แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
สหธรรมิกและเพื่อนพระธรรมจารีทั้งหลาย ผมไม่คิดว่าจะพูดอะไรได้มาก เพราะไม่ค่อยสบาย และได้เห็นแก่ความเสียสละเหน็ดเหนื่อยของท่านทั้งหลายที่มาที่นี่ ในลักษณะอย่างนี้ ก็คิดว่าจะพยายามพูดสิ่งที่เป็นประโยชน์ ตามความประสงค์ของท่านทั้งหลาย ตามที่จะทำได้ เรื่องที่จะพูดในวันนี้ ก็อยากจะเรียกในหัวข้อสั้นๆ ว่า การอุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา คำนี้ฟังง่าย และท่านทั้งหลายก็เคยได้ยินได้ฟัง และบางคนก็ยังนึกคิดอยู่อย่างรุนแรงในจิตใจของตนด้วย คือคำว่าการอุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา บางคนก็พูดออกมาก็มี ลั่นวาจาก็มี ว่ากำลังพยายามอุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา ยิ่งกว่านั้นอีก ก็มีบางคน หรือหลายคนกำลังคุยโม้โอ้อวดอยู่แต่ปากว่า เราอุทิศเพื่อพระศาสนา อย่างนี้ก็มี ขอให้ท่านทั้งหลายสังเกตดูให้ดีก็จะเห็น และก็จะสังเกตเห็นต่อไปว่า ที่คุยโม้ปากโป้งโฉงเฉงนั่นแหละ มักจะไม่ค่อยจริง ไอ้คนหุบปากเงียบๆ มักจะจริงกว่า สำหรับคำว่าอุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา
ทีนี้เราก็มาพิจารณากันดู เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ควรจะนึก จะคิด จะทำความเข้าใจกันอย่างไรบ้าง เพื่อว่าคนที่ยังไม่ทราบก็จะได้ทราบ ที่ทราบอยู่บ้างแล้วก็จะได้ทราบให้มันถึงที่สุด โดยหวังว่าผู้ที่มีเจตนาดี ซื่อตรงต่อตัวเอง รักตัวเอง ถนอมในเกียรติศักดิ์ของตัวเองเหล่านี้ เขาจะได้นำไปปรับปรุง ความรู้สึกคิดนึกและการกระทำของเขา ให้มันเข้ารูปกับคำว่า อุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา ให้มันจริงหรือให้มันสมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปอีก
การอุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนานี้ เป็นสิ่งที่ต้องการกันในทุกศาสนาในโลกก็ว่าได้ หรือจะพูดกันอีกทีหนึ่งก็ว่า ศาสนาทุกศาสนาในโลก มันมีอยู่ได้ ดำรงยืนยาวมาได้ ก็เพราะการอุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนาของพระสาวกคนใดคนหนึ่ง หรือหลายๆ คนนั่นเอง ในทุกศาสนาจึงยกย่องการกระทำอันนี้ และการกระทำอย่างนี้เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป จนเกือบจะไม่ต้องอธิบายอะไรกันอีกแล้ว ยังเหลืออยู่แต่ว่า ทำอย่างไรจะเรียกว่า อุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา ตามตัวหนังสือ คำพูดคำนี้ก็ว่าต้องมีใครสักคนหนึ่ง อุทิศชีวิตเพื่อความมีอยู่แห่งพระศาสนา และมันก็มีส่วนที่จะต้องคิดเลยไปถึงว่า เพื่อการเกิดขึ้นแห่งพระศาสนาเล่า นั่นรวมอยู่ในคำพูดนี้หรือเปล่า
ถ้าเราพิจารณาดู ก็จะพบว่า มันก็มีความหมาย เอ่อ ที่อาจจะเอามารวมกันได้ คือว่า พระศาสดาแต่ละองค์ของแต่ละศาสนา ก็มีการกระทำที่พอจะมองความหมายออกได้ว่า ท่านอุทิศเป็นอย่างมาก อุทิศชีวิต หรือหรือมันจะยิ่งไปกว่าชีวิตด้วยซ้ำไป เพื่อให้มีศาสนาตามความหมายของท่านเกิดขึ้นในโลก ถ้าเราดูที่พระบรมศาสดาแห่งพุทธศาสนา ก็เห็นได้ว่า ท่านต้องขวนขวายมาก ถึงกับเอาชีวิตเข้าแลก และท้าทายต่อความตาย จึงได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งถ้าเอาเรื่องราวในชาดกทั้งหลายมาพิจารณากันแล้ว ก็จะพบแต่เรื่องอุทิศชีวิต หรือทุกสิ่งที่มันมีค่าเท่ากับชีวิต เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า หรือเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณ เพื่อการขนสัตว์ออกจากวัฏสงสาร หรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียกเถอะ แต่ความหมายมันก็อยู่ที่ว่า อุทิศชีวิตเพื่อการเกิดขึ้นแห่งพระศาสนาหรือพระธรรมนั่นเอง
อย่างเรื่อง พระเวสสันดร ก็เห็นว่าอุทิศมากเหลือเกิน เพื่อสัมมาสัมโพธิญาณในอนาคต ถ้าพูดถึงในชาติอื่นๆ ที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็มีอยู่หลายเรื่องที่เป็นอุทิศชีวิตตรงๆ แต่เราไม่ต้องพูดถึงก็ได้ ในเรื่องชาดกเหล่านั้น มันจะมากเกินไป เอาแต่ในชั่วชีวิตของพระองค์ ที่อุบัติบังเกิดขึ้นมาในโลกนี้เพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ท่านต้องอุทิศทุกอย่าง หรือเสียสละนั่นเอง เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า จึงได้ออกบวช ออกบวชแล้วก็อุทิศชีวิตเพื่อทดลอง ด้วยการท้าทายว่า ไม่ตายก็ต้องได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ หรือมิฉะนั้นก็ยอมตาย อย่างนี้เป็นต้น เป็นอันว่า แม้การเกิดขึ้นแห่งพระศาสนาก็ยังต้องการการเสียสละ หรือการอุทิศชีวิตของพระศาสดา ศาสนาคริสเตียน ศาสนาอิสลาม หรือศาสนาอื่น มันก็มีลักษณะอย่างเดียวกัน พระเยซูคริสต์ ต้องต่อสู้มากและต้องเสียชีวิตในที่สุด จึงมีศาสนาของท่านขึ้นมาได้ ที่ท่านต้องยอมเสียชีวิต เพื่อจะพูดสิ่งที่มันตรงกันข้ามกับที่พวกพระแห่งศาสนาที่มีอยู่แล้วในสมัยนั้นเขาถือกันอยู่ ท่านกล้าพูด ยอมตาย สอนศาสนาได้ ๓ ปี ก็ถูกเขาจับประหารชีวิต อย่างนี้เป็นต้น
เอาละ เป็นอันยุติว่า พระศาสดาก็อุทิศชีวิตเพื่อความเกิดขึ้น หรือปรากฏออกมาแห่งสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ทีนี้ก็มาถึงพระสาวกของท่าน ในพุทธศาสนานี้ก็ดี ในศาสนาอื่นก็ดี ก็จะมีสาวกบางองค์ บางคณะ บางกลุ่ม อุทิศชีวิตเพื่อความตั้งอยู่ เพื่อความแพร่หลายออกไป ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบาก หรือความตาย ก็ทำให้พุทธศาสนาเผยแผ่ออกไปได้ หรือยังอยู่สืบมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ข้อนี้ก็ต้องไม่ลืมเสียว่ามันมีความจริงอย่างนี้
ทีนี้มาถึงปัจจุบันนี้ ในยุคพวกเรานี้ มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง เกี่ยวกับคำว่าอุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา นี่คือเรื่องที่ผมอยากจะพูดในวันนี้ อยากจะพูดนี่มันก็มีความมุ่งหมายเป็นสองอย่าง อย่างพื้นฐานทั่วๆ ไป ซึ่งจะต้องกระทำกันอยู่ตามตัวอย่างที่เคยมีมาแล้ว แต่อีกอย่างหนึ่งนั้น มีความมุ่งหมายว่า จะให้ท่านทั้งหลายได้ปรับปรุงการกระทำของตน ของตน ในความหมายที่เรียกว่า อุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนานี้ให้ถูกต้อง และให้สมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไปจนเต็มเปี่ยม ผมเห็นว่ามีส่วนที่ต้องปรับปรุง แก้ไข อยู่เป็นอย่างมาก และมีส่วนที่จะต้องทำความเข้าใจให้เต็มที่ แล้วก็จะได้ประพฤติให้เต็มที่ได้ยิ่งกว่าที่แล้วมา ขอได้ตั้งใจฟังและก็นำไปพินิจพิจารณาดู
ผมอยากจะ จะย้ำอีกครั้งหนึ่ง ในส่วนที่มัน อืม มัน มันกำกวมอยู่ หรือมันกว้างขวางอยู่ จนถึงกับอมความไว้ทั้ง ๒ ฝ่ายคือทั้งฝ่ายผิดและฝ่ายถูก ก็คือมีพวกที่ปากพูดว่าอุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา แล้วมันก็ไม่จริง มันอุทิศชีวิตเพื่อประโยชน์หรือว่าผลได้ของตัวเอง โดยเอาศาสนาบังหน้า ปากพูดว่าเพื่อศาสนา ให้คนเลื่อมใส แต่การกระทำนั้นเพื่อตนได้รับประโยชน์ ฉะนั้น ในที่สุดก็สูญหายอันตรธานไป หายไปไหนก็ไม่รู้อย่างนี้ก็มี แต่ไม่ใช่สิ่งที่เรามุ่งหมายก็เป็นอันว่าไม่ต้องพูดถึง ทีนี้พวกที่มีแต่ความตั้งใจถูกต้อง อุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา แต่มีความรู้ในเรื่องน้อย เอ่อ เรื่องนี้น้อยเกินไป หรือไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี อย่างนี้ก็ยังมีอยู่ นี่จะต้องพูดกันสำหรับคนเหล่านี้
