แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในวันนี้เราจะพูดกัน ตามเวลาที่มีไม่มากนักเกี่ยวกับเรื่องของลูกเสือ ก็จะพูดในส่วนที่มันเข้าใจว่าไม่ได้พูดกันที่อื่น สำหรับระเบียบอะไรต่าง ๆ นั้นเข้าใจว่าพูดกันมาอย่างเพียงพอแล้ว ก็จะพูดในแง่ที่ยังไม่เคยพูดกันก็ได้ คือเรื่องที่เกี่ยวกับความหมายลึกซึ้งไปกว่าที่เคยพูดกันนั่นเอง
การเป็นลูกเสือ ถ้ามองกันในส่วนลึกก็คล้ายกับว่าเป็นเณร การเป็นสามเณรนั่นก็คือการเตรียมสำหรับเป็นพระ นี่ลูกเสือก็ควรจะรู้จักสามเณรในลักษณะนั้น เพราะการเป็นเณรนั่นคือการเตรียมอยู่ตลอดเวลาเพื่อการบวชเป็นพระ แล้วก็เป็นพระที่ดี ทีนี้การเป็นลูกเสือนี้ก็ควรจะถือว่าเป็นการเตรียมไปเรื่อย ๆ เพื่อจะเป็นพลเมืองที่ดีหรือเป็นสุภาพบุรุษ เดี๋ยวนี้คำว่า สุภาพบุรุษ ไม่ค่อยมีใครสนใจหรือก็ไม่ค่อยรู้ความหมาย ที่จริงคนเราถ้าเป็นแค่สุภาพบุรุษเท่านั้นแหละก็พอแล้ว ไม่ต้องเป็นอะไรมากไปกว่านั้น ก็จะไม่มีอะไรที่เป็นการทำผิด นี้เป็นข้อแรก แล้วก็มีการทำแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์ มันยิ่งไปกว่าธรรมดาเพราะว่ามีการเตรียมที่ดี เราจะไม่พูดกันถึงว่ามีการเตรียมเพื่อเป็นทหารหรือว่าเป็นเรื่องทำนองนั้น ซึ่งก็มีความมุ่งหมายอยู่บ้างเหมือนกันแต่ไม่ใช่ความมุ่งหมายแท้จริง ความมุ่งหมายที่แท้จริงเราต้องการจะเป็นมนุษย์ที่มีสติปัญญา มีความสามารถสูงสุดของความเป็นมนุษย์ รู้จักแก้ปัญหาทุกอย่างได้ และมันก็ประหลาดตรงที่คำว่าลูกเสือ มันใช้คำว่าลูกเสือ คล้าย ๆ กับว่าต้องเป็นเสือ และถ้าใช้ความหมายคำว่าเสือผิดแล้วมันก็ยิ่งเป็นอันธพาลไปเลย
ในความเป็นลูกเสือนี่ก็ระวังให้ดี ถ้าพูดถึงเสือในที่นี้ เขาก็หมายถึงเสือที่ดี ที่กำจัดแต่สิ่งที่ไม่ดี ในทางศาสนานี่ก็มีคำเปรียบพระเหมือนกับเสือในที่หลายแห่ง อย่างในคัมภีร์มิลินทปัญหา ก็เปรียบพระเหมือนกับเสือ คอยซุ่มจับเหยื่อฆ่าเสียให้หมด เหยื่อนั้นคือกิเลส กิเลสนี่รู้จักได้ยาก หาพบตัวได้ยาก มันจึงต้องมีวิธีที่ดีจึงจะจับกิเลสมาฆ่าได้ ภิกษุทำหน้าที่จะจับกิเลสฆ่าอยู่เป็นประจำ อันนี้ก็จึงเปรียบว่าเหมือนกับเสือ ที่คอยซุ่มอยู่ในที่เหมาะสม ในเวลาที่เหมาะสม อะไรที่เหมาะสมก็จับเหยื่อได้ พระเป็นเสือ เณรก็เป็นลูกเสือได้โดยเปรียบเทียบ ทีนี้มาเป็นฆราวาส พลเมืองที่ดี สุภาพบุรุษที่ดี ก็เป็นที่ต้องการ และเราเด็ก ๆ นี่ก็เป็นลูกเสือ ถ้าเข้าใจคำว่าลูกเสืออย่างนี้ มันก็มีประโยชน์ คือเตรียมสำหรับเป็นสุภาพบุรุษ เป็นมนุษย์ที่ดี และควรจะพูดว่าดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะดีได้ ขอให้ตั้งเป้าหมายไว้อย่างนี้ก่อน ถึงแม้ว่ายังไม่มองเห็นชัดเจนว่านั่นเป็นอย่างไร เมื่อถามถึงว่าดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะดีได้อย่างนี้ก็จะพูดหรือจะตอบต่าง ๆ กัน รู้แค่ไหนก็จะตอบแค่นั้น มันยังไม่อาจจะพูดกันให้ถึงที่สุดได้ แต่ให้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าเราเกิดมาทีหนึ่งก็ต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ แต่ที่เขามุ่งหมายกันโดยมากก็คือเป็นพลเมืองที่ดีมีประโยชน์แก่ประเทศชาติ ทำประเทศชาติให้เข้มแข็ง และก็ให้เจริญ ให้อยู่กันเป็นผาสุกอย่างยิ่ง ให้เหมือนกับว่า ไม่กี่คนนี้ก็มีค่าเท่า มีราคา มีค่าแล้วก็คนมากมายหลายหมื่นหลายแสน คนดีมีเพียงคนเดียวก็มีค่ามากกว่าคนธรรมดาตั้งหลายคนหลายสิบคน นี่เราจะเป็นลูกเสือกันก็เพื่อการตระเตรียมอย่างนี้ ไม่ว่าจะฆ่าข้าศึก คือ กิเลสหรือความชั่วได้อย่างเดียวกันกับภิกษุที่เปรียบเหมือนเสือและก็ฆ่ากิเลส ถ้าถือหลักการอย่างนี้ก็เป็นอันว่าทุกคนลูกเสือทุกคนหรือว่าเด็ก ๆ ทุกคนจะต้องเตรียมตัวคอยจ้องดูว่าอะไรเป็นความชั่ว และพยายามที่จะฆ่ามันเสียให้หมด นี่ถ้าไม่พูดก็อาจจะไม่นึก ถ้าพูดก็คงจะนึกได้ว่าอะไรเป็นความชั่วควรจะฆ่าเสียให้หมด
