แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านทั้งหลายผู้มีหน้าที่ดำเนินกิจการลูกเสือของชาติทุกชั้นทุกลำดับ เวลานี้ท่านทั้งหลายมาที่นี่เพื่อขอรับฟังสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่จะทำหน้าที่เกี่ยวกับกิจการของลูกเสือ เป็นเรื่องธรรมะเท่าที่ควรจะทราบ อาตมาก็มีความคิดนึกอยู่ตลอดเวลาเกี่ยวกับกิจการของลูกเสือ เพราะฉะนั้นก็เชื่อว่าย่อมจะมีอะไรบ้างที่จะเป็นประโยชน์ในการที่จะพูดให้ฟัง ข้อแรกที่สุดคือการที่อยากจะเตือนกันอยู่เสมอว่า เราเป็นพุทธบริษัท แม้ว่าโดยชื่อจะชื่อว่าคนไทย แต่การกระทำต้องเป็นพุทธบริษัท เมื่อมีผู้ขอร้องให้ขนานนามชื่อของค่ายลูกเสือแห่งนี้ อาตมาคิดว่าคำว่าค่ายธรรมบุตรเป็นชื่อที่เหมาะสมที่สุด จึงได้แนะให้อย่างนั้น เมื่อทุกคนนึกถึงคำว่าธรรมบุตร ก็คือนึกถึงความเป็นพุทธบริษัทนั่นเอง คำว่าธรรมบุตรก็มีความหมายอย่างเดียวกับพุทธบริษัท เพราะว่าอย่างน้อยที่สุดเล็งถึงข้อที่นับถือพระพุทธเจ้าเป็นหลักด้วยกันทั้งนั้น ทั้งนี้ก็ด้วยความมุ่งหมายว่าอย่าให้ลืมพระพุทธเจ้า เมื่อไม่ลืมพระพุทธเจ้าก็ไม่ลืมพระธรรม ไม่ลืมพระสงฆ์ หรือว่าเมื่อไม่ลืมพระธรรมก็ไม่ลืมพระพุทธเจ้า และไม่ลืมพระสงฆ์ สามอย่างนี้เราไม่แยกกัน
เราจะต้อง..(0.06.39) .ถึงพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลาที่มีความรู้สึกคิดนึกอยู่ได้ แล้วก็จะเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เถลไถลไปในหนทางที่ผิดได้ ทุกอย่าง ทุกประการที่จะทำได้ ต้องทำในลักษณะที่จะเข้ากันได้ในหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า หรือเป็นเหตุให้ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าได้โดยง่าย ยกตัวอย่างเช่นเรานั่งที่นี่เวลานี้ ถ้าเราจะคิดไปในทำนองว่าเป็นที่ระลึกแก่พระพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้ก็กลางดิน นิพพานก็กลางดิน ส่วนมากตลอดเวลาก็อยู่กลางดิน จุติของพระพุทธเจ้าเท่าที่เหลือซากอยู่ในบัดนี้ในประเทศอินเดียก็เป็นพื้นดิน ก็แปลว่าท่านนั่งนอนอยู่กับพื้นดิน มีหญ้า มีเสื่อที่ทำด้วยหญ้ารอง หรือว่าเตียงตั่งอย่างที่เตี้ยๆ หรือจะไม่มีซะมากกว่า เป็นว่าตลอดเวลาท่านอยู่กลางดิน หรือจะพูดให้น่าตกใจก็เกิดกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน ตายกลางดิน ถ้านึกได้อย่างนี้มันก็ไม่ลืมตัว เราก็จะพอใจในการที่เป็นอยู่อย่างพระพุทธเจ้า ว่ากันให้ชัดๆสักหน่อยชีวิตพระพุทธเจ้าจะเป็นชีวิตอย่างที่เราเรียกว่า Camping Life(0.08.49) อยู่ตลอดเวลา ท่านไม่อยู่เป็นที่ทางแน่นอนนัก แล้วก็เที่ยวท่องเที่ยวอยู่เรื่อย ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง อยู่ที่ไหนก็อยู่ชั่วคราวเพื่อทำประโยชน์หน้าที่ของท่าน อันนี้สำคัญมาก สำคัญหลายๆอย่าง อย่างแรกก็คือไม่มีอะไรที่จะเป็นห่วงหรือว่าติด คนธรรมดาก็มีห่วงบ้าน ห่วงเรือน ห่วงลูกห่วงเมีย ห่วงกันไปทุกอย่าง นั่นเค้าเรียกว่าติด ชีวิตพระพุทธเจ้าท่านไม่มีลักษณะติดอย่างนี้ มันมีความหมายต่อไปอีกว่า ต้องไม่เห็นแก่ความสุขแต่ว่าให้ส่วนตัว ต้องเห็นแก่ผู้อื่น ที่ท่านอุตส่าห์เดินไป เสด็จไปทุกหนทุกแห่ง ไม่มีรถไฟไม่มียานพาหนะ แม้แต่รองเท้าก็ไม่มี ร่มก็ไม่มีขอให้คิดดู หมวกอย่างที่ท่านทั้งหลายสวมนี้ก็ไม่มี ทำไมพระพุทธเจ้าท่านจึงเสด็จไปเพื่อประโยชน์แก่คนเป็นอันมาก ทั้งเทวดาและมนุษย์ตาม คำประกาศของท่านเป็นอย่างนั้น ว่าตถาคตเกิดมาเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข เพื่อความเกื้อกูลแก่เทวดาและมนุษย์ ถ้าเราถืออุดมคติอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า มันก็ง่ายที่จะทำหน้าที่ของลูกเสือให้สมบูรณ์ คือการบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ถ้าผิดไปจากนี้มันก็หมดเจตนารมณ์ของความเป็นลูกเสือ
ดังนั้นจึงหวังว่าเราจะมีเจตนารมณ์แห่งความเป็นลูกเสืออย่างของเรา ที่เป็นไทยและเป็นพุทธบริษัท เราไม่ตามก้นของฝรั่งไปทุกกระเบียดนิ้ว เดี่ยวนี้ดูอะไรก็หันไปตามก้นฝรั่งมากเกินเหตุ บ้านเมืองมันจึงเสื่อมศีลธรรมในบางประการ เพราะว่าเขาเป็นวัตถุนิยมมากเกินไป เมื่อจิตใจมันตกไป ฝ่ายวัตถุนิยมแล้วสิ่งต่างๆจะยุ่งยากหมด จะแก้ไขยาก เช่นนักเรียนเป็นอันธพาลมากขึ้นจนแก้ไขลำบากเนี่ย ก็เพราะเหตุอันนี้ ถ้าความเป็นอันธพาลมันฝังรกฝังรากแน่นแล้ว มันก็แก้ไม่ไหว ให้เป็นลูกเสือกันทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนหนึ่งมันก็แก้ไม่ได้ ถ้าหากว่ามันเป็นการตามก้นฝรั่ง มีคนเอาหนังที่ถ่ายไว้เนื่องในการประชุมลูกเสือแห่งชาติที่เมืองฝรั่งหลายๆแห่งมาให้ดู ดูแล้วก็ไม่เข้าใจ จะยอมรับว่าเป็นคนโง่ก็ได้ คือมันไม่เข้าใจว่าไอ้ทั้งหมดที่ทำนั้นมันจะช่วยให้คนเราลืมตัวเอง แล้วเห็นแก่ผู้อื่นได้อย่างไร มันมีแต่สนุกสนาน เล่นหัวจนลืมตัวนี่อย่างหนึ่ง แล้วการเล่นเหล่านั้นดูจะเป็นไปเพื่อตัว ทำความรู้สึกเพื่อตัว มันย้อมให้เกิดนิสัยที่เห็นแก่ตัวเสียมากกว่า หรือว่าเค้าจะไม่ได้ถ่ายอะไรที่มันเป็นการกระทำชนิดที่เป็นการเห็นแก่ผู้อื่นมาให้ดูก็ได้ จึงยังสงสัยอยู่ในข้อนี้ แต่สำหรับพวกเราที่นี่ขอให้ระลึกว่าลูกเสือพุทธบริษัท หรือลูกเสือธรรมบุตรนี้ ต้องซื่อตรงต่ออุดมคติของพุทธบริษัท ซึ่งที่แท้มันก็ตรงเป็นอันเดียวกับอุดมคติของลูกเสือมีความมุ่งหมายส่วนใหญ่ เพียงข้อเดียวคือ “อย่าเห็นแก่ตัว” คนเราถ้าเห็นแก่ตัวแล้วจะทำสิ่งที่ไม่ทำอีกร้อยอย่าง พันอย่างไม่เห็นแก่ตัวอย่างเดียว จะทำอะไรชนิดที่ถูกต้องไปโดยอัตโนมัติ โดยไม่รู้สึกตัวก็ได้ อีกร้อยอย่างพันอย่างด้วยเหมือนกัน ดังนั้นจึงยึดหลักประจำใจอยู่ในใจเสมอว่า ความเห็นแก่ตัว ตั้งแต่ต้นไปจนปลาย หมายความว่าตั้งแต่เป็นปุถุชนนี้ไปจนถึงเป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอรหันต์และนิพพาน หลักการมีเพียงคำเดียวว่า ความไม่เห็นแก่ตัว
สำหรับเรื่องของการบรรลุมรรคผลนิพพานนั้น พูดให้ฟังได้ง่ายๆว่าไม่เห็นแก่ตัว ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกู ว่าของกู เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้แล้ว โลภะ โทสะ โมหะ เกิดไม่ได้ มันก็ลดลงไป ลดลงไป จนไม่อาจจะเกิดโดยเด็ดขาด เรียกว่าเป็นพระอรหันต์ ฝ่ายธรรมะ ฝ่ายศาสนาแท้ๆ มีใจความเพียงเท่านี้ คือไม่เห็นแก่ตัว จนกระทั่งมันหมดตัว ทีนี้ฝ่ายโลกๆเรา อย่างชาวบ้านหรือกระทั่งกิจการของลูกเสือก็อย่างนั้นอีก ลูกเสือนี้ถ้าทำให้ดี มันก็กลายเป็นธรรมบุตรไปจริงๆ คือไม่ใช่กิจการชาวบ้านล้วนๆ เป็นกิจการของชาวบ้านที่คาบเกี่ยวกับศาสนา ดำเนินไปตามหลักของศาสนาซึ่งต่อไปในอนาคตมันก็ไปตามทางของศาสนาได้โดยง่าย เพราะฉะนั้นควรจะถือว่า ถ้ากิจการของลูกเสือเป็นไปด้วยดี เด็กเหล่านี้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ก็เป็นผู้ใหญ่ชนิดที่จะรู้ธรรมะในพระพุทธศาสนาได้ง่าย แล้วต่อไปเมื่อเป็นคนเฒ่า คนแก่ก็จะบรรลุธรรมะในพระพุทธศาสนาได้ง่ายที่สุด เพราะฉะนั้นกิจการลูกเสืออย่างที่พูดนี้มันก็ดีหมด สำหรับจะเด็กที่ดี สำหรับที่จะเป็นพลเมืองของประเทศชาติที่ดี สำหรับจะเป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า ซึ่งหมายความว่าตัวเองก็ได้รับผลสูงสุดตามที่พุทธบริษัทพึงจะได้รับเป็นส่วนตัวด้วย ถือการบรรลุธรรมนั่นเอง
ดังนั้นการที่ว่ากิจการลูกเสือไทยเราจะไม่ตามก้นกิจการลูกเสือฝรั่งทั้ง100%นี้ อาตมาเห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง จะผิดหรือถูกก็ไปวินิจฉัยดู แต่ส่วนตัวเองถือว่าถูกเกินกว่าที่จะต้องวินิจฉัยแล้ว เราจะถือว่ากิจการลูกเสือนี้รับมาจากแบบแผนของฝรั่งนั้นมันก็ได้ แต่ไม่ได้หมายความเราจะต้องทำตามเขาไปทุกกระเบียดนิ้ว ถ้าดูให้ดีมันก็จะเห็นได้ว่า มันมีอะไรที่เป็นพื้นฐานในจิตใจต่างกัน แม้แต่เนื้อตัวมันก็ต่างกัน ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมอะไรก็ต่างกัน แล้วเค้าก็เป็นวัตถุนิยมจัด ไอ้เรามันก็แบบโบราณเดิมๆเป็นพวกที่เห็นแก่จิตใจมากกว่าเห็นแก่วัตถุ ทีนี้ถ้าหากว่ากิจการลูกเสือของฝรั่งเค้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนไปตลอดหลายสิบปีที่ล่วงมานี้ มันก็น่าอันตรายเหมือนกันถ้าเราจะรับเค้ามาทั้งดุ้น แล้วเราก็ควรพิจารณาดูว่าส่วนใดมันตรงกับหลักธรรมะของพุทธบริษัทก็รับเอาไว้ทันที ส่วนใดมันขัดกันส่วนนั้นไม่ควรจะรับมาเลย ความร่าเริง เป็นสุขร่าเริง นี่พุทธศาสนาก็ต้องการ แต่ว่ามันต้องอยู่ในระเบียบ ในขอบเขตที่ถูกต้อง
เช่นเดียวกับประชาธิปไตย ถ้ามันเกินขอบเขตมันก็เป็นประชาธิปไตยสำหรับจะช่วยกันทำโลกให้ชิบหาย เหมือนประชาธิปไตยเดี๋ยวนี้มันเป็นในลักษณะจะช่วยกันทำโลกให้ชิบหายมากกว่า คือประชาธิปไตยที่เห็นแก่ตัว ต่างคนต่างมีอิสระเสรีภาพที่จะเห็นแก่ตัว ประเทศหนึ่งๆก็มีอิสระเสรีภาพที่จะเห็นแก่ตัว คนหนึ่งๆก็มีอิสระเสรีภาพที่จะเห็นแก่ตัว มันจึงใช้สิทธิประชาธิปไตยนี่ทำประโยชน์แก่ตัว จึงได้ทะเลาะวิวาทกันรบราฆ่าฟันกัน เด็กๆเข้าใจเรื่องนี้ผิดก็ทะเลาะวิวาทกันในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย ผู้ใช้ใช้ความหมายของประชาธิปไตยผิด เรียนจบปุ๊บก็จะเป็นผู้ตามใจตัวคือฮิปปี้ เมื่อพูดว่าฮิปปี้ขอให้ถือความหมายที่สั้นที่สุดก็คือผู้ตามใจตัว ไม่ต้องเห็นแก่อะไรหมด นี่เป็นประชาธิปไตยที่มันเดินผิดทาง ความไม่เห็นแก่ตัวมันยังอยู่ไกลกันนัก แต่เค้าว่าเค้ามีอิสระมีเสรีภาพที่จะทำตามความต้องการของตัว นั่นก็เป็นสิทธิตามที่เค้านิยมกันสมัยนี้ แต่ทางธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น คือต้องมีอะไรมันถูก อะไรมันผิด อะไรมันทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น อะไรมันทำความทุกข์ให้แก่ผู้อื่น มันต้องคิดกันในข้อนี้ก่อน
