เพียงว่าจะ ๆ เท่านั้น นี่ถ้าเป็นทางศาสนาเขาไม่ใช้สำนวนอย่างนี้ คำพูดทางศาสนาจะไม่ใช้สำนวนว่าจะ ๆ ใช้คำว่าเป็นเลย ควรจะเอาไปพิจารณาดูว่าเป็นลูกเสือทั้งทีจะมัวจะ ๆ ๆ ๆ อยู่มันก็จะเป็นลูกเสืออยู่นั่น ก็ไม่ได้เป็นลูกเสือ ไม่ใช่ว่าแต่งเครื่องแบบแล้วจะเป็นลูกเสือ มันต้องประพฤติปฏิบัติหน้าที่ของลูกเสือโดยสมบูรณ์ แล้วเป็นลูกเสือ
ขอทบทวนว่าเราจะยึดหลักของความเป็นลูกเสือ กับหลักของความมีศาสนาพร้อมกันไปในตัว เราจะเห็นแก่ผู้อื่นซึ่งเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ของเรา เราจะบังคับตัวเราให้ประพฤติกระทำอย่างถูกต้องที่ว่าเราเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน เราจะช่วยเหลือผู้อื่นแล้วก็มีความสุขในการได้ช่วยเหลือผู้อื่น การช่วยเหลือตัวเองนี้มันประหลาด การเห็นแก่ตัวเองนี้มันทำให้เกิดกิเลส การช่วยเหลือผู้อื่นมันทำให้เกิดสิ่งที่ไม่ใช่กิเลส ลองไปสังเกตดูเอง ในคำพูดทางศาสนา อย่างศาสนาคริสเตียนนี่ก็มีว่ารับใช้ตัวเอง คือรับใช้กิเลส คือมาร รับใช้มาร รับใช้ผู้อื่น คือรับใช้พระเจ้า รับใช้ผู้อื่นคือทำไปด้วยจิตใจที่ประกอบไปด้วยธรรม ด้วยธรรมะ แต่ถ้ารับใช้ตัวเอง บำรุงบำเรอตัวเอง มันทำไปด้วยกิเลส กิเลสของเราเองนี่มันเป็นการรับใช้กิเลสของเราเอง ทีนี้ลูกเสือจึงมีอุดมคติเป็นรับใช้ผู้อื่น เพื่อมันไม่ให้โอกาสแก่กิเลส ก็ขอให้คิดดูดี ๆ
ทีนี้อยากจะพูดส่วนประกอบสักนิดหนึ่งว่า เพื่อจะปฏิบัติหน้าที่ของลูกเสือให้สมบูรณ์ ในการรับใช้ผู้อื่นเป็นต้นนั้น เป็นอยู่อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีข้อพิเศษอยู่ข้อหนึ่ง คือ อย่าเป็นอยู่ด้วยส่วนเกิน อย่าชอบส่วนเกิน อย่าแตะต้องส่วนเกิน เดี๋ยวนี้คนในโลกกำลังมุ่งไปในทางบูชาส่วนเกิน คือ เกินที่ร่างกายมันจะต้องการ หรือเกินที่มนุษย์ควรจะมี จะยกตัวอย่างเหมือนกับว่า ชอบกินเหล้า ที่นั่งอยู่ที่นี่ทุกคน ๆ คงจะไม่กินเหล้า เชื่อว่าทุกคนที่นั่งที่นี่คงจะไม่กินเหล้า แล้วกำลังบอกว่าไอ้เหล้านี่เป็นส่วนเกิน ร่างกายไม่ต้องการ ธรรมชาติก็ไม่ต้องการ กินเข้าไปก็เป็นส่วนเกิน ทำให้เสียเปล่า เสียทรัพย์เปล่า เสียร่างกายเปล่า เสียอนามัยเปล่า ทำจิตใจที่ปกติอยู่ให้กลายเป็นจิตใจที่เป็นบ้า ก็เลยเรียกว่าส่วนเกิน ทีนี้รองลงมาก็บุหรี่ เข้าใจว่าที่นั่งอยู่นี่ที่เป็นลูกเสือแท้จริงคงไม่สูบบุหรี่ เพราะว่าบุหรี่เป็นส่วนเกิน เป็นสิ่งที่กระทำไปด้วยโมหะ เพราะไม่รู้ว่าอะไรจริง ไม่จำเป็น ร่างกายไม่ต้องการบุหรี่ ไปยัดเยียดให้เป็นส่วนเกิน เอาไฟรมปอดนี่โง่หรือฉลาด คิดดู เอาไฟไปรมปอดให้ตัวเองนี่มันโง่หรือมันฉลาด ถ้าเห็นว่าโง่ก็หยุดเถิด เพราะว่ามันเกิน มันเสียสตางค์ มันเสียอนามัย มันเสียเวลา มันทำชีวิตให้สั้น นี่เราเรียกว่าส่วนเกิน ถ้าว่าคนเขาเว้นเหล้ากับเว้นบุหรี่เสีย ก็จะมีเงินเดือนพอใช้ขึ้นมาทันที คนที่ได้เงินเดือนน้อยแล้วบอกว่าไม่พอใช้ เอาไปใช้เป็นค่าเหล้า ค่าบุหรี่ ค่าอาบอบนวด ค่าอะไรที่เป็นเรื่องส่วนเกินเสียมาก เพราะฉะนั้นหยุดส่วนเกิน แล้วมันก็จะมีเงินพอใช้ขึ้นมาทันที
