แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นลูกเสือทั้งหลายในระดับผู้บังคับบัญชาหรือผู้รับการอบรมก็ตาม อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาที่นี้ของท่านทั้งหลาย แม้โดยส่วนตัวก็ขอบคุณในการที่รู้สึกว่ามาเยี่ยมเยือน ที่ควรยินดีอีกอย่างหนึ่งก็คือจะได้พูดจากันบ้างตามที่เห็นว่าจะมีประโยชน์ ถ้าท่านเข้าใจความหมายของคำว่า ธรรมบุตรซึ่งเป็นชื่อของค่ายลูกเสือที่ท่านทั้งหลายกำลังพักอยู่ อาตมาก็คิดว่าจะเป็นการเพียงพอสำหรับจะให้ทราบเรื่องที่อาตมาตั้งใจจะพูดทั้งหมดที่ควรจะพูด ในกิจการลูกเสือเป็นอย่างไรท่านทั้งหลายก็ต้องทราบดีหรือดีกว่าอาตมาก็ได้ แต่มีอยู่บางอย่างซึ่งเข้าใจว่าอาจจะยังไม่เคยสังเกตลูกเสือกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะมันเกี่ยวข้องกันอย่างไร แล้วเรียกชื่อค่ายลูกเสือนั้นว่า ค่ายธรรมบุตร หมายความว่า ค่ายของผู้ที่เป็นบุตรของพระธรรม นี่มันคงจะอยาก ต่อไปอีกสิว่า พระธรรมนั้นคืออะไร ถ้าไม่รู้ก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน ขอให้เข้าใจว่าธรรมมันเป็นคำเรียกสิ่งๆหนึ่งซึ่งมีอะไรมากเกินกว่าที่จะพรรณนาให้หมดได้ แต่เราจะตัดตอนเอามาเฉพาะส่วนที่จำเป็นก็คือส่วนที่ทำให้มนุษย์อยู่ด้วยกันได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าว่าขาดธรรมะแล้ว คนจนกับคนใจรวยจะอยู่รวมโลกกันไม่ได้ ถ้ามีธรรมะแล้วไม่ว่าจะจนยังไงหรือรวยอย่างไร มันก็อยู่กันได้ด้วยความผาสุก ในโลกทุกวันนี้มันก็กำลังมีปัญหากระทั้งมีอันตรายเกิดขึ้นเกี่ยวกับการอยู่รวมกันระหว่างคนยากจนกับคนมั่งมี ระบุชัดๆลงไปก็คือกรรมกรกับพวกนายทุน ยากที่จะอยู่รวมโลกกันได้ทุกที่ มีแต่ทะเลาะวิวาทกันแก่งแย่งกัน เอาเปรียบกัน มุ่งจ้องที่จะประหัตประหารกันและยิ่งขึ้นทุกที เพราะขาดสิ่งที่เรียกว่าธรรมะที่จริงก็เป็นเพียงคนมั่งมีกับคนอยากจนเท่านั้น มีอยู่ 2 พวก ถ้าคนมั่งมีประกอบด้วยธรรมะก็เรียกว่าเศรษฐีใจบุญ ถ้าคนมั่งมีไร้ธรรมะก็เรียกว่านายทุนไม่เรียกว่าเศรษฐีใจบุญ คนยากจนนี่ก็เหมือนถ้าว่ามีธรรมะเขาก็ยังเป็น สัตบุรุษ ได้ ถ้าเขาไม่มีธรรมะ เขาก็เป็น อันธพาล คนยากจนถ้ามีธรรมะก็กลายเป็นผู้ที่น่าเมตตาปราณีโดนคนมั่งมีเมตตาปราณีก็เลยอยู่ด้วยกันได้ เพราะมีธรรมะ เดี๋ยวนี้การศึกษาเล่าเรียนของเรา ท่านทั้งหลายก็คงจะเห็นว่าไม่มีสอนเรื่องธรรมะ เรียนจบมหาวิทยาลัยจากเมืองไทยเมืองนอกปริญญายาวเป็นหาง มันก็ยังไม่มีธรรมะ เพราะไม่ได้สอนธรรมะไม่ได้เรียนธรรมะไม่มีธรรมะนั้นละมันอย่างขาดอยู่ ถ้าเหลียวมาดูกิจการลูกเสือจะพบว่ายังมีส่วนที่ทำให้คนมีธรรมะ เรียนจบหลักสูตรวิชาสามัญขั้นไหนก็ตาม ขั้นอุดมศึกษามันก็ยังไม่มีธรรมะ เพราะยังไม่อบรมจิตใจให้มีธรรมะ คำที่พูดนี้อยากขอเว้นเหตุการณ์หรือสถานการณ์ยุคก่อนๆ คือยุคก่อนๆในประเทศไทยก็ดีหรือแม้นแต่ในต่างประเทศ เช่น ประเทศอังกฤษก็ดี เราเห็นอยู่มีหลักฐานให้เห็นได้อยู่ว่าเขามุ่งหมายแต่ความมีธรรมะแต่เขาไม่ได้เรียกว่านักธรรม เขาเรียกว่าสุภาพบุรุษ ถ้าท่านอายุน้อยเกินไปท่านจะไม่ทราบเรื่องนี้และไม่ได้ยินคำนี้ผู้ที่มีปัญญาเป็นครูบาอาจารย์กับมาจากออฟอกซ์ก็ดี แครมบริด์ก็ดี มันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเรียนที่มหาวิลัยนั้นมุ่งหมายความเป็นสุภาพบุรุษเป็นขั้นสุดท้าย มหาวิทยาลัยสร้างสุภาพบุรุษให้โลก เดี๋ยวมันเปลี่ยนไป สร้างนักการเมือง สร้างนักเศรษฐกิจ สร้างอะไรต่าง ๆ ซึ่งไม่มีความหมายแห่งสภาพบุรุษ การศึกษาในประเทศไทยเราก็พอจะกล่าวได้ว่าเป็นอย่างนั้น เรียนธรรมะสำหรับเป็นสัตบุรุษ แม้เราจะให้คำความว่าสุภาพบุรุษแต่ความหมายก็เป็นอย่างเดียวกัน พูดว่าเป็นสัตบุรุษมันเป็นชาวพุทธมากเกินไป พวกที่เขาถือศาสนาอื่นเขาจะไม่ชอบ ถ้าเรียกว่าสุภาพบุรุษมันเป็นกลางๆ เขาก็ยอมรับได้ งั้นก็เรียกว่าสุภาบุรุษกันเสียจะดีกว่าจะได้ใช้กับทุกชาติ ทุกศาสนา กิจกรรมลูกเสือทำให้ทุกคนเป็นสุภาพบุรุษอย่างยิ่ง
ถ้าทำกันอย่างยิ่ง ก็จะมีอย่างยิ่งถ้าเรียกอย่างชาวพุทธก็เรียกว่าสัตบุรุษ เป็นสัตบุรุษต้องประกอบไปด้วยธรรมเต็มที่ เมื่อเขาขอร้องให้อาตมาช่วยตั้งชื่อค่ายลูกเสือ ค่ายนี้ว่า ค่ายธรรมบุตร มีคนเป็นลูกของธรรมะก็แสดงว่ามีธรรมะ มีธรรมะก็เป็นสัตบุรุษในพุทธศาสนา และก็เป็นสุภาพบุรุษในความหมายสากลทั่วไปหมด ชาติไหนภาษาไหนก็ยอมรับคำๆนี้ เดี๋ยวนี้ก็ยังเห็นกันอยู่ แต่เหตุการณ์มันไม่ค่อยยอมให้คนสนใจคำว่าสัตบุรุษ ไปสนใจคำว่านายทุนกับกรรมกรเสียมากกว่าเป็นระบบการเมืองที่ต่อสู้กันจะทำให้โลกนี้วินาทก็ไม่รู้ เมื่อเราต้องการประโยชน์ จึงขอให้ลูกเสือทั้งหลายรู้จักวิญญาณหรือเจตนารมณ์หรืออะไรก็ตามของความเป็นลูกเสือ ว่าเราต้องการความเป็นสุภาพบุรุษ ชนิดที่ในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยยังไม่ได้อบรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มหาวิทยาลัยแห่งยุคปัจจุบันขอโอกาสพูดให้ชัดลงไปสักหน่อยเดี๋ยวนี้การศึกษาระดับไหนก็ตามสูงสุดถึงมหาวิทยาลัยไหนก็ตามมันเป็นวิชาชีพไปหมดมันเพียงสูงต่ำกว่ากันเท่านั้นแหละ และก็บูชาเทคโนโลยีที่จะทำให้เกิดความสำเร็จประโยชน์นั้นๆนี่เขาเรียกว่าเป็นวิชาชีพไปหมด จะเรียนเป็นตุลาการ อันนั้นก็เป็นอาชีพไปเสียหมด ไม่เป็น ปูชนียบุคคลไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษยิ่งขึ้นเพราะเหตุที่มุ่งหมายเป็นอาชีพ ก็เลยทั้งโลกนี้ไม่ใช้เฉพาะประเทศเราบูชาสิ่งที่เป็นอาชีพนั้นก็หมายความหมายว่าบูชาสิ่งที่มันเป็นผลของอาชีพเพื่อจะได้ปัจจัยมา สำหรับบำรุงบำเรอกิเลสตัณหาตามเรื่องของตน เพราะไม่ได้อบรมให้รับการเป็นสัตบุรุษหรือสุภาพบุรุษหลายปีเขา หลายสิบปีเข้ามันก็เป็นมากเป็นจนถึงกับดูหน้ากันด้วยสายตาของสัตบุรุษที่เรียกว่ามิตรภาพมันหายากยิ่งขึ้นทุกที ความเป็นสุภาพบุรุษหายไปเท่าไหร่มิตรภาพก็จะหายไปเท่านั้นในโลกนี้ ขอให้สังเกตต่อไป ขอฝากว่าด้วยจนกว่าจะตาย และเห็นว่ามันจะยิ่งเป็นอย่างนั้น ยิ่งไม่เป็นสัตบุรุษหรือสุภาพบุรุษก็จะยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเห็นแก่ตัวมันก็เอาเปรียบผู้อื่น มันจะเอาเปรียบกระทั่งสมาชิกในครอบครัวมันจะเลวขณะที่ว่าผัวมันเปรียบครอบครัวเมียมันเปรียบครอบครัว ลูกมันเปรียบพ่อแม่มัน มันไม่มีธรรมะมันจะเป็นซะอย่างนี้ ขอให้ดูต่อไปในอนาคต ที่นี้เราพูดถึงธรรมะกันดีกว่ามันจะได้แก้ปัญหา ที่ร้ายกาจที่สุดที่ยังเหลืออยู่ บางทีเราก็เรียกธรรมะว่าศีลธรรมก็อยากลดลงมาให้มันแคบเข้า เจาะจงในเรื่องของเราที่อยู่กันเป็นสังคมในโลกนี้ เรียกว่ามีศีลธรรมมันฟังง่าย แต่พูดว่าธรรมะมันกว้างเกินไปมันตะเลิดเลยไปถึงนิพพานไปถึงอะไรที่เข้าใจไม่ได้ แต่ที่จริงมันก็เรื่องเดียวกันแหละ ความสงบสุขของมนุษย์ถ้ามันยิ่งมากขึ้นมากขึ้นมันก็ไปถึงนิพพานเองแหละนั้นไม่ต้องสงสัยงั้นอยู่ที่นี้ก็สร้างแต่ความสงบสุขกันให้ได้ คำว่าสงบถ้าเป็นบาลีมันก็บอกว่าสัตตะ สันตะ ที่มาใช้เป็นชื่อสัตบุรุษ หรือสัพบุรุษ คนเดี๋ยวนี้ได้ยินคำว่าสัพบุรุก็หัวเหราะเยอะ เอาไปล้อกันไม่รู้ว่าอะไร สัพบุรุษก็แปลว่าผู้มีความสงบ สัตบุรุษก็มีความสงบผู้มีความสงบ สุภาพบุรุษ คือ ผู้ที่มีภาวะดี ภาวะไหนจะดีไปกว่าความสงบ คำว่าศีลแปลว่า ปกติ หรือแปลว่าสงบ ศีลธรรม คือ ธรรมที่ทำความสงบทำความปกติถ้ามันทำความปกติหรือความสงบให้ไม่ได้ก็ไม่ใช่ศีลธรรม ลำพังวิชาความรู้ในโรงเรียนยังไม่อาจสามารถทำความสงบหรือความสุขอย่างที่แท้จริงได้ คือไม่สงบจะต้องมีกิจการอื่นเพิ่มขึ้น แสดงว่ามาบวชมาเรียนเป็นพระเป็นเณรก็มันศึกษาต่อในส่วนนี้ เดี๋ยวนี้ไม่อาจจะบวชพระบวชเณรก็จะต้องมีการจัดขึ้นในกิจกรรมบางอย่างที่เราจะทำได้ เช่น กิจกรรมของลูกเสือ งั้นเมื่อดูถึงลักษณะ ระเบียบปฏิบัติต่างๆของลูกเสือมันก็พบว่ามุ่งหมายที่จะเพิ่มส่วนนี้ที่ขาดอยู่ส่วนความสงบสุขกลายเป็นมีศีลธรรมเพื่อศีลธรรมเป็นอย่างน้อย มีเวลานิดหนึ่งที่เหลืออยู่นี้จะพูดถึงคำนี้คำว่าธรรมหรือศีลธรรม ว่าท่านทั้งหลายจะมองเห็นเองว่ามันยังขาดอยู่ว่า
แล้วมันยังไม่ได้รวมอยู่ในเรื่องการศึกษาเล่าเรียนในวิชาสามัญและศึกษาต่างๆ หลักของศีลธรรมนั้นมีมากแต่ถ้าเอามาจัดเป็นพวกๆเป็นกลุ่มๆมันก็ไม่กี่กลุ่ม ไม่กี่หัวข้อ เราพูดกันแต่ข้อที่สำคัญที่สุดสัก 3 หัวข้อก็พอ จะเป็นศีลธรรมที่สากลไม่เกี่ยวกับชาติไหน ภาษาไหน แต่ว่าในพระพุทธศาสนาเราก็มีกล่าวชัดเราจะพูดที่มันเป็นหลักพระพุทธศาสนาก็ได้หรือของสากลแก่ศาสนาทั้งหลายก็ได้
ข้อแรกที่สุดก็คือ ความเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน
พูดเป็นภาษาวัดมันฟังครึมคละ แต่มันมีใจความที่เต็มที่สมบูรณ์ที่ถูกต้อง ความเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันเป็นภาษาวัด ถ้าพูดอย่างธรรมดาๆก็เรามันเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมสุขกัน อยู่ในโลกนี้ซึ่งมันไม่ได้สอนในโรงเรียนไม่ได้สอนในวิชาศีลธรรม จดในสมุดก็ไม่ได้เน้นอบรมให้ลูกเด็กเล็กๆมันรู้จักรู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่เจ็บตายด้วยกัน ดังนั้น เราจึงต้องช่วยกันเอาเปรียบกันไม่ได้ ดังนั้นเราจึงลักของใครไม่ได้ ตีใครฆ่าใครไม่ได้ เอาเปรียบใครไม่ได้ เพราะเราเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน นี่มันจะตรงกับหลักปฏิบัติของลูกเสือในข้อไหนท่านทั้งหลายก็ไปคิดดูเอง อาตมาก็พูดจะพูดธรรมดาๆ เขาสอนลูกเด็กๆ เราอยู่แต่เพียงว่าเราอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้ข้อนี้เน้นให้มาก ให้เด็กๆลูกเสือเล็กๆ แม้กระเป็นทั้งลูกเสือตัวโต เราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ ธรรมชาติมันบังคับหรืออาจจะเรียกว่าพระเจ้าบังคับก็ได้ เพราะฉะนั้น เราต้องจะปฏิบัติให้ถูกต้องในกฎเกณฑ์ข้อนี้ว่าเราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ พุทธบริษัทพูดไปถึงว่าเราเป็นเพื่อนทุกเกิดแก่เจ็บตายกันทั้งหมดทั้งสิ้น งั้นเราต้องแบ่งปัน ต้องเอื้อเฟื้อ เราต้องเผื่อแผ่ เราต้องเห็นแก่อื่นมัวแต่ มัวพูดแต่ปากว่าข้าจะบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่น พูดแต่ปาก ไม่สำเร็จประโยชน์อะไร ถ้ามันมีรากฐานมาจากคำว่า เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันจริง มันคงทนไม่ได้มันคงจะปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ผู้อื่นเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกันจริงๆ หัวข้อมันมีอย่างนี้แต่มันมีการแจกแจงออกไปเป็นหัวข้อย่อได้มากเป็นศีลธรรมหลายข้อหลายสิบข้อก็ได้
ที่นี้ข้อที่ 2 การบังคับตัวเอง
การบังคับตัวเอง หมายถึง บังคับจิต บังคับความรู้สึก เรียกว่าบังคับตัวเอง คำพูดประโยคนี้เคยเป็นที่บูชาสูงสุดของคนในโลกทั้งโลกมาแล้ว คือทุกคนมุ่งจะบังคับตัวเอง สอนให้บังคับตัวเองตามหลักของศาสนาทั้งหลาย และมันเพิ่งมีนักศึกษาบ้าๆบอๆ ที่ไหนสุดท้ายไม่อย่าออกชื่อ พึ่งจะมาเปลี่ยนหลักเกณฑ์ว่าเราไม่บังคับเราจะปล่อยไปตามความสะดวกสบายและเข้ารูปกันกับประชาธิปไตยบ้าๆบอๆ ไม่มีการบังคับ มีอิสรเสรีจนพ่อแม่ก็บังคับลูกไม่ได้ ครูบาอาจารย์บังคับลูกศิษย์ไม่ได้ทุกคนไม่บังคับตัวเอง งั้นอาชญากรรมจึงเต็มไปหมด อาญากรที่เลวร้ายที่สุดในหน้าหนังสือพิมพ์ปัจจุบันนี้ขอให้ช่วยไปสังเกตดูว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร มันเกิดขึ้นมาได้จากคนคนนี้มันไม่เคยบังคับตัวเองมาตั้งแต่อ้อนแต่ออดเรื่อยมาๆๆๆ มันจึงข่มขื่นแล้วฆ่า จึงอุตริวิตถารอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีได้ โทษของการไม่เคยบังคับตัวเองมาเลย การบังคับตัวเองบังคับความรู้สึกเป็นหัวใจของศาสนา คือบังคับกิเลส ถ้าได้รับการอบรมให้บังคับตัวเองมาเรื่อยๆ จะไม่มีอาญากรพวกนี้ พวกที่เลยร้ายที่สุดข่มขืนแล้วฆ่าเห็นอะไรก็เอาตามความประสงค์ของตัวไม่ต้องว่าศีลธรรมเป็นยังไง ไม่รู้ว่าเพื่อนมนุษย์