มีอาจารย์มหาวิทยาลัยบ้านเรานี่ เมืองไทยเนี่ย คนหนึ่งมาที่นี่ อาจารย์ท่านเล็กๆ ลูกศิษย์ก็มาด้วยทุกคนไว้ผมยาว เมื่อนานมาแล้วแรกๆคนก็แตกตื่นกันมาดู ก็เลยมานั่งคุยกันอาตมาด้วย ก็ขอโอกาสถามเค้าว่าทำไมถึงทำอย่างนี้ เพื่อประโยน์อะไร เค้าว่าเค้าควรจะทำอะไรได้ตามชอบใจ เมื่อคนอื่นทำอย่างหนึ่งได้ เค้าก็ควรจะทำอย่างนี้ได้ ก็เลยว่าเราไม่ควรจะทำสิ่งที่ทำให้คนอื่นเค้าลำบาก เมื่อไม่จำเป็น เราควรจะเลือกเอาที่ว่าคนอื่นเค้าไม่ลำบาก จึงจะเรียกว่าสมควร ที่เค้าว่าการไว้ผมยาวนี้มันก็ไม่ทำให้ใครลำบาก อาตมาก็บอกว่าพวกนี้เค้ากลัวว่านี่คนบ้าหรือคนดี ก็มองดูแล้วเค้าก็รู้สึกกระสับกระส่ายไม่รู้ว่าคนบ้าหรือคนดี คุณทำให้เค้าเสียเวลาไปมากในที่จะดูว่าคุณเป็นคนบ้าหรือคนดี คราวนี้มันก็ไม่ถูกกันแล้ว ไม่สมควรซะแล้ว ถ้าไว้ผมตามปกติบางคนก็ไม่เสียเวลามานั่งเฝ้าดูว่าไอ้นี่มันคนบ้าหรือคนดี เค้าก็เลยนิ่ง นี่มันเป็นตัวอย่างที่ต้องมาคิดดูว่าเราจะทำอะไรที่เป็นอิสระเสรีภาพ หรือว่าจะแก้ไขให้ดีนั้นมันต้องระลึกถึงธรรมะก่อนแล้วเป็นตัวของตัวก่อน แต่นี่ไว้ผมยาวเหมือนพวกฮิปปี้ฝรั่งเข้ามาในเมืองไทยเป็นครั้งแรก อย่างนี้มันก็เรียกว่าหลับหูหลับตา ทำตามเค้าอย่างหลับหูหลับตาแล้วก็ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไร แล้วก็ยังเสียประโยชน์ให้ญาติพี่น้องเสียเวลาสงสัยว่ามันบ้าหรือดี คอยระวังอยู่ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร นอกจากว่ามันเสียประโยชน์ ที่ว่าท้าทายอิสรภาพ เสรีภาพหรือคัดค้านในการจัดทำนั้น มันก็ไม่ได้ผลเพราะมันบ้าเสียเอง ไปอีกทางหนึ่งมันจะคัดค้านอะไรได้ ไม่ใช่ว่าเราจะด่าเค้า แต่ว่าเอาเป็นตัวอย่างสำหรับเทียบเคียงพิจารณาดูว่าการตามก้นฝรั่งอย่างหลับหูหลับตานี้มันจะเป็นบ้ามากกว่าฝรั่งไปซะอีก เค้าเป็นคนบ้าทีแรก เราไปตามเค้าอย่างหลับหูหลับตาเราก็บ้ามากกว่า
จึงหวังว่าทุกอย่างที่พวกพุทธบริษัทเราจะต้องระมัดระวังวัฒนธรรม อารายธรรมอะไรสมัยใหม่ โดยเฉพาะเรื่องลูกเสือ อุดมคติสูงสุด หลักการดีอะไรดี สังเกตุดูแล้วก็เห็นว่าแทบจะทุกชาติทุกประเทศรับเอาแต่ส่วนที่สนุกสนาน ส่วนที่ไม่ได้ลดความเห็นแก่ตัว ส่วนที่จะลดความเห็นแก่ตัวจริงๆนั้นเฉยเมยกัน เรื่องเล่นเรื่องหัวเรื่องอย่างที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าจะลดความเห็นแก่ตัวเนี่ยส่งเสริมกันมากเกินไป นี่ประเทศเรา ลูกเสือไทยเราไม่ควรจะเอาอย่างเค้า ควรจะนึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วก็ลูกเสือธรรมบุตรอยู่เรื่อยไป จะมีการอะไรที่มันลดความเห็นแก่ตัว การเป็นอยู่อย่างพระพุทธเจ้าคือเป็นอยู่ง่าย (0.24.32) เสร็จแล้วก็มุ่งหมายอย่างสูง มีการกระทำอย่างสูงอยู่ (0.24.39)ไม่รู้จักแต่เพียงการหัวเราะ มีพระพุทธภาษิตตรัสว่า “ในอริยวินัยนี้ การหัวเราะคืออาการของเด็กอ่อนนอนเบาะ การเต้นรำคืออาการของคนบ้า การร้องเพลงคืออาการคนร้องไห้” ถ้ายัง นับถือพระพุทธเจ้ากันอยู่ ขอให้ช่วยเอาพุทธภาษิตนี้ไปช่วยพิจารณากันบ้าน เพื่ออย่าให้การ หัวเราะ การร้องเพลง การเต้นรำสามอย่างนี้มันมากเกินไปจนลืมตัว จนไม่สละความเห็นแก่ตัว ร้องเพลงคือร้องไห้ เต้นรำคือคนบ้า หัวเราะคือเด็กอ่อนนอนเบาะ ก็แปลว่าท่านต้องการให้เข้มแข็ง ให้สำรวม ให้เข้มแข็ง ให้บึกบึน เพื่อมาเชื่อว่าเป็นอุดมคติได้จริงของลูกเสือไอ้ความบึกบึน ทีนี้ไอ้หัวเราะ ร้องเพลง เต้นรำนี้มันทำลายความบึกบึน ช่วยกันไปถามอาจารย์ทางจิตวิทยาอยู่ทั้งหมดเถอะ ว่าสามอย่างนี้มันลดทอนกำลัของความบึกบึน แต่ที่พวกฝรั่งหรือผู้ให้กำเนิดลูกเสือฝรั่งด้วยซ้ำไป เค้าจะเข้าใจอย่างไรก็ไม่ทราบ แต่ในอริยวินัยของพระพุทธเจ้าถือว่าสามอย่างนี้ทอนกำลังของความบึกบึน เข้มแข็ง อดทน สำรวม ที่ลูกเสือเราจะต้องมีสามอย่างนี้ในลักษณะที่ไม่ ตัดทอนความบึกบึนของเรา หัวเราะพอสมควร หรือว่าถ้าเต้นรำก็ต้องเต้นรำชนิดที่มันไม่ลืมตัว หรือว่าจะร้องเพลงมันก็ต้องร้องเพลงชนิดที่ไม่ลืมความบึกบืน ที่มาพูดนี้ไม่ใช่มาตำหนิติเตียนกิจการลูกเสือสากล แต่อยากจะขอฝากไว้ว่า สากลจะเป็นอย่างไร เราในฐานะที่เป็นไทย ที่เป็นพุทธบริษัทยังต้องระมัดระวัง ไม่ให้มันมาทำลายเจตนารมย์ จิตใจ สปิริตแท้จริงของความเป็นไทย เป็นพุทธบริษัท
