แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พระครูนฤกุล : เกล้ากระผม พระครูนฤกุล เจ้าคณะอำเภอพุนพินครับ วันนี้ได้มีโอกาสที่กระผมจะได้นำพระสังฆาธิการที่ได้มาเข้าอบรมสัมมนาเกี่ยวกับพัฒนาประชาชนและหมู่บ้านประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี เริ่มตั้งแต่วันที่ ๒๔ เดือนนี้ เอ่อ, ๒๔ เดือนก่อน จนกระทั่งวันนี้ เกล้ากระผมพร้อมด้วยพระสังฆาธิการทั้งหลายมีความเคารพนบนอบต่อพระเดชพระคุณอย่างสูง วันนี้ก็ได้พร้อมกันมากราบนมัสการ มาเยี่ยมเยียน ทราบว่าพระเดชพระคุณไม่ค่อยสบาย พวกเกล้ากระผมก็พลอยไม่สบายไปด้วย เพราะฉะนั้นว่าเกล้ากระผมพร้อมด้วยคณะสงฆ์ที่มานี้ ได้มาพบปะกราบสักการะพระเดชพระคุณแล้ว เกล้ากระผมพร้อมที่จะได้รับโอวาทของพระเดชพระคุณ โปรดได้กรุณาแก่พวกเกล้ากระผม ณ บัดนี้
(เริ่มการบรรยายธรรม นาทีที่ 02:37)
ท่านพระคณาธิการผู้รับการอบรมเนื่องในการพัฒนาสิ่งที่ต้องพัฒนาของประเทศชาติทั้งหลาย ผมก็ถือโอกาสนี้บรรยายความคิดเห็นบางอย่าง ตามหมายกำหนดการที่ได้กำหนดไว้แล้ว ตามสมควรแก่โอกาสหรือกำลังนี่ที่จะทำได้ ด้วยความยินดีและถือว่าเป็นหน้าที่อยู่แล้วในตัว ฉะนั้นจึงพยายามทำไปตามที่จะทำได้ แม้ว่าสุขภาพจะไม่ค่อยสมบูรณ์ในเวลานี้
ข้อแรกที่สุดก็ขอแสดงความยินดีในกิจการที่ได้จัดขึ้นนี้โดยความพร้อมเพรียงของพระคณาธิการทั้งหลาย แล้วขออนุโมทนาในฐานะที่เป็นสิ่งที่จะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงแก่พระพุทธศาสนาของพุทธบริษัททั่วไป หรือถ้าว่าโดยแท้จริงแล้วมันก็ของโลก เพราะว่าพระพุทธศาสนาเป็นของโลก พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกเพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลกทั้งปวง ท่านตรัสอย่างนี้ เพราะฉะนั้นถ้าสิ่งใดอันเป็นไปเพื่อความเจริญและความตั้งอยู่อย่างมั่นคงของพระศาสนาก็ถือว่าเป็นการได้ที่ดี ที่ควรอนุโมทนา ที่ควรจะช่วยกันสนับสนุนและส่งเสริม ผมเองก็เหมือนกันกับท่านทั้งหลาย เป็นคนหนึ่งในบรรดาท่านทุกคนที่ว่าจะต้องทำหน้าที่อันนี้ มันก็ต้องทำสุดความสามารถของตนๆด้วยกันทุกคน มันจึงเป็นอันว่า ทำร่วมกัน รับผิดชอบร่วมกันในสิทธิหรือหน้าที่อย่างเดียวกัน อย่างนี้เป็นต้น มันจะต่างกันบ้างก็เรียกว่าไอ้ความรู้ ความเคยชิน หรือความชำนาญอะไรบางอย่าง แล้วก็เป็นส่วนนี้เองที่จะนำมาพูดจา แจกจ่ายกันต่อไป
สำหรับสิ่งที่จะต้องนึกกันให้มากเป็นพิเศษก็คือ การเสียสละโดยแท้จริง เดี๋ยวนี้กิจการพระศาสนาหรือว่าศาสนาไหนๆก็ตามอยู่ได้ด้วยการเสียสละที่แท้จริงของสาวกในศาสนานั้นๆ ถ้าในศาสนาไหนเขามีสาวกที่เสียสละแท้จริงและจำนวนมากพอ ศาสนานั้นก็ต้องเจริญ แม้ว่าเราจะมีสาวกมากแต่ว่าไม่เสียสละ มันก็เหมือนกับไม่มีมาก ฉะนั้นคนมากเหล่านั้นก็ทำความเจริญไม่ได้ถ้าหากว่าไม่มีการเสียสละ นี้เรื่องการเสียสละนี้ก็เป็นเรื่องที่ทราบกันดีอยู่แล้วทุกคน ว่าได้แก่การมอบกายถวายชีวิตนี้แก่พระพุทธ แก่พระธรรม แก่พระสงฆ์ ซึ่งเราก็ว่า ว่าปฏิญญาความข้อนี้กันอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะเช่นในวันทำวัตรเย็น ก็จะต้องพูดถึงว่าข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า เป็นทาสของพระธรรม เป็นทาสของพระสงฆ์ โดยบทว่า พุทธัสสาหัสมิ ทาโส วะ ธัมมัสสาหัสมิ ทาโส วะ สังขัส อ่า, สังฆัสสาหัสมิ ทาโส วะ ซึ่งก็นึกได้ ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง มันก็หมายความว่ามีการเสียสละจริง และสิ่งต่างๆก็จะสำเร็จเป็นแน่นอน ถ้าไม่เสียสละ แม้จะมีความรู้มากก็ไม่มีประโยชน์อะไร หรือว่าแม้แต่จะมีแผนการที่ดี แต่ถ้าไม่มีความเสียสละมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เช่นแผนการพัฒนาที่กำลังพูดถึงกันอยู่นี้ แม้จะเป็นแผนการที่ดีและถูกต้องแล้ว แต่ถ้าไม่มีคนเสียสละกระทำลงไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร มันก็เป็นแผนการอยู่ในกระดาษหรือในปากที่พูดอย่างเดียว จึงขอวิงวอนให้มีจิตใจระลึกนึกถึงไอ้สิ่งที่สำคัญสิ่งนั้นคือการเสียสละ
ถ้าจะเหลือบตามองออกไปยังศาสนาอื่นบ้าง ก็จะพบว่าเขากำลังได้รับประโยชน์จากการเสียสละอยู่ทั้งนั้น แม้เขาจะมีคนน้อย แต่ถ้ามีการเสียสละมากพยายามมากมันก็กลับมีผลมาก นี่การ ในการที่ศาสนาใดศาสนาหนึ่งตั้งหน้าบำเพ็ญประโยชน์แก่โลกโดยเจ้าหน้าที่ของศาสนานั้นๆ มันปรากฏชัดอยู่แล้วว่าสำเร็จได้เพราะการเสียสละ
การเสียสละของทายกทายิกาผู้ให้เงินให้ของนั้นก็สำคัญ ไม่ใช่ไม่สำคัญ แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับการเสียสละของเจ้าหน้าที่โดยตรง เช่นภิกษุสามเณรผู้จะปฏิบัติหน้าที่นั้นๆ พวกทายกทายิกาเสียสละทุน เราจะเรียกว่าทุนเฉยๆก็ได้ ทุนทรัพย์ ทุนกำลังอะไร นี่ภิกษุสามเณรเราก็เป็นเจ้าหน้าที่เสียสละ เรี่ยวแรงกาย และกระทั่งเรี่ยวแรงจิตใจหรือสติปัญญา ทำหน้าที่ของตน มันจึงจะเป็นความเจริญรุ่งเรืองแก่พระศาสนา แล้วมันก็เป็นประโยชน์แก่โลกเอง พูดอย่างนี้คล้ายกับว่าแบ่งรับแบ่งสู้ หรือว่าพูดอ้อมค้อม แต่ที่จริงมันเป็นอย่างนั้น ขอให้พัฒนาสิ่งที่เรียกว่าศาสนาแล้วโลกก็จะพัฒนาตามขึ้นมา เดี๋ยวนี้โลกกำลังจะฉิบหายเพราะว่ามันมีแก่ แต่การพัฒนาทางโลก หรือของโลก หรือโดยชาวโลก แต่ไม่มีการพัฒนาในทางศาสนา เพราะฉะนั้นขอให้มองให้ดีว่าโลกกำลังจะฉิบหายเพราะว่ามีแต่การพัฒนาทางวัตถุ ซึ่งไม่เกี่ยวกับศาสนา
ประเทศไทยถูกเรียกว่าประเทศด้อยพัฒนา ก็ถูกเหมือนกัน แต่นี้ไปดูประเทศที่มันใหญ่โตมโหฬาร ที่มันพัฒนาแล้ว มันพัฒนามากนั่นน่ะมันก็กำลังจะฉิบหาย แม้ว่ามันมีๆพัฒนามากในความเจริญทางนั้นมาก เพราะมันไม่มีศีลธรรม เพราะมันไม่มีศาสนา เดี๋ยวนี้มันเกิดโรคร้ายขึ้นมาโรคหนึ่งในโลกนี้ คือโลก เอ่อ, คือโรคที่แยกประชาชนออกไปจากศาสนา ความคิดของคนสมัยใหม่ที่ว่ามีสติปัญญาเป็นนักปราชญ์เป็นอะไรนี่เขาเกิดมีความคิดไปในทางว่า ไอ้เรื่องศาสนานี้มันเป็นของส่วนบุคคล ฉะนั้นใครอยากจะได้ก็ไปหาเอาเอง ไปทำเอาเอง เป็นส่วนบุคคล ฉะนั้นจึงไม่เอามารวมไว้กับเรื่องส่วนรวมของประเทศชาติ ดังนั้นเขาจึงแยกไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะหรือศาสนานี้ออกไปจากการศึกษา ไม่มีโรงเรียนไหน มหาวิทยาลัยไหนที่มีหลักสูตรเป็นธรรมะหรือเป็นศาสนาเหมือนแต่ก่อน
สมัยก่อนโรงเรียนฝรั่ง มหาวิทยาลัยของฝรั่ง ที่เมืองฝรั่งนั้นน่ะพระจัดทั้งนั้น พระในศาสนาคริสตังนั่นน่ะจัดทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้นเรื่องศาสนามันจึงเกี่ยวกันอยู่อย่างไม่แยกกันกับเด็กๆ กับนักเรียน กับ อ่า, กระทั่งกับประชาชน เขาเอามาผนวกติดกันไว้เรื่อย ทีนี้ความคิดมันค่อยๆเปลี่ยนเพราะเขาเห็นว่าความเจริญทางวัตถุสำคัญกว่า เขาก็เอาไอ้เรื่องความเจริญทางวัตถุมาเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องธรรมะหรือเรื่องศาสนาเป็นเรื่อง อ่า, เรียกว่า ส่วนตัวบุคคล เฉพาะบุคคล ใครต้องการก็ไปหาเอาเอง นี่ในโรงเรียนในมหาวิทยาลัยจึงไม่มีการสอนการเรียนหรือการอบรมทางศาสนาอย่างเต็มที่เหมือนแต่กาลก่อน
ทีนี้ประเทศด้อยพัฒนาเช่นประเทศไทยเรานี้ก็ไปตามก้นเขา จะเรียกว่าโง่หรือฉลาดก็ไม่รู้ แต่ที่จริงคงจะเรียกว่าอยากจะฉลาดนะ จึงไปตามก้นไอ้คนเหล่านั้นที่เขาเรียกว่าเป็นคนฉลาด ก็พลอยแยกโรงเรียน แยกไอ้ๆ แยกธรรมะหรือศาสนาออกไปจากโรงเรียน จนในโรงเรียนก็ไม่มีการสอนธรรมะหรือศาสนา ปัญหานี้กำลังเป็นปัญหาทั่วโลก ก่อนนี้ก็ไม่มีใครค่อยจะคิดว่าเป็นปัญหา คิดว่าถูกต้องแล้วที่ทำอย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้เริ่มมองเห็นกันขึ้นลางๆหรือมากกว่าลางๆแล้วว่า นี้คือต้นเหตุอันหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่มีศีลธรรม หรือมีศีลธรรมเสื่อม จึงได้พบไอ้อาชญากรรม อันธพาลอะไรต่างๆนั้นเต็มไปหมดทุกหัวระแหง แม้ในหมู่นักศึกษา แม้ในมหาวิทยาลัยที่เต็มไปด้วยนักศึกษาก็มีการประพฤติกระทำที่ลบหลู่ศาสนา ลบหลู่พระเจ้า อย่างที่ท่านทั้งหลายก็จะได้เห็นได้อ่านจากหนังสือข่าวทั่วๆไปอยู่แล้ว
