แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อนุโม อนุโมทนาผ้าป่า จากวัดโคกสมานคุณ หาดใหญ่ วันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ที่ลานหินโค้ง และต่อด้วยการพูดกับสามเณรภาคฤดูร้อน และอาจารย์พี่เลี้ยงจากสวนแก้ว อ.บางเลน ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ที่ลานหินโค้ง วันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๖
เราจะพูดสักสองเรื่อง เรื่องแรกคือการบวชเณร เรื่องที่สองคือความเป็นเณร เรื่องที่หนึ่งคือการบวชเณร เรื่องที่สองคือความเป็นเณร เธอทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดีให้สำเร็จประโยชน์
การบวชเณร การจัดให้บวชเณร เป็นความประสงค์หลายฝ่าย เป็นความประสงค์ของรัฐบาล ที่ต้องการจะกอบกู้ศีลธรรมของประชาชน หวังว่าประชาชน ยุวชนที่เป็นสามเณรนี้ เอ่อ,ควรจะได้อบรมธรรมะ จึงสนับสนุนให้มีการบวช รัฐบาลก็ต้องการให้มีการบวชเณรภาคฤดูร้อนอย่างนี้ บิดามารดาของเราก็หวังว่า เราจะเป็นคนดีมีศีลธรรมก็ต้องการให้บวชเณร คนที่เป็นที่รักใคร่มิตรสหายทั้งหลาย เขาก็พอใจให้เราเป็นคนมีศีลธรรม เขาก็สนับสนุนการบวชเณร แม้แต่เราเอง เราก็เห็นว่าการบวชเณรมีประโยชน์ เราทุกคนบวชเณรแล้วอย่าให้เขาผิดหวัง อย่าให้เขาผิดหวัง อย่าให้ทุกคนผิดหวัง อย่าให้รัฐบาลผิดหวัง อย่าให้ประชาชนผิดหวัง อย่าให้บิดามารดาผิดหวัง อย่าให้มิตรสหายผิดหวัง ตัวเองก็อย่าให้ผิดหวังของตัวเอง เธอจะต้องปฏิบัติตามระเบียบกฎเกณฑ์ที่มีอยู่นี้ให้เคร่งครัดตลอดวันตลอดคืน เขาฝึกฝนอย่างไรมีระเบียบฝึกฝนอย่างไร อย่าได้บิดพลิ้ว อย่าได้หลีกเลี่ยง
มันเป็นธรรมดาแแหละกับการปฏิบัติธรรมะนี้มันก็จะต้องเจ็บปวดบ้าง เหน็ดเหนื่อยบ้าง ที่ว่าเจ็บปวดนั่นคือกิเลสน่ะมันเจ็บปวด ถ้าเราปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติวินัย แล้วกิเลสนั้นน่ะมันเจ็บปวด นี่เรามัน มันโง่ ไปเอาเจ็บปวดของกิเลสมาเป็นของเรา เราเลยโกรธ เราเลยไม่อยากจะปฏิบัติ อยากจะเลิกเอ่อ,การปฏิบัติเสีย นี่เพราะเราไม่รู้ว่ามัน เมื่อมีการปฏิบัติธรรมะแล้วกิเลสจะเจ็บปวด แล้วมันจะชวนให้เลิกๆๆ ไปทำอย่างอื่นดีกว่า ถ้าเรารู้อย่างนี้ เราก็ไม่ยอมสิ เราก็ยินดีต่อสู้กับความเจ็บปวดหรือลำบาก หรืออะไรก็ตาม เอ่อ,เพราะว่าเราจะต้องประพฤติปฏิบัติให้ดี ให้ถูกต้องที่สุดทั้งกลางวันและกลางคืน เอ่อ,ถ้าพูดอย่างหนึ่งก็พูดว่า ทั้งหลับ เอ่อ,ทั้งตื่น ทั้งตื่นทั้งหลับ เราจะต้องประพฤติปฏิบัติให้สำเร็จประโยชน์ เอ่อ,ทั้งตื่นและทั้งหลับ ในกลางวันเราตื่นอยู่เราก็ดูแลเอง ควบคุมตัวเองจนกว่าจะหลับ หลับแล้วก็มีอาจารย์มาคอยดู มาคอยควบคุมให้มันหลับโดยที่ไม่มีกิเลส เอ่อ,มาครอบงำ เขาพูดกันเป็นสองแบบว่า นอนเหมือนหมาหรือนอนเหมือนราชสีห์ เมื่อเราอยู่ที่บ้านเรานอนตามสบาย ดิ้นรนตามสบาย ไม่สำรวมระวังอะไร ผ้าผ่อนหลุดลุ่ยก็ไม่เป็นไร ดิ้นเท่าไรก็ไม่เป็นไร อย่างนั้นเขาเรียกว่า นอนเหมือนหมา ถ้าว่านอนเหมือนราชสีห์ เรียบร้อยตั้งแต่เริ่มนอนจนตื่น คงจะมีครูบาอาจารย์เขาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังแล้วเมื่ออบรมกันเกี่ยวกับการนอน นอนอย่างราชสีห์นั้นมีความหมายว่ามีสติ กำหนดอย่างแน่วแน่ก่อนแต่จะหลับ กำหนดเวลาหลับ กำหนดเวลาตื่น แล้วเราปฏิบัติอยู่ตลอดเวลาว่าเราจะไม่เคลื่อนไหวอิริยาบถใดๆ ถ้าไม่ยังไม่มีสติ เราต้องมีสติเสียก่อนจึงจะเคลื่อนไหวอิริยาบถใดๆ ฉะนั้นเราจึงไม่ดิ้น ไม่นอนดิ้นจนกว่าเราจะตื่น และมีความรู้สึกเสียก่อน อย่างนี้เป็นต้น ฉะนั้นถ้าอาจารย์เขามาจัดให้นอนใหม่ก็อย่าโกรธ เมื่อเราไม่นอนอย่างราชสีห์ แล้วอาจารย์เขามาปลุกให้นอนเสียใหม่อย่างราชสีห์ เราก็อย่าโกรธสิ ดังนั้นถ้าเราโกรธก็มันเสียหายหมดแแหละ เสียหายตัวเราเอง เสียหายแก่อาจาย์ เสียหายแก่ระเบียบ เสียหายหมด แม้แต่ว่าการนอน มันก็ต้องนอนดีร้อยเปอร์เซ็น ไม่เหมือนนอนที่บ้านเมื่อยังไม่ได้บวช