ความชั่วทั้งหมดนี่ที่มันรุนแรงก็มาจากความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวข้างเดียวมันก็ทำผิด ด้วยการเอาเปรียบผู้อื่น แล้วเกิดกิเลสอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมามากมายเพราะความเห็นแก่ตัว และส่วนลึกไปกว่านั้นก็เพราะว่าเป็นความโง่ เป็นความไม่รู้จึงได้เห็นแก่ตัว ซึ่งเราก็พยายามให้รู้ตามที่เป็นจริงว่า เราควรจะทำอย่างไร ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมดใครไม่เคยดื้อครู ใครยืนยันว่าไม่เคยดื้อครู ยกมือดูที ใครยืนยันได้ว่าตัวเองไม่เคยดื้อ ระเบียบข้อบังคับบัญชาไม่เคยดื้อครู คนไหนยืนยันได้อย่างนี้ก็ยกมือขึ้นให้สูง ๆ ที ไม่เคยดื้อครู อยากจะเห็นคนที่ไม่เคยดื้อครู อ้าว, ทำไมไม่มีสักคนเดียวล่ะ ไม่ต้องอาย ไม่ต้องกลัว ถ้าไม่เคยดื้อครูก็ยืนยันมาดูที ยกมือให้สูงขึ้นมาที ใครไม่เคยดื้อครู เอ้า, ใครไม่เคยทะเลาะวิวาท ชกต่อยกับเพื่อน ใครไม่เคยทะเลาะวิวาทชกต่อยกับเพื่อน ลองยกมือให้สูงอีกที ใครไม่เคยหนีโรงเรียน ใครไม่เคยหลอกพ่อแม่ เกี่ยวกับการใช้เงิน เกี่ยวกับสิ่งของ เกี่ยวกับการเล่าเรียน นั่นแหละ ไม่เห็นมีคนหนึ่งยกขึ้น ไม่มีใครยกขึ้นมา เห็นไหม ไม่กล้ายืนยัน เอาล่ะ เป็นอันว่าให้รู้ไว้ก็แล้วกันว่า เรามันก็ต้องมีเรื่องดื้อดึง เรื่องอะไรต่าง ๆ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี แล้วทำไมเราถึงไม่ฆ่ามันเสียในการเลิกละเสีย ถ้าจะเป็นลูกเสือที่ดีก็ต้องฆ่าไอ้สิ่งที่ควรจะฆ่าตามธรรมเนียมของเสือ ก็ต้องมุ่งหมายอย่างนี้ นี่เราก็เป็นอันว่า จะฆ่าความชั่ว จะสงวนไว้ซึ่งความดี แล้วทำให้มันมากขึ้น ๆ
สำหรับความดีในชั้นนี้ ชั้นยุวชนอย่างนี้ก็ไม่ต้องเอาอะไรมาก เพียงแต่ว่าจำไว้สัก ๕ อย่าง ว่าเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ว่าเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ว่าเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ และเป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า ฉันได้ใคร่ครวญมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้วไม่พบว่าอะไรมันจะดีไปกว่า ๕ อย่างนี้สำหรับเยาวชน เด็ก ๆ ทั้งหลาย ฉันจึงยืนยัน พูดอย่างนี้อยู่เรื่อย ไปพูดกับใครที่ไหนก็พูดใน ๕ ข้อนี้ มันยิ่งเห็นว่าถูกต้องยิ่งขึ้นทุกที
เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาที่ไม่เคยทำให้บิดามารดาร้อนใจ ใครไม่เคยทำให้บิดามารดาร้อนใจ กล้ายกมือไหม ใครไม่เคยทำให้บิดามารดาโมโหโทโส หรือว่าบิดามารดาร้อนใจขนาดจะไปฆ่าตัวเองตาย เพราะลูกมันเลวนี่ นี่ก็เรียกว่าอย่างสูงสุดแล้ว ใครที่ทำให้บิดามารดาร้อนใจเป็นไฟอยู่บ่อย ๆ นี่ก็เรียกว่าร้อนใจเหมือนกัน ทำให้บิดามารดาร้อนใจ ทำให้บิดามารดาตกนรกนั่นเอง อย่างนี้เรียกว่าความชั่วอันหนึ่งที่จะต้องสั่งฆ่าให้ตาย ต่อไปนี้ก็อย่าได้มีการทำให้บิดามารดาร้อนใจ ถ้าพูดตามภาษาธรรมมะแล้ว ผู้ที่ทำบิดามารดาให้ร้อนใจ เขาเรียกว่าบุตรที่จับบิดามารดาใส่ลงไปในนรก นี่เธอเป็นบุตรแล้วเธอจะจับบิดามารดาใส่ไปในนรกได้ลงคออย่างไร ถ้ากลับไป ก็ขอให้สังเกตดูหน้าตาอารมณ์ของบิดามารดา เมื่อร้อนใจเพราะว่าเราเหลวไหล ท่านร้อนเท่าไหร่ ท่านร้อนกี่มากน้อย นั่นแหละคือนรกในใจของบิดามารดาเพราะว่าเราเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น ก็เรียกว่าจับบิดามารดาใส่ในนรก อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา กล่าวโดยย่อ ๆ ก็เป็นอย่างนี้
ทีนี้เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เพราะว่าเรายังไม่สามารถจะรู้อะไรได้เอง จึงต้องมีการฝึกฝนอบรมมากไม่ใช่เพียงครั้งสองครั้ง ก็ต้องทำกันระยะยาวมีครูบาอาจารย์ฝึกฝน ถ้าเราไม่เชื่อฟังมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร จึงต้องทำตัวเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์แล้วก็เชื่อฟัง นั่นแหละคือเครื่องหมายว่าเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ถ้าเคยดื้อดึงต่อครูบาอาจารย์ ดื้อดึงต่อระเบียบของโรงเรียน เหล่านี้มันก็ไม่เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ได้ ทีนี้ก็ดูกันทีว่าการที่เราดื้อดึงต่อระเบียบนั่นนะมันโง่หรือมันฉลาดกันกี่มากน้อย คิดดูให้ดีว่าเดี่ยวนี้เราแทนที่เราจะฆ่าความชั่ว เรามันกลับทำชนิดที่ว่าเชือดคอตัวเอง ลูกเสือคนไหน นักเรียนคนไหนที่ดื้อดึงต่อระเบียบนั้นเขาไม่รู้ คือเขาโง่ไป ไม่รู้ว่านั่นมันเป็นการเชือดคอตัวเอง อย่างน้อยให้ตายจากความดี ความถูกต้องก่อน แล้วเขาก็จะเป็นอันธพาลมากขึ้น ไม่เท่าไหร่ก็ต้องถูกฆ่าตาย คนที่เป็นอันธพาลจึงเรียกว่ามันเชือดคอตัวเอง ผู้ที่ดื้อต่อระเบียบที่ดี มันเป็นผู้ที่เชือดคอตัวเอง ดังนั้น การดื้อครู ดื้อระเบียบของโรงเรียน ดื้ออะไรต่าง ๆ นั้น