ที่แท้ก้มีความมุ่งหมายอย่างเดยีวกัน คือจะทำลายความเห็นแก่ตัวสิ้นเชิง หากว่าผู้ใดลืมไปก็คิดเสียใหม่ ว่าทำลายความเห็นแก่ตัวนั้นมันจะทำลายได้โดยวิธีใด สำหรับพระพุทธเจ้าท่านก็วางไว้ โดยว่าส่วนตัวก่อน ส่วนตัวนี้อย่าเห็นแก่กิน แก่เล่น แก่อะไรที่มันเป็นการเอร็ดอร่อย เห็นแก่ตัว กินอาหารก็ถูกวิธีของอาหารร่างกายสบายดีแข็งแรงก็พอ ทีนี้การเป็นอยู่ใช้สอยทุกอย่างเครื่องนุ่งห่มเป็นอยู่ต่างๆ เท่าที่จำเป็นที่ชีวิตมันอยู่ได้ จึงไม่มีหรูหราสวยงามที่มันไม่จำเป็น นี่หล่ะส่วนตัวมันต้องกินอยู่ถูกต้อง ทีนี้การนึกถึงผู้อื่นนั้นมันมีปัญหาที่ทำให้ฉงนหรือสับสน การนึกถึงผู้อื่นนั้น มุ่งหมายจะแก้ไขความเห็นแก่ตัว ถ้าเรายิ่งไปเห็นแก่ตัวเพิ่มเข้าอีก มันก็จะเพิ่มความเห็นแก่ตัวมากเกินกว่าธรรมดา เราเห็นแก่ตัวถูกต้องเพียงพอนั้น มันหมายความว่าไม่ถึงกับทำลายประโยชน์ของผู้อื่น แต่อาจจะไม่คิดช่วยผู้อื่น งั้นถ้าเรามุ่งถึงผู้อื่นก่อนมุ่ถึงตัวแล้วมันปลอดภัยกว่า เพราะการทำประโยชน์แก่ผู้อื่นนั้นมันเป็นการทำประโยชน์ตัวอยู่อัตโนมัติ ขอให้ไปดูให้ดีถ้าเราไปทำประโยชน์ผู้อื่นแล้วมันจะเป็นประโยชน์ตัวอยู่ในตัวโดยอัตโนมัติ นึกถึงผู้อื่นมากกว่านึกถึงตัวก็ไม่เป็นไร นึกถึงตัวเนี่ยจะเพิ่มความเห็นแก่ตัวไม่ทันรู้ตัว จึงทำทุกอย่างนี่มันเป็นประโยชน์ผู้อื่นทั้งทางวัตถุ ทั้งทางนามธรรมคือ การสั่งสอน ไอ้เรื่องทำจิตใจให้สูงขึ้นไปต้องช่วยกัน ก็เลยปลอดภัยในการที่จะไม่มีกิเลสที่เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว นี่หลักธรรมะมีอยู่อย่างนี้ อย่าไปเข้าใจว่าถ้าไปเห็นแก่ผู้อื่นแล้วก็ไม่เห็นแก่ตัว เราเห็นแก่ผู้อื่น ไอ้ความเป็นอยู่ของตัวจะพอดี ถ้าไปเห็นแก่ตัวแล้วมันก็ไม่มีทางที่จะเห็นแก่ผู้อื่น กิลสนี้เป็นสิ่งที่ทำเล่นกับมันไม่ได้ มันเก่งลึกลับซับซ้อน เราต้องมีวิธีเหนือกว่ากิเลสจึงจะควบคุมกิเลสได้
สำหรับกิจการของลูกเสือนี้ อาตมามองเห็นว่าเป็นกิจการที่ทำลายความเห็นแก่ตัวโดยตรง เป็นประโยชน์ต่อการกำจัดกิเลส แต่ว่าผู้ปฏิบัตินั้นยังทำไม่ถึงอุดมคติของหลักการ จึงหวังว่าเราลูกเสือไทยนี่จะต้องทำให้ไม่มีความผิดพลาด หรือเสื่อมเสียแก่รากฐานแท้จริงของความเป็นไทยความเป็นพุทธบริษัท ซึ่งก็ไม่เห็นแก่ตัวอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้เพียงแต่ว่าทำให้มันดีขึ้นทำให้มันง่ายขึ้น ให้มันแพร่หลายมากขึ้น อาตมาเคยคิดว่าให้ลูกเสือตัวเล็กๆนั้น ถ้าอบรมให้แท้จริงตามหลักการลูกเสือแล้วจะดีกว่าบวชเณรเสียอีก ที่ชาวบ้านเค้าชอบให้ลูกหลานบวชเณรตัวเล็กๆแล้วก็ไม่ค่อยจะได้อบรมอะไร เพราะยังไม่มีหลักการที่ชัดเจนรัดกุม แต่หลักการของลูกเสือดีมาก ถ้าเด็กๆเล็กๆได้รับการอบรมถึงเจตนารมณ์ของลูกเสือแล้ว จะเป็นการดีหรือได้บุญกว่าบวชเณรเสียอีก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ มองเห็นแล้วไม่ได้ คือหลักการมันดีแต่ว่าการปฎิบัติการนั้นยังไม่ถึงอุดมคติของหลักการนั้น มันก็เป็นสิ่งที่จะต้องช่วยกันแก้ไขกันไปใหม่ ให้ดีมาตั้งแต่เด็กๆเพื่อว่ามันจะเป็นนิสัยที่ดีต่อไปข้างหน้าจนป็นผู้ใหญ่ จนได้ถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ก่อนจะตาย
พรุ่งนี้อยากจะขอเวลาสักหน่อยขอให้อดทนฟังหรือว่าคิดหน่อยว่าตามหลักของพุทธศาสนานั้นมันมีสิ่งที่เรียกว่ากิเลส กับสิ่งที่เรียกว่าอนุสัย คำว่ากิเลสนั้นคุ้นหูท่านทั้งหลายอยู่แล้ว แต่คำว่าอนุสัยนี้ยังไม่แน่ แต่อนุสัยก็ไม่ใช่อะไรคือความเคยชินของกิเลส เราโกรธทีหนึ่งเป็นกิเลส แล้วก็ได้ความเคยชินที่จะโกรธง่ายขึ้นไปอีกทีหนึ่งนี้เรียกว่าอนุสัย เราไปโลภหรือไปลักเค้าทีหนึ่งนี่ก็เป็นกิเลส แล้วก็มีความเคยชินที่จะเป็นอย่างนั้นเพิ่มครั้งหนึ่งเค้าเรียกว่าอนุสัย กิเลสจะสร้างอนุสัย เหลือเชื้อฝังรากไว้ในจิตใจเสมอ ทีนี้มันตั้งแต่เกิดมาจากท้องแม่ มันก็หลายปีหลายสิบปีกระทั่งร้อยปี ไอ้นิสัยนี้มันเหนียวแน่น อนุสัยมันเหนียวแน่น อย่างที่เรียกกันว่านิสัยสันดาน ฉะนั้นมันถึงขี้ลัก ขี้โกรธ ขี้โมโห ขี้อิจฉาริษยา ขี้เศร้าโศกทุกอย่าง อะไรมาให้เป็นอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้น มันให้รักก็หลงรักมันไว้ โกรธก็หลงโกรธมันไว้ กลัวก็หลงกลัว กระทั่งที่มันปลีกย่อยไม่ใช่หน้าที่ของตัวก็ไปอิจฉาริษยาอย่างนี้เรียกว่าอนุสัย ตามหลักการในทางธรรมะถือว่าแก้ยากที่สุด ละยากที่สุด ถ้าใครละได้คนนั้นเป็นพระอรหันต์ ไม่ได้เพียงแต่เป็นเพียงพระโสดา สกิทาคา พระอรหันต์เท่านั้นจะละอนุสัยได้ แล้วก็ไม่มีการทำอะไรเป็นกิเลสอีกต่อไป เพราะละอนุสัยคือความเคยชิน ที่จะเกิดกิเลสนั้นเสียได้ พระโสดาบันก็ละได้ในบางอย่างบางระดับ ปุถุชนชั้นดีก็ละได้บ้าง