แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านผู้รับภาระร่วมในกิจการลูกเสือทั้งหลาย อาตมายินดีที่ได้พบกันในลักษณะอย่างนี้ คือ ผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องของลูกเสือ และอาตมาก็มีความสนใจในความหมายหรือเจตนารมณ์ของกิจกรรมลูกเสือ เพราะว่าในจิตใจก็ระลึกถึงอยู่แต่ศีลธรรม คือ ภาวะปกติในหมู่มนุษย์ของเรา ปัจจัยที่จะทำความปกติในหมู่มนุษย์นี้ก็มีหลายอย่าง แต่ทุกอย่างก็เนื่องด้วยศีลธรรม และกิจกรรมลูกเสือนี้ก็ขอให้ดูให้ดีก็จะพบว่า มันมีความมุ่งหมายอย่างเดียวกันกับความมุ่งหมายของศีลธรรม ชาวบ้านเขาไม่ค่อยจะรู้ และเห็นเป็นเรื่องของลูกเสือ หรือว่าเห็นเป็นเรื่องของการต่อสู้ หรืออะไรที่มันเป็นไปทะลึ่งตึงตังมากกว่าที่มันจะเป็นไปเพื่อความสงบ
ขอให้ระลึกถึงในสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรม และก็เข้าใจความหมายของคำนี้ให้ดี ๆ ศีละ นั้นแปลว่า ปกติหรือสงบ ธรรมะ นั้นแปลว่า ภาวะก็ได้ เหตุก็ได้ ถ้าแปลว่าภาวะ มันก็คือภาวะแห่งศีละ คือภาวะปกติ ถ้าแปลว่าเหตุ ก็เหตุที่จะนำมาซึ่งความปกติ แต่โดยมากคำนี้ใช้กันในความหมายที่เป็นภาวะ คือ ภาวะแห่งความปกติ ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความเดือดร้อน หรือไม่มีวิกฤตการณ์
การที่ว่ามนุษย์เราจะอยู่กันอย่างปกตินั้นก็ต้องมีเหตุปัจจัยให้เป็นเช่นนั้น เดี๋ยวนี้สิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยเช่นนั้นมันไม่ค่อยจะมี เพราะสิ่งที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยและความเป็นเช่นนั้นคือ ความไม่เห็นแก่ตัว ซึ่งขยายความออกไปเป็นการบังคับตัว การไม่ตามใจตัว ในทางตรงกันข้าม ก็คือเห็นแก่ผู้อื่น การเห็นแก่ผู้อื่นนี้เป็นหัวใจของศาสนาทุกศาสนา เพราะว่าศาสนาเกิดขึ้นมาเพื่อจะแก้ปัญหาอันได้มีอยู่จริงในหมู่มนุษย์ ทีนี้ปัญหาที่มีอยู่จริงในหมู่มนุษย์ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาโน้นก็คือ ความที่ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ของตัว และบังคับตัวไม่ได้ มันก็รุกล้ำเข้าไปในประโยชน์ของผู้อื่น กระทั่งในที่สุดมันก็เป็นการต่อสู้ทำลายกันและกัน นี่ข้อแรกที่ศาสนาทุกศาสนาต้องการก็คือ ให้อยู่กันอย่างไม่เห็นแก่ตัว คือไม่ต้องรบราฆ่าฟันกัน
ความเห็นแก่ตัวนั้นเป็นสิ่งที่ร้ายกาจมาก ลึกซึ้ง แต่คนไม่สนใจ ไม่ค่อยสนใจและไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ บางทีจะเป็นเพราะว่าทุกคนมันเห็นแก่ตัวอยู่ มันมีความเห็นแก่ตัวเป็นพื้นฐานอยู่ เพราะฉะนั้นก็ไม่เห็นว่านี่เป็นเรื่องที่ใช้ไม่ได้หรือเป็นเรื่องที่น่าเกลียดน่าชัง คนที่มีความเห็นแก่ตัวจะเห็นว่าความเห็นแก่ตัวนี้ไม่ดีนั้นมันยาก ในที่สุดก็ยังคงมีความเห็นแก่ตัวและปล่อยไปตามความเห็นแก่ตัว ก็เลยมีเรื่องที่เป็นปัญหา เรียกง่าย ๆ ก็คือการเบียดเบียนกันในรูปใดรูปหนึ่ง หรือหลาย ๆ รูปต่อเนื่องกันไป เห็นแก่ตัวแล้วก็อิจฉาริษยา ในคัมภีร์ของคริสเตียนก็เขียนไว้น่าฟังหรือน่าสนใจ ไม่ใช่เป็นเรื่องนิยาย แต่เขียนไว้อย่างเรื่องนิยายว่า มนุษย์คู่แรกในโลกมีลูกออกมา และก็มีลูกออกมาอีก ๒ - ๓ คน และพี่น้องคลานตามกันมาแท้ ๆ ไม่กี่ชั่วอายุคน เพียงสองชั่วอายุคน มันก็อิจฉาน้องและมันก็ฆ่าน้อง คิดดู ว่าจุดตั้งต้นของความเลวร้ายของมนุษย์นี้มันตั้งต้นขึ้นมาด้วยความริษยาว่าพ่อแม่รักน้องมาก แล้วก็ริษยา แล้วก็หลอกน้องไปฆ่าเสียในป่า ทั้งที่มันเป็นพี่น้องคลานตาม ๆ กันมา และทั้งเพิ่งมีมนุษย์ในโลกสองชั่วอายุคน คือเขาต้องการจะเขียนให้ว่ารู้จุดตั้งต้นของกิเลส ของความผิด ของความบาปของมนุษย์มันตั้งต้นอย่างนี้ ต่อมามันก็ไม่มีอะไรมาก ไม่มีอะไรแปลกไปกว่านั้น มันคือเห็นแก่ตัวแล้วก็ฆ่ากัน แม้กระทั่งมิใช่พี่น้อง เพราะแม้แต่พี่น้องมันก็ฆ่า ไม่ใช่พี่น้องมันยิ่งฆ่าง่าย ก็ฆ่ากันเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้เพราะ ความเห็นแก่ตัวซึ่งนำมาซึ่งความอิจฉาริษยา
ทีนี้ขอให้พิจารณาดูเถอะว่า มีการฆ่ากันที่ไหน มันมีความรู้สึกอันนี้แหละเป็นปัจจัยอยู่เบื้องหลัง คือ ความเห็นแก่ตัว กระทั่งอิจฉาริษยา ที่เรียกกันว่าสงคราม ฆ่ากันอย่างใหญ่หลวง ฆ่ากันอย่างยืดเยื้อทั่วไปทั้งโลก ที่นั่นที่นี่ ในเวลาปัจจุบันนี้หยก ๆ ก็เพราะความเห็นแก่ตัว แม้จะฆ่ากันระหว่างพวกขวากับพวกซ้าย ที่แบ่งเป็นค่าย ๆ อยู่ในโลกนี้มันก็มาแต่ความเห็นแก่ตัว จึงเกิดปัญหาขึ้น คนทำปัญหาทีแรกเพราะเห็นแก่ตัว คนแก้ปัญหาก็แก้ด้วยความเห็นแก่ตัว มันก็ฟัดกันไปฟัดกันมาด้วยความเห็นแก่ตัว ไม่มีทางที่จะสิ้นสุดลงได้ ขอให้ดูให้ดี วิกฤตการณ์ทั้งหลายในโลกเกิดขึ้นเพราะความเห็นแก่ตัวของคน ตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์ จะเรียกว่ามนุษย์ที่ยังไม่เป็นมนุษย์ ครึ่ง มนุษย์ก็ได้ คือความเห็นแก่ตัวมันเริ่มแก่กล้า เริ่มรุนแรงขึ้นมาตามที่สติปัญญาของมนุษย์มันสูงขึ้นมา สัตว์เดรัจฉานเห็นแก่ตัวน้อยเกือบจะหาไม่พบ มันก็มีบ้างแต่มันน้อยมาก หลังจากนั้นก็มีคนป่าขึ้นมาก็ยังเห็นแก่ตัวน้อยเพราะมันอยู่ตามประสาง่าย ๆ ไม่ต้องการอะไรมาก ก็มีสิ่งสนองความต้องการเหลือเฟือ มันก็ไม่ต้องกระทบกระทั่งกัน
พอมันเป็นมนุษย์สมบูรณ์ขึ้นมานี้ก็หมายความว่าสติปัญญามันสูงขึ้นทุกที คิดนึกเป็นทุกที ความรู้สึกที่จะถือเอาส่วนเกินนั่นแหละมันก็เพิ่มขึ้น ๆ เรื่องที่เล่าไว้ในคัมภีร์โบรมโบราณว่า ทีแรกก็ไปเก็บของในป่ามากิน ทีนี้ต่อมามันมีคนคิดแปลกออกไปว่าเราไปเก็บข้าวสาลีมาปล่อยไว้มาก ๆ เป็นของเราที่ที่อยู่ของเรา ดีกว่าที่จะไปเก็บกินเป็นวัน ๆ ดูจุดตั้งต้นนี้ พอต่างคนต่างทำอย่างนั้นมันก็หมดเร็ว มันก็ไม่พอ มันก็ต้องคิดในทางยื้อแย่ง ขโมย หรือเบียดเบียน ทีนี้ความคิดมันสูงไปในทางที่จะให้มีมากขึ้นเกินความจำเป็น รู้จักกิน รู้จักอยู่ รู้จักตกแต่ง รู้จักอะไรที่เกินจำเป็นยิ่งขึ้นทุกที ความต้องการก็มากขึ้น เมื่อไม่มีสนองความต้องการเพียงพอ ก็ต้องทำในทางที่ไม่เป็นศีลธรรม คือไม่สงบ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ปัญหาเกิดขึ้นเพราะความเห็นแก่ตัว นายทุนก็เห็นแก่ตัว กรรมกรก็เห็นแก่ตัว จึงเกิดแตกแยกกันขนาดที่เรียกว่าเป็นศัตรูกัน