คนที่ตั้งใจดีก็ยังมีความกำกวม อยู่ที่ว่า ความตั้งใจนั้น มันจริงหรือไม่จริง บางพวกทำจริง แต่ชอบทำเปิดเผยให้คนอื่นเห็น แล้วก็ลองคิดดูว่ามันมุ่งผลอะไร ถ้ามุ่งผลเพื่อศาสนามันก็มีอยู่ส่วนหนึ่งแน่ แต่ที่ไม่เปิดเผยให้คนอื่นเห็นนั้น มันก็มีอยู่ส่วนหนึ่ง นี่เป็นคำตอบที่ดี ดีสำหรับคำถามที่ว่า ทำไมไอ้ทองข้างหลังพระนั้นมันไม่ค่อยจะได้ปิด มันปิดกันแต่ด้านหน้าพระ ให้เลอะเทอะไปหมด จนคนเขาต้องบอกว่า ไอ้ปิดทองหลังพระนั้นได้บุญกว่า กว่าที่จะปิดทองข้างหน้าพระ ผู้ที่อุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนาก็ต้องนำไปคิดไปนึกเหมือนกันว่าเราอยู่ในพวกไหน พวกปิดทองหน้าพระหรือปิดทองหลังพระ นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ที่ผมจะต้องพูดน่ะ ต้องอธิบายให้ฟังน่ะ มันมีอะไรบ้าง มันมีอะไรกำกวมกันอยู่อย่างไร เดี๋ยวนี้เป็นอันว่า เราเพ่งเล็งถึงผู้ที่มีความบริสุทธิ์ใจ แล้วก็พยายามอยู่อย่างยิ่ง แม้จะทำอย่างที่เรียกว่าปิดทองหลังพระ มันก็ยิ่งยินดี
เอาละ ทีนี้ก็มาพูดถึงข้อที่ว่าอุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนานี่ มันพระศาสนาชนิดไหนกัน พระศาสนาในระดับไหน ที่รู้กันทั่วไป มันก็มีพระศาสนาในระดับปริยัติ ยุ่งกันอยู่แต่กับหนังสือหนังหา เรื่องการเล่าเรียน นี่เขาก็ว่าสืบอายุพระศาสนา คนพวกนี้ไม่เคยเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติ เพราะเขาถือว่าพระปริยัตินั้นก็เป็นศาสนาที่เต็มเปี่ยมอยู่แล้ว ก็สนใจแต่เรื่องปริยัติ อุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนาในส่วนแห่งปริยัติ อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อยจนตลอดชีวิตนี้ก็มีอยู่ ผมเห็นด้วยตาเอง ท่านก็ทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ขอบเขตของท่านก็มีเพียงแต่ส่วนที่เป็นปริยัติ และก็ทำได้น่าดู น่าเคารพ น่านับถือ น่าบูชา ไม่เห็นแก่ลาภสักการะ ทำไปจนกระทั่งตาย อย่างนี้ก็ ก็มีอยู่ ก็เรียกว่า อุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนาในความหมายหนึ่ง
ทีนี้พวกเราส่วนมากที่นั่งอยู่ที่นี่ ไม่ได้เป็นนักปริยัติ ฉะนั้นผมก็จะไม่พูดในแง่ของปริยัติ ก็เลยมาพูดถึงในแง่ของการปฏิบัติ คือพระศาสนาในส่วนที่เป็นการปฏิบัติว่าเราจะต้องอุทิศชีวิตกันอย่างไร คำว่าปฏิบัตินี้ก็หมายถึงการกระทำ ทีนี้คำว่ากระทำนี่มันมี หลาย หลายอย่างหลายระดับ กระทำให้เป็นประโยชน์แก่พระศาสนาโดยตรงนี่ มันก็มีทั้งอย่างตรงมากตรงน้อย ตรงกว้างขวางหรือตรงแคบๆ และเมื่อพูดถึงว่าโดยอ้อมก็ไปอีกแล้ว มันก็ยิ่งมากอย่างยิ่งขึ้นไปอีก ขอปรับความเข้าใจว่า แม้กระทำอย่างโดยอ้อม มันก็เป็นประโยชน์แก่พระศาสนาเหมือนกัน ไม่ใช่ว่ามันมีหนทางแต่จะทำโดยตรง โดยเหตุที่มีบางคน ไม่สามารถจะทำโดยตรงได้ เพราะว่าธรรมชาติมันไม่ได้สร้างมาให้มีความสามารถให้มากมายเต็มที่ มันก็ต้องทำโดยอ้อม เราก็ต้องหยิบขึ้นมาพิจารณาด้วยเหมือนกัน
ผู้ที่อุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนานั้น ก็ต้องแยกดูว่าเพื่อความมีอยู่แห่งพระศาสนา หรือว่าเพื่อความแพร่หลายกว้างขวาง เจริญรุ่งเรืองขึ้นไปของพระศาสนา เอาล่ะ เราเอามารวมกันเสียเป็นอันว่าทำให้พระศาสนาที่แท้จริงมีอยู่ก็พอแล้ว มันก็จะรุ่งเรืองกว้างขวางได้ในตัวเอง ดังนั้นครูบาอาจารย์แต่โบราณ เขามักจะตั้งปณิธานว่า ขอให้พระศาสนาตั้งมั่นอยู่ก็พอ พอ พอใจแล้ว จะให้เผยแผ่กว้างขวางออกไปนั้น เขาก็ไม่ค่อยได้พูดถึงกันนัก เพราะเขาเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนานั้นว่า ถ้ายังมีอยู่ ตั้งมั่นอยู่และก็ช่วยตัวเองได้แน่ มันก็จะแผ่ซ่านออกไปได้เอง เหมือนกับดวงอาทิตย์มีรัศมีของมันเองอย่างเพียงพอ ขอให้มันมีอยู่ก็แล้วกัน มันก็ ก็ส่งรัศมีไปได้สุดเขตของมัน พระศาสนาก็มีลักษณะคล้ายๆ อย่างนั้น ขอให้ยังคงอยู่เถิด มันก็จะส่องแสงออกไปเอง เพราะมีอะไรดีพอที่จะช่วยให้คนสนใจรับเอาไป รับเอาไป มันก็ค่อยๆ บอกต่อๆ กันไป ขอให้ถือเป็นหลักไว้ทีหนึ่งก่อนว่า ถ้ามันดีแล้ว มันก็ไม่ต้องโฆษณากันนัก หรือถ้าโฆษณา มันก็ต้องมีวิธีการอย่างอื่น ไม่ใช่โฆษณาอย่างโฆษณาสินค้า มันเป็นศิลปะแห่งการตบตา หรือหลอกลวงไม่ทันรู้
