แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไม่มีอะไรที่จะพูดเป็นชิ้นเป็นอันเวลานี้ นอกจากว่ามาพบตามธรรมเนียมในฐานะมาใหม่ แล้วอยากจะให้พักผ่อน ก็อดหลับอดนอนอะไรมา ให้พักผ่อนให้ปรกติ ถ้าเวลาเหลือก็เที่ยวดูสถานที่ มันเป็นสิ่งที่สำคัญหรือเกี่ยวข้องกันอยู่เหมือนกัน ถ้ายังสนใจเรื่องสถานที่ ยังไม่ชินกับสถานที่ ยังสงสัยว่ามีอะไร ยังทึ่งนั่นทึ่งนี้ล่ะก็จิตใจก็ยังไม่เหมาะ ดังนั้นวันนี้ไปพักผ่อนแล้วก็เที่ยวดูสถานที่ กระทั่งดูสิ่งที่มีอยู่ในตึกนี้ และที่โรงปั้นตรงนั้นให้รู้ว่ามันเป็นอะไร มีอะไร พรุ่งนี้จึงค่อยพูดกัน เป็นเรื่องที่ว่าจะเป็นกิจจะลักษณะ เป็นวิชา เป็นอะไร ดังนั้นวันนี้เที่ยวดูสถานที่ คืนนี้ก็ยังจะต้องไปพักผ่อน ทำความคุ้นเคยกับคน สถานที่ ตอนเย็นเขาก็มาประชุมที่ตรงนี้ เย็นราวห้าโมง เพื่อไหว้พระที่เรียกว่าทำวัตรนะ ทำวัตรเย็น ควรจะมาร่วมกับเขาด้วย เขาตีระฆัง สัญญาณที่ตรงโน้น ก็มาที่นี่ เขาตีระฆังสามแก็ก ที่นี่ก็มีการไหว้พระสวดมนต์ ทีนี้ตอนหัวรุ่งก็มีอีกที ไหว้พระ สวดมนต์ หัวรุ่งก็ตีสี่เศษๆ ตีสี่ลุกขึ้น ตีสี่เศษๆ ก็มา ทำวัตรเช้า ก่อนนี้เคยพูดกันตอนทำวัตรเช้าเสร็จ ก่อนสว่าง นี่ลองเลือกดูว่าจะเลือกเอาพูดกันวันละหนึ่งครั้ง ตอนหัวรุ่งก่อนสว่าง หรือว่าตอนหัวค่ำ พอมันเย็นลงแล้วอากาศแปดโมง สองทุ่มครึ่งตอนนั้นมันเย็นลงบ้างแล้ว ตอนไหนจะเหมาะ จะเหมาะ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยจะมีเรี่ยวแรงที่จะพูดวันละหลายๆ หนได้ เลยพูดวันละหนเดียว ทีนี้เวลาที่เหลือนอกนั้นก็ใช้ฟังเทปที่มีการบันทึกไว้มาก เรื่องที่ยังไม่เคยฟังก็มีแยะ เรื่องที่ประกอบการบรรยายนี่ก็มีแยะ ฉะนั้นใช้ฟังเทปช่วยบางเวลา พูดโดยตรงก็เวลาหนึ่ง เผื่อจะมีปัญหา จะได้ซักถาม จะได้ตอบปัญหาด้วย นี่ถ้าใครมีข้อสงสัยอย่างไร หรือว่าจะให้พูดเรื่องอะไร ก็ตั้งเป็นข้อสงสัยเขียนใส่เศษกระดาษมาให้ รวมๆ จะได้พูดให้เสร็จไปเสียในคำบรรยาย เหลือข้อปลีกย่อยเล็กน้อยเป็นปัญหาที่จะถาม ถามทีหลังก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ก็จะพูดไปเสียในการบรรยาย วันละครั้งสำหรับการบรรยายโดยตรง ส่วนฟังเทป หรือทำอื่น จะกี่ครั้งก็ได้ แล้วแต่จะทนได้ และถ้าพยามศึกษาไอ้ภาพเขียนฝาผนังในตึกหลังนี้ให้มาก ก็จะมีประโยชน์มากนะ มันจะรู้ธรรมะได้มาก แล้วก็ไม่ไปเสียเวลา สนุกบ้าง แต่อย่าไปทำเล่นกับมัน อย่าไปอวดว่ามันเข้าใจง่ายๆ ไอ้ภาพเหล่านั้นนะ มันยิ่งเข้าใจได้ทุกทีๆ จนกระทั่งมันเป็นความรู้สึก มันเลยความเข้าใจไปอีก ครั้งแรกไปดูก็ไม่รู้ว่าภาพอะไร ถ้าไปดูในแง่ศิลป์มันเตลิดเปิดเปิงไปอื่น จะดูในแง่ศิลป์บ้างก็ได้ แต่แล้วต้องดูให้รู้ว่ามันเป็นภาพอะไร และมีความหมายอย่างไร นี่ทีหนึ่ง แล้วดูๆๆๆ จนมันได้แก่ตัวเราเองที่เป็นคนธรรมดาสามัญ ภาพเหล่านั้นมันมีความประสงค์มุ่งหมายเจาะจงคนธรรมดาสามัญ จนเรามองเห็นแล้วมันก็เป็นอยู่แก่ตัวเรา จนกระทั่งเราเกิดความละอาย หรือเกิดความกลัว มีความหวั่นไหวเปลี่ยนแปลงในจิตใจ มันได้ประโยชน์จากภาพเหล่านี้ ถึง ถึงที่สุด อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นศิลป์เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ศิลป์อย่างทั่วไปที่เขาเรียกกัน คือเรื่องสี เรื่องเส้นนั้นเป็นอีกอย่าง ศิลป์อีกอย่างมันเป็นศิลป์ประเภทการระบายความคิด การรับเอาความคิดในทางธรรมะเกี่ยวกับชีวิตโดยตรง เป็นศิลป์ในความหมายเดียว แต่เป็นศิลป์ที่ยากกว่า ต้องใช้เวลา หลายๆ หน แม้ในภาพเดียว ต้องใช้เวลาหลายๆ หน ก็ต้องไปนั่งคำนึง ให้เข้าลึกเข้าไปถึงความหมายของภาพเหล่านั้น ลึกเข้าไปๆๆ จนเกิดรู้สึกสะดุ้งหวั่นไหวในจิตใจในแง่ของธรรมะ ศิลปะของธรรมะมันเป็นอย่างนี้ ศิลปะชาวบ้านก็เป็นเรื่องสี เรื่องแสง เรื่องเสียง เรื่องความรู้สึก อารมณ์ ก็มักเป็น แล้วมักเป็นไปในทางที่ไม่ชนะกิเลส ไม่แก้กิเลส ศิลปะทั่วไป แม้ชั้นดีชั้นเลิศ มันก็เป็นลักษณะเสพติดมากว่า มึนเมา เสพติด ทั้งเรื่องสี เรื่องเส้น เรื่องความหมายในทางนั้น มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นเรื่องประกอบให้กิเลสแสดงความหมายมากขึ้น พูดตรงๆ อย่างนี้ไม่ใช่ด่า แต่ถ้าว่าศิลป์ชนิดนี้ ของพุทธบริษัทแบบนี้ มันต้องการจะสำรอกกิเลส แล้วก็ไม่เพื่อมึนเมาในความหมายของศิลป์ มันรู้แจ้ง แจ่มแจ้งในความหมายของชีวิต ของกิเลส เกิดความละอาย เกิดความกลัว ความสลดสังเวช มันก็ได้ประโยชน์ทางธรรมะ เพราะฉะนั้น เราจึงแสดงภาพอย่างนี้มากมาย ขยันดู เมื่อดูทั่วแล้วก็จะพบภาพที่จะมีประโยชน์แก่เรามาก ไม่กี่ภาพ หรือสองสามภาพ แล้วก็ไประดมทำความเข้าใจกับภาพสองสามภาพนั้น ได้ทุกวันระหว่างที่พักอยู่