ต่างฝ่ายต่างไม่เห็นแก่ตัวเมื่อไรมันก็หมดปัญหาเรื่องนี้ มันมีมนุษย์ที่เสมอ ๆ กันอยู่ด้วยความรักใคร่เมตตากรุณากัน และก็ทำแก่กันและกันอย่างว่าเป็นมนุษย์ด้วยกัน เดี๋ยวนี้มันก็ทำแก่และกันอย่างกับว่าฝ่ายหนึ่งนั้นมิใช่มนุษย์ ก็ลองพิจารณาในข้อนี้ดูให้ดี ถ้าการกระทำแก่กันและกันอย่างว่าอีกฝ่ายหนึ่งมิใช่มนุษย์ หมายความว่า พอเราโกรธขึ้นมาแล้วก็ลืมไปหมดว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นมนุษย์ มันก็ทำทารุณอย่างว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่เป็นมนุษย์ ฝ่ายหนึ่งมันก็ทำตอบอย่างที่อีกฝ่ายไม่ได้เป็นมนุษย์อีก นี่เพราะมันโมโหขึ้นมาทั้งสองฝ่าย ทีนี้การต่อสู้ฟาดฟันกันในลักษณะที่มิใช่มนุษย์มันก็เกิดขึ้น เหมือนกับยักษ์ร้ายหรือว่าอะไรทำนองนั้นมันก็เกิดขึ้น พูดกันไม่รู้เรื่องเลยก็ต้องล้างผลาญกัน อย่างที่เป็นปัญหาอยู่ในเวลานี้ ปัญหาต่อสู้ก็ดี ปัญหาปราบปรามก็ดี มันไม่ได้ทำกันอย่างว่าทั้งสองฝ่ายเป็นมนุษย์
นี่จุดสูงสุดของความเสื่อมศีลธรรม มันแสดงออกมาในลักษณะอย่างนี้ คือกระทำแก่กันและกันอย่างกับว่าไม่มีฝ่ายใดเป็นมนุษย์ ข้อนี้มันรู้ยากนะที่เราจะทำแก่ฝ่ายอื่นอย่างเป็นมนุษย์ มันรู้ได้ยากในเมื่อเราก็ไม่ได้เป็นมนุษย์เสียเหมือนกัน มันมีความรู้สึกโกรธแค้นเสียแล้ว มันมืดมนไปด้วยความโกรธแล้ว มันก็เป็นเรื่องของความโกรธที่กระทำไป ไม่ใช่เรื่องของศีลธรรม เพราะฉะนั้นลองคิดกันเสียใหม่ อย่าโกรธ อย่าทำไปด้วยความโกรธ อย่าทำไปด้วยความอาฆาต ให้เห็นว่าเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกับเรา อย่างนี้ก็เรียกว่า ไม่แบ่งเป็นตัวกูตัวสู นี่มนุษย์เหมือนกันทุกคน เท่ากันทุกคน และก็ทำหน้าที่ที่จะต้องทำเพื่อให้เกิดความสงบสุข ทุกอย่างก็จะเป็นไปได้ จะซื่อสัตย์ต่อกันได้ จะรักใคร่สามัคคีกันได้ จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ เดี๋ยวนี้มันทำไม่ได้ มีแต่ปาก จะซื่อสัตย์ต่อกัน จะรักใคร่สามัคคีกัน จะช่วยเหลือกัน อะไรมันก็พูดแต่ปากและก็ไม่ได้ทำ และทำก็ไม่ได้เพราะความรู้สึกภายในอันแท้จริงมันเป็นอีกอย่างหนึ่ง มันก็ต้องถอยหลังกลับไปหาความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องว่ามันมีอะไร เป็นอย่างไร
ที่จริงคำว่า มนุษย์ คำนี้มันก็ดีมากอยู่แล้ว แปลว่า มีใจสูง หรืออีกทีหนึ่งก็แปลว่า เป็นเชื้อสายของมนู มนุษย์นี่เป็นเชื้อสายของมนู มนูนั้นถือกันว่าเป็นยอดนักปราชญ์ เป็นผู้รู้สูงสุด เป็นจอมมุนีสมัยหนึ่งในประเทศอินเดีย เป็นต้นตอของมนุษย์ คือคนในยุคที่มีสติปัญญาสูงสุด ก่อนนั้นจะไม่นับกันว่าเป็นมนุษย์ก็ได้ ทีนี้ดูกันว่า ใจสูง นั้นมันสูงอย่างไร ไป ๆ มา ๆ ก็สูงตรงที่ว่า ไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีกิเลสในรูปของความเห็นแก่ตัวหลาย ๆ รูปแบบ เช่น โลภะ เห็นแก่ตัว โทสะ โกรธทำอันตรายเขาก็เพราะเห็นแก่ตัว โมหะ หลงใหลอะไรมันก็มีความเห็นแก่ตัวที่มืดมัวอีกแบบหนึ่ง เราจะทำลายความเห็นแก่ตัวให้มีใจสูง นี่คือปัญหาของศีลธรรม อาตมาเชื่อว่าเจตนารมณ์ของกิจกรรมลูกเสือก็ต้องการอย่างนี้ เพราะอ่านดูอุดมคติของลูกเสือทั้งหมดก็เห็นแสดงลักษณะของความมีใจสูงทั้งนั้น คือความมีศีลธรรมในรูปแบบต่าง ๆ กันรวมอยู่ที่ความไม่เห็นแก่ตัว ฉะนั้นจึงเป็นเจตนารมณ์อันเดียวกับศาสนา ก็เห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องของศาสนา และอาตมาก็คิดว่ามันเป็นความโง่ที่สุดเลย ที่กิจกรรมของลูกเสือมันไม่ได้เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งในรูปแบบของศาสนา และก็เห็นว่ามันมองไม่ออก มันทำให้มีศีลธรรมโดยลักษณะเดียวกันกับที่เรื่องของศาสนาก็ต้องการ
ทีนี้กลัวอยู่แต่ว่ามันจะไม่ลึกซึ้งไกลออกไปถึงรากฐานอันแท้จริงที่จะทำให้เรามีศีลธรรมอันนี้ได้ ฉะนั้นขอให้มองดูถึงรากฐานที่ศาสนาทั้งหลายมีอยู่เพื่อความมีศีลธรรม รากฐานอันนั้นก็คือความรู้สึกที่ว่า สัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ทุกศาสนาจะถืออย่างนี้ ต่อมามันจะถูกอธิบายเป็นอย่างอื่นหรือบิดพลิ้วเป็นอย่างอื่นนั่นมันอีกเรื่องต่างหาก แต่ว่ารากฐานเดิมเขาให้ถือว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ข้อความประโยคนี้ยังติดอยู่ที่ริมฝีปากของพุทธบริษัทอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ แต่ต้องเป็นคนแก่ ๆ หน่อยเพราะลูกเด็ก ๆ มันไม่เอา คนแก่ ๆ เขายังพูดกันอยู่ ยังสวดมนต์กันอยู่ทุกวันทุกคืนในประโยคนี้ สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
คำว่า เพื่อน นั้นมีหลายความหมาย ตอนนี้เอาเพื่อนในความหมายที่ว่า เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย ฟังแล้วก็น่าหัว ไม่พูดถึงเพื่อนสุขเลย พูดถึงแต่เพื่อนทุกข์ เพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเพื่อนทุกข์ทั้งนั้น ไม่พูดถึงเพื่อนสุข คงจะเป็นเพราะว่าท่านไม่เห็นว่าความสุขนั้นมันมีปัญหา ถ้ามีความสุขไปแล้วมันก็หมดปัญหา ถ้ามีความทุกข์สิมันมีปัญหา ฉะนั้นเรามาเป็นเพื่อนกันในทางที่มันมีปัญหาที่แสนจะทนได้ คือ ทนยาก ก็เลยเป็นเพื่อนทุกข์กันดีกว่า เป็นอันว่าให้ถือว่าสัตว์ทั้งหลายคือสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์นั้นด้วยกัน เป็นเพื่อนสุขก็เป็นไปเถิดมันไม่เป็นปัญหาอะไรเราจะไม่พูดถึง หรือถ้าพูดตามหลักของพุทธศาสนาสูงสุดแล้ว เขาไม่ได้ถือว่ามีความสุขอะไรที่ไหนหรอก มันหลอก ๆ ทั้งนั้น ที่มีอยู่จริงคือความทุกข์ แม้แต่ว่าเป็นคนร่ำรวย สวยงาม มีอำนาจวาสนาอะไร ก็ยังมีความทุกข์ เป็นเทวดามันก็ยังมีความทุกข์ เป็นจอมเทวดาก็มีความทุกข์ มนุษย์ก็มีความทุกข์ สัตว์นรกก็มีความทุกข์ ที่มีอยู่จริงนั้นคือความทุกข์ จึงไม่พูดถึงความสุข เราก็เลยเป็นเพื่อนทุกข์กัน ถ้ามองอย่างนี้แล้วมันเกิดความรู้สึกขึ้นมาทางหนึ่ง คือทางที่ไม่อาจจะเห็นแก่ตัว และทางที่ไม่อาจจะทำอันตรายผู้อื่น ขอให้มองให้ถึงรากฐานของศีลธรรมก็มีอยู่อย่างนี้ ถ้าสิ่งนี้มีอยู่ศีลธรรมก็มีอยู่และมีเองโดยอัตโนมัติ