ทีนี้ขอให้เราคิดดูว่า เราจะทำอย่างไร พระศาสนาที่แท้จริงจะยังอยู่ ไปๆ มาๆ สำหรับสมัยนี้โดยเฉพาะ มันก็ย้อนไปถึงเรื่องปริยัติอีกบ้างไม่มากก็น้อย ก็มันหลีกไม่พ้น เพราะในสมัยยุคปัจจุบันนี้ มันมีการศึกษานี่เป็นสื่อที่ดีที่สุด ที่จะพาอะไรไปที่ไหนที่นั่นที่นี่ ฉะนั้น พระศาสนาในส่วนปริยัติก็ยังต้องมี แต่ไม่ต้องมากจนเฟ้อ ไม่มากจนเสียเวลาเปล่าๆ มีพอที่จะปฏิบัติได้ก็แล้วกัน ถ้าเราไม่กลัวใครโกรธ เราก็จะพูดว่า พระศาสนาเดี๋ยวนี้ มันมีไอ้เรื่องปริยัติเฟ้อเข้ามาทำลายเวลา หรือแรงงานเสียมาก จนไม่มีการปฏิบัติจริง ที่จริงพระไตรปิฎกก็มากเกินต้องการอยู่แล้ว มันก็มีอรรถกถาฎีกา อนุฎีกา ที่เฟ้อมากยิ่งขึ้นไปอีก จนเสียเวลาเรียนค้นคว้ากันอยู่แต่ตรงนี้ ซึ่งเป็นเปลือกเป็นฝอย ไม่ช่วยให้เกิดการปฏิบัติดีไปกว่าเท่าที่มันมีอยู่ในพระไตรปิฎกได้ เราจึงต้องพูดว่า เราต้องการปริยัติเท่าที่จำเป็นแก่การปฏิบัติ ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจปริยัติเท่าที่จำเป็นแก่การปฏิบัติ
ทีนี้ ปฏิบัตินี่ ตัวแท้ของศาสนา จะเผยแผ่การปฏิบัติกันโดยวิธีอย่างไร โดยสรุปความแล้วก็มีเจตนาบริสุทธิ์ ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่ออวดเขา เราปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ของเราโดยตรง นี่กลับเป็นการเผยแผ่ที่ดีกว่า ปฏิบัติเพื่ออวดเขา ในพระบาลีมีพระพุทธภาษิต ได้ตรัสเรื่องพราหมณสัจจะว่า สมณพราหมณ์ที่เขารู้ธรรมะอะไร เขารู้เพื่อจะพูดว่าเพราะฉันรู้ ฉันเป็นสมณะ ฉันเป็นพราหมณ์ ฉันเป็นครูบาอาจารย์ ฉันเป็นอะไรทำนองนั้น มันเป็นพราหมณสัจจะที่ผิด ไอ้พราหมณสัจจะที่ถูกนั้นคือว่า เรารู้ธรรมะอะไรก็เพียงเพื่อปฏิบัติ โดยหลักนั้นๆ ให้มันถึงที่สุด อย่างนี้เรียกว่า พราหมณสัจจะที่ถูกต้อง
สรุปความทีหนึ่งว่า เรารู้อะไรหรือเราพูดอะไรตามที่รู้ก็เพื่อปฏิบัติให้ได้ตามนั้น ไม่ใช่ว่าพูดว่ารู้แล้วก็ได้คุยอวดว่าเราเป็นผู้รู้ เป็นครูบาอาจารย์ หรือกระทั่งเข้าใจว่าเป็นผู้สำเร็จ เป็นพระอรหันต์ไปเลย ว่ารู้สิ่งนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็ขอให้สังเกตดูให้ดีๆ ให้ระวังด้วย เพราะกลัวว่าเดี๋ยวนี้ รู้อะไรสักหน่อยหนึ่ง ก็จะยกหูชูหางว่าฉันรู้ ว่าข้ารู้ แล้วก็ทำตัวเป็นครูบาอาจารย์ ทั้งที่ไม่มีเพียงพอที่จะทำตัว ทั้งที่ไม่มีความรู้เพียงพอที่จะเป็นครูบาอาจารย์ได้ ก็เป็นกันเสียอย่างนี้ นี่ก็ผิดหลักที่พระองค์ได้ตรัสไว้
ฉะนั้น จึงขอสรุปความว่า ถ้ารู้ก็ต้องรู้เพื่อปฏิบัติให้มันตรงตามที่รู้ โดยไม่ต้องพูดว่า ฉันเป็นนั่น ฉันเป็นนี่ ฉันเป็นอย่างนั้น ฉันเป็นอย่างนี้ ทีนี้เมื่อฏิบัติอยู่ มันก็ลำบาก หรือเจ็บปวด หรือไม่ หรือเป็นทุกข์ นี่คือโอกาสของไอ้การอุทิศด้วยการเสียสละ กระทั่งเสียสละชีวิตเพื่อให้การปฏิบัตินี้เป็นไปได้ นี่ก็ขั้นตอนหนึ่งแล้ว พอมาถึงตอนนี้ก็ลองถามตัวเองดูว่า ใครกำลังเป็นผู้ที่เสียสละแม้แต่ชีวิต เพื่อการปฏิบัติที่สำเร็จ ที่ถูกต้อง ที่บริบูรณ์ ที่เห็นมาก็มักจะขี้ขลาดวิ่งหนีเสียก่อน ตั้งแต่ไม่มีวี่แววของความตาย อดอยาก ลำบาก เจ็บป่วย สักหน่อยก็หนีแล้ว เตลิดเปิดเปิงหนีไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ฉะนั้นเราจึงไม่ค่อยมี เอ่อ ผู้ประสบความสำเร็จ แม้ในส่วนการปฏิบัติ