ทีนี้ ก็หัดการเป็นอยู่อย่างที่ ที่นี่อยู่เหมือนกับอยู่พักแรม อยู่แคมป์นะ แคมป์ตามแบบของพุทธบริษัทด้วย หมายความว่า ไม่ให้มีอะไรเป็นของตัว อยู่ไปวันหนึ่งโดยไม่ต้องมีอะไรเป็นของตัว ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่ต้องจ่ายเงินด้วย แล้วก็ยินดี เพราะฉะนั้นในระหว่างอยู่ที่ พยามที่ว่าจะไม่มีทรัพย์สมบัติอะไร แล้วก็ไม่จ่ายเงิน ไม่สุดวิสัยแล้วจะไม่ทำอะไรในทางที่ต้องจ่ายเงิน จะได้มีความทน อดทน มีความเข้าใจในการเป็นอยู่ชนิดที่เขาอยู่กันโดยที่ไม่ต้องมีเงิน โดยเฉพาะครั้งพุทธกาล ภิกษุสามเณรอยู่โดยไม่ต้องมีเงิน เดี๋ยวนี้เขาต้องการหาเงินมาก ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ปัญหาก็เกิดขึ้น เป็นระบบเศรษฐกิจต่างๆ จนได้ทะเลาะกัน นั่นมันก็เรื่องหนึ่ง ก็ปล่อยไปตามเรื่อง แต่ว่าระหว่างที่จะมาพักอยู่ที่ชั่วไม่กี่วัน ลองศึกษากันแบบนี้ดูบ้าง มันไปช่วยทำความเข้าใจให้พอดี ถึงว่าจะมีชีวิตชนิดไหน เป็นการใช้จ่ายลักษณะอย่างไร อยู่อย่างกินข้าวจานแมว หรืออาบน้ำในคู อยู่เหมือนกับตายแล้ว หรือว่าอยู่เหมือนกับเป็นทาส กินข้าวจานแมวนี้คือไม่พิถีพิถันในเรื่องกิน ใส่ๆ รวมๆ กันลงไป ในลักษณะที่มันจะเป็นอาหารได้แล้วกัน ขอเพียงไม่เป็นเหยื่อ ถ้าเป็นเหยื่อคืออร่อย ถ้าเป็นอาหารก็ไม่จำเป็นต้องอร่อย แต่ว่าถูกต้องในการที่จะเลี้ยงชีวิตอยู่ได้ เป็นอาหารอย่างนั้น ไม่ต้องนึกถึงความเอร็ดอร่อยซึ่งมันจะกลายเป็นเหยื่อ โดยเรียกว่ากินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู พยายามไปอาบน้ำในลำธาร ไม่ต้องมีการเป็นอยู่พิเศษ เรื่องห้องน้ำ เรื่องอะไรต่างๆ ความสะดวกสบายแบบที่เคยมีอยู่ที่บ้านนั้นเว้นเสียสักระยะหนึ่ง อย่างกินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู คล้ายครั้งพุทธกาลมากที่สุด มัน มันเป็นอยู่อย่างทาส อย่าปริปาก นี่เป็นบทเรียนอันหนึ่ง ซึ่งถ้าทำได้แล้วก็ดี ดีกว่าหนังสือเสียอีก มันเรียนโดยเป็นอยู่จริงๆ และพยามอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติให้มากที่สุด อย่างที่เรียกว่าเป็นเกลอกับธรรมชาติ อย่างนั่งกลางดิน ส่วนมากจะอยู่กับธรรมชาติ เราต้องการให้ได้ความรู้ที่ใหม่ที่แปลกออกไปจากที่ ที่กรุงเทพ แล้วไป เอาไปผสม ไปรวมกันทีหลัง เลือกดู ระหว่างอยู่ที่นี่ต้องพยามให้มันไกลกันไว้ อย่างตรง ตรงกันข้ามกัน อยู่อย่างเป็นเกลอกับธรรมชาติ สมมติว่ามันมียุง ก็ให้เปลี่ยนเป็นว่ามันไม่ใช่มาทำอันตรายอะไร มาสอบไล่เรา หรือว่ามาร้องเพลงให้เราฟัง ต้องเปลี่ยนจิตใจขนาดนั้นถึงจะดี แต่ว่าที่นี่ไม่ค่อยมียุงหรอก ถ้าเทียบกับที่กรุงเทพแล้วก็ต้องเรียกว่าที่ไม่ค่อยมียุง นอกนั้นก็ไปคิดเอาเอง ให้มันใกล้ชิด เรียกว่าเป็นเกลอกับธรรมชาติที่สุด วันหนึ่งพูดน้อยที่สุด ไม่พูดได้ก็ยิ่งดี มันจะได้คิดมาก จะได้มีแรงในสมองในอะไรมันเหลือสำหรับจะคิดนึกพิจารณา พอพูดแล้วมันกระจายฟุ้งซ่าน แล้วมันมีกำลังจิตที่อ่อนแอเมื่อคนพูดมาก อ้าว, สมาทานในข้อที่ว่าไม่จำเป็นจะไม่พูดดีกว่า ระหว่างที่พักอยู่ที่นี่ เรื่องเล่นหัวหยอกล้อ หัวเราะนั่น ถือว่าเป็นอาบัติไปเลย ทำไม่ได้ เช่นว่ามีกำลังความคิด กำลังสำหรับคิดนึกพิจารณาเหลืออยู่มาก จะนึกอะไรได้ดี คิดอะไรได้ดี เข้าใจอะไรได้ดี ถ้าทำอย่างผมว่าอย่างนี้ แล้วการอยู่ที่นี่เพียงไม่กี่วัน สองสามอาทิตย์ก็จะได้ความเข้าใจ ได้ความรู้อะไรมาก ในที่ยัง ที่ยังไม่รู้ และที่จะเป็นประโยชน์สำหรับจะไปใช้กันกับไอ้เรื่องที่เล่าที่เรียนกันให้มันมีความถูกต้องมากขึ้น เรื่องที่จะพูดในครั้งแรกนี้ก็มีอย่างนี้ ที่ว่าจะอยู่อย่างพักแรม อย่างไม่มีอะไร อย่างไม่ต้องใช้จ่ายเงิน กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นเกลอกับธรรมชาติ ใช้เวลาคิดนึกให้มากกว่าการที่จะพูด และสำหรับเรื่องที่พัก เราต้องอดทน เพราะว่าที่พักมันไม่พอ เพราะฉะนั้น ต้องอดทน ต้องทำในใจเหมือนว่าเราต้องนอนที่ตรงนี้ ก็นอนได้ในบางเวลา ทีนี้พอได้มีที่นอนในหลังคานิดหนึ่งก็สบายเหลือประมาณละ ดีที่สุดเหลือประมาณ เหมือนกับว่าถ้าเราได้ขี่เกวียน ที่อืดอาดแสนรำคาญนี้ก็ยังดีกว่าเดิน ไอ้เดินมันยังปวดเท้า มันยังเหนื่อยมากกว่า จะขี่รถก็ยังดีกว่ารถไฟแล้วก็ยังดีกว่าขี่เกวียน