ทีนี้กิจกรรมลูกเสืออาจจะไม่มีคำพูดประโยคนี้รวมอยู่ในอุดมคติเหล่านั้นโดยตรง แต่มันก็มีอยู่โดยอ้อม คือโดยเบื้องหลัง โดยลึกซึ้ง โดยที่ไม่ได้ออกมาเป็นคำพูด เพราะว่าอุดมคติของลูกเสือต้องการจะให้เห็นแก่ผู้อื่น ต้องการจะให้ช่วยผู้อื่น ต้องการให้ซื่อสัตย์ ให้รักชาติ ให้สามัคคี ก็เหมือนกับศีลธรรมทั่วไป ฉะนั้นมันก็ต้องทำกันแก่ผู้อื่นอย่างกับว่ามันเป็นเพื่อนที่มีความทุกข์ วิธีการของศาสนาก็ไปไกลอย่างนี้ ทีนี้กิจกรรมของลูกเสือไม่พูดถึงในส่วนลึกอันนั้น ขอให้ทำไปก็แล้วกัน แล้วทำไปตามระบบที่วางไว้มันก็ไปสู่จุดหมายอันนั้นได้เหมือนกัน ฉะนั้นจึงถือว่าโดยเจตนารมณ์ในส่วนลึกแล้วมันก็เหมือนกัน คือทำลายความเห็นแก่ตัวเสีย แล้วก็อยู่ในโลกนี้อย่างกับว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กัน ถ้าคิดได้ไกลอย่างนี้ รากฐานมันแน่นแฟ้นและมันจะง่ายขึ้น ทีนี้เผื่อว่าบางคนมันคิดไม่ได้ ไม่มีความคิดจะลึกซึ้งถึงอย่างนั้นได้ จึงวางรูปแบบสำเร็จรูปไว้ให้ โดยขอให้ปฏิบัติอย่างนั้นก็แล้วกัน อย่างที่ว่ารูปแบบสำหรับลูกเสือปฏิบัติมีอยู่อย่างไร นั่นแหละลองปฏิบัติมันก็จะนำไปสู่จุดหมายอันนั้น
ทีนี้ทางศาสนาเขาก็มีรูปแบบที่วางไว้และเก่าแก่มาก คือก่อนพุทธศาสนา เรื่องศีล โดยเฉพาะก็คือ ศีล ๕ ก่อนพุทธศาสนาเกิดขึ้นมาเองในลักษณะที่ความจำเป็นมันบังคับให้เกิดขึ้น และบังคับให้ออกมาในรูปแบบอย่างนี้ที่เรียกกันว่า ศีล ๕ แต่เดี๋ยวนี้คนก็ดูถูกดูหมิ่นศีล ๕ เอาไว้เป็นเรื่องอะไรก็ยากที่จะพูด คือไม่สนใจ ไม่ให้ความสำคัญ แล้วมันก็เจื่อนกันไปหมดในการที่จะรักษาศีลกันให้จริง ๆ ก็เลยเป็นอันว่าศีลธรรมมันก็เสื่อมไป เพราะไม่ยอมรับระบบปฏิบัติทั้งหลายที่ได้วางไว้ให้ แล้วตัวเองก็ไม่อาจจะเข้าถึงความหมายอันลึกซึ้ง หรือเจตนารมณ์ส่วนลึกที่สุดที่บทบัญญัตินั้น ๆ ต้องการตามที่มนุษย์ควรจะได้
เราพิจารณากันดูกันสักนิดหนึ่งถึงเรื่องของศีล ๕ ศีล ๕ นี้แปลออกมาให้ตรงตามตัวหนังสือ แล้วก็ถือเอาความหมายให้ได้ มันก็จะได้คำพูดที่มีประโยคทางภาษาคล้าย ๆ กัน คือ
ข้อที่ ๑ เราจะไม่ประทุษร้ายชีวิตร่างกายโดยวิธีใดก็ตาม ไม่ประทุษร้ายชีวิต หรือแม้แต่ร่างกายที่เป็นที่ตั้งของชีวิตโดยวิธีใดก็ตาม ก็เป็นอันว่ามันไม่มีอะไรยกเว้น จะเป็นการฆ่า หรือเป็นการทำโดยวิธีใดอย่างใดอย่างหนึ่ง ถึงตายหรือไม่ถึงตายก็ตาม มันผิดอยู่ทั้งนั้น ไม่ประทุษร้ายชีวิตร่างกาย เป็นประโยคสั้น ๆ
ข้อที่ ๒ คือ อทินนา ก็ไม่ประทุษร้ายทรัพย์ของผู้อื่น มันก็พอกัน ประโยคสั้นนิดเดียว จะประทุษร้ายโดยวิธีใดมันรวมอยู่ในคำพูดคำนี้ ไม่ประทุษร้ายทรัพย์สมบัติของเขา จะลัก หรือจะขโมย หรือทำวิธีใด หรือทำลายเล่นสนุก ๆ ไม่รู้กี่วิธี จำแนกไม่ไหว แต่มันรวมความในวิธีนี้วิธีเดียว ประทุษร้ายทรัพย์สมบัติของผู้อื่น
ศีลข้อที่ ๓ ไม่ประทุษร้ายของรักของผู้อื่น ที่ผู้อื่นเขารัก ไปประทุษร้ายเข้ามันก็กระทบกระเทือนต่อความรักของเขา แม้แต่ลูกเด็ก ๆ มันก็มีของรัก ไม่ต้องการให้เพื่อนมาประทุษร้ายของรัก จะเป็นตุ๊กตาหรือเป็นเครื่องใช้ไม้สอยที่เขารักก็แล้วกัน ไม่ใช่มีอย่างทรัพย์สมบัติ แต่ว่ามีอย่างของรัก ทีนี้โตขึ้นมาก็เป็นเรื่องชู้เรื่องสาว เรื่องอะไรต่าง ๆ ล้วนแต่เป็นของรัก หรือเป็นลูกสาวของพ่อแม่ หรือเป็นสามีของภรรยาอะไรก็ตาม