ทีนี้เรื่องการกิน เขาให้กินอย่าง เอ่อ,พระแแหละ ให้กินอย่างพระ อย่างเณรแแหละ อย่างนักบวชน่ะ กินเพียงเพื่อเลี้ยงชีวิตให้สะดวกสบาย ไม่ใช่กินให้เมามาย ให้เอร็ดอร่อย สนุกสนาน ข้อความนี้มีรายละเอียดอยู่แล้วในธาตุปัจจเวก เมื่อเธอสวดธาตุปัจจเวก เราจงตั้งใจกำหนดเนื้อความให้ดีๆ ว่าธาตุปัจจเวกนั้นสอนว่าอย่างไร จงประพฤติปฏิบัติให้ได้ตามนั้น เราก็จะเป็นผู้ที่กินอาหารอย่างถูกต้อง เอ่อ,ไม่กินด้วยกิเลส กินด้วยสติสัมปชัญญะว่าผู้กินหรือสิ่งที่ถูกกินนี้ เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ ไม่ใช่สักบุคคล เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ เป็นไปตามเห็นตามปัจจัยอยู่เนืองนิตย์ นี่เรามีสติบริโภคอาหาร กินแต่พอดี ไม่ให้อึดอัด ซึ่งตามหลักเขาก็มีว่า ไม่ให้กินให้อิ่ม ให้เว้นเสียสี่ห้าคำแล้วกินน้ำแทน อย่างนี้เป็นกินแต่พอดี พอยังอัตภาพให้เป็นไป แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ให้กินของอร่อย ถ้าสิ่งนี้มันอร่อยก็ได้ ใครเอาของอร่อยมาให้กินก็กินได้ แต่แม้มันจะอร่อยสักเท่าไร เราก็ไม่หลงไหลมัน ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่า กูอร่อย กูจะเอามากๆ กูจะกินพรุ่งนี้อีก อย่างนี้มันผิดธรรมะหลัก ผิดหลักธรรมะหมด เห็นอยู่ว่าของนี้อร่อยก็กินได้ ไม่ห้ามน่ะ แต่ว่าอย่ากินด้วยความโง่ จนไปหลงในความอร่อย ของไม่อร่อยก็ ก็กินได้ แต่ไม่ต้องโกรธว่ามันไม่อร่อย นี่เรียกว่าเราจะเกี่ยวข้องกับของอร่อย ไพเราะงดงาม หอมหวล เอ่อ,นิ่มนวล อะไรก็ได้ แต่อย่าไปหลงกับมัน อย่าไปหลงกับมัน อย่าไปหลงโง่ยึดถือว่าตัวกูของกู ตัวกูได้กินอย่างนั้น ตัวกูได้ใช้อย่างนี้ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่า บวชพระบวชเณรแล้วไม่ เอ่อ, ไม่ให้กินของอร่อย เห็นของอร่อยมาแล้ววิ่งหนีหรือทิ้งเสีย เขาไม่ได้สอนอย่างนั้น กินของอร่อยก็ไม่ต้องหลงไหลมัน คือไม่รักมัน ไม่ๆ ไม่ยินดีมัน กินของไม่อร่อย ก็ไม่หลงไหลมัน โกรธมัน คือไม่โกรธมันน่ะ ไม่ยินร้าย นี่น่ะบริโภคอารมณ์ อิฏฐารมณ์ก็ดี อนิฏฐารมณ์ก็ดี ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย
นี่ก็คือการบวชของเรา การบวชของเรา บวชมาเพื่อฝึกอย่างนี้ ทีนี้แล้วกลับออกไป สึกออกไปก็ยังคงปฏิบัติอยู่ การปฏิบัติที่เป็นผลดีที่เราได้ฝึกฝน เอ่อ,ตลอดเวลาในการบวชนี้ หมายความว่า เราต้องเอากลับออกไปแม้ลาสิกขาไปอยู่บ้าน เราก็ยังคงปฏิบัติอยู่โดยหลักเกณฑ์อย่างเดียวกัน เช่นว่านอนก็ไม่นอนมาก ไม่นอนอย่างคนขี้เกียจ และก็ไม่นอนอย่างสุนัข ที่ว่าดิ้นรน เอ่อ,ไม่ๆ ไม่มีความสงบแม้ในเวลานอน เขาเรียกว่าไม่นอนอย่างหมา แต่นอนอย่างราชสีห์ เรื่องกินก็กินอย่างผู้มีสติปัญญา ก็ไม่ให้มีความ ไม่ให้มีโทษใดๆ เกิดขึ้นเพราะการกิน แล้วก็หัดสันโดษ ในระหว่างบวชนี้หัดสันโดษ เป็นอยู่ชนิดที่ง่ายที่สุด ต่ำที่สุด กระทั่งว่าใช้จ่ายน้อยที่สุด กระทั่งว่าไม่ใช้จ่ายเลย ถ้าเณรคนใดบวชคราวนี้ไม่ได้ใช้เงินสักสตางค์เลยนับว่าดีมาก เก่งมาก บวชแล้วยังใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย นี่ใช้ไม่ได้ พระหรือก็ตาม เณรก็ตาม บวชแล้วยังใช้เงินอยู่นั้นไม่ ไม่ ไม่ดี ไม่ถูกต้อง ไม่ต้องใช้น่ะอย่างไรๆแล้วก็เราก็ไม่ได้บวชกี่วัน ไม่ต้องใช้นั่นแแหละเป็นดีที่สุด หัดอยู่อย่างไม่ต้องใช้เงินกันเสียบ้าง เอ่อ,สันโดษ มักน้อย มีอะไรก็มีเท่าที่เขามีให้ เท่าที่เขามีให้ใช้ เอ่อ, เราอยู่อย่างต่ำที่สุดเหมือนพระพุทธเจ้าล่ะ พระพุทธเจ้าไม่มีไฟฉายละ พระพุทธเจ้าท่านไม่ใช้ไฟฉาย ดังนั้นท่านจึงไม่ต้องจำเป็นจะต้องซื้อถ่านไฟฉาย เอ่อ,เราเดี๋ยวมันก็เกิดจะต้องซื้อถ่านไฟฉายขึ้นมา เดี๋ยวจะต้องใช้สตางค์อีก อย่างนี้เรียกว่าไม่เก่ง ถ้าเก่งก็ต้องหัดชนิดที่เป็นอยู่อย่างที่ไม่ต้องใช้เงิน เดี๋ยวนี้เรานั่งกลางดินเห็นไหม นี่ต่ำที่สุดแล้ว เรานั่งกลางดิน พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้าตรัสรู้กลางดิน พระพุทธเจ้าสอนกลางดิน อยู่กลางดิน พระพุทธเจ้านิพพานก็กลางดิน แล้วก็ใต้ต้นไม้ด้วย ประสูติก็ใต้ต้นไม้ ตรัสรู้ก็ใต้ต้นไม้ อยู่ก็ใต้ต้นไม้ สอนใต้ต้นไม้ นิพพานก็ใต้ต้นไม้ นี่ต่ำที่สุดแล้ว ให้จำไอ้ความเป็นอยู่อย่างต่ำที่สุดนี้เอาไปด้วย เพราะถ้าสึกออกไปเป็นฆราวาสแล้วก็ให้นึกถึงความเป็นอยู่ เอ่อ,อย่างต่ำๆ ไว้เสมอไป มันจะไม่มีเรื่องชนิดที่จะต้องใช้เงิน เอ่อ,บำรุงกิเลส มันจะอยู่อย่างต่ำๆน่ะ มันเข่นฆ่ากิเลส อยู่อย่างต่ำๆน่ะ เข่นฆ่ากิเลส อยู่อย่างสูงๆ ก็ส่งเสริมกิเลส การปฏิบัติทุกอย่างเหล่านี้ต้องเอาไปด้วย สึกแล้วต้องเอาไปด้วย โดยเฉพาะความอดกลั้นอดทน เราต้องฝึกกันมากในระหว่างบวชต้องฝึกต้องอดทนอย่างเข้มแข็งทีเดียว เป็นนิสัยไปจนตาย แล้วก็ความเหยาะแหยะ โลเล เหลาะแแหละ ไม่จริง ตามแบบของคนที่ไม่ได้รับการฝึกฝนนั้นเป็นว่าหมดแล้ว เพราะว่าเราบวชเข้ามานี้ได้รับการฝึกฝนให้เข็มแข็ง ให้เข้มแข็ง ไม่มีเหยาะแหยะ ไม่มีเหลาะแแหละ ไม่มีโลเล ไม่มีที่เรียกว่าอ่อนแอ อันนี้สำคัญมาก แล้วจะต้องเอาไปติดตัวไปจนตาย แม้จะสึกออกไปก็เอาไปด้วย เอาไปไว้ใช้จนตาย มีธรรมะที่เขาท่องกันขึ้นปากว่า ธรรม เอ่อ,สัจจัง ธัมโม ขันติ จาโค มีสัจจะคือความจริง มีความจริง เอ่อ,เป็นดี งามที่ผี ดีที่ละ พระที่จริง เป็นพระเป็นเณรนั้นมันอยู่ที่จริง เราฝึกหัดเป็นคนจริงก็ขอให้มันติดตัวไปด้วยจนตาย แล้วเราก็บังคับตัวเอง ธรรมะเรียกว่าบังคับตัวเอง เราก็ฝึกการบังคับตัวเองอย่างยิ่ง บังคับตัวเองนั้นคือบังคับกิเลส อย่างนี้เอาไปจนตาย เอาไปใช้จนตาย บังคับตัวเองคือบังคับกิเลส ทำไปจนตาย