ถ้าได้ขี่เรือบินมันก็ยิ่งดีกว่า แต่มันก็ไม่แน่ว่าจะจำเป็น หรือแม้แต่มีให้ใช้ ฉะนั้นเอาขั้นต่ำไว้เรื่อย จะได้กินอาหารอย่างไร จะได้เป็นอยู่อย่างไร จะได้อะไรอย่างไร เอาขั้นต่ำไว้ ที่มันดีกว่านั้นน่ะ สมัยหนึ่งการเดินทางด้วยรถไฟ ต้องนั่งที่บันได ต้องนั่งที่ตรงซอกทางเดินตรงประตู ฝนก็ตกลงมา ก็นึกว่านี่ยังดีกว่าเดินเป็นไหนๆ ไปกรุงเทพ นั่งตากฝนไปจนแห้ง มันก็ยังดีกว่าเดินเป็นไหนๆ ต้องหัดคิดอย่างนั้นกันเสียบ้าง ในระหว่างที่มาชิมไอ้ความเป็นอยู่อย่างนี้ ที่เรียกว่าพักแรม ที่อยู่ที่อาศัย การกิน การเครื่องใช้ไม้สอย แล้วก็จะเข้าใจพระพุทธเจ้า ชีวิตการเป็นอยู่แบบพระพุทธเจ้า เราเข้าใจไม่ได้ เว้นไว้แต่เราจะลองเป็นดู ลองดู ฉันข้าวหรือกับข้าวที่เรียก อย่างสมัยนี้เขาเรียกว่าเลวที่สุด ฉันด้วยมือนี่ ในบาตรนิดๆ(นาทีที่ 17.10) มันเป็นอยู่อย่างวันหนึ่งๆ อยู่กุฏิพื้นดิน ปูผ้านอน มีอาสนะเลวๆ น้อยๆ เสื่อหญ้า ถ้าไปเทียบกับอยู่ที่บ้านเรือนที่สบาย หรือหอพักนักเรียนที่ชั้นดี นี่มันผิดกันเป็นสวรรค์กับนรกแล้ว ต้องลองดู ที่ฐานะจะเป็นอยู่คล้ายครั้งพุทธกาลที่สุด และชั่วไม่กี่วันไม่ถึงกับตายนะ ไม่ถึงกับเจ็บไข้ เมื่อพวกธรรมทูต เจอกับพระธรรมทูตที่จะไปต่างประเทศ เขาเสร็จการอบรมที่กรุงเทพ ที่มหาวิทยาลัยพระสงฆ์ กับการอบรมที่วัดบวรฯ แล้วก็ส่งมาที่นี่ มารับการอบรมแบบที่นี่ ก็ยังนอนกันกลางสนามหญ้าที่ค่ายลูกเสือนั้น กลางสนามหญ้านะ เสร็จหมดทุกอย่าง ฉันที่นั่น นอนที่นั่น นอนกลางหาวนะ นี่ไม่ถึงอย่างนั้น นี่ยังให้พักอยู่ในวัด หลังคามี (นาทีที่ 18.40) เอาละ เป็นอันว่า เราทำความเข้าใจเรื่องระหว่างที่จะพักอยู่ที่นี่สองสามอาทิตย์นี้ จะทำอย่างไรให้ได้ประโยชน์มากที่สุด แล้วก็คุ้ม คุ้ม ก็ได้เป็นปีๆ จะได้หลักเกณฑ์ที่จะช่วยให้ตัดสินอะไรให้พอดี ถูกต้อง คุ้มกันเป็นปีๆ นี่คือข้อปรารภในวันแรก เป็นอันว่า ไปพักผ่อนหายง่วงนอน โดยศึกษาสถานที่ ให้คุ้นเคยกับสถานที่ แล้วพรุ่งนี้จึงค่อยจะพูดกันถึงเรื่องวิชา ความรู้ และขอปิดประชุมเดี๋ยวนี้ที่นี่ นิมนต์ไปพักผ่อนตามที่จะหาได้
เดี๋ยวท่านโพธิ์จะพาไปที่พักกันตามมีตามได้ ควรจะมีผ้าอาสน์ผืนนะ เวลามาที่ หรือผ้าอะไรที่มารองนั่ง ไม่มีใครปูเสื่อ