เวลานี้ทางสำนักวาติกันของโป๊ปนั้นก็กำลังส่งคำถามมาให้ช่วยกันวินิจฉัยข้อนี้ ว่าท่านมีความเห็นอย่างไรกับไอ้สิ่งที่เรียกว่า Secularization คือแผนการที่แยกธรรมะหรือศาสนาออกไปจากประชาชน ไม่ให้เป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องผูกมัดให้ติดอยู่กับประชาชน ทิ้งไว้ให้เป็นของส่วนตัวบุคคล ใครชอบก็ไปหาเอาเอง นี่มันก็น้อยลงไป ทางศาสนาคริสตังก็ปรากฏผลเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ผมก็ได้รับคำๆถามอันนี้หรือคำขอร้องให้ช่วยออกความคิดความเห็นอันนี้ ก็คิดอยู่ว่าจะออกความเห็นด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าออกความเห็นก็ออกอย่างที่กำลังพูดอยู่เวลานี้กับท่านทั้งหลาย ขอคัดค้านเต็มที่ในการที่แยกธรรมะ หรือพระศาสนา หรือพระเจ้าอะไรก็แล้วแต่จะเรียก ออกไปเสียจากการศึกษาของประชาชนหรือการเป็นอยู่ของประชาชน เพื่อให้ประชาชนไปมุ่งพัฒนาทางวัตถุ ทางเศรษฐกิจ ทางการเมืองทางอะไรเต็มที่ โดยไม่ต้องเหลียวแลไอ้ธรรมะหรือศาสนา นี่แล้วผลจะเป็นอย่างไร
นี่ขอให้นึกกว้างออกไปถึงปัญหาของชาวโลกทั้งโลกด้วย อย่าคิดแต่เรื่องของเรา ตรงหน้าของเรา เฉพาะบ้านเรา บ้านเมืองของเรา ซึ่งมันเป็นส่วนน้อยส่วนหนึ่งของโลก แล้วเดี๋ยวนี้มันเกี่ยวพันกันอย่างแยกกันไม่ออกทั้งโลก แล้วประเทศด้อยพัฒนาเช่นประเทศไทยนี้ก็ไปตามก้น ใช้คำหยาบๆ ขออภัย ไปตามก้นประเทศที่เขาบูชากันว่ามันพัฒนาใหญ่โตมโหฬารเจริญเต็มที่ มันก็พลอยทำ กำลังจะทำหรือว่าอะไรเหมือนกับประเทศเหล่านั้น ประเทศเราก็จะต้องได้รับผลอย่างเดียวกัน คือมีอาชญากรรม มีอันธพาลอะไรเต็มไปทั่วทุกหัวระแหงเหมือนกับประเทศเหล่านั้น ซึ่งไม่ๆๆรวมธรรมะหรือศาสนาไว้ในฐานะเป็นหลักสูตรบังคับของการศึกษาของยุวชนหรือของประชาชนนั่นเอง
นี่พูดไปถึงเรื่องการพัฒนา ว่าเรื่องพัฒนากันแต่ทางวัตถุจนมองข้ามการพัฒนาทางจิต ผลมันก็เกิดขึ้นอย่างนี้ ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องแรก อ่า, เป็น ให้เป็นข้อแรกที่ผมอยากจะขอให้นึกถึง หรือหลับตามองเห็นภาพว่าทางด้านฝ่ายศาสนานี้กำลังต่อสู้หรือต่อต้านกับทางฝ่ายบ้านเมืองที่เขาพยายามจะแยกธรรมะหรือศาสนาออกจากประชาชน ทั้งที่แต่เดิมมันดีอยู่แล้ว มันแน่นแฟ้นอยู่แล้วนี่ ก็ไม่ไปสนใจที่จะรักษาวัฒนธรรมหรือขนบธรรมเนียมประเพณีอันนั้นไว้ แล้วก็ให้การศึกษาใหม่ๆแก่เด็กๆอะ เอ่อ, อะ อนุชนในโรงเรียนนี้ ในรูปที่ว่าโตขึ้นแล้วเขาก็จะเกลียดศาสนามากขึ้น ทีนี้พอคนแก่ๆรุ่นปู่ย่าตายายตายไปหมดก็จะเหลืออยู่แต่เด็กๆหรืออนุชนที่เกลียดศาสนายิ่งขึ้น เพราะไปตามก้นพวกที่เด่นด้วยพัฒนาสมัยใหม่อย่างนี้
นี่ก็ขอให้คิดดูเหมือนข้อแรก คิดดูอย่างเล่นๆก็ได้ว่า ปัญหาจะเกิดขึ้นอย่างไรแก่พวกเราทั้งหลายที่กำลังจะทำการพัฒนา ผมขอยืนยันว่าถ้าไปมุ่งพัฒนากันแต่ในทางวัตถุแล้วก็จะเกลียดศาสนา แล้วก็จะไม่มีศีลธรรม แล้วมนุษย์ก็จะล่มจม ฉะนั้นถ้าพูดถึงพัฒนาก็ต้องพัฒนาให้มันถูกต้อง ให้เป็นไปในทางที่ว่ามนุษย์นี้จะรอดอยู่ได้ คือมีศีลธรรมดี
ผมอยากจะพูดเป็นพิเศษอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องที่นั่งกันอยู่ตรงนี้ กลางดิน นั่งอยู่กลางทราย นั่งอยู่กลางดิน มีอะไรรองบางๆนี้ บางคนอาจจะด่าผมแล้วก็ได้ว่ามันช่างไม่พัฒนาเสียเลย ไม่เอาเก้าอี้มานั่ง ไม่ให้นั่งในตึกหรือห้องประชุมที่สวยๆหรูๆ ให้มานั่งกลางดินกลางทรายอย่างนี้มันช่างไม่พัฒนาเสียเลย ถ้าใครจะด่าผมอย่างนี้มันก็ยิ่งดีสิเพราะผมก็ยิ่งชอบ เพราะผมจะไม่พัฒนาอย่างนั้น จะไม่พัฒนาให้นั่งบนตึกสวยๆ บนเก้าอี้สวยๆ แต่จะให้นั่งกลางทรายอย่างนี้ เพราะว่าผมถือว่านี่คือการพัฒนา ที่ท่านทั้งหลายต้องนั่งกลางๆทรายอย่างนี้คือการพัฒนา เพราะว่าก่อนนี้จิตใจมันต่ำ มันอยากนั่งเก้าอี้ มันอยากประชุมบนตึกสวยๆนั้นผมถือว่ามันต่ำหรือมันทราม ถ้าเกิดจิตใจมันอยากจะนั่งกลางดินขึ้นมาอย่างนี้นี่เรียกว่าสูงแล้ว คือพัฒนาแล้ว เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดิน พอพูดอย่างนี้ก็ต้องนึกได้สิเพราะว่าเรียนนักธรรมกันมาแล้ว เรียนพุทธประวัติกันมาแล้ว ว่าพระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดินที่สวนลุมพินี แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสรู้กลางดิน ที่โคนต้นโพธิ์ที่ริมตลิ่งที่แม่น้ำเนรัญชรานี่ แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็นิพพานคือตายนั้น กลางดิน ที่ต้นสาละที่สวนป่าของกษัตริย์มัลละ แล้วส่วนมากท่านก็เทศน์กลางดินสอนกลางดิน ไอ้ธรรมเทศนาทั้งหลายที่ปรากฏอยู่เป็นพระไตรปิฎกนั้นน่ะส่วนมากก็เทศน์กลางดินทั้งนั้นแหละ แล้วชีวิตส่วนใหญ่ของพระองค์ก็อยู่กลางดิน เพราะว่ากุฏิของท่านพื้นดิน ถ้าใครเคยไปอินเดียแล้วก็จะเห็น ผมไปแล้วผมก็เห็น ว่ากุฏิของพระพุทธเจ้าที่เชตวันก็ดี ที่คิชฌกูฏก็ดี ที่ไหนก็ดีล้วนแต่พื้นดิน แล้วจะไม่เรียกว่าส่วนมากท่านประทับอยู่กลางดินได้อย่างไร
จึงขอให้ทำในใจว่าเมื่อไรได้มานั่งกลางดินอย่างนี้ ขอให้ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าในข้อที่ท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน ส่วนมากก็อยู่กลางดิน และกุฏิของท่านก็พื้นดิน ฉะนั้นถ้าเรามีจิตใจเหมือนท่านเราก็คงจะชอบกลางดิน ถ้าเราไม่ชอบกลางดินเราก็มีจิตใจผิดกันกับจิตใจของท่าน ฉะนั้นเมื่ออยากจะให้มีจิตใจอย่างพระพุทธเจ้าก็ต้องเป็นอยู่ให้เหมือนกับท่าน ในการขบฉัน ในการเป็นอยู่ ในการนุ่งห่ม ในการนั่งนอนอะไรต่างๆ เรียกว่าชีวิตการเป็นอยู่เหมือนท่านแล้วก็จิตใจมันก็จะคล้ายๆจิตใจของท่านไปโดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่ามานั่งกันกลางทรายที่นี่วันนี้คือการพัฒนา และขอให้ถือเอาเป็นที่ระลึกด้วย เพราะเหตุว่าไปในที่อื่นก็คงไม่มีโอกาสที่จะได้นั่งกลางทรายอย่างนี้ ฉะนั้นพอมานั่งกลางทรายอย่างนี้ก็จำไว้เป็นที่ระลึกสำหรับจะติดไปในจิตใจว่าเรามีจิตใจที่พัฒนาตามแบบของพระพุทธองค์ ไม่ได้มุ่งหมายจะนั่งบนเก้าอี้สวยๆ บนตึกสวยๆ บนสำนักงานสวยๆอะไรต่างๆ ซึ่งทำให้จิตใจมันเตลิดเปิดเปิงเหมือนกับบินปร๋อไปเลย ทางนู้นทางนี้ ไม่อยู่ในร่องรอยของความสงบ
นี่ที่ยกตัวอย่างนี้ก็ไม่ใช่เพื่อๆเป็นตัวอย่างอย่างเดียว เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงและเป็นเครื่องบูชาพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นด้วย เท่ากับการที่ว่าต้องมานั่งกลางดินนี้ในวันนี้ที่นี่เดี๋ยวนี้เป็นเครื่องบูชาพระคุณของพระองค์ด้วย แล้วพร้อมกันนั้นก็เป็นการปรับปรุงการพัฒนากันเสียใหม่ ปรับปรุงพัฒนากันเสียใหม่ให้เข้ารูปเข้ารอยกันกับรอยของพระพุทธองค์ที่เรียกว่าจะมีการพัฒนาอย่างไร ต้องไม่ลืม ต้องไม่ลืมพระพุทธองค์ ต้องไม่ลืมไอ้หลักเกณฑ์ต่างๆของพระพุทธองค์
เท่าที่พูดมาแล้วนี้ก็พอจะเริ่มมองเห็นปัญหาต่างๆที่มันเกี่ยวกันอยู่กับการพัฒนา แต่เดี๋ยวนี้ผมก็ได้ทราบว่าไอ้การกำหนดการว่าจะมีการบรรยาย ๒ หนวันนี้ ตอนบ่ายครั้งหนึ่ง ตอนหัวค่ำครั้งหนึ่งนั้น มีความจำเป็นบางอย่างที่จะต้องรวมเข้าเป็นครั้งเดียว เพราะฉะนั้นจึงต้อง เอ่อ, ขอถือโอกาสพูดรวมกันครั้งเดียว ๒ เรื่อง คือเรื่องการพัฒนากับการเผยแผ่ ที่จริงไอ้การพัฒนาก็เป็นการเผยแผ่อยู่โดยอัต ในตัวมันเอง ไอ้การเผยแผ่โดยตรงนั้นมันก็เป็นเรื่องหนึ่ง ก็เลยถือโอกาสพูดรวมกันเป็น ๒ เรื่อง ในตอนแรกก็คงพูดเรื่องการพัฒนา และก็ได้ยกตัวอย่างให้เห็นปัญหาต่างๆที่มันเกี่ยวกับการที่จะต้องพัฒนา จนเห็นว่าเราจะพัฒนาอะไรกันแน่ หรือว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ที่เรียกว่าพัฒนาๆก้องไปหมดนี้
