แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เรื่องการบวช เป็นเรื่องดี ข้อแรกนั้นก็คือ จะได้ฝึก ไม่มีอะไรเป็นของตัว มีชีวิตฝากไว้กับธรรมชาติ ไม่สะสมอะไร หัดตายแล้วแต่ในตัวแต่หัวที นี่คือการบวช พูดอย่างสั้น ๆ ส่วนพวกที่เป็นครูนั้น ที่ต้องทำหน้าที่สอนเขา ก็คือต้องเป็นพระอย่างเป็นปูชนียบุคคล ข้อนี้อาจารย์ผู้หนึ่งของกระทรวงศึกษาฯ กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ ไม่ให้เชื่อ ก็สุดแล้วแต่ ขอให้ไปพิจารณาดูเอง
ในการศึกษาธรรมะนั้น ให้หัดพิจารณา ดังเช่น ให้ดูภาพดอกไม้จัดคน จะเห็นว่าใครเป็นอย่างนี้แล้วแย่มาก คนมีจิตใจเป็นทาสของดอกไม้ นี้ต้องหัดสังเกตใจของตน พวกนิกายเซนเขาว่า การจัดดอกไม้แบบเซนนั้น ต้องหัดสองสามปีจึงจะจัดได้ จิตเป็นอิสระ ไม่อยากได้เงิน ไม่อยากได้ของ หรือเกียรติยศ หรืออะไร ๆ แล้วจึงจะจัดดอกไม้ได้ ถ้าจัดอย่างเอาเปรียบ ภาพที่จัดออกมาจะแสดงถึง ให้เห็นกิเลส ให้เห็นความลุ่มหลงด้วยผลที่จะได้ ฉะนั้นอย่าให้ดอกไม้จัดคน
เรื่องทางฝ่ายพุทธศาสนาอีก มีผู้เข้าใจผิดว่า โลกุตรธรรมนั้นใช้ในฝ่ายโลกียะไม่ได้ ที่จริงเรื่องนิพพานนั้นใช้ได้ในทุกกรณี เพราะว่าดับความร้อนได้ในทุกกรณี หลักพุทธศาสนามีแนวเดียว แต่ต้องมีระดับ แม้เหนือโลกมันก็อยู่ในโลกนั่นเอง โลกุตรธรรมก็ธรรมอยู่ในสายโลกียะนั่นเอง แต่ที่เราว่าเหนือโลก ก็คือโลกที่เราอยู่นี้ ไม่ใช่โลกอื่นไหน คนโดยมากยังเข้าใจผิด ทำนองที่บุคคลผู้หนึ่งชอบพูดเรื่องการฝึกจิต ว่าการฝึกจิตที่ให้ต้องการอยู่เหนือโลก ให้อยู่ด้วยชัยชนะนี้ คนก็ยังเข้าใจผิด แท้ที่จริงนั้นสามารถทำได้ ให้อยู่ด้วยชัยชนะ ก็คือต้องมีธรรมะขณะที่อยู่ในโลก แต่มีเพียงโลกียธรรมนั้นจะล้มลุกคลุกคลาน อยู่ด้วยบุญก็เป็นทุกข์ ต้องรู้จักจัดให้ดี คนมั่งมีก็หาความสุขไม่ได้ การที่จะมีชีวิตอยู่อย่างไม่เป็นทุกข์หรือพ้นทุกข์ได้ มียอดสุขนั้น จะทำเล่นกับกิเลสไม่ได้ มิฉะนั้นจะแพ้ แต่ถ้าเผื่ออยู่อย่างไม่ต้องเป็นทุกข์ก็ไม่แพ้ นับว่าเป็นยอดของศิลปิน ไม่แพ้กิเลส เรารู้จักเล่นกับกิเลสได้โดยไม่เป็นทุกข์ นั้นคืออยู่อย่างประณีตสวยงาม เป็นอิสระแห่งชีวิต
ศิลปะในภาษาบาลีก็รู้สึกมีความหมายต่ำ มุ่งไปในทางการทำมาหากิน แต่อาจจะหมายไปใน เราหมายความไปในแง่สูงได้ หมายถึงมาทางสติปัญญา ศิลปะนั้นทางความหมายเดิม เขาหมายถึงทำอะไรได้จนมีคนติด เช่น ทำขนมขายจนคนติดใจ อย่างมีก็พอแล้ว แต่ส่วนศิลปะที่ตรงกับคำว่า Art นั้น ไปไกลกว่านั้น