เป็นยังไง ไม่มีคำว่าเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยทั้งหมดทั้งสิ้น งั้นอย่าไปตามก้นครูบาอาจารย์บ้าๆบอๆสมัยใหม่ที่บอกว่าไม่ต้องบังคับความรู้สึก ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าและพระศาสดาทั้งหลายดีกว่าว่าต้องบังคับความรู้สึก ในขั้นแรกบังคับอย่าให้มันฟุ้งขึ้นมา อันดับสองบังคับให้มันเดินไปถูกทาง ถือบังคับอย่าให้มันฟุ้งขึ้นมาตามพอใจ ตามชอบใจ ความรักก็ดี ความโกรธก็ดี ความโง่ก็ดีอย่าให้มันสะเพร่า หรือฟุ้งออกมาเต็มที่ของมันบังคับไว้ คนโบราณเขาว่านับสิบไว้ก่อน ถ้ามันเกิดความรู้สึกขึ้นมาในใจนับสิบไว้ก่อนเพื่อประทั้งไว้เพื่อจะได้มีเวลาชั่งใจ ใคร่ครวญว่าเป็นอย่างไร ถ้าจะรักก็อย่าให้มันแรง ถ้าจะโกรธก็อย่าให้มันแรง ถ้าจะโง่ก็อย่าให้มันแรง มันก็พอจะพูดกันรู้เรื่อง งั้นอันดับสองบังคับให้มันไปตามความถูกต้องอย่าให้มันไปในทางที่มันผิดพลาด อย่างไรเรียกว่าถูกต้อง คนอันธพาลมันก็มีความถูกต้องของมัน คนดีเป็นบัณฑิตมันก็มีความถูกต้องของมันแล้วมันตีกันถ้าอย่างนี้เราต้องเอาความที่มันยอมรับได้ด้วยทั้งหมดนี้เป็นหลักจริยธรรมสากลข้อหนึ่งด้วยเหมือนกันที่บอกว่าอะไรดีอะไรถูกมันต้องไม่ทำอันตรายใครแล้วปฏิบัติได้และยอมรับได้ด้วยกันทั้งหมด สิ่งนั้นต้องเป็นประโยชน์รวมความแล้ว ถ้าไม่มีประโยชน์จะไม่ถือว่ามีความถูกต้องหรือไม่ดี จึงเอาความมีประโยชน์เป็นเครื่องตัดสินว่านี่มันถูกต้อง นี่มันดี ไม่ต้องเอาตามบทบัญญัติที่เขาเขียนไว้เป็นตัวหนังสืออย่างนั้นอย่างนี้ก็ได้เอาข้อเท็จจริงที่มันมีประโยชน์แล้วก็เป็นความถูกต้อง ถ้ามันพิสูจน์ได้ในความมีประโยชน์ก็ถือว่ามันถูกต้อง อุดมคติของลูกเสือหรืออุดมคติของใคร ก็ตามมันต้องมพุ่งไปยังประโยชน์ ถ้ามันพิสูจน์ว่ามันมีประโยชน์ก็ถือว่ามันถูกต้องมันจึงไม่มีความงมงาย ขอให้บังคับความรู้สึก ช่วยสอนลูกหลาน เล็กๆให้มันรู้จักบังคับความรู้สึก ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ให้มันรู้จักบังคับความต้องการให้รู้จักบังคับ แล้วจะบังคับได้มากขึ้นๆ แล้วจะไม่ทำอบายมุขเหมือนกับเขาที่กำลังเป็นทาสของอบายมุขกันเดี๋ยวนี้ เพราะไม่บังคับความรู้สึก เงินเดือนไม่พอใช้มันก็ต้องโกง มาตอนนี้บังคับไม่อยู่แล้วมันต้องโกงแล้ว เพราะมันไม่บังคับความรู้สึกมาตั้งแต่ต้น จึงขอให้ถือเป็นหลักอย่างมั่นคงเป็นข้อที่สองว่าต้องบังคับตน บังคับความรู้สึก บังคับจิต บังคับกิเลส แล้วจะเรียก เราจะเรียกว่าบังคับตัวเอง เป็นหลักธรรม บรมโบราณเก่าแก่ก่อนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ยอมรับ ก็สอนสืบๆกันมา บังคับตนให้อยู่ในความถูกต้อง