พระคะ อ่า, พระคณาธิการทั้งหลายได้รับการอบรมเพื่อเป็นผู้มีความสามารถในการพัฒนาแก่ประชาชน ทีนี้มันก็มีปัญหาว่าพัฒนาอะไรกันแน่ เอาอะไรกันแน่ เอาอย่างไรกันแน่ พัฒนาอะไร จะพัฒนามนุษย์ หรือว่าจะพัฒนาก้อนหินก้อนดิน วัตถุสิ่งของ นี่มันก็ต้องให้มันแน่ลงไป หรือๆว่ามันต้องทำทุกอย่าง ก็ให้มันแน่ลงไป แต่ถ้าต้องทำทุกอย่างมันก็ต้องแน่ลงไปว่าอะไรมันสำคัญ อะไรมันเป็นชั้นหัวใจ อะไรมันเป็นชั้นเปลือก ถ้าเราไปทำชั้นเปลือก หัวใจไม่มี มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร หรือว่าถ้าเราทำในชั้นที่เป็นหัวใจดี ไอ้เปลือกมันก็ต้องดีแน่ หรือว่าถ้าหัวใจมันดีแล้ว เปลือกมันจะไม่ค่อยดีก็ช่างหัวมัน มันไม่เป็นไร มันไม่ค่อยสำคัญนัก นี่หรือว่าจะเอาแต่เปลือกดี เข้าในช่างหัวมัน หัวใจช่างหัวมัน ก็ไปคิดดูให้ดี นี่คือข้อที่ว่าเราจะเอาอย่างไรกันแน่
ทีนี้เพื่อให้เข้าใจง่ายหรือมองเห็นได้ชัดๆง่ายๆ ผมอยากจะแนะว่าอย่างน้อยก็จะต้องนึกถึงสิ่งที่ต้องพัฒนากันนั้นน่ะสัก ๔ เรื่อง หรือ ๔ หัวข้อ ก็คือข้อ อ่า, คือสิ่งที่ได้ยินๆกันอยู่บ่อยๆแล้วนั่นเอง แต่ผมอยากจะพูดอีก แล้วก็พูดให้ชัดลงไปว่า
ข้อที่ ๑ ก็จะพัฒนาวัตถุ
และข้อที่ ๒ เราจะพัฒนาร่างกาย หรือเนื้อหนังของคน
แล้วก็ข้อที่ ๓ เราจะพัฒนาจิตใจของคน
ข้อที่ ๔ นี้ต้องใช้คำว่า วิญญาณ ขอใช้คำว่าวิญญาณ พัฒนาวิญญาณ ดวงวิญญาณของคน ซึ่งมันต่างไปจากจิตใจเดี๋ยวก็จะว่าให้ฟัง
พูดโดยสรุปย่อๆก่อนก็พัฒ พัฒนาวัตถุ มันก็คือไปสร้างวัตถุ จะเป็นไอ้บ่อน้ำ ลำคลอง หรือว่าเป็นศาลา เป็นไอ้โบสถ์วิหารการเปรียญอะไรก็ตาม ก็เรียกว่าวัตถุก็แล้วกัน นี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องพัฒนา
ทีนี้เรื่องร่างกายของคนก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ต้องพัฒนา ถ้าคนมันเสื่อมสุขภาพอนามัย ร่างกายไม่สมประกอบเป็นต้นแล้วมันก็ทำอะไรไม่ได้ มันก็จึงต้องพัฒนาไอ้ร่างกายของคนนี้ให้อยู่ในสภาพที่เป็นที่น่าพอใจด้วย
ทีนี้ไอ้ข้อ ๓ ที่ว่าพัฒนาจิตใจของคนนี่ หมายถึงทำการพัฒนาให้เกิดจิตใจชนิดที่มันเข้มแข็ง ที่มันสามารถ ที่ให้มันบังคับตัวเองได้ อย่าไปทำความชั่ว เดี๋ยวนี้เราจะเห็นได้ว่าการศึกษาของมนุษย์ในโลกนี้มันล้มเหลว ยิ่งเรียนโรงเรียนชั้นสูงมันยิ่งชอบเสพเฮโรอีน ทั้งในเมืองไทยเราและในต่างประเทศ นี่มันน่าหัว เพราะฉะนั้นยิ่งเรียนมากยิ่งเรียนสูง มันยิ่งชอบเป็นฮิปปี้ มันยิ่งชอบเสพเฮโรอีน เป็นต้น นี่ก็เพราะว่ามันไม่ได้พัฒนาทางจิตใจให้มันมีความเข้มแข็งพอที่จะบังคับตัวเองว่าไม่ต้องไปทำไอ้สิ่งเหล่านั้น ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เขาห้ามกันอยู่ เขาสอนกันอยู่แล้วก็ยังไม่เชื่อ หรือว่าไอ้การพัฒนาจิตใจนี่กินความไปถึงว่าเราจะต้องฝึกฝนมันสมองให้เฉลียวฉลาด ให้เป็นจิตใจที่แคล่วคล่องว่องไวเข้มแข็งอดทนอะไรต่างๆ เป็นจิตใจที่ดีนี่ แต่ยังไม่เรียกว่าดวงวิญญาณสูง
ตัวอย่างเช่นเราทำสมาธิอย่างนี้ มันก็พัฒนาจิตใจให้มันเข้มแข็ง แต่ยังไม่มีความรู้ในเรื่องที่จะบรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะฉะนั้นมันจึงมีการกระทำอีกส่วนหนึ่ง คืออบรมในทางสติปัญญา ให้สติปัญญามันถูกต้อง มันเป็นไปตามทางที่ถูกต้อง นี่ดวงวิญญาณมันจึงจะปราศจากกิเลส ในเมื่อปราศจากกิเลสก็เรียกว่าดวงวิญญาณมันสะอาด มันผ่องใส แจ่มใสนี่เป็นขั้นสุดท้าย เพราะฉะนั้นจึงสูงไปกว่าพัฒนาจิตล้วนๆ แต่ก็ยอมรับว่าเป็นการพัฒนาที่เกี่ยวกับจิต ถ้าใช้คำว่าพัฒนาทางจิตมันก็ต้องแยกออกเป็น ๒ ชั้นหรือ ๒ ตอน คือพัฒนาจิตให้มันดีนี้ตอนหนึ่ง แล้วพัฒนาจิตให้มันรอบรู้หลุดพ้นไปนั้นอีกตอนหนึ่งนะ แต่ดูมันไม่มีอยู่ในหลักสูตรการพัฒนาจิตที่เขาทำกระทำกันอยู่ทั่วๆไปในๆเวลานี้ การพัฒนาจิตคล้ายๆกับเป็นแต่เพียงให้มีความรู้ตามธรรมดาที่จะไปใช้ประโยชน์อย่างโลกๆเสียมากกว่า ดังนั้นผมจึงต้องขอแยกออกไปอีกอันหนึ่งเรียกว่า พัฒนาดวงวิญญาณให้มันสูงกระทั่งบรรลุมรรคผลนิพพาน
นี่เรียกว่าเราจะต้องพัฒนากันถึง ๔ อย่าง ๔ ประการ คือพัฒนาวัตถุล้วนๆ ไม่มีชีวิตจิตใจ แล้วก็พัฒนาร่างกายคนให้เป็นร่างกายที่ดี ที่ดีขึ้น ทุกๆชั่วอายุคนให้คนมันมีร่างกายดีขึ้น แล้วพัฒนาจิตให้เข้มแข็ง ให้เรียกว่ามีธรรมะ มีความดีมีอะไรสมกับที่ว่าเป็นจิตใจของมนุษย์ แล้วก็พัฒนาดวงวิญญาณอันสูงสุด คือสติปัญญาให้ถูกต้องและสมบูรณ์ เดี๋ยวนี้ความรู้ยังไม่ถูกต้อง ถูกต้องบ้างก็ยังไม่สมบูรณ์ ฉะนั้นต้องๆใช้คำว่าทั้งถูกต้องและสมบูรณ์ ไอ้ดวงวิญญาณนี้จึงจะเรียกว่าได้รับการพัฒนาเต็มที่
ทีนี้คุณก็พอจะเข้าใจได้ว่า พัฒนาวัตถุ พื้นฐานรากฐานที่สุด ก้อนดินก้อนหินก้อนทรายอะไรก็ เอ่อ, ก็ดูสิ มันก็ต้องพอมีการพัฒนาบ้าง ไอ้สถานที่นี้มันจึงอยู่ในสภาพอย่างนี้ เรียกว่าพัฒนาวัตถุ ขอร้องให้ไปนึกกันในข้อนี้แล้วช่วยกันพัฒนาไอ้วัตถุนี่ที่วัดวาของตนเสียก่อนเถอะ ให้มันเป็นวัดวาอารามที่มีพื้นดินที่พอดูได้ พอเข้ามาแล้วนั่งลงแล้วมันก็มีจิตใจเยือกเย็น สงบหรือว่างจากอา อ่า, นิวรณ์รบกวนก็ยังดี นี่ขอให้สังเกตนะว่า ถ้าว่าไอ้พื้นทรายพื้นที่จัดไว้ดี พอคนมานั่งลงน่ะ จิตมันก็ว่างจากนิวรณ์ได้โดยอัตโนมัติไม่มากก็น้อย นี้มันก็เป็นเรื่องพัฒนาวัตถุ
ถ้าพัฒนากายก็ทำให้ร่างกายดี นี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งซึ่งเขาสอนกันอยู่มากเกี่ยวกับอนามัย ให้พัฒนาอนามัย ให้มันเจ็บไข้ยาก ให้มันมีร่างกายที่เข้มแข็งเจ็บไข้ยาก มีความสุขง่าย เป็นการพัฒนาทางกายอัน อย่างหนึ่ง แล้วก็ให้มันเข้มแข็ง มันให้มีเรี่ยวมีแรง ให้มันทำอะไรได้ เป็นคุณภาพทางๆกาย นี้พระเณรเราก็ต้องระวังด้วยเหมือนกัน ถ้าเป็นโรคผอมเหลืองแล้วจะไปสอนชาวบ้านให้พัฒนาอนามัย เขาก็สั่นหัว เพราะว่าพระเองก็ผอมเหลือง เดินไม่ค่อยจะไหวอยู่แล้ว แล้วไปสอ พัฒนาให้ชาวบ้านเขา พัฒนาอนามัยนี้ก็เป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นเราก็ต้องเป็นภิกษุสามเณรที่มีอนามัยดี มีโรคภัยไข้เจ็บน้อย มีความกระปรี้กระเปร่า อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านก็สรรเสริญคุณข้อนี้ ใช้คำว่ากระปรี้กระเปร่า คือมีร่างกายที่ว่องไวในการปฏิบัติหน้าที่ของตน แล้วก็มีโรคภัยไข้เจ็บน้อย รวมกันนี้ก็เรียกว่ากระปรี้กระเปร่า ภิกษุสามเณรเราก็ควรจะมีการพัฒนาในทางร่างกายถึงขนาดนี้
ทีนี้พัฒนาจิตมันก็มีหลายๆระดับ อย่างสูงสุดก็สำนักวิปัสสนาทั้งหลายที่ตั้งขึ้น ถ้าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง มันก็เป็นการพัฒนาจิตแน่ แต่ว่าแม้ไม่ถึงขนาดสำนักวิปัสสนา ในวัดวาของเราทั่วๆไปทุกๆวัดนี่ ถ้ามีการสั่งสอนเรื่องเกี่ยวกับจิตใจให้ถูกต้องมันก็จะเป็นการพัฒนาจิตได้ด้วยเหมือนกัน แม้แต่เรื่องศีล ถ้ามีศีลก็ต้องเป็นผู้ที่บังคับจิตได้ ถ้าบังคับจิตไม่ได้มันก็ไม่สังวร มันก็ไม่สำรวม มันก็ไม่มีศีล กระทั่งว่าไม่มีหิริโอตัปปะมันก็ไม่มีศีล ฉะนั้นการสอนให้มีธรรมะชนิดที่ว่าบังคับตัวเองให้ได้นี้ก็เป็นเรื่องพัฒนาจิต ไอ้หลักเกณฑ์ต่างๆรายละเอียดต่างๆก็มีอยู่แล้วในหลักสูตรนักธรรมที่ทุกคนเรียนแล้ว มันเหลืออยู่แต่ว่ามันทำให้ได้ตามนั้นเท่านั้น
ถ้าพัฒนาวิญญาณที่สูงขึ้นไปอีกนี้ยังต้องขวนขวายต่อไปอีก แม้จะเรียนนักธรรมตรี โท เอกมาแล้วก็ยังเข้าใจหลักธรรมะนั้นผิดๆได้ แล้วก็ดวงจิตดวงวิญญาณนี้ไม่สะอาดได้เพราะสักว่ามีความรู้ มีแต่ความรู้มันไม่พอที่จะพัฒนาวิญญาณให้สะอาดได้ มันต้องปฏิบัติอย่างถูกต้องและสมบูรณ์ด้วย นี้ก็เป็นเรื่องต้องศึกษาเพิ่มเติม ต้องปฏิบัติเพิ่มเติมต่อไปอีก แม้ว่าจะได้นักธรรมเอกแล้ว ผมก็จัดว่ามันเป็นเพียงรากฐานพื้นฐานกอขอกอกาสำหรับพัฒนาดวงวิญญาณต่อไปให้สูงยิ่งๆขึ้นไป
เอ้า, ทีนี้มาเหลือบดูกันสักทีหนึ่งว่า ไอ้พัฒนาทางวัตถุสิ่งของนี่ เรารู้จักกันมาก แล้วก็พูดถึงกันมาก แล้วก็กระทำกันมาก แล้วก็ออกจะมากเกินไปด้วย ผมขอย้ำอีกครั้งหนึ่งนะเผื่อบางๆๆๆๆท่านจะฟังไม่ถนัด ว่าไอ้เรื่องพัฒนาทางวัตถุสิ่งของก่อสร้างต่างๆนี้ เข้าใจกันดี รู้จักกันมาก พูดถึงกันมาก แล้วก็ทำกันแล้วมาก จนออกจะเกินไปแล้ว ถ้าจะถือว่านั่งกลางทรายอย่างนี้พอดี ก็ต้องถือว่านั่งบนเก้าอี้บนตึกสวยๆนั้นมันเกินไปแล้ว มันเกินฐานะของสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแล้ว
