แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อ่า, เดินเร็วก็ไม่ได้เป็นเณร เอ้า, ต่อ อ่า, ผู้ฝึก การเสียสละทั้งหลาย ฉันเรียกพวกเธอว่า ผู้ฝึกการ เสียสละทั้งหลาย เดี๋ยวนี้มาพบกันที่นี่ ก็ขอแสดงความยินดี และอนุโมทนา ในการกระทำนั้น ซึ่งเป็นการ เสียสละ เดี๋ยวนี้เรากำลังฝึกการเสียสละ เรายังไม่มีนิสัยแห่งการเสียสละ ๑๐๐% เรายังต้องฝึกการเสียสละ อีกต่อไป จนเป็นการเสียสละที่แท้จริง บริสุทธ์ใจ ไม่ใช่เสียสละเอาหน้า ไม่ใช่เสียสละเอาสนุก หรือไม่ใช่ เสียสละ แม้แต่เอาคะแนน เราจะฝึกฝนการเสียสละ จนเกิดนิสัยแห่งการเสียสละ โดยแท้จริง
การเสียสละนั้นมันคือ สละความเห็นแก่ตน ไม่ เออ, ไม่ใช่การสละสตางค์ เงินทอง ข้าวของ แต่มันยิ่ง ไปกว่าการเสียสละเงินทอง ข้าวของ คือ สละความเห็นแก่ตน จะเรียกให้ชัดก็ว่า สละตนก็ได้ สละเรี่ยวแรง ร่างกายเรี่ยวแรง หรือความเห็นแก่สบาย ความสบายของเราเราเสียสละ เหน็ดเหนื่อยยอมเหน็ดเหนื่อย นี่ก็เสียสละ เสียสละตัว เสียสละความเห็นแก่ตน นั่นแหละเป็นหัวใจของเรื่อง โลกมันกำลังจะวินาศ เพราะทุกคนเห็นแก่ตน ให้พิจารณาเรื่องนี้กันสักหน่อย อย่าหลับในเสีย คือว่า โลกมันกำลังจะวินาศ เพราะคนในโลกมันเห็นแก่ตน ที่มันไม่รักผู้อื่น มันคอยแต่จะเบียดเบียนจะเอาเปรียบผู้อื่นนั่นแหละ เต็มไปทั้งโลกเดี๋ยวนี้ มันเป็นความไม่รักกันได้ มีแต่จะเอาเปรียบกัน จะขูดรีดกัน เลยเดือดร้อนทั้งโลกนะ ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย ก็เรียกว่า เป็นเรื่องของมนุษย์ เมื่อมนุษย์เห็นแก่ตนแล้วเรื่องมันก็เป็นอย่างนี้
ฉะนั้นเราจึงทำสิ่งที่มันตรงกันข้ามที่มันจะแก้ไขได้ คือ ฝึกการไม่เห็นแก่ตน คือ เรียกว่า การเสียสละ ความเห็นแก่ตน ถ้าเธอฝึกได้มันจะเป็นประโยชน์ส่วนตนเธออย่างยิ่ง คือ จะไม่เกิดกิเลส ที่เป็นทำให้เกิดทุกข์ คนที่ไม่เห็นแก่ตนนี้ มันไม่เกิด ราคะ โทสะ โมหะ อ่ะ, ราคะ โทสะ โมหะ จะเกิดมาจากความเห็นแก่ตนทั้งนั้น ฉะนั้นถ้าเราตัดทอนต้นเหตุของมัน คือ ความเห็นแก่ตนเสียแล้ว กิเลสมันก็ไม่เกิด เราก็ไม่มีความทุกข์ เราก็อยู่สบาย กิเลสเป็นของร้อนเหมือนกับไฟ เข้าไปอยู่กลางกอง ไฟมันก็เป็นของร้อน มีกิเลสอยู่ในใจ ใจมันก็ร้อน ไม่มีกิเลสอยู่ในใจใจมันก็สงบเย็น
ฉะนั้นเราฝึก เพื่อจะตัดรากเหง้าแห่งกิเลส คือ ฝึกเพื่อตัดไอ้ความเห็นแก่ตน ถ้าเธอทำได้อย่างนี้ คือ เป็นการปฏิบัติธรรมะสูงสุด ในพระพุทธศาสนา ถ้าจะเพียงว่าช่วยเหลือผู้อื่นอย่างกิจกรรมของลูกเสือ นี่มันก็ถูกเหมือนกันแหละไม่ใช่ผิด แต่มันยังไม่ถึงขนาด ไม่ถึงขนาดที่พระพุทธเจ้า ท่านวางไว้ เดี๋ยวนี้เรา เสียสละเพราะ อะไรอ่ะ เพราะจะได้รับการยกย่อง หรือแม้แต่ได้รับการขอบใจ หรืออะไรอย่างนี้ แต่ทว่าเราฝึก โดยที่ไม่ต้องเอาอะไรนอกไปจากเอาความหมด ความเห็นแก่ตน แล้วจะว่าดีมาก ขอให้ยึดหลักอย่างนี้ตลอดไป
