แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลายอาตมาภาพขอแสดงความยินดีใน การมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้เพื่อแสวงหาความรู้ใน ทางธรรมะไปใช้ประกอบการดำเนินชีวิตและ หน้าที่การงานของตนๆ ให้มีผลดี ยิิ่งๆขึ้นไป เป็นสิ่งที่มีเหตุผลในการกระทำดังนั้นจึงขออนุโมทนา แต่ขอทำความ เข้าใจเป็นพิเศษหน่อยนึงว่า เราใช้เวลาพิเศษคือเวลาเดี๋ยวนี้ 5 น. เป็นเวลา สำหรับศึกษา ข้อนี้เป็นความลำบากให้แกผู้ที่ไม่เคยชินอยู่บ้าง แต่อยากจะขอ ร้องว่าขอให้ทำให้เป็นความเคยชิน เพราะเป็นเวลาพิเศษซ่อนเร้นอยู่ คนโดย มากใช้เป็นเวลาหาความสุขจากการนอนโดยท่ัวๆไปจนไม่รู้จักใช้ให้มันเป็น เวลาพิเศษ แล้วเดี๋ยวนี้เราจะใช้เป็นเวลาพิเศษคือสำหรับศึกษาธรรมะด้วยเหตุ ที่มีความเหมาะสมที่จะทำเช่นนั้น และเป็นเวลาที่จิตใจมีความเหมาะสมที่จะคิด จะฟังหรือจะรับสิ่งใหม่ๆโดย ธรรมชาติ เช่นดอกไม้ป่าก็จะเริ่มบาน สัตว์ เดรัจฉานก็ตื่นเต้น ไก่ก็ขันอยู่เรื่อยๆ เป็นเวลาตื่นขึ้นมา ใช้ให้เป็นเวลาที่ตื่นขึ้น มาแล้วก็จะรับประโยชน์มากกว่าที่ใช้นอนโดยไม่ได้ มีเรื่องอะไร พระพุทธเจ้าก็ ได้ตรัสรู้ในเวลาอย่างนี้ เชื่อว่าแม้แต่ศาสดาของศาสนาอื่นๆก็คงใช้เวลาอย่างนี้ ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นเราจึงใช้มันให้เป็นประโยชน์ มันก็เหมือนกับว่าเพิ่มเวลา ให้แก่ชีวิตมากขึ้นอย่างน้อยชั่วโมง2ชั่วโมงตาม ที่เราได้ใช้ให้เป็นพิเศษขึ้นมา นี่นับว่าเป็นผลดี ว่าใช้ในเรื่องสูงสุดคือศึกษาธรรมะในระดับสูงสุดที่ดับทุกข์ ใน ชั้นที่ละเอียดประณีตหรือสูงสุดอีกเหมือนกัน จึงขอให้สำเร็จประโยชน์ โดยฝึกให้ เป็นนิสัยๆ แม้ว่าไม่ได้มาที่นี่ จะอยู่ที่บ้านตามปกติก็ใช้มันให้เป็นประโยชน์มาก กว่าธรรมดาโดยเฉพาะเพื่อ กำหนดศึกษาคิดนึกใคร่ครวญสอบสวนทบทวน สุดแล้วแต่จะทำได้ ก็จะได้รับประโยชน์เป็นพิเศษเคยทำเคยชินเป็นนิสัย ก็เป็น การเพิ่มเวลาให้แก่อายุ พอจะเรียกได้ว่าเป็นนาทีทองของอายุด้วยเหมือนกัน และในรอบวันนึงเรามีสักชั่วโมง2ชั่วโมงมันก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เรื่องทำให้ใกล้ ต่อพระนิพพานยิ่งขึ้นโดยเร็ว โดยในข้อแรกนี่จะพูดกันถึงคำว่าธรรมะและ เพราะ ว่ายังเป็นที่เข้าใจกันอยู่ต่างๆนานาหรือเข้าใจผิดๆอยู่ก็มีทำความ เข้าใจคำว่า ธรรมะกันเสียก่อน จะเป็นการง่ายในการที่จะศุกษาให้ละเอียดต่อไป ธรรมะ ธรรมะ ฮึ ฮึ ไม่ใช่เป็นของใคร แต่เป็นของตัวธรรมะเอง เช่นจะพูดหรือเข้าใจว่า ธรรมะของอาจารย์คนนั้นคนนี้ ธรรมะของสำนักปฎิบัติสำนักนั้นสำนักนี้นั้นมัน พูดอย่างผิวเผินและเป็นภายนอก คือสังเกตเห็นด้วยตาด้วยความรุ้สึกเท่าที่ตาหู ธรรมดาจะมองเห็น แต่ที่แท้นั้นธรรมะเป็นของธรรมะ ธรรมะในที่นี้หมายถึงอะไร หมายถึงธรรมชาติหรือสิ่งที่เป็นอยู่เองเกิดอยู่เองหรือเป็นไปเอง ในส่วนที่เป็นไป ส่วนที่ไม่เป็นไปไม่ปรุงแต่งก็เป็นอยู่เองก็หยุดอยู่เองนี่เรียกว่าธรรมะอันเป็นของ ธรรมชาติ แล้วมันก็น่าหัวด้วยข้อที่ว่าแม้ตัวท่านหรือตัวใครแต่ละคนๆมันก็เป็น ธรรมะอยู่แล้ว เป็นธรรมาสอย่างหนึ่งหรือส่วนหนึ่งอยู่แล้วตามธรรมชาติ เรามา ดูในข้อนี้กันก่อน ธรรมะคำนี้มันหมายถึงอะไร เพื่อเข้าใจง่ายจะแบ่งธรรมะออก เป็น 4 ความหมาย ธรรมะคือตัวธรรมชาติ ตัวธรรมชาติคือเป็นไปเองได้แก่ธาตุ ชาตุ ธาตุตามธรรมชาติ มันเป็นไปเองตามกฏของธรรมชาติ กฏของธรรมชาติ มันมีอยู่ว่าไม่มีอยู่มีการปรุงแต่ง อวิชชาให้เกิดสังขาร สังขารให้เกิดวิญญาณ วิญญาณให้เกิดนามรูปไรก็ตาม มันไม่ยอมให้หยุดมันเกิดปรุงแต่งเรื่อย ธรรมชาติมันกว้างใหญ่มันจึงมีการปรุงแต่งให้เกิดระบบจักรวาลเช่นสุริย จักรวาลเป็นต้นมากมายหลายระบบ มีดวงอาทิตย์เป็นตัวประธานของระบบ หนึ่งๆ และก็มีการปรุงแต่งอยู่เรื่อย คือเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยแม้แต่ดวงอาทิตย์ เองสักวันหนึ่งมันก็จะสิ้นไป เหมือนกันหน่ะ มันก็ออกมาเป็นดวงดาวทั้งหลาย เป็นดวงจันทร์ เป็นโลก เป็นดวงจันทร์เป็นอะไรต่างๆ และในนั้นมันก็มีการ เปลี่ยนแปลงๆ ในโลกก็มีคนมีสัตว์มีต้นไม้มีแผ่นดินเป็นที่ตั้งที่อาศัย อาศัยกัน และกัน แล้วก็เป็นอยู่แล้วก็เป็นไปที่เรียกว่าธรรมชาติ ร่างกายเราก็เป็น ธรรมชาติมีลักษณะอย่างนั้น แม้ตัวจิตก็เป็นธรรมชาติแบบจิตและกายก็เป็น ธรรมชาติแบบกาย แม้จะรวมกันทั้งกายและทั้งจิตมันก็ยังคงเป็นธรรมชาติ มีกฏเกณฑ์ของมันเป็นไปตามกฏของธรรมชาตินี่คือตัวเรา ดูในภายในตัวเราจะ เข้าใจได้ดีว่ามีธรรมชาติอย่างไร นับตั้งแต่ว่าปรมาณูหนึ่งๆประกอบกันเข้า
เป็นกลุ่มแห่งปรมาณูเป็นส่วนแห่งอวัยวะร่างกายประกอบกันเป็นชีวิตหนึ่งๆ มันก็ยังคงเป็นเรื่องของธรรมชาติ เมื่อสิ่งเหล่านี้มาศึกษาธรรมะ มันก็ศึกษา ตัวเองนั่นแหละ ธรรมะ ศึกษาตัวธรรมะเอง ธรรมะเป็นของธรรมะเอง อย่าเห็น เป็นว่าเป็นของแปลก อาจารย์คนไหนหรือสำนักไหนมันจะเฉไฉความเข้าใจ จะเฉไฉไปซะเอง นี่เหตุว่าความหมายที่1ธรรมชาติ ธรรมะคือธรรมชาติหน่ะ ความหมายที่ 2 คือกฏของธรรมชาติ ในธรรมชาติทั้งหลายมีสิ่งที่เรียกว่ากฏ กำกับอยู่ สำหรับควบคุมให้มันเป็นไปตามกฏนั้นๆ นั่นเป็นส่วนกฏเขาเรียกว่า ธรรมชาติ ในส่วนที่เป็นกฏนี่เป็นความหมายที่2 ไม่มีอะไรที่ไม่มีกฏของ ธรรมชาติควบคุมอยู่ นับตั้งแต่ว่าปรมาณูหนึ่งๆขึ้นมาเป็นสิ่งต่างๆ ขึ้นมาเป็น ระบบจักรวาล กี่จักรวาลก็ตามใจก็มีกฏควบคุมอยู่ นี่ก็คือธรรมะในส่วนที่เป็น กฏอย่างที่ไม่มีส่วนที่จะหลีกเลี่ยงได้ ครั้นมีกฏอย่างนี้แล้ว มันก็มีความหมาย ที่3 ถึงหน้าที่ตามกฏ โดยเฉพาะสิ่งที่มีชีวิตจะต้องมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ ถูกตามกฏ มิฉะนั้นมันจะต้องตายเสียซะตั้งแต่ว่ากระสับกระส่ายทนทรมาน จนกว่าจะตาย ถ้ามันไม่เป็นไปถูกต้องตามกฏ หรือแม้เป็นไปตามกฏมันยัง ต้องมีตายตามกฏอยู่นั่นแหละ เป็นสิ่งที่มีอำนาจเฉียบขาดเรียกว่าเป็นกฏของ ธรรมชาติ เราเรียกว่าเป็นกฏของธรรมชาติ พวกอื่นอาจจะเรียกว่าพระเป็นเจ้า หรืออะไรทำนองนั้นก็ได้ ตามใจเขาเถิดไม่ต้องเถียงกันในข้อนี้ แต่ว่ามีสิ่งหนึ่ง ซึ่งบังคับสิ่งทั้งปวงอยู่โดยเฉียบขาดที่เรียกว่ากฏของธรรมชาติ แล้วมันก็มี หน้าที่ที่จะสนองต่อกฏเกณฑ์อันนั้นหรือความหมายของกฏเกณฑ์อันนั้น
และความหมายของกฏเกณฑ์อันนั้นคือปฏิบัติอย่างนั้นๆ แล้วก็ได้ผลตามที่ ต้องการหรือจะปฎิบัติอย่างตรงกันข้ามก็ได้แล้วมันก็เกิดผล ที่ไม่ต้องการแล้ว แต่จะเลือกเอา นี่เรียกว่าหน้าที่ตามธรรมชาติ ในที่สุดมันก็มีผลเกิดขึ้นจาก หน้าที่ ทำหน้าที่อย่างไร ผลก็เกิดขึ้นจะถูกหรือจะผิดจะเรียกว่าดีหรือชั่ว จะสุข หรือจะทุกข์ก็เรียกว่าผลจากหน้าที่ มันมีสี่ความหมายอย่างนี้ ท่านต้องรู้จักให้ดี โดยไม่ต้องมีอะไรขัดแย้งกัน ตัวธรรมชาติๆทั้งหลาย เป็นสิ่งที่เราต้องรู้จักๆๆ นั่นมันจะดี ก็จะเกี่ยวข้องกันถูกต้อง หรือตัวกฏของธรรมชาติเป็นสิ่งทีจะต้อง เชื่อฟังๆๆ เพื่อการปฏิบัติให้ถูกต้อง แล้วความหมายที่สามคือหน้าที่ หน้าที่จะ ต้องทำให้ถูกต้อง ให้สมบูรณให้ได้รับผลตามที่ประสงค์นี่ก็เป็นหน้าที่ๆ เป็น สิ่งที่ต้องระวังสังวรณ์ปฎิบัติๆๆ งานสุดท้าย ผลจากหน้าที่ เป็นสิ่งที่จะต้อง เข้าใจให้ถูกต้องและเลือกกระทำไปในทางที่ถูกต้องหรือควรจะมี หรือก็ได้ รับผลดีตามที่ควรปรารถนา ถ้าไม่รู้เรื่องนี้ อาจจะไปเลือกเอาผิดๆ กลับกัน เสียเห็นกงจักรเป็นดอกบัว แล้วมันก็จะลำบาก ธรรมชาติมีสี่ความหมายคือ ตัวธรรมชาตินี่ต้องรูจัก ตัวกฏของธรรมชาตินี่ต้องเชื่อฟัง ส่วนหน้าที่ของ ตัวธรรมชาตินั้นจะต้องปฏิบัติให้ดีที่สุด ผลจากหน้าที่ต้องรู้จักเลือกรู้จักจัด ให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามที่ควรจะมี งั้นก็หมดปัญหา ที่นี้บางคนอาจจะแหม มากมายอย่างนี้จะทำยังไงกัน เมื่อกล่าวให้หมดมันก็เป็นอย่างนี้ เรียกว่าเราดู ให้มันหมด ดูให้ทั่ว เหมือนกับขึ้นยอดภูเขาสูงๆ แล้วดูลงมาโดยรอบด้านมัน ก็เห็นทั่ว ไม่เฉพาะเจาะจงที่ไหนเห็นกันทั่วๆอย่างนี้ จึงได้มีความรู้ที่เลือกจะ ไปทำอะไรที่ตรงไหนดี จะไปหาอะไรทำที่ตรงไหน ให้มันง่ายเข้า ดังนั้นเราจะ รู้จักสิ่งที่แวดล้อมโดยรอบ ที่เรียกกันว่าแบ็กกราวน์นี่ให้เพียงพอ เราก็จะรู้จัก สิ่งนั้นดีที่จะทำสิ่งนั้นได้ถูกต้องโดยง่าย ได้รับผลสมตามปรารถนาทันแก่เวลาที่ มันมีอยู่น้อยชั่วอายุคนนึงๆ ไม่ใช่มากมายอะไร ถ้าทำผิดพลาด มันก็ไม่ทัน แก่อายุ ก็เมื่อรู้จักและทำให้ถูกต้องโดยทุกๆประการ มันจึงจะทันกะสิ่งที่เรียกว่า อายุๆ หรือเวลาที่มันล่วงไป ที่นี้จะดูถึงที่ว่าธรรมะๆที่แท้มันเพื่อประโยชน์อะไร โดยวงกว้าง อาตมาเห็นว่าอย่างน้อยควรจะมองกันในสามสถาน คือธรรมะ สำหรับบุคคลในส่วนบุคคลแต่ละคนโดยเฉพาะ นี้มันจะต้องเป็นไปเพื่อพระ นิพพานหรือสิ่งสุดที่มนุษย์จะได้รับ ไม่เสียชาติที่เกิดมา สิ่งสูงสุดสำหรับบุคคลๆ แต่ละบุคคลนั้นมันก็คือพระนิพพาน ในความหมายใดความหมายหนึ่งระดับใด ระดับหนึ่งก็ได้ แต่รวมกันแล้วก็เรียกว่าเย็น ปราศจากปัญหา มีเสรีภาพจาก ความทุกข์ ไม่มีความทุกข์เหลืออยู่ นี่ส่วนบุคคลควรจะได้พระนิพพาน ทีนี้ส่วน รวมเป็นสังคมก็ควรจะได้สันติภาพ เพราะคนมันมากมันยากหน่อย เพราะคน มันจะนิพพานก็ทุกคนมันทำไม่ได้ เอาเพียงว่าอยู่กันอย่างสันติภาพๆอยู่กัน อย่างสงบสุขสงบเย็นเป็นสันติภาพ ส่วนบุคคลก็เป็นสันติภาพ ทีนี้ส่วนปลีกย่อย ในชีวิตประจำวัน ก็คือความรู้ที่จะดำรงชีวิตให้เป็นไปอย่างราบรื่นสงบเย็น มันเป็นความรู้สำหรับดำรงชีวิตให้อยู่ในโลกนี้อย่างถูกต้อง นี่มันก็จะหมดไม่มี อะไรเหลือ ถ้าว่ากันส่วนบุคคลจนถึงที่สุดก็ต้องถึงนิพพาน ถ้าว่าโดยสังคม สังคมหรือโลกนีี้มันก็ต้องได้สันติภาพ ทีนี้ส่วนปลีกย่อยที่สุดของแต่ละคนหรือ โลกก็ตาม ก็จะต้องมีความรู้หรือการกระทำที่ถูกต้องๆ ไปทุกกระเบียดนิ้ว ทุกปรมาณู ให้มันถูกต้อง อย่าให้มันเกิดความทุกข์ขึ้นมาได้ นี่สามประการนี้มัน หมดแล้วๆ มันไม่มากไปจากไอ้สามอย่างนี้ ก็มีแต่ว่าจะได้หรือไม่ได้ จะทำได้ หรือไม่ได้ คือจะถึงหรือไม่ถึงเท่านั้นเอง ถ้าจะกล่าวโดยทั่วๆไปที่เป็นปัญหา เฉพาะหน้า อย่างทำให้ถูกต้องสำหรับมี่เป็นอยู่ในโลกนี้อย่างสงบเย็นนั้น มันก็ต้องเป็นไปอย่างถูกต้องแก่วัย ที่เรียกกันว่า ปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย เราจะมองดูกันทางอื่นหรือจะใช้คำที่เกียวกับเวลาโดยเฉพาะ ฉะนั้นคือว่าเกิดมา ก็หมายถึงวัยที่จะต้องเรียนที่จะต้องได้รับการอบรม ตั้งแต่ทารก จนถึงเด็กโต วัยรุ่น หน่มสาวนี่มันเป็นวัยเรียน ต้องผ่านไปด้วยดี แล้วก็ถึงวัยสมรสก็ต้องผ่าน ไปด้วยดี ทีนี้ถึงวัยการงานอย่าสูงสุดเต็มที่ก้ต้องผ่านไปด้วยดี ที่นี้ก็ถึงวัยสงบ เย็นก็ต้องได้นับอย่างถูกต้องและเพียงพอ วัยเด็กก็ต้องผ่านไปด้วยดีเหมือน สอบไล่ได้ วัยสมรสก็ต้องผ่านไปด้วยดีเหมือนสอบไล่ได้ ในการงานปฏิบัติ หน้าที่การงานในสูงสุดของมนุษย์ก็ต้องผ่านไปเหมือนกับว่ามัน สอบไล่ได้ ใน ที่สุดก็ถึงบั้นปลายแห่งชีวิตคือวัยแห่งความสงบเย็น ก็ต้องผ่านไปอย่างกับว่า สอบไล่ได้ พูดถึงวัยเรียนคือวัยเด็ก เด็กเล็กก็ต้องได้รับการอบรมอย่างดีมา ตั้งแต่มีความเป็นทารก บ้านเรือนวงศ์สกุลไหนมีวัฒนธรรมประจำบ้านเรือนดี เด็กทารกออกมาจากท้องมารดาได้มารับการแวดล้อมอย่างดี มันก็ดี เริ่มดี หมด แต่เดี๋ยวนี้มันยากมันเป็นไปไม่ได้เพราะพ่อแม่ของมันก็ยังไม่รู้ มันก็ได้รับ การแวดล้อมไปด้วยการมีตัวตนเห็นแก่ตัวตน หรือปล่อยไปตามอารมณ์ ไม่ได้ รับการแวดล้อมไปในทางถูกต้องตั้งแต่เป็นทารก แล้วก็ไม่เคยคิดไปด้วยซ้ำว่า เราจะต้องมีบทเรียนให้ลูกทารกนั้นมีมาแต่แรก เริ่มเดิมทีมีชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง เขาเขียนหนังสือเล่มหนึ่งว่ากว่าจะถึงชั้นอนุบาลนั่นมันก็สายเสียแล้ว คือเหมือน ว่าแก่เกินที่จะอบรมไปในทางที่ต้องการเสียแล้ว เพราะกว่าจะถึงชั้นอนุบาลก็ คิดดูเถอะ ชั้นอนุบาลมันก็สามขวบห้าขวบ มันก็มีอะไรอัดเข้าไปเนี่ยมากในจิต ในสันดาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือความเห็นแก่ตัว ที่เด็กโตขึ้นมาก็ต้องได้รับ การปรับปรุงให้เหมาะสม เป็นเด็กโตขึ้นมาเป็นเด็กวัยรุ่นก็ต้องมีเฉพาะ เพราะ มันเป็นวัยที่มีกำลังแรงรุนแรง เริ่มรุนแรง ทีนี้ก็มาถึงวัยหนุ่มสาวก็ถึงจะมีความ รุนแรงถึงที่สุด ยิ่งเรียกว่าเรียนดีของวัยดีก็หมายความว่า มันต้องดีทั้งเด็ก ทารก เด็กเล็ก เด็กโต เด็กวัยรุ่น กระทั่งเป็นหนุ่มสาว คติอินเดียโบราณเขา เรียกว่าวัยพรหมจารีย์ คือวัยสำหรับการฝึกฝนๆๆทุกอย่างทุกประการโดยรอบ ด้านให้มันดีที่สุด ถ้าผ่านวัยเรียนมาแล้วมันก็มาถึงวัยสมรส นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้อง ทำความเข้าใจ การสมรสไม่ได้รับคำอธิบายที่ถูกต้อง ปล่อยให้เข้าใจเอาเอง รู้สึกเอาเองตามความรู้สึกของสัญชาตญาณ มันก็กลายเป็นเรื่องกามารมย์ ซะหมด เรื่องสมรสกับเรื่องกามารมย์นี่ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน สมรสเพื่อกามารมย์ ก็ได้ สมรสเพื่อการสีบพันธ์ุอย่าให้สูญพันธ์ุก็ได้แต่มิใช่กามารมย์ เดี๋ยวนี้คนไม่ มองการสมรสในแง่ของการรักษามนุษยชาติให้สืบพันธ์ุไว้ มันมองในแง่ของ กามารมย์ เพราะธรรมชาติมันฉลาดกว่า มันเลยปะหน้าไว้ว่าด้วยกามารมย์ไว้ หลอกคนโง่ๆนั้นล่ะ ให้เกี่ยวข้องกับกามารมย์ให้ได้เกิดการสึบพันธ์ุ เพราะการ สืบพันธุ์เป็นสิ่งที่ยุ่งยากลำบาก มันไม่อยากจะสีบพันธุ์นะแต่มันถูกหลอกถูกให้ กินเหยื่อ คือกามารมย์มาปะไว้ข้างหน้า มันไปเกี่ยวข้องกับกามารมย์ก็เกิดการ สืบพันธ์ุขึ้นมา ถ้ามันมีแต่เรื่องกามารมย์นั้นก็เป็นเรื่องที่น่าสงสาร มันเกิดมา เป็นทาสของอายาตนะ เกิดมาเป็นทาสของกิเลส มันจะวิเศษที่ตรงไหน ทีนี้ก็ ต้องความมุ่งหมายของธรรมชาตินี้มันอยู่ลึก ลึกเหนือเมฆ ต้องการไม่ให้มนุษย์ สูญพันธ์ุ จึงให้มีการสืบพันธ์ุ แต่ถ้ามันไม่น่าทำไม่น่าปรารถนามันก็ใช้เหยื่อล่อ คือสิ่งที่เรียกว่ากามารมย์ จึงมีสิ่งที่เรียกว่าการสมรสเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่กระทำกัน เป็นแก่นเป็นหลัก เป็นฐาน ให้มันมีความถูกต้อง เพื่อให้มนุษย์ไม่สูญพันธ์ุ ทีนี้ การสมรสนี่มันก็เป็นคู่ผัวตัวเมีย เป็นคู่ครองแก่กันและกัน เพื่อความสมบูรณ์ แห่งกำลัง ถ้าไม่ประกอบกันเป็นคู่ผัวตัวเมีย การทำหน้าที่มันไม่สูงสุด ถ้าคู่สามี ภรรยาสมัครสมานสามัคคีกันถึงที่สุดก็ทำหน้าที่เพื่อสังคมเพื่อประเทศชาติสูง สุด ถ้าปล่อยไปตามยถากรรมมันไม่เป็นคู่ๆมันก็เลอะเทอะหมด ไม่มีการกระทำ ที่จะให้สมบูรณ์ เป็นปึกแผ่น เป็นกำลัง ของประเทศชาติประเทศหนึ่งๆนี่ถ้าคู่ สมรสหรือคู่สามีภรรยาไม่ทำหน้าที่ของตน มัวแต่เล่นชู้สู่สาวกันซะอย่างนี้ มันก็เหลวแหลกหมด คัมภีร์บางศาสนายกเอาเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด บัญญัติไว้ละเอียดเคร่งครัดมากทีเดียวให้เคารพบูชาการผูกพันธ์กันเป็นสามี ภรรยาคล้ายกับว่าหย่ากันไม่ได้ นี่เรียกว่าการสมรสมันมีความหมายลึกซึ้ง ไม่ใช่เพื่อบุคคลหาความเพลิดเพลิน แต่ว่าเพื่อความมั่นคงแห่งครอบครัว มั่นคงแห่งประเทศชาติ และก็ไม่สูญพันธ์ุแห่งความเป็นมนุษย์ ทีนี้ดูอีกทีนึง ก็ว่าลูกหลานนั่นมันมีหน้าที่เดินสืบต่อจากที่บรรพบุรุษเดินมาแล้ว บรรพบุรุษ เดินทางยังไม่ถึงที่สุด คือยังไม่ถึงนิพพานว่ายังงั้นแหละ ลูกหลานน่ะมันจะต้องมี ต้องมีเพื่อที่มันจะเดินต่อๆๆศึกษาปฏิบัติสืบต่อไปกันไปจนให้ถึงนิพพาน ดังนั้น จึงต้องมีผู้สืบพันธ์ุ การสมรสทำให้เกิดมีผู้สืบพันธ์ุเดินต่อๆไปจนกว่าจะถึง นิพพาน แต่คนมันไม่ถือหลักการอันนี้ มันก็ไม่ถึงจุดหมายปลายทางของ นิพพาน มันมีแต่นิพพานน้อยๆ นิพพานชั่วคราว นิพพานตัวอย่างกันอยู่อย่างนี้ มันไม่พอ จึงขอให้ตั้งใจว่าการสมรสนั้นมันทำให้เกิดมีผู้เดินทางต่อจาก บรรพบุรุษ หรือว่าจะเอากันง่ายๆกันที่ตรงนี้เพื่อว่าให้การดำเนินชีวิตหรือหน้าที่ ของชีวิตเพื่อความเป็นมนุษย์นั้นมันง่ายเท่าครึ่งนึง เพราะว่ามันช่วยกันทำ สองคน มันช่วยกันทำสองคน มันแบ่งงานกันทำ มันก็มีความง่ายถึงครึ่งหนึ่ง ง่ายกว่าที่จะทำเพียงคนเดียว การสมรสมันก็มีความหมายอยู่มาก จึงเป็นวัย ที่จะทำให้ถูกต้องๆๆด้วยการปฏิบัติธรรมะสำหรับวัยสมรสนี่อย่างถูกต้องและ สมบูรณ์ ก็ว่าถูกต้องนี้ไม่พอมันต้องครบถ้วนและสมบูรณ์จึงจะพอ เราจะใช้คำ ว่าถูกต้องและสมบูรณ์ในทุกกรณีไป เพียงถูกต้องอย่างเดียวมันยังไม่พอก็ใช้ ไม่ได้ มันก็ต้องถูกต้องอย่างที่สมบูรณ์อย่างครบถ้วน ทีนี้ธรรมะช่วยให้เป็น อย่างนี้ ธรรมะช่วยชีวิตของบุคคลในวัยสมรสให้เป็นไปอย่างถูกต้องและ สมบูรณ์ ทีนี้พอมาถึงวัยการทำงานมีการสมรสแล้วสิ่งที่ตามมาคือการงาน การงานมองดูให้ดี มันมีความหมายทางลบก็มี ในทางเหน็ดเหนื่อยลำบาก ยุ่งยากไม่น่าปรารถนา ความหมายในทางบวกก็คือในชีวิตมันเป็นประโยชน์ ในชีวิตมันทั้งหลายทั้งปวงนี้ (0:32:00)มันเป็นประโยชน์ วัยการงานจึงเป็นวัย ที่แสดงความสามารถที่ชีวิตจะแสดงความสามารถให้ถึงที่สุดทั้งเพศหญิงและ เพศชายทำสิ่งทีี่ควรทำขึ้นมาในโลกให้เต็ม มันก็เหมือนกับช่วยกันสร้างโลก หรือว่าให้ผู้นั้นน่ะมันจะได้ถึงที่สุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์ มันต้องทำหน้าที่ การงาน จะต้องผ่านบทเรียนนี้ไปคือหน้าที่การงานของมนุษย์เป็นไปอย่างถูก ต้องและถึงที่สุด แล้วเขาก็ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับโดยง่าย ถ้าไม่ผ่านการงานมันกลายเป็นคนโง่ ถ้าผ่านการงานทุกชนิดไปได้มันกลาย เป็นคนฉลาด ในที่สุดมันก็ได้รับสิ่งที่สูงสุดหรือดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับด้วย