ทีนี้ถ้าสำหรับชาวบ้านประชาชนก็เหมือนกันแหละ คุณไปดูเถอะ บ้านเรือนเขามันพัฒนาดูจะเกินไปแล้ว แต่ความประพฤติศีลธรรมในจิตใจของเจ้าของบ้านนั้นยังเกือบจะไม่มีอะไร แล้วบ้านไหนพัฒนาเกินไปบ้านนั้นมักจะเป็นอันธพาลทั้งนั้น ที่อันธพาลน่ะมันชอบสวย ชอบรวย ชอบอร่อย ชอบอะไรต่างๆ ไปโกงเขามาอะไรเขามา มาพัฒนาบ้านเรือนเสียหรูหราเพราะมันต้องการอย่างนั้นนี่ แม้แต่ห้องส้วมก็ราคาเป็นแสนๆ แต่จิตใจมันก็ต่ำสิเพราะมันต้องการแต่ไอ้อย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องพูดว่ามันเกินไปแล้วในส่วนที่พัฒนาวัตถุ บ้านเรือนสำหรับอยู่อาศัยกันที่เมืองนอกเมืองนาก็ดี ที่เมืองไทยเราก็ดี พัฒนาทางวัตถุที่วัดก็ดี ที่ในบ้านเรือนก็ดี มันๆๆๆจะทำกันมากจนเกินไปแล้ว
แต่ว่าที่ยังขาดอยู่ ยังไม่ได้ทำอยู่ก็มี บางทีจะเอาไปช่วยคนพวกนี้ถ้ามันยังต่ำอยู่ แต่ถ้าจะไปช่วยก็อย่าช่วยให้มันเกิน อย่าช่วยให้มันเกิน ช่วยจำไว้ว่าช่วยให้มันพอดีสำหรับที่มันจะเป็นมนุษย์ที่ดี เป็นผู้มีความดีทางกายทางวาจาทางใจ อย่าให้บ้านเรือนมันดีเกินไปกว่าจิตใจซึ่งมันยังเลวอยู่ ก็ให้บ้านเรือนมันพัฒนาไปพร้อมๆกับจิตใจที่พอเหมาะพอสมกันอย่างนั้น ทีนี้ถ้าเราไปพัฒนาจิตใจของเขา เขาก็จะรู้จักทำให้มันสมกันได้ ถ้าจิตใจของเขาต่ำเขาก็อาจจะทำผิด ไม่สมกันก็ได้ เพราะฉะนั้นควรจะอยู่ที่พัฒนาจิตใจให้ถูกต้องและเพียงพอ ให้เขารู้จักพัฒนาวัตถุ
นี่สรุปความว่าไอ้เรื่องพัฒนาทางวัตถุนี้เรารู้จักกันมาก เราพูดกันมาก เราทำกันมากจนออกจะเกินไปแล้ว แล้วมันก็จะน่าสงสารที่ว่าเราลงทุนเรื่องอย่างนี้ตั้งมากมายแล้วมนุษย์ก็มิได้ดีขึ้น มนุษย์มิได้ดีขึ้น ศีลธรรมของมนุษย์มิได้ดีขึ้นทั้งๆที่เราลงทุนในเรื่องวัตถุนี้กันอย่างมากมาย นี่ก็น่าสงสาร
ทีนี้ที่ว่าพัฒนาทางร่างกายให้ร่างกายดี เข้มแข็งน่าดู แต่จะไม่ใช้คำว่าสวยงามอะไรนัก นี่ก็รู้จักกันมาก พูดถึงกันมาก ทำกันได้มาก ซึ่งอยู่ในลักษณะที่อาจจะเกินหรือเกือบจะเกินอยู่เหมือนกัน ดูสิเรารู้จักกินอาหาร รู้จักตกแต่งร่างกายทำให้มันสวยมันงาม ยิ่งเดี๋ยวนี้แล้วก็ยิ่งจะงามจนเกินไปแล้ว เรียกว่าร่างกายนั้นมันก็ถูกพัฒนาเกินความจำเป็นไปแล้ว ก็จะต้องรู้จักคิดรู้จักนึกกันเสียใหม่ คือทำให้มันสมส่วนกัน อย่าให้มันดีแต่ที่ร่างกายแต่แล้วจิตใจมันยังเสื่อมทรามอยู่ แล้วมันจะไม่ๆ ไปไม่ไหว ดีแต่ที่ร่างกาย สวยแต่ที่ร่างกาย อะไรแต่ที่ร่างกายส่วนจิตใจมันยังเสื่อมทรามอยู่นี้มันก็ไปไม่ไหว
ที่ว่าพูดถึงพัฒนาจิต ก็กลายเป็นว่าเรื่องนี้ยังรู้จักกันน้อย ทำกันน้อย หรือทำไปอย่างงมงายเสียก็มี ฉะนั้นข้อนี้ยังจะต้องเพิ่มเติมกันอีกมาก การพัฒนาจิตนี่มันยังน้อยมาก เมื่อไปเทียบกับพัฒนาวัตถุแล้วมันเกินไปแล้ว หรือพัฒนาร่างกายมันก็เกือบจะเกินอยู่แล้ว แต่พัฒนาจิตนี้มันยังน้อยอยู่ ฉะนั้นควรจะไปสนใจทำให้มันมากขึ้นให้พอๆกันอย่างนี้จริงไหม ขอได้โปรดนำไปคิดดูด้วย
ทีนี้ข้อสุดท้ายที่เรียกว่าพัฒนาดวงวิญญาณนี้ผมรู้สึกว่ายังน้อยมาก น้อยที่สุด น้อยยิ่งขึ้นไปอีก เพราะว่าไม่รู้ธรรมะที่เพียงพอที่จะพัฒนาดวงวิญญาณ ทีนี้การที่เราจะกำจัดกิเลส ควบคุมกิเลสนี่เรามีความรู้น้อย มันพิสูจน์อยู่แล้วว่ายังมีกิเลสมากขึ้น ทีนี้ความรู้ที่สอนกันผิดๆก็ควรจะไปสอนกันเสียให้ถูก มันจะได้มีวิญญาณที่ๆถูก เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้จักวิญญาณ แม้ในโรงเรียนจะสอนเรื่องวิญญาณ ไอ้คนเรียนมันก็ไม่รู้เรื่องวิญญาณ จะยกตัวอย่างเช่นว่า บางคนที่เรียนนักธรรมมาแล้ว ตั้งตรี โท เอกอะไรแล้วก็ยังไม่รู้ว่าวิญญาณอยู่ที่ไหนนี่ก็มี อย่างนี้ก็มี
ทีนี้บางคนมันก็พูดว่าขันธ์ ๕ นี้มีอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ น่าสงสารที่สุด ที่จะพูดว่าคนเรามีขันธ์ ๕ อยู่ตลอดเวลา โดยที่ไม่รู้ว่าขันธ์ ๕ นั้นน่ะมันจะเกิดอยู่ตลอดเวลาไม่ได้ แล้วมันจะเกิดพร้อมกันทั้ง ๕ ก็ไม่ได้ มันทยอยกันเกิด เช่นตาเห็นรูปจึงเกิดจักษุวิญญาณ วิญญาณมันก็เพิ่งเกิด เพราะเมื่อไม่เห็นรูปมันก็ไม่เกิดจักษุวิญญาณ ๓ ประการนี้เรียกว่า ผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา นี่เวทนาขันธ์ก็เพิ่งเกิด เมื่อมันมีผัสสะนี่ มีเวทนาสุขทุกข์อย่างไรแล้วสำคัญมั่นหมายลงไปอย่างไรนั้นจึงจะเกิดสัญญาขันธ์ขึ้นมา สำคัญมั่นหมายอย่างไรแล้วจึงจะเกิดสังขารขันธ์คิดนึกเอาอย่างนั้นเอาอย่างนี้ขึ้นมานี่ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าขันธ์ ๕ มันจะเกิดพร้อมกันไม่ได้ มันต้องเกิดกันตามหน้าที่ ตามละ อ่า, ตามลำดับของมัน จะไปพูดว่าผมมีขันธ์ ๕ อยู่ตลอดเวลา บางคนยืนยันมากถึงกับว่า แม้เวลาหลับอยู่ก็มีขันธ์ ๕ ตลอดเวลา ก็เลยไม่ต้องพูดกัน พูดกันไม่รู้เรื่องแน่ อย่างนี้มันเป็นตัวอย่างที่แสดงว่า เขายังมีความ ไม่มีความเข้าใจถูกต้องในเรื่องทางวิญญาณ หรือทางฝ่ายดวงวิญญาณ ที่ว่าจะพัฒนาดวงวิญญาณให้สูงยิ่งขึ้นไป
ฉะนั้นถ้าจะพัฒนาถึงขนาดชั้นนี้แล้วก็ไปศึกษากันใหม่ ไปทำความเข้าใจกันใหม่ แม้แต่เรื่องขันธ์ ๕ มันเกิดขึ้นอย่างไร แล้วมันจะกลายเป็นปัญจุปาทานขันธ์ที่เป็นตัวทุกข์อย่างไร แล้วเราจะควบคุมมันอย่างไร นั่นน่ะจึงจะพัฒนาทางวิญญาณได้ ถ้าอย่างที่เรียนๆสอนๆกันอยู่มันก็ท่องจำกันแต่ปาก จนกระทั่งสอนว่าเรามีขันธ์ ๕ อยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ก็มี เราอาจจะมีธาตุ ธาตุ ๖ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณอยู่ตลอดเวลาก็ได้ แต่มันยังไม่เป็นขันธ์ มันต้องได้โอกาสประกอบขึ้นเป็นอายตนะ ทำหน้าที่อายตนะก่อนแล้วมันจึงจะเป็นขันธ์ เมื่อใดเกิดขันธ์มันๆจึงจะมีปัญหาเรื่องความทุกข์ขึ้นมาอย่างนี้เป็นต้น
นี้ผมยกตัวอย่างในเรื่องๆหนึ่งในหลายๆเรื่องที่ว่าเรายังสอนกันไม่ถูก หรือไม่ได้สอนเลยก็ได้ ในการที่จะพัฒนาดวงวิญญาณของพุทธบริษัททั้งหลายให้สูงยิ่งๆขึ้นไป เพราะฉะนั้นจึงขอยืนยันว่าไอ้เรื่องพัฒนาทางวิญญาณนี้เรารู้จักกันน้อย พูดถึงกันน้อย กระทำกันน้อยและน้อยเกินไป มันก็เลยแยกให้เห็นว่าพัฒนาทางวัตถุนี้เรารู้จักกันมาก ทำกันมาก จนจะมากเกินไป ส่วนพัฒนาทางจิตนั้นเราก็รู้กันบ้างแต่ก็ยังไม่มากเกินไป ทำกันไม่ อ่า, ไม่มาก แต่พัฒนาทางวิญญาณแล้วยิ่งน้อย ยิ่งน้อยไปอีก นี่ขอให้ไปคิดดู จะทำหน้าที่พัฒนาส่วนไหนอย่างไรต้องทำให้ถูกต้อง และถ้าคิดดูแล้วจะเห็นได้ว่ามันจะพัฒนาแต่อย่างเดียวคงไม่ได้แน่ และพัฒนาอย่างเดียวมากเกินไปก็เป็นอันตรายด้วย เพราะทำให้ลุ่มหลงในเรื่องเนื้อหนัง ในเรื่องที่ตั้งของกิเลสมากขึ้น เช่นพัฒนาทางวัตถุมากเกินไปมันก็หลงใหลในที่ตั้งของกิเลสมากขึ้น คนก็เป็นทุจริตอันธพาลมากขึ้น เห็นแก่ตัวมากขึ้นเท่านั้นเอง ฉะนั้นจึงต้องพัฒนาพร้อมกันไปแหละ ให้ได้สัดส่วนกันพอดีทั้ง ๔ ชั้น ทั้ง ๔ ระดับ หรือ ๔ อย่างนั้น พัฒนาวัตถุ พัฒนาร่างกาย พัฒนาจิตใจ พัฒนาดวงวิญญาณพร้อมๆกันไป นี่คือปัญหาที่ว่าจะพัฒนาอะไร หรือจะเอากันอย่างไร จะพัฒนาแผ่นดินหรือพัฒนาคน พัฒนาคนนี่จะพัฒนากายหรือพัฒนาจิตหรือพัฒนาวิญญาณ ให้มันถูกต้องและสมส่วน
เอ้า, ทีนี้ก็พิจารณากันต่อไปตามที่เวลามันจำกัด เมื่อพูดถึงคำว่าพัฒนามันก็มีทางที่จะต้องมองดูต่อไปว่ามันพัฒนาชนิดไหนมันเป็นอันตราย พัฒนาชนิดไหนเป็นประโยชน์เป็นอานิสงส์ จะพูดให้มันง่ายก็ต้องใช้คำง่ายๆที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้ในโลกนี้เขาจัดเป็นว่าประเทศที่ยังด้อยพัฒนาเช่นประเทศไทย หรืออย่างดีก็เป็นประเทศที่กำลังพัฒนา แล้วประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างยิ่งแล้ว เจริญเต็มที่แล้ว เช่นประเทศฝรั่งบางประเทศ มหาประเทศบางประเทศนั้นเขาว่าพัฒนาเต็มที่แล้ว ในโลกนี้มันก็เกิดเป็นประเทศที่ด้อยพัฒนาอยู่พวกหนึ่ง และเด่นในทางพัฒนาอยู่อีกพวกหนึ่ง เป็น ๒ พวก
ทีนี้ขอให้เหลือบตาดูว่า ไอ้ประเทศที่มันเด่นทางพัฒนาสูงสุดในโลกเวลานี้ที่เขายกย่องกันอยู่นั่น มันมีสันติสุข มันมีสันติภาพหรือไม่ อย่าออกชื่อประเทศไหนดีกว่า เพียงแต่พูดขึ้นมาว่าประเทศฝรั่งชั้นพี่เบิ้ม ๒-๓ ประเทศที่เขายกย่องกันว่าเป็นประเทศที่เด่นในทางพัฒนา แล้วเราก็ไปตามก้นเขาจะเอาอย่างเขานั่นแหละ ประเทศชนิดนั้นแหละมันมีสันติภาพ มันมีสันติสุขอยู่หรือ ผู้ที่ไปเห็นมาแล้วเขาก็มายืนยันรับรองว่าในประเทศชนิดนั้นกลับมีอาชญากรรมมาก อาชญากรรมทางเพศในบางประเทศแห่งประเทศนั้นน่ะมีทุกๆ ๗ วินาที ทุกๆ ๗ วินาทีมีอาชญากรรมทางเพศในท้องถนนในทั่วไป ในประเทศไทยเรายังไม่มี