แต่ปุถุชนชั้นธรรมดาไม่มีละ ไม่มีละโกรธ เพิ่มนิสัยโกรธ, รัก เพิ่มนิสัยรัก, หลง เพิ่มนิสัยหลงอะไรอยู่เรื่อย นี่มันเสียหายมาก แล้วมูลเหตุมีนิดเดียว คือตรงที่ว่าเมื่อเด็กคลอดออกมาจากท้องมารดา เติบโตขึ้นมา เราไม่เคยสอนเรื่องนี้กันเลยว่าจงหยุดความเป็นอย่างนั้น คือหยุดความเห็นแก่ตัว อย่าไปรัก ไปโกรธ ไปกลัว ไปอิจฉาริษยา เด็กๆไม่เคยได้รับการสั่งสอนอย่างนี้ มันก็มากขึ้นมากขึ้น ฝังรกราก (0.35.30) อายุ 12 ขวบเป็นลูกเสือ(0.35.36)ลองคิดดูว่า อายุ12ปีจะเป็นลูกเสือ หรือ8-10ปีเป็นลูกเสือก็ตามใจ มันยากที่เด็กๆนั้นจะละนิสัยความเห็นแก่ตัวซึ่งอุตส่าห์สะสมมาตั้งแต่ตลอดจนถึงอายุ10ปี วันหนึ่งไม่รู้กี่ครั้งที่เพิ่มนิสัยความเห็นแก่ตัวที่เรียกว่าอนุสัย วันหนึ่งไม่รู้กี่ครั้ง ความโลภบ้าง ความโกรธบ้าง ความหลงบ้าง วันหนึ่งไม่รู้กี่ครั้ง ถ้าเด็กอายุ10ปี กี่วันคิดดู ปีละ360วันมันก็ต้องสามพันกว่าวัน มันเหนียวแน่นมาก ที่จะให้กิจการของลูกเสือแก้นิสัยความเห็นแก่ตัวนี้มันถูกที่สุด แล้วมันจะไหวหรือไม่ไหวก็ลองคิดดู ความเคยชินที่สร้างมาตั้งสามพันกว่าวัน เราจะละมันได้ในเวลาอันสั้นได้อย่างไร บางคนอาจจะนึกว่าละไม่ได้ มันก็ไม่จริง มันละได้ตามหลักของพระพุทธเจ้าแล้วสิ่งที่มีเหตุ มีปัจจัยมันแก้ไขได้ โดยเหตุโดยปัจจัยที่เหนือกว่า ดังนั้นจึงมีวิธีการที่เหนือกว่า ให้เป็นลูกเสือ ให้อยู่ด้วยการคิด การพูด การทำที่มันทำลายความเห็นแก่ตัวอย่างแรงอยู่เรื่อย มันก็ค่อยๆแก่นิสัยความเห็นแก่ตัวได้จริงเหมือนกัน แต่ทีนี้มันจะจริงกันกี่มากน้อยนี่จะทำกันจริงกี่มากน้อย ถูกบังคับบัญชาจะทำได้เท่าไหร่ ผู้ปฏิบัติตามจะทำได้อย่างไรมันมีปัญหาอยู่ที่นี่ ถ้าทำได้จริงคือมันถูกต้องตามหลักธรรมชาติจริงมันละได้ เพราะว่าในประวัติที่เขียนไว้พระอรหันต์อายุ15ปีก็มีอยู่หลายองค์เหมือนกัน จะเท็จจริงก็ไม่มีอะไรจะพิสูจน์ แต่มีอยู่จริงๆในพระคัมภีร์ ว่าพระอรหันต์มีอายุ15ปี หมดนิสัยแห่งความที่จะมีโลภ โกรธ หลง และโลภ โกรธ หลงไม่ได้อีกต่อไป มันพิเศษมากเทียบคนทั่วไปก็จะต้องเอาไปตามธรรมชาติที่มันจะเป็นได้ พอมีหลักการที่ดีกว่าธรรมชาติ หรืออีกทีก็ว่าสร้างธรรมชาติที่เหนือกว่าขึ้นมาแก้ธรรมชาติที่มันธรรมดา เราหัดให้เค้าไม่โลภ หัดให้ต่อต้านความโลภ หัดให้ไม่โกรธ ต่อต้านความโกรธอยู่เสมอ แล้วก็ไม่โง่ ไม่หลง ไม่มัวเมา แก้ไขต่อต้านความหลงอยู่เสมอ นี่สำหรับผู้ที่ไม่เคยบวชเรียนก็อยากจะขอให้จำ คำสั้นสามคำนี้ไว้ให้ดี ความโลภ ความโกรธ ความหลง นี้มันคืออะไร
ความโลภคือความเห็นแก่ตัวที่จะเอาเข้ามา เรียกว่าโลภะก็ได้ เรียกว่าราคะก็ได้ มันมีลักษณะที่จะกวาดเอาเข้ามาหาตัวมากอดรัดยึดถือไว้อย่างนี้เรียกว่าราคะ หรือโลภะ เป็นพวกที่หนึ่ง ทีนี้พวกที่สองเรียกว่าโทสะหรือโกธะเนี่ยคือควาเห็นแก่ตัว เมื่อไม่ได้อย่างใจแล้วมันจะทำลายสิ่งอื่น มันเห็นแก่ตัวก่อน แล้วเมื่อมันไม่ได้อย่างที่มันต้องการมันโกรธ ประทุษร้ายนั่นคือมันจะทำลายหรือว่าจะผลักให้กระเด็นออกไป ความโกรธหรือโทสะมีลักษณะจะตีให้กระจายไป เตะให้กระเด็นไป เพื่อให้ออกไปจากตัว ทีนี้ความโมหะ ความหลงนี่ มันเป็นความสงสัย ไม่รู้จะรักดีหรือจะโกรธดี มันก็เลยวนเวียนอยู่ด้วยความสงสัย ฉงนสนเท่ห์ ผูกพัน วนเวียนอยู่รอบๆ จำภาพพจน์ไว้อย่างนี้มันก็จะเข้าใจอะไรง่าย กิเลสประเภทที่1มันเห็นแก่ตัว เมื่อถูกใครรักเอามายึดถือกอดรัดไว้ ประเภทที่2ความเห็นแก่ตัวคือเมื่อไม่ได้ถูกใจแล้วอยากจะเตะ อยากจะตีอยากจะฆ่าจะทำลายหรือจะหลบไปให้พ้น ไม่เข้าใกล้ ทีนี้ความเห็นแก่ตัวประเภทที่3นั้นแม้ว่ามันยังไม่รู้ว่าจะเป็นประโยชน์อะไร แต่มันก็ยังพะวงอยู่เพื่อจะได้ประโยชน์ตัว
นี่คือความเห็นแก่ตัวมีอยู่เป็น3อาการคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทีนี้กิจการของลูกเสือที่จะเข้ากันได้กับเรื่องนี้ก็คือว่า เมื่อมีอะไรมายั่วให้รัก (0.40.36) ลูกเสือก็จะปฏิเสธหรือว่าปะทะไว้ก่อน คือว่าจะไม่ไปหลงรักเข้า ด้วยความอดทน ด้วยความบังคับตัวเอง ด้วยความนึกถึงกฏระเบียบอะไรต่างๆ คือถ้าอะไรมาทำให้โกรธมันก็หยุดไว้ไม่โกรธ มันนับ1ถึง10แล้วมันเฉยอยู่ได้ อะไรจะทำให้หลงไหลมัวเมา มันก็หยุดไม่ยอมเป็นอย่างนั้น เรียกว่าต่อต้าน ต่อต้านสิ่งที่มาทำให้โลภให้โกรธให้หลง ทุกคราวที่มันมีมาสำหรับจะโกรธ จะโลภ จะหลง มันจึงค่อยๆแก้ไขได้ ความเคยชินแต่อ้อนแต่ออก มันก็ถูกต่อต้านและแก้ไข งั้นถ้าลูกเสือมีหลักการทางวิญญาณทางจิตใจอย่างนี้ จะทำลายความเห็นแก่ตัวได้ ถ้าไม่อย่างนั้นจะไม่มีทางที่จะทำลายความเห็นแก่ตัวได้เลย มันก็จะ เป็นเรื่องสนุกสนาน เฮกันไปตามความสนุกสนาน ทำอะไรชนิดที่มันได้ประโยชน์บ้าง แต่มันไม่ลึกถึงจิตใจที่จะเรียกว่าทำลายความเห็นแก่ตัว หรือเห็นแก่ผู้อื่นทำนองนั้นได้ เพราะความเห็นแก่ตัวมัน(0.41.56) ในเมื่อลูกเสือธรรมบุตรต้องการจะเอาอาวุธ คู่มือหรือศาสตราอะไรของพระพุทธเจ้ามาใช้ ก็มีหลักอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่มีหลักอย่างอื่น อะไรมาให้รักหรือให้โลภ ก็หยุดชะงักไว้ ก็หัดต่อต้าน มาให้โกรธก็ต่อต้าน มาให้โง่ก็ต่อต้าน ไม่เท่าไหร่มันก็จะมีจิตใจที่สว่างไสวแจ่มแจ้ง แล้วก็มีอาการเห็นแก่ผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว ตัวเองก็มีความสุข สังคมก็มีความสุข กิจการของลูกเสือก็ตรงตามอุดมคติของลูกเสือ