การทำการงานนั้นเอง แม้ว่าจะมองกันอย่างผิวเผินไอ้การงานนั้นมันก็ช่วยให้ สร้างหลักทรัพย์ สร้างหลักทรัพย์ขึ้นไว้สำหรับจะอยู่ผาสุกสะดวกสบายในยาม ชรา อย่างนี้นะมันเป็นธรรมดา มันอาจธรรมดามากแต่มันก็มี แต่มันก็ยังมี อะไรดีที่มันมากกว่านั้นที่จะทำหน้าทีการงาน การงานเป็นการศึกษาอยู่ทุก กระเบียดนิ้ว แต่คนโง่ศึกษาไม่ได้ ศึกษาไม่เป็น ฉะนั้นการงานคือการสอนคือ การเรียนอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว ลองทำงานอะไรดีถูกต้องแล้วมันฉลาดเหลือ ประมาณจนถึงที่สูงสุด มันก็สามารถที่จะทำได้ นี่เราจึงมีชีวิตแห่งการงานเป็น ระยะเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตๆนึงๆ ให้ดูอีกทางนึงว่าเป็นวัยที่หนักอึ้งๆ เหมือนกับวัวลากแอก วัวลากแอกที่มันหนักอึ้ง มันก็ไม่เป็นไร เมื่อผ่านไปได้ มันก็พ้นไอ้ความหนัก มันก็เกิดความเบา เพราะว่าการงานมันสอนให้ฉลาดอยู่ ทุกๆกระเบียดนิ้ว ลองทำงานอะไรดีถูกต้องดูดิมันฉลาดเหลือประมาณ มันถึง ที่สูงสุดมันก็สามารถที่จะทำได้ นี่เราจึงมีชีวิตแห่งการงานเป็นระยะเวลาที่ สำคัญที่สุดในชีวิตนึงๆ ให้ดูอีกทางหนึ่งว่าเป็นวัยที่หนักอึ้งๆเหมือนกับวัวลาก แอกวัวควายลากแอกมันหนักอึ้ง มันก็ไม่เป็นไรเมื่อผ่านไปได้ มันก็พ้นใน ความหนักมันก็เกิดความเบาเพราะว่าการงานมันสอนให้ฉลาดอยู่ทุกๆ กระเบียดนิ้ว ฉะนั้นจงสมัครใจยินดีพอใจที่จะทำการงานที่เหมาะสมแก่สถานะ หรือสภาวะของตนๆ ถ้ามันเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตนี้มีค่า ท่านจะสมัครทำการงาน อะไรก็ได้เพื่อประโยชน์ตนก็ได้เพื่อประโยชน์ผู้อื่น ก็ได้เพื่อโลกทั้งโลกก็ได้ มันเป็นการงานอยู่หลายๆรูปแบบแต่ขอให้มีเป็นการ งานที่เป็นจริงเป็นจัง นี้เรียกว่าวัยการงานมันผ่านไปด้วยดี ตนเองช่วยตนเองได้แล้วก็สามารถช่วย ผู้อื่นให้ได้ด้วย มันก็เรียกกว่าพอ ทีนี้ก็มาถึงวัยสุดท้ายแห่งชีวิตซึ่งจะเรียกว่า วัยสงบเย็นๆ ถ้าประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตระยะสุดท้ายของชีวิตจะ ต้องพบกับความ ร่มเย็น ไอ้ความร่มเย็นในที่นี้มันมีความหมายพิเศษ ความร่มเย็นก็หมายความว่าไม่มีความทุกข์ไม่มีปัญหา เราได้ศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติหน้าที่จนรู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงดีจนเกิดเห็นความเกิดแก่ เจ็บตายแลเป็นของเช่นนั้นเอง ความเกิดแก่เจ็บตายไม่เป็นปัญหา ไม่เป็นเรื่อง ทรมาน ไม่เป็นเรื่องที่น่ากลัวหวาดเสียวแต่เป็นเรื่องที่หัวเราะเยาะได้ เพราะว่า เราได้ทำสิ่งที่ทำให้มันไม่มีปัญหา เรื่องนี้มีความน่าหัวอยู่อย่างหนึ่งที่ว่าเรายัง ไม่ถึงจุดปลายทางของสิ่งนี้ มันรู้แต่เพียงว่าเกิดแก่เจ็บตายๆหลีกไปไม่ได้เรา ต้องเป็นไปตามกรรม แล้วมันก็ทุกข์ ทุกข์ทรมานทั้งนั้นแหละ มันก็ต้องเป็นอยู่ เกิดแก่เจ็บตายเป็นไปตามกรรมล้มลุกลุกคลานไปตามกันมันก็ทุกข์ทรมาน ทั้งนั้น ไม่มีใครสนใจธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าถ้าสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ได้ อาศัยเราเป็นกัลยาณมิตรแล้ว สัตว์ที่มีการเกิดเป็นธรรมดาจะพ้นจากการเกิด สัตว์ที่มีความแก่เป็นธรรมดาจะพ้นจากความแก่ สัตว์ที่มีความเจ็บเป็นธรรมดา จะพ้นจากความเจ็บ สัตว์ที่มีความตายเป็นธรรมดาจะพ้นจากความตาย สัตว์ ทั้งหลายจะอยู่เหนือกรรมได้ชนะกรรมได้ สิ้นกรรมได้ไม่มีกรรมใหม่เกิดขึ้น กรรมเก่าก็สิ้นแล้ว ก็ไม่ต้องเป็นไปตามกรรม เรื่องนี้ไม่สนใจ เรื่องไม่มีใครเอา มาท่อง เอามาท่องครึ่งเดียวตอนต้นว่า สัตว์ทั้งหลายมีความเกิดแก่เจ็บตาย เป็นธรรมดา แล้วก็ใครก็นั่งร้องไห้โฮๆอยู่ เหมือนติดคุกติดตารางเพราะความ เกิดแก่เจ็บตายไม่หลุดพ้นไปได้ แต่ที่ดีพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าถ้าเอาให้เรา เป็นกัลยาณมิตรจะพ้นจากสิ่ง เหล่านั้นไม่เอามาท่อง ไม่เอามาสนใจ ท่านทั้ง หลายจงรู้ไว้เสียเดี๋ยวนี้เถิดว่าพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่าอย่างนั้น ถ้าอาศัย เราเป็นกัลยาณมิตรแล้วจะพ้นจากความเกิดแก่เจ็บตายหรืออิทธิพลของกรรม อยู่เหนือกรรมนู่น และจะมีปัญหาอะไร ทำไมจะมานั่งร้องไห้อยู่ กูต้องเกิดแก่ เจ็บตาย กูต้องเป็นไปตามกรรม ทีนี้วัยร่มเย็นหรือวันสุดท้ายเนี่ยมันไม่มาถึงนี่ ถ้ามันไปศึกษาอย่างดี เพราะมันไม่ปฏิบัติอย่างดีตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นกัลยาณมิตร มันจึงมีปัญหากับการเกิดแกเจ็บตายอุ้มรุมไปหมด แล้วมัน ก็ตายไปอย่างทุกข์ทรมานนี่มันไม่ได้สิ่งดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ มันควรจะชนะ ตลอดเวลาและก็ยิ้ม ยิ้มเยาะความเกิดแก่เจ็บตายและความเป็นไปตามกรรม แล้วก็ยิ้มเยาะ จิตใจหลุดพ้นอยู่เหนืออิทธิพลของสิ่งเหล่านั้นนี้จึงจะเรียกว่า เป็นวัยสงบเย็นในบั้นปลายแห่งชีวิต ชีวิตนี้ดูให้ดี ในคำโบราณคติมาแต่ โบราณในอินเดียก่อนพุทธกาลเขาก็พูดอยู่คำหนึ่งเรียกว่าสังโวหาระ สังโวหารหน่ะ สังโวหาระ ในคำนี้มันแปลว่าการค้าขาย นี่ในวินัยก็มีอยู่บทนึงน่ะ รูปิเยนะ สังโวหาระ ภิกษุทำสังโวหาระโดยรูปิยะ เป็นนิจปาติยะปาจิตตี (0:38) คนไม่ค่อยสนใจคำว่าสังโวหาระ สังโวหารน่ะมันแปลว่าค้าขายคือ ทำให้เกิดผลดีถึงที่สุด ชีวิตนี้คือสังโวหาระคือจะต้องค้าขาย แต่ค้าขายอีก แบบหนึ่งทำชีวิตให้ได้รับผลดีอีกแบบหนึ่งนี่เรียกว่าชีวิตะสังโวหาระ ทำการค้า ขายด้วยชีวิต ชีวิตนี้ดูให้ดีเถิดมันเหมือนกับธรรมชาติลงทุนให้มาให้เดิมพันมา สำหรับทำการ ค้าขาย ธรรมชาติให้มาเป็นร่างกายเป็นจิตใจเป็นชีวิตเนี่ยให้มา สำหรับไปพัฒนาไปปฏิบัติไปพัฒนาให้เกิดกำไรให้สูงสุด เรียกว่าชีวิตะ สังโวหาระ เขาก็ใช้คำนี้แหละเป็นหลัก เหมือนที่เราใช้ในปัจจุบันว่าประสบ ความสำเร็จในชีวิต คือประสบความสำเร็จในชีวิตะสังโวหาระ ขอให้นึกถึงข้อ ที่ว่าธรรมชาติให้ยืมมา ให้ปฏิบัติคือทำการค้าให้เกิดกำไรสูงสุดก็ต้องคืนเจ้า ของ แต่มนุษย์คนธรรมดานี่มันโง่ มันว่าตัวกู มันว่าของกู มันไม่ว่าของ ธรรมชาติให้ยืมมา มันว่าตัวกู มันว่าของกู มันก็คือคนคดโกงคนตระบัดคน ฉ้อฉลต่อธรรมชาติ มันก็ได้รับความทุกข์ทรมานเพราะมีตัวกูของกูสมน้ำหน้า มันเลยไอ้คนขี้โกงนั่น มันเอาของธรรมชาติมาเป็นตัวกู มาเป็นของกู คุณ สังเกตข้อนี้เถิดว่ามีความรู้สึกตัวกูของกูเมื่อไหร่ที่ไหนมีความทุกข์ ที่นั่นแหละ เมื่อนั้นแหละ ธรรมชาติให้ยืมมาไม่คิดค่าดอกเบี้ย ไม่คิดค่าสึกหรอ ให้ยืมมันก็ ไปพัฒนาให้เกิดผลตามที่ต้องการและคืน หมายความว่าความตายแล้วมันก็คืน ของที่ยืมมาจากธรรมชาติ เอาไปเป็นธรรมชาติตามเดิม ให้รายอื่นเขายืมต่อไป นี่ถ้าใครทำได้อย่างนี้มันก็ไม่มีความทุกข์หรอก เพราะมันมาพัฒนาให้เกิดกำไร สูงสุด เป็นการค้าด้วยชีวิตที่สูงสุด เรื่องมีอยู่ในพระบาลีว่า คหบดีคนหนึ่ง พวก เศรษฐีคหบดีคนหนึ่ง เขาประสบความสำเร็จในการพัฒนาชีวิต หรือชีวิตะ สังโวหาระนี่ มีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลมีหลักทรัพย์ มีบุตรภรรยาสามี มีลูกหลาน มีบริวารครบครันครบถ้วนไปหมด เขาก็ถือว่าสำเร็จการพัฒนาหรือ ในการค้าชีวิตแล้ว ก็มีธรรมเนียมพักผ่อน นุ่งผ้าขาวใส่เสื้อขาวใส่รองเท้าขาว กั้นร่มขาวไปเดินเล่นอยู่ป่าละเมาะริม ลำธาร ร่มเย็นสบายไม่มีความทุกข์ร้อน อะไร เขาก็ภูมิใจว่าถึงที่สุดแห่งการค้าในชีวิตแล้ว สิ่งเหล่านี้ได้มอบให้ลูกให้ หลานให้บุตรภรรยาสามีเป็นเรื่องเป็นราวไปแล้ว เขาหมดภาระกับการทั้งปวง นี่ระเบียบประเพณีชีวิตะสังโวหาระ ทีเผอิญวันหนึ่งไอ้คนๆนี้มันได้พบกับพระ พุทธเจ้าเมื่อออกไปเดินๆตามแบบของคนสิ้นภาระแล้ว เขาก็คุยโตว่าเขาหน่ะ เหมือนกับหมดภาระของชีวิตแล้วเนี่ย ไปอวดเบ่งกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า ท่่านก็ตรัสว่านี่ถ้าไอ้ลูกหลานมันตาย เมียมันตาย หรือทรัพย์สมบัติมันวิบัตินี่ ท่านจะรู้สึกอย่างไร จะมีความทุกข์ไหม มันก็ยังเป็นที่นี้มันก็ตอบว่ามีความทุกข์ (0:45) มันต้องมีความทุกข์หรือมันก็ร้องไห้ก็ได้ ผู้สำเร็จชีวิตะสังโวหาระอย่าง ธรรมดาสามัญ พระพุทธเจ้าท่านก็โอ้ยฉันมีวิธีแบบหนึ่งว่าไม่ๆ ไม่ต้องอย่างนั้น อะไรจะเป็นอย่างไรๆ ก็ไม่มีความทุกข์เลย มีแต่ความคงที่ มีแต่ปกติๆ แม้อะไร จะตายอะไรจะเสียหายอะไรจะวิบัติซับซ้อนอย่างไรก็ไม่มีทุกข์ แล้วนายคนนี้มัน ก็ยอมแพ้ มันก็เกิดสนใจขึ้นมาว่าขอพระองค์จงแสดงวิธีสังโวหาระนั้นแก่ ข้าพเจ้า พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสหลักเกณฑ์แห่งธรรมะ หลักเกณฑ์แห่งการ ประพฤติพรหมจรรย์เพื่ออยู่เหนือความทุกข์เหนือความเกิดแก่เจ็บตาย มันจึงได้ บรรลุธรรม คนนี้จึงได้บรรลุธรรมในพระพุทธศาสนา เห็นธรรมในพระพุทธ ศาสนา ชีวิตะสังโวหาระระดับสูง