ลูกเสือนี่ถ้ามีส่วนเกินเมื่อไหร่ก็เป็นหมด หมดความเป็นลูกเสือเมื่อนั้น ฉะนั้นไปพิจารณาดูเถอะ อย่าให้มีเกินในเรื่องอาหารการกิน ดีเกิน อร่อยเกิน แพงเกิน วิเศษเกิน ต้องมีมาร้องเพลงให้ฟัง ต้องมาป้อนใส่ปาก นี่มันเกิน หยุดเสีย นี่เรื่องกิน เรื่องแต่งเนื้อแต่งตัวอย่าให้มันเกิน อย่าใช้ของที่มันสวยงาม มันแพง แล้วมันก็เกิน มันมีมากเกิน ทีนี้ดีแต่ว่าแต่งเครื่องแบบลูกเสืออยู่ดูไม่ออกว่ามันมีอะไรเกินที่ไหนบ้าง กลับไปบ้านแล้วก็ไปดูว่ามีเรื่องแต่งเนื้อแต่งตัวอะไรเกินบ้าง ไปทำเสียใหม่อย่าให้มันเกิน ใส่เสื้อสี ใส่เสื้อแพร ใส่เสื้ออะไรอย่าให้มันเกิน มันทำประโยชน์อะไรไม่ได้ แล้วมันก็ต้องแพง เพราะก็ต้องทำสีทำลวดลายทำอะไรต่าง ๆ ทีนี้เครื่องใช้ไม้สอยในบ้านในเรือน ก็อย่าให้มันเกิน ที่นั่งที่นอนอะไรก็ตาม ให้มาหัดนอนกลางดินอย่างลูกเสือ กลับไปบ้านอย่านอนฟูกหนาตั้งคืบหนึ่งอีกนี่มันเล่นตลก ก็รักษาไว้แต่ว่าเรื่องที่นั่งที่นอน เครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ อย่าให้มันต้องเกินเลย ไปจัดการเสียใหม่ ทีนี้เรื่องบำรุงความสุขก็อย่าให้มันเกิน ฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม ดีด สี ตี เป่า ลูบทา ตบแต่ง ประดับประดา ที่มันเกินเอาออก เป็นลูกเสือแล้วจะมาใส่ของ ๆ ๆ แพรพรรณ แพรวพราว เต้นรำอย่างนี้มันก็มันจะเป็นลูกเสือได้อย่างไร เป็นอันว่าไปรู้เอาเอง ไอ้ส่วนเกินนั้นน่ะอย่าไปบูชา อย่าไปแตะต้องได้ก็ยิ่งดี เอาแต่พอดี เดี๋ยวนี้ก็มีเรื่องที่หลอกเราไม่ให้รู้สึกตัว ไปทำในส่วนเกินมากนัก เรื่องกิน เรื่องเล่น เรื่องอะไรต่าง ๆ เรื่องมหรสพต่าง ๆ เป็นเรื่องทำให้ไม่รู้สึกตัวในเรื่องกิเลส ในเรื่องความเกิน
เป็นเสือในป่ากัดเนื้อตายลงแล้วก็กิน เท่าที่ท้องมันจะใส่ได้แล้วก็ไป นี่เป็นเสือต้องอย่างนี้ เดี๋ยวนี้คนมันเอามากักตุน มันเอามาย่าง เอามาแกง เอามาปรุง ทำให้อร่อยด้วยการปรุง แล้วก็กินมากให้เอร็ดอร่อย มีเครื่องหลอกให้กินมากคือพวกชูรสทั้งหลาย เรื่องชูรสให้อร่อยให้กินเกินจำเป็นนี้เป็นเรื่องผิดหลักของศาสนา แล้วก็ผิดหลักของลูกเสือด้วย ลูกเสือไม่ควรจะมัวเมาในความเอร็ดอร่อย ปรุงแต่งในเรื่องชูรสมากเกินไป ซึ่งมันเป็นส่วนเกิน ทีนี้ชวนกันพิจารณา ถ้ามันเกินแล้วก็กันออกไป จนมีความถูกต้องพอดี ก็จะมีความเป็นลูกเสือที่แท้จริงยิ่งขึ้น ๆ เหมือนกับเสือจริง ๆ เป็นธรรมะที่ละเอียด
เป็นอันว่าขอแสดงความยินดีในการมาที่นี่ มาถึงสวนโมกข์นี้ ก็ใช้สวนโมกข์นี้ให้เป็นประโยชน์สมตามความประสงค์ของบุคคลผู้จัดให้มีสวนโมกข์ ด้วยหวังว่าจะมีประโยชน์แก่ผู้ที่มา ดังนั้นผู้ที่มาใช้ประโยชน์ ใช้สวนโมกข์ให้เป็นประโยชน์นี่ก็ชื่อว่าได้ทำให้ความหวังของคนจัดสวนโมกข์มีความสมหวัง ดังนั้นจึงขอขอบใจด้วยในการที่มาที่นี่ แต่ขอร้องว่ามาถึงสวนโมกข์แล้วช่วยพาสวนโมกข์กลับไปด้วย ติดไปด้วย หมายความว่า พอมาถึงที่นี่ นั่งลงกลางดินอย่างนี้ แล้วจิตใจมันเกลี้ยง ความที่จิตใจเกลี้ยงประทับอยู่ในใจ เยือกเย็น ว่าง อิสระ สบาย บอกไม่ถูก บางคนก็มาเดินบนนี้บอกว่าสบาย บอกไม่ถูกไม่รู้เป็นยังไง สบายบอกไม่ถูกเมื่อเดินหันไปหันมาอยู่ที่นี่ เพราะว่าธรรมชาติแท้ ๆ มันแวดล้อมจิตใจของเขาให้มันเกลี้ยง ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความอิจฉาริษยา ความเศร้าอะไรต่าง ๆ มันไม่รบกวนจิตใจของเขา จิตใจของเขาเกลี้ยง คำว่า โมกข์ แปลว่า เกลี้ยง พอมานั่งอยู่ที่นี่จิตใจเกลี้ยงก็ชื่อว่ามาถึงสวนโมกข์ ทีนี้พอกลับไป ช่วยเอาความเกลี้ยงอันนี้ประทับใจไปด้วย ถ้ามันไปยุ่งเหยิงขึ้นที่บ้านที่กรุงเทพฯ แล้วก็นึกถึงสวนโมกข์ทันที มันจะช่วยให้กลับเกลี้ยงได้ไม่ยาก อย่างนี้เรียกว่าได้ประโยชน์ในการมาที่นี่ เอาสวนโมกข์ติดไปด้วย จะได้ชิมรสของความเกลี้ยงแห่งจิตใจแล้วก็พอใจในความเกลี้ยงอันนี้ เอาติดไปด้วย ก็ชื่อว่าได้รับประโยชน์ที่สุดแล้วในการมาสวนโมกข์
ก็ขอย้ำซ้ำอีกทีว่าที่ได้นั่งกลางดินอย่างนี้เป็นความดีที่สุดแล้วสำหรับลูกเสือ เพราะเราจะต้องคบค้ากับธรรมชาติ เป็นเกลอกับธรรมชาติ ยอมรับในข้อที่ว่าพระศาสดาของทุก ๆ ศาสนาอยู่แต่กลางดิน ไม่ไปอยู่บนสวรรค์วิมานที่ไหน แล้วก็จะอยู่จนเดี๋ยวนี้ก็จะยังอยู่กลางดิน ไม่ว่าพระศาสดาของพระศาสนาไหน และก็ช่วยจำไว้ด้วยว่าวันนี้ได้มานั่งกลางดินในสภาพอย่างนี้ และก็พูดกันในเรื่องนี้ ชี้แจงให้เห็นว่าอุดมคติของศาสนากับของลูกเสือนั้นเป็นอย่างเดียวกัน คือไปด้วยกันได้ เราจึงได้อาศัยศึกษาพร้อม ๆ กันไปมันไม่เสียเที่ยว ถ้าศึกษาศาสนาก็จะได้รู้เรื่องของลูกเสือ ศึกษาเรื่องของลูกเสือก็จะได้รู้เรื่องของศาสนา จึงหวังว่าท่านทั้งหลายคงจะมีความก้าวหน้าเป็นแน่นอน
ในที่สุดนี้ขออวยพรให้ท่านทั้งหลายทุกคนจงได้มีความเข้าใจแจ่มแจ้งในหน้าที่การงานของตน เช่น ความเป็นลูกเสือ เป็นต้น ก็ทำให้เกิดความก้าวหน้าในหน้าที่การงานนั้น ๆ แล้วมีความสุขในการทำงานนั้น อย่าไปหวังผลงานเลย ไม่ต้องหวังผลงาน มันเป็นเรื่องหลอก เรื่องจริงคือตัวการงาน มีสุขในตัวการงาน และก็จะสบายที่สุด และเป็นสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติ
นี่ถ้ามีเวลาก็เข้าไปดูในตึกนั้นที่เรียกว่า โรงมหรสพทางวิญญาณ คือ ให้ความสนุกสนานในการศึกษาธรรมะด้วยรูปภาพ ถ้าเดินรอบวัดก็จะพบธรรมชาติที่รักษาไว้สำหรับให้คนใกล้ชิดได้โดยง่ายอยู่ทั่ว ๆ ไป สำหรับคนที่ชอบธรรมชาติ เอาล่ะ ปิดประชุม ขอเชิญไปตามกำหนด ตามโปรแกรมกำหนดการ