ขันติ อดกลั้น อดทน ภายนอกมีอะไรเข้ามารบกวน เออ,ก็ทนได้ ภายในคือกิเลสมันรบกวน มันจะไสหัวให้ไปทำชั่วเราก็อดทนได้ มันอดทนกันเก่งไปจนตาย จาคะ สละภายนอก สิ่งของ สละภายในคือความชั่ว สละความชั่ว ความไม่ดี นี่เราก็สละอยู่จนตาย ฝึกฝนสละเวลานี้แล้วก็ไปจนตาย สัจจะ ธรรมะ ขันติ จาคะ
ทีนี้ที่ดีกว่านี้ขึ้นไปอีกก็คือ เรามีการฝึกสมาธิ วิปัสนา สมาธิ แปลว่า ปรับปรุงใจ ให้ตั้งมั่น เข้มแข็ง เหมาะสม สมาธิ คือ ปรับปรุงจิตใจให้ตั้งมั่น เอ่อ,ให้บริสุทธิ์ ให้เหมาะ ให้เข้มแข็ง ให้เหมาะสม ธรรมดาจิตนั้นมันมีนิวรณ์ ทำให้โลเล ถ้าทำสมาธิแล้วขจัดนิวรณ์ออกไปได้แล้ว จิตนั้นมันบริสุทธิ์ และจิตนั้นมันเข้มแข็งเพราะไม่มีนิวรณ์รบกวน แล้วจิตนั้นมันเหมาะสมคือใช้ทำอะไรก็ได้ และทำได้ดีทำได้เร็ว จิตที่เป็นสมาธินั้นทำงานได้ดี ทำงานได้เร็ว งานภายนอกก็ได้ ถ้าจิตเป็นสมาธิแล้วก็เรียนหนังสือได้ดีเรียนหนังสือได้เร็ว จำเก่ง คิดเก่ง ตัดสินใจเก่ง เขาเรียกว่าจิตใจนี้มันทำงานของมันได้ดี เพราะเรา เพราะมีความเป็นสมาธิ เมื่อจิตใจมันเป็นสมาธิอย่างนี้ดีแล้ว ก็ใช้ให้มันเป็นวิปัสนา คือ ดู ดู ดู ดู ไม่คิดแล้วทีนี้ไม่ต้องคิดแล้ว ดู ดู อะไรที่มันปรากฎอยูในจิตน่ะ อะไรปรากฎอยู่ในจิตในเวลานั้น ดู ดู ให้เห็นว่าไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงเรื่อย เป็นทุกข์ น่าเกลียดน่าชัง เป็นอนัตตา ไม่เอาเป็นตัวตนได้นี่ จิตเป็นสมาธิแล้วจะเห็นความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของสิ่งต่างๆ ทั้งปวง ที่คนเขาหลงใหลยึดถือกันนัก ทีนี้เราก็ไม่ยึดถือ ไม่หลงใหล เพราะอำนาจของการเห็นแจ้ง คือวิปัสนา สมาธินี่ฝึกได้เท่าไร เอาไปใช้ แม้สึกออกไปแล้วก็เอาสมาธิไปใช้ในการทำงาน ในการเล่าเรียน ในการทำทุกอย่างแหละ แล้วก็จิตที่เป็นสมาธินั้นมันทำให้เราว่องไว ให้เราฉลาด ก็ยิ่งดี เอ่อ,จะเป็นผู้ที่รู้จักสิ่งต่างๆ ทั้งปวงในโลกนี้อย่างถูกต้องว่า อย่าไปหลงโง่กับมัน อย่าไปหลงรัก อย่าไปหลงโกรธ อย่าไปหลงเกลียด อย่าไปหลงกลัว อย่าไปหลงอาลัยอาวรณ์วิตกกังวล อย่าไปหลงอิจฉาริษยากัน อย่าไปหลงหึงหวงกันอะไรอย่างนี้ เอ่อ,เพราะว่าจิตมันได้อบรมดีแล้ว มันได้เห็นเอ่อ,ต่าง สิ่งต่างๆ ตามที่เป็นจริง นี่เรียกว่าการบวชเณรของเรานี้ ได้ผลดี ไม่ผิดหวัง ถ้าเธอทำได้อย่างที่ว่ามานี่ แล้วมันก็ มัน มันก็ดี สมบูรณ์ ไม่ผิดหวัง รัฐบาลก็ไม่ผิดหวัง พ่อแม่ก็ไม่ผิดหวัง เพื่อนฝูงก็ไม่ผิดหวัง ครูบาอาจารย์ก็ไม่ผิดหวัง ตัวเองก็ไม่ผิดหวัง ไม่มีใครผิดหวัง เอ่อ,เพราะว่าเราได้บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง นี่เรียกว่าการบวชเณร บวชฤดูร้อน แม้ ๓ เดือน แต่ถ้าฝึกกันอย่างแท้จริงแล้วมันมีค่ามหาศาลน่ะ จะมีผลตลอดชีวิตเลย นี่เราเรียกว่าการบวช การบวชเณร การบวชเณรคือเป็นอย่างนี้
ทีนี้ เราจะพูดถึงเรื่องที่สองที่เราว่าไว้ว่า จะพูดถึงความเป็นเณร เรื่องที่สองคือความเป็นเณร เมื่อบวชเณรแล้ว มันก็เป็นเณร ถ้าบวชจริงก็เป็นเณร ถ้าบวชไม่จริงก็เป็นลิง ถ้าว่าบวชนี้บวชจริงมันก็เป็นสามเณร เอ่อ,ถ้ามันบวชไม่จริงมันก็เป็นสามลิง คือเป็นลิง มันยังเหลาะแหล โลเล หลุกหลิกอยู่เหมือนกับลิง เหมือนกับเมื่อยังไม่ได้บวช สามเณรแปลว่า ผู้เตรียมตัวเป็นสมณะ เขานิยมแปลกันว่า เหล่ากอแห่งสมณะ หรือหน่อแห่งความเป็นสมณะ ก็หมายความว่ามันจะเป็นสมณะในโอกาสข้างหน้า สมณะคือ ความเป็นพระโดยสมบูรณ์ เอ่อ,สามเณรนี่ เป็นเพียงเตรียมอยู่ กำลังเตรียมอยู่ เพื่อความเป็นสมณะโดยสมบูรณ์ในโอกาสข้างหน้า ฉะนั้นขอให้เธอเป็นสามเณรอย่างถูกต้องเหมือนกับว่าหน่ออ่อนๆ เกิดขึ้นมาแล้ว มันจะเติบโตเอ่อ,เป็นไม้ไผ่หรือเป็นไม้ต้น หรือเป็นไม้อะไรก็ตาม ตาม ตามพันธุ์ของมันน่ะอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นสามเณรนี้มันจึงเหมือนกับหน่ออ่อน พอเป็นหน่อขึ้นมาแล้วแล้วต่อไปมันจะเป็นลำต้นที่ เอ่อ,ใหญ่โต แข็งแรง สมบูรณ์ มีดอก มีผล เป็นอันว่า เรานี่รู้ว่าเรากำลังอยู่ในระยะที่จะต้องฝึกฝนแล้วเรายังอ่อนอยู่ เราต้องระมัดระวังมากเพราะว่าของอ่อนนี่มันตายง่าย มันแตกง่าย มันอะไรง่าย