ในระดับสูงที่ไม่อาจจะมีความทุกข์ไม่อาจจะ ต้องหลั่งน้ำตา ถ้าใครเกิดมาได้รับผลเห็นชีวิตะสังโวหาระทำนองนี้ คนนั้นก็ เชื่อว่่าร่มเย็น ในวัยร่มเย็นๆ มีความเยือกเย็น ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความร้อน ไม่มีปัญหา มีเสรีภาพโดยประการทั้งปวง ไม่มีอะไรมาคุกคามหรือมาครอบงำ ให้เป็นทุกข์ได้ เพราะว่ามันหยุดความต้องการทุกๆอย่างได้ ความต้องการมาก มายมหาศาลเดี๋ยวนี้หยุดได้ ไม่ได้มีความต้องการในสิ่งใด ไม่มีตัณหาอุปาทาน ในสิ่งใดทุกอย่างมันเป็นตถาตาๆแต่เขาหมด ท่านบางคนอาจจะไม่เคยได้ยิน ได้ฟังคำว่าตถาตา เป็นคำสำคัญในพระพุทธศาสนาแต่ไม่ได้เอามาพูดกัน บางทีอาจจะเพราะว่าความลึกซึ้งหรือความเข้าใจยาก มันมีอยู่ มันก็ไม่ค่อยจะ เอามาพูดกัน ตถาตานั่นมันเป็นความรู้สึกสูงสุดในอันดับสุดท้าย เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเรื่อยไปๆเป็นธัมมัตฐิถตาก็มีเป็นอย่างนั้นเอง เห็นธัมมัตนิยาม ตาว่ามันมีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ เห็นอิทัปจยตาว่ามันมีเหตุมีปัจจัยแล้ว มันก็มีเหตุไปตามปัจจัย แล้วก็เห็นสุญญตา โอ้ว่างจากตัวตนว่าไม่มีอะไรที่จะ เอามาเป็นตัวตนได้ สุญญตาว่างจากตัวตน แล้วก็เห็นตถาตา โอ้มันเช่นนี้เอง มันเช่นนี้เองๆ นี่ผู้ที่ถึงตถาตามันไม่มีความทุกข์เพราะเหตุใด ถึงตถาตาเรียก ว่าตถาคต เรียกว่าตถาคต ตถาคะตะถึงซึ่งตถา ถึงซึ่งตถาตานั้นคือเป็นพระ อรหันต์ ตถาคตนั้นมันแปลว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นอตัมยตา ไม่มีสิ่งใดมาปรุง แต่งได้ ไม่มีสิ่งใดมายึดจับได้หลุดพ้นอิสระโดยประการทั้งปวงเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าเป็นจอมพระอรหันต์ เรียกพระองค์เองว่าตถาคต หรือเราถวาย พระนามว่าตถาคตๆ เพราะถึงซึ่งตถา เรียกว่าตถาก็ได้ เรียกว่าตถาตาก็ได้ ตถตาก็ได้คำเดียวกัน ผู้ที่ถึงวัยบั้นปลายแห่งชีวิตมีความรู้เรื่องตถาถึงซึ่งตถา แล้วก็สงบเย็นๆเป็นนิพพาน เป็นนิพพานในทุกความหมาย เขาไม่ได้เข้าโลง คนนั้นมันไม่ได้เข้าโลงหรอก เข้าโลงแต่ซากศพ ซากศพนั่นมันเข้าโลงๆไป ตัวเขามันถึงตถาตา ตถาตา มีความเป็นอย่างนั้นเองตลอดเวลานี่ นี่เรียกวัยร่ม เย็นถึงที่สุดแห่งชีวิต จะถึงได้โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะคำเดียว ท่านจะพอมองเห็นได้แล้วว่าธรรมะคำเดียวแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ทุกวัย ทุก เวลา ทุกสถานที่ แล้วก็ตอบคำถามได้หมดหน่ะ เพราะมันทำให้เป็นตถาตา เป็นเช่นนั้นเองไปเสียหมด มันแก้ปัญหาได้หมด ไม่มีอะไรเหลืออยู่สำหรับจะ เป็นปัญหา แล้วก็อยู่ด้วยตถาตา ตถาตา หยุดความกระหาย ความต้องการ หยุดความยึดมั่นถือมั่นแล้วมันก็เย็น มันก็เย็นเพราะไม่มีความต้องการ เพราะ ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ถ้าวัยสุดท้ายของผู้ใดมาถึงนี่ วัยสงบเย็นของเขาก็ เรียกว่าถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง ไม่เสียชาติที่เกิดมา ไม่เสียชาติที่เกิดมา เขาไม่ได้เข้าโลง ซากศพของเขาเท่านั้นที่เอาไปใส่โลงเขาไป แต่ตัวของเขา หมายถึงจิตนี่พบกับสิ่งที่เป็นนิพพานไปแล้วตั้งแต่เข้าโลงตั้งแต่ก่อนเข้าโลง มันหมดเหตุหมดปัจจัยหมดร่างกายเป็นที่ตั้ง (0:51) มันก็ดับๆสนิทไม่มี ส่วนเหลือ ละที่เรียกว่าพระนิพพานที่ไม่มีอาสวะอะไรเหลือหน่ะไม่มีส่วนเหลือ นี่สนใจไหมว่าธรรมะๆๆเพียงคำเดียวทำให้เกิดความสำเร็จ ประสบความสำเร็จ หรือได้สิ่งที่ดีที่สุด นับตั้งแต่วัยเด็กทุกระดับ วัยเล่าเรียนทุกระดับ วัยสมรสทุก ระดับ วัยการงานหน้าที่การงานทุกระดับ แล้วก็วัยสงบเย็นทุกระดับ ได้อาศัย อำนาจของสิ่งที่เรียกว่าธรรม ธรรมคำเดียว ธรรมคำเดียวแก้ปัญหาได้หมดสิ้น ทีนี้ก็อยากจะพูดกันถึงเรื่องพระนิพพานโดยตรง เดี๋ยวนี้เรามาถึงวัยสุดท้ายที่ เรียกว่าบรรลุพระนิพพาน คำว่านิพพานๆนี่มันมีอะไร มันมีปัญหาหรือมันมี ความยุ่งยากลำบากมากมายเพราะว่าไม่รู้จักพระนิพพานโดยแท้จริง รู้จักแต่ พระนิพพานเห่อๆตามๆกันมา ไม่รู้จักพระนิพพานที่แท้จริง ไม่เข้าใจสิ่งนี้โดย แท้จริง แล้วก็ไม่อยากจะน้อยหน้าใคร ก็อยากจะมีนิพพานกับเขาด้วยเหมือน กัน มันยังมีการวิ่งตามเห่อๆกันไป ซึ่งไม่ใช่นิพพานโดยแท้จริง แล้วเขาก็คิด บางคนหรือส่วนมากคิดว่าเหลือวิสัยๆฉันไม่เอา มันก็อยากจะอยู่ในโลกนี้ อย่างนี้ก็มี แต่ก็ว่ามีบางคนที่ไม่คิดอย่างนั้น ต้องการจะไปๆมันก็มีการเห่อ เห่อตามๆกันไปไม่รู้จักว่านิพพานคืออะไร นิพพานตามธรรมเนียม นิพพาน ตามธรรมเนียมที่พูดกันตายแล้วไม่เกิด คุณฟังที่ไหนๆก็เหมือนกันแหละ ถาม ว่านิพพานคืออะไร นิพพานคือตายแล้วไม่เกิด มันจะมีความหายอะไรอ่ะ นิพพานนั่นมันคือความสงบเย็นที่นี่และเดี๋ยวนี้ เย็นเพราะไม่มีกิเลส ไม่มีความ ทุกข์ ไม่มีต้นเหตุปห่งความทุกข์หรือตัณหาหรืออุปาทาน เขาไม่รู้ เพราะนิยม ตามๆกันมาก็อยากจะไปกับเขาด้วย นึกก็หาว่าสำหรับบางคนที่ไปไม่ไหว ไม่ชอบก็จะบอกว่าเหลือวิสัยๆ ไม่มีฉันทะพอใจในการที่จะดับทุกข์ ก็ยังสนุก อยู่ด้วยความทุกข์ ในนิพพานไม่มีกามคุณ ไม่มีเต้นรำไม่มีอะไร พอเขารู้ว่า อย่างนี้เขาก็ไม่อยากไป แต่เมื่อคนอื่นเขานิยมว่าสูงสุดว่าอยากไปๆ ก็อยากไป กับเขาด้วย เนี่ยมันจึงเลยเป็นเรื่องหลอกตัวเอง เป็นเรื่องหลอกตัวเองอยู่ใน เรื่องอันเกี่ยวกับนิพพาน ฉะนั้นควรจะเข้าใจในคำว่านิพพานกันเสียใหม่ให้ เพียงพอ นิพพานๆนี่มันแปลว่าเย็น มันเป็นคำแปลกหู พออาตมาบอกว่า นิพพานแปลว่าเย็น เขาก็ด่าว่าโกหกหลอกคน นิพพานแปลว่าเย็น ที่จริง นิพพานแปลว่าเย็น เพราะเขาเอาคำว่าเย็นไปใช้เป็นชื่อของนิพพาน เมื่อมีพระ ศาสดาองค์ใดก็ตามตรัสรู้เรื่องนิพพานมันพบความเย็น เย็นทางจิต เย็นทาง วิญญาณนั่นหน่ะเย็นลึกซึ้ง แล้วไม่รู้จะเรียกว่าอะไรก็ต้องเรียกว่าเย็น ขอยืม คำว่าเย็นในโลกให้ชาวบ้านได้เย็นเพราะไม่มีไฟเผาไปใช้ เพราะว่าพระนิพพาน ไม่มีไฟคือกิเลสเผาไม่มีไฟคือความทุกข์เผาเรียกว่าเย็น สรุปความสั้นๆว่า เมื่อใดไม่มีไฟเผาเมื่อนั้นเป็นนิพพาน ไม่มีกิเลสเกิดขึ้นเผาเมื่อนั้นเป็นนิพพาน ทีนี้คนเราไม่ได้มีกิเลสเผาตลอดทุกนาทีทั้ง24ชั่วโมง มันมีเวลาที่กิเลสไม่เกิด กิเลสไม่เผาก็มีอยู่บ้างแต่ไม่สนใจ เวลานั้นมันก็มีความเย็นในความหมายของ นิพพานแต่ว่ามันน้อย มันน้อยมาก มันน้อยเพียงเป็นตัวอย่างหรือชั่วคราว พอเป็นตัวอย่าง แต่มันก็จำเป็นถ้าไม่มีชั่วคราวอย่างนี้ มันก็ตายแล้ว ถ้ากิเลส เผาทุกนาที่ทั้ง24ชั่วโมงไม่กี่วันก็ตายแน่ แต่เวลาที่กิเลสไม่เผา ไฟไม่เผาหน่ะ เวลาที่เย็นหรือว่างเองตามธรรมชาติมันมีอยู่ตามสมควร อย่างน้อยก็เวลาที่เรา ไม่สนใจอะไร หรือว่าเรานอนหลับไป กิเลสไม่เกิด กิเลสไม่เกิดด้วยเหตุใดใด มันก็มีความเย็นมากก็น้อยตามความหมายของนิพพาน แต่ไม่ใช่นิพพาน สมบูรณ์ เรามีนิพพานน้อยๆ นิพพานตัวอย่างตลอดเวลาคือเวลาที่กิเลสไม่เกิด ไม่เป็นทุกข์นี่นิพพานนี้ช่วยให้ชีวิตสดชื่นเยือกเย็นต่อไป ไม่ไหม้ไม่ร้อนหรือไม่ ตายเสีย จงมองความเย็นอย่างนี้แยกออกมาให้เป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับ ความร้อน แล้วก็ทำให้มันมากขึ้นไป นิพพานอย่างนี้เขาเรียกว่านิพพุติ นิพพุติแปลว่าเย็น คำนี้ก็แปลว่าเย็น แต่ว่ามันเย็นชั่วคราวไม่เด็ดขาดสิ้นเชิง เหมือนกับนิพพานแท้ๆหรือโดยสมบูรณ์ แต่เราก็ต้องมีนิพพุติๆเป็นเครื่อง หล่อเลี้ยงให้ชีวิตประจำวันอยู่ มิฉะนั้นมันตาย มันถูกเผาไหม้ตายด้วยไฟคือ กิเลสตัณหา เราไม่รู้เราก็ไม่สนใจและเราก็ไม่ขอบคุณ เราก็เป็นคนอกตัญญู โดยไม่รู้ตัว ไม่ขอบคุณนิพพุติ นิพพานน้อยๆ นิพพานล่วงหน้า นิพพานจำลอง นิพพานตัวอย่างนี้กันเสียเลย ถ้ารู้จักสนใจสนองคุณมันก็คือทำให้มากขึ้นๆๆ ให้มีความเย็นอกเย็นใจมากขึ้นๆไปจนกว่าจะกลายเป็นนิพพานแท้จริงโดย สมบูรณ์ ในขั้นสุดท้ายในวาระสุดท้ายก็จะมีนิพพาน อาศัยนิพพุติๆๆไปก่อนเถิด พระก็มาบอกให้ทุกคราวที่มีการให้ศีล สีเลนะ นิพพุติง ยันติ เนี่ยที่พอเขาจะให้ ศีลจบแล้วเขาก็จะบอกบทนี้ สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสสมา สีลัง วิโสธะเย ฟังกันมากี่ร้อยครั้งกี่พันครั้งแล้วมันก็ยัง ไม่รู้จักว่าอะไรได้ว่านิพพุตินั้นคืออะไร บางทีพระผู้บอกเองก็ไม่รู้จัก ก็บอกกัน อย่างนกแก้วนกขุนทอง ไม่รู้จักนิพพุติๆคือความเย็นอกเย็นใจไปพลางก่อน จนกว่าจะลุถึงพระนิพพานที่สมบูรณ์ นี่จะตั้งต้นเรื่องพระนิพพานก็ต้องรู้จัก นิพพุติในชืวิตประจำวันเนี่ยกันเสียก่อน แล้วมันก็จะใกล้เข้าไปๆทางพระนิพพาน ที่สมบูรณ์ พุทธบริษัททุกคนต้องมีนิพพานเป็นจุดจบ ถ้าไม่อย่างนั้นไม่ใช่พุทธ บริษัทที่แท้จริงหรือสมบูรณ์ ถ้าเป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้องและสมบูรณ์เขาจะต้องมี พระนิพพานเป็นจุดจบ ถ้าไม่อย่างนั้นเขาไม่มีความเป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้อง และสมบูรณ์ขอให้เข้าใจไว้ เดี๋ยวนี้นิพพานน้อยๆ นิพพานตัวอย่างชั่วคราว ก็ยังไม่รู้จัก มันยังไม่รู้จักนี่นิพพุติๆ ความเย็นอกเย็นใจในเวลาที่กิเลสไม่เกิด แล้วบางคนไปสอนว่ากิเลสเกิดตลอดเวลาเสียด้วยซ้ำไป กิเลสเกิดทุกวินาที ทั้งหลับทั้งตื่นเสียก็เรื่อยไปสอนอย่างงี้ก็มี อาตมาถือตามพระพุทธเจ้าว่ากิเลสนี่ มันเป็นสิ่งที่เกิดดับๆ มันเกิดดับๆ เวลาที่มันเกิดมันก็ร้อนเป็นไฟ เวลาที่ไม่เกิด มันก็ว่างแล้วมันเย็น เรามีนิพพานอย่างนี้กันไปพลาง แล้วก็พยายามอย่าให้ กิเลสมันเกิด (1:02:13) อย่างนี้ชนิดนี้มันก็มากขึ้นแล้วก็ยืดยาวออกไป นี่ก็ให้ถือเสียว่าถ้าไม่มีนิพพานเป็นจุดจบก็ยังไม่ใช่พุทธบริษัท จงพยายามให้มี สักนิพพาน เป็นจุดจบในชีวิต ถ้าทำได้ภายในชีวิตนี้ก็ดี ถ้าทำไม่ได้ก็ให้ลูก หลานมันต่อไป ให้มนุษย์มันมีนิพพานให้จงได้ หรือถ้าเชื่อว่าตายแล้วเกิดอีกก็ ทำต่อไปอีกจนกว่าจะบรรลุพระนิพพานได้ แต่ที่ดีที่สุดนี่ต้องได้กันที่นี่ ต้องได้ กันเดี๋ยวนี้ที่นิพพานของพุทธบริษัทคือความหมดสิ้นแห่งกิเลสตัณหาอุปาทาน หมดสิ้นแห่งความทุกข์ซึ่งเป็นผลแห่งกิเลสตัณหาอุปาทาน หมดจากปัญหาจาก ปัญหาโดยประการทั้งปวง ไม่มีอะไรเหลืออยู่เป็นปัญหาให้เกิดความทุกข์ ทรมาน อย่างนี้เรียกว่านิพพาน ค่อยให้ความสนใจทีละน้อย มันสนใจให้ความ สนใจแต่เรื่องสนุกสนานสรวลเสเฮฮาเป็นเรื่องสวรรค์วิมานไปนู่น ระวังให้ดีเรื่อง สวรรค์วิมานบางทีจะทำให้เนิ่นช้าแก่พระนิพพาน ต้องข้ามกระโดดข้ามสวรรค์ วิมานไปเสียได้แล้วมันจึงจะเข้าเขตของนิพพาน ถ้ามันหลงใหลในสวรรค์วิมาน มันก็ทำความเนิ่นช้าให้แก่การบรรลุพระนิพพาน พระพุทธเจ้าท่านสอน อนุปุพพิกถา สอนกันถามเรื่องศีลแล้วได้ขึ้นสวรรค์ แล้วก็ทรงแสดงโทษแห่ง สวรรค์ แสดงคุณแห่งการออกจากกามเนกขัมมะ แล้วคนนั้นก็เข้ามาสู่พระ พุทธศาสนา ถ้ายังหลงใหลในเรื่องสวรรค์วิมานอยู่มันก็อยู่ที่นั่นแหละมันก็ อยู่ที่นั่น ไม่เข้ามาในเขตของนิพพาน ถ้าจะให้สวรรค์วิมานเป็นบันไดขั้นแรก ก็รีบรู้จักเสียโดยเร็วอย่าให้หลงใหลอยู่ที่สวรรค์วิมานเหล่านั้น เพราะมันเต็มไป ด้วยกิเลสตัณหาอันละเอียดมีตัวตนอันละเอียดมันต้องหมดกิเลสตัณหาหมดตัวตน มันก็กระโดดออกมาเสียจากสวรรค์วิมานได้มาสู่ความสงบหรือนิพพานได้ นี่เรื่องของพระนิพพานมันมีอยู่อย่างนี้ที่เกี่ยวกับพวกเรา พวกอื่นเขาก็มีนิพพาน ตามแบบของเขาตามหลักลัทธิของเขาเราอย่าไปว่าเขาเลย เขาจะเรียก นิพพานด้วยก็ไม่เป็นไรเพราะว่าเป็นคำกลางเรียกกันทั่วไป ในยุคนั้นในสมัยนั้น ในประเทศอินเดียก่อนพุทธกาล (1:05:07) แสวงหานิพพานกันทั้งนั้น มันจึง
พบตามแบบของเขาๆเกิดเป็นศาสดาขึ้นมาหลายองค์สอนนิพพานแข่งกัน แต่นิพพานของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ๆ เป็นสิ่งที่ต้องได้รับให้ได้ ไม่ได้รับ ก็ได้ว่าไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะรับ ถ้าไม่รับเอาเสียเลยมันก็เสียชาติ เกิดเพราะว่ามันเกิดมาเพื่อทนทุกข์ มันไม่ได้เกิดมาเพื่อดับทุกข์ก็จะเรียกว่า มันเสียชาติเกิด แต่ว่ามันได้รับสิ่งนี้ก็เรียกว่าไม่เสียชาติเกิด ข้อนี้อย่าไปแก้ตัว ว่าเราไม่ได้สัญญามาว่าจะปฏิบัตินิพพาน แต่เมื่อมันเกิดมาแล้วมันต้องปฏิบัติ แม้จะไม่ได้สัญญาผูกมัดมาแต่ก่อนว่าจะปฏิบัติแต่ก็เกิดมาอย่างนี้แล้วมันก็ต้องมาขอบเขตที่จะต้องปฏิบัติ มิฉะนั้นมันก็จะไม่พบกับพระนิพพานหรือสิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้รับ เราได้พูดมาหลายเรื่องธรรมชาติๆ ธรรมชาติกฎของ ธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ขอให้เราทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ให้ยิ่งขึ้นไปๆๆมันก็จะมาถึงจุดนี้ แต่ว่าเมื่อยังไม่มาถึงจุดนี้ก็ขอให้ได้รับนิพพุติๆ นิพพานตัวอย่างนิพพานชั่วคราวนี่ให้มากพอสมควร ธรรมชาติจะช่วยให้เป็น อย่างนั้นได้ มิฉะนั้นขออภัยถ้าจะพูดหยาบๆคายเลวกว่าแมว คุณไม่สังเกตเห็น บ้างหรอว่าบางเวลาแมวหน่ะ มันมีความสงบสุข มันกินอิ่มแล้ว มันหมดปัญหา แล้ว มันมานั่งเสวยสุข นี่ตามแบบของแมว แมวมันยังมีนิพพุติอย่างนี้ได้ ไก่ก็ยังเคยมี สัตว์เดรัจฉานนั้นมันยังมีเวลาได้พักผ่อนเป็นนิพพุติเป็นความ สงบเย็นชั่วคราวอย่างนี้ ถ้าคนมีไม่ได้งั้นก็ต้องเรียกว่าเลวกว่าแมว ไม่อยาก จะพูดว่าเลวกว่าหมาเดี๋ยวจะโกรธเอา พูดว่าเลวกว่าแมวก็พอแล้ว ก็ดูแมวดิ ที่นี่ก็มีหลายตัวบางเวลามันไม่มีความทุกข์ มันนั่งสงบเหมือนกับคนเข้าฌาณ อย่างงั้นหน่ะ มันมีเวลาที่มีนิพพุติๆสงบเย็น ต้นไม้ต้นไร่นั้นมันก็มีเวลาพักผ่อน บางเวลามันก็สงบเยือกเย็นตามแบบของต้นไม้ แต่พอไปพูดอย่างนี้นะมันถูกด่า อาตมาถูกด่าด้วยเรื่องอย่างนี้มามากมายนับไม่ไหว ที่เอาพระนิพพานไปแจก ให้มากออกไป ในกว่าเป็นเรื่องของที่เขารู้เอาตายแล้วกี่หมื่นชาติพันชาติ ไม่รู้จึงจะนิพพาน นี่มาบอกอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้อยู่ที่นี่ๆ ในขณะที่กิเลสไม่เกิดขึ้น เค้าเลย (1:08:47) เวลานั้นเราอยู่กับนิพพานน้อยๆนิพพานตัวอย่าง อย่าให้ พลาดจากนิพพานตัวอย่างที่ว่ามันไม่เกี่ยว นิพพานชั่วขณะก็มีในบาลีเรียกเป็น คำกลางๆว่านิพพานชั่วสมัย นิพพานชั่วขณะ เป็นภาษาบาลีว่า สามายิกะ นิพพาน ในขณะนั้นกิเลสไม่ปรากฏ กิเลสไม่ปรากฏด้วยเหตุใดก็ตามมันเป็น สามายิกะนิพพานขึ้นมาทันทีตามมากตามน้อย กิเลสไม่ปรากฏได้ด้วยเหตุ หลายอย่างคือมันไม่เกิดเองก็ได้ หรือมันมีอะไรเข้ามาบังคับไม่ให้เกิดก็ได้ มันก็ไม่มีกิเลสชั่วคราว พระนิพพานน้อยๆนี้ก็ชั่วคราวๆหรือตัวอย่าง พอทำ จิตใจให้ดีกิเลสไม่เกิดเย็นอกเย็นใจก็เป็นสามายิกะนิพพานตัวเล็กๆตัวน้อยๆ เป็นตัวอย่างไปก่อนหน่ะดีกว่าไม่รุ้จักเอาเสียเลย แม้การทำสมาธินี้ก็เป็น นิพพานชนิดหนึ่ง นิพพานด้วยการจัดให้มีด้วยการบังคับควบคุมให้มี เป็นวิมุติ เป็นวิโมกข์ชนิดน้อยชนิดเป็นตัวอย่างได้ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าจะต้องรอต้อง ตายแล้วอีกหมื่นชาติแสนชาติจึงจะบรรลุนิพพานนั้นใครว่าก็ไม่รู้ ตัวพระ พุทธเจ้าไม่ได้ตรัสอย่างนั้น ท่านตรัสว่าความไม่มีกิเลสนั้นแหละเป็นนิพพาน เป็นความเย็นเพราะไม่มีไฟคือกิเลสนั้น สามายิกะนั้นแปลว่าชั่วสมัย มียะแล้วก็ ยิกะนี่สามายิกะก็แปลว่าชั่วสมัยชั่วขณะ นิพพานชั่วขณะ ทำให้ดีเหอะวันๆนึง จะมีหลายๆขณะ ถ้าไม่สังเกตมันก็ไม่รู้จักมันก็ไม่พบมันก็เท่ากับว่าไม่มี คนอย่างนี้ไม่เท่าไรก็เป็นโรคประสาทแล้วจะตายเลยก็ได้ ถ้ามันไม่รู้สึกว่า พักผ่อนเอาเสียเลย ชีวิตไม่มีการพักผ่อนเอาเสียเลย ที่เรียกว่ามันเครียดตลอด เวลา ไม่เท่าไรมันก็เป็นโรคประสาทหรือเป็นบ้าก็ได้หรือตายก็ได้ นี่จึงรู้จัก (1:11:17) ไอ้กิเลสหรือความร้อนต่างๆไว้ด้วย สามายิกะนิพพานนี่ มันก็นั้นหน่ะมันก็ทบทวนกันไปมา ไม่มีกิเลสนั้นมันก็สามายิกะนิพพาน นี่เราป้องกันกิเลสไว้ได้ด้วยสามายิกะนิพพาน ถ้าจะเรียกกันโดยภาษาธรรมดา ก็เรียกว่านิพพุติๆ ความเย็นอกเย็นใจนี่ตามที่ควรจะมี มันเป็นนิพพานตัวอย่าง นิพพานน้อยๆนิพพานล่วงหน้าเหมือนกับตัวอย่างสินค้า เราดูตัวอย่างสินค้า แล้วเราจึงจะซื้อสินค้า นี่เราก็ดูตัวอย่างสินค้านี่เราก็เย็นอกเย็นใจๆที่มีในบาง ครั้งบางคราวที่กิเลสมันไม่เกิด มันก็พอใจเอ้อนี่ดีๆ แล้วก็ทำให้มากขึ้นๆนั่นหล่ะ เป็นการเพิ่มพูนพระนิพพาน เพิ่มพูนหนทางแห่งพระนิพพาน มันเป็นนิพพุติที่ยัง มีอาสวะเหลือ ยังไม่สิ้นอาสวะ มันเป็นนิพพุติที่อาสวะเหลือมันยังไม่สิ้นอาสวะ ก็ทำไปๆๆจนเป็นนิพพุติที่สิ้นอาสวะก็เป็นนิพพานโดยสมบูรณ์ นี่เรื่องมันมีอยู่ อย่างนี้ ท่านทั้งหลายจะต้องการหรือไม่ต้องการอาตมาก็ไม่ทราบ แต่ว่าขอให้ รู้ไว้เถอะว่าเรื่องมันมีอยู่อย่างนี้ ท่านมาศึกษาธรรมะมากมายนี่ท่านต้องการ อะไรไปคิดดูถ้าไม่ต้องการอย่างนี้ มาที่นี่ก็สอนให้รู้เรื่องดับทุกข์ เรื่อง อิทัปปัจยตาแล้วก็สอนให้ปฏิบัติอานาปานสติเพื่อจะทำให้เกิดความดับทุกข์ขึ้นมาให้ได้ ปฏิบัติอานาปานสติแล้วจะมีสติสมบูรณ์ จะมีปัญญาสมบูรณ์ จะมี สัมปะชัญญะสมบูรณ์ จะมีสมาธิสมบูรณ์ มีสติระลึกถึงปัญญาความรู้ที่ถูกต้องว่า เป็นอย่างไร ไว้ต้องศึกษาไว้เรื่อย เก็บปัญญาไว้เรื่อยๆจนครบทุกอย่างที่ควรจะ เก็บไว้ พอมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในชีวิตก็สติระลึกว่าจะไปเอาปัญญาข้อไหนมา จัดการกับมัน มีสติที่ดีก็คือเร็วทันเวลา รู้ถูกต้องว่าไปเอาปัญญาไหนมาจัดการ กับมัน จากปัญญามากมายเอามาเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแหละ อย่างที่จะกำจัด เหตุการณ์ร้ายข้อนี้เวลานี้เรื่องนี้ปัจจุบันนี้ พอปัญญานี้มาถึงก็เปลี่ยนรูปเป็น สัมปะชัญญะ ปัญญาที่แก่กล้าสามารถพร้อมสมบูรณ์เหมาะสมอยู่เสมอที่จะ กำจัดเหตุการณ์ร้ายเหล่านี้ สัมปะชัญญะก็ทำหน้าที่ไปต่อสู้เผาผลาญกับ เหตุการณ์ร้ายนั้นๆให้มันหมดไป นี่ถ้าว่าแรงมันอ่อนปัญญาสัมปะชัญญะนี่แรง มันอ่อนก็เพิ่มแรงให้มันด้วยสมาธิๆคือกำลังเป็นตัวกำลัง ตัวปัญญาเป็นตัว ความคม แต่ความคมนั้นมันจะเป็นหมันถ้าไม่มีกำลัง คิดดูมันจะคมยิ่งกว่า มีดโกนแต่ถ้าไม่มีอะไรกดลงไปมันไม่ตัดหรอกมันไม่ตัดเพราะมันไม่มีน้ำหนัก เพราะมันไม่มีกำลัง ปัญญาก็เหมือนกันถ้าไม่มีน้ำหนัก คือสมาธิตัดลงไป กดลงไปมันก็ไม่ดัด มันไม่ตัดอะไรมันต้องมีสมาธิด้วย ฉะนั้นธรรมะสี่อย่างนี้ จำเป็นแก่การที่จะมีชีวิตอย่เพื่อนนิพพานในปัจจุบัน และเพื่อนิพพานในสูงๆ ขึ้นไป มีสติ มีปัญญษ มีสัมปะชัญญะ มีสมาธิ สิ่งเหล่านี้จะสมบูรณ์ในเมื่อท่าน ฝึกอานาปานสติอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ขอให้สนใจเป็นอย่างยิ่งในการฝึก อานาปานสติ มีธรรมะสี่ข้อนี่โดยเฉพาะเนี่ยเป็นเครื่องมือ มันก็มีธรรมะอื่น อีกมากแต่ว่าที่จะต้องใช้กันอย่างจริงจังก็ไอ้สี่เกลอ ธรรมะสี่ข้อหรือสี่เกลอนี่ เพียงแต่ทำอานาปานสติให้ได้ให้สำเร็จเท่านั้นมันก็มีมาเอง นี่เรียกว่าทำหน้าที่ ตามกฏของธรรมชาติ ธรรมชาติมีกฏของธรรมชาติ เกิดหน้าที่ตามกฏของ ธรรมชาติเราก็ทำ คือฝึกอานาปานสติให้ได้ แล้วก็มีเครื่องมือสำหรับจะตัด ทำลายความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงด้วยธรรมะสี่ เกลอ สติ ปัญญา สัมปะชัญญะ สมาธิ แต่ละเกลอๆนี่ไม่ใช่เล่น ใช้อะไรได้มากมาย ทีนี้มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร มันก็บอกมาแล้วว่าธรรมะคือหน้าที่ๆ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ พอปฏิบัติหน้าที่เมื่อใดมันก็มีธรรมะเมื่อนั้น พูดให้เขาด่าอีกทีก็ว่าเมื่อใดมนุษย์ ทำหน้าที่ของมนุษย์ ธรรมะก็มีเมื่อนั้น การปฏิบัติธรรมก็มีเมื่อนั้น บางคนไม่ เข้าใจก็ด่า แต่ว่านี่ความจริงที่สุดหน่ะ มนุษย์ทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างถูกต้อง เมื่อไหร่ ก็มีการปฏิบัติธรรมะเมื่อนั้นหน่ะการปฏิบัติธรรมะมีทันที เมื่อมนุษย์ ปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์ มนุษย์มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติเพื่อให้เกิดธรรมะนี่เรียก เป็นความร่มเย็น ธรรมะที่เป็นผลจาการปฏิบัติหน้าที่ในธรรมะสี่ความหมาย เมื่อใดทำหน้าที่เมื่อนั้นเป็นการปฏิบัติธรรม ใครไม่เชื่อก็ด่าก็แล้วกัน เมื่อใด ทำหน้าที่เมื่อนั้นมีการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นขอให้ทำหน้าที่ๆๆที่ถูกต้อง พอเดี๋ยวนี้ พูดอะไรที่มันผิดไปสักนิดจากที่เขาเคยพูดเคยเชื่อเขาก็ด่ากันทั้งนั้น อาตมาได้ รับการด่าทำนองนี้เป็นกระบุงๆไม่รู้จะเอาไปเก็บไว้ที่ไหน เพราะว่าพูดไม่เหมือน ที่เขาพูดกัน เขาก็ต้องไปทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ทำอย่างโน้นต้องทอดกฐินสัก ล้านนึงหน่ะ พอมาบอกว่าเมื่อใดทำหน้าที่เหมือนมีการปฏิบัติธรรม ไม่พูดถึง ทอดกฐิน ไม่พูดถึง (1:19:15) แต่ว่าการทอดกฐินถ้ารู้จักทำมันก็ทำหน้าที่ เหมือนกันหน่ะ สงเคราะห์พระศาสนา สงเคราะห์ให้เพื่อนมนุษย์ จะมาตัดบท สั้นๆว่าเมื่อใดมีการทำหน้าที่เมื่อนั้นมีการปฏิบัติธรรม ทีนี้มันก็มีว่าทุกหน ทุกแห่งๆเมื่อใดมีการทำหน้าที่เมื่อนั้นมีการปฏิบัติธรรม หน้าที่ทุกหน้าที่เป็น ธรรมะ แม้จะต่ำที่สุดก็เป็นธรรมะอย่างต่ำ หน้าที่หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนี่ก็เป็น ธรรมะ หน้าที่ดำรงชีวิตให้ถูกต้องก็เป็นธรรมะ สูงขึ้นไปนี่ก็เป็นธรรมะยิ่งเป็น ธรรมะ เป็นยอดสุดของธรรมะก็เป็นนิพพาน ต้องมีการปฏิบัติหน้าที่ให้ครบถ้วน ให้ถูกต้องทุกหน้าที่แล้วก็มีการปฏิบัติธรรม ดังนั้นการปฏิบัติธรรมมีได้ทุกหน ทุกแห่งและทุกเวลา คำสองคำนี้ต้องช่วยจำด้วยว่าทุกสถานที่ทุกเวลา หลักสากลของธรรมชาติ ไทม์ (1:20:38) ไทม์คือเวลา …คือทุกหนทุกแห่ง และต้องทำหน้าที่ทุกเวลาและทุกหนทุกแห่ง ทำหน้าที่เมื่อใดมีธรรมะเมื่อนั้น ทำไร่ทำสวนในอยู่กลางทุ่งนาก็มีธรรมะกลางทุ่งนา ทำหน้าที่อยู่ที่ออฟฟิส ออฟฟิสทำงานก็มีธรรมะที่ออฟฟิส อยู่ที่บ้านเรือนก็มีธรรมะอยุ่ที่บ้านเรือน แล้วก็ทุกเวลาไม่ว่าเวลาไหน เวลารับประทานอาหารก็ปฏิบัติให้มันถูกต้อง มันก็มีธรรมะในการรับประทานอาหาร ธรรมะมันก็มีอยู่ในห้องอาหาร ในครัว อาบน้ำให้ดีที่สุดมันก็มีธรรมะอยู่ห้องอาบน้ำ นั่งอยู่ในโถส้มในห้องส้วมมัน ก็มีธรรมะอยู่บนโถส้วม อยากด่าก็ด่าไป ปฎิบัติธรรมะที่ไหนมันก็มีการทำหน้าที่ ที่นั่น มีการทำหน้าที่ที่นั่นมันก็ที่ไหนมันก็มีธรรมะที่นั่นให้ช่วยจำไว้อย่างดี มีการทำหน้าที่ หน้าที่ที่มันหมายความว่ามันควรทำ ที่ไม่ควรทำไม่เรียกว่า หน้าที่หรอก ถ้าควรทำนี่มันก็ต้องถูกต้องก็มีควรเป็นควรถูกต้อง ถึงท่านจง ทำให้ชีวิตของท่านมีแต่การปฏิบัติธรรมทุกกระเบียดนิ้วทุกเวลาทุกกระเบียด นิ้วคือสถานที่ ทุกเวลาทุกวินาทีคือทุกเวลามีสติสัมปะชัญญะ เราระวังให้มันมี ความถูกต้องทุกเวลาทุกสถานที่ แม้แต่ในห้องรับแขกในห้องครัว ในห้องน้ำ บนโถส้วม มันก็มีธรรมะได้แล้วมันจะเอายังไงกันอีก จะให้ธรรมะมีอยู่ที่เนื้อที่ตัว ตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น ตั้งๆให้ดีตั้งสมาธิไว้ดีมันก็ไม่มีความผิดพลาด เข้ามามันก็มีธรรมะทุกเวลา อย่างนี้ก็เรียกว่าอย่างน้อยก็มีนิพพานชั่วคราว ชั่วขณะที่เรียกว่าสามายิกะนิพพานหรือนิพพุติเนี่ยทุกเวลาเหมือนกัน แต่ยัง เป็นเพียงขั้นต่ำคือยังมีอาสวะ มีอาสวะนี่เรียกว่าสาสวะ มีสาสวะนิพพุติ นี่นิพพุติที่ยังมีอาสวะเหลืออยู่ก็เถอะมันก็เย็นไปตามแบบนั้นหน่ะดีกว่าไม่มี เพราะมันจะเจริญๆยิ่งๆขึ้นไป จนกระทั่งว่ามันเป็นนิพพานที่สมบูรณ์ ขอให้ ฝึกกันไว้ให้เป็นนิสัย ให้เป็นนิสัย การฝึกปฏิบัติความถูกต้องนั่นหน่ะ มันจะเก็บ ไว้เป็นนิสัยเขาเรียกกันว่าบารมีๆ บารมีคือสิ่งที่จะทำให้เต็มเปี่ยมสมบูรณ์ ในที่สุด ความถูกต้องที่สะสมไว้เรื่อย สะสมไว้เรื่อยนี้เรียกว่าการบำเพ็ญบารมี พูดให้ชัดลงไปก็ว่ามีความเย็น เย็นอย่างนิพพุติ หรือเย็นอย่างสามายิกะ นิพพานอยู่ตลอดเวลาๆ นี่เรียกว่าการบำเพ็ญบารมี การสะสมความดีความถูก ต้องไว้ในสันดานเรียกว่าบำเพ็ญบารมี สะสมความชั่วกิเลาตัณหาไว้ในสันดาน มันเรียกว่าอนุสัย อนุสัยคือเก็บด้วยความเคยชิน ฝ่ายที่จะเป็นทุกข์ไว้ใน สันดานเรียกว่าอนุสัยแล้วก็ไหลกลับออกมาเป็นอาสวะ หมดอนุสัยก็หมดอาสวะ แล้วเราก็ไม่สร้างอนุสัยมีแต่คอยทำลายอนุสัยด้วยการบำเพ็ญบารมีคือ บำเพ็ญความถูกต้องไว้ด้วย บำเพ็ญความถูกต้องไว้ด้วยความไม่ถูกต้องมันก็ หลีกไปๆๆในที่สุดมันก็เหลือแต่ ความถูกต้อง มันก็เลยง่ายที่จะสงบเย็นใน ระดับไหนก็แล้วแต่ แต่ว่าความเยือกเย็นในระดับต้นระดับจุดตั้งต้นนี่ควรจะมี อยู่ตลอดเวลา มีสติสัมปะชัญญะไม่ให้เกิดกิเลสเท่าที่เราจะระมัดระวังได้ มันก็มีนิพพุติๆ สรุปความว่าท่านอย่าได้เข้าใจว่านิพพานเป็นสิ่งที่เหลือวิสัย การพูดว่านิพพานเป็นสิ่งเหลือวิสัยนั้นเป็นข้อแก้ตัวของคนโง่ของคนไม่อยาก ไม่ต้องการแล้วมันก็แก้ตัว มันก็เลยไปกินเหล้าเมายา ไม่ทำไรไม่ต้องการ ก็ตัดเสียว่านิพพานเป็นสิ่งที่เหลือวิสัย พูดตามๆกันมามากก็เลยว่านิพพาน เหลือวิสัยอย่าไปสนใจเลย แล้วเดี๋ยว นี้ก็ยิ่งพูดถึงปัจจุบันนี้แล้วนิพพานเหลือ วิสัยอย่าเอามาพูดเลย ผู้ที่เรียกว่ามีความรู้ มีฐานะ มีปริญญาเป็นนักปราชญ์ก็ ยังพูดอย่างนี้นะเดี๋ยวนี้ เขาพูดว่านิพพานยุคนี้เหลือวิสัยอย่างนี้ก็มี มันไม่รู้ว่า นิพพานคืออะไร มันก็ไม่มีฉันทะความพอใจในการที่จะบรรลุพระนิพพานนั้น เก็บไว้เป็นข้อแก้ตัว กลัวเพื่อนจะว่าว่าไม่ปฏิบัติ ก็ว่ามันเหลือวิสัยชั้นก็ไม่ปฏิบัติ มันก็แก้ตัวอย่างนี้กันได้เหมือนกัน เอาแต่เพียงว่านิพพุติเย็นอกเย็นใจไป เรื่อยๆนี้ก็เป็นการดีแล้ว มันจะใกล้เข้าไปๆคือเอียงเข้าไปลาดเอียงไปทางพระ นิพพาน นี่เราพูดเรื่องพระนิพพานซะยืดยาว ก็เพราะกล่าวมาแล้วว่าธรรมะนั้น มันให้พระนิพพานแก่บุคคลเป็นปัจเจกบุคคล และธรรมะนั้นให้สันติภาพแก่โลก เป็นส่วนรวม โลกทั้งหมดมันจะนิพพานพร้อมๆกันไม่ได้มันเหลือวิสัย งั้นเอาแต่ เพียงว่าเป็นสันติภาพ ไม่ถึงขนาดนิพพานสมบูรณ์หน่ะ เป็นนิพพานน้อยๆ เป็นความสงบเย็นๆ เป็นนิพพานของสังคม เป็นนิพพานของโลก อย่างนี้ก็ได้ นั้นก็ยังนับเนื่องอยู่ในพระนิพพานนั่นเอง และทีนี้ข้อนึงก็คือว่านิพพาน เอ้ย ธรรมะหน่ะ ธรรมะเป็นเครื่องช่วยให้เราเป็นอยู่อย่างถูกต้องๆๆ การดำรงชีวิต อยู่อย่างถูกต้องหน่ะต้องการๆ ถ้าดำรงชีวิตอยู่อย่างถูกต้องมันจะมีความเอียง ไปทางพระนิพพานไปโดยอัตโนมัติ ก็คิดดูเหอะ มีการปฏิบัติอย่างถูกต้องที่ ไหนเมื่อไหร่มันจะมีการเอียงไปสู่พระนิพพานไปโดยอัตโนมัติ นี่คือผลของ ธรรมะ เอ้่าเดี๋ยวนี้สมมุติว่าไม่อยากไปนิพพาน ไม่อยากมีนิพพานโดยสมบูรณ์ ก็มีนิพพานชั่วขณะนิพพานตัวอย่างกันไปก่อนก็แล้วกัน งั้นจึงจะพูดถึงเรื่องนี้กัน บ้าง พูดถึงเรื่องนิพพานนิพพานชั่วขณะ หรือนิพพุติที่ยังมีอาสวะ สากวา นิพพุติ กันไปก่อน แม้จะเรียกว่าสากวานิพพานก็พูดได้แต่เป็นนิพพานของรุ่นเด็กๆ นิพพานชั้นต้นๆที่สุดยังมีความทุกข์เหลืออยู่แต่มันก็เป็นความสงบเย็นมาก เหมือนกัน แต่ไม่มีใครพูด ไม่มีคำพูดที่จะเรียกพระนิพพานเป็นมีอาสวะ ไปใช้เรียกสำหรับว่าสัมมาทิฏฐิยังมีอาสวะหรือนิพพุติที่ยังมีอาสวะหรือความ สุขที่ยังมีอาสวะอย่างนี้ก็พูด เอาหล่ะ ช่วงเวลาที่เหลืออยู่เล็กน้อยก็จะพูดเรื่อง นิพพุติที่ยังมีอาสวะสำหรับจะ อยู่กันในโลกนี้ก็แล้วกัน ข้อแรกธรรมะนี่มันจะ ช่วยให้มีชีวิตเป็นอิสระยิ่งขึ้นๆ ชีวิตธรรมดานี่มันตกเป็นทาสของอายตนะคือ ตาหูจมูกลิ้นกายใจเต็ม ที่100เปอร์เซ็นต์ ธรรมะจะช่วยให้ชีวิตมีอิสระจากการ ครอบงำ ของกิเลสตัณหาหรือสิ่งที่อายตนะมันหลงใหลหน่ะน้อยลงๆ มีอิสระ มากขึ้นๆ ถ้าเรามีธรรมะแล้วมันจะเปิดกว้าง มันจะเป็นแสงสว่างรอบตัวจะมอง ไปในทิศทางไหนก็จะเห็นแต่ความถูกต้อง นี่จะเป็นทัศนวิสัยของความถูกต้อง รอบตัวๆไม่ว่าจะมองไปในทางไหน ถ้าว่าจิตนี้มีธรรมะ ถ้าจิตไม่มีธรรมะ มัน มองอย่างนั้นไม่ได้ มันมองไม่เป็นหรอก มันมีจะไปพบไอ้ความถูกต้องใน ทัศนวิสัยทั่วๆไป ที่ีจริงมันก็มีเขาเรียกว่ามันมองไม่เห็น เขาจะควบคุมจิตใจ ของเขาได้มากกว่าธรรมดาถ้าเขามีธรรมะ ถ้าเขาไม่มีธรรมะเขาก็พ่ายแพ้แก่ กิเลสตัณหาไม่สามารถจะควบคุมจิตใจไปทางที่ถูกต้องได้ พอมีธรรมะมันจะดึง ไปในทางที่ถูกต้องมากกว่าธรรมดาของตนธรรมดาของคนปุถุชน เช่นท่าน เขาจะมีความเชื่อได้ในตัวเองเพราะเขามีความเห็นถูกต้อง เขามีความเห็นถูก ต้องมันก็สร้างความเชื่อตัวเอง มั่นใจในตัวเอง ไม่ลังเล ไม่วิจิตอิจฉา ซึ่งเป็น สิ่งที่ต้องละออกไปหน่ะวิจิตอิจฉา มันไม่เชื่อตัวเอง มันลังเลตัวเอง และมันก็ ไม่ศรัทธาในตัวเอง ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง แต่ถ้ามีธรรมะแล้วมันก็จะเห็นตามจริง ข้อนี้ มันมีความเชื่อมั่นในตัวเอง และมันจะขจัดสิ่งไม่พึงปรารถนาออกไปเรื่อยๆ มันมีชีวิตอยู่ด้วยความสมหวัง ไม่มีใครเชื่ออ่ะ จะไม่มีชีวิตที่ผิดหวัง เพราะมันไม่ โง่ไปหวังอะไร ที่มันไปหวังอะไรมันเป็นเรื่องของคนโง่ สิ่งทั้งปวงมันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนมันก็ไปหวังๆมันก็ผิดหวัง ว่ามันเต็มไปด้วยความผิดหวังทุกวัน ทุกคืนทุกเดือนทุกปี แต่ถ้ามีธรรมะรู้เรื่องตามที่เป็นจริงของธรรมชาติแล้วมัน ไม่หวังอะไร มันก็ไม่มีผิดหวังสิ มันมีแต่ความถูกต้องๆเรื่อยไปมันก็มีแต่ความ สมหวังหน่ะ มีแต่คำว่าสมหวังๆ ก็ศาสดาของเราชื่อนายสมหวังไหม คุณรู้ไหม ล่ะว่าสิทธัตถะหน่ะมันแปลว่าสมหวัง มีความประสงค์อันสำเร็จแล้ว ถ้าเราตั้งใจ ไว้ถูกต้อง มันจะมีแต่ความสมหวังกันนั่นแหละ เพราะมันไม่ไปหวังให้โง่ไม่หวัง ให้เกิดความผิดหวัง นี่อานิสงฆ์ของธรรมะ มันไม่ผิดหวังมันไม่รู้จักกับความ เสียใจ มันช่วยพยุงให้จิตสูงขึ้นไปๆไม่ตกต่ำอยู่ภายใต้อำนาจของนิวรณ์ นิวรณ์5หน่ะไปศึกษาเอง หนังสือหนังหาที่ไหนมันมันก็มี อย่าไปตกอยู่ภายใต้ อำนาจของนิวรณ์ ธรรมะจะช่วยให้อยู่เหนือๆนิวรณ์ เหนือสิ่งที่บีบคั้นจิตใจ กดทับจิตใจ ทำจิตใจให้ไม่สะอาด ฉะนั้นจะทำให้เกิดความสูงโดยอัตโนมัติ การศึกษาทุกชนิด ธรรมะจะช่วยให้เกิดความสำเร็จ จะศึกษาอย่างเด็กๆ ศึกษา อย่างวัยรุ่น อย่างหนุ่มสาว อย่างโสดสมรสอย่างไรก็ตาม ธรรมะช่วยให้การ ศึกษานั้นเป็นไปอย่างถูกต้อง ไม่เกิดความเครียดทั้งบวกและทั้งลบ คนมักจะ เข้าใจว่าเครียดนี่มันเพราะลบคือเพราะไม่ได้ตามที่ต้องการแล้วมันก็เครียด ที่จริงบวกมันก็เครียด มีบวกมากเข้าๆมันก็สาละวนจนใจอยู่แต่เรื่องบวกๆๆ จนเป็นบ้าไปก็ได้ ในความเป็นบวกก็เครียดได้ ความเป็นลบเครียดได้ มันคนละอย่างมันคนละสี แต่มันก็เป็นความเครียดเหมือนกันแหละ ถ้ามันไป ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน ในความเป็นบวกก็เครียดอย่างหนึ่ง ในความเป็นลบ ก็เครียดอย่างหนึ่ง อย่างนั้นมันจะอาความสุขมาจากไหน ธรรมะช่วยให้เรา บังคับตนได้อย่างถูกต้องๆควบคุมตนได้ถูกต้อง ถ้าไม่มีธรรมะ ไม่มีความรู้ทาง ธรรมะมันก็ไม่รู้จักหนทาง ไม่รู้จักหนทางแล้วมันจะเดินไปได้อย่างไร นี่ถ้ามันมี ความถูกต้องๆ ชีวิตนี้มันก็ปกติๆ ที่ชอบพูดกันสมัยใหม่ว่าเรียบง่ายๆนั่นหน่ะ เรียบง่ายของเขานั่นมันแบบอื่น ถ้าแบบของธรรมะมันเรียบง่ายแบบของธรรมะ เรียบง่ายแบบของอันธพาลก็เรียบง่ายแบบอันธพาล ต้องมีความเรียบง่ายใน แบบของธรรมะ มีจิตแจ่มแจ้งมีจิตที่ไปในความสว่างไสวแจ่มแจ้งสามารถแก้ ปัญหาทุกอย่างทุก ชนิดที่มันเกิดเข้ามาได้อย่างสำเร็จๆคือมีประสิทธิภาพใน การที่จะขจัดปัญหา นานาชนิดที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน มั่นใจในการดำเนิน แห่งชีวิตเพราะมั่นใจๆ วิถีทางแห่งชีวิต วิถีทางการดำเนินชีวิต เป็นที่มั่นใจ แก่คนนั้นว่ามันถูกต้อง เขาจะได้พบความสงบทันในชีวิตนี้แหละ แม้จะไม่ สมบูรณ์มันก็ยังดี พบสักครั้งมันก็ยังดีนะแม้ไม่สมบูรณ์ พบทุกๆครั้ง พบเรื่อยๆ ไป แม้ยังไม่สมบูรณ์มันก็ยังดี ฉะนั้นเขาก็สามารถจะบรรจุธรรมะหรือประยุกต์ สิ่งที่เรียกว่าธรรมะเข้ากับ ชีวิตประจำวัน ชีวิตประจำวันของเขาจะมีแต่ความ ถูกต้องของธรรมะ นีเรยกว่าประยุกต์ธรรมะเข้ากันได้กับชีวิตประจำวัน แล้วก็ กำจัดไอ้ความรู้สึกโกรธประเภทตัวกูของกู ประเภทเห็นแก่ตนออกไปได้ตาม สมควร นี่เรียกว่าเริ่มเข้าถึงแก่นแห่งพระพุทธศาสนา เมื่อใดเริ่มขจัดกิเลส อุปาทานว่าตัวกูว่าของกูออกไปได้ เมื่อนั้นเริ่มถึงแก่นแห่งต้นโพธิ์ แก่นแห่ง ต้นโพธิ์ที่พูดคำนี้ก็เพื่อจะให้เห็นชัดว่า ต้นโพธิ์มันไม่มีแก่นหน่ะ คุณไปดูต้นโพธิ์ มันเป็นไม้ตระกูลไม้มะเดื่อ ต้นโพธิ์มันไม่มีแก่นหน่ะ แต่ถ้าไม่มีแก่นทำให้มีแก่น ได้ เราสามารถทำต้นโพธิ์หรือทำต้นมะเดื่อให้มีแก่นได้ เพราะธรรมะ เพราะมี ธรรมะๆ เพราะมันมีโพธิคือความรู้ขึ้นมาที่ไหนมันจะเกิดแก่นๆขึ้นที่นั่น แล้วก็มี แก่นได้จากต้นโพธิ์ ขี้นเป็นต้นไม้ตระกูล(1:38) มันไม่มีแก่น เราทำให้มันมี แก่น ได้แล้วเราจะเริ่มต้นชีวิตที่ถูกทางๆแล้วก็ยิ่งๆขึ้นไป การมีธรรมะที่ถูกต้อง เนี่ยมันจะไม่มีประโยชน์เฉพาะเราฝ่ายเดียว มันมีประโยชน์ในทางคบหาสมาคม สังคมกับคนได้ทุกชนิด สังคมของอันธพาลก็ได้ในลักษณะที่ไม่เกิดความ เสียหาย และสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชาที่โง่เขลาและอยุติธรรมที่สุดก็ได้ เนี่ย เป็นข้อแก้ตัวว่านายเขาไม่ยุติธรรม หรือนายเขาเป็นไรอย่าไปสนใจอย่างนั้น เรามีธรรมะๆให้มากเข้าไว้เหอะ จะสามารถเอาชนะผู้บังคับบัญชาหรือนายจ้างที่ อันธพาลได้แน่นอน นี่เรียกว่าสมาคมได้กับคนทุกคน ถ้าเราจะสามารถปรับ ปรุงเราเนี่ยฝ่ายเราเนี่ยให้มันเป็นผู้ที่มีประโยชน์แล้ว ใครๆมันก็ต้องการ ประโยชน์ แล้วเขาก็จะยินดีเกี่ยวข้องกับเรา แม้นายจ้างมันจะเป็นอันธพาลแต่ ถ้าเราทำประโยชน์ให้แก่่เขาเป็นผู้ทำประโยชน์ให้แก่เขา เขาก็ยินดีจะคบค้า สมาคมกับเรา ก็คนในโลกมันเห็นแก่ประโยชน์ เราทำตนให้เป็นคนมีประโยชน์ ก็มีธรรมะ ก็จะมีคนยินดีคบค้าและสมาคมกับเรา เรามีการศึกษาชีวิตในชั้นลึก นี่พูดเฉพาะคำว่าสิกขา หรือศึกษาสักหน่อยได้ยินว่านักศึกษาก็มีอยู่ในบรรดา ผู้ฟังนี่ ขอแนะนำคำว่าสิกขาหรือศึกษา บาลีว่าสิกขา สันสกฤตว่าสิชฌา ภาษา ไทยว่าศึกษา เป็นคำเดียวกัน สะแปลว่าเอง อิกขะแปลว่าเห็น ดูเองเห็นเอง สะแปลว่าเอง ฉะนั้นสิกขาไม่ใช่แปลว่านั่งจด แปลว่าดูๆๆๆเอง ดูตัวเอง พึ่ง ตัวเอง โดยตนเอง ดูตัวเอง ด้วยตนเอง พึ่งตัวเอง ในตัวเอง แล้วก็จะเห็นตัวเอง พอเห็นตัวเองแล้วดูเป็นมันก็จะรู้จักๆตัวเอง แล้วมันก็วิจัยวิจารณ์ตัวเองตามที่ รู้จัก แล้วก็จะสรุปใจความได้ว่าจะต้องทำอย่างไร ผลของการศึกษามันก็จะออก มาให้ว่าจะต้องทำอย่างไรที่ถูกต้องที่มีประโยชน์ ถึงที่สุด นี่คำว่าศึกษาในความ หมายของพระพุทธศาสนา หรือธรรมะ ดูซึ่งตัวเอง ด้วยตนเอง ในตัวเอง พึ่ง ตัวเอง แล้วก็เห็นตัวเอง แล้วก็รู้จักตัวเองแล้วก็วิจัยวิจารณ์ตัวเองเพื่อสรุปใจ ความในที่สุดว่าเรา จะต้องทำอย่างไรและเราก็ทำอย่างนั้นแล้วก็ได้รับผลอย่าง ที่เราต้องการ นี่คือทั้งหมดของคำว่าศึกษาหรือสิกขาหรือสิชฌาในภาษา สันสกฤต เมื่อเรารู้จักตัวเองๆแล้วมันก็หมดปัญหา เดี๋ยวนี้มันทำไปโดยที่ไม่รู้จัก ตัวเอง ไม่รู้จักตัวเองว่าต้องการอะไรด้วยซ้ำไป อะไรมาล่อมาหลอกให้สวยๆ งามๆอร่อยเอร็ดสนุกสนานเราก็เอ้าสิ่งนั้นไปเลยไม่รู้ ว่ามันเป็นอะไรนี่เพราะว่า มันไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักความจริงของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ การศึกษาในโลกมัน ยังไม่พอเพราะไม่ศึกษากันอย่างนี้ เพราะมันศึกษาเพื่อหาประโยชน์ ศึกษาเพื่อ หาประโยชน์อะไรมันเป็นวิธีที่จะได้ประโยชน์มันก็ศึกษากันแต่เรื่องนั้น ต่างฝ่าย ต่่างก็เกิดการเห็นแก่ตัว มันก็ปะทะกันขัดแย้งกันทำลายล้างกันเป็นสงคราม ไม่มีวันที่สิ้นสุดเพราะมันไม่รู้จักตัวเอง พอครั้นรู้จักตัวเองแล้วมันก็สัมพันธ์กับ ผู้อื่นหรือสมาคมกับผู้อื่นได้โดยง่าย เพราะว่ามันมีความถูกต้องฝ่ายตนเอง แล้วมันจึงเป็นไปได้ง่ายในการที่จะหาสมาคมกับผู้อื่น มีธรรมะเหนือกว่า ก็สามารถทำให้เขาเข้าใจเราได้ๆ ทำให้เขาสมัครที่จะทำตามเราได้ เราจะมี คำพูดที่เขาสมัครจะทำตาม ถ้าเรามีธรรมะนะ ถ้าเรามีธรรมะเราถือถูกต้องไป ตามธรรมะแล้วจะมีผู้สมัครทำตาม ถ้าเราแสดงให้เขาได้เห็นได้เข้าใจสิ่งที่ เรียกว่าธรรมะ ซึ่งเป็นของใหม่สำหรับเขา เขาก็สนใจ แล้วเราก็แสดงเหตุผล อยู่ในตัวคำพูดว่ามันมีความจริงอย่างนั้น สำเร็จได้อย่างนั้น แล้วก็ชี้ทางที่จะ ปฏิบัติให้สำเร็จได้ ผู้ใดมีคำพูดอย่างนี้ผู้นั้นเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้ มันมีแต่คนอวดดี เป็นอาจารย์แห่งความอวดดี มันจะเอาเป็นของมันเป็นของ ตัวเองเป็นความรู้ของกู ไม่ได้อาศัยหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า จึงไม่ประสบ ความสำเร็จในการที่จะเผยแผ่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็มีการพูดจาที่มี ผู้ยินดีฟังและยินดีปฎิบัติตาม ครูบาอาจารย์ทั้งหลายจงฝึกฝนการพูดจาอย่างนี้ บิดามารดาทั้งหลายก็จงฝึกฝนการพูดจาอย่างนี้ ลูกเด็กๆหรือลูกศิษย์ทั้งหลาย เขาก็ยินดีที่จะปฏิบัติตามโดยอัตโนมัตื ทุกอย่างมันก็ราบรื่นไม่มีข้อติดขัด เราจะรู้จักความพอดี รู้จักความถูกต้อง เรารู้จักความถูกต้องความพอดีนี่สำคัญ ในเรื่องดีบางทีมันไม่ถูกต้องก็มี ชั่วนี่ก็ไม่ถูกต้อง แต่ถ้าว่าความถูกต้องนี่มันก็ จะสำเร็จประโยชน์เสมอไป ความดีอาจจะบ้าดี เมาดี หลงดี จมปลักอยู่ที่นั่น ก็ได้ แต่ถ้ามีความถูกๆๆมันไม่จมปลักที่ไหนเพราะมันเป็นความถูกต้อง ไม่มาก เกินไป ไม่น้อยเกินไป ไม่ดุร้าย แล้วก็ไม่อ่อนแอคือความพอดีๆ มีความหมาย ขอบเขตกว้างขวางมาก จะทำอะไรก็จะทำได้อย่างถูกต้องและพอดี เป็นหมอ ก็เป็นหมอที่ประเสริฐ เป็นพยาบาลก็สามารถทำคนให้มีความทุกข์น้อยคนเจ็บมี ความทุกข์น้อยเพราะว่าเขา พูดจาเป็น ในการที่จะไม่ให้เป็นทุกข์ คนเจ็บจะหาย เร็วหรือถ้าตายก็ตายดี หมอหรือพยาบาลก็ตามถ้ามีความรู้ทางธรรมะ เขาก็จะ ช่วยคนเจ็บหายเร็วหรือไม่เป็นทุกข์ ถ้าตายก็ตายดีๆ ตายอย่างที่เรียกว่ามี ความหลุดพ้น หรือจะเป็นอะไรทุกอย่างหรือเป็นพ่อค้าก็จะเป็นได้ดี จะเป็น ศิลปินก็เป็นได้ดี แม้แต่ว่าจะเป็นขอทานก็เป็นขอทานได้ดี เป็นคนขอทานที่ดี ที่จะพ้นจากความเป็นคนขอทานได้ในเวลาอันสั้นถ้าว่าเขาเป็น คนขอทานที่มี ธรรมะ เดี๋ยวนี้มันมีแต่ขอทานอันธพาลไม่ให้มันก็ด่า (1:47) ขอทานอันธพาล มีธรรมะเสียก่อนแล้วก็จะนำหรือสอนหรือพาผู้อื่นไปได้ จะพาผู้อื่นไปโดยไม่มี ธรรมะมันก็ไม่รู้จะไปไหนกันมันก็เป็นไปไม่ได้ มีธรรมะแล้วมันก็จะเป็นผู้นำผู้ สอนหรือผู้พาที่ดี มีจิตใจเข้มแข็งเพราะความมีธรรมะ ความมีธรรมะทำให้ จิตใจเข้มแข็ง แต่ไม่ใช่แข็งกระด้างอย่างอันธพาล แต่มันเข้มแข็งในทางที่ชนะ กิเลส มันจะประยุกต์ได้ในการงานทุุกชนิดของมนุษย์ ธรรมะเป็นเพื่อนๆที่ดีที่สุด มีธรรมะเป็นเพื่อนแล้วไม่มีเหงา ถ้าใครรู้สึกมีความเหงาแล้วก็รู้ว่าคนนั้นมัน ไม่มีธรรมะในตัวเองยังไม่มี ธรรมะ มันจะรู้สึกเหงารู้สึกว้าเหว่ ถ้ามีธรรมะมันจะ มีความรู้สึกที่แน่ใจไม่เหงาไม่ว้าเหว่ มีธรรมะมันก็จะมีธรรมะเป็นเพื่อน แล้วก็จะ เริ่มพบกับความสงบเย็น มีธรรมะจะมีความสงบเย็นเป็นเพื่อนแล้วมันก็ไม่เหงา จะพัฒนาชีวิตให้พร้อมอยู่เสมอที่จะก้าวหน้า เพราะว่าเรื่องมันยังไกลอยู่ต้องมี ความพร้อมที่จะก้าวหน้าๆๆๆ ในที่สุดก็จะถึงจุดหมายปลายทาง ไม่มีการขัด แย้งในตัวเอง คนเรามีการขัดแย้งตัวเองคือทิฐิๆ ความคิดความเห็นต่างๆนานา ทิฐินี่ดึงไปทางนี้ ทิฐินู่นดึงไปทางนู้น ทิฐินู้นดึงไปทางนู้น เปรียบเหมือนกับว่า จับสัตว์มาผูกก็เป็นพวง ให้ (1:49:37) ชนิดจับงูจับนกจับปลาจับเสือมาผูก เข้าเป็นพวงแล้วปล่อย มันก็ดึงกันสิ นกมันก็จะบินขึ้นอากาศ ปลามันก็จะลงน้ำ งูมันจะเข้าโพรง เสือมันจะเข้าป่า มันก็ดึงกันอย่างนี้ แต่ถ้าเรามีธรรมะแล้วไม่มี การดึงกันอย่างนี้ ไม่มีการขัดแย้งในตัวเองหรือว่านอกตัวเองนี่ มันจะทำให้เกิด ความเป็นไปได้ ถูกต้องเหมาะสมทุกชนิด ไม่ว่าจะอยู่ทีี่ไหน อย่าแก้ตัวว่าอยู่ที่นี่ ไม่มีความสงบปฏิบัติไม่ได้ ปฏิบัติที่ไม่ได้นั้นมันอยู่ที่มันปฏิบัติไม่ถูก ถ้าปฏิบัติ ถูกแล้วมันก็จะเป็นที่สงบไปทั้งนั้น เราจะทำเป็นที่สงบได้ทั้งนั้น แม้เราจะนั่งอยู่ ข้างโรงอุตสาหกรรมเครื่องจักรดังตึงตังอยู่ตลอดเวลา เราก็ทำใจให้สงบได้เรา ได้ยินแต่เสียงลมหายใจเราก็ได้ยินเสียงเครื่องจักรเลย เราสามารถที่จะปรับ ปรุงมันให้เป็นที่สงบไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ต้องแก้ตัวว่าไม่มีที่สงบหรือที่อยู่ของ ฉันมันไม่สงบ นั่นมันเรื่องของคนชอบแก้ตัว ไม่มีความตื่นเต้นใดใดที่จะทำให้ เกิดความฟุ้งซ่านหรือเขาก็มีความปกติๆๆคำ นี้สำคัญมากนะ ไอ้ความปกติ นี่มันสำคัญมากมันไม่บวกมันไม่ลบมันไม่ดีมันไม่ชั่วมันไม่สูงมันไม่ต่ำมันไม่ วุ่นวายอะไรหมดมันไม่ยินดีมันไม่ยินร้ายมันไม่ดีใจมันไม่เสียใจ เรียกว่าปกติๆๆ นั่นแหละสัญลักษณ์ของพระนิพพาน คือมีความปกติๆๆ แยกตัวเองออกได้จาก ไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์เนี่ยความรู้ที่เขาบัญญัติสำเร็จรูปให้ยึดถือโดยไม่ต้อง รู้ว่าอะไร นั่นเรียกว่าไสยศาสตร์ๆกระทำไป เราไม่ต้องทำอย่างนั้นเรามีพุทธ ศาสตร์ เรารู้ว่าต้องทำอย่างไร ทำทำไม หรือพุทธศาสตร์มันก็สามารถที่จะ ปฏิบัติของตัวเองไปสู่ความถูกต้อง แต่ถ้าไม่มีความรู้อย่างพุทธศาสตร์หรือ ธรรมะมันก็ต้องเป็นไสยศาสตร์ไปก่อน ไสยศาสตร์นี่ยังเลิกไม่ได้เพราะยังมี คนปัญญาอ่อนอยู่ในบ้านในเมืองในโลกนี้มากนัก ไสยศาสตร์นี่ต้องเก็บไว้ให้ คนปัญญาอ่อน สำเร็จรูปให้ทำตามไป หลับตาทำตามไปก็แล้วกันมันก็สำเร็จ เรื่องไสยศาสตร์ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องพุทธศาสตร์มันต้องถูกต้องๆมีเหตุผล มีเหตุผลและสำเร็จประโยชน์ได้จริง ทีแรกก็เป็นไสยศาสตร์แล้วก็กลายเป็น พุทธศาสตร์มันประสบความสำเร็จ ไสยะแปลว่าหลับ ไสยศาสตร์แปลว่า ศาสตร์ของคนที่กำลังหลับอยู่ พุทธะมันแปลว่าตื่น พุทธศาสตร์มันก็ศาสตร์ สำหรับผู้ที่ตื่น คนหลับนี่มีหน้าที่ที่จะต้องตื่น แต่ถ้ายังตื่นไม่ได้มันก็ต้องหลับไป ก่อนแล้วมีไสยศาสตร์ไปก่อน แต่รู้จักพอเสียบ้างนะเรื่องไสยศาสตร์ เป็น พุทธศาสตร์กันเสียที ในที่สุดบุคคลชนิดนี้ก็มีประโยช์อย่างหนึ่งแก่โลก สามารถ ที่จะเป็นผู้นำ นำในโลกเนี่ย นำทั้งหมด หรือนำบางส่วนก็ได้ นำบางอย่างบาง ชนิดก็ได้บางระดับก็ได้ เขาเป็นผู้เหมาะที่จะเป็นผู้นำเพราะว่าเขานำตัวเองได้ แล้วเขาก็จะนำผู้อื่นได้ จะนำครอบครัวหรือจะนำหมู่คณะนำอะไรก็ตามเนี่ยมัน ก็เรียกว่าเป็นผู้นำ คือเขานำชีวิตนี้ไปได้จากความมืดความงมงายความไม่รู้ อะไร ที่นี่คือผลของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ขอทบทวนอีกครั้งหนึ่งว่ามีอยู่3ความ หมาย 1.จะช่วยบุคคลลุถึงนิพพาน 2.จะช่วยสังคมหรือโลกนี่ประสบสันติภาพ และ 3.จะช่วยทุกคนมีคุณธรรมสำหรับดำเนินชีวิตๆไปอย่างถูกต้องที่สุด และบรรลุจุดหมายในที่สุด นี่ธรรมะเป็นเครื่องดำเนินชีวิตโดยรายละเอียด ประจำวันประจำเดือนประจำปีของคนทุกคน มีธรรมะเป็นตัวเองเป็นกฏเกณฑ์ ของตัวเอง ทำถูกต้องแล้วก็จะเกิดผลดีอย่างนี้ โดยขอให้ตั้งใจไว้ว่าธรรมะจะให้ ประโยชน์ใหญ่หลวงถึง3ความหมายว่าให้บุคคล บรรลุนิพพาน ให้สังคมบรรลุ สันติภาพ ให้การดำเนินชีวิตประจำวันเป็นไปแต่ในทางที่ถูกต้องโดยส่วนเดียว ขอให้ท่านทั้งหลายประสบความสำเร็จในการมาศึกษาธรรมะ ขอให้ได้รู้ธรรมะ ขอให้ได้ปฏิบัติธรรมะ ขอให้มีธรรมะ แล้วขอให้ได้ใช้ธรรมะ แล้วก็ให้ได้อยู่กับ ธรรมะ มีธรรมะเป็นวิหารธรรม ประสบแต่ความถูกต้องในการดำรงชีวิตอยู่ ตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอขอบพระคุณเป็นผู้ฟังที่ดีเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ด้วยความอดกลั้นอดทน ขอบคุณหน่อยที่มาช่วยทำให้อาตมาเป็นคนมี ประโยชน์ มิฉะนั้นอาตมาจะเป็นคนไม่มีประโยชน์ ท่านทั้งหลายมาช่วยทำให้ อาตมาเป็นคนมีประโยชน์ขอขอบคุณๆ ท่านทั้งหลายไม่ต้องขอบคุณ อาตมา ขอบคุณเอง ขอปิดประชุม (1:56:31)โดยไม่ต้องมีตัวผู้เดิน มีสติสัมปะชัญญะ กำหนดธรรมะ ไม่มีตัวกูของกู ปล่อยให้ว่าเดินไปอย่างไม่มีตัวผู้เดิน