มันล้วนแต่เป็นของรักทั้งนั้นในความหมายที่เป็นของรัก คือไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ ไปประทุษร้ายของรักเข้าแล้วก็ผิดศีลข้อนี้ ฉะนั้นอย่าพูดไปอย่างเขลา ๆ เหมือนพวกครูผู้สั่งสอนบางคนว่า ศีลข้อกาเมถือได้กันแต่ผู้ใหญ่ที่มีเรื่องชู้ เรื่องเพศ เรื่องชู้สาวเท่านั้น เด็ก ๆ ก็เลยไม่ต้องถือ นี่มันเป็นการทำผิดเกี่ยวกับการสอนศีลข้อนี้ ซึ่งมันมีความมุ่งหมายจะไม่ให้ประทุษร้ายของรักของผู้อื่นโดยประการใด โดยวิธีใด
ทีนี้ข้อมุสา ไม่ประทุษร้ายความเป็นธรรมในโลก โดยเฉพาะการใช้วาจานี้เป็นเครื่องประทุษร้าย ด้วยการพูดชนิดที่เป็นการประทุษร้ายความเป็นธรรม หรือความยุติธรรม หรือความถูกต้องอะไรก็ตามของผู้อื่น
ทีนี้ข้อ ๕ สุดท้ายนี้ก็ไม่ประทุษร้ายสติปัญญา หรือสมประฤดีของตัวเอง เสพของเมาเข้าไปชนิดไหนก็ตาม ก็คือประทุษร้ายสมประฤดีของตัวเอง ประทุษร้ายสติปัญญาให้สูญเสียไปในขณะนั้น ของเมาทางวัตถุ เช่น อะไรที่ดื่มเข้าไป ที่สูดเข้าไป ที่ทา ที่ฉีด อะไรก็ตาม กระทั่งของที่เป็นนามธรรม คือ รสอร่อยของบางสิ่ง ก็เรียกว่าเป็นของเมาทั้งนั้น เมาหนัง เมาละคร เมาการเล่นการพนัน อะไรก็ตามที่เรียกว่าเมา ๆ แล้วเขาเอามาใส่ไว้ในชุดนี้ทั้งนั้น เพราะถ้าเมาแล้วไปประทุษร้ายความรู้สึกสมประฤดีหรือสติปัญญาของคนเราทั้งนั้น อย่ามุ่งแต่ว่ากินเหล้าอย่างเดียว มันอะไรก็ได้ ถ้ามันประทุษร้ายความเป็นปกติแห่งจิตใจ ประทุษร้ายสติปัญญาแล้วก็เรียกว่าผิดศีลข้อนี้ทั้งนั้น นี่ไปดูหนังดูละครมันก็เหมือนไปดื่มของเมาชนิดหนึ่ง ประทุษร้ายต่อสติปัญญา สติสมประฤดีก็ต้องรวมอยู่ในศีลข้อนี้ทั้งนั้น ไปมองเองก็เห็นได้ว่าสิ่งใดมันทำให้จิตสูญเสียความปกติภาวะก็เรียกว่าของเมา อย่าไปเสพเขาเข้า
นี่คือศีล ๕ ข้อ เมื่อกล่าวโดยเจตนาอันแท้จริงแล้วมันออกมาในรูปอย่างนี้ มีมาก่อนพุทธกาล กระทั่งพุทธกาลพระพุทธเจ้าท่านก็ทรงรับเข้าไว้ในระบบเดียวกับคำสอนในศาสนาของท่าน ในศาสนาอื่นก็มี แต่จะพูดไว้ในคำพูดที่ต่างกัน แต่ความหมายเหมือนกันแท้ ฉะนั้นถ้าคนเรามีศีลเพียง ๕ ประการนี้กันทั้งหมดมันก็พอสำหรับจะมีศีลธรรมอยู่กันด้วยความเป็นผาสุก ช่วยกันไปอบรมเยาวชนคือลูกเสือเด็ก ๆ ที่อยู่ในบังคับบัญชา ให้เขารู้จักสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม และรู้เจตนารมณ์ของศีลธรรม รากฐานของศีลธรรม หรือระบบปฏิบัติสำเร็จรูปที่เขาวางไว้ให้ในลักษณะอย่างนี้ คือ ศีล ๕ ควรจะให้เห็นเป็นความสำคัญกว่าสิ่งใดหมด คือว่าเป็นสิ่งที่จะทำให้อยู่กันโดยเป็นปกติ มีความผาสุกทั้งส่วนตัวและส่วนรวม อาตมาเชื่อว่าถ้าลูกเสือมีศีล ๕ ครบบริบูรณ์อย่างนี้แล้วก็เป็นลูกเสือที่ดีเลิศได้ เพราะมันจะทำอะไรให้ผิดไปจากอุดมคติของลูกเสือที่วางไว้ไม่ได้ ถ้ามีครบ ๕ อย่างในความหมายอย่างนี้ เรื่องซื่อตรง เรื่องจงรักภักดี เรื่องกตัญญูกตเวที เรื่องช่วยเหลือผู้อื่น เรื่องความมีสติปัญญา ความไหวพริบรอบคอบนี้ มันอยู่ที่เหตุเหล่านี้ทั้งนั้น