ในส่วนการเผยแพร่ให้กว้างออกไปนั้น ก็ยิ่งต้องการไอ้ความเสียสละ หรืออุทิศที่ยิ่งไปกว่านี้อีก ถ้าจะทำกันจริงๆ มันจะต้องไปทำในที่ที่ลำบากหรือมีศัตรู แต่แล้วมันก็ไม่วายที่ว่าไปทำเพื่อเกียรติยศ ชื่อเสียงส่วนตัว เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ยอมเสียสละชีวิต จะเสียสละชีวิตอย่างไร เพราะว่าต้องการให้ผลได้ในเกียรติยศชื่อเสียง มาเพื่อประโยชน์ส่วนตัวในการเผยแผ่ มันจึงไม่มีผู้เผยแผ่ที่จะยอมเสียสละชีวิต พระศาสนาก็ไม่แพร่หลาย มันก็พูดได้เลยว่าศาสนาไหนมีสาวกอุทิศชีวิตเพื่อการเผยแผ่ ศาสนานั้นก็แพร่หลาย ดูสาวกในศาสนาของบางศาสนาที่เขาไปเผยแผ่ในป่าในดง ในเมืองคนดุร้าย คนกินคน แล้วมันก็ยังอุตส่าห์ไปแผ่ แล้วมันก็ตายจริงๆ ด้วย มีจำนวนมากมาย นั้นมันเรื่องการเผยแผ่
นี่เราอย่าเพ่อพูดถึงเลย เพราะว่าเรายังไม่ต้องการถึงขนาดนั้น เพราะว่าเราต้องการการเผยแผ่ด้วยการปฏิบัติให้ดู ตรงนี้จะขอย้ำสักหน่อยว่า การเผยแผ่โดยการปฏิบัติให้ดู จริงกว่า ดีกว่า ได้ประโยชน์กว่า ที่ดีแต่พูดให้ฟัง พูดให้ฟัง มันก็ถ้าตั้งใจพูดให้ดี มันก็มีประโยชน์ แต่ไม่เป็นการเผยแผ่ที่ดีเท่ากับการปฏิบัติให้ดู มันจะต้องเป็นอยู่ให้ถูกต้องตลอดทั้งวันทั้งวัน ทั้งเดือนทั้งปี จนตลอดชีวิตก็ว่าเป็นอยู่อย่างถูกต้องให้เขาเห็น แล้วเขาก็เลื่อมใส และเขาก็ทำตาม โดยไม่ต้องออกปากสักคำหนึ่งก็ยังได้ ไอ้ที่พูดนี่ พูดสอนกันจนเหน็ดจนเหนื่อย จนเหนื่อยเสียงแห้งเสียงแหบก็ไม่มีใครทำตามก็มี ฉะนั้น ถ้าปฏิบัติให้ดู ให้จับใจผู้เห็นละก็ มันไม่ต้องพูดกันก็ได้ เขาก็สมัครที่จะเอาอย่างและปฏิบัติตาม จึงอยากจะให้ตะล่อมเรื่องการเผยแผ่นี้มาอยู่ที่การปฏิบัติให้ดู มากกว่าที่จะพูดด้วยปากให้ฟัง หรืออะไรๆ ที่มันสงเคราะห์อยู่ในเรื่องนั้นๆ เรื่องฉายหนัง ฉายสไลด์ ฉายอะไรต่างๆ มันก็รวมอยู่ในเรื่องพูดให้ฟังด้วยปาก มันก็สู้การปฏิบัติให้ดูไม่ได้
ดังนั้น ไม่ต้องเสียใจว่าเราพูดไม่เป็น เทศน์ไม่เป็น ไม่มีหนัง ไม่มีสไลด์ไปฉายให้ใครดู แต่ว่าเรามีกาย วาจา ใจ ที่จะใช้เป็นเดิมพัน สำหรับปฏิบัติให้ดู ปฏิบัติให้จริง ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ให้คนเห็นแล้วเกิดความประทับใจ แล้วทนอยู่ไม่ได้ที่จะต้องประพฤติตาม หรือจะเข้าไปหา จะเข้าไปไต่ถาม จะเข้าไปอะไรจนไปในที่สุดให้ได้ประพฤติตามให้จนได้ นี่เรียกว่าช่องทางที่เราจะทำได้ ทำได้มือเปล่าๆ นี่ มีกาย วาจา ใจ เป็นเดิมพันสำหรับกระทำ การอุทิศชีวิตมันจึงอุทิศเพื่อปฏิบัติ ให้มันถูกต้อง ให้มันถึงที่สุด เพื่อพระศาสนา เพื่อการมีอยู่แห่งพระศาสนา จึงขอให้ซักฟอกตัวเอง สอบไล่ตัวเอง หรือสังคายนาตัวเองดูว่า การประพฤติ กระทำของเราบริสุทธิ์ ในความหมายอย่างนี้หรือไม่ คืออุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนาด้วยการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ให้เป็นหลักอยู่ในโลก
การที่ผมพูดว่า ปฏิบัติเป็นตัวอย่างให้ดู คำว่าให้ดูนั้นไม่ใช่เจตนาจะให้ดู แต่เมื่อเราปฏิบัติอยู่แล้วมันมีคนเห็นเอง ไม่ใช่เราเจตนาจะไปแสดงอะไรให้เขาเลื่อมใส อย่างนั้นมันเป็นการทำผิดไปเสียอีก เจตนาจะให้เขาดู ให้เขาเลื่อมใส แล้วก็แม้แต่ออกปากชมสักคำหนึ่งก็ยังแย่แล้ว ไม่ต้องเลยไปถึงจะเอาลาภสักการะจากเขา นี่แหละ นี่แหละมันเป็นสิ่งที่ยังจะต้องทำความเข้าใจ ปฏิบัติอยู่คนเดียวในที่เงียบสงัดพอสมควร ไม่ต้องไปสอนถึงเมืองนอกเมืองนา มันก็ยังเป็นการเผยแผ่พระศาสนาที่ดี และก็ยังเป็นการอุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนาที่แท้จริงด้วย มันไม่หลอกลวงใคร ไม่ตบตาใคร ที่นี้ก็ดูกันตรงที่ว่า มันเป็นประโยชน์แก่พระศาสนาในส่วนไหน ก็ตอบได้ง่ายๆ ว่า เป็นประโยชน์แก่พระศาสนาในส่วนที่มันจริง คือมันมีผู้ปฏิบัติอยู่จริง มีตัวศาสนาจริงๆ อยู่ที่เนื้อที่ตัวของผู้ปฏิบัติ อย่างนี้เราก็พูดได้ว่า พระศาสนาที่แท้จริงมันยังอยู่ การแห่ไปเผยแผ่ศาสนาที่นั่นที่นี่ เมืองนอกเมืองนา อย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่ได้ เอ่อ ไม่ มันไม่ได้เป็นความจริงถึงกับว่า พระศาสนาตัวจริงมันมีอยู่ มันเป็นศาสนาปริยัติ หรือศาสนาอะไรเสียโดยมาก
เอาละ บางคนอาจจะค้านว่าเราก็ไปปฏิบัติให้ดูทุกแห่งที่ไป กระทั่งเมืองนอกเมืองนา อย่างนี้มันยังไกลอยู่ ถ้าที่นี่มันยังทำไม่ได้ แล้วจะไปทำที่เมืองนอกเมืองนาได้อย่างไร การไปเมืองนอกเมืองนา เพราะมันมีส่วนแห่งความอยากอวด อยาก อยากได้นั่นได้นี่ อะไรอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ ไม่รับประกันได้
ฉะนั้น ปฏิบัติในป่าเสียก่อนเถอะ อุทิศชีวิตเพื่อความมีอยู่แห่งพระศาสนาที่แท้จริงในป่านี้ก็ได้ เพราะว่ามันก็คือในโลกนั่นเอง ตรงไหนก็ได้ ให้มันมีพระศาสนาที่แท้จริงอยู่ในโลกนี้ก็แล้วกัน คืออุทิศชีวิตเพื่อปฏิบัติให้สำเร็จตามจุดหมายของพระศาสนา ในที่สะดวกแก่การปฏิบัตินั่นแหละ ดีที่สุด
มองในแง่อุทิศชีวิต อุทิศถึงที่สุด มองในแง่ของการเผยแผ่ ก็เผยแผ่อย่างดีอย่างแท้จริง และถึงที่สุดขอให้ถือหลักนี้เป็นส่วนใหญ่ ถ้าหากว่าใครสามารถเผยแผ่ในส่วนหลักวิชา ในส่วนปริยัติด้วยมันก็ดี นั่นก็เป็นส่วนของบุคคลนั้น คือเป็นบุคคลพิเศษ เราทำไม่ได้ทุกคน น้อยคนที่จะทำได้ และที่เห็นๆ กันอยู่มันก็หายากนะ สำหรับผู้ที่จะถึงที่สุดในทางปริยัติ และปฏิบัติไปเผยแผ่ให้ทั่วไปทั้งโลก มันจะมัก มันจะมักจะดีแต่ด้านเดียว ในแง่ของปริยัติเท่านั้น แล้วมันก็สู้จริงในส่วนของการปฏิบัติไม่ได้ ฉะนั้นรีบชำระสะสางเถอะ ให้การปฏิบัติมันเป็นจริง มันถูกต้องและสมบูรณ์ แม้ไม่ต้องเสียชีวิต มันก็มีค่ายิ่งกว่าการเสียชีวิต ไม่ต้องยึดมั่นอย่างโง่เขลาไปทำให้มันเสียชีวิตเปล่าๆ โดยไม่มีค่าอะไรนัก เพียงแต่ว่าจะได้อวดสักหน่อยว่า แหม, เราทำจนตายนี่ก็อวดคนโง่ๆ ละก็ได้ คนฉลาดก็มองเห็นว่า อันนี้มันตายอย่างไม่สมค่าของชีวิต คือการที่เคร่งครัดหรือว่าเสียสละชีวิตอย่างโง่เขลา มันเอามาใช้ไม่ได้กับคำๆ นี้ คือคำที่ว่า อุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา ถ้าอุทิศชิวิตมันก็ต้องมีประโยชน์จริงๆ ถ้าคนมันไม่เห็น ก็ให้ผีสางเทวดามันเห็นก็แล้วกัน
ฉะนั้น เราจะต้องมองในแง่นี้ให้ลึกลงไปถึงกับว่า บางคนปฏิบัติอะไรได้ไม่มาก เพราะว่าธรรมชาติไม่ได้สร้างเขามาเพื่ออย่างนั้น เขาก็อยู่อย่างสงบ ตามปกติ มีศีล มีสมาธิ ตามธรรมชาติ ไม่ต้องการอะไรให้มันเป็นทุกข์ แล้วก็ผ่าฟืน หุงข้าว ทำข้าวปลาอาหารเลี้ยงเพื่อนบรรพชิตอยู่ อย่างนี้ผมก็รู้สึกว่า เขาก็เสียสละอุทิศชีวิตเพื่อความมีอยู่แห่งพระศาสนา ในวัดของพวกทิเบตมีมาก ผมไปดูไปเห็น ติดตาติดใจมาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ก็ยังหลับตาเห็นวัดนั้น เห็นพระลามะบางองค์อย่างที่นั่นเขาทำอย่างนั้น ดูเหมือนจะไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากผ่าฟืน ทำอาหาร และก็ง่วนอยู่อย่างนั้น แต่เมื่อดูถึงไอ้การเสียสละของแกแล้ว มันลึกซึ้ง มั่นคง สม่ำเสมอ ดีกว่าอาจารย์วิปัสสนาที่เที่ยวตะโกนปาวๆๆๆๆๆ ที่นั่นที่นี่ ซึ่งหาความจริงในส่วนลึกไม่ได้ นี่พระลามะจีวรเปื้อนด้วยขี้เถ้า สบงเปื้อนด้วยขี้เถ้าสีแดงๆ ผมไปนั่งสนทนาไปไต่ถาม ท่านไม่ได้ทำอะไรตลอดชีวิต จนแก่หง่อมแล้วก็ทำเพียงเท่านั้น มีหน้าที่ผ่าฟืน หุงหาข้าวปลาอาหาร แล้วดูหน้าตามันสบายใจ มันเป็นสุข มันไม่ต้องการอะไร มันไม่มีตัวกูของกู มันก็พูดอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำไป ในทางปริยัติมันพูดอะไรไม่ได้สักคำหนึ่ง แต่ดูจิตใจแล้ว มันเป็นคนอุทิศชีวิตเพื่อความมีอยู่แห่งพระศาสนาเต็มเปี่ยมเหมือนกัน
ข้อนี้ ผมก็อยากจะขอร้องให้ทุกๆ องค์นี่ หยิบขึ้นพิจารณาด้วย อย่ามองข้ามเพื่อนสหธรรมมิกบางคนที่เขาทำอะไรไม่ได้มากกว่ากวาดใบไม้ หรือว่าทำความสะอาดวัด หรือทำอะไรก็ตามเพียงเท่านั้น แต่ถ้าเขาทำด้วยความเสียสละที่บริสุทธิ์ ด้วยจิตใจที่ไม่มีตัวกูของกู มันก็ถึงที่สุดเหมือนกัน ดีกว่าพวกครูบาอาจารย์ยกหูชูหางอย่างจะเทียบกันไม่ได้ นี่ก็ขอโอกาสพูดตรงๆ นะ ไม่ใช่พูดว่ากระทบกระเทือนใครนะ พูดเพื่อทำความเข้าใจเท่านั้นแหละ