วันนี้ได้เชิญอาจารย์เยื้อนมาพูดให้ฟัง ท่านก็พูดยืดยาวอยู่ แต่เราควรจะหัดฟังคนพูดเสียบ้าง จะได้รู้ว่าคนแต่ละคนมีชีวิตอย่างไร พวกนักบวชต้องเป็นคนกล้าโดยหน้าที่ ถ้ามีวัตถุ ถ้าไปติดวัตถุ ก็ไม่นับว่าเป็นนักบวช ถ้าพระเป็นคนกลัว เป็นคนขี้ขลาด คอยแต่จะสะสมเงินไว้ในธนาคาร ก็จะหมดความหมายต่อการเป็นนักบวช เพราะว่าเป็นนักบวชจะต้องมีอะไรดีกว่านั้น เหนือกว่านั้น ต้องทำให้โลกทั้งโลกเป็นของเรา ไม่ต้องมีเงินในธนาคาร การอยู่ป่าต้องมีใจเห็นว่า ความตายไม่มีความหมายจึงจะอยู่ได้ เจ็บก็รักษาไปตามมีตามเกิด เท่ากับตายมาก่อนแล้ว ไม่ใช่ไม่รักษา แต่ก็ไม่ใช่กลัวตาย ต้องหัดปลงอายุสังขาร เช่น พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาว่า ชีวิตนี้เหมาะสมเพียงเท่านี้แล้ว จึงปล่อยไปตามอิสระ สุดแต่จะเป็นไป ปลงอายุสังขารอย่างนี้ จะปลงเมื่อเจ็บไข้ก็ได้ หรือปลงไว้ก่อนก็ได้ คนแก่ ๆ ที่อบรมตามแบบเก่า เขาจะไม่กลัวตาย รู้ว่าตายก็ปลงตกไม่วุ่นวายอย่างคนใหม่ ๆ พอเจ็บก็ขอหยุด ห้ามไม่ให้กวน ไม่กินข้าว ไม่กินน้ำ ห้ามตลอด เขานอนนิ่ง ๆ จนดับไป คนเจ็บย่อมไม่มีทางเลือก แล้วแต่หมอ ถ้าหมอเขาจัดมาอย่างไร คนเจ็บไม่มีเวลาจะดำรงใจอย่างไรเลย ถ้าหากหมอจัดมากไป ที่ถูกแต่ก่อนเขาให้คนเจ็บอยู่นิ่ง ๆ เพื่อสำรวมจิตใจเมื่อเจ็บมาก พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องการตายอย่างมีสติ เหมือนเราดับสวิทช์ไฟ ซึ่งทำอย่างนี้ต้องมีกำลังใจสูงมาก
คนทั้งหลายเมื่อยังหนุ่มอยู่ ก็ต้องทำงานตามหน้าที่ แก่ลงก็ต้องพักผ่อน วาระสุดท้ายควรจะรู้ว่าร่างกายจะหยุด ก็รู้จักยอมตามสบายตามสภาพ
ขอให้ดูภาพวัวสิบภาพ ให้ขยันดูจะได้หายโง่ ขยันดูภาพจะเห็นแผนการใช้ชีวิต เริ่มแต่ไม่รู้อะไร จนกระทั่งจับวัวได้ แล้วใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ หรือว่าใช้ประโยชน์จากชีวิตนี้ให้เต็มที่ อย่างที่พูดว่า While of life พยายามดิ้นไปตามทางของชีวิต เมื่อสิ้นสุด สิ้นกามารมณ์กันแล้ว ก็ใช้สติปัญญาให้เต็มที่ แล้วแหงนดูเบื้องบน ให้รู้จักเบื่อโลก ภาพทั้งแปดภาพนั้นนะ ภาพที่แปดเป็นภาพว่าง ภาพที่เก้าเป็นภาพที่เกิดใหม่ เปรียบเหมือนต้นไม้ ใบไม้ ผลิใบอ่อน ก็เท่ากับเกิดอีกแบบหนึ่ง ภาพสุดท้ายก็เที่ยวแจกของ เราต้องมีแผนการฝึกตัวของเรา ให้เป็นไปตามเวลา ทำประโยชน์ตนแล้ว พึงทำประโยชน์ผู้อื่นบ้าง คนจีน คนญี่ปุ่นเขาจับความหมายแห่งชีวิตได้ดี เขาจึงเขียนภาพอย่างนี้ได้
เด็ก ๆ สมัยนี้อวดดี ไม่ถือเอาประโยชน์ที่ควรจะได้นี้ไปสอนตน คนต้องรู้จักดำเนินชีวิตให้มีระเบียบ ชีวิตจะมีค่าเหลือประมาณ ไม่ต้องเกิดเป็นลูกเจ้าแผ่นดินหรือชั้นสูงอะไรก็ได้ เราต้องนึกถึงเรื่องส่วนตัว แม้บิดา มารดา ในการทำงานใหญ่หลวงต่าง ๆ เพราะการช่วยคนทั้งโลกนั้น ก็เท่ากับช่วยบิดา มารดา อยู่ในตัวเอง ถ้าทำได้เป็นพิเศษก็ควรทำ แต่ถ้าเป็นคนโง่ก็เข้าใจไปว่าทำอะไรอย่างง่าย ๆ แม้บวชก็บวชไปเพื่อจะท่อง ๆ จำ ๆ อะไรไป อย่างนี้แล้วก็โง่ บ้ามาก
การสนทนากับคน อย่าว่าแต่คนอย่างอาจารย์เยื้อนเลย แม้มหาโจรก็ควรหัดสนทนาด้วยได้ การคุยกับคนพาลก็ให้ จะได้รู้ว่าพาลนั้นเป็นอย่างไร ก็ได้ประโยชน์ไม่ควรขัดคอเขา เราจะได้ประโยชน์ต่อการคุยนั้นมาก เช่น เราเลี้ยงหมา จะต้องรู้ว่าหมาคืออะไร เป็นอย่างไร จะมีค่ามากกว่า เราปลูกต้นไม้จะเอาดอก จะต้องรู้ว่าต้นไม้คืออะไร เป็นอย่างไร รู้อย่างนี้แล้ว จะรู้ธรรมะอย่างลึกซึ้ง
ผลในการพิจารณาไม่ใช่เรื่องคน แต่เป็นเรื่องธรรมะ ที่จะเก็บได้จากเรื่องนั้น ๆ ในเรื่องที่สนทนานั้น การที่เรารู้อะไร ๆ ไม่เป็นอันตราย การที่เรารู้จักอันตรายกลับมีประโยชน์ อันตรายจากความยากจนก็ย่อมจะแก้ได้ แต่อันตรายจากความมั่งมีแก้ยากมาก ใครจัดโลกอย่างนักการเมือง จะเหมือนกับเด็กอมมือ เพราะโลกแต่ละฝ่ายจะตะกละ การที่จะมองเห็นอะไรอย่างนี้ ถ้าเป็นฝ่ายนั้นเสียเองแล้วจะมองไม่เห็น ฉะนั้นจะต้องฝึกตัวให้เป็นอยู่กลาง ๆ จึงจะเห็นทุกฝ่ายว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อย่างไหนควร อย่างไหนไม่ควร
ถ้ามีเวลาบ้าง ควรจะหัดวิปัสสนากรรมฐาน จะได้รู้สึกเหมือนขึ้นไปอยู่บนที่สูง มองดูสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในความ ที่อยู่ในโลก จะมองได้ต่อเมื่อมีจิตว่าง แต่ถ้าเราไปเป็นประชาชนคนหนึ่งเสียเอง ก็มองไม่เห็น ต้องขึ้นไปอยู่บนยอดของโลก แล้วพยายามพิจารณาเพ่งด้วยปัญญา ไม่ยอมลงมา จึงจะแลเห็น ถ้าจะลงก็ลงไปช่วยเขา ไปอย่างเป็นผู้ชนะ ไม่ไปอย่างเป็นผู้แพ้
นักบวชสันยาสีก็คือนักบวชที่ยอมคลุกคลีอยู่กับประชาชน ช่วยเหลือคนตลอดเวลา นั้นเรื่องการทำงาน การทำประโยชน์ผู้อื่นเป็นเรื่องขั้นสุดท้ายก็ได้ เบื้องต้นก็ได้ ทำให้เกิดเป็นความฉลาดไม่เห็นแก่ตัว ทำงานเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว อย่างนี้เป็นธรรมะชั้นสูง เป็นวิปัสสนาอย่างสูง ถ้าทำเพื่อค่าจ้างก็เท่ากับทำงานอย่างตะกละ เป็นทาสของวัตถุมันจึงทำ
การทำงานด้วยจิตว่าง ด้วยความว่าง พระก็ดี เณรก็ดี ต้องทำด้วยปัญญาซึ่งเป็นยอดสุด ยอดสุดของปัญญา โดยมากมักจะเข้าใจกันไม่ได้ ซึ่งทำอย่างไม่ อย่างไม่เห็นแก่ตัวนี้ เพราะเรามักจะมีตัวเรา แล้วก็พยายามจะเป็นของของเรา ที่ถูกควรจะละตัวเราเสียให้ได้ แล้วไม่มีตัวเรา แล้วจึงทำงานต่อไป