ให้การเสียสละนี้มันบริสุทธิ์ ไม่ใช่ว่าสาระพาเฮโล สนุกสนาน หรือว่าได้มาเที่ยว คือ ไอ้อย่างนั้น อย่าง ๆ นั้นนะ มัน ๆๆ ไม่ใช่บริสุทธิ์หรอก มันต้องบริสุทธิ์ ด้วยจิตที่ต้องการจะทำลายความเห็นแก่ตนจริง ๆ ที่นี่มีป้ายเขียนไว้ที่โรงฉันนะว่า ไม่ยินดีต้อนรับคนที่ล้างจานข้าวไม่เป็น แต่เราก็ได้เห็นคนที่ไม่ล้างจานข้าว อยู่บ่อย ๆ แหละ ทั้งที่เราเขียนว่า ไม่ยินดีต้อนรับคนที่ล้างจานข้าวไม่เป็น แต่เราก็ได้เห็นคนที่ไม่ล้างจานข้าว อยู่บ่อย ๆ นั่นมันไม่เสียสละจริงนี่ แม้แต่จานข้าวมันยังไม่ล้างนี่ ที่กินเองก็ยังไม่ล้างนี่ มันจะเสียสละอะไรกัน และมันยังขยักไว้เพื่อจะ เกี่ยงเอา ว่าเราไม่ทำล้างจาน เพราะเรามาทำงานให้ หรือว่าเพราะเรามาทำอะไรก็ตาม
ที่ตรงนี้ มีมีเรื่องไม่ล้างจานเลวมากนะ ถึงขนาดที่ว่าเราเป็นผู้ให้เขานะ เราแจกยา แจกอะไรให้เขา แล้วเขามารับแจกยา แล้วก็เผอิญวันนั้นมีอาหารเหลือ ก็เลี้ยงอาหารเขาด้วย เขายังไม่ล้างจานข้าวเลย นี่ความเห็นแก่ตนมันมากถึงขนาดนั้น คนที่มารับแจกยาแจกยาแล้ว ได้เลี้ยงข้าวด้วย แล้วก็ยังไม่เลี้ยง ไม่ล้างจานข้าว ทั้งที่ว่ามันง่าย ๆ มันก็อยู่ตรงนี้ น้ำก็อยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นดูความคิดรู้สึกของคนชนิดนี้สิ มันยังไม่พอ ที่จะเป็นมนุษย์ที่ดี เพราะฉะนั้นเธอเมื่อเสียสละ แล้วก็เสียสละให้ถึงที่สุด จนกว่ากระทั่งว่า เสียสละชีวิตก็เสียสละได้ เพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ทุกคน หรือโลกนี่
นี่เราขออนุโมทนาว่า ให้ฝึก ฝึกให้มันบริสุทธิ์ การเสียสละที่บริสุทธิ์เรื่อย ๆ ไป แล้วจะไม่มีความทุกข์ คนเสียสละไปมันไม่มีความทุกข์ เพราะว่าความทุกข์ต้องมาจากความไม่เสียสละเสมอไป ความทุกข์จะมาจาก ความไม่เสียสละ ไม่เสียสละชีวิต ไม่เสียสละตัวกู ไม่เสียสละไอ้สิ่งที่จะพึงได้ ไม่เสียสละในสิ่งที่หวังว่าจะได้นี้ มันก็มีความทุกข์แหละ แต่ถ้ามันสละไม่มีอะไรเหลือ ความทุกข์ไม่มีทางจะเกิดแม้แต่นิดเดียว ฉะนั้นเราฝึกการ เสียสละนี่นับว่าถูกต้องตามหลักของพระพุทธศาสนา และก็ในชั้นลึกด้วย ชั้นลึกที่จะบรรลุนิพพานกันได้ด้วย