จึงต้องมี หิริ โอตัปปะ ให้มาก ระวังให้ดีมี สติ สัมปชัญญะ อย่าให้มันตายในเสียตั้งแต่อ่อนๆ อย่าให้ตายเสียตั้งแต่ในเป็นเมล็ด อย่าให้ตายเสียเมื่อยังเป็นหน่อ ให้มันเจริญขึ้นไปเป็นต้นไม้ใหญ่โต มีดอก มีผล นี่ขอให้เธอทำให้ได้อย่างนี้ เขาเรียกว่าเป็นสามเณรโดยแท้จริง เป็นผู้ที่จะเป็นเอ่อ,สมณะเออ,โดยสมบูรณ์ในอนาคต บวชเณรต้องให้เป็นเณรอย่างว่า อย่าให้เป็นไม่ใช่เณร ไปดู รู้เอาเองเถอะว่าไม่ ไม่เป็นเณรแล้วมันก็เป็นอะไร เป็นที่น่าเกลียดน่าชัง เดี๋ยวนี้ รัฐบาลน่ะเขารู้สึกว่าเด็กวัยรุ่นนี้ตายโหงกันมาก เด็กวันรุ่นอย่างพวกเธอนี้ ตายโหงกันมากกว่าแต่ก่อน เด็กแต่ก่อน เด็กวัยรุ่นไม่ค่อยจะมีเรื่องวิวาทบาดหมาง ฆ่ากันตาย อะไรกันตายเหมือนยุคนี้ ยุคนี้ มันมีการตายโหงตั้งแต่เด็กมากเข้าๆๆ น่า น่าเกลียดน่าชังมาก เธออย่าได้รวมอยู่ในหมู่นั้นเลย อย่าได้รวมอยู่ในหมู่ที่เรียกว่าตายโหงตั้งแต่เด็กเลย เดี๋ยวนี้มันมีการฆ่ากันเองระหว่างวัยรุ่นตายก็มี นี้มันแก้ไขไม่ได้ ตำรวจเขาเก็บไปเสียตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ อย่างนี้ก็มี อย่างนี้เรียกว่าตายโหงตั้งแต่เด็กทั้งนั้น ฉะนั้นถ้าเราบวชจริง เรียนจริง ตามแบบของเราที่ว่านี้แล้วไม่มีละ รับรองได้ไม่มี จะไม่มีการตายโหงตั้งแต่เด็ก เราจะอยู่อายุยืนยาวไปจนถึงอายุขัย แปดสิบปี เก้าสิบปี ร้อยปี อะไรก็ตามใจ เราต้องไม่มีการทำผิดชนิดที่ฆ่าตัวเองให้ตายหรือมีใครมาฆ่าให้ตาย นี่เรียกว่าอานิสงส์ของการมีธรรมะ ศึกษะธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ ด้วยการที่ว่าเรานี้จะบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ให้เราเอ่อ,เป็นเณรโปรดแม่ เอ่อ,เป็นพระโปรดพ่อกันให้จนได้ เป็นเณรโปรดแม่ เป็นพระโปรดพ่อ แต่โบราณมาทีเดียว เขามีคำพูดชนิดนี้ พูดกันมาติดปากเลย เป็นหนังสือเล่มหนึ่ง เขาเรียกว่า หนังสือเรื่องสุบิน สุบินบวชเณรโปรดแม่ แม่ไม่ต้องตกนรก พอบวชพระพ่อก็พ้นจากความเป็นเปรต บวชเณรโปรดแม่ บวชพระโปรดพ่อ หรือว่าเอากันชัดๆ เดี๋ยวนี้เขาว่า พอเราบวชเณรแม่ก็ดีใจเหลือประมาณ พอเราบวชพระพ่อก็ดีใจยิ่งขึ้นไปอีก เพราะว่าได้เห็นลูกที่เกิดมานี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่ดีที่ถูกต้อง จะได้รับประโยชน์เต็มที่ของความเป็นมนุษย์ ทีนี้ถ้าใครเกิดมาแล้วไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่ของความเป็นมนุษย์ก็เรียกว่าหยาบคายมาก เสียชาติเกิด ไอ้คนเสียชาติเกิด มันเกิดมาทีหนึ่งมันไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่ที่มนุษย์ควรจะได้รับ ฉะนั้นเราต้องได้รับประโยชน์เต็มที่ตามที่มนุษย์ควรจะได้รับ เขาก็เรียกว่าไม่เสียชาติเกิด ขอให้เธอทั้งหลายทุกคนเอ่อ,เป็นอย่างนี้ อะไรที่มนุษย์ควรจะได้รับ ดีที่สุด สูงสุดเท่าไร เราควรจะได้เต็มตามนั้น อย่างที่ถือเป็นหลักทั่วไปว่า เราจะต้องได้เป็นมนุษย์ที่รอดชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสะดวกสบายพร้อมทั้งเพื่อนฝูงของเรา เราอยู่กันอย่างเป็นสุขทั้งเราและเพื่อนฝูงของเรา ทั้งบ้านทั้งเมือง ต้องทำให้ได้ ถ้ามันมีความสุขสบายกันดีแล้วก็ปฏิบัติธรรมะให้สูงขึ้นไปให้ได้บรรลุมรรคผล จนกระทั่งสุดท้ายคือนิพพาน มรรคผลคือความที่กิเลสน้อยลง ความชั่วน้อยลง กิเลสน้อยลง ความทุกข์น้อยลงๆๆ นี่เขาเรียกว่าเป็นการบรรลุมรรคผลไปตามลำดับ เมื่อใดกิเลสดับสิ้นเชิง ความทุกข์ดับสิ้นเชิงไม่มีเหลือ เมื่อนั้นเขาเรียกว่านิพพาน เราก็มีความเป็นอยู่ชนิดที่ว่ากิเลสน้อยลง ความทุกข์น้อยลงทุกวันๆ ทุกเดือน ทุกปี ตามลำดับเถิด เพราะว่าเรามีสติมากขึ้น มีปัญญามากขึ้น มีความสามารถมากขึ้นที่จะควบคุมไม่ให้กิเลสเกิดขึ้น ไม่ให้ความทุกข์เกิดขึ้น คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่เรารู้จักควบคุมมากขึ้นดีกว่าแต่ก่อนซึ่งเราไม่รู้จักควบคุม เราเป็นทาสของมัน มันใช้เราให้ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำแล้วเราก็เป็นทุกข์ เดี๋ยวนี้เราจะไม่เอาละอย่างนั้นน่ะ เราจะไม่เป็นทาสมัน เราจะรู้จักมัน เราจะควบคุมมันไม่ให้มันมาบังคับเราให้เป็นทาส แล้วเราก็จะไม่เป็นทุกข์ ไม่เกิดกิเลส ไม่เป็นทุกข์ เมื่อเราบวชนี่เราได้ฝึกสมาธิ ฝึกปัญญา ซึ่งในนั้นมันมีสติรวมอยู่ด้วย เป็นคนมีสติสมบูรณ์ เอ่อ,มีความรู้ที่จะดับทุกข์กันอย่างไร สติมันก็เอามาดับทุกข์ได้ทันเวลา เราเรียนรู้ว่าความทุกข์มันจะเกิดขึ้นมาอย่างไร พอถึงเวลาที่ความทุกข์มันจะเกิดขึ้นเราก็มีสติ เอาความรู้นั้นมาป้องกันไว้ไม่ให้เกิดความทุกข์ สตินี้ประเสริฐทั้งในการป้องกันและในการแก้ไข สติระลึกได้ทันเวลา เอาความรู้มาทันเวลา เอ่อ,เมื่ออะไรมากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็ป้องกันไว้ไม่ให้เกิดกิเลส เดี๋ยวถ้าเผลอไปมันเกิดกิเลสแล้ว สติมาทันเวลาอีก มันก็ทำลายไอ้ที่กำลังเกิดอยู่นั้นให้หมดไป สติเป็นทั้งเครื่องป้องกัน เป็นทั้งเครื่องแก้ไขในลักษณะอย่างนี้ นี่ถ้าเธอบวชจริงเรียนจริงในระหว่างนี้ ไม่เหลวไหล ไม่โลเล ไม่เหลาะแแหละ เธอก็มีโอกาสฝึกสติอย่างนี้มาก ตลอดทั้งวันทั้งคืน ทั้งวันทั้งคืน ถ้าอาจารย์ก็ไม่เหลวไหล ลูกศิษย์ก็ไม่เหลวไหล แล้วก็มันมีการฝึกสติทั้งวันทั้งคืน ทั้งวันทั้งคืน พอที่จะมีสติมาก สติมาก หมายถึง สติเร็ว สติรวดเร็ว กิเลสเกิดเหมือนสายฟ้าแลบ เร็วเหมือนสายฟ้าแลบ สติต้องเก่งกว่านั้น สติต้องมาล่วงหน้าแล้วก็มาเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ ไม่ปล่อยให้กิเลสก่อตัว สติก็มาถึงเสียก่อน แล้วก็ป้องกันไม่ให้มันก่อตัวขึ้นมาได้ ยกตัวอย่างเมื่อตามันจะเห็นของสวยงาม แล้วจะหลงรักนี่ สติมันมาก่อนนั้นหรือมาพร้อมกันเลยก็ได้ พอตาเห็นรูป สติมาพร้อมกันเลย ถ้ารูปนั้นสวย น่ารัก สติมันก็มีปัญญา เตือน ห้าม ไม่ให้รัก มันก็ไม่ต้องรัก เป็นอันว่าเราฝึกสติอยู่ทุกกระเบียดนิ้วแแหละ เรียกว่าทุกอิริยาบถก็ได้ เดิน ยืน นั่ง นอน จะเคลื่อนไหวอิริยาบถใดๆ สักนิดหนึ่งก็ให้สติมาก่อน ที่ว่ามีหลักการว่าเราจะไม่เคลื่อนไหวอิริยาบถใดๆ โดยที่ไม่มีสติเสียก่อน นับตั้งแต่ว่าเอ่อ,เราจะวางของสิ่งนี้ลงที่ตรงนี้ เราก็มีสติเสียก่อน แล้วเราจึงวาง ถ้าอย่างนี้แล้วเราจะวางได้ดีและเราจะไม่ลืมว่าวางไว้ที่ตรงไหนไม่รู้ จะทำอะไรจะเคลื่อนไหวอะไร เอาสติมาก่อนเสมอแล้วจึงทำ อย่างเช่นเราจะเดิน เดินไปบิณฑบาต เดินอะไรก็ตามล่ะ สติมันรู้อยู่ รู้อยู่ก่อนแล้วว่าเดี๋ยวนี้มีการเดิน มีการเดินของกลุ่มสังขารนี้ ของกายนี้ ไม่ต้องมีตัวกู ของกู เป็นผู้เดิน มีแต่การเคลื่อนไหวของกลุ่มสังขารนี้ เขาเรียกว่าการเดิน ดังนั้นมันจึงบอกว่า โอ้, สักว่าการเคลื่อนไหวเท่านั้นหนอ ไม่มีตัวกูผู้เดิน มันสักว่าการเดินเท่านั้นหนอ ไม่มีตัวกูผู้เดิน สักว่าการนั่งเท่านั้นหนอ ไม่มีตัวกูผู้นั่ง สักว่าการยืนเท่านั้นหนอ ไม่มีตัวกูผู้ยืน สักว่าการนอนลงเท่านั้นหนอ ไม่มีตัวกูผู้นอน นี่ เราหัด หนอๆๆๆ เป็นการฝึกสติทั้งนั้น โอ้,ว่ามันสักว่าเท่านั้นหนอ เอ่อ,ไม่ใช่ตัวกูผู้ทำอย่างนั้น อย่างนี้แล้วมัน มันไม่เกิดกิเลสล่ะ ถ้ามันไม่เกิดความรู้สึกว่า ตัวกูของกู แล้ว มันไม่เกิดกิเลส มันสักว่าการเห็นเท่านั้นหนอ การฟังเท่านั้นหนอ การดมเท่านั้นหนอ การได้ลิ้มรสเท่านั้นหนอ การสัมผัสผิวหนังเท่านั้นหนอ ไม่มีตัวกู ไม่เกิดตัวกู ซึ่งเป็นผู้ทำอาการเหล่านั้น นี่คือข้อปฏิบัติที่มีค่าประเสริฐที่สุดมหาศาลในพระพุทธศาสนาคือการฝึกให้มีสติ เอ่อ,ก่อนแต่จะเคลื่อนไหวโดยอิริยาบถใดๆ ก็มีสติ เป็นอันรับรองได้ว่าถ้าสติมาแล้วก็กิเลสเกิดไม่ได้ เพราะว่าสติมันป้องกันไว้ไม่ให้หลง ไม่ให้โง่ ไม่ให้หลงในขณะนั้นน่ะที่เรียกว่ามี เอ่อ,ผัสสะ ในขณะนั้นน่ะ เราไม่โง่ เราไม่หลง เราไม่ยินดียินร้าย ไม่มีอภิชฌาคือความอยากได้ ไม่มีโทมนัสคือความขัดใจเพราะไม่ได้ มันก็จะเรียกว่าไม่มีความยินดียินร้ายในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด กรณีของตา ของหู ของจมูก ของลิ้น ของกาย ของใจ ก็ไม่มีวันที่จะเผลอสติเลย นี่ถ้าเธอฝึกได้อย่างนี้ละก็ ตลอดเวลาที่บวชนี่ไม่มีใครผิดหวังแต่จะได้รับประโยชน์เกินค่า ประโยชน์มหาศาลเกินค่า ประโยชน์สูงสุด เป็นธรรมะชั้นสูงของพระอริยเจ้า แล้วก็กลายเป็นผู้นับเนื่องในอริยเจ้า เป็นความเป็นอยู่อย่างพระอริยเจ้า ตามรอยของพระอริยเจ้าอยู่เรื่อยไปๆจนกว่าจะถึง จะทัน ด้วยการเป็นพระอริยเจ้าในระดับใดระดับหนึ่ง อย่างนี้ถ้าพูดมากไป เดี๋ยวมันก็จะเป็นเรื่องเข้าใจผิด ไอ้เรื่องชักชวนให้เห่อเป็นกิเลสไปเสียอีก เอาละ เราจะเป็นผู้ที่มีสติอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้เกิดกิเลส ไม่ให้เกิดความทุกข์ นี่ก็พอแล้ว ส่วนที่จะเป็นพระอริยเจ้าหรือไม่ ให้มันเป็นเองเถอะ อย่าไปหวังเลย เดี๋ยวมันจะเกิดกิเลสเพราะเหตุนี้เสียอีก เราจะมีสติติดต่อไม่ขาดตอน ทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับทั้งตื่น ไม่เปิดโอกาสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอ่อ,ให้เกิดกิเลสได้
ได้รับคำอธิบายอย่างนี้ ละเอียดเพียงพอแล้ว ให้ฝึกกันอยู่อย่างนี้จริงๆ ทั้งวันทั้งคืน กว่าจะสึก อย่างนี้ก็เรียกว่าได้รับประโยชน์อานิสงส์คุ้มค่ามหาศาล ไม่รู้ว่าจะกี่ล้านเท่า กี่ล้านล้านเท่า เป็นประโยชน์ที่ได้รับมากกว่าการลงทุน มาบวชนี่มันมีการลงทุนบ้างเป็นธรรมดา ข้าวของ เงินทอง เอ่อ,เวลา เรี่ยวแรง และมันมีการลงทุน แต่แล้วมันได้รับประโยชน์ มีค่ามากกว่าการลงทุน ไม่รู้ ไม่รู้ว่ากี่ล้านล้านเท่า นี่เรียกว่าการบวชนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ เป็นไปเพื่อกำไรแล้ว นี่ความเป็นเณร
การบวชเณร บวชแล้ว แล้วก็เป็นเณรแล้ว มีความเป็นเณรแล้ว เรียกว่าเราพูดแล้วทั้งสองเรื่อง เรื่องการบวชเณรก็พูดแล้ว เรื่องความเป็นเณรก็พูดแล้ว เราก็มีความเตรียมตัวเป็น เอ่อ,สมณะที่สมบูรณ์ในอนาคต สึกไปแล้วก็เป็นได้ ไม่ว่าลาสิกขาไปอยู่เป็น เอ่อ,ที่บ้านมันก็มีความเป็นเณรติดไปด้วยแแหละ เพราะว่าเราจะเจริญ เอ่อ,รุ่งเรืองในทางธรรมะยิ่งๆ ขึ้นไปจนกว่าจะสมบูรณ์ ที่เขามาอยู่วัด บวชอย่างอยู่วัดนี่เพราะว่ามันเร็ว ไม่ต่างอะไรกันน่ะ อยู่บ้านน่ะมันช้า แต่ต้องทำอย่างเดียวกันแแหละ ไอ้ความทุกข์นี่มันเหมือนกันแแหละ กิเลสมันเหมือนกันแแหละ ทั้งพระ ทั้งฆราวาสเหมือนๆ กันแแหละ แต่การปฏิบัติละกิเลสนี่ ถ้าอยู่อย่างเป็นนักบวชนี่มันสะดวก คือมันปฏิบัติได้เร็ว อยู่อย่างชาวบ้าน มันก็ได้เหมือนกันแต่มันช้า แล้วมันไม่สะดวก เพราะฉะนั้นเขาจึงบวช เธอลองคิดดูสิระหว่างบวชนี้ เราเรียนอะไรได้เร็ว ปฏิบัติอะไรๆได้เร็ว มีความสะดวก แต่พอสึกกลับออกไปนี่ก็ไม่ใช่ทิ้ง ไม่ใช่เลิก ไม่ใช่เพิกถอน ไม่ได้เลิกอะไร แต่จะต้องทำให้ก้าวหน้าไปเรื่อยๆๆๆ ตามที่จะทำ ทำได้ เป็นฆราวาสนั้นน่ะ มันๆ เหมือนกับคนแบกหามของหนักเดินทาง มันเดินช้า ถ้าเป็นนักบวชมันๆๆเหมือนกับคนตัวเปล่า ไม่ได้แบกหามของหนัก มันก็เดินเร็ว แต่ปัญหาเหมือนกัน กิเลสเหมือนกัน ความทุกข์เหมือนกัน ดับทุกข์เหมือนกัน ไม่ ไม่แตกต่างกันเลย แตกต่างกันที่ว่าไอ้ที่อยู่ที่บ้านเป็นฆราวาสนั้นน่ะ ทางมาแห่งความทุกข์มันมากกว่า จะปฏิบัติเพื่อดับทุกข์มันก็ไม่เอ่อ, มันก็สะดวกน้อยกว่า สู้บวชไม่ได้ เอ่อ,เดี๋ยวนี้เราก็ได้บวชแล้ว เราได้ศึกษาแล้ว เราได้ซักซ้อมการกระทำพอสมควรแล้ว มันจะอยู่ได้ต่อไปไม่สึก มันก็ทำไป ยิ่งดียิ่งเร็ว แต่ถ้าจะต้องกลับสึกออกไปก็ไม่ใช่เลิกนะ ไม่ใช่ยกเลิกนะ มันยังเดินต่อไปแแหละ เดินไปอย่างช้าๆ เดินอย่างหนัก ถือของหนัก หนักเอี๊ยดไปเลยก็ไม่เป็นไร มันก็ไปก็แล้วกัน คือมันดีขึ้นๆๆ แต่ถ้าว่ามีจิตใจที่อบรมไว้ดี แม้สึกออกไป มันก็จะไม่ไปหลงยึดถืออย่างแต่ก่อน มันดีกว่าแต่ก่อน มันเบากว่าแต่ก่อน สบายกว่าแต่ก่อน มันอาจจะเดินได้เร็วพอสมควรเหมือนกัน ฆราวาสที่มีธรรมะสูงก็เป็นโสดาบันสกิทาคามี อนาคามี ได้เหมือนกัน พอเป็นพระอรหันต์มันก็เลิก เลิกความเป็นฆราวาส เลิกความเป็นพระ พระอรหันต์นั้นน่ะไม่ใช่ ไม่ใช่ฆราวาส แล้วก็ไม่ใช่นักบวช มันพ้นเสียแล้ว มันพ้นจากไอ้ความเป็นชาวบ้านหรือว่าความเป็นพระไปแล้ว มันเป็นพระอรหันต์ มันไม่มี ไม่มีตัวตนที่จะเป็นอะไรเสียแล้ว นี่เป็นว่าไอ้เณรน่ะมันมีจุดหมายปลายทางอยู่ข้างหน้าอย่างนี้ แต่นี่เราเป็นเณรคือผู้ที่เตรียมตัวเป็นสมณะ มันเป็นสมณะคือดับทุกข์ดับกิเลสสิ้นเชิง เป็นสมณะ แปลว่าผู้สงบ คือผู้เย็น อย่าลืมเสียว่าถ้าไม่ได้พบกับความเย็นในชีวิตแล้วมันเสียชาติเกิด ไม่ว่าใครแหละ ไม่ได้พบสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับในอนาคตแล้วมันเป็นคนเสียชาติเกิด ถ้าใครคนไหนไม่อยากจะเสียชาติเกิดก็ให้สนใจเรื่องนี้ไว้ แล้วทำต่อๆ ไป ต่อๆ ไป ทีละนิดๆ คงจะได้พบกันเข้าสักวันหนึ่งก่อนแต่ที่จะตาย คือได้รับชีวิตเย็นเป็นสมณะ สมณะนี้ก็เป็นได้ในแม้ที่บ้านที่เรือน เป็นฆราวาสก็เรียกว่าสมณะได้เหมือนกัน ออกมาอยู่วัดก็เป็นสมณะได้เหมือนกัน มันอยู่ตรงที่เย็น เย็นเพราะไม่มีความร้อนแห่งกิเลส ก็เรียกว่าเป็นสมณะ สมณะอยู่บ้านก็ได้ สมณะอยู่ป่าก็ได้ อยู่วัดก็ได้
เอาละ เป็นอันว่าเราได้พูดครบแล้ว ทั้งเรื่องการบวชเณรและเรื่องความเป็นเณร หวังว่าเธอทั้งหลายจะกำหนดจดจำไว้เป็นอย่างดี มีหลักเกณฑ์ที่แน่ชัดสำหรับตัวเองแล้ว ประพฤติปฏิบัติให้อยู่ในร่องในรอย เอ่อ,ไม่โลเลไขว้เขว เจริญไปตามทางแห่งพระธรรมวินัยในพระศาสนา แล้วก็มีความเป็นสุขก้าวหน้าในทางแห่งพระธรรมนั้นอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
ถามปัญหา เดี๋ยวนี้เลยเหรอ แหม,เวลาก็ไม่ค่อยมี แรงก็ไม่ค่อยมี นี่มันจะเก้า จะสามทุ่ม จะเก้าแล้ว
เอ้า,เณรคนไหนถาม เณรคนไหนถาม เณรคนไหนถามมาสิ
มีไหมครับ..