ทีนี้เราเป็นพุทธบริษัท เรามีหลักธรรมะของเราอย่างนี้ แล้วก็ชื่อว่ากิจการของลูกเสือประเทศอื่น ที่ถือศาสนาอื่นก็จะต้องมีหลักการอย่างนี้ เพราะว่าหลักการของลูกเสือมันตรงกับธรรมะที่เป็นหัวใจของศาสนาทุกศาสนา ถ้าศาสนาไหนสอนให้เห็นแก่ตัว ศาสนานั้นไม่ใช่ศาสนา แล้วเราก็อย่าไปคิดให้ผิด ทุกศาสนาสอนไม่ให้เห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละ เค้าจะถือศาสนาอะไรก็นับถือเค้าได้ อย่าไปดูถูดูหมิ่นเค้า ศาสนาคริสต์ก็ยิ่งสอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัว ศาสนาอิสลามก็สอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัว แต่ออกจะเฉียบขาดมากไปหน่อย ศาสนาไหนก็ตามที่มันมีชื่อว่าเป็นศาสนาอยู่ในโลกตะวันตกตะวันออกก็เหมือนกันหมด ล้วนแต่มุ่งหมายจะทำลายความเห็นแก่ตัว ทีนี้เราไม่ชอบ มนุษย์มันไม่ชอบทำลายควาเห็นแก่ตัวก็หลีกเลี่ยงเสีย อันนี้จะเป็นเหตุให้กิจการลูกเสือในอานาคตที่จะตกอยู่ในเมือคนสมัยใหม่นี่หันเหไปจากอุดมคติเติม ก็ไม่สนใจกับการทำลายความเห็นแก่ตัว เราก็จะเห็นแก่ตัวโดยไม่รู้สึกตัว แล้วมันก็จะได้ทำในสิ่งที่มันไม่ทำลายความเห็นแก่ตัว มันก็จะกลายเป็นการผสมรวมกันเล่นหัวไปตามพวกของตัว แล้วก็ดูถูกพวกอื่น ดูหมิ่นพวกเหล่าอื่นอย่างนี้มันไม่ไหวแหละ เราจะดูถูกพวกอื่นผู้อื่นไม่ได้ในโลนี้ เราจะเห็นแต่แก่เราก็ไม่ได้ ต้องเห็นแก่สิ่งที่มันเป็นกลางที่สุดคือธรรมะ ธรรมะคือความถูกต้อง ความจริง ความเป็นธรรม ความยุติธรรมที่มันจริง ที่มันเป็นของสากล ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น ธรรมะของศาสนาไหนก็เป็นอย่างนั้น ให้ทุกคนเห็นแก่ธรรมะแล้วก็ไม่เห็นแก่ตัว แล้วมันก็เป็นลูกเสือของพระเจ้า ของศาสนา ของพระธรรม จะง่ายดายที่สุด ถึงแม้ว่าจะร้องเพลงไม่เป็น จะเต้นรำไม่เป็นก็ยังได้ แต่มันมีจิตใจชนิดที่เป็นลูกเสือ100% คือความไม่เห็นแก่ตัว นี่จะผิดถูกอย่างไรจะมากหรือน้อยไปอย่างไรก็ขอให้ช่วยไปคิดดู เรานั่งกันอยู่ที่นี่เฉพาะเวลานี้ เราประชุมกันในนามของพระพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นลูกเสือ อาตมาเป็นภิกษุ หรือใครจะเป็นอะไรก็ตามใจ แต่ว่าการประชุมกันที่นี่เวลานี้ในสถานที่เช่นนี้ในลักษณะอย่างนี้นั้นเรียกว่าเราพบกันอย่างพุทธบริษัท ภายใต้ร่มเงาของพระพุทธเจ้า เราจึงพูดกันอย่างนี้ ส่วนที่เราเป็นลูกเสือนั้นก็อย่าเข้าใจผิด มัน(0.46.03).ด้วยความเป็นพุทธบริษัทมากขึ้น อย่าไปคิดว่ามันเป็นของอย่างอื่น หรือเป็นของพวกอื่น กำเนิดมาแต่อื่นคนนั้นคนนี้ให้กำเนิดลูกเสือ ฝรั่งคนแรกคืออย่างนั้น ในหลวงรัชกาลที่6คืออย่างนี้ ไอ้นั่นมันเปลือกนอก ผิวนอก เจตนารมย์หรือเนื้อในมันอยู่ที่จะทำลายความเห็นแก่ตัว อุดมคตินี้ของพระพุทธเจ้า คำสอนนี้เป็นของท่าน ระเบียบปฏิบัติทั้งหลายล้วนแต่จะทำลายความเห็นแก่ตัว อย่าไปนึกกัน ให้ดูอย่างนี้แล้วควรจะเรียกตัวเองว่าอย่างไร จะเรียกตัวเองว่าอย่างไรก็ได้แล้วแต่เหตุการณ์ แล้วแต่ความเกี่ยวข้องความสัมพันธ์กัน แต่เนื้อแท้ในจิตใจเรา เราควรจะเรียกว่าอะไรขอให้ไปคิดดูทุกคน อาตมาคิดว่าที่ปลอดภัยที่สุดคือคำว่าธรรมบุตร เป็นลูกของพระธรรม ลูกเสือก็เป็นลูกของพระธรรม พ่อเสือก็เป็นพ่อของพระธรรม ใครๆก็เป็นธรรมบุตรได้ อาตมาก็ทำหน้าที่นี้ในฐานะที่เรียกตัวเองว่าผู้รับใช้ บ่าวหรือทาสของพระพุทธเจ้า ก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านทรงประสงค์จะให้อาตมาทำ คือบอกกล่าวเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายทั้งหลายด้วยกันว่า มันเป็นอย่างนี้มันเป็นเช่นนี้ มันเป็นอย่างนี้ตามที่พระพุทธเจ้าท่านประสงค์ แล้วสิ่งใดที่เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแล้วมันจะเหมือนกันหมด เราจะเป็นเรียกว่ากิจการลูกเสือ กิจการชาวบ้าน กิจการศาสนา กิจการอะไรก็ได้ มันไม่ขัดกัน รู้ว่าเจตนาเรามันเป็นอย่างไรแล้วเรามีหน้าที่ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ก็ทำให้สังคมมนุษย์นี้มีความสงบสุข ให้โลกนี้มันดีขึ้น กิจการลูกเสือคงไม่ปฏิเสธที่ว่าเรามีกิจการนี้เพื่อให้โลกนี้มันดีขึ้น มันมีทุกอย่าง ยิ่งมองไปแล้วยิ่งเห็นว่ามันตรงกับอุดมคติของพุทธศาสนา ถ้าลูกเสือจะดีกว่านี้อีกก็ควรจะเป็นว่า เก็บเด็กอันธพาลข้างถนนมาเสียให้หมดเอามาเป็นลูกเสือที่น่ารัก น่าเอ็นดูเสียให้หมด ไม่มีเด็กอันธพาลตามใต้สะพาน ตามข้างถนนที่กำลังเป็นปัญหาอยู่เวลานี้ กิจการอย่างนี้ก็มีผู้ทำ ผู้เคยทำมาแล้ว ไหนๆเราพูดกันครั้งเดียวไม่พูดกันหลายหนขอบ่นหน่อยว่า มันมีผู้ทำมาแล้วคือกิจการดอนบอสโก พระองค์หนึ่งเก็บเด็กที่ไม่มีใครต้องการหน้าโรงหนัง ใต้สะพาน ริมถนน ที่ประเทศอิตาลีเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว เอามาเลี้ยงเป็นเด็กดีไปหมด บวชทั้งนั้นเลย แล้วเป็นพระสังฆราชก็มีต่อมา คณะสงฆ์ไม่ยอมรับทีแรก เห็นว่าอุตริบ้าบอ คณะสงฆ์คริสตังไม่ยอมรับ ต่อมากิจการเจริญ พิสูจน์ความเจริญ พิสูจน์ความเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงจึงยอมรับ ดูเหมือนจะเพิ่งตั้งท่านองค์นี้ให้เป็นเซนต์ เมื่อท่านตายไปแล้วด้วยซ้ำไป ก็ไปดูกิจการในดอนบอสโก ทุกแห่งในโลก ที่กรุงเทพนี้ก็มี ที่ถนนเพชรบุรี ที่ไหนๆมี ต้องการที่จะไม่ให้เด็กเหลืออยู่ที่ใต้สะพาน ริมถนน หน้าโรงหนัง นี่มันก็ยิ่งเป็นกิจการที่น่าเลื่อมใส น่าสนใจ น่ายิ่งขึ้นไปอีก ความไม่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ผู้อื่น เป็นกิจการที่เรียกว่ากิจการของพระเจ้า ของพระธรรม ของพระพุทธเจ้าไปเลย
ขอให้กิจการลูกเสือของเรามีหลักการอย่างนี้ มีการดำเนินการอย่างนี้ แล้วสำเร็จประโยชน์ตามความต้องการในลักษณะอย่างนี้ยิ่งๆขึ้นไป เราเป็นผู้ใหญ่ ดำเนินกิจการลูกเสือก็คือช่วยเด็กเล็กๆให้รอดจากอันตรายทางจิตใจ ให้เรียนหนังสือมันก็รู้หนังสือ แล้วไม่รอดอันตรายทางจิตใจ เรียนประถม เรียนมัธยม เรียนมหาวิทยาลัยแล้วก็ยังเป็นอันธพาล อันธพาลกำลังระบาดอยู่ในมหาวิทยาลัยเพราะเรียนแต่หนังสืออย่างเดียว กิจการลูกเสื้อนี้มันช่วยให้เกิดความสว่างไสวทางวิญญาณ ตามสัดตามส่วน ไม่ใช่ว่าทั้งหมดได้ในทันที แต่เป็นรากฐานที่ดี ใก้ความสว่างไสวทางวิญญาณ เค้าเรียกว่า Spiritual Enlightenment ความสว่างไสวทางฝ่ายวิญญาณ อันนี้ถ้าไม่มอบให้ตั้งแต่เด็ก เด็กยังเป็นเด็กคู่กันมากับการรู้หนังสือแล้วชิบหายหมด แล้วมันก็พิสูจน์อยู่เวลานี้ว่ากิจการส่วนความสว่างไสวทางวิญญาณนี้มันเดินไม่ทันกับการที่ให้ความเฉลียวฉลาดสามารถในทางสติปัญญา คือรู้หนังสือ อันธพาลเลยระบาดยิ่งขึ้นในมหาวิทยาลัย ซึ่งก่อนนี้ไม่เคยมี เดี๋ยวนี้ความเจริญทางโลกมันเจริญแต่วัตถุ นักเรียน นักศึกษามันหลงไหลในวัตถุ มันกระโดดพรวดพลาดออกไปจน ไอ้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีฝ่ายจิตนี่ตามไปไม่ทัน มันเลยเป็นอันธพาลในมหาวิทยาลัย นี่ก็ไม่มองเห็นวิธีอื่นเลยเพราะว่าเด็กต้องเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียน อยู่ในมหาวิทยาลัย ก็มีทางเดียวเท่านั้นคือว่ากิจการลูกเสือที่แฝงกันอยู่กับการเรียนหนังสือต้องทำให้ก้าวหน้า ให้ทันกันไป เด็กทุกคนเรียนหนังสือ แต่เด็กทุกคนก็เป็นธรรมบุตร เป็นลูกเสือ เป็นผู้อบรมทางจิตทางวิญญาณให้ทันกันไป อย่าให้เป็นเรื่องสมัครเล่นเล็กๆน้อยๆอย่างที่เห็น อย่างที่ทำๆกันอยู่นี่เห็นว่ามันยังน้อยไป มันไม่ทันความก้าวหน้าในทางฝ่ายIntelligent คือสติปัญญา ชนิดที่จะพาให้เฉโก มันมากเกินไป สติปัญญาจะได้รู้จักผิดชอบชั่วดีมันไม่มีพอ ถ้าว่ากิจการลูกเสือของเราเคียงบ่าเคียงไหล่กันไปกับกิจการเรียนหนังสือหล่ะก็ ประเทศชาติจะปลอดภัย คือเด็กของเราจะเป็นเด็กดี เป็นยุวชนดี ไม่มีอันธพาลในมหาวิทยาลัยอย่างเดี๋ยวนี้ แต่ว่าที่พูดนี้อาจจะดูคล้ายๆกับว่าสร้างวิมานในอากาศก็ได้ แต่ว่ามันก็ไม่มีอะไรเหนือวิสัยถ้าร่วมมือกันจริง เอากันจริงทั้งข้างบนข้างล่างแล้ว มันก็ทำให้กิจการของลูกเสือดีขนานกันไปกับกิจการการศึกษา ก็ปลอดภัย เด็กก็เป็นเด็กของพระพุทธเจ้าทุกคน โดยส่วนตัวบุคคลก็จะมีความสุข ประเทศชาติก็จะมีความสุข มีความเจริญรุ่งเรือง มีเกียรติอันสูงสุดในทางธรรมะ เป็นที่เคารพนับถือของคนทั้งโลกก็ได้ ขอหวังให้กิจการลูกเสือของประเทศเราเป็นอย่างนี้ ขอให้ประเทศชาติของเรามีความก้าวหน้าด้วยอาศัยอำนาจของพระธรรมในลักษณะอย่างนี้ แล้วก็ขอให้ท่านทั้งหลายที่มีปฏิธานที่จะดำเนินกิจการนี้ให้ก้าวหน้าไปด้วยดีนั้น จงประสบความสำเร็จ สมตามความประสงค์มุ่งหมายทุกทิวาราตรีกาลเทอญ
(0.54.19-0.55.05) สวดมนต์
จากนั้นเป็นบทสนทนาของท่านพุทธทาสกับคณะลูกเสือ