ข้อที่ 3 มีความสุขในการทำงาน
มีความสุขในการทำงานยังกำกวมอยู่ก็ขอขยายความออกไปว่ามีความสุขเมื่อรู้สึกว่าได้ทำความดี มีความรู้สึกเป็นสุขเมื่อรู้สึกว่าได้ทำความดี ได้มีความดี ข้อนี้ถ้าพิจารณาจากนี้จะเห็นว่าการทำงานนั้น มันเป็นการทำหน้าที่ของมนุษย์ ทุกคนมีหน้าที่เมื่อทำหน้าที่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำ นั้นเราจะพอใจ ยินดีในความเป็นมนุษย์ของเราที่ไม่เป็นหมัน และสอนลูกเด็กๆของเราให้รู้สึกพอใจยินดีเมื่อได้ทำความดี ที่จริงอันนี้มันจะเกือบเป็นสัญชาติญาณอยู่แล้วขอให้สังเกตดู สังเกตดูเด็กตัวเล็กๆเขาชอบทำความดีให้ผู้ใหญ่เห็นอยู่แล้วความชอบทำความดีให้ผู้ใหญ่ยกย่องอยู่แล้ว ถ้าเด็กคนไหนไม่มีลักษณะอย่างนี้ซะเลย เด็กคนนั้นต้องถือว่าผิดปรกติ หรือว่าเด็กคนนี้ถูกทำให้เสียไปแล้วโดยบิดามารดาที่ว่าโง่ๆ บิดามารดาที่บรมโง่ มันทำลายสัญชาติญาณที่ดีของลูกเด็กๆให้เสียไปเสียแล้วเหมือนลูกเด็กๆต้องการจะทำสิ่งดีให้ผู้ใหญ่เห็นและก็ชมเชยอยู่แล้วและเราไม่สนับสนุนกันเอง นานๆเข้ามันก็เลือนเอง ขอให้ดึงกับมาให้ถือเป็นสิ่งสำคัญแล้วผู้ใหญ่อย่าทำตัวให้มีหลักเกณฑ์อย่างนั้น
เมื่อได้ทำดีต้องพอใจตัวเอง เครารพตัวเอง นับถือตัวเอง ไว้ใจตัวเอง กระทั้งไหว้ตัวเอง ให้ยกมือไหว้ตัวเองทุกครั้งที่รู้สึกว่าได้ทำดี ความสุขอย่างนี้มันละเอียดหรือประณีตเกินไปยังเข้าใจยากอยู่ พอทำไปจะเข้าใจได้ มันมีความสุขชนิดที่เรียกว่าทางนามธรรม ทางพระธรรมเช่นเข้าชาญ มีสมาธิมีความสุขที่สุดถ้าทำได้ แล้วถ้าไม่ได้มันก็น่าลำคราญที่สุดเหมือนกัน เรียกอีกอย่างว่า ปิติ ขอให้ท่านจำคำนี้ไว้แล้วไปสังเกตดูเมื่อไหร่เรามีความรู้สึกว่า ปิติ เมื่อนั้นเหมือนเราจะมีความสุขอย่างยิ่ง มันคนละอย่าง ปิติคือความรู้สึกพอใจเมื่อได้ทำอะไรสำเร็จและหลังจากนั้นจะรู้สึกเป็นสุข ไม่เกี่ยวกับเงิน ไม่ใช่บูชาเงินไม่ใช่เงินมาอยู่บนหัวจึงมีความสุข เพียงสักว่า เห็นอยู่ชัดๆว่าได้ทำสิ่งนี้ถูกต้องและสำเร็จก็มีปิติและก็มีความสุข งั้นเราไม่ต้องใช้เงิน เราไม่ต้องไปตามสถานเริงรมย์ ไม่ต้องไปในกลุ่มบายมุขก็มีความสุขที่ยิ่งกว่าได้ ไม่เกี่ยวกับเงิน เงินเบี่ยงไว้อีกทางดีกว่า ทำงานสำเร็จประสบความสำเร็จได้เงินได้รางวัล ได้อะไรก็ตามแยกเอาไว้อย่างหนึ่ง และก็ไม่ต้องไปบูชามัน