เป็นอันว่ากิจกรรมลูกเสือก็คือกิจกรรมศีลธรรม ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่กิจกรรมศีลธรรม เพราะว่ากิจกรรมทั้งหลายของมนุษย์มุ่งความสงบสุขของมนุษย์ เลยเป็นกิจกรรมศีลธรรมหมดเพราะเรายังพูดกันได้ พูดกันในวัดก็ได้ ทำในวัดก็ได้ ประสานงานกับวัดก็ได้ ทั้งที่เรียกว่ากิจกรรมของลูกเสือ ถ้ามีอะไรปนเข้ามานั้นก็ไม่ใช่ของเดิม ไม่ใช่ความมุ่งหมายที่แท้จริง ถ้ากินเหล้าจะถือว่าผิดหรือถูกตามอุดมคติของลูกเสือ ถือว่าผิดหรือถูกหรือไม่มีข้อไหนห้ามไว้ไม่ให้ลูกเสือกินเหล้า ก็ลองคิดดู คิดดูโดยนัยที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ๕ ประการนี้แต่ดึกดำบรรพ์มานั้น มันจะเป็นรากฐานของศีลธรรมทุกแขนง จึงสามารถเป็นรากฐานของกิจกรรมลูกเสือได้ด้วย เดี๋ยวนี้เขาไม่สนใจกัน การศึกษาของมนุษย์ในโลกหลับตาที่สุด เพื่อให้เรียนแต่หนังสือให้ฉลาดแต่ในทางวิชาหนังสือ และไม่สามารถบังคับจิตใจและทำผิด ๆ ในเรื่องนี้ เหลือวิสัยที่กิจกรรมลูกเสือจะช่วยคุ้มครองได้นะ เพราะการศึกษามันผิด การศึกษามันต้องให้ฉลาดไปตะพึดไม่คำนึงถึงศีลธรรม ยิ่งฉลาดก็ยิ่งเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวอย่างฉลาด มันก็ทำสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างฉลาดก็เลยแก้กันไม่ตก ตอนนี้ในโลกมันเต็มไปแต่คนฉลาดที่เห็นแก่ตัว ก็ทำไปตามความเห็นแก่ตัวอย่างฉลาด เลยแก้กันไม่ตกทั้งโลก เป็นปัญหาคารังคาซังกัน ไม่มีความสงบสุขได้ และดูจะรุนแรงยิ่งขึ้นทุกที ไม่มีที่ไหนที่ไม่มีอาชญากรรมเสียแล้ว มันสูงขึ้น อาชญากรรมนี้สูงขึ้นเพราะความไม่มีศีลธรรม
เอาละ ขอให้ไปช่วยกันทุกอย่างทุกทางที่ศีลธรรมจะกลับมา อย่าเห็นแก่ตัว อย่าตามใจตัว ให้เห็นให้เพ่งเล็งถึงความปกติ แม้ตามธรรมชาติก็ใช้ได้ เป็นความปกติพื้นฐาน นี่ในป่าตามธรรมชาติอันสงบสงัดอย่างนี้มีบรรยากาศอย่างไร ในท่ามกลางเมืองหลวง เอากรุงเทพฯ เลย หรือเมืองที่มันบ้ามากกว่ากรุงเทพ เมืองนอกเมืองนากลางเมืองนั้นมันมีบรรยากาศอย่างไร นี่จะพบความแตกต่างระหว่างความสงบกับความไม่สงบ ความมีศีลธรรมตามธรรมชาติกับความไม่มีศีลธรรมเลยนี่ รายงานของตำรวจที่ออกทางวิทยุเมื่อ ๒ - ๓ วันมานี้ว่า ทั่วประเทศไทยมีอาชญากรรมชั้นที่ฆ่ากันตายนั้นวันละ ๓๐ ราย ๒๔ ชั่วโมง ๓๐ ราย ชั่วโมงละเกินกว่า ๑ ราย ในกรุงเทพเองมีวันละ ๒ ราย คือ ๑๒ ชั่วโมงต่อราย อาชญากรรมที่ฆ่ากันตาย ส่วนอาชญากรรมที่ไม่ได้ฆ่าถึงตายนั้นนับไม่ไหว นี่มันมากขึ้น เมื่อเทียบส่วนแล้วมันมากเกินกว่าการเพิ่มของพลเมือง นี่ความไม่มีศีลธรรมแสดงออกมาอย่างนี้ ขอให้นึกถึงข้อนี้ ขอให้กิจกรรมลูกเสือมีส่วนร่วมมือกันแก้ไขในข้อนี้ อันเป็นเจตนารมณ์ของศาสนาทั้งหลายด้วย
อาตมายินดีที่ได้พบกับท่านทั้งหลาย พวกอาสาสมัคร หรือว่าจะเป็นหน้าที่โดยตรงก็ตาม ดำเนินกิจกรรมของลูกเสือ และขออวยพรให้ท่านทั้งหลายทุกคนจงอย่ามีสิ่งใดมาเป็นอุปสรรคขัดขวางในการปฏิบัติหน้าที่การงานของตน และมีความเจริญงอกงามในหน้าที่การงานนั้น ประสพผลตามความมุ่งหมายอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
อาตมาพูดเลยเวลาไป เสร็จแล้วเชิญไปดูอะไรที่มีในสวนโมกข์ ดูโรงหนัง นั่งตรงนี้นั่งที่ของพระพุทธเจ้า คือกลางดิน กลางดินเป็นที่ของพระพุทธเจ้า ท่านประสูติกลางดิน ท่านตรัสรู้กลางดิน ท่านนิพพานกลางดิน ท่านสอนกลางดิน กุฏิของท่านก็พื้นดิน นั่งตรงนี้ได้ชื่อว่านั่งในอาสนะของพระพุทธเจ้า ข้อนี้ถ้าช่วยรวบรวมไปให้เณร แล้วเณรให้หนังสือก็จะดี ช่วยไปรวบรวมไปให้เณร แล้วเณรจะให้หนังสือ ให้นายชิตไปจัดการ แล้วพอจะกลับก็เอาหนังสือไป
ในนี้มีรูปภาพสอนธรรมะ สอนธรรมะด้วยรูปภาพ เอ้า, ให้เณร เอานี่ไปให้ บอกว่าเท่าไหร่แล้วเณรก็จะให้ (นาทีที่ 40.00 - 40.10 ภาษาใต้) แล้วที่ตรงโน้นมีรูปปั้น สอนธรรมะด้วยรูปปั้น นอกนั้นก็สอนธรรมะด้วยธรรมชาติ ตามธรรมชาติ เอาให้เณรแล้วเณรก็จะเอาหนังสือให้ (นาทีที่ 40.24 - 40.33 ภาษาใต้) มีรูปภาพสอนธรรมะของทุกประเทศ อาตมาพยายามรวบรวมจากทุกประเทศที่ใช้สอนธรรมะได้และน่าดู แต่ของไทยเรานั้นได้มากกว่าเพื่อนก็เป็นคนไทยนี่ และก็สอนคนไม่รู้หนังสือให้รู้ธรรมะก็ได้ รูปภาพนั้นมันดีอย่างนั้น คนไม่รู้หนังสือก็เรียนธรรมะได้ ท่านสินล่ะ ไปพาไปดูรูปภาพสอนธรรมะซะ
รอบ ๆ ตึกนี้เป็นหินจำลองของหินสลักในประเทศอินเดีย เป็นพุทธประวัติยุคแรกในโลก หินที่จารึกเรื่องพุทธประวัติชุดนี้คือชุดแรกในโลกที่ทำขึ้นในประเทศอินเดีย พ.ศ.ประมาณ ๔๐๐ ๕๐๐ หรือ ๖๐๐ เป็นอย่างมาก หลังจากนั้นมีพระพุทธรูป นี่ยุคก่อนมีพระพุทธรูป ก่อนพ.ศ. ๖๐๐ ตรงไหนถ้าจะมีพระพุทธเจ้าเขาก็จะทิ้งว่างไว้ จะไม่มีพระพุทธรูป นี่จำลองมาโดยตรงจากประเทศอินเดียตั้งหลายแห่ง อยากจะคุยสักหน่อยว่า หมดทุกแห่งที่อาจจะหาได้ในประเทศอินเดีย ไปอินเดียก็ไม่ได้เห็นหรอกเพราะว่ามันอยู่กระจัดกระจายในที่ต่าง ๆ ต้องไปถึงต้นตอ คือไม่เห็นหมด เห็นแต่บางส่วนในที่เก็บไว้ในบางแห่งในพิพิธภัณฑ์บางแห่ง นี่พวกเราติดตามไปหมดทั่วประเทศอินเดีย ถ่ายรูปหมด กระทั่งที่ไปอยู่ประเทศอังกฤษตั้งหลายสิบปีมาแล้ว ก็ไปขอรูปถ่ายมาทำไว้ที่นี่ นั่นแหละคือของ ๒,๐๐๐ กว่าปี ๒,๑๐๐ ปีมาแล้วทำกันอย่างนี้ แสดงพระพุทธเจ้าด้วยความว่าง ทิ้งที่ว่าง ถ้าขืนไปทำรูปอะไรเข้าเขาว่ามันผิดทันที ทำให้เกิดความเข้าใจผิดทันที นี่ก็อย่างหนึ่ง รูปปั้นและก็รูปเขียน
และต้นมะพร้าวอยู่กลางสระใหญ่นั้น ก็เป็นรูปภาพที่ทำขึ้นสอนธรรมะชั้นลึก คือ นิพพานกลางวัฏฏะสงสาร จะหานิพพานต้องหาที่กลางความทุกข์ ท่ามกลางความทุกข์ เพื่อสิ้นสุดแห่งความทุกข์ มันต้องมีที่ความทุกข์ ความทุกข์นั้นต้องสิ้นไปจึงจะพบสิ่งที่เรียกว่า นิพพาน ถ้าไปหาที่อื่นที่นอกจากความทุกข์มันก็ไม่พบ มันก็ไม่จริง ความทุกข์อยู่ที่ตรงไหน ความไม่มีทุกข์จะต้องอยู่ที่ตรงนั้น คือตรงที่ความทุกข์นั้นมันหายลงไปทันที เลยทำต้นมะพร้าวเป็นนิพพาน น้ำนั่นเป็นวัฏฏะสงสาร คือ ความทุกข์ เป็นบทกล่อมลูกให้นอนของเมืองนี้ของถิ่นนี้มาแต่โบราณกาล มะพร้าวนาฬิเกร์ ต้นเดียวโนเน กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง กล่อมลูกกันมาเป็นพันปี ไม่รู้แปลว่าอะไร คนก่อนสมัยก่อนเขารู้ คนเดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่านั่นมันมีความหมายอย่างไร เอาสิ เชิญ หัวหน้าลุกได้ นำไปดูที่ควรจะดู