ขอให้มองเห็นประโยชน์อันนี้ ที่ว่าจะได้ ประโยชน์ได้ผล ได้อานิสงส์ ลึกซึ้งกว่าอะไรหมด เพราะมันจะเป็นไปเพื่อหมดกิเลส และดับทุกข์ แต่ว่านี่มันเป็นเพียงเบื้องต้น เป็นเพียงการฝึกการเสียสละ ถ้ายังไม่ไปถึงนิพพาน มันก็ได้รับประโยชน์ในชั้นอยู่ในโลกนี้ เธอเสียสละ ทำงานด้วยการเสียสละ มันก็ฝึกให้เกิด ความพอใจในการงาน สนุกสนานเมื่อทำงาน เดี๋ยวนี้เป็นปัญหามาก ที่ว่า คนไม่ทำงาน หรือไม่ชอบทำงานจนว่างงานกันมาก เพราะมันไม่ มันไม่ชอบงาน เพราะมันเลือกงาน มันจะเอาแต่งานเบา ๆ ซึ่งดูเหมือนกับว่าจะไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยอะไร แล้วก็เลยว่างงานกันมาก ว่างงานกันเป็นแสน ๆ นั่นแหละ แม้แต่บัณฑิตปริญญาตรี มันก็จะว่างงานกันเป็นหมื่น ๆ เลย เพราะว่ามันเลือกงาน
แต่ถ้าเรามีนิสัยว่า ถือว่างานนั่นแหละ คือ ของดี งานนั่นแหละ คือ เกียรติยศของมนุษย์ เพราะทำ หน้าที่ของมนุษย์ งาน คือ หน้าที่ของมนุษย์ทำแล้วก็มี ธรรมะสูงสุด ธรรมะ แปลว่า หน้าที่ของมนุษย์ จำไว้ให้ดีถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟัง ครูมักจะสอนแต่ว่า ธรรมะ คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่รู้ต่อว่าสอน พระพุทธเจ้าสอนให้ทำหน้าที่ของมนุษย์ ตั้งแต่ต่ำที่สุดจนถึงสูงที่สุด เพื่อจะทำลายความเห็นแก่ตนเสีย
เพราะฉะนั้นเราก็ ฝึกต่อไปนะ เพื่อจะทำลายความเห็นแก่ตนเสีย นับตั้งแต่เสียสละเวลา เสียสละ เรี่ยวแรง กระทั่งเสียสละความสุข สนุกสนาน บ้า ๆ บอ ๆ เช่น คนรักษาศีล คนที่เขาถือศีลนั้น เขาเสียสละ ความสนุกสนาน เล่นหัว ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลส หรือความโง่เขลาเขาก็สละเสีย สละความวุ่นวายเสีย แล้วก็ได้ ความสงบนะเป็นสมาธิ สละความโง่เสียก็ได้ความฉลาด ก็เป็นปัญญานะ และการเสียสละจะทำให้ความทุกข์ สิ้นไปทันที เมื่อเธอหวังจะได้อะไร เป็นทุกข์ทรมานใจอยู่ เธอเสียสละสิ่งนั้นเสีย มันจะหมดทุกข์ทันที ไม่ว่าเรื่องอะไร รวมทั้งเรื่องแฟนด้วยนะ เมื่อมันจะไม่ได้ตามที่ต้องการแล้ว ก็เสียสละมันเสียเลยดีกว่า แล้วจะไม่มีความทุกข์เลย ไม่ต้องไปฆ่าตัวตาย ไม่ต้องไปฆ่าคนอื่นตาย
การเสียสละนี้จะแก้ปัญหาได้หมด ในเรื่องของความทุกข์ เพราะฉะนั้นเราหัดเสียสละ เดี๋ยวนี้ก็เรียกว่า เสียสละ เป็นการฝึกการเสียสละที่พอดู ก็มาจากที่ไกลมาช่วยทำงานให้ ที่วัดสวนโมกข์เก่านะ ประโยชน์อัน ยิ่งใหญ่ ลึกซึ้งก็คือ ฝึกการเสียสละ ส่วนเรื่องบำรุงปฏิสังขรณ์วัดวาอารามนี่ มันก็เป็นประโยชน์เป็นอานิสงส์ ก็เหมือนเหมือนกัน แม้จะบำรุงพระศาสนา บำรุงวัดบำรุงวานี้ ก็ไม่มีประโยชน์มากเท่ากับว่าเสียสละ ความเห็นแก่ตน ของเธอเอง เธอสร้างวัดให้ใหญ่โตสวยงามก็ตามเถอะ อันนั้นก็ได้บุญได้อานิสงส์ แต่ไม่ได้ บุญอันสูงเท่ากับว่าเธอ ฝึกเสียสละความเห็นแก่ตนของเธอเองนั้นสูงกว่า