เขาไม่รู้ว่ามันเป็นการเชือดคอตัวเอง ขอท้าไว้เดี๋ยวนี้ ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่หยุดเชือดคอตัวเองกันเสียบ้าง ถ้าไม่หยุดมันก็ต้องแน่นอน จะตายจากความดี และเสียชีวิตได้ในที่สุด เพราะความเป็นอันธพาลมากขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว อย่าคิดว่าเราจะชนะครูได้ ให้รู้ไว้ว่าเราจะพยายามเอาชนะครูนั่นคือเรามันเชือดคอตัวเองหนักขึ้นไปอีก เพราะมันมีความคิดผิดเห็นผิดที่จะดื้อดึง โตขึ้นมันก็จะเป็นอันธพาล และก็ยังต่อสู้กับอะไร ลองคิดดู คนอันธพาลพอไปทำอะไรใครเข้าโดยไม่คิดว่าเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อย่างนี้เขาก็โกรธ คนที่จับเขาไปส่งตำรวจ เขาก็คิดฆ่าผู้เป็นโจทก์ เขาไม่รู้ว่าเขาทำผิดต่ออะไรบ้าง เขาคิดว่าเขาอาจจะสู้ได้โดยที่เขาสู้ไม่ได้ เขาจะสู้กับคนทั้งเมือง สู้ไม่ได้ อย่า ๆ คิดว่าเราจะไปสู้กับกฎหมาย หรือว่าจะสู้กับความยุติธรรมของโลก คนพาลคนโง่คนเดียวจะไปสู้กับความยุติธรรมทั้งโลก หรือความต้องการของคนทั้งโลกมันสู้ไม่ได้ เราก็ต้องการกันอย่างนี้ทั้งนั้น เขาจึงบัญญัติศีลธรรม บัญญัติกฎหมายไว้ แล้วก็เรียกว่าพระธรรม เรียกว่าพระเจ้า ที่เราจะดื้อดึงไปทำความชั่วนี้มันก็คล้ายกับ มันก็เท่ากับสู้กับพระเจ้า สู้กับพระธรรม สู้กับคนทั้งโลก สู้กับความต้องการของคนทั้งโลก มันคือโง่เกินไป มันทำไม่ได้ และถ้าขืนไปทำเข้ามันต้องวินาศเอง การดื้อดึงเช่นนี้มันจึงเป็นการเชือดคอตัวเองอย่างนี้ และถ้าเราเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ของโรงเรียน ของอะไรเหล่านี้แล้วมันก็ไม่มีอาการอย่างนี้ ก็มีแต่ความเจริญ การเรียนก็ดี ถ้าไม่เชื่อฟังครูบาอาจารย์ มันก็ไปทำสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่การเล่าเรียน ขี้เกียจเรียน เหลวไหลในการเรียน บังคับตัวเองให้เรียนไม่ได้ ถึงเวลาก็เหลวไหลเสีย มันก็ยังทำสิ่งที่ไม่ควรทำ เช่น สูบบุหรี่ อย่างนี้นี่เป็นการทำลายสติปัญญาโดยไม่รู้สึกตัว เอาไปสังเกตดูต่อไปว่า การสูบบุหรี่มันทำลายสติปัญญา ทำลายระบบประสาท ทำลายอะไรของเราอย่างไร แต่เราก็ยังอุตส่าห์เสียเงินไปหามาสูบจนได้เพื่อทำลายตัวเอง ขอให้ไปนึกดูให้ดีว่าอะไรบ้างที่เรากำลังทำอยู่ ที่ทำแล้วมันทำลายตัวเราเอง ต้องเลิก จะได้ชื่อว่าเป็นผู้เชื่อฟังครูบาอาจารย์ที่ดี อย่างนี้ก็ใช้เงินเปลืองก็มี เป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เล็กก็มี นี่เป็นเรื่องเชือดคอตัวเองมากขึ้นอีก ใครจะเป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เล็กก็ไม่มีวันที่จะเรียนได้ดี เรียนล้มเหลวหมดเลย เรียนไม่ได้เลย มันยังไม่ถึงเวลา และมันไปคร่าฉุดแขนกัน ดังนั้น เราต้องมีความดีข้อที่ ๒ คือ เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์
ข้อที่ ๓ เราต้องเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เท่าที่นั่งกันอยู่ที่นี่พอแล้วถ้าทุกคนเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนนี่ สามารถจะทำโรงเรียนให้เจริญ ทำบ้านให้เจริญได้ แต่ถ้าเรายังอิจฉา ริษยากัน ยังวิวาทกัน ยังชกต่อยกัน ยังแกล้งกันอยู่ ก็ไม่เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน ก็ทำความเสียหายทั้งกันและกันทั้งสองฝ่าย ตามทางธรรมะทางศาสนาเขาให้คิดว่าเราทุกคนนี้มันเป็นเพื่อนกันทั้งนั้น อย่างน้อยเราก็มีเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน มีปัญหาอย่างเดียวกัน มีความทุกข์ความสุขโดยลักษณะอย่างเดียวกันเหมือนกัน เราต้องเป็นเพื่อนกัน ช่วยกันแก้ปัญหาเหล่านี้ ใครไม่เคยทะเลาะวิวาท ไม่เคยชกต่อยกะเพื่อนเลย มีไหมที่นั่งอยู่ที่นี่ ใครไม่เคยทะเลาะวิวาทชกต่อยกับเพื่อนเลย ใครเป็นอย่างนั้นบ้าง กล้ายกมือขึ้นมาไหม ไหนใครลองยกมือว่าไม่เคยทะเลาะวิวาทชกต่อยเพื่อนฝูง ก็แปลว่าไม่มี จะเข้าใจผิดหรืออะไรก็สุดแท้ ในที่นี้ต้องถือว่าไม่มี ก็ยอมรับว่าไม่มี ก็จะถูกเหมือนกันเพราะว่าเรายังไม่รู้ ที่แล้วก็แล้วไป ที่แล้วก็เลิกกันไป ต่อนี้ไปก็ต้องรู้จักทำให้มันถูก คือไม่ต้องมีการชกต่อยวิวาท พูดกันด้วยสติปัญญา ด้วยความรู้ ด้วยความรักใคร่ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็จึงจะเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนได้ ช่วยกันทุกอย่างที่จะช่วยกันได้ และการช่วยกันนั่นแหละมันมีอานิสงส์มาก ลึกซึ้งมาก ก็ทำให้สิ่งที่ทำยากให้ทำได้สำเร็จโดยง่าย