หนังสือไม่พอเหรอท่านหัวหน้าไม่ได้ ตะกี้ว่าเอามาพอแล้วทำไมได้ไม่ทุกคน คือเหมาะที่จะอยู่ในกระเป๋า ประกอบกับคำพูดวันนี้ได้อย่างดีด้วย สรุปย่อหัวใจของธรรมของพระพุทธศาสนาเอาไว้ในหนังสือเล่มเล็กนี้ สำหรับอ่านเป็นปีๆ เล่มเล็กนิดเดียวแต่สำหรับอ่านเป็นปีๆ ทีเหลืออจารย์เจริญก็เอาไปฝากใครก็ได้ ให้คนที่ยังไม่ได้ ที่ไม่ได้มา เอาไปกรุงเทพก็ได้ มูลนิธิธรรมศักดิ์มนตรี มูลนิธิเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีพิมพ์ ..เสียงคู่สนทนา.. (0.56.24) ไม่ต้องมีก็ได้ ..เสียงคู่สนทนา..ซองเขียนหน้าซองไว้ว่าอะไรอย่างไรมีความประสงค์ยังไง เขียนไว้ที่หน้าซอง ..เสียงคู่สนทนา.. มันป็นเรื่องเกลี่ยกล่อมไปเรื่อยๆมันช้า ต้องปฏิวัติเหมือนกัน ..เสียงคู่สนทนา.. การแก้ไขทางจิตใจต้องใช้อำนาจปฏิวัติ ..เสียงคู่สนทนา.. ทีนี้มันยิ่งแย่ไปหมด นึกแล้วท้อใจ (0.57.33) ปลดเกษียณตัวเองแล้วไม่ไปไหนแล้ว ไม่ไหวสู้ไม่ไหว ..เสียงคู่สนทนา.. วันที่16เดือนหน้าขอยืมค่ายลูกเสืออบรมผู้พิพากษา 80กว่าคน (0.58.02) ขอยืมค่ายลูกเสือสำหรับผู้พิพากษา ..เสียงคู่สนทนา.. (0.58.15) แหล่งสุดท้ายคือยึดตุลาการ ถ้าแหล่งสุดท้ายแย่แล้วมันเป็นหมดที่พึ่ง ทีพึ่งแห่งสุดท้าย เดี๋ยวนี้ชักจะน่าเป็นห่วง ไม่พูดอะไรมากแต่ว่าน่าเป็นห่วง ..เสียงคู่สนทนา.. มันก็เด็กเด็กลงทุกปีแหละผู้พิพากษาเนี่ย เด็กลงทุกปี อาตมาอบรมมาตั้ง10กว่าปี จะขอถอนตัวไปกรุงเทพไม่ไหว เค้าเลยว่าถ้าอย่างนั้นพามาที่นี่ แต่ว่าก็ต้องพยายาม (0.59.11)..เสียงคู่สนทนา.. อยู่ที่นี่5วัน ทั้งวันเดินทางด้วย7วัน การอบรม10ชั่วโมง อาตมาก็บอกว่าคิดดูดีก่อนนะ มันยุ่งยากลำบากนะ เค้าก็ว่าเค้าจะเอาไปคิดดู แต่นี่จองที่ไว้ เดี๋ยววันที่นั้นจะมีคนมา ติดต่ออะไรเสียก่อนจะลำบาก..เสียงคู่สนทนา.. ได้ ทุกหนทุกแห่งมีเจ้าหน้าที่คอยอธิบาย ..เสียงคู่สนทนา.. เดี๋ยวก่อน อาตมาอยากจะแนะวิธีดู ภาพเขียนนั้นก็เพื่อช่วยให้เข้าใจธรรมะง่าย ฟังดูสิภาพเขียนเอามาแต่ภาพที่จะช่วยให้เข้าใจธรรมะง่าย ฉะนั้นคอยพยายามทำความเข้าใจภาพนั้น เพราะเข้าใจภาพคือเข้าใจธรรมะ แล้วก็ไอ้ภาพหินสลักนี่มัก็เป็นเรื่องสอนธรรมะในแบบพุทธประวัติ คือไม่มีรูปพพระพุทธเจ้า มีหลักว่าพระพุทธ พระธรมนี้ไม่อาจจะแสดงได้โดยรูป โดยภาพ ทิ้งว่างไว้หมด หลักนี้จะทิ้งว่างไว้หมมด ตรงไหนเป็นพระพุทธเจ้าจะทิ้งว่าง แล้วบางชุดแม้แต่พระสงฆ์ก็ไม่ยอมทำรูป ไม่ยอมทำรูปพระสงฆ์ ไม่ยอมทำรูปพระพุทธเจ้า ถือว่าเป็นสิ่งที่แสดงไม่ได้โดยรูปภาพ อยางเช่นแสดงธรรมจักรแก่พระ ปัจจวัคคีย์ เค้าไม่ทำรูปพระปัจจวัคีย์และรูปพระพุทธเจ้าเลย แสดงรูปกวางรูปเทวดา รูปเหล่านี้เพื่อช่วยให้เข้าใจธรรมะง่าย แล้วรูปที่ไม่ได้เขียนแต่เป็นรูปที่สร้างขึ้น เช่นสระใหญ่มีมะพร้าวอยู่ต้นหนึ่ง(1.01.18)เป็นภาพที่ดูแล้วเข้าใจนิพพาน “มะพร้าวนาฬิเก ต้นเดียวโนเน กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง” บทกล่อมลูกนั้นไปดูภาพในนั้นบ้าง ภาพที่ดีที่สุดคือภาพอย่างนี้ที่จะเห็นตามธรมชาติดีที่สุด จะช่วยให้จิตใจ (เสียงเงียบไป) ของกี่คน ของคณะกี่คน คณะอะไร กี่คน..เสียงคู่สนทนา..เขียนอย่างนั้นหน่ะดี กี่คน 80คนหรือ100คน ทั้งหมด ..เสียงคู่สนทนา.. 67คน บำรุงกิจการมหรรสพทางวิญญาณเขียนไป มหรรรสสพทางวิญญาณ..เสียงคู่สนทนา..ของทั้งประทศ..เสียงคู่สนทนา..ท่านศึกษาธิการจังหวัด นิมนต์อาตมาไว้ว่าเวลาปิดต้องไปอีกทีหนึ่ง จะต้องไปไหม ..เสียงคู่สนทนา..(1.03.11)ก็ถือว่าหน้าที่อาตมาทำแล้วที่นี่ ..เสียงคู่สนทนา..ไปชมมหหรรสพทางวิญญาณ ..เสียงคู่สนทนา.. แบ่งเป็นหน่วยย่อยๆ พระจะได้อธิบายสะดวก ถ้าทั้งหมดนี่อธิบายฟังไม่ถึง ..เสียงคู่สนทนา..(1.04.10)มาบรรยายหรือมารับการอบรมหล่ะนี่ ..เสียงคู่สนทนา.. มาแนะให้เขาพิมพ์ขึ้นสักเล่ม คือการอบรมที่ทุกครั้งที่ค่ายธรรมบุตร เตรียมเป็นหนังสือขึ้นมาสักเล่ม จะเอาสิบครั้งไหม อย่างครั้งนี้ก็นับด้วย ..เสียงคู่สนทนา.. ตั้งแต่แรกเปิดค่ายธรรมบุตรมา นี่อาตมาไปพูด7-8ครั้ง มันมีงานอื่นแทรกด้วย อนุกาชาดบ้างอะไรบ้าง แต่พูดเหมือนๆกันแหละ เรียกว่าอบรมค่ายธรรมบุตร จัดพิมพ์ขึ้นมาสักเล่มสะดวก ..เสียงคู่สนทนา..คุณ(1.05.18)จะพิมพ์ ..เสียงคู่สนทนา..งั้นก็ดีแน่ ถ้าลูกเสือยังเนื่องกันอยู่กับศาสนาหล่ะดีแน่ ถ้าไปวัตถุนิยมหมดหล่ะน่ากลัว ..เสียงคู่สนทนา..โลกนี่มันแย่ มีแต่คนแย่ โลกมันแย่ ..เสียงคู่สนทนา.. ควรจะเพิ่มกิจกรรมที่มันเป็นที่เรียกว่าทางศาสนาชัดๆ เพิ่มขึ้นบ้าง ต่อไปข้างหน้าหน่ะเพิ่มขึ้นบ้าง คือเป็นกิจกรรมที่มันแสดงให้เห็นในความเป็นพุทธศาสนาเนี่ย ..เสียงคู่สนทนา.. กิจกรรมนั้นให้ไปหาธรรมะมากขึ้น จับให้มันไปหาธรรมะมากขึ้น ..เสียงคู่สนทนา.. (1.08.35) จากนั้นเป็นบทสนทนาสำเนียงใต้แล้วค่ะ