บูชาตัวเองที่ได้ทำความดีและสำเร็จ อย่างนี้จึงเรียกว่ามีความสุขในการทำงาน เด็กๆ ก็ทำงานเล็กๆ เช่น เล่าเรียนก็เรียกว่าการงาน เรียนได้ดี มีความสุขพอใจนับถือตัวเองหรือเด็กๆช่วยทำอะไรพ่อแม่สักนิดหนึ่งรู้ว่าพ่อแม่ชอบมันก็มีความสุขนะช่วยส่งเสริมสัญชาติญาณอันนี้แล้วเขาก็จะเป็นคนที่มีหลัก มีความสุขได้ในการทำงาน ไม่ไปต้องไปดูหนัง ดูละคร ไม่ต้องไปกินเหล้าไม่ต้องไปสถานเริงรมย์หรือที่เรียกกันว่าอบายมุข ซึ่งท่านทั้งหลายคงจะมองเห็นแล้วรับรองว่าถ้าเรียกตัวเองว่าลูกเสือแล้วก็ไม่เข้าไปในสถานที่อย่างนั้น ถ้าเรียกตัวเองว่าลูกเสือแล้วเข้าไปในสถานที่อย่างนั้นก็เรียกว่าเป็นคนโกหกตัวเองไม่มีอะไรเหลือในสถานที่เริงรมย์อบายมุขทั้งหลายลูกเสือไม่ควรจะเข้าไปเพราะลูกเสือจะต้องมีความพอใจ ยินดี ปราณีใน ปราโมทย์การได้ปฏิบัติหน้าที่ๆถูกต้องของมนุษย์ นี้ข้อที่ 3 มีความสุขเมื่อได้ทำการงานซึ่งเป็นหน้าที่ของมนุษย์ ถ้าถือกัน อย่างนี้หมดแล้วสถานอบายมุขทั้งหลายก็ปิดได้ พร้อมกันนั้นเรือนจำก็ปิดได้ ศาลอาญาทั้งหลายก็ปิดได้ เพราะมันจะไม่มีอาญชกรรม เพราะมันจะไม่มีมนุษย์ที่เลวที่ประกอบอาญชกรรมมันมีความสุขอยู่แต่ทำการงานที่ถูกต้องมันก็ไม่ได้ไปอบายมุข แล้วถ้ามันถือข้อที่2 บังคับตัวเองบังคับจิต บังคับความรู้สึกด้วยก็ดีแล้วก็แน่นอน แล้วมันถือไปถึงข้อที่ 1 สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นแล้วก็แน่นนอนบริบูรณ์แล้วในความเป็นลูกเสือก็ดีในความเป็นสุภาพบุรุษก็ดี ในความเป็นมนุษย์ก็ดีนี้เราเรียกว่าศีลธรรมทำความปกติให้โลกนี้มันปกติให้คนยากจนกับคนมั่งมีอยู่ในโลกรวมกันได้เพราะมีศีลธรรมอย่างนี้ พอไม่มีศีลธรรมอย่างนี้มึงก็มึง กูก็กู มันไม่มีความเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายมันก็เอาเปรียบกันมั่วแก่งแย่งกัน ใครมีกำลังมากก็เป็นนายทุน ใครมีสรรถภาพน้อยก็เป็นกรรมกรมันจะได้ฆ่ากันวินาทวันหนึ่ง นี้เวลาที่ท่านกำหนดให้หมดแล้วขอยุติการบรรยายในลักษณะ ที่ว่าเป็นการแสดงความยินดีที่ได้มาพบกันอาตมาได้ทำหน้าที่สาวกของพระพุทธเจ้าก็ยินดีในจุดนี้ก็ขออวยพรให้ทุกท่านทั้งหลาย ทุกท่านผู้เรียกว่าลูกเสือในความหมายของคำว่าธรรมบุตรจงได้เจริญงอกงามในทางวิชาการในทางปฏิบัติงาน ในทางช่วยเหลือสงเคราะห์อื่นไปทำให้มนุษย์ในโลกนี้มีความสงบสุขได้สมดังเจตนารมณ์ของลูกเสือทุกประการเทอญ