ขอให้ได้นิสัยอันนี้ติดตัวไปทุกคน ติดตัวกลับไปทุกคน ว่าเราเสียสละ ฝึกการเสียสละ ทำลายความ เห็นแก่ตน ขอให้การทำลาย ความเห็นแก่ตนนี้ติดไปด้วย ติดไปด้วย และมากขึ้นมากขึ้นมากขึ้นในอนาคต ให้เธอเป็นคนสละความเห็นแก่ตน มากยิ่งขึ้นในอนาคต แล้วความทุกข์ส่วนตัวก็จะไม่มี ประโยชน์ของผู้อื่น ก็จะเกิดขึ้นมาก และก็จะช่วยบำบัดความทุกข์ของผู้อื่นแหละ ทำโลกให้มีธรรมะ ทำโลกนี้ให้มีธรรมะ และทำให้เกิดประโยชน์ แก่ชาวโลก ได้บำบัดทุกข์ของผู้อื่น ในวงกว้างไปทั่วโลก
ส่วนเราแต่ละคน ๆ นี่ก็กำจัดความทุกข์เสียให้ได้ ด้วยการตัดต้นเหตุของมัน คือ ความเห็นแก่ตน นั้นเสีย นี่ต้องมองลึก ๆ นะถึงจะเห็นความจริงข้อนี้ หรือประโยชน์อันสูงสุดแค่นี้ ถ้ามองผิว ๆ ก็ได้แต่มาสนุก เป็นพัก ๆ นั่นเอง และก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้นเสียด้วย ได้สรวลเสเฮฮากันพักหนึ่ง มันก็ได้เท่านั้น มันไม่ไม่มากมายอะไร แต่ถ้ามองเห็นว่าการเสียสละแก่ตน และก็มันได้ทางจิตใจ ทางวิญญาณมากมาย ให้เหมาะสมที่จะก้าวหน้า ให้สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป ใกล้พระนิพพานนะ
ฉันคิดว่าเดี๋ยวนี่เธอก็ไม่ต้องการนิพพาน เพราะว่าเธอจะคิดว่ามันดีเกินไป พอพูดว่าเป็นปัจจัย แก่นิพพาน บางคนก็ไม่ค่อยสนใจ ที่จริงเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุด นิพพาน แปลว่า ไม่มีทุกข์ เมื่อทุกข์ไม่มีใน จิตใจ เมื่อนั้นเรียกว่า นิพพาน พอทุกข์มีมาก็เรียกว่า จมวัฏสงสารอีกแล้ว บางเวลาเราไม่มีความทุกข์ในจิตใจ เลยนะ เวลานั้นอยู่กับนิพพาน เดี๋ยวก็มีเรื่องทำให้ รัก โกรธ เกลียด กลัว วิตก กังวล อาลัย อาวรณ์ อิจฉา ริษยา หึงหวง อะไรอย่างนี้เป็น วัฏสงสารอีกแล้ว ถ้าไม่มีเหตุสิ่งเหล่านี้ จึงจะเป็นนิพพาน
มันดีถึงอย่างนี้แต่ไม่มีใครต้องการ ทุกคนมันติดกันแต่เรื่องข้างนอก เรื่องสนุกสนาน เรื่องกามารมณ์ เรื่องอะไรเหล่านี้ เสีย ๆ เสียหมด ไม่ต้องการความหยุดเงียบสงบของกิเลสเลย ยิ่งมีกิเลสยิ่งสนุก คนพวกนี้ เขาว่ายิ่งมีกิเลสยิ่งสนุก เขาโลดเต้นไปตามกิเลสยิ่งสนุก มันก็สนุก มันก็สนุกของกิเลส เพราะกิเลสมันเป็น เจ้าของคนเสียแล้ว แล้วมันก็ร้อนนะ คิดดูเถอะ แม้จะสนุกสนานอย่างไร มันก็มีเรื่องร้อน มีเรื่องแพ้ เรื่องชนะ เรื่องได้ เรื่องเสีย เรื่องขาดทุน เรื่องกำไร เรื่องสมหวัง เรื่องผิดหวัง อะไรไปตามเรื่อง มันก็ร้อนทั้งนั้นแหละ
ผู้ที่รู้ธรรมะ เขาจึงไม่ต้องการเพียงเท่านั้น เขาต้องการให้จิตสงบ ไม่มีความทุกข์โดยแท้จริง นั่นเขา เรียกว่า นิพพาน นิพพาน แปลว่า ดับ ดับแห่งของร้อน ไฟ หรืออะไรก็ตามที่มันร้อน ถ้ามันดับเย็นลงไปนี่ เขาเรียกว่า นิพพาน ถ้าจิตของเราไม่มีไฟ คือ กิเลส ไม่มีความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว เป็นต้น แผดเผาแล้วเราเรียกว่า จิตมันเย็น จิตมันอยู่กับนิพพาน ข้อนี้มันจะทำขึ้นมาได้ด้วยการเสียสละออกไปให้หมด เสียสละเรื่องตัวกู เรื่องของกู มีแต่ชีวิตที่ประกอบอยู่ด้วยสติปัญญา และก็ทำไปตามสติปัญญา มันก็ได้รับ ความสุข ความเจริญ ชนิดที่ไม่ร้อน
ความสุขที่ไม่ร้อน เรียกว่า ข สะกด ไอ้ความสุขที่ร้อนนั่น ก สะกดนะ เผาไฟให้สุก ใส่หม้อต้มให้สุก จี่ให้สุก สุกนั่นสุก ก สะกด มันร้อนนะ แล้วก็ชอบกันอยู่เพียงเท่านั้นนะ ชอบสุกร้อนนะ ไม่ได้ชอบสุขเย็น พอพูดถึงสุขเย็น สุขสงบเย็นก็ง่วงกันหมดแล้ว ง่วงกันง่วงนอนกันหมดแล้ว ไม่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องแล้วนะ ต้องพูดถึงเรื่องสุขกระโดด โลดเต้น ถึงจะค่อยลืมหูลืมตาขึ้นมา เราจึงถูกชักชวนไปด้วยการสนุกสนาน กระโดดโลดเต้น ทั้งนั้นนะ ไม่ว่าที่ไหน ที่ถูกชักชวนไปสำเร็จในระยะนี้ ต้องเอาเรื่องสนุกสนาน กระโดด โลดเต้น แปลกประหลาด อะไรเข้ามาช่วย ถ้าชักชวนไปหาความสงบกันแล้ว ดูจะไม่มีใครไป
แต่ว่าเดี๋ยวนี้เราได้มาทำสิ่งที่สนุกด้วย สนุกได้ด้วย และมีประโยชน์ลึกซึ้งด้วย และก็เป็นปัจจัยแก่ พระนิพพานด้วย ที่ว่าจะช่วยให้เราหมดกิเลสได้ในอนาคต เพราะฉะนั้นเราจึงมีความยินดี ที่ว่าเธอได้มา ได้เสียสละ ได้เผชิญกับความเหน็ด ความเหนื่อย ความหิว ความกระหาย อะไรต่าง ๆ ที่มันเป็นเรียกว่าเป็น ความต้องอดทนนั่นแหละ เธอก็มาฝึกการอดทนกันอย่างเต็มที่ มีขันตี มีสัจจะความจริงใจ มีทมะมีบังคับ ตัวเอง มีขันตีความอดกลั้นอดทน มีจาคะสละความเห็นแก่ตนไปเรื่อย ๆ เรียกว่า ดีที่สุดแล้ว
แล้วก็ได้ดีแล้วด้วย แต่ถ้าใคร ไม่มีปัญญาก็มองไม่เห็นนะ มองไม่เห็นความดีที่ตนได้ทำ มองไม่เห็น ความดีที่ตนได้รับ น่าสงสารนะ ตนเองก็ทำความดีได้ความดี โดยแท้จริงด้วย แต่มองไม่เห็น เป็นเพราะไม่มี ปัญญา มันไม่เคยศึกษา ไม่มองไม่เคยมองเห็นไอ้ความดีทำนองนี้ เคยเห็นแต่ความดีที่ได้เงินได้ทอง ได้เกียรติยศ ได้เดน ได้เด่น ได้ดัง ได้สนุกสนาน กระโดดโลดเต้น มันเห็นก็แต่เพียงเท่านั้น ไม่สูงขึ้นไปถึงความสงบ เดี๋ยวนี้มันก็ ได้ผลถึงความสงบ หรือเป็นปัจจัยแก่ความสงบ ซึ่งมีค่ามาก แต่เธอมองไม่เห็นเราจึงต้องพูดให้ฟัง เพราะเธอมองไม่เห็นฉันจึงต้องพูดให้ฟังว่า มันมีประโยชน์ มีอานิสงส์อย่างสูง อย่างซ่อนเร้นอยู่ในนั้น
ขอให้จัดจิตใจเสียหน่อย อย่าหลงอยู่แค่สนุกสนาน กระโดดโลดเต้นเลย จัดจิตใจให้ละเอียด ประณีต ลึกซึ้งมองลงไป จนเห็นไอ้ความเสียสละ สละความเห็นแก่ตน ทำลายความเห็นแก่ตนนี่ ไอ้เรื่องตัวกูของกู ซึ่งเป็นเรื่องกิเลสมันลดลง ๆ นั่นนะดีมากนะ เธอก็ได้ทำแล้วก็ได้มี มีแล้วด้วยแต่ไม่มองเห็นจะทำอย่างไร ไม่มีใครช่วยอธิบายให้มองเห็น ก็เลยไม่ได้เห็น สิ่งที่ดีที่มีค่า ที่ได้ทำไปแล้ว เพราะฉะนั้นขอให้ฉลาดยิ่ง ๆ ขึ้นไป ฉลาดขึ้นไปเรื่อย ๆ และปฏิบัติธรรมะมากขึ้นไปเรื่อย ๆ สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ในทางจิตใจ
เมื่อเธอมา มาด้วยมีความเห็นแก่ตน เมื่อเธอกลับไปกลับไปด้วยความเห็นแก่ตนอันเบาบาง นี่เรียกว่า ได้ประโยชน์เหลือสะ อ่า, มหาศาลเลย ได้ทำลายความเห็นแก่ตนให้ลดลงไปเสีย กลับไปด้วยความเห็นแก่ตน น้อยลง นี่คือ อานิสงส์มหาศาล ขอให้เป็นเช่นนั้น เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธประสงค์ของ พระพุทธเจ้า ท่านต้องการให้คนทุกคน กำจัดความเห็นแก่ตน เมื่อเรานับถือพระพุทธศาสนา นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็จงตั้งหน้าตั้งตา ทำทุกอย่างเพื่อกำจัดความเห็นแก่ตน ให้ทำเรื่อย ๆ ไปตามโอกาส แต่ที่จะมีผลดี โดยประจักษ์ ในเร็ว ๆ นี้ก็คือว่า เธอจะเป็นคนทำงานสนุก นี่จะบอกให้จำไป จำไปให้แม่นยำ จำไปตลอดชีวิต ว่าจงทำงานให้สนุก แล้วก็มีความสุขเมื่อกำลังทำงาน ฝึกบทเรียนข้อนี้ให้มาก ถ้าทำงานแล้ว ก็ต้องรู้สึกสนุกแหละ เพราะว่างานนั้นนะเป็นของมีค่า เป็นทั้งหมดของชีวิต เป็นเกียรติยศของมนุษย์ อยู่ตรงที่ทำงาน
ถ้าเรามีจิตใจอย่างนี้แล้วเราจะทำงานสนุก จึงทำได้มาก จึงไม่เบื่อ ไม่หลบหลีก จึงไม่เอาเปรียบการงาน อะไร ถ้าทำงานสนุก สนุกเพราะเห็นว่าไอ้การทำงาน คือ ธรรมะ แล้วก็พอใจ พอใจก็เป็นสุข เป็นสุขเมื่อทำ การงานนั่นเอง ไม่ต้องไป เล่นหัวสนุกสนานอะไรที่มันเป็นเรื่องหลอก ๆ ทั้งนั้น ไอ้สุขที่แท้จริง คือ ความพอใจอันบริสุทธิ์ ที่เกิดมาจากการทำสิ่งที่ควรจะทำ คือ ทำงานที่ถูกต้อง เช่น เราจะกลับไปเรียนหนังสือ นี่การเรียนนั้น ก็คือ การงานของ คนเราในระดับหนึ่ง เมื่อยังเยาว์วัยอยู่ก็ต้องเรียน การเรียนนั้นก็คือ การงาน เธอจงเรียนให้สนุก อย่าเรียนด้วยความจำใจ เรียนด้วยความหลอกตนเอง เรียนด้วยความหลอกพ่อหลอกแม่ ว่าเป็นนักเรียนที่ดี มันก็ไม่ได้เรียนดี มันก็ไม่ได้เรียนจริง เพราะมันเรียนไม่สนุก มันก็หลอกตนเอง ไม่เป็นนักเรียนก็ว่าเป็นนักเรียน หลอกตนเอง หลอกพ่อแม่ หลอกทุกคน
ตนไม่ได้เรียนอย่างสนุก ก็ไม่เป็นนักเรียน แต่ก็เรียกตนเองว่านักเรียน ดังนั้นไปแก้ไขข้อนี้เสียใหม่ ให้ถูกต้อง ว่าต้องเรียนอย่างสนุกที่สุดแหละ จะเรียนหนังสือ จะเรียนเลข จะเรียนวิทยาศาสตร์ แม้แต่จะเรียน การฝีมือ ก็ขอให้สนุกที่สุดเลย สนุกยิ่งกว่าเล่นกีฬาอะไร แต่นี่คนมันโง่มันบอกเล่นกีฬาสนุก มันไม่สนุกใน การเรียน มันก็เรียนได้น้อยแหละ เพราะจิตใจมันกระหายที่จะไป เล่นกีฬาเสียเรื่อย เธอก็จงเรียนให้สนุก แล้วพอใจว่าเราเรียนได้ เราเรียนดี เราก็เป็นสุขเพราะความพอใจนั้น เรายกมือไหว้ตนเองได้ ว่าเราได้ทำสิ่งที่ดี ที่สุด คือ เรียนสนุก เรียนเป็นสุขก็พอใจ ขอบใจตนเอง นับถือตนเอง ยกมือไหว้ตนเองได้นั่นแหละดี
ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องเล่นหัว เรื่องที่เป็นกิเลสนะ ในที่สุดก็เป็นความล้มเหลวแห่งการเรียนนะ ไอ้พวกที่คิดแต่เรื่องแฟนนัก มันสอบไล่ตกทุกคนนะ ไม่ต้องมีใครแช่ง ไม่ต้องมีใครแช่ง มันจะสอบไล่ตก ทุกคนแหละ หรือมันจะไปคิดแต่เรื่องสนุกสนานอย่างอื่น มันก็เหมือนกันแหละ มันจะสอบไล่ตกทุกคน มันเรียนไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันก็ต้องเห็นว่าไอ้การเรียนนั่น คือ สิ่งสูงสุดของมนุษย์ โดยเฉพาะสำหรับเรา ในขณะที่ยังเป็นนักเรียน จึงยังไม่สนใจเรื่องอื่น สนใจแต่เรื่องเรียน เรียนให้สนุกแล้วเป็นสุขเมื่อเรียน เหนื่อยก็นอนเสีย หายเหนื่อยก็เรียนอีก เรียนที่โรงเรียนก็ได้ ที่วัดก็ได้ ที่บ้านก็ได้ ไม่ไม่เฉพาะที่ไหน มันเรียนได้ทั้งนั้น
นี่มันจะเป็นการเรียนที่ดี เพราะว่าเราเรียนสนุก นี่ขอร้องให้ช่วยจำไปทุกคน ทุกคนนะช่วยจำไป ประโยคนี้ว่า ทำงานให้สนุกเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน ทำงานให้สนุกเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน หัดทำงานให้สนุก และเป็นสุขเมื่อทำการงาน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนตลอดชีวิต จะทำงานได้มาก เพราะมันสนุก เพราะมันสนุก มันจึงทำได้มาก อ้าว, นั่งกันอยู่ตรงนี้ก็ดีแล้ว มันมันดูง่ายว่าในตึกนั้นนะ ตึกหลังแดงเข้าไปดู มีหนังสือเท่าไร ทั้งหมดหนังสือมีเท่าไร เราก็จะบอกเธอว่า นั่นเราเขียนคนเดียว เราพูดคนเดียว เราแต่งคนเดียว หลายคนไป เห็นไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าคนเดียวทำ เขาไม่เชื่อเราคนเดียวทำ แต่เรายืนยันกับพวกเธอนั้นเราทำคนเดียว
เพราะเราถือหลักอันนี้ ว่าทำงานให้สนุกและเป็นสุขเมื่อทำการงาน เราก็นั่งพูดนั่งทำไปได้เรื่อย อย่างสนุกนะ เมื่อหลายปีมาแล้วนะ เดี๋ยวนี้มันชราแล้ว มันก็ทำลดลงมาก แต่เมื่อทำงานอย่างแรก มีวัดสวนโมกข์ใหม่ ๆ อย่างนี้ ทำงานสนุก บางบางยุคบางสมัยทำงานวันละ ๑๘ ชั่วโมง นั่งคิด นั่งค้น นั่งเขียน นั่งร้อยกรอง นั่งอะไร วันหนึ่ง ๑๘ ชั่วโมง เมื่อคนอื่นเขาทำงานกันเพียงวันละ ๘ ชั่วโมง เราทำงาน ๑๘ ชั่วโมง มันจึงมีผลงานออกมาอย่างนี้ แล้วมาดูเดี๋ยวนี้มันมาก มาก มากจนคนเขาไม่เชื่อว่า ทั้งหมดนี้คนเดียวทำ แต่เรายืนยันว่าเราทำคนเดียว และก็ด้วยจิตที่จะ ทำงานสนุกเป็นสุขเมื่อทำการงาน ทำเพลินไปเรื่อย จนกว่าจะเหน็ดเหนื่อย ทำไม่ไหวจริง ๆ จึงจะนอน พักผ่อนนอนแล้วตื่นขึ้นมามีแรงอีกก็ทำต่อไปอีก
เกือบจะไม่รู้ว่าเป็นกลางวัน หรือกลางคืน