เอาแล้วนี่เราเป็นตั้งปัญหาว่า ในประเทศเหล่านั้นที่เด่นในทางพัฒนาแล้วมันมีสันติภาพแล้วมันมีสันติสุขอยู่หรือ ถ้าเห็นว่ามันไม่มีสันติภาพ ไม่มีสันติสุข เรายังจะไปตามก้นมันอยู่หรือนี่ จะไปเอาอย่างประเทศอย่างนั้นในการพัฒนาหรือ หรือว่าเราจะเอาอย่างไร นี่ขอให้เราลองคิดดู เพราะว่าเรามันเป็นประเทศที่ด้อยพัฒนาอย่างไรที่จะไปตามก้นประเทศที่เด่นในทางพัฒนา ประเทศที่เรียกกันว่าเด่นในทางพัฒนากลับมีคนเห็นแก่ตัวมาก ไม่มองหน้าใคร ไม่มีใครยิ้มให้ใคร ไม่มีเวลาที่จะมาช่วยใคร ต่างคนต่างทำหน้าที่หาเงินหาทองขยันขันแข็งของตัวเอง ได้เงินมาแล้วก็บำรุงบำเรอกามารมณ์เต็มที่ มันจึงเป็นโรคจิตมากเป็นโรคประสาทมาก นี่เพราะอะไร เพราะว่ามันพัฒนาแต่ในทางวัตถุ ประเทศเหล่านั้นเป็นตัวอย่างที่ดีเป็นพยานที่ดี เป็นหลักฐานที่ดีว่ามันพัฒนากันแต่ทางวัตถุจนเด่นในทางพัฒนา แต่แล้วมันก็ไม่มีสันติภาพ ไม่มีสันติสุข
เพราะฉะนั้นเราสรุปได้ว่า ไอ้อย่างนั้นยิ่งพัฒนายิ่งไม่มีศีลธรรม ยิ่งพัฒนายิ่งไม่มีศีลธรรม คุณลองจำไว้ด้วย กระผมสังเกตมานานแล้ว และกำลังสังเกตอยู่ตลอดเวลาว่าพัฒนาอย่างนั้นยิ่งพัฒนายิ่งไม่มีศีลธรรม ยิ่งพัฒนายิ่งเกลียดศีลธรรม ยิ่งพัฒนายิ่งเกลียดศาสนา มันยิ่งเกลียดศาสนามากขึ้น เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้จักเลือกว่าพัฒนาทางไหนประชาชนจึงจะมีศีลธรรม ไม่เกลียดศาสนาอย่างนี้เป็นต้น แล้วการพัฒนายิ่งพัฒนายิ่งเกลียดศีลธรรมนี้มันจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ คือไม่รู้สึกตัวว่าตัวนั้นเลวลงไปในทางศีลธรรมก็ไม่รู้สึกตัว แล้วก็ยิ่งพัฒนาใหญ่ มันก็ยิ่งเมา เมาพัฒนา เมาเนื้อหนัง เมาอะไรกันเป็นการใหญ่ ยิ่งพัฒนายิ่งไม่มีศีลธรรมมันหมายความอย่างนี้
ทีนี้เมื่อมันมีจิตเป็นทาสของกิเลสอย่างนั้นหมดแล้วมันก็พัฒนาทางจิตไม่ได้ พัฒนาทางวิญญาณไม่ได้ จิตมันพ่ายแพ้แก่วัตถุเสียแล้ว คนที่มีจิตทรามอย่างนี้มันจะมาพัฒนาจิตไม่ได้ มันมีจิตที่มอบให้แก่วัตถุเสียมากเกินไปแล้ว ทำอะไรเพื่อความเจริญทางวัตถุอย่างไม่มีขอบเขตทั้งนั้น ฉะนั้นขอให้เราได้เปรียบเทียบกันดูว่าจะพัฒนาอะไรกันก่อน หรือจะพัฒนาอะไรสักเท่าไร ตามความรู้สึกของผมว่าต้องพัฒนาพร้อมๆกันไป แต่ไม่ได้หมายความว่าเท่ากัน มันควรจะมีความสมส่วนกันแต่มิได้หมายความว่าเท่ากัน เช่นเราจะทำแกง ตำเครื่องแกงสักครกหนึ่ง เราไม่ได้ใส่เกลือเท่ากับพริก ไม่ได้ใส่พริกเท่ากับตะไคร้ หรือไม่ได้ ไม่ได้ใส่อะไรเท่าๆๆๆกัน เราจะต้องใส่ให้มันพอสมส่วนที่ๆๆเรียกว่าพอดีนี้
ทีนี้ในเรื่องพัฒนาทั้ง ๔ ประการนี้ก็เหมือนกันเลย ต้องให้มันพอสมส่วนที่พอดี มันไม่ได้หมายความว่ามันเท่าๆๆๆกัน อะไรควรจะเป็นหลักสำคัญมันก็ทำมากทำยิ่งกว่า มันพัฒนาทางวัตถุเท่าไร พัฒนาทางร่างกายเนื้อหนังเท่าไร พัฒนาทางจิตเท่าไร พัฒนาทางวิญญาณเท่าไร ไปคำนวณดู ก็เป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจเองด้วย คนอื่นจะช่วยเข้าใจแทนมันไม่ได้ นี่ขอให้อุตส่าห์พิจารณาในข้อนี้ แล้วก็จะพัฒนาถูกต้อง ไม่มีอะไรที่เกินหรือที่ขาดหรือที่ผิดพลาด แล้วมันจึงจะได้ผลสมกับที่ว่าเราบำเพ็ญตนกระทำตนเป็นผู้พัฒนามนุษย์ มัด พัฒนาเพื่อนมนุษย์ นี่พัฒนาให้มันถูกต้องและให้มันเป็นผล แล้วพัฒนาวัตถุสักเท่าไรหรืออย่างไร พัฒนาร่างกายเนื้อหนังอย่างไรสักเท่าไร พัฒนาจิตอย่างไรเท่าไร พัฒนาดวงวิญญาณอย่างไรเท่าไร แล้วมนุษย์จะมีสันติภาพหรือสันติสุข หรือว่าพุทธบริษัทชาวไทยเราจะมีสันติภาพหรือสันติสุขได้เพราะการพัฒนาอะไร อย่างไร หรือเท่าไร
นี่เรามองดูโลกในปัจจุบันนี้ให้เห็นการที่มันพัฒนาอย่างใดอย่างหนึ่งจนเฟ้อ จนเป็นอันตรายแก่ศีลธรรม จนเป็นปัญหายุ่งยาก ย้อนมาอีกเป็นปัญหายุ่งยากแก่ทุกคนอีก ถ้าเช่น เช่นว่ามันมีอันธพาลมากเกินไปในเมืองไทยเรานี้จะทำอย่างไร มันก็ต้องช่วยกันแก้ไข มันก็คือช่วยกันพัฒนา แต่เราจะไปพัฒนาไอ้ทางวัตถุให้ลุ่มหลงในเนื้อหนังมากขึ้นมันก็เท่ากับสร้างอันธพาลมากขึ้นอีก ฉะนั้นจึงต้องเป็นเรื่องพัฒนาทางจิตใจ อย่าให้คนไปหลงในทางวัตถุถึงขนาดนั้น
ทีนี้อยากจะให้ดูต่อไปถึงข้อที่ว่าจะพัฒนาอะไรก่อน เมื่อมันมีหลายอย่างหลายชั้นหลายระดับอย่างนั้นเราจะพัฒนาอะไรก่อน เมื่อถามว่าพัฒนาอะไรก่อน ผมคิดว่าจะต้องพัฒนาตัวผู้ที่จะทำการพัฒนาโดยตรงนั่นแหละกันเสียก่อน ถ้าว่าพวกเราทุกคนนี่อยากจะทำหน้าที่พัฒนา เราจะพัฒนาอะไรก่อน ให้พัฒนาตัวเองก่อน ถ้าพูดอย่างสมัยปู่ย่าตายายก็คงจะพูดว่า “ดูหัวแม่เท้าของมึงเสียก่อน” นี่มันจึงจะไปดูคนอื่นได้ นี้ก็เท่า มีค่าเท่ากับว่ามันพัฒนาตัวเองก่อน เราจะตรวจสอบว่าเรามันยังด้อยพัฒนาในส่วนไหน เราจะต้องพัฒนาในส่วนนั้น พอเราเป็นผู้ที่มีพัฒนาดีเราจึงจะไปพัฒนาผู้อื่นได้ ฉะนั้นการที่พัฒนาตัวเองก่อนนั่น ตัวเองนั่นแหละเป็นผู้ที่ควรพัฒนาก่อน เป็นสิ่งที่ควรพัฒนาก่อน โดยทางวัตถุก็ดี โดยทางร่างกายก็ดี โดยทางจิตใจก็ดี โดยทางวิญญาณก็ดี ที่เกี่ยวกับตัวเองนั่นแหละจะต้องพัฒนาก่อน
ฉะนั้นขอให้ลูบคลำดูที่ตัวเองก่อนที่จะไปพัฒนาผู้อื่น หรือจะพัฒนาหมู่บ้าน หรือพัฒนาประเทศชาติ เรียกว่าสังคายนาตัวเองก่อน แล้วจึงไปสังคายนาผู้อื่น ทำตัวเองให้เจริญก่อนแล้วจึงไปทำความเจริญให้แก่ผู้อื่น นี่พัฒนาตัวผู้ที่จะทำการพัฒนานั่นแหละก่อน ก็เป็นอันว่ามันก็เป็นเรื่องในวงของเรา บางทีกลายเป็นในวัดของเรา บางทีกลายเป็นในกุฏิของเรา บางทีได้กลายเป็นว่าในตัวเราเอง
เอ้า, แล้วถ้ามองกว้างว่าทั้งวัดนั่นเอง มองกันทีเดียวทั้งวัด มันก็พอจะมองแยกออกไปได้ว่ามันมีตัวภิกษุสามเณรที่จะต้องพัฒนา สมมติว่าวัดนี้เป็นหน่วยหนึ่ง เป็นนิติบุคคลอันหนึ่งที่จะรับผิดชอบในการพัฒนาประเทศชาติหรือบ้านเมือง ไอ้วัดนี้มันก็ต้องพิจ อ่า, ต้องพัฒนาตัวเองโดยการแยกแยะดูให้ดีก่อน ว่าภิกษุสามเณรของเราแต่ละองค์ละคนนั่นมันมีการพัฒนาอย่างไรหรือเพียงไร ถ้าภิกษุสามเณรมีอนามัยดี มีการเป็นอยู่ดี มีการศึกษาดี มีการปฏิบัติดี นี่เรียกว่าส่วนปัด ตัวภิกษุสามเณรมีการพัฒนา
ถ้าเผอิญ ถ้าภิกษุสามเณรยังขี้โรค นั่นก็เรียกว่าโดยอนามัยมันไม่ดี หรือว่าการเป็นอยู่มันไม่น่าเลื่อมใส มันก็เรียกว่าพัฒนาระบบการเป็นอยู่ไม่ถูกต้องหรือไม่ดี หรือถ้าการศึกษาไม่ดี ก็การศึกษาไม่ได้รับการพัฒนา หรือว่ามีการศึกษาชนิดที่ทำลายการพัฒนา เดี๋ยวนี้ได้ยินได้ฟังเข้าหูมาเรื่อยๆว่าการศึกษาบางแห่งบางอย่างที่กำลังจัดอยู่นั้นน่ะกำลังทำความเสื่อมเสียแก่จิตใจของภิกษุสามเณร อย่างนี้เรียกว่าการศึกษานั้นมันไม่ทำความปะ อ่า, ไม่ทำการ ไม่ทำความพัฒนา มันกลับทำความเสื่อมเสียเสียก็มี เพราะฉะนั้นจะต้องพัฒนาการศึกษาให้มันถูกต้อง แล้วก็พัฒนาการปฏิบัติกายวาจาใจ ทั้งระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูงนี่ ถ้าทำได้อย่างนี้ก็เรียกว่าตัวภิกษุสามเณรแต่ละรูปละองค์นี้มันได้รับการพัฒนา
เอ้า, ทีนี้ที่จะต้องเหลือบดูต่อไปก็คือ ตัววัตถุ ตัววัตถุในๆวัดนั้น ในอารามนั้น วัดวาอาราม ใช้คำว่าวัดวาอาราม มีพื้นที่ มีสิ่งปลูกสร้าง มีอะไรต่างๆสมแก่คำว่าพัฒนา
(ท่านพุทธทาสหยุดการบรรยายธรรมครู่หนึ่งเพื่อบอกภิกษุที่เข้ารับฟังให้ขยับที่นั่ง ระหว่างนาทีที่ 60:51-61:06) นี่ผมอยากจะให้หลีก อย่าให้ตรงกับไม้อันนั้น ขยับไปสิ อย่าให้ตรงกับไม้ เผื่อมันหล่นลงมาเวลานี้ แยกวงออกไปอย่าให้ตรงกับไม้อันนั้น
ทีนี้ว่าตัววัดวาอารามนี้ควรจะแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ประเภทที่ว่ามนุษย์สร้างขึ้น คือว่าไอ้ที่เราสร้างขึ้นมันก็มีอยู่ส่วนหนึ่ง แล้วที่ธรรมชาติมันเป็นอยู่เองนี้ก็มันมีอยู่ส่วนหนึ่ง ที่ว่าตรงนี้ ที่เรานั่งอยู่นี่มันเป็นธรรมชาติมากกว่าที่ๆเราจะได้สร้างมันขึ้น หรือว่าดูให้ทั่วๆไป วาด อ่า, กวาดตาดูทั่วๆไป ไอ้ต้นไม้ต้นไร่ต่างๆนี้ธรรมชาติมันเป็นอยู่เอง แต่ถึงอย่างนั้นก็มีส่วนที่ต้องพัฒนาไอ้สิ่งที่ธรรมชาติมันเป็นอยู่เอง แล้วทีนี้พัฒนา อ่า, ที่ ไอ้สิ่งที่เราสร้างมันขึ้น เช่นตึกหลังนั้น เช่นอะไรเหล่าๆนี้ นี่เรามนุษย์มันไปทำขึ้นมาโดยๆธรรมชาติไม่ได้ทำ แล้วก็ผิดธรรมชาติด้วย ฉะนั้นต้องให้เป็นการพัฒนาที่ถูกต้อง