เกี่ยวกับเรื่องนี้อยากจะพูดให้เห็นตัวอย่างสักเรื่องหนึ่งว่า เรามีผลไม้ลูกหนึ่ง ถ้าเรากินเองมันก็คงจะอร่อยบ้าง แต่แล้วมันก็ไปถ่ายอุจจาระหมด ถ้าเราคิดว่าเราจะไม่กินเอง เราให้เพื่อนกิน มันมีอะไรเหลืออยู่มากกว่า คือความรักของเพื่อน ความขอบใจของเพื่อน จะเหลืออยู่เป็นเดือนเป็นปี ด้วยความที่เรารู้สึกว่าเราได้ทำความดีที่มนุษย์ควรจะทำ จะรู้สึกเหลืออยู่ในใจเราเป็นแรมเดือนแรมปี ถ้าเรากินเองก็คงจะบำรุงร่างกายนิดหน่อยแล้วมันก็ถ่ายเป็นอุจจาระออกไป ถ้าเราไม่กินเองเราให้เพื่อนเราก็ไม่ถึงกับตาย ไม่เสียหายหรือไม่อะไรนัก แต่ไปได้อย่างอื่นมาก จะมีแต่ความรักใคร่เป็นเพื่อนกันไปหลายเดือนหลายปี เพื่อนจะขอบใจตั้งหลายเดือนหลายปี และเราก็พอใจตัวเองได้หลายเดือนหลายปี อย่างนี้เขาเรียกว่ามันไม่รู้จักหมดจักสิ้น ไม่เหมือนกับที่กินเอง ทีนี้คนมันเห็นแก่ตัวมันไม่ยอมทำ แม้ในสิ่งที่ว่าไม่จำเป็น เช่น เราได้ดอกไม้สวย ๆ มาดอกหนึ่งเราจะทำอย่างไร คนเห็นแก่ตัวมันก็เอาไว้ดมเองทัดหูเองอะไรเองไปเรื่อย ๆ รุ่งขึ้นมันก็เหี่ยวแห้งหมดไป แต่ถ้าเราให้เพื่อน นี่คิดดูให้ดี เราให้เพื่อน การให้นี้มันจะฝังอยู่ในใจเป็นเดือนเป็นปี เพื่อนยังจะขอบใจ เราก็ยังนึกว่าเราเสียสละ เป็นผู้เสียสละ พอใจ นับถือตัวเองอยู่ได้เป็นแรมเดือนแรมปี ดังนั้นเขาจึงสอนให้มีการทำอย่างนี้ คือการเสียสละ ถ้าเราไว้ดมเองพรุ่งนี้ก็ต้องทิ้งเพราะมันเหี่ยวแล้ว โรยแล้ว แต่ถ้าเราให้เพื่อนมันไปบานอยู่ในจิตใจของเพื่อน ไม่รู้จักเหี่ยวจักแห้ง หรือว่ามันบานอยู่ในจิตใจของเรา มันไม่เหี่ยวไม่โรยไอ้ดอกไม้ดอกนั้น ดังนั้น คนฉลาดก็จึงรู้จักทำให้มันเป็นประโยชน์มีค่ามากที่สุด ได้ดอกไม้มาดอกหนึ่ง รู้จักทำให้มีค่ามีประโยชน์มากที่สุด ทีนี้มันต่างกับว่าผลไม้ผลหนึ่ง ถ้าเรากินผลไม้เข้าไปยังรู้สึกอร่อยบ้าง ก็เป็นเรื่องแก้ตัว แต่เรื่องดอกไม้นี้มันไม่ควรแก้ตัวแล้ว ไม่จำเป็นอะไรที่ว่าเราจะใช้มัน เราเห็นแก่ตัว เราให้ผู้อื่นนี้มันจะกลายเป็นเรื่องทำลายความเห็นแก่ตัว
นี่ก็เป็นตัวอย่างพอให้รู้ได้ว่าเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนนั่นนะ มันมีความรู้สึกต่อกันอย่างไร นี่เป็นความดีข้อที่ ๓ ที่ว่าเราจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน หยุดอิจฉาริษยากัน หยุดทะเลาะวิวาทกัน เข้าใจว่าชุดนี้ต่อไปข้างหน้า เรียนไปถึงระดับวิทยาลัยแล้วคงไม่ยกพวกตีกัน ถ้าพวกเธอยังจำคำฉันพูดนี้ไว้ได้ ก็จะไม่ยกพวกตีกัน เมื่อโตขึ้นไปอีก ถ้าลืมเสียก็แน่นอน ก็ไปเข้าหมู่เข้าพวกที่เขาเห็นแต่แก่ตัว ไม่มีเพื่อนที่ดีของเพื่อนก็ต้องทะเลาะวิวาทกันเป็นธรรมดา
นี้ข้อถัดไปว่าเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ นี้ก็ควรจะพูดกันได้แล้วสำหรับผู้ที่มีอายุเท่านี้แล้ว เท่าพวกเธอทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ควรจะพูดกันได้แล้วถึงเรื่องที่เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ถ้ายังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ เกินไปก็ไม่ต้องพูด มันไม่มีความหมายอะไรไม่จำเป็น เดี๋ยวนี้เราพอที่จะรับรู้รับผิดชอบประเทศชาติ โดยเฉพาะเป็นลูกเสือก็มีในเจตนารมณ์ของการเป็นลูกเสือที่จะเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ และครูคงจะสอนมากแล้วเรื่องเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ นี้ทางธรรมะก็มีอย่างนี้อีก เราจะต้องเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เพราะถ้าเราเป็นพลเมืองที่เลวประเทศชาติมันก็แหลกวายวอดกันไปหมด ทุกคนเป็นพลเมืองที่เลวภายในพริบตาประเทศชาติก็เลวเหลวแหลกไปหมด ถ้าเป็นพลเมืองที่ดีมันก็อยู่ได้ เรารู้จักบุญคุณของประเทศชาติก็อยู่กันเป็นผาสุก ให้เป็นประเทศชาติที่ดี มีแต่การเสียสละเท่าที่จะเสียสละได้เพื่อประเทศชาติ มีเหตุผลที่ถูกต้องและเสียสละเพื่อส่วนรวมอยู่เสมอ และกิจกรรมที่เราเรียกว่าบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นนั้น มันก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเสียสละเพื่อประเทศชาติ เพื่อความเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ
ขอให้ทำงานอย่างนี้ด้วยความสนุกสนาน แม้จะเหงื่อไหลไคลย้อยก็กลับสนุกสนาน ถ้าในใจของเรารู้สึกว่าทำเพื่อประเทศชาติ แต่ถ้าเราคิดว่าทำเพราะถูกบังคับ อย่างนี้เราก็เหนื่อยก็ไม่อยากจะทำ ก็อึดอัดกระฟัดกระเฟียดไม่อยากจะทำ เหมือนกับเป็นตกนรกไปเลย นี่คนที่ไม่รู้บุญคุณของประเทศชาติก็ตกนรกที่นั่นและเดี๋ยวนั้น ไม่ยอมทำอะไรเพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติ เพราะถูกบังคับให้ทำอย่างร้อนใจ โกรธ ขัดเคือง เหมือนอย่างว่าครูขอให้ทำประโยชน์แก่โรงเรียน นี่บางคนก็สนุกไปเลย บางคนก็ไปยืนกระฟัดกระเฟียด กัดฟันอยู่ ก็เพราะเขามองไม่เห็นว่าเราจะต้องตอบแทนแก่โรงเรียน ทีนี้ประเทศชาติมันใหญ่กว่านั้น เมื่อถึงคราวที่จะต้องบำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวมไปทั้งหมู่บ้าน ทั้งตำบล ทั้งอะไรก็จะต้องยินดี ทำด้วยความสนุกสนาน และก็มุ่งหมายว่าเราจะเป็นพลเมืองที่ดีของ ของประเทศชาติจนถึงวาระสุดท้าย จนได้ไปทำหน้าที่สำคัญ ๆ ในอนาคต จะเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติยิ่งขึ้นไป
ทีนี้ส่วนที่ ๕ เป็นสาวกหรือเป็นพุทธมามะกะที่ดีของพระพุทธเจ้า เดี๋ยวขอถามก่อนว่าทั้งหมดนี้เคยทำพิธีพุทธมามกะมาแล้วใช่ไหม ใครเคยทำแล้วยกมือที ใครเคยทำพิธีพุทธมามกะมาแล้ว ยกมือที อืม ก็เป็นอันว่ารับผิดชอบตัวเองได้ ที่เคยทำพิธีพุทธมามกะมาแล้วก็ต้องเป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า พุทธมามกะ คำนี้แปลว่าอะไร ใครตอบได้ ใครตอบได้ยกมือ พุทธมามกะแปลว่าอะไร อ้าว, ทำไมล่ะ เคยทำมาแล้วก็ไม่รู้ว่าพุทธมามกะแปลว่าอะไร พุทธะ แปลว่า พระพุทธเจ้า มามกะ แปลว่า การยืนยันว่าเป็นของฉันหรือเป็นของข้าพเจ้า มามะ ก็แปลว่าของฉันหรือของข้าพเจ้า ก็ลงปัจจัยมะกะ ตามเรื่องตามภาษาบาลี ก็แปลว่าผู้ที่ถือว่าของข้าพเจ้า หรือยืนยันว่าของข้าพเจ้า พุทธมามกะ ก็แปลว่าผู้ที่ปฏิญาณว่าพระพุทธเจ้าเป็นของข้าพเจ้า ถ้าเป็นศาสนาอื่น เป็นอิสลาม เป็นคริสเตียน เขาก็มีพระเจ้าเป็นของข้าพเจ้าเหมือนกัน มีความหมายอย่างเดียวกัน ทำได้อย่างเดียวกัน นี้ก็ต้องเป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า คือเป็นพุทธมามกะที่ดีนั้นเอง ถ้าเราเป็นของพระพุทธเจ้าเราจะดื้อต่อพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ก็ไปเรียนดู คำสอนของพระพุทธเจ้ามีว่าอย่างไร เราก็ควรจะเชื่อและก็ไม่ล่วงละเมิดคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นข้อใหญ่ ๆ ที่เป็นพื้นฐานสำคัญทั่วไปเขาเรียกกันว่า ศีล ๕ ประการ ที่นั่งอยู่นี่ใครออกชื่อได้หมดทั้ง ๕ ประการ ศีล ๕ ประการคืออะไรบ้าง ใครจำได้และออกชื่อมาได้หมด ยกมือซิ ใครคนไหน อ้าว, ทำไมอย่างนี้ล่ะ ได้ไหม ศีล ๕ ประการคืออะไรบ้าง เออว่าอะไรยืนขึ้น …(เสียงนักเรียนตอบคำถาม)… อือ ได้ ดี ก็ช่วยไว้ได้คนหนึ่งว่าเราก็เคยศึกษาเรื่องนี้ เขาตอบว่าห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักทรัพย์ ห้ามประพฤติผิดในกาม ห้ามพูดเท็จ ห้ามดื่มน้ำเมา เป็นคำสั้น ๆ รัดกุม กล่าวไว้ให้จำง่ายสำหรับเด็ก ๆ นักเรียน
ในข้อที่ ๑ ที่ไม่ให้ฆ่าสัตว์ คือไม่ให้ประทุษร้ายชีวิตร่างกายของสัตว์อื่น เราไม่ชอบให้ใครประทุษร้ายชีวิตร่างกายของเรา เราก็ควรจะไม่ประทุษร้ายชีวิตร่างกายของผู้อื่นสัตว์อื่น
ทีนี้ข้อที่ ๒ ไม่ให้ลักทรัพย์ เราก็ไม่อยากให้ใครมาประทุษร้ายทรัพย์สมบัติของเรา ดินสอปากกาอะไรของเรา เราไม่ต้องการให้ใครมาประทุษร้าย คือเอาไปหรือทำลายเสีย
ทีนี้ข้อที่ ๓ ไม่ให้ประพฤติผิดในกาม ตามตัวหนังสือคือไม่ให้ประพฤติผิดในของรักทั้งหลาย ก็คือไม่ให้ประทุษร้ายในของรักของผู้อื่น เมื่อเรารู้ว่าอะไรเป็นที่รักของผู้อื่นแล้วอย่าไปประทุษร้าย คืออย่าไปแตะต้องให้หมองช้ำ จะเป็นอะไรก็สุดแท้ มันเป็นของที่เขารัก อย่างนี้เขาเรียกกามะ กามะ แปลว่า ของรักของใคร่ อย่าไปประทุษร้ายกามะ คือของรักของบุคคลอื่น ไม่ใช่ต้องเรื่องหญิงเรื่องชายเรื่องเพศอะไรแม้แต่ของรักธรรมดาสามัญ เด็กเล็ก ๆ ก็มีตุ๊กตา เขารักของเขาก็อย่าไปทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจ ด้วยการประทุษร้ายของรัก ไปทำของเขาแตก ไปทำของเขาสกปรกอย่างนี้เขาก็เสียใจ เรียกประทุษร้ายของรักของผู้อื่น ทุกคนแม้เป็นเด็ก ๆ ก็จะต้องถือศีลข้อนี้กระทั่งเป็นผู้ใหญ่กระทั่งเป็นผู้เฒ่า ก็ไม่ให้ประทุษร้ายของรักของผู้อื่นทั้งนั้น ข้อนี้ก็เรียกว่าไม่ประพฤติผิดในกาม กาม แปลว่า ของรักใคร่ ก็หมายถึงของผู้อื่น เช่นเดียวกันที่เราไม่ต้องการให้ใครมาประทุษร้ายของรักของเรา เราก็ต้องไม่ประทุษร้ายของรักของผู้อื่น