เรามีแรงเมื่อไรก็ทำงานเมื่อนั้น แล้วก็สนุกอยู่อย่างนั้น เข้าไปดูสักแว็บหนึ่งก็ได้ว่า ไอ้หนังสือทั้งหมด นี้มันมีกี่มากน้อย และคนเดียวทำมันต้องสนุกกี่มากน้อย มันจึงจะทำได้มากเท่านั้น แต่ที่สำคัญก็ขอให้เธอจำ เอาไปด้วย กลับไปนี้จำเอาไปด้วยว่า ทำงานให้สนุก และก็เป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน เราเป็นนักเรียนไอ้การเรียน นั่นแหละ คือ การงาน การเรียนของเธอในโรงเรียน หรือที่บ้านนั่นแหละ คือ การงาน เพราะฉะนั้นทำงาน ให้สนุก แล้วมีความสุขเมื่อกำลังทำงาน ไม่ใช่เมื่อไปไปเที่ยว ไปกิน ไปเล่นไป นั่นมันเป็นเรื่องทำลาย มันไม่ใช่ความสุขหรอก เป็นความเพลิดเพลิน เอร็ดอร่อยของกิเลส มันเป็นความสุขหลอกลวงของกิเลส
แต่ความสุขแท้จริงของธรรมะ ก็คือ การทำงานที่มีประโยชน์ ทำงานที่มีประโยชน์แล้วสนุก เรียนให้สนุก เขียนหนังสือสักตัวหนึ่งสวยขึ้นมาก็พอใจ เขียนเลขสักตัวหนึ่งสวยขึ้นมาก็พอใจ อะไรก็พอใจ ในการที่ได้ทำให้ดีที่สุด เธอจงจำไปด้วย ขอร้องอย่างซ้ำ ๆ ซาก ๆ ว่าให้ทุกคน ถือคติว่า ทำงานให้สนุก ทำงานให้สนุก ทำงานให้สนุก แล้วก็เป็นสุขเมื่อกำลังทำงานนั่นเอง ถ้าใครมาขอพรจากเรา หรือเธอจะขอพร จากเรา เราก็จะให้พรนี้ คำให้พรนี้ก็ทำงานให้สนุกนะ แล้วก็เป็นสุขเมื่อกำลังทำงานนะ นี่คือ การให้พร
เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ก็คิดว่า บางคนก็ต้องการพรบ้าง เราก็ให้พร ว่าจงทำงานให้สนุกและมีความสุข เมื่อกำลังทำงาน อย่างนี้มีแต่ความเจริญ เจริญ เจริญตลอดชาติ มันเจริญที่สุดที่มนุษย์มันจะเจริญกันได้ ถ้าว่าทำงานสนุกและเป็นสุขเมื่อทำการงาน เอาละนี่คือคำ การที่เรายินดี พอใจในการกระทำของเธอ และก็ขออนุโมทนาด้วย ขอให้เธอฝึกฝน การกระทำที่เป็นการทำลายความเห็นแก่ตน ในลักษณะเช่นนี้ สืบต่อไป สืบต่อไป ทำงานให้ผู้อื่นนั่นแหละเป็นการทำงานให้ตน เพราะว่าทำงานให้ผู้อื่น นั้นมันมัน การทำลายความเห็นแก่ตนของเรา เราไปทำงานให้ผู้อื่นเรากลับได้สิ่งสูงสุด คือ ทำลายความเห็นแก่ตน ความเห็นแก่ตนนั้น หมดไปเท่าไรก็ยิ่งเป็น ความดีวิเศษเท่านั้น
ถ้าจะคิดพูดตรง ๆ ก็ว่า เดี๋ยวนี้เธอมาทำงานให้ ผู้ผู้เจ้าของถิ่นได้รับประโยชน์ทางวัตถุ แต่เธอได้รับ ประโยชน์ทางจิตใจ คือ ความเห็นแก่ตนลดลงไป ลดลงไป ลดลงไป หมดความเห็นแก่ตน นั้นคือ สิ่งที่ดีที่สุด ที่เธอจะได้ไป คิดเป็นเงินก็มากมาย ตีก็ตีราคากันไม่ไหว ธรรมะนี้ ธรรมะที่ไม่เห็นแก่ตนนี้ ตีราคาไม่ไหว มากเกินกว่าที่จะตีราคา เพราะฉะนั้นเราจึงมีความยินดี ในการกระทำของเธอ แล้วก็อนุโมทนาในการกระทำ ของเธอ และก็ให้พรเธอทั้งหลายทุกคนว่า จงทำงานให้สนุก มีความสุขเมื่อกำลังทำงานอยู่ ตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
ขอให้รับเอาไปปฏิบัติจริง ๆ อย่าแสดงแต่ท่าทาง