บางทีเราก็ไปพัฒนาในไอ้ๆๆเรื่องที่มนุษย์ต้องทำ ต้องหมดเปลือง ต้องใช้เงินนี่มากเกินไปจนไม่ได้พัฒนาไอ้ธรรมชาติที่แทบว่าจะไม่ต้องใช้เงินเลย ธรรมชาติเหล่านี้เราจะพัฒนาได้โดยที่ไม่ต้องใช้เงินเลย แต่ถ้าเราจะไปสร้างตึกหลังหนึ่งต้องใช้เงินเป็นแสนๆ หรือเป็นล้านก็ได้ ก็มาเทียบประโยชน์กันดู เท่าที่ผมได้สังเกตเห็นและรู้สึกอยู่นี่ก็รู้สึกเศร้าใจ รู้สึกละเหี่ยใจว่ามันเป็นเรื่องผิดอยู่มากๆทีเดียว ที่ว่าไอ้สิ่งที่เราไปสร้างมันขึ้นด้วยเงินมากๆนั้นน่ะกลับให้ผลในทางจิตใจน้อยกว่าไอ้ที่ธรรมชาติน่ะมันให้ เช่นพอเดินมาถึงตรงนี้ มานั่งลงตรงนี้จิตใจเย็นสบายบอกไม่ถูก แต่ว่าพอเข้าไปในตึกหลังนั้นมันไม่เป็นอย่างนั้น มันกลับมืดมัว หรือกลับฟุ้งซ่าน หรือกลับเวียนวนอะไรไปเสียอีก แต่มันอาจจะใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างอื่นได้ เช่นว่าตึกหลังนั้นจะใช้เป็นที่สอนที่บรรยายอะไรทางอย่างอื่นได้ มันก็คงจะมีผลมากไปเหมือนกันทางหนึ่ง แต่ถ้ามาเปรียบเทียบกันแล้ว มันกลับว่าสู้ที่เป็นตามธรรมชาติไม่ได้ มีค่าสูงกว่า
ไอ้ที่ธรรมชาติให้ ธรรมชาติสอนนี่ให้ผลในทางจิตใจลึกซึ้งเยือกเย็น รู้จักความสงบ รู้จักความว่างจากกิเลส แต่ว่าไอ้สิ่งที่เราสร้างขึ้นมาด้วยเงินมากๆนั่นกลับไม่สอนอย่างนั้น อย่างดีก็เป็นอุปกรณ์อย่างอื่น ที่มานั่งตรงนี้จิตใจมันว่าง รู้จักความว่าง เย็นสบายในใจ อย่างนี้มันหาอ่านจากหนังสือไม่ได้ พูดกันด้วยปากให้อย่างไรๆก็รู้สึกไม่ได้ แต่พอมาถึงตรงนี้ไม่ต้องมีใครบอก ไม่มีใครสอน ธรรมชาติแวดล้อมจิตใจรู้สึกเองว่า อ้าว, ไอ้ที่มันว่างจากนิวรณ์เป็นอย่างนี้ ที่มันว่างจากไอ้กิเลสเป็นอย่างนี้ จิตมันสบายบอกไม่ถูก ศึกษาต่อไป รู้เอาเราไม่มีความคิดยึดมั่นถือมั่นอะไร ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นอะไรมันก็เป็นทุกข์เหมือนกับตกนรก พอไม่ยึดมั่นอะไรมันก็สบายเยือกเย็นอย่างนี้ นี่ๆเรียกว่าธรรมชาติเขาสอน
ทีนี้ธรรมชาติกลับเป็นผู้สอนดีกว่ามนุษย์สอน เพราะฉะนั้นเราควรจะช่วยร่วมมือกับธรรมชาติ พัฒนาธรรมชาติ ให้ธรรมชาติมันสะดวกที่มันจะสอน ต้นไม้ต้นไร่ ก้อนดินก้อนหินนี้มันพร้อมที่จะสอนคนในลักษณะอย่างที่ผมว่านะ ทีนี้ถ้าเราพัฒนามันให้ถูกวิธีมันยิ่งสอนได้มากขึ้นนะ ฉะนั้นควรจะจัดสถานที่ที่ว่าพอคนเข้ามานั่งลงแล้วสบายใจบอกไม่ถูก อย่างนี้ให้มากให้ทั่วๆไปทั้งวัด แล้วค่อยตามไปบอกไปสอนกันทีหลังว่า นั่นน่ะคือจิตที่ไม่มีนิวรณ์ ถ้ามีกิเลสมีนิวรณ์เมื่อไรเป็นทุกข์เมื่อนั้น ยึดถือเมื่อไรเป็นทุกข์เมื่อนั้น ฉะนั้นเขาก็จะเกลียดกลัวไอ้นิวรณ์ เกลียดกลัวไอ้ความยึดมั่นถือมั่น แล้วมันก็ค่อยๆจะดีไปเองทีละน้อยๆ เพราะเขาเกลียด มันก็เกิดขึ้นยากในจิตใจ เดี๋ยวนี้เขาไม่รู้จักเกลียด เขาไม่รู้ว่านิวรณ์คืออะไร ว่างจากนิวรณ์คืออะไร ว่างจากกิเลสคืออะไร เขาก็ปล่อยให้กิเลสนิวรณ์ครอบงำจิตใจเลยไม่ต้องรู้กัน ถึงจะไปสร้างตึกสร้างโรงเรียนสอน มันก็สอนแต่หนังสือซึ่งมันรู้ไม่ได้ว่าหัวใจที่รู้สึกว่าง ไม่มีทุกข์นั้นคืออย่างไร แต่ธรรมชาติมันสอนได้ มันผลัดกันสอนคนละแง่คนละมุมอย่างนี้
ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าวัดวาอารามหรือวัตถุนี้ก็จะต้องพัฒนาให้ถูกต้อง แล้วพัฒนาเป็นไปทั้งสองๆสถานพร้อมกัน คือที่ธรรมชาติมันจะพัฒนาคนจะสอนคนก็ให้ได้โอกาสสอน แล้วก็ที่ว่าไอ้สิ่งที่เราสร้างขึ้น โรงร่ำโรงเรียน โบสถ์วิหาร ก็จะได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ตามหน้าที่นั้นๆ ก็ๆพัฒนาให้มันถูกต้อง อย่าให้มันผิด คืออย่าให้มันเกิน อย่าให้มันขาด อย่าให้มันไม่คุ้มค่า แต่ก็ให้มันได้ผลในทางจิตใจ นี่ก็เรียกว่าพัฒนาวัตถุที่ตัวเราที่แวดล้อมตัวเรากันก่อน แม้ที่สุดแต่ว่ากุฏิหลังเล็กๆที่ภิกษุองค์หนึ่งอยู่มันก็ต้องถูกพัฒนาในรูปนั้นก่อน แล้วก็อย่าลืมว่าอย่าทิ้งธรรมชาติ ส่วนที่เป็นกุฏิก็เป็นกุฏิ แต่ส่วนที่เป็นธรรมชาติมันก็ควรจะมี มันจะได้ช่วยกันพร้อมๆกันไป
นี่ถ้าว่าผมจะนิมนต์ไปนั่งในตึกนู้นนั่งเก้าอี้มันก็ไม่ได้รับรสความรู้สึกในใจอย่างที่นั่งที่ตรงนี้ หรือชาวบ้านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นั่นก็เหมือนกันน่ะ ถ้าเขาไปนั่งในห้องในที่ๆมันเป็นอย่างมนุษย์ทำแล้วเขาก็ไม่ได้รับความรู้สึกในใจอย่างที่กำลังได้รับอยู่ที่ตรงนั้นเวลานั้นตามธรรมชาติ นั่งใกล้ชิดเป็นเกลอกับธรรมชาติ จิตใจมันก็เลยรู้สิ่งที่ธรรมชาติให้ ฉะนั้นผมว่าการพัฒนาวัดนี่ระวังให้ดี อย่าไปทำลายธรรมชาติเสีย เอาธรรมชาติไว้เป็นเกลอด้วยอีกคนหนึ่ง ช่วยกันพัฒนามนุษย์ สิ่งที่มนุษย์สร้างก็มนุษย์สร้างก็มีประโยชน์ไปแบบหนึ่ง ไอ้สิ่งที่ธรรมชาติมันเป็นอยู่เองมันก็ต้องอีกแบบหนึ่งแหละ ซึ่งมันเหมือนกันไม่ได้ แล้วใครจะดีกว่าใครก็ค่อยไปรู้ทีหลัง นี่ไอ้อย่างที่สองคือพัฒนาไอ้ตัววัดวาอาราม
ทีนี้อย่างที่สาม เรื่องพัฒนาวัตถุอุปกรณ์ เครื่องใช้ไม้สอย ฝีไม้ลายมือ มันไม่ๆใช่สิ่งเดียวกันนะอย่าเอาไปปนกันเสีย ว่าหนึ่ง ไอ้ข้อหนึ่งน่ะมันคือพัฒนาตัวภิกษุสามเณรทุกๆ ทุกๆรูปทุกๆองค์ อย่างที่สองพัฒนาไอ้ตัวสถานที่วัดวาอาราม ทั้งที่เป็นธรรมชาติและทั้งที่เรามันสร้างขึ้นมา ยังมีไอ้ส่วนที่สามที่ว่าวัตถุอุปกรณ์ เครื่องใช้ไม้สอย ฝีไม้ลายมือ นี่เรียกว่าอุปกรณ์ก็แล้วกัน ก็ต้องพัฒนา แต่ก็อย่าลืมว่าต้องไม่ผิด ต้องไม่ผิดแนว ต้องไม่ผิดทาง ต้องไม่เกินไป ไม่ต้องมีรถยนต์ก็ไม่ต้องมีรถยนต์ดีกว่า อย่างนี้เป็นต้น ไม่ต้องมีอะไร ไม่มีต้อง ไม่ต้องมีนั้นก็อย่ามีดีกว่า แต่ทีนี้ไอ้ส่วนที่ควรจะมีมันก็ต้องมี มันก็ดูว่าหน้าที่การงานมันเป็นอย่างไร เครื่องใช้ไม้สอยที่จะช่วยประหยัดเวลา ประหยัดเรี่ยวแรง แล้วแต่ แต่แล้วคนก็ได้รับประโยชน์มาก ได้รับความรู้มาก ได้รับความสะดวกมาก นี้มันก็ต้องมี
ทีนี้มันยังมีที่ดีกว่าอันนั้นก็คือว่า ไอ้แผนการที่ดี อุบายที่ดี ฝีไม้ลายมือที่ดี วิธีการที่ดีที่จัดไว้ในที่นี้นี่อย่างไร ก็ต้องมีเหมือนกัน เมื่อๆมีใครมาแล้วจะต้องทำอย่างไร จะต้องใช้อะไร มันก็ต้องนึกต้องคิด หรือว่าเมื่อจะออกไปจากวัดไปพัฒนาที่อื่นก็เหมือนกัน เราก็ต้องมีเครื่องมือเครื่องใช้ไอ้ที่มันเหมาะสมที่จะทำการพัฒนาอยู่นั่นแหละ อย่างนี้ก็เรียกว่าอุปกรณ์ทั้งนั้น จะไม่มีอุปกรณ์เสียเลยมันก็ได้เหมือนกันมัน แต่มันได้ผลน้อยหรือมันช้า ฉะนั้นถ้ามีอุปกรณ์ที่ถูกวิธีมันก็ได้ผลดีหรือเร็ว แต่ถ้ามีอุปกรณ์ที่เฟ้อมันก็บ้า มันก็เป็นเรื่องบ้าหลังชนิดหนึ่ง เพราะมันมีอุปกรณ์ที่เฟ้อที่ทำให้ไปทำในสิ่งที่ไม่ต้องทำ ฉะนั้นเรื่องอุปกรณ์ก็ไปคิดดูให้ดี พิจารณาดูให้ดีว่าเราควรจะมีอะไร
อย่างมีคนมาชักชวนผมว่าให้สร้างสถานีวิทยุให้ที่สวนโมกข์นี้ ผมว่าบ้า ถ้ามีไอ้สถานีวิทยุมันเกินและมันเป็นเรื่องบ้า มันจะทำให้งานไอ้ที่เป็นเนื้อหาสาระนั่นเลวลงเพราะว่ามันต้องไปยุ่งไอ้เรื่องวัตถุไอ้เรื่องอุปกรณ์นั้นมันมากเกินไป ฉะนั้นถ้าใครจะมาสร้างสถานีวิทยุให้แล้วผมบอกว่ามันมาทำลาย ไม่ใช่มาสนับสนุนส่งเสริม นี่ตัวอย่างที่มันเกิน มันต้องมีอะไรที่พอดีที่จะต้องใช้ประโยชน์ได้จริงแล้วอย่าไปเสียเวลากับไอ้เรื่องเฟ้อเรื่องเกินอะไรอย่างนั้น นี่เราเรียกว่าพัฒนาอุปกรณ์ให้พอดี
นี่พัฒนาไอ้ตัวผู้ที่จะทำการพัฒนานั้นก่อน คือพัฒนาตัวภิกษุสามเณรก่อน ตัววัดวาอารามก่อน ตัววัตถุอุปกรณ์ที่จะใช้ในกิจการนั้นๆด้วย ก็เรียกว่าพัฒนาตัวผู้พัฒนาก่อน และทีนี้มันก็พร้อมแหละ มันเป็นนักรบที่เตรียมพร้อมแล้วที่มันจะเป็นผู้รบข้าศึกตามพระพุทธประสงค์