นี้ก็ไม่ให้พูดเท็จ อย่าประทุษร้ายประโยชน์อันชอบธรรมของผู้อื่นด้วยวาจาอันเป็นเท็จของเรา อย่าไปประทุษร้ายสิทธิอันชอบธรรม ความถูกต้อง ความยุติธรรมอะไรของผู้อื่นโดยใช้วาจาอันเป็นเท็จของเรา เพราะว่าถ้าเราพูดเท็จออกไปจะมีคนเสียหายเพราะการพูดเท็จของเรา นั่นประทุษร้ายประโยชน์ของผู้อื่นด้วยวาจา
ศีลข้อที่ ๕ ไม่ดื่มน้ำเมานี่ ไอ้นักแย้งเขาก็จะแย้งว่าถ้าอย่างนั้นก็สูบเฮโรอีนได้ แล้วคนที่พูดว่าไม่ให้ดื่มน้ำเมามันก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ก็มันพูดไม่หมด เขาก็มีคำกล่าวไว้ชัดว่าสิ่งที่ทำให้เสียสติสัมปชัญญะทั้งนั้นเรียกว่าของเมา รวมทั้งเฮโรอีนทั้งอะไรทุกอย่างที่มันดื่มเข้าไปแล้วมันเสียสติสัมปชัญญะ เพราะในสิกขาบทเขาว่าไว้ชัดว่า สุราเมรย มัฌชปมาทัฏฐานา ประทุษร้ายสติสัมปชัญญะ กลายเป็นปมาทะ เป็นคนโง่ คนหลง คนสติฟั่นเฟือน คนอะไร แล้วเราก็เลยใช้คำรวมว่าไม่ประทุษร้ายสติสัมปชัญญะ สติสมประฤดีของเรา เรากินอะไรเข้าไป สูบอะไรเข้าไป ทาอะไรเข้าไป หรือว่าอะไรเข้าไปในร่างกายมันไปทำให้เราเสียสติสมประฤดีของเราไปแล้วเรียกว่าผิดศีลข้อนี้ทั้งนั้น จะเป็นเรื่องรมควัน หรืออาบทา หรือดม ทำเข้าไปแล้วมันเสียปกติของสมประฤดี มีสติฟั่นเฟือน และก็ผิดศีลข้อนี้ทั้งนั้น ที่เขาระบุเอาเหล้าและของเมาอย่างอื่นเพราะมันเป็นกันอยู่มาก แต่เขาจำกัดไว้ชัดว่าที่เป็นที่ตั้งของความประมาท ดังนั้นสิ่งที่เป็นที่ตั้งของความประมาทแล้วเลิกกันหมดเลย รวมความว่าไม่ประทุษร้ายสติสัมปชัญญะของเราเอง
จำไว้ให้ดีจะมีความเจริญในอนาคต เขาไม่ประทุษร้ายร่างกายทรัพย์สมบัติของผู้อื่น นี่ข้อที่ ๑ ศีลข้อที่ ๒ ไม่ประทุษร้ายทรัพย์สมบัติของผู้อื่น ศีลข้อที่ ๓ ไม่ประทุษร้ายของรักใคร่ของผู้อื่น ศีลข้อที่ ๔ ไม่ประทุษร้ายความเป็นธรรม ความชอบธรรมของผู้อื่น ศีลข้อ ๕ ไม่ประทุษร้ายสติสัมปชัญญะสมประฤดีของตัวเอง ถ้าเราประทุษร้ายสติสัมปชัญญะของตัวเอง เราก็ฟั่นเฟือน เราก็ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ และถ้าเป็นพุทธมามกะที่ดีนั้นต้องเชื่อฟังพระพุทธเจ้า จนกล่าวได้ว่าเราเป็นผู้เชื่อฟังมีสิทธิอันสมควรที่จะร้องตะโกนออกมาว่าพระพุทธเจ้าเป็นของข้าพเจ้า ถ้าทำไม่ดีอยู่ทำความชั่วอยู่แล้วก็บอกว่าเป็นพุทธมามกะนี้มันก็เป็นเรื่องหลอกลวงตัวเอง หลอกลวงผู้อื่น หลอกลวงกันไปหมดมันใช้ไม่ได้ การทำพิธีพุทธมามกะนั้นก็เป็นหมันไป ใช้ไม่ได้ มันจะใช้ได้เราต้องรักษาระเบียบต่าง ๆ ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ เราจะต้องระวังรักษาเช่นศีล ๕ ประการอย่างนี้เป็นต้น
แต่เดี่ยวนี้อยากจะพูดให้เห็นชัดไปอีกทีหนึ่งว่า ถ้าจะเป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้าแล้วก็ขอให้เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาก่อน ผู้ที่เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาจะเป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้าขึ้นมาทันที เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านต้องการอย่างนั้น และว่าเราจะต้องเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ด้วยเพราะพระพุทธเจ้าท่านต้องการอย่างนั้น เราเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์กลายเป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้าในทันที เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและกัน ไม่อิจฉากัน ไม่ชกต่อยกัน เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแต่ละฝ่าย เป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้าไปทันที เพราะว่าพระพุทธเจ้าต้องการอย่างนั้น เราต้องการว่าลูกเด็ก ๆ เหล่านี้อย่าทะเลาะวิวาทกัน อย่าชกต่อยกัน อย่าอิจฉาริษยากัน โดยเราเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติได้จริง เราก็เป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้าได้จริงเหมือนกันเพราะว่าท่านต้องการอย่างนั้น คือการเป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้านั้นต้องการให้ทำให้ถูกหมดทั้ง ๕ อย่าง เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า ก็เป็นอันว่ามันหมดปัญหา (นาทีที่ 37:57 - นาทีที่ 38:17 เสียงขาดหายไป) และ (นาทีที่ 36:58 - 37:32 ซ้ำกับนาทีที่ 38:18 - 38:52) ถ้าเราเป็นกันได้อย่างนี้จริงแล้วมันหมดปัญหา