เพื่อจะแสดงความหมายคำว่า อุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนานั้น มันทำได้กี่อย่างหรือกี่ระดับ คนมันไม่จริง พอขัดข้องหน่อย มันก็สึกไปอยู่กะเมียมันอีกแล้ว นี่ มันอย่างนี้นี่ ถ้ามันจริง มันก็เป็นหลวงตาผ่าฟืนอยู่ในวัดจนตายก็ได้ นี่เดี๋ยวมันก็สึกไปอยู่กับเมียมันอีกแล้ว เดี๋ยวมันก็กลับมาบวชอีก เดี๋ยวมันก็สึกไปอยู่กับเมียมันอีกแล้ว นี่ มันอุทิศชีวิตเพื่ออะไรกันแน่ เพื่ออะไรกันก็ไม่รู้ หรือว่ามันไม่ได้อุทิศชีวิตเพื่ออะไรเลย
นี่เราจะต้องทำใจคอให้ปกติ แล้วพิจารณาดูให้ดี ในข้อที่ว่ามันทำอะไรได้กี่อย่าง กี่ระดับ คำพูดมันสูงสุดว่า อุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา แต่ที่การกระทำนั้นมีหลายระดับ นับตั้งแต่ว่า ศาสนาชนิดไหนล่ะ ศาสนาปริยัติก็ได้ ก็ขอชีวิตสละไปเพื่อสิ่งนั้นจริงๆ หรือว่าแม้ที่สุดแต่ศาสนาในแง่ของวัตถุ ซึ่งมันจะต้องมีอยู่เหมือนกัน ต้องมีวัดวาอาราม ต้องมีเครื่องใช้ไม้สอย โบสถ์วิหารอะไรก็ตามที่จำเป็น ถ้าเขาอุทิศด้วยความบริสุทธิ์ใจ เขาไม่ต้องการอะไรมากกว่านั้น ก็ควรจะยกมือไหว้เขาได้ เพราะเขาอุทิศชีวิตเพื่อความมีอยู่แห่งพระศาสนาด้วยเหมือนกัน แม้ว่าจะเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แขนงหนึ่ง เราจะไปเอาคนมาจากไหนที่เก่งทั้งปริยัติและเก่งทั้งปฏิบัติ แล้วก็ทำอะไรทั่วทั้งโลก และจนตายนี้มันก็หายาก หาทำยาหยอดตาก็ยาก อย่าว่าแต่หามาดูมากมาย ก็ต้องลดหลั่นกันลงมาเป็นชั้นๆ ชั้นๆ และใจความมันมาสำคัญอยู่ที่ว่า อุทิศก็แล้วกัน ไม่ได้เก็บตัวกูของกู เหลือไว้เพื่อกิเลส หรือเพื่อตัวกู มันบริจาคไปหมดสิ้น แม้ว่างานที่ทำนั้นเพียงผ่าฟืน อยู่จนตลอดชีวิต ก็ไปพิจารณาดูตัวกูของกู ของเขาสิ มันไม่มีเหมือนกัน แล้วมันซื่อ แล้วมันซื่อ จน จนไม่รู้จะซื่ออย่างไร มันไม่หน้าไหว้หลังหลอกเลย จะว่ามันบริสุทธิ์ มันก็บริสุทธิ์ตามแบบของธรรมชาติเลย มันก็ยอมว่า ก็ยอมรับว่าเขาก็อุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา
เพราะในตัวของพระลามะผ่าฟืนไม่รู้อะไรนั่น มันมีหัวใจของพระศาสนา คือชีวิตที่มันเกลี้ยงเกลา ไม่มีตัวกูของกูที่เป็นกิเลส และมันไม่ต้องการอะไร ไม่หวังอะไร ถ้าจะเปรียบกับพระไทยเรา มันก็คงไม่มีที่จะทำหน้าที่ผ่าฟืน หุงหาอาหารอย่างนั้น แต่ว่ามันก็มีอย่างที่พอจะเปรียบกันได้ว่า มันขยันกวาดใบไม้ตลอดชาติ ก็ใช่ มันอุทิศชีวิตเพื่อความมีอยู่แห่งพระศาสนา ในหัวใจของเขานั้น มันไม่มีตัวกูของกูอะไร ที่จะไปทำกิเลสตัณหา โลภะ โทสะ โมหะอะไร ในหัวใจของเขามันสะอาดจากโลภะ โทสะ โมหะ อย่างวิธีง่ายๆ โง่ๆ ซื่อๆ ทื่อๆ อย่างนี้ เอากันทื่อๆ อย่างนี้ ในนั้นมันก็มีพระศาสนาและเขาอุทิศมาตลอดชีวิต
นี่ผมพูดนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะกระทบกระเทียบกระทั่งใคร เพียงแต่จะบอกให้ทราบว่า มันมีโอกาสกว้างขวางเหลือเกิน ที่เราจะทำได้ เพื่ออุทิศชีวิตแก่พระศาสนา แม้ว่ามันโง่ขนาดที่ทำสมาธิให้เกิดขึ้นไม่ได้ มันก็เป็นอยู่อย่างที่มีสมาธิตามธรรมชาติ มีศีลตามธรรมชาติ มีปัญญาสำหรับไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไรในชีวิตนี้ เท่าที่ทำอะไรได้ก็ทำ ก็เช่นว่า กวาดใบไม้ตลอดชีวิต ผ่าฟืนตลอดชีวิต เขาก็มีพระศาสนาที่แท้จริงอยู่ในหัวใจของเขา คือในชีวิตของเขา อย่าคิดอะไรให้มันมาก อย่าท้อแท้ ให้มันมากไปเมื่อทำอะไรไม่ได้ เหมือนกับคนที่เขาสามารถเป็นนักปราชญ์ หรือว่าเป็นอะไรที่มันเป็นชั้นดีชั้นเลิศ เรากวาดใบไม้หรือเราผ่าฟืนตลอดชีวิต มันก็ยังเป็นการอุทิศชีวิตให้แก่พระศาสนาได้