ความทุกข์คือกิเลส เพราะฉะนั้นความทุกข์ ดังนั้นคือ เอ่อ, หรือกิเลสนั้นน่ะมันคือข้าศึก กิเลสนั้นมันคือข้าศึกของมนุษย์ ฉะนั้นเราจะช่วยมนุษย์เราก็ต้องช่วยกันฆ่าข้าศึกของมนุษย์ พระพุทธเจ้าท่านก็ประสงค์จะให้เราทำอย่างนี้ตลอดกาล เป็นคำๆสั่งที่สั่งทีเดียวแล้วตลอดกาล อีกกี่พันปีก็ตามใจ พระพุทธองค์ทรงแสดงวัต อ่า, พระพุทธประสงค์ว่าจงไป จงไปเพื่อประโยชน์แก่มหาชน จงประกาศพรหมจรรย์คือเครื่องกำจัดทุกข์ได้นี้แก่มหาชนให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ถูกต้องทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ ให้งดงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลายอย่างนี้ สรุปความแล้วก็เพื่อให้ช่วยสัตว์โลกให้ได้ด้วยการประกาศพรหมจรรย์คือเผยแผ่พรหมจรรย์ ไม่ใช่เพียงแต่ไปสอนๆๆให้เหมือนกับนกแก้วนกขุนทองอย่างนั้นไม่เรียกว่าประกาศพรหมจรรย์ ต้องไปทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่ให้มนุษย์เหล่านั้นมันละความชั่วได้ ละกิเลสได้ มีการเป็นอยู่ด้วยจิตใจที่สะอาด สว่าง สงบยิ่งขึ้น อย่างนี้จึงจะเรียกว่าประกาศพรหมจรรย์ได้สำเร็จ เป็นกองทัพของพระพุทธเจ้าที่จะทำลายข้าศึกของโลก ให้โลกอยู่โดยปราศจากข้าศึกคือกิเลสและความทุกข์
นี่มันเป็นผลของการพัฒนาหรือทางวิญญาณโดยเฉพาะ นอกนั้นเป็นเรื่องอุปกรณ์ ผมก็ขอย้ำเสียตรงที่นี้เลยว่า ไอ้การพัฒนาทางวิญญาณนั่นแหละคืองานที่เป็นชิ้นเป็นอันหรือเป็นตัวงานที่แท้จริง ไอ้การพัฒนาจิต พัฒนาร่างกาย พัฒนาวัตถุนี้มันเป็นอุปกรณ์ที่จะให้การพัฒนาทางวิญญาณสำเร็จประโยชน์เต็มที่ยิ่งขึ้น แต่มันกลับเป็นว่าแม้ว่าจะไม่มีการพัฒนาทางวัตถุ ทางกาย ทางอะไรมากมายนัก ไอ้ทาง ไอ้พัฒนาทางวิญญาณมันก็ไปของมันได้เพราะเรื่องทุกข์เรื่องสุขนี้มันเป็นเรื่องของทางจิตทางวิญญาณ ฉะนั้นถ้าแก้ปัญหาทางวิญญาณแล้วนอกนั้นมันก็แทบจะไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้เรื่องทางกายทางวัตถุมันเป็นอุปกรณ์แก่ทางจิตทางวิญญาณตามลำดับขึ้นไป ฉะนั้นควรจะรู้จักถือเอาว่าอะไรเป็นตัวเรื่อง อะไรเป็นเพียงอุปกรณ์ของเรื่องนั้นๆ แล้วพัฒนาให้ถูกวิธี
นี่ผมขอถวายไอ้ความรู้ ความคิดเห็น ความไอ้ที่ได้สังเกตมาตลอดเวลาหลายสิบปีอย่างนี้แก่ท่านทั้งหลายผู้เป็นเพื่อนสหธรรมิก สหพรหมจรรย์นี้ ผมมีความคิดเห็นอย่างนี้ และก็ไม่ใช่ความคิดเห็นชั่วแล่นชั่วประเดี๋ยวประด๋าวอะไร เป็นความคิดที่คิดอยู่ด้วยความรับผิดชอบเป็นปีๆ เป็นสิบปี เป็นหลายสิบปี แล้วก็เป็นงานที่ทำอยู่ตลอดเวลาไม่เคยหยุดเลย คือจะพัฒนาจิตใจหรือวิญญาณของมนุษย์ให้สูงขึ้น นี่ส่วนที่ผมจะขอถวายความรู้เกี่ยวกับการพัฒนา หรือเกี่ยวกับคำว่า “พัฒนา” นี่เป็นเรื่องที่หนึ่ง
ทีนี้สำหรับเรื่องที่สองที่เรียกว่า การเผยแผ่ อยากจะขอถวายไปด้วยในคราวเดียวกันเพราะว่าเราไม่อาจจะพูดเป็น ๒ คราว สำหรับเรื่องการเผยแผ่ก็ขอให้เข้าใจได้ทันทีว่ามันเป็นเพียงส่วนหนึ่งหรือส่วนน้อยส่วนหนึ่งของคำว่าพัฒนา คำว่าพัฒนามีความหมายกว้างขวางมากอย่างที่ว่ามาแล้ว มันพัฒนาโลก พัฒนาทุกอย่างโดยวิธีต่างๆ แต่พอมาพูดถึงคำว่าเผยแผ่ การเผยแผ่ มันก็สรุปความสั้นแคบเข้ามาเป็นเพียงวิธีการอันหนึ่งซึ่งเราเรียกว่าการเผยแผ่ ฉะนั้นมันจึงเป็นส่วนน้อยส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่าพัฒนา แต่มันก็มีความสำคัญมากเหมือนกัน ไอ้เรื่องการเผยแผ่นี่มันแล้วแต่จะมองกันในแง่ไหน ถ้ามองผิดมันเข้าใจผิด มันก็อาจจะเป็นเรื่องบ้าๆบอๆก็ได้ แต่ถ้ามองถูกทำถูกแล้วมันก็เป็นเรื่องสำคัญ คือว่าถ้าเราเผยแผ่ถูกวิธีมันก็ได้ผล มันก็เป็นเรื่องประเสริฐ แต่ว่าถ้าว่ามันผิดวิธีมันก็เป็นเรื่องนกแก้วนกขุนทองที่พูดไม่รู้จักจบ มันก็จะเสียเวลา หรือถ้าว่าเกินไปมันก็จะหนวกหูแล้วก็จะรำคาญ ฉะนั้นจึงมีการเผยแผ่ชนิดที่ต้องระมัดระวัง ต้องทำให้ถูกต้อง ให้ได้รับผลตรงตามความมุ่งหมายของคำว่าเผยแผ่
ฉะนั้นเราควรจะจำกัดความให้มันง่ายๆชัดๆตื้นๆว่าคือ การทำให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่ควรจะรู้อย่างสำเร็จประโยชน์นะ สิ่งนั้นมันควรจะรู้ ฉะนั้นเขาก็ควรจะได้รู้ แล้วก็รู้ชนิดที่สำเร็จประโยชน์ มากไปก็ไม่สำเร็จประโยชน์ น้อยไปก็ไม่สำเร็จประโยชน์ บางทีมันเขวไปมันก็ยิ่งไม่สำเร็จประโยชน์ บางทีรู้ท่วมหัวก็ไม่มีประโยชน์ อย่างที่พูดว่า “รู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด” อย่างนี้มันก็มีอยู่เหมือนกัน ฉะนั้นก็ต้องระวังไอ้สิ่งที่เรียกว่ารู้ ความรู้ หรือการเผยแผ่ความรู้
เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่เผยแผ่นะ ดูให้ดีทั่วๆไปมันก็มีการเผยแผ่ มันเสียกระดาษไปเยอะแหละ คือมันเสียอะไรๆที่มันเกี่ยวกับการเผยแผ่น่ะมากมายเหลือเกิน แต่ทำไมมันจึงรู้สึกว่ายังไม่ได้ผล คือไอ้สันติภาพหรือสันติสุขของประชาชน มันก็ควรจะลงสันนิษฐานได้โดยไม่ๆผิดอีกเหมือนกันว่ามันยังเป็นการเผยแผ่ที่ไม่ถูกต้องหรือเพียงพอ ถ้าเผยแผ่ผิดมันก็ไม่มีผลอะไร ถ้าเผยแผ่ถูกต้องมันก็ดีอยู่ แต่แล้วมันอาจจะยังไม่เพียงพอก็ได้ ฉะนั้นจึงเลือกทำที่มันถูกต้องแล้วก็ทำให้มันเพียงพอ ฉะนั้นจะต้องรู้จักพิจารณาหรือมองกันอย่างกว้างขวางรอบด้านแล้วก็ละเอียดลออให้มันทั่วถึง ผมก็เคยทำหน้าที่นี้มาตลอดเวลา เรียกว่ามันไม่เคยแยกหรือพรากกันกับไอ้หน้าที่การเผยแผ่ มันก็มีหัวข้อต่างๆที่คิดนึกได้อะไรได้มันก็มากมาย แล้วมันก็กลัวลืม มันก็ลืมได้เหมือนกัน แล้วมันก็กลัวลืม มันก็กันลืม ก็เขียนเอาไว้จดเอาไว้ แล้วเดี๋ยวนี้ก็เป็นโอกาสดีที่ว่าผมจะถวายความรู้อันนี้ หรือจะให้ได้รับประโยชน์จากไอ้ความรู้สึกที่เคยผ่านๆมา
นี้เป็นเพียงหัวข้อ ให้คนอื่นถ้าดูก็คงไม่รู้เรื่องเพราะผมจดสำหรับดูคนเดียว กันลืม นี่แผนผังเกี่ยวกับการเผยแผ่เขียนไว้เป็นรูปร่างอย่างนี้ ในชั้นแรกที่สุดมันก็มีหลักคร่าวๆกันทีก่อนว่าการเผยแผ่นั่นต้องมีหลักการและมีอุดมคติ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าเผยแผ่นั้นต้องมีหลักการและมีอุดมคติรวมกันอยู่เป็น ๒ อย่าง ไอ้หลักการนี้คือวิธีการที่จะทำอย่างไรที่จะอะไรบ้างนี่ ไอ้วิธีการทั้งหลายนี้เรียกว่าหลักการ ต้องๆเป็นที่ถูกต้อง ชัดเจน แน่นอน
แล้วสองต้องมีอุดมคติ หมายความว่าต้องมีความมุ่งหมายที่ถูกต้อง บางทีเรามีความมุ่งหมายถูกต้องแต่เราไม่มีวิธีการที่ดี มันก็ไปไม่รอด แม้ว่าเราจะมีวิธีการที่ดีแต่ถ้าอุดมคตินั้นมันไม่ถูกต้องมันก็เหลวแหละ มันกลายเป็นเผยแผ่ไอ้สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ไป หรืออีกทีหนึ่งว่าอุดมคตินั่นมันหมายถึงไอ้สิ่งที่จะเป็นกำลังใจ ถ้าเราบูชาอุดมคติเราจะไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ในเมื่ออุดมคตินั้นมันถูกต้อง มันพิสูจน์ความถูกต้องอยู่เสมอ มันก็ยิ่งสนุกสนานในการกระทำ แล้ววิธีการมันก็ มันก็เป็นไปอย่างที่เรียกว่ามีผลคุ้มค่ากัน เพราะฉะนั้นผู้ที่จะทำการเผยแผ่จะต้องระลึกนึกถึงไอ้สิ่งที่เรียกว่า อุดมคติ และวิธีการที่จะให้สำเร็จตามอุดมคตินั้น
ที่แล้วๆมาเรามักจะประชุมกันแล้วบอกกันแต่เรื่องอุดมคติ ถ้าบอกวิธีการมันก็บอกแต่ในส่วนที่ไม่ใช่เป็นตัวการปฏิบัติ คือไม่ได้บอกว่าทำอย่างไรจึงจะสำเร็จตามอุดมคติ ฉะนั้นที่พูดๆกันมักจะเป็นอุดมคติที่ๆๆยังพร่าๆเสียโดยมาก วิธีการก็มีไม่ชัด เราจึงไม่มีความรู้ที่ว่าทำอย่างไรจึงจะสำเร็จตามอุดมคตินั้น สำหรับอุดมคติในการเผยแผ่นี้เราเอาตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ท่านมอบหมายไว้ เพื่อที่จะช่วยแก้ไขกิเลสและความทุกข์ของมนุษย์ แล้วกิเลสนั้นมันสรุปรวมอยู่ที่ความเห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้นวิธีการที่ดีมันจึงจะต้องเป็นวิธีการที่ทำลายความเห็นแก่ตัว ให้คนเกิดเกลียดชังความเห็นแก่ตัว ก็จะได้อุดมคติคือความไม่เห็นแก่ตัวมา มันก็หมายความว่าไอ้เราตัวผู้จะทำการเผยแผ่นั้นได้อบรมตัวเองมาดีแล้ว เหมือนอย่างที่กล่าวว่าได้พัฒนาตัวเองมาดีแล้ว ฉะนั้นเราจึงไม่มีความเห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้นจึงทำหน้าที่ของบุคคลผู้ไม่มีความเห็นแก่ตัวได้โดยไม่ยาก ฉะนั้นวิธีการมันก็ ก็ๆต้องหาได้เป็นแน่นอน ไม่ๆลึกลับอะไรนักหนา