เอ้า,ทำไมไม่ถามล่ะ ใครว่ามีปัญหาจะถาม หือ,
(คำถาม)....ที่ว่างามอยู่ที่...(นาทีที่ 43.27) หมายความว่าอย่างไรครับ
อ้อ, งามอยู่ที่ผี ดีอยู่ที่ละ พระอยู่ที่จริง เป็นคำพูดของบรรพบุรุษปู่ย่าตายายมานานแล้ว ไม่ใช่เราว่า เราได้ยินได้ฟังมาจากไอ้คน คนเก่าคนแก่ เขาว่ากันมาอย่างนั้น งามอยู่ที่ผี ดีอยู่ที่ละ พระอยู่ที่จริง แล้วบางคนยังเสริมไปถึงว่า นิพพานอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย โดยมากจะพูดกันแต่เพียงว่า งามอยู่ที่ผี ดีอยู่ที่ละ พระอยู่ที่จริง ไอ้คนที่ยังหลงสวยหลงงามตามแบบเดิมนั่นน่ะ มันจะเห็นว่างามอยู่ที่ผีไม่ได้ เพราะมันถูกสอนให้เห็นว่า ไอ้ฝีน่ะเน่าเหม็นสกปรก แต่เดี๋ยวนี้คนบางคนน่ะเขามองเห็นว่าไอ้ซากผีนั่นแแหละมันแสดงความจริง มันไม่ปิดบังความจริง มันเปิดเผย เอ่อ,มันจึงน่ารัก ไอ้ความที่ตกแต่งกันนี่ ป็นเรื่องความหลอกลวง งามอย่างนี้เป็นเรื่องหลอกลวง เป็นที่ตั้งแห่งกิเลส เขาจึงไม่ถือว่างาม ส่วนซากผีที่นอนเอ่อ,เป็นซากผีอยู่นั่นแแหละ มันไม่หลอก มันเปิดเผย มันแสดงความจริง ถ้าใครไปพิจารณาไปศึกษาเอ่อ,ซากผีนั้นให้ถูกต้องแล้วก็จะมีประโยชน์ คือจะรู้ความจริงแล้วก็ดับทุกข์ได้ นั่นเขาเรียกว่างามตามแบบของผู้มีปัญญา ไม่ใช่งามตามแบบของคนโง่ เมื่อใดใครเห็นว่าซากผีมีความงามแล้วก็ คนนั้นมีปัญญาแล้ว ถ้ายังไม่เห็นก็ยังเป็นคนโง่ต่อไปได้ เราเข้าใจว่าอย่างนี้ เอ้า,มีปัญหาอะไรอีก
อธิบายได้หลายอย่าง เดี๋ยวมันจะฟั่นเฝือ อธิบายอีกทีเอาไหมว่า ไอ้ ไอ้ร่างกาย ร่างกายเป็นๆนี้ก็เหมือนกับซากผี เอาอะไรมาประดับประดาตกแต่งร่างกายเป็นๆ นี่ก็เหมือนกับมันมาทำให้มันงามอยู่ที่ซากผี ร่างกายเป็นๆนี่คือซากผี เดี๋ยวเธอจะฟังไม่ถูก เธอจะฟังถูกแต่ว่าซากผีที่ตายแล้วที่นอนอืดอยู่ มันก็ มันก็หมายความว่าอย่างนั้น แต่นี่ซากผีที่เดินได้ เอาอะไรมาตกแต่งให้งาม มาทาให้งาม มาอะไรให้งาม เอ้ย,แล้วก็งามอยู่แค่ซากผี อธิบายได้หลายอย่างละ
เอ้า, มีปัญหาอะไรอีก
ไม่สนใจ จะรู้จะถาม ไม่ ไม่ได้ความรู้คุ้มค่ามา ไม่ได้ความรู้คุ้มค่ารถไฟที่เสียมา พูดได้ว่าทุกคนเลยก็ว่านะ ตั้งใจว่าจะมาหาความรู้ ถามแล้วก็มาหาความรู้ แล้วมันก็ไม่สนใจ มันก็ไม่ได้ความรู้คุ้มค่า ค่ามาแล้วทั้งนั้น
เอาสิ อย่าเสียเวลาสิ มันกินเวลาไปเปล่าๆ อยากถามอะไรก็ถามมาสิ
เอา เอาสิ ถามอะไรบ้าง
(คำถาม) ตายโหงนี่.... (นาทีที่ 48:08)
ไหน ว่าใหม่สิ ว่าอะไรนะ ว่าใหม่สิ ว่าอะไร
(คำถาม) ตายโหงนี่ครับ พวกวันรุ่นนี่ครับ ตายแบบพวกไหนครับ (นาทีที่ 48.18)
อ๋อ, พวกวัยรุ่น ตายโหง ตายโหงแต่เด็ก เอ่อ,เขาว่าตายโหง คือ ตายอย่างไม่น่ารัก ไม่เอ่อ,ตายอย่างผิดธรรมดา ไม่น่ารัก ตกไม้ตาย ตกต้นไม้ตาย ถูกยิงตาย ควายขวิดตาย อะไรตาย ตายอย่างไม่น่ารักน่ะ เขาเรียกว่า ตายโหง เดี๋ยวนี้ ตายโหงแต่เด็ก ก็คือว่า มันๆ ฆ่ากันตายบ้าง ตำรวจเขามาเก็บตัวไปเสียบ้าง ตายโหงตั้งแต่เด็ก ตายโหงคือตายอย่างน่าเกลียด
เอ้า, มีปัญหาอะไรอีก
(คำถาม) เป็นพระอรหันต์นี้ ไม่เป็นพระและไม่เป็นฆราวาส แล้วจะเป็นอะไรครับ
เป็นความว่าง รู้ได้เอง ต่อเมื่อเป็น ไปเป็นพระอรหันต์เสียก่อนก็รู้ได้เองว่าเป็นอะไร อยู่เหนือคำพูดโดยประการทั้งปวง เป็นผู้อยู่เหนือวาทะบท ทางแห่งถ้อยคำบัญญัติต่างๆ ไม่อาจจะบัญญัติพระอรหันต์ให้เป็นฆราวาส หรือให้เป็น เอ่อ,พระหรือให้เป็นหญิง ให้เป็นชาย ให้เป็นอะไรหมดทุกอย่าง ยกเลิกหมด เรารู้แต่เรื่องเป็นคน นี่ไม่รู้เรื่องความที่ไม่เป็นอะไรเลย
เหล่าอุบาสิกาล่ะ ปัญหาอะไรสักปัญหาไหม
(คำถาม) การนอนแบบหมานี่ คือการนอนแบบไหนคะ
เอ้า, ก็จนเขาพูดกันรู้กันทั่วไปหมดแล้ว
มีแต่ราชสีห์นะค่ะ
นอนอย่างไม่มีสติ อืม,ดูนั่น ถ่ายรูปไปทำสไลด์ นี่มันนอนอย่างหมา ถ้านอนอย่างราชสีห์ เขาว่านอนอย่างสวยงาม วางขา วางเท้าไว้เหมาะสม วางหางไว้เหมาะสม วางหัวไว้เหมาะสม แล้วก็หลับไม่กรน เป็นคำบัญญัติเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ ก็รู้เอาเองสิ เขาว่า เขาก็บัญญัติให้สำหรับการนอนที่ไม่น่าดูเรียกว่า นอนอย่างหมา นอนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยน่าดูน่ะเรียกว่า นอนอย่างราชสีห์ เขานอนด้วยสติ มีผลแห่งสติอยู่ตลอดเวลานอน
(คำถาม) อยาก อยากทราบว่า รายละเอียดของสุบินนี้หมายความว่าอย่างไรครับ
ของอะไรนะ เฮอะ,
(คำถาม) รายละ..รายละเอียดของสุบินนีหมายความว่าอย่างไรครับ
นิทานเรื่องสุบิน ไปหาอ่านเอา เป็นนิทาน สุบินเป็นชื่อของเด็กเล็กๆ เป็นลูกของนายพราน พอนายพรานพ่อตาย แม่ก็อยากจะให้สุบินนี่เป็นนายพรานสืบต่อจากพ่อ เด็กสุบินเขาไม่เอา ก็ทะเลาะกับแม่ แม่ไล่ๆ มันก็ไปวัด ไปขอบวชเป็นเณรสุบิน ทีนี้แม่มันยากจนลงๆ ไปนอนอยู่ที่ในป่าไปหักฟืนขาย ทีนี้พวกยมบาลก็มาสำรวจเห็นไอ้ยายคนนี้นอนอยู่อย่างผิดปกตินัก ก็เลยจับตัวไปเมืองนรกเอาไปสอบสวนว่าได้ทำบุญกุศลอะไรบ้าง ยายคนนั้นเขาก็บอกว่าเปล่า ยมบาลเขาก็วินิจฉัยว่าอย่างนั้นเอาไปใส่ในหม้อ ไปต้มลงโทษ พอเขาพาไปที่บริเวณต้มน่ะ ยายคนนี้ก็ร้องว่า โอ้ย, ไฟนี่ช่างเหมือนกับสีจีวรของลูกสุบิน สีไฟนั้นน่ะเหมือนกับสีจีวรของลูกสุบิน เขาว่าอย่างนั้น เพียงเท่านี้น่ะรอดได้ ยมบาลก็ถามว่า เอ้า,ลูกสุบินอะไรกันล่ะมีจีวรอะไรล่ะ ยายคนนี้บอกว่า โอ้,ลูกสุบินมันไปบวช ทั้งที่แม่ไม่ชอบ แม่ไม่ต้องการ มันยังช่วยแม่ให้รอดได้ พวกยมบาลก็ว่า โอ้,ลูกมันได้บวช ถ้าอย่างนั้น ไม่ ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้องใส่นรก เอากลับไปคืน เขาพาไปดูทั่วบริเวณนรกแล้วเอาไปส่งคืนที่นอนเดิม พอยายคนนี้ตื่นขึ้นมาก็วิ่งไปวัดเลย ไม่วิ่งไปบ้านแล้วทีนี้ ไปหาลูกสุบินจริงๆ เลย ไปอยู่กับ กับลูกสุบินที่วัด เขาไปเล่าเรื่องเมืองนรกให้คนทั้งหลายฟัง พระเจ้าแผ่นดินก็ได้ฟัง ก็ขอบใจจะตอบแทนบุญคุณของยายแก่นี้ว่า เมื่อไรสุบินครบบวชพระแล้วก็ให้มาบอก เขาให้บวชเป็นนาคหลวง วันนั้นสุบินบวชเป็นพระแล้ว พอค่ำลงพ่อที่ตายไปเป็นเปรตน่ะ นายพรานที่ตายไปเป็นเปรตน่ะ เอ่อ,เขาก็มาบอกเณร เอ่อ,บอกพระสุบินด้วยว่า เดี๋ยวนี้พ้นจากความเป็นเปรตแล้ว ดูสิ มาแสดงตัวอย่างเทวดา เอ่อ,เรียกว่า พ่อมันก็พ้นจากความเป็นเปรต เลยเรียกว่า บวชพระโปรดพ่อ บวชเณรโปรดแม่ บวชพระโปรดพ่อ ก็คือหลักอย่างนี้กันมาแต่นมนานโบราณแล้ว พูดกันมาอย่างนี้ นี่เรื่องสุบินโดยย่อ เป็นลูกของนายพราน แต่มันก็ไม่ยอมเป็นเอ่อ,นายพราน มันไปบวชจนได้โปรดแม่ โปรดพ่อ
(คำถาม) ถ้าบวชเรียนไม่จริงนี่ จะช่วยได้ไหม
ว่าอะไรนะ
(คำถาม) ถ้าบวชเรียนไม่จริงนี่ จะโปรดพ่อ โปรดแม่ได้ไหมครับ ..ถ้าบวช (นาทีที่ 56.08)
อือ,ถ้า ถ้าบวชอะไรนะ
(คำถาม) ถ้าบวชไม่จริง
อ๋อ,บวชไม่จริง เอ้า,ก็มันก็ไม่ได้สิ บวชไม่จริงมันไม่เป็นบวชนี่ จะเรียกว่าบวชอย่างไรล่ะถ้าบวชไม่จริง มันก็ไม่เป็นบวช เมื่อไม่เป็นบวชก็ยกเลิก คำว่าบวชมันใช้กับความหมายว่าบวชจริง บวชเณรก็บวชจริง บวชพระก็บวชจริง
..(นาทีที่ 56:42)..
ทีแรกไม่จริง แต่พอบวชเข้าแล้วเอาจริงก็ได้เหมือนกัน ทีแรกมาตามๆ กันมา ไม่ได้เอาจริง แต่พอบวชเข้าแล้วเอาจริง ก็ได้เหมือนกัน มันก็กลายเป็นจริงเหมือนกัน ฉะนั้น เดี๋ยวนี้ต้องจริงๆๆ ตลอดไป
(คำถาม) หลวงพ่อคะ อย่างหญิงเขาบวชพระไม่ได้ แต่บวชชีหรือบวชพราหมณ์ให้พ่อแม่จะได้ไหมคะ
มันก็ได้ตามสมควร น่ะเข้าใจไหม ได้ตามสมควร คือเขาไม่มีธรรมเนียมเท่านั้นน่ะ ก็เพียงแต่เขาไม่มีธรรมเนียม ทีนี้เราก็ปฏิบัติให้มันจริงเข้าสิ
เป็นพุทธ แต่ไปบวชพราหมณ์ ฟังยาก
เอ้า, พอดี ปิดประชุม สามทุ่มเผง
บวชเณรไม่จริงกลายเป็นลิง ไม่เป็นเณร
คุณจะให้มีอะไรกันอีกเหรอ อบรม อบ อบรมกันต่อไปสิ อบรมกันต่อไป มีเรื่องอะไรที่อบรมประจำวัน ไม่มีเหรอ
(เสียงพูด) บางวันนี้ยังรอบที่สามเลยครับ
หือ,
รอบที่สามครับ
คืออันนี้เหรอ ที่ได้พูดนี่เหรอ รอบที่สาม
เอ้า, ทุกคนไปนอนอย่างราชสีห์ ไปนอนอย่างราชสีห์ แล้วก็...
หลวงพ่อครับ