ในทางโลกๆ เรื่องของโลกๆ นี่ เขาพูดกันมาก เขาเตือนกันมากว่า อย่าไปดูถูกไอ้กรรมกรกวาดถนน ลองไม่มีพวกนี้สิ บ้านเมืองก็ไม่เป็นบ้านเมือง อย่างสมัยนี้เขาพูดว่า อย่าไปดูถูกบุรุษไปรษณีย์ ลองไม่มีบุรุษไปรษณีย์โลกนี้มันก็ชะงักงันและเป็นไปไม่ได้ มีตั้งอยู่ไม่ได้ เพียงแต่ไม่มีบุรุษไปรษณีย์ ฉะนั้น ก็จึงเคารพกรรมกรกวาดถนน หรือว่าบุรุษไปรษณีย์ก็ตาม ว่ามันมีความจำเป็นที่จะต้องมีอยู่ในโลก ในประเทศ เหมือนกับที่เราต้องมีนายกรัฐมนตรี มีรัฐมนตรี มีอะไรต่างๆ ลงมาตามลำดับ ซึ่งในพระศาสนานี้ก็เหมือนกัน เราไม่อาจจะมีพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเต็มไปหมด แต่เราก็มีหลวงตากวาดวัด ผ่าฟืนได้ โดยมีจิตใจที่ไม่ต้องการอะไร อยู่อย่างไม่ต้องการอะไร นอกจากความว่าง นี่ขอให้เอาไปคิด เพราะผมพูดเมื่อตะกี้แล้วว่า ถ้าอย่างไรก็ขอให้ช่วยเอาไปคิดว่า โอกาสที่จะอุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนานั้นมันช่างมีมากเหลือเกิน ตั้งแต่ต่ำที่สุด จนถึงสูงที่สุด ตั้งแต่ทำให้คนเห็นที่ว่าคนต้องเห็น หรือว่ากระทำที่การกระทำที่คนไม่ต้องเห็น ที่เขาใช้คำว่า ไอ้ปิดทองหลังพระ มันจะจริงกว่าหรือจะบริสุทธิ์กว่า
เท่าที่ผมนึกออกในวันนี้ ในวันแรกนี้ ก็คือหัวข้อนี้ ว่าเราอุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา เราอาจจะทำได้เต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าเราจะถูกธรรมชาติสร้างขึ้นมาอย่างไร ธรรมชาติสร้างพระเณรบางองค์ขึ้นมาอย่างที่เรียกว่า จะเรียน ป.๑ ป.๒ ก็ไม่ได้ เพราะว่า มัน มัน มันไม่อาจจะเรียนหนังสือ แต่ว่ามันอาจจะทำอย่างนี้ได้ อาจจะทำอย่างชนิดที่ในจิตใจไม่ต้องมีตัวกูของกูนี้ได้ เราก็ไม่กลัว เราไม่กลัวว่าเราจะทำอะไรไม่ได้ เพื่อประโยชน์พระศาสนา เราไม่กลัวว่า เราจะไม่อาจอุทิศชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่พระศาสนา เพราะว่าเราทำอะไรไม่ได้ เดี๋ยวนี้เราก็ เดี๋ยวนี้มันก็มีการพิสูจน์ให้เห็นได้แล้วว่า แม้ทำได้แต่เพียงกวาดใบไม้ หรือผ่าฟืน มันก็ทำให้มีพระศาสนาอยู่ในจิตใจ อุทิศชีวิตให้แก่พระศาสนาโดยตรงที่มีอยู่ในจิตใจ แล้วใครมาเห็นก็เลื่อมใส อย่างที่ผมไปเห็นมาที่อินเดีย และที่วัดทิเบต ก็มาเล่าให้ฟัง เมื่อลามะองค์หนึ่ง เขาแตกฉานเปรื่องปราดในการเผยแผ่ ในการสั่งสอน รู้จักกันทั่วโลกก็ตามใจ แต่องค์นี้ผ่าฟืนอย่างเดียวไม่รู้กี่สิบปีมาแล้ว แล้วก็ได้รับความเคารพนับถืออย่างยิ่งเหมือนกัน จากประชาชน จากลูกเด็กๆ เพราะเขาเข้าใจถูกต้อง
สรุปความว่าเป็นอันว่าเลิกกันที อย่ามาบ่นว่าเราทำอะไรไม่ได้ เราไม่สามารถจะทำอะไร แต่เราจะมีจิตใจเต็มไปด้วยพระศาสนาได้ แม้ด้วยการกวาดใบไม้ หรือว่าผ่าฟืนเหมือนพระองค์นั้น แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ต้องเป็นถึงอย่างนั้น เราทำอะไรได้มาก และก็เรียนอะไรได้ไม่น้อย และก็ปฏิบัติอะไรได้ ขอแต่ให้ระมัดระวัง ให้มีสติสัมปชัญญะ อย่าให้มันเผลอออกนอกลู่นอกทาง คือพอรู้อะไรสักหน่อย และก็ปฏิบัติอะไรได้สักหน่อยก็มีตัวกูขึ้นมาแล้ว กูเป็นอย่างนั้น กูเป็นอย่างนี้ ยิ่งอาจารย์เขียนป้ายแขวนคอให้ด้วยว่าเป็นท่านนั้นท่านนี้แล้ว มันก็เอากันใหญ่ นี่จะล้มละลายหมดนะ อย่าไปนึกเรื่องที่ว่ามันจะเด่น จะดี จะโด่ง จะดัง เพราะมันจะทำให้รัฐล้มละลายโดยไม่รู้ตัว โดยไม่ทันรู้ตัว ไอ้ไม่เด่น ไม่ดี ไม่โด่ง ไม่ดัง เพราะว่าเป็นหลวงตากวาดใบไม้และผ่าฟืนนั่นแหละ ยังจะง่ายกว่า สะดวกกว่า มีโอกาสกว่า ที่จะมีการกระทำอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง อุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา และมีอยู่จริงในเนื้อในตัวของเขา ผมเห็นว่ามันพอแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรอีกก็ได้ สำหรับคำว่าอุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนา เดี๋ยวนี้ผมขออนุโมทนา ขอตั้งสัจจาธิษฐานว่า ขอให้ท่านทั้งหลายทุกองค์จงมีความเจริญงอกงาม ในการอุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนาจนตลอดอายุด้วย พอกันทีสำหรับวันนี้