ข้อที่จะต้องนึกถึงในการเผยแผ่เป็นข้อแรกว่าให้มีวิธีการและมีอุดมคติที่มันถูกต้อง นี่หลักการหรือวิธีการนี่มันมีปัญหาเฉพาะเรื่องเฉพาะแขนงของงาน ฉะนั้นไม่อาจจะพูดให้มันครบถ้วนได้ที่นี่ ต้องไปเลือกดูเอาเอง เราจะจัดกันอย่างไร มีวิธีการอย่างไร มีอุปกรณ์อย่างไร จะทำชั่วคราวหรือว่าทำประจำไม่ขาดสายเหล่านี้ก็เรียกว่าเป็นเรื่องปลีกย่อยที่จะไปหาเอาเองว่าจะใช้วิธีการอย่างไรให้สำเร็จตามอุดมคตินั้นๆ
ทีนี้เมื่อมีอุดมคติ มีวิธีการทำการเผยแผ่ จะต้องนึกถึงไอ้การเผยแผ่ที่มันมีน้ำหนักมากหรือมีน้ำหนักน้อย แล้วจึงแบ่งประเภทของการเผยแผ่ไปตามน้ำหนักที่มีมากหรือน้อย อย่างที่หนึ่ง เผยแผ่ด้วยการทำให้ได้ยินได้ฟัง นี้ก็ทำกันอยู่โดยมาก สอนให้ได้ยินได้ฟังนี้เรียกว่าทำกันมาก มากจนเฟ้อไปแล้วก็ได้ นี้อย่างที่สอง เผยแผ่ด้วยการทำให้ดู ไม่เพียงแต่พูดแต่ปากแหละ หรือไม่ต้องพูดด้วยปากแต่ว่าทำให้ดูเป็นๆตัวอย่างเลย เดี๋ยวนี้ประชาชนเขาถือหลักอันนี้มากขึ้นๆ คือประชาชนจะไม่เชื่อปากพูดของภิกษุเรา คือจะไม่เชื่อยิ่งขึ้นนะ จะไม่เชื่อปากของภิกษุยิ่งขึ้น แต่จะดูที่ตัวภิกษุนั้นว่าภิกษุนั้นทำอย่างไร หมายความว่าเขาจะดูไอ้การกระทำของผู้เผยแผ่นั้นมากกว่าที่จะฟังคำพูดของผู้เผยแผ่ ฉะนั้นเราต้องเผยแผ่ด้วยการทำให้ดู คือไม่พูดแต่ปาก
ทีนี้ถ้าๆสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ทำยากนั้นมันยิ่งดี สิ่งใดทำยากสิ่งนั้นจะยิ่งมีประโยชน์มากในการเผยแผ่ เขาจะยิ่งไว้ใจ เขาจะยิ่งเคารพนับถือ อย่างที่ประชาชนโดยหลักทั่วไปเขาก็ชอบพระเณรที่เคร่ง เพราะว่าเคร่งนี้มันทำยากกว่าไม่เคร่ง อย่างนี้เป็นต้น แต่ว่าไอ้เรื่องเคร่งนี้ขอบอกว่ามันเอาแน่ไม่ได้เพราะว่าเคร่งนี้มันเคร่งอย่างแกล้งทำมันก็ได้ แสดงละครก็ได้ ถ้าเคร่งจริงๆมันก็ดี แต่คำว่าเคร่งนี้ก็มีความหมายกำกวม ที่ดีที่แท้นั้นมันไม่ได้อยู่ที่เคร่งหรือไม่ๆเคร่งหรือไม่เคร่ง มันอยู่ที่พอดีที่ถูกต้อง ไอ้ความเคร่งครัดนั้นมันอาจจะผิดก็ได้ มันอาจจะเป็นตัณหามานะทิฐิก็ได้ ฉะนั้นอย่าได้หลงใหลในคำว่าเคร่งกันให้มันมากเกินพอดีไป ถ้าชอบความเคร่งก็ต้องเคร่งให้ถูกแล้วก็เคร่งให้พอดี นี้มันมีการเคร่งที่เกินพอดีแล้วก็มันก็เป็นเรื่องหลอกหลวงหรือเป็นเรื่องที่โง่เขลาไปเสียอย่างนี้ นี่ข้อที่สองเรียกว่าเผยแผ่ด้วยการทำให้ดู ยิ่งยากยิ่งดี
ทีนี้ประเภทที่สามมันดีไปกว่านั้นอีกก็คือว่า เผยแผ่ด้วยการมีความสุขให้ดู ทำตัวอย่างให้ดูแล้วมันยังเป็นเรื่องที่ยังไม่ถึงที่สุด แต่ถ้าว่าเป็นผู้มีความสุขให้ดูอย่างนี้ก็จะถึงที่สุดเพราะความสุขมันอยู่ที่นั่น ทุกอย่างมันต้องการผลเป็นความสุข ถ้าเราอยู่อย่างมีความสุขให้ดู มันดีกว่าที่เพียงแต่ว่าทำให้ดูโดยที่ยังไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ หรือจะสำเร็จกันอย่างไร เหมือนอย่างว่าวัดวาอารามอยู่กันอย่างสงบสุขให้ชาวบ้านดู ชาวบ้านก็พอใจ สนใจ เชื่อถือ ไว้ใจ แล้วเขาทุกคนเขาก็ต้องการความสุข หรือแม้ว่าจะไปสั่งสอนนอกวัดนอกวา ไปเดี่ยวไปคนเดียวตามที่ต่างๆ ก็ต้องแสดงลักษณะแห่งความเป็นผู้มีความสุขให้ดู มันจึงจะสำเร็จประโยชน์
นี่ผู้ที่เคยเรียนพุทธประวัติมาแล้วก็จะนึกถึงเรื่องพระอัสสชิ เดินไปเท่านั้นน่ะไม่ได้พูดอะไร เดินไปตามถนนแต่กิริยาท่าทาง หน้าตา แววตาอะไรมันแสดงความสุข มีความสุข ว่ามีอินทรีย์ผ่องใส อินทรีย์ระงับ มีความสุข ไอ้คนที่ชื่อ อุปติส โกลิต จึงได้เลื่อมใสจึงได้ติดตามมา จึงกระทั่งมาบวชเป็นพระสารีบุตร เป็นพระโมคคัลลานะ นี่คุณจะเข้าใจได้ทันทีว่าพระอัสสชิได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการมีความสุขให้ดู เพราะท่านไม่ได้สอน ทีแรกไม่ได้สอนไม่ได้พูดสักคำเดียว แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรนอกไปกว่าเป็นคนมีความสุขให้ดู คือท่านเป็นพระอรหันต์แล้วไม่มีร่องรอยแห่งความทุกข์ จึงเป็นที่สนใจของอุปติส โกลิตแล้วก็กระทั่งมาเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า นี้เป็นตัวอย่างของการมีความสุขให้ดู
นี่ลองไปสรุปรวมดูทั้ง ๓ อย่างแล้วก็จะรู้ได้เองว่าอันไหนมีน้ำหนักกว่าอันไหนใน ๓ อันนี้
๑. พูดให้ได้ยินได้ฟัง
๒. ทำประพฤติให้ดู
๓. มีความสุขให้ดู
นี่เรียกว่าประเภทของการเผยแผ่
เดี๋ยวนี้เราให้ความสำคัญด้วยกันทั้งนั้น จะไม่พูดว่ามากกว่าหรือน้อยกว่า แต่จะให้ความสำคัญด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจะต้องศึกษาให้ดีในเรื่องการเผยแผ่นี้ นี่ผมจะให้รายละเอียดเป็นตัวอย่างเกี่ยวกับว่าพูดให้ได้ยินได้ฟังนี่ มันกินความกว้างที่ว่าแสดงด้วยการให้ได้ยินได้ฟังนี้ หรือว่าการพิมพ์โฆษณาก็ได้ อันแรกนี่พูดถึงการพิมพ์โฆษณาเพราะว่ามันทำง่ายและทำกันอยู่มาก มีการพิมพ์เป็นหนังสือหนังหา พิมพ์โฆษณา
เดี๋ยวนี้ อีกที อีกอย่างหนึ่งก็คือ ไอ้ เอ่อ, อย่างต่อไปก็คือ ทัศนศึกษา นี้มันไม่ได้เขียนหนังสือแต่มันทำโดยรูปภาพหรือว่าสิ่งที่จะแสดงให้เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตึกหลังนี้เต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่เป็นทัศนศึกษา จะเป็นภาพยนตร์ หรือเป็นสไลด์ หรือว่าเป็นภาพเขียนฝาผนังนี้ก็เรียกว่าเป็นทัศนศึกษานะ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ตามที่ปรากฏข้อเท็จจริงแล้วมันสู้ภาพเขียนที่ฝาผนังไม่ได้ เพราะภาพยนตร์นั้นไม่สามารถจะสร้างให้ได้ผลตามที่เราต้องการได้ พูดว่าหนังนั้นไม่สอนอะไรได้ดีเลย เสียเวลาไม่คุ้มค่า สไลด์เป็นภาพนิ่งๆอันนี้ยังได้ประโยชน์กว่าไอ้ภาพยนตร์เสียอีก แต่มันก็ยังยากเหมือนกัน มันชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แปร๊บๆๆๆ เพราะฉะนั้นการเขียนที่ฝาผนังนั้นมันอยู่ที่นั่นถาวร ไปดูเมื่อไรก็ได้ จะไปนั่งเพ่งพินิจอย่างสมาธิก็ได้ ยิ่งลึกๆๆ ลึกลง อย่างนี้ไอ้ภาพเขียนฝาผนังทำได้ แต่ภาพยนตร์ทำไม่ได้ สไลด์ก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงเห็นไอ้การเขียนภาพๆฝาผนังนั้นมันมีมาก ซึ่งสอนธรรมะด้วยภาพนี้
เอ้า, ก็ขอบอกกล่าวเป็นไอ้ความรู้พิเศษออกไปเสียเลยว่า ถ้าเป็นยุคโบราณท่านนิยมเขียนฝาผนังนี้เป็นภาพธรรมะ สอนธรรมะ ยุคหลังนี้จะโง่หรือฉลาดหรืออะไรก็ไม่รู้มันประหลาดที่สุดเลย ยุคหลังๆนี้ไปเขียนเรื่องชาดก หรือเป็นเขียนเรื่องพุทธประวัติปฐมสมโภชเป็นส่วนมาก ซึ่งไม่สอนธรรมะ ผมไปเที่ยว เอ่อ, ลงเรือไปเที่ยวในคลองบางหลวงที่ธนบุรี ไปดูหลายวัด ไอ้วัดที่มันสร้างตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาที่ยังเหลืออยู่ ฝาผนังมันเขียนภาพสอนธรรมะนะ ภาพปริศนาธรรมที่สอนธรรมะอย่างที่เราก็เขียนที่นี่แล้วก็พิมพ์เป็นเล่มหนังสือก็มี ให้เข้าใจเรื่องไอ้ธาตุ เรื่องขันธ์ เรื่องอายตนะ เรื่องปฏิจจสมุปบาทอะไร เป็นภาพธรรมะ นี่แสดงว่าสมัยก่อนน่ะเขาก็นิยมเขียนภาพธรรมะตามฝาผนัง เพิ่งมาเปลี่ยนเป็นไอ้ภาพพุทธประวัติหรือชาดกหรืออะไรตอนหลัง ฉะนั้นภาพทัศนศึกษาที่ดีที่จะเขียนฝาผนังก็คือภาพที่สอนธรรมะ เหล่านี้เรียกว่าทัศนศึกษา ไปคิดเอาเองก็ได้ อะไรบ้าง แต่เป็นการสอนโดย เอ่อ, มีๆสิ่งที่ให้ดูนั้นเป็นอุปกรณ์สำหรับการสอน
ทีนี้สิ่งถัดไปก็เรียกว่า จาริกสั่งสอน นี้ต้องเดินแล้ว ข้อนี้มีความสำคัญมากในครั้งโบราณเพราะไม่มีเครื่องมือสื่อสาร ไม่มีวิทยุกระจายเสียงเป็นต้น ฉะนั้นต้องอุตส่าห์เดิน เดิน แต่ว่าการเดินนี้มันยังก็ดีเหมือนกัน มันมีโอกาสที่ผู้เดินนั้นจะฝึกฝนไอ้ปฏิบัติส่วนตัวไปด้วย แล้วไปศึกษาผู้อื่นด้วย ถ้าเราเดินไปที่ไหนเราก็ต้องศึกษาไอ้ๆๆสถานที่นั้นๆ บุคคลนั้นๆ ไอ้เหตุการณ์ต่างๆในที่นั้นๆ มันก็มีประโยชน์เหมือนกัน ถ้ามีเวลาพอหรือไม่มีเหตุการณ์อย่างอื่นขัดข้อง การเดินจาริกสั่งสอนนี้ก็ดีเหมือนกัน แต่สำหรับผมต้องขอๆๆอะไร ขอออกตัว ขอแก้ตัวหรือขอสารภาพว่ามันไปไม่ได้ นี่เพราะว่ามันๆมีอย่างอื่นทำซึ่งจำเป็นกว่าหรืออะไรกว่าก็ๆๆแล้วกันสำหรับมันส่วนตัวผม หรือผมมันก็ไม่ค่อยเคยเดินไปจาริกสั่งสอน มีๆบ้างก็ไปด้วยรถไฟ ไปด้วยเรือบินก็เคย แต่ว่าที่เดินไปนี้ไม่เคย.