นี่ให้ทุกคนคิดดูถ้าเราเป็นอย่างนี้จริงมันจะมีความชั่วอะไรเหลืออยู่ มันจะมีความทุกข์อะไรเหลืออยู่ ปัญหาส่วนตัวเราก็หมด จะไม่มีความทุกข์อะไรเหลืออยู่ ถ้าเราเป็นบุตรที่ดี ศิษย์ที่ดี เพื่อนที่ดี พลเมืองที่ดี สาวกที่ดี เราจะไม่มีปัญหาเหลืออยู่ คือเราจะไม่มีความทุกข์เลย และเราก็จะไม่ทำความทุกข์ให้แก่ผู้อื่นด้วย ผู้อื่นก็พลอยหมดปัญหาไปด้วย ไม่มีใครทำความทุกข์ให้แก่กันและกัน เรียกว่าเป็นการได้ที่ดี และถ้าได้อย่างนี้แล้วก็เป็นลูกเสือที่ดีที่สุดกว่าลูกเสือไหน ๆ ในโลก จริงไม่จริงก็ไปคิดดูว่า ฉันกำลังท้าทายให้พวกเธอทั้งหลายไปคิดดู เอาไปสังเกตดูจนกว่าจะรู้แจ้งกว่านี้ เพราะถ้าเราทำได้อย่าง ๕ ประการนี้ เป็นลูกที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดีแล้วเราจะเป็นลูกเสือที่ดีที่สุดกว่าลูกเสือประเทศใด ๆ ในโลก เพราะว่าเขาไม่พูดกันอย่างนี้ แต่ว่ามันจะต้องบังคับตัวเองให้ได้ ไม่ประทุษร้าย ๕ ประการนั้นน่ะเป็นรากฐาน เป็นพุทธมามกะประพฤติเป็นรากฐาน
ศีลข้อที่ ๑ ไม่ฆ่าสัตว์น่ะ ขยายความออกไปว่าไม่ประทุษร้ายชีวิตร่างกายของใคร ข้อที่ ๒ ไม่ลักทรัพย์ คือไม่ประทุษร้ายทรัพย์สมบัติของใครโดยวิธีใด ๆ หมดเลย ข้อที่ ๓ ไม่ประพฤติผิดในกาม ก็คือว่าไม่ประพฤติประทุษร้ายของรักใคร่ของผู้อื่นที่ทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจ ข้อที่ ๔ ไม่ประทุษร้ายความถูกต้องความเป็นธรรมของผู้อื่น ไม่พูดเท็จ ไม่ดื่มน้ำเมาคือยาทำลายตัวเองให้เป็นคนบ้า พิสูจน์กันเดี๋ยวนี้ก็ได้ เอาเหล้ามากินมันก็เป็นคนบ้าทันที เดี๋ยวนี้เธอลองเอามากินดูสิ มันเป็นคนบ้าชนิดหนึ่งขึ้นมาทันที เสียสติสัมปชัญญะในทันทีแล้วก็ทำอะไรผิด ๆ มากขึ้น จึงถือเป็นพื้นฐาน หลักพื้นฐาน ๕ ประการนี้ถือไว้ให้ดี แล้วก็จะทำให้ดีหมดทุกอย่างเลยเพราะว่ารากฐานมันดี นี่คือลูกเสือที่แท้จริง ไม่มีอะไรที่จะเหลืออยู่สำหรับตำหนิติเตียน ถ้ามีความชั่วความอะไรไม่เหมาะสมอยู่เราก็ฆ่ามันหมด แม้ว่าเราเป็นลูกเสือเล็ก ๆ นี้เราก็ฆ่ากิเลสเหล่านี้ได้เรื่อย ๆ ไป ทำไปเรื่อย ๆ ก็จะฆ่าความชั่วเหล่านี้หมดไปได้
ทีนี้ก็ยกบิดามารดาขึ้นมาจากนรกเลย ไม่มีอะไรที่ทำให้บิดามารดาร้อนใจ บิดามารดาก็แสนจะชื่นใจเพราะว่ามีลูกคนนี้ ใครรู้สึกว่าบิดามารดาของตนชื่นใจเพราะว่ามีลูกคนนี้บ้าง ทำไมเธอจะต้องยิ้ม ใครมีบิดามารดาที่ชื่นอกชื่นใจเพราะว่ามีลูกคนนี้บ้าง แล้วใครก็เป็นคนที่ทำให้ครู คุณครูรู้สึกสบายอกสบายใจ ยินดีปรีดาปราโมทย์เพราะว่ามันมีลูกศิษย์คนนี้บ้าง นี่เพื่อนก็เหมือนกัน เพื่อนคนไหนที่มันรู้สึกอย่างนั้น ถ้าประชาชนพลเมืองทั้งหลายเขายินดีปรีดาปราโมทย์กับคน ๆ ไหนที่ว่าเกิดมาเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง ถ้าทำได้อย่างนี้จริงมันก็เป็นที่โปรดปรานของพระพุทธเจ้า พูดอย่างขลังศักดิ์สิทธิ์ก็ว่าของพระเป็นเจ้าซึ่งสูงสุดกว่าสิ่งใด เธอไม่รู้จัก เธอยังไม่เคยเห็น เธอก็ทายไม่ถูกว่าหน้าตาของพระเป็นเจ้านั้นอยู่อย่างไร เราก็บอกเธอไม่ได้ แต่บอกได้แต่เพียงว่ามันเป็นสิ่งที่เด็ดขาดที่สุด สูงสุดที่สุด ใครจะเล่นตลกไม่ได้ อย่างลงโทษจริง ๆ ให้รางวัลจริง ๆ นี่เขาเรียกว่าพระเจ้า ถ้าไม่จริงไม่เรียกว่าพระเจ้า เพราะว่ามันจริงถึงเรียกพระเจ้า ในที่สุดมันยังมีดีที่ว่าเรานี่แหละ นับถือตัวเองได้ ไหว้ตัวเองได้ ไปคิดบัญชีดูกันใหม่ ทุกคนนี้ถ้าจะได้ประโยชน์จากการมาที่นี่ แล้วต้องได้ฟังคำนี้ไปด้วย จะมานั่งโง่นั่งง่วงมันไม่คุ้มกับเวลาที่มาที่นี่ ถ้าใครยกมือไหว้ตัวเองได้ ไปพิจารณาเห็นว่าไม่มีอะไรที่น่ารังเกียจอยู่ในตัวเรา ความเลว ความชั่ว ความอะไรก็ตามที่มันน่ารังเกียจมันไม่ได้มีอยู่ในตัวเรา จนเราอยากจะไหว้ตัวเอง ไปคิดบัญชีกันอย่างนี้ด้วยกันทุกคน เมื่อกลับไปแล้ว เมื่อตลอดเวลาต่อไปในข้างหน้า เราไหว้ตัวเองได้ไหมวันนี้ เอาเป็นวัน ๆ กันดีกว่า ถ้าเนื่องกันหลายวันแล้วมันจะไม่มีกันเลย เอาสักวันหนึ่งก็ได้ วันนี้มันไหว้ตัวเองได้ก็ไหว้ พรุ่งนี้อีก มะรืนนี้อีก ถ้ามันไหว้ตัวเองได้ในหลาย ๆ วันเข้า มันก็เป็นลูกเสือที่ดีได้ ที่จะเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริงได้ นี่ขอให้รู้ความหมายของคำว่า ลูกเสือ ในการตีความหมายอย่างทางพระศาสนา ทางธรรมะก็เป็นอย่างนี้ ก็ตีได้กว้างกว่าลึกกว่าที่เขาพูด ๆ กันตามภาษาชาวบ้าน ก็พระน่ะเป็นเสือ ฆ่ากิเลสตายหมด เณรก็เป็นลูกเสือ มันเตรียมที่จะเป็นอย่างนั้น ทีนี้พลเมืองที่ดี สุภาพบุรุษนี้ก็ควรทำตัวเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ลูกเสือก็ต้องเตรียมที่จะเป็นเช่นนั้น ก็เป็นอันว่าความเป็นลูกเสือนี้ถูกต้องและสมบูรณ์ ขอให้จำไว้ว่าเราได้นั่งกันที่นี่ เราก็ได้พูดกันอย่างนี้
จะแถมพกสักหน่อยหน่อย เรื่องสวนโมกข์ เดี๋ยวนี้นั่งอยู่กลางดินกลางทราย กับถ้าหากว่าจะนั่งบนเก้าอี้อย่างในโรงหนังโรงละคร นั่งกลางทรายกับนั่งบนเก้าอี้ อันไหนเป็นลูกเสือกว่า ทำไมนึกได้ ทำไมจึงเป็นลูกเสือกว่า เดี๋ยวนี้คงจะต้องอดทนเต็มกลั้นเลยที่ต้องนั่งกลางทราย มันควรจะดีใจ นี่จะบอกให้ทราบ ถ้าไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดิน ใครยังไม่ทราบข้อนี้ยกมือ ยังไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ใครไม่ทราบข้อนี้ ยกมือ ถ้าจะขี้โกง ไม่ยอมยกมือ น้อยนะนี่ ต้องคนที่เคยอ่านพุทธประวัติมาแล้วจึงจะทราบว่าพระพุทธเจ้าบังเอิญไปประสูติที่สวนลุมพินี แล้วก็หาอะไรไม่ทันก็ต้องประสูติกลางดิน เวลาท่านเป็นพระพุทธเจ้าที่ริมตลิ่ง ที่ริมแม่น้ำเนรัญชรา ที่โคนต้นโพธิ์ ท่านนั่งกลางดิน เป็นพระพุทธเจ้ากลางดิน นั่งกลางดิน แล้วเวลาท่านจะนิพพาน ท่านก็นิพพานกลางดิน ที่ในอุทยานแห่งหนึ่งของพวกกษัตริย์ไว้สำหรับเที่ยวเล่น ประสูติกลางดินใต้ต้นสาละ ต้นไม้ชื่อต้นสาละ นิพพานกลางดินใต้ต้นสาละ นี่เราพยายามเอามาผูกไว้ที่ตรงนั้น เขียนป้ายว่าต้นสาละ ไปดูไปไหว้ต้นสาละ เป็นที่ระลึกต่อพระพุทธเจ้า ว่าท่านไปประสูติที่โคนต้นสาละ และท่านได้นิพพานที่โคนต้นสาละ ไปถ่ายรูปกับต้นสาละเอาไปบ้าน นี่เกิดกลางดิน เป็นพระพุทธเจ้ากลางดิน นิพพานตายกลางดิน และโดยมากท่านก็สอนสาวกกลางดิน ท่านอยู่กลางดินเพราะว่ากุฏิของท่านขึ้นดิน นี่หมายถึงนั่งกลางทรายนี่เป็นลูกเสือกว่า นั่งกลางดินเป็นลูกเสือกว่า เหมือนกับพระพุทธเจ้ากว่า เพราะท่านนั่งกลางดิน ท่านอยู่กลางดิน เกิดกลางดิน ตายกลางดิน เป็นพระพุทธเจ้ากลางดิน สอนกลางดิน มันเป็นอย่างนี้
ดังนั้นควรจะถือว่าเป็นโชคดีที่ได้มานั่งกลางดินที่นี่อย่างนี้ ที่เรียกว่าสวนโมกข์ คำว่า โมกข์ แปลว่าเกลี้ยง คือจิตใจเกลี้ยง ไม่มีความชั่ว ถ้ามีความชั่วมันไม่เกลี้ยง ถ้ามันเกลี้ยงหมายความว่าไม่มีความชั่ว ทีนี้มันธรรมชาติเหล่านี้ทำให้เราหยุดคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ให้เราเกลี้ยงไปพักหนึ่ง กายวาจาก็เกลี้ยง จิตใจก็เกลี้ยง ก็เรียกว่าโมกข์ ถ้าจากสวนโมกข์นี้ช่วยให้เกิดความเกลี้ยงได้โดยง่าย ทุกคนพอมานั่งตรงนี้ก็รู้สึกสบายใจ เพราะใจมันเกลี้ยง
หิวข้าวหรือยัง ถ้าหิวข้าวแล้วมันไม่เกลี้ยงนะ เดี๋ยวนี้มันลืม มันไม่ได้นึกถึงหิวข้าว เพราะมันก็เกลี้ยง มันเกลี้ยง มันไม่มีความคิดที่ผิด ๆ หรืออารมณ์ขุ่นมัว มันเกลี้ยง เรากำลังไม่เห็นแก่ตัวเพราะเรามานั่งตรงนี้ ธรรมชาติมันแวดล้อมไม่ให้เราเกิดความคิดเห็นแก่ตัว เลยไม่เกิดความโลภ ไม่เกิดความโกรธ ไม่เกิดความหลง เขาเรียกว่ามันมีจิตใจเกลี้ยง การจัดสถานที่ให้เป็นประโยชน์ ให้ง่ายแก่การที่มีจิตใจเกลี้ยง มันเป็นความมุ่งหมายของที่นี้ และสถานที่นี้ก็เรียกว่า สวนโมกข์ มันแปลว่าเกลี้ยง ที่ทำความเกลี้ยง ขอให้กลับไปด้วยจิตใจที่เกลี้ยง แล้วก็นึกถึงการที่จะมีจิตใจที่เกลี้ยงอยู่เช่นนี้เสมอ ความเป็นลูกเสือก็จะสะอาด เป็นลูกเสือที่แท้จริง เป็นลูกเสือที่สะอาด ที่บริสุทธิ์ มีจิตใจเกลี้ยง ไม่เห็นแก่ตัว ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ทำนองนี้
ว่าพร้อม ๆ กันทีไหม “เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นพุทธมามะกะที่ดีของพระพุทธเจ้า” โต ๆ เท่านี้แล้ว เที่ยวเดียวคงจะจำได้ ไม่ต้องถึง ๓ เที่ยว ดังนั้น ขออวยพรให้พวกเธอทั้งหลาย จงมีความเจริญก้าวหน้าในกิจการของความเป็นลูกเสือที่จะครอบคลุม ๆ ลงมาถึงความเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า หรือของศาสนาทั้งปวง ขอให้มีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าในการศึกษา ในการกระทำการงาน ในการเป็นอยู่ มีความผาสุกทุกทิพาราตรีกาลเทอญ อืม, พอแล้ว เวลาหมดแล้ว