พวกคริสต์ พวกคริสเตียนที่เห็นแก่ตัวจัดก็มี พระพุทธเจ้าได้สอนให้พระของเราไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว ถ้าเป็นคนเห็นแก่ตัวก็ชื่อว่าไม่ เป็นคนไม่มีศาสนา มีศาสนาเพียงกรอกแบบฟอร์มเป็นราชการ โลกเป็นอย่างนี้เพราะไม่มีศาสนา มันจะต้องพินาศกันต่อไปมาก เหลืออยู่แต่ว่า ต่อไปจะต้องคิดกันใหม่ เช่นนี้
ถ้าคิดว่าเวรปราบกันด้วยเวร หรือคอมมิวนิสต์ปราบด้วยประชาธิปไตย อย่างนี้มันก็ต้องเป็นเวรปราบด้วยเวรกันอยู่เรื่อย ย่อมจะลุกลามเรื่อย จนกว่าจะเจ็บป่วยตายกันไปมาก แล้วจึงจะสำนึกกันเสียที ในระหว่าง เพราะฉะนั้นในระหว่างนี้เราควรจะเรียกว่ากลียุคก็ได้ เป็นยุคมืด ไม่สว่าง พลเมืองแต่ละประเทศต่างก็เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ในเวลาเดียวกันก็มีความฟุ่มเฟือยเพิ่มขึ้นปีละห้าเปอร์เซ็นต์ สิบเปอร์เซ็นต์ นี่ก็เป็นความฉิบหาย
เวลานี้ยกตัวอย่าง เช่น บุหรี่ผลิตมากพอ ๆ กับพลเมือง นี้เป็นความโง่ของมนุษย์ เราได้รวบรวมภาพโฆษณาขายบุหรี่สวย ๆ ไว้ได้ตั้งราว ๆ สองร้อยกว่าภาพ สวย ๆ ทั้งนั้น ล้วนโฆษณาขายบุหรี่ คนจะไม่หลงได้อย่างไร แต่ก็ถ้าว่าโดยศาสนาคริสต์ คริสเตียนก็ไม่เห็นมีใครโฆษณาพระเยซูมาก บางภาพก็มีแต่ภาพตกปลา เลี้ยงวัว ขี่ม้า ล้วนแต่ทำแล้วสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นของไม่มีประโยชน์ เสียเวลา เสียแรงงาน ทำให้มนุษย์พินาศ แต่แล้วก็ยังทำกันอย่างลุ่มหลง
แต่ก่อนนี้ในป่า ในดง หาน้ำแข็งกินไม่ได้ เดี๋ยวนี้ยิ่งกว่าได้ แต่ธรรมะกลับลดถอยไป ไม่มีการปฏิบัติทางศาสนาให้ถูกทาง มีแต่ฟุ้งเฟ้อทางวัตถุ เห็นแต่เรื่องเล่นเรื่องกินเป็นสรณะ พระเณรก็คิดแต่ว่าวันสำคัญศาสนานั้นจะได้กิน จะได้แจกสตางค์ ก็บางคนก็จะเป็นพ่อบ้านแม่เรือน พวกพระที่จะสึกขอให้คิดให้มาก ๆ คนบางคนไปเรียนเมืองนอก ไปเรียนอินเดีย ยิ่งไปสึกเร็วกว่าอยู่ที่เมืองไทยเสียอีก
ให้หัดเป็นสหายกับความเงียบความมืดได้มาก ๆ ยิ่งดี ขอให้นิยมหัดนั่งนิ่ง ๆ ดูธรรมชาติ แล้วลองนั่งดู เพ่งดูความจริง ดูอะไร ๆ จัดอะไร ๆ ให้ลึก ให้เห็นความลึกซึ้ง ดูดอกไม้ ดูใบไม้ แล้วจะทำให้เรานึกอะไรได้บ้าง คิดอะไรได้บ้าง ลองพิจารณาอย่างนี้ ในความหมายของธรรมชาติ จะเป็น Motivation อันหนึ่ง ทำให้เกิด Remind นึกอะไร ๆ กระตุ้นความคิดนึก เก็บเอาความหมายของมัน ความหมายตามรูปภาพแกะสลัก ภาพเขียนอะไรเหล่านี้ ล้วนแต่เขาเขียน ทำไว้ เพื่อประดิษฐ์ให้คนมีความคิด แม้ว่าตอไม้เขาประดิษฐ์ไว้เล่น ก็ล้วนแต่มีความหมายทั้งนั้น เพราะฉะนั้นอย่าได้ประมาท จงเป็นผู้หัดพิจารณาสังเกตอยู่เสมอ
การบรรยายวันนี้ บันทึกไว้สั้นเพียงเท่านี้ เพราะท่านให้โอกาสอาจารย์เยื้อนเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังเป็นเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง