แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ความ ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย วันนี้เราจะได้พูดกันถึงเรื่องที่ต่อจากวานนี้ เรามาพูดกันเวลา 5:00 น. แล้วยังมีการเดินจากที่อบรมมาสู่สถานที่นี้เป็นพิเศษประมาณสักกิโลครึ่ง ก็จัดว่าเป็นบทเรียนด้วยไม่ใช่ว่าเดินเพราะจำเป็นต้องเดิน มีความมุ่งหมายที่จะให้เป็นบทเรียน หรือเป็นโรงเรียนอยู่ในการเดิน จึงต้องมีกำหนดกฎเกณฑ์ว่าเดินอย่างไม่มีตัวผู้เดิน มันจะเป็น morning walk พิเศษ เป็น morning walk ของบริหารกำลัง บริหารกาย แต่ morning walk ของเราเป็นการเข้าโรงเรียนศึกษาธรรมะ และเดินอย่างไม่มีตัวผู้เดิน มีแต่สติสัมปชัญญะควบคุมให้นามรูปคือร่างกายและจิตใจเคลื่อนไหวไปอย่างถูกต้องโดยไม่มีความรู้สึกว่าตัวกูหรือของกู ถ้าท่านรู้สึกว่ากูเดิน นั่นก็ไม่ใช่บทเรียน กูเดินมันมีเรื่องกู ของกู จะต้องถึง จะไม่ถึง จะลำบาก จะยุ่งยาก อย่างนั้นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้จิตใจเกลี้ยง ไม่มีอะไร ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู มีแต่สติสัมปชัญญะควบคุมการเดินให้เรียบร้อย ถูกต้อง ปลอดภัย เขามักจะใช้บทบริกรรมกันว่า ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ อย่างนั้นก็ได้เหมือนกัน แต่ไม่ต้องถึงอย่างนั้นก็ได้ มีสติสัมปชัญญะ รักษาจิตสงบ เกลี้ยง นิ่ง ว่าง แล้วควบคุมการเดินให้เรียบร้อย แม้ว่าจะเดินจงกรมในระยะสั้นๆ ในที่ฝึกธรรมาสงฆ์มันก็เหมือนกันแหละ ก็ต้องเดินอย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้มันยาวหน่อย ก็เดินอย่างนั้นเป็นการฝึกบทเรียนที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา คือ อนัตตา ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู สรุปแล้วมันก็มีการนั่งโดยไม่มีผู้นั่ง มีการยืนโดยไม่มีผู้ยืน มีการนอนโดยไม่มีผู้นอน คือไม่มีตัวกูซึ่งเป็นผู้อย่างนู้นอย่างนี้ สรุปสั้นที่สุดก็เรียกว่ามีการกระทำแล้วโดยไม่ต้องมีตัวผู้กระทำ ตัวผู้กระทำคือตัวกู ตัวอัตตา อย่าเอากะมัน มีจิตเกลี้ยง มีจิตว่าง แต่ว่าเต็มไปด้วยสติสัมปชัญญะ ถ้ามีตัวกูของกู มันอัดอยู่ในตัวกูของกู มันไม่มีสติสัมปชัญญะ พอไม่มีตัวกูของกูมันก็เต็มอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ บทเรียนนี้เรียกสั้นๆว่า กระทำโดยไม่ต้องมีตัวกูผู้กระทำ แต่มันมีสติสัมปชัญญะเต็มที่ ดังนั้นมันจะกระทำถูก แล้วก็ถูกไปในทางที่จะไม่เป็นทุกข์ ถ้ามีตัวกูของกูเป็นผู้กระทำ มันก็มีกิเลสกระทำ มันก็ถูกอย่างกิเลส ของกิเลส เพื่อกิเลส มันก็มีผลอีกแบบหนึ่ง จำบทเรียนสั้นๆว่ากระทำโดยไม่ต้องมีตัวผู้กระทำ ก็เลยไปถึงว่า จะยืน เดิน นั่ง นอน ก็ตาม จะกินข้าว จะอาบน้ำ จะทำงาน จะอะไร ก็เรียกว่าอย่ามีตัวกู จะเรียกว่าลืมตัวกูก็ได้ แต่คนละความหมายไอ้ ลืมตัว อย่างโง่เขลาน่ะ มันใช้ไม่ได้หรอก แต่ลืมตัวด้วยสติสัมปชัญญะ มีสติสัมปชัญญะทำหน้าที่เสียอย่างสุด ที่สุด แล้วก็ไม่คำนึงถึงตัวกูของกู นี่ก็จะเรียกว่ามีสติสัมปชัญญะทำงานได้ดี ทำงานได้ดีไม่มีผิดพลาด การงานทั้งหลายของท่านทั้งหลายก็จะกลายเป็นการปฏิบัติธรรม ไถนาอยู่ก็เป็นการปฏิบัติธรรม ทำสวนอยู่ก็เป็นการปฏิบัติธรรม ค้าขายอยู่ก็เป็นการปฏิบัติธรรม ทำงานที่บ้าน ทำงานที่ออฟฟิศอะไรก็เป็นการปฏิบัติธรรม จะกินข้าว อาบน้ำ จะถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ก็เป็นการปฏิบัติธรรมไปเสีย ถ้าว่าไม่มีตัวกูเป็นผู้กระทำ มันมีสติสัมปชัญญะ นี่บทเรียนใหญ่โดยทั่วไปเป็นที่รวมของบทเรียนทั้งหมด ขอให้เข้าใจ ให้ไปจดจำไว้ แล้วก็ประพฤติปฏิบัติ ทำด้วยสติสัมปชัญญะ อย่าทำด้วยกิเลสตัณหาว่าตัวกูว่าของกู โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะรับประทานอาหาร ระวังนะถ้ารับประทานอาหารด้วยตัวกูของกู มันก็มีเรื่องยินดียินร้าย ถ้ารับประทานด้วยสติสัมปชัญญะ มีแต่การรับประทาน มันก็ไม่มีเรื่องยุ่งยากด้วยเรื่อง อร่อยไม่อร่อย เป็นบวกเป็นลบ เป็นดีใจเป็นเสียใจ เป็นโกรธแม่ครัวให้ไปยุ่งยากลำบาก ไม่มีตัวกูก็ให้อวัยวะตามธรรมชาติมันทำไป ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำไปด้วยสติสัมปชัญญะ อย่าให้เป็นตัวกูขึ้นมา นี่คือใจความทั้งหมด ไม่มีความกระหายความอยากแห่งตัวกู มีแต่สติสัมปชัญญะ จะทำให้มันถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง นี่คือบทเรียน แล้วทดลองดู morning walk แบบพุทธบริษัท เดินโดยไม่ต้องมีผู้เดิน ก็เดินด้วยจิตว่าง เดินด้วยความว่างแห่งจิต พอว่างแล้วสติสัมปชัญญะมันเข้ามาแทน ถ้าตัวกูของกูอัดเต็มแน่นอยู่ สติสัมปชัญญะไม่มี เกิดไม่ได้ เข้ามาไม่ได้ นี่ก็ขอให้ใช้เวลา 5:00 น.ฝึกบทเรียนบทนี้ด้วย ไม่ว่าจะเดินมาหรือเดินไป เดินกลับ หรือจะเดินอยู่ที่ที่ธรรมาสงฆ์นู้น มันก็มีการเดินเหมือนกัน เพราะว่าบทเรียนของการฝึกสมาธิก็มีการเดิน การนั่ง การนอน การยืน ทีนี้ก็จะได้พูดถึงเรื่องที่ต่อจากเมื่อวานนี้ ว่าเราเกิดมาโดยไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา ไม่ได้สัญญากับใครว่าจะเกิดมา เมื่อเกิดมาแล้วตามธรรมชาติของชีวิตในโลกนี้มีบิดามารดาเป็นแดนเกิด มันก็มีการเกิด ครั้นเกิดออกมาแล้วก็มีปัญหาว่าจะทำอย่างไรกัน จะไม่รับผิดชอบว่ากูไม่ได้ตั้งใจจะเกิด ไม่ได้สัญญาจะเกิด ไม่ต้องทำอะไรก็ได้เหมือนกัน ก็ลองดูเถอะ ถ้าทำอย่างนั้นมันจะมีผลยังไง เพราะฉะนั้นก็มีความจำเป็นที่ว่าจะทำอย่างไรให้ถูกต้องกับเรื่องที่ว่าเกิดมา สมมติ อุปมาเหมือนอย่างว่า มันถูกจับไปปล่อยเกาะร้าง เอาซิต่อไปนี้แกจะทำอย่างไรล่ะ จะสมัครตายหรือจะสมัครอยู่ ถ้าสมัครอยู่ก็ขวนขวายสิ หาให้รู้ว่าจะทำที่อาศัยที่ตรงไหน จะได้อาหารอย่างไร จะได้ความปลอดภัยอย่างไร จะดำเนินชีวิตอย่างไร ก็หา หา หา ก็ทำ ทำ ทำ มันต้องเป็นอย่างนั้น นี่มันเกิดมาจากท้องมารดาโดยปราศจากความรู้ในเรื่องนี้ แล้วค่อยๆมาแสวงหาความรู้ สะสมความรู้ รู้มากขึ้น มากขึ้น จนไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการเกิดมา เรื่องมันเป็นอย่างนี้ การเกิดมานี่ก็เกิดเข้ามาในขอบเขตหรืออำนาจของกฎธรรมชาติ กฎของธรรมชาติมันน่ะมีอยู่ มันก็เกิดโดยกฎของธรรมชาติ เกิดมาตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็ไม่พ้นไปจากการครอบงำของกฎของธรรมชาติ มันก็มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มันจึงจะหมดปัญหา ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะเต็มไปด้วยความทุกข์ และเดี๋ยวนี้มันก็ได้เป็นแล้วเพราะว่าเราได้เกิดมา โดยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร มันก็เข้ามาสู่ขอบเขตของความทุกข์ปัญหาของความทุกข์ ถ้าไม่มองเห็นเป็นความทุกข์มันก็ไม่มีปัญหา เพราะฉะนั้นจงมองเห็นปัญหาข้อแรกคือความทุกข์กันเสียก่อน ไม่มีสติปัญญา ไม่มีความรู้อันถูกต้อง มันก็เป็นความผิดไม่รู้ หรือเป็นความผิดพลาดอยู่ในตัว มันก็เกิดความทุกข์ มีลักษณะที่จะศึกษาได้ง่ายๆว่า ชีวิตมันกัดเจ้าของ (ฝนมาเสียแล้วนี่ จะต้องหยุด จะต้องเลิกนี่ รอดูอีกนิดหนึ่ง)ชีวิตที่ไม่มีความรู้ทางธรรมะที่เรากำลังศึกษา ชีวิตชนิดนั้นมันกัดเจ้าของ ดูเอาเองตามที่เป็นจริงว่ามันกัดอย่างไร คือมันมีการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มันก็เกิดการกัดเจ้าของ เดี๋ยวความรักกัด เดี๋ยวความโกรธกัด เดี๋ยวความเกลียดกัด เดี๋ยวความกลัวกัด เดี๋ยวความตื่นเต้น ตื่นเต้นกัด เดี๋ยววิตกกังวลกัด เดี๋ยวอาลัยอาวรณ์กัด เดี๋ยวอิจฉาริษยากัด เดี๋ยวความหวงกัด เดี๋ยวความหึงกัด สิบอย่างเท่านี้มันก็พอจะเป็นตัวอย่างแล้ว ที่จริงมันก็มีมากกว่านี้มาก แต่สิบอย่างนี้มันก็เกินพอแล้วที่จะเห็นว่า โอ้! ปัญหา นี่เป็นชีวิตที่กัดเจ้าของ มันเป็นชีวิตที่จะเลวกว่าสุนัขละมั๊ง เพราะว่าสุนัขมันยังไม่กัดเจ้าของนี่ พวกฝรั่งที่เขามากันทุกเดือน มันชอบคำพูดคำนี้ จึงได้สนใจธรรมะก็ได้พบวิถีใหม่แห่งชีวิต แล้วก็ได้ชีวิตใหม่ คือชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ปฏิบัติถูกต้องจนไม่มีการกัดเจ้าของเป็นอย่างนี้ ขอให้เอาจุดนี้เป็นจุดตั้งต้นของการศึกษาและการปฏิบัติว่าจะพบ หรือมี หรือใช้ ชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ คือไม่เกิดความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความตื่นเต้น วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หวงหึง นี่เป็นตัวอย่างเท่านั้นแหละมันพอแล้ว ที่จริงมันมีหลายสิบอย่างหลายร้อยอย่างในการกัดเจ้าของ ถ้าไม่มองเห็นความจริงข้อนี้มันก็ศึกษาไปไม่ถูกหรอกเพราะมันไม่มีตัวปัญหา ไอ้ตัวปัญหาคือตัวความทุกข์ แม้แต่ความสุขมันก็กลายเป็นความทุกข์ มันก็เป็นปัญหาเหมือนกัน ก็ต้องรู้จักความทุกข์กันเป็นจุดแรก แล้วก็ขจัดให้มันหมดไป รู้เรื่องความจริงของความทุกข์ว่าเป็นอย่างไร แล้วมันเกิดมาอย่างไร แล้วมันจะดับไปได้อย่างไร ความทุกข์เกิดอย่างไร ความทุกข์ดับอย่างไรนี่ เขาเรียกว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาท มันต้องใช้คำเดิมในภาษาบาลีสะดวกกว่า ปฏิจจสมุปบาท ขอให้ช่วยจำสักหน่อยแม้ว่าจะเป็นคำแปลก ปฏิจจ แปลว่าอาศัยกัน สมุปบาท แปลว่าเกิดขึ้นพร้อม อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น แล้วเกิดใหม่ต่อๆกันจนเป็นความทุกข์ จนกว่าจะเป็นความดับทุกข์ ก็ต้องอาศัยกันแล้วเกิดขึ้นทั้งนั้น ดังนั้นเราจะต้องรู้กันถึงเรื่องนี้ เรียกสั้นๆว่าปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าท่านตรัสชื่อนี้เต็มที่ ยาวเต็มที่ก็ว่า อิทัปปัจยตาปฏิจจสมุปบาท เรียกเต็มยาวขนาดนั้น อิทัปปัจยตาปฏิจจสมุปบาท ความเป็นไปตามปัจจัยแล้วอาศัยกันเกิดขึ้น ทุกอย่างเป็นอย่างนั้นทั้งนั้นแหละ จะในแง่ของความทุกข์หรือความไม่ทุกข์ หรือเป็นธรรมชาติล้วนๆก็อาศัยกันเกิดขึ้นทั้งนั้น สากลจักรวาลนี่มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวทั้งหลายมากมาย มันก็เป็นไปตามปัจจัยอาศัยกันเกิดขึ้นทั้งนั้น เป็นเรื่องครอบจักรวาลแต่ว่ามันไม่เกี่ยวกับเรา ที่เกี่ยวกับเรา ในตัวเรา มันอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น แล้วเป็นทุกข์นี่ มาจัดการกันในข้อนี้ดีกว่า ศึกษาให้รู้เรื่องนี้ เรียกว่าศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาท แล้วควบคุมปฏิจจสมุปบาทให้ถูกต้อง คือไม่ให้เกิด หรือให้เกิดไปในทางที่ควรจะเกิด มันก็ไม่มีความทุกข์ แล้วสิ่งที่จะควบคุมนั้นก็คือสติ สติ สติ ที่เรากำลังฝึกนั่นเอง เราจึงต้องฝึกสติ ให้สามารถมีสติ และมีสิ่งที่เนื่องกันอยู่กับสติ เช่น ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ เป็นต้น เอาไปใช้ควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท เราจึงมีการสอนเรื่องปฏิจจสมุปบาทและการฝึกอานาปานสติ สองเรื่องเท่านั้นพอ ตามหลักการสอนการอบรมของธรรมาสงฆ์นี่ ก็มีสองเรื่องเท่านี้ รู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ว่าทุกข์เกิดดับอย่างไร ฝึกสติ มีสติ ควบคุมมันไว้ให้ได้ มันก็ไม่มี ไม่เกิด ในทางที่จะเป็นทุกข์ มันก็ดับทุกข์ นี่เรื่องปฏิจจสมุปบาท เพราะฉะนั้นขอให้เราสนใจคำนี้ แล้วก็ศึกษา ศึกษา ฝนตกลงมานี้ก็เป็นเรื่องปฏิจจสมุปบาทของธรรมชาติของฝน มันสอนกันตรงๆอย่างนี้ได้ไหม แต่มันเป็นเรื่องภายนอก ที่มันเป็นเรื่องภายในปรุงแต่งกันอยู่ภายในเกิดเป็นความทุกข์ หรือไม่เกิดความทุกข์เกิดเป็นความดับทุกข์ก็แล้วแต่ มันเป็นเรื่องปฏิจจสมุปบาท (นี่จะเอากันยังไง จะหยุดไหม เสี่ยงว่าฝนมันจะตกอีกหรือมันจะหยุด) ทีนี้มันเป็นเรื่องลึก เป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องเข้าใจยาก ก็ไม่เอามาสอนกัน บางทีก็มีการห้ามซะอีกว่าอย่าเอามาสอนเลยมันยากเกินไป แล้วมันก็ยากจริงๆด้วย ยากจนถึงกับว่าพอพระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องนี้ การตรัสรู้ ตรัสรู้เรื่องนี้นะ การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านี้คือตรัสรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท เกิดทุกข์อย่างไร ดับทุกข์อย่างไร พอท่านตรัสรู้แล้ว ท่านก็ โอ้! จะเอาไปสอนใครที่ไหน ใครมันจะรู้ ท่านตรัสตามกระแส ไม่สอน ไม่สอน ป่วยการ เหนื่อยเปล่า แต่แล้วท่านก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ก็จะมีบางคน ไม่กี่คน ตามใจ แต่จะมีบางคนที่รู้ได้ ถ้าเราไม่สอนคนเหล่านี้ก็ไม่ได้รับประโยชน์ ขาดประโยชน์ ถ้างั้นสอนดีกว่า การฉุกคิดกลับที่จะสอนอย่างนี้ เขาพูดไว้ในบุคลาธิษฐาน (นาทีที่ 19:45) ว่าพระพรหมนู้น พระพรหมมาจากพรหมโลกอาราธนาอ้อนวอนขอให้พระพุทธเจ้าช่วยสอนเถิด อย่างนี้ก็ตามใจ เหมือนกันแหละพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ทำไมท่านจะรู้ไม่ได้เรื่องนี้ว่ามันควรจะสอน เพราะมันมีบางคน บางคนที่จะรู้ได้ ท่านก็ตกลงสอน ขอให้พวกเราทุกคนรวมอยู่ในพวกที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า บางคน บางคนที่จะรู้ได้ แล้วก็ทำตัวเป็นบางคนที่จะรู้ได้ ศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาท แต่ก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องยากที่สุดในบรรดาที่จะต้องเรียน จะต้องรู้ พระเถระผู้เฒ่าบางท่านก็บอกทำนองขอร้องอาตมาว่า อย่า อย่าสอนเรื่องยากๆอย่างนี้ สอนเรื่องศีลธรรม ทำมาหากิน ตั้งเนื้อตั้งตัวอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุขก็พอแล้ว อย่าสอนเรื่องสุญญตา เรื่องอนัตตา เรื่องปฏิจจสมุปบาทเลย แต่อาตมาก็หัวดื้อ หัวดื้อตามเดิม ยังสอนอยู่ ยังพยายามจะสอน ยังพยายามจะเข็นครกขึ้นภูเขา ขึ้นภูเขาอยู่อย่างนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดีเถอะ มันมีทางที่จะรู้ได้ อาตมาได้ศึกษา พยายามศึกษา พยายามหาวิธีสอนตลอดเวลาตั้งห้าสิบปีแล้วนะ มันครึ่งศตวรรษแล้วนะ ที่ศึกษาเรื่องนี้ พยายามในเรื่องนี้ แล้วก็หาทางที่จะสอนในเรื่องนี้ มันก็พบว่าพอจะมีทาง พอจะมีทางเข้าใจได้ แต่ขอให้ทุกคนตั้งใจจริง ตั้งใจจริงศึกษาเบื้องต้นให้รู้เรื่องความทุกข์ที่มีอยู่จริง แล้วก็ศึกษาจากความทุกข์นั่นแหละ ให้พบสิ่งที่มันตรงกันข้าม โดยคำนวณว่าตรงกันข้ามเป็นอย่างไร พบแล้วก็ปฏิบัติให้ได้เป็นอย่างนั้น มันก็ดับทุกข์ได้ เมื่อพยายามที่จะให้เข้าใจได้ ในการศึกษาแม้ของยุวชนลูกเด็กๆ ท่านคงจะไม่เชื่อว่าจะสอนลูกเด็กๆได้ แต่ก็ขอให้ลองฟังดูก่อน ถ้าทำให้เขารู้จักเรื่องความทุกข์ได้ละก้อมีทางสอนได้ แล้วก็เขาพูดเรื่องปฏิจจสมุปบาท คือใจความก็ว่าความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไรในชีวิต ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะว่าเราไม่มีความรู้มาแต่ในท้องมารดา คลอดออกมาโดยไม่มีความรู้เรื่องนี้ แล้วก็ต้องมาเผชิญกันกับปัญหา ก็ต่อสู้เอาเอง เรื่องปฏิจจสมุปบาทมันตั้งต้นที่ว่า ชีวิตนี้มันมีสิ่งสำคัญก็คืออายตนะที่อยู่ข้างใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะที่อยู่ข้างใน แล้วก็อายตนะที่อยู่ข้างนอกคือ รูปที่จะกระทบตา เสียงที่จะกระทบหู กลิ่นที่จะกระทบจมูก รสที่จะกระทบลิ้น สัมผัสผิวหนังที่จะมากระทบผิวหนัง ความคิดความรู้สึกที่จะมากระทบจิต ก็เลยได้เป็นข้างในก็หก ข้างนอกก็หก ถ้าไม่รู้จักหกคู่นี้แล้ว ป่วยการ ไม่อาจจะศึกษาปฏิจจสมุปบาท แต่มันยากเกินไปหรือไม่ ของลูกเด็กๆมาบอกว่าแกมีตา แล้วก็มีสิ่งที่มากระทบตา ทางตา แกก็มีหู สิ่งที่มากระทบหู แกก็มี จมูก ลิ้น กาย ใจ ครบหก เด็กๆก็พอจะเข้าใจได้ นี่เรียกว่ารู้เบื้องต้นที่สุดแล้วว่าในร่างกาย ร่างกายอัตภาพนี้มันมีไอ้นี่ อายตนะภายในกับอายตนะภายนอก แล้วก็ให้สังเกตต่อไปว่า พออายตนะภายในเช่นตาเป็นต้น ได้กระทบกับอายตนะภายนอกเช่นรูปเป็นต้น มันเกิดวิญญาณ วิญญาณคือความรู้สึกทางตา รู้จักทางตา วิญญาณในพระพุทธศาสนาหมายถึงอย่างนี้ ไม่ใช่วิญญาณจุติปฏิสนธิได้ แบบของฮินดูของเก่าของก่อนนั้นเขามีวิญญาณในลักษณะอย่างนั้น วิญญาณตายตัว วิญญาณท่องเที่ยว วิญญาณคงที่ ไม่ใช่ นั่นมันวิญญาณฝ่ายนู้น วิญญาณในพุทธศาสนามีปรากฏเมื่อมีการกระทบทางอายตนะ กระทบทางตาเรียกว่าเกิดจักษุวิญญาณ กระทบทางหูเรียกว่าเกิดโสตวิญญาณ กระทบทางจมูกเรียกว่าฆานวิญญาณ กระทบทางลิ้นเรียกว่าชิวหาวิญญาณ กระทบทางกายเรียกว่ากายวิญญาณ กระทบทางจิตเรียกว่ามโนวิญญาณ ก็จำคำว่าวิญญาณไว้หกเหมือนกัน มันหก สามชุดแล้วนะ หก อายตนะภายใน หกอายตนะภายนอก หกวิญญาณ มีการกระทบทางอาสนะที่ไหน เมื่อไร ก็เกิดวิญญาณที่นั่น เมื่อนั้น เกิดวิญญาณมันอาจจะสอนเด็กให้รู้ได้นะ ที่เขาเรียนวิทยาศาสตร์ยุ่งยากลำบากกว่านี้มาก ทำไมจะบอกให้เด็กๆรู้ไม่ได้ พอตากระทบกับรูปมันเกิดความรู้สึกทางตาก็เรียกว่าจักษุวิญญาณ ทั้งหกทาง วิญญาณทั้งหก เอ้า! รู้เรื่องวิญญาณ มันได้เป็นสามอย่างแล้วนะ คือว่าอายตนะภายใน เช่นตาเป็นต้น อายตนะภายนอกคือรูป และวิญญาณที่เกิดขึ้น เพราะการกระทบของของสองอย่างนี้มันเป็นสามอย่าง มันเป็นสามอย่างขึ้นมาแล้ว พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าการถึงกันเข้าระหว่างธรรมทั้งสามนี้ เรียกว่าผัสสะ ผัสสะคำนี้แปลว่าการกระทบ ถ้ามีความรู้ถูกต้องตามพระพุทธภาษิต จะต้องรู้ว่ามันกระทบกันระหว่างสิ่งสามอย่าง เราพูดกันชุ่ยๆหวัดๆตามศาลาวัดว่ากระทบสองอย่าง ตากับรูป หูกับเสียง มันสองอย่าง คนทั่วไปก็มักจะคิดอย่างนั้นว่าผัสสะ ผัสสะนี่กระทบกันระหว่างของสองอย่าง แต่ตามพระบาลีสามอย่าง ของสามอย่าง วิญญาณรู้จักอายตนะภายนอกที่เข้ามากระทบอายตนะภายใน เลยรู้จักทั้งสามอย่าง เช่นรู้จักทั้งตา รู้จักทั้งรูป รู้จักทั้งจักษุวิญญาณ ครบสาม ครบสาม ทั้งหก ทั้งหกอย่าง นี่เรียกว่ารู้จักผัสสะ ผัสสะ ทีนี้เมื่อมีผัสสะอย่างนี้แล้วมันก็ไม่หยุดอยู่แค่นั้น มันมีปฏิกิริยาต่อไปคือเกิดเวทนา คือความรู้สึก ผลของผัสสะเกิดเป็นเวทนา เรียกว่าเวทนา ถ้าถูกใจก็เรียกว่าสุขเวทนา ไม่ถูกใจก็เรียกว่าทุกขเวทนา ที่ไม่แน่ว่าถูกใจหรือไม่ถูกใจ ยังสงสัย ยังไม่แน่อยู่ก็เรียกว่าอทุกขมสุขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา อทุกขมสุขเวทนาอย่าไปเรียกว่าอุเบกขา ภาษาบาลีแท้ๆเรียกว่าอทุกขมสุขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา รู้สึกอย่างนี้แล้ว มันก็เกิดความอยากหรือตัณหาไปตามเวทนานั้น ถ้ามันเป็นสุขเวทนามันก็อยากได้ อยากเอา อยากมี อยากยึดครอง อยากหาเอามาให้มาก อยากสะสมไว้ให้มาก ถ้าสุขเวทนามันอยากอย่างนั้น ถ้าทุกขเวทนามันอยากจะฆ่า อยากจะทำลาย อยากจะประทุษร้าย มันก็เป็นทุกข์ เป็นแบบหนึ่ง เป็นลบ ทีแรกมันเป็นบวกมันก็จะเอา พอเป็นลบมันก็จะฆ่าจะทำลาย ถ้ามันเป็นอทุกขมสุขไม่รู้ว่าบวกหรือลบแน่ สุขหรือทุกข์แน่ มันก็โง่เท่าเดิม โง่ตามเดิม แต่มันไม่พ้นจากการที่จะสงสัย นี่มันจะเปลี่ยนเป็นสุขก็ได้นะ หรือสงสัยจะเป็นทุกข์มันก็ระวังอยู่นา มันก็มีปัญหา ถ้าทำแบบนั้น สุขเวทนามันก็ต้องเกิดความอยาก แบบเอา แบบดึงเข้ามา ทุกขเวทนาก็เกิดความรู้สึกผลักออกไปคือทำลาย ไอ้อทุกขมสุขเวทนามันโง่เท่าเดิม มันก็วิ่งอยู่รอบๆ วิ่งอยู่รอบๆไม่รู้จะผลักดีหรือจะดูด จะดึงดี เด็กพอจะเข้าใจได้นะ อย่าไปดูถูกเด็กๆ มีเวทนาแล้วก็มีความอยากอย่างนี้เรียกว่าตัณหา ตัณหาพวกหนึ่งอยากจะดึงดูดเข้ามา ตัณหาพวกหนึ่งอยากจะผลักออกไป ตัณหาพวกหนึ่งอยากจะเลิก ทำลายเสียให้หมดสิ้นไม่มีเหลือ นี่เรียกว่าตัณหา และเวทนาให้เกิดตัณหา มันไม่ยากเกินกว่าที่เด็กๆเขาเรียนวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ยุ่งยากกว่านี้ เกิดตัณหา ความอยาก ความอยาก อยาก อยากที่รุนแรงหนัก อยาก อยาก อยาก ก็เกิดโง่ขึ้นมาว่ามีตัวกูผู้อยาก ต้องอยากก่อน มีการกระทำที่เป็นความอยาก จึงจะรู้สึกว่าผู้กระทำคือตัวกู ต้องระวังให้ดี มันต้องมีการกระทำก่อน มันจึงจะรู้สึกว่ามีผู้กระทำ หรือว่าเสวยผลของการกระทำอยู่ จึงจะเกิดความรู้สึกว่ามีตัวกูผู้เสวย อย่างนี้เรียกว่าตัณหาให้เกิดอุปาทาน อุปาทานว่าตัวกู แล้วมันก็จะต้องมีสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องที่เรียกว่าของกู มันจึงเกิดทั้งตัวกูเกิดทั้งของกู นี่เรียกว่าอุปาทาน อุปาทานเป็นเรื่องทางจิตในภายใน ถ้ามีอุปาทาน อุปาทานอย่างนี้ ว่าตัวกูอย่างนี้ แล้วก็เป็นจุดตั้งต้นแห่งความมี มีภพ มีชาติ มันตั้งต้นที่จุดนี้แหละ ก็คือมันมีตัวกู เพราะมีอุปาทานจึงมีภพ ภวะ(นาทีที่ 31:37) ภพแปลว่าความมีอยู่หรือความเป็นอยู่แห่งตัวกู ก็เรียกว่าภพ อุปาทานให้เกิดภพ เป็นจุดตั้งต้นเรียกก่อหวอดนั่น ภพ แล้วมันก็เจริญ เจริญ เจริญมาก เหมือนกะว่าตั้งครรภ์แล้วครรภ์ก็แก่ แก่จนจะคลอด พอภพมันรุนแรงถึงที่สุดแล้วมันก็เกิดชาติ ชา-ติ เกิด เกิดออกมาเป็นตัวกู เป็นของกู สมบูรณ์ มันก็แสดงบทบาทแห่งตัวกู คอยเอาอะไรๆมาเป็นของกู แล้วมันก็เอาความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นของกู ถ้ามีชาติมีความเกิดแล้วก็เป็นที่ตั้งแห่งความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นของกู เอาความทุกข์ ทุกข์ชนิดเป็นของกู ความโศก ความพิลัยรำพัน ความแห้งใจ ความปรารถนา แล้วไม่ได้ตามที่ปรารถนา มีสิ่งที่รัก มีสิ่งที่ไม่รัก เป็นของกู นี่ความทุกข์ก็สมบูรณ์กันที่ตรงนี้ แล้วจะอธิบายกันอย่างวัตถุก็ได้ แต่ให้มันเป็นเรื่องทางจิต เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต พ่ออุตส่าห์พยายามให้ลูกเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาทเถอะ ไม่เท่าไหร่พ่อเองจะรู้มากขึ้น จะรู้ดีขึ้น อาตมาเชื่อว่าแม้ลูกเด็กๆมันก็พอจะเข้าใจได้ ถ้าว่าพ่อแม่พยายามอธิบายอย่างนั้น แต่ถ้าพ่อแม่เองก็ไม่รู้จะทำยังไง มันก็เป็นไปไม่ได้ พ่อแม่เองก็ยังไม่รู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท พอรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทก็ โอ้! ไอ้สิ่งที่เรียกว่าความทุกข์มันเกิดอย่างนี้ มันมีอวิชชาที่ผัสสะ ผัสสะมันโง่ ตากระทบรูปเกิดวิญญาณสามประการเรียกว่าผัสสะ ตรงผัสสะมันโง่ มันไม่รู้ มันไม่รู้อะไรเลย มันก็เกิดเวทนาที่หลอกให้เป็นบวกเป็นลบ หลงรักหลงเกลียด เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดภพ เกิดชาติ จุดตั้งต้นที่มันโง่เมื่อผัสสะ ถ้าเรามีสติเพียงพอไม่โง่เมื่อผัสสะ ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายที่ก่อให้เกิดทุกข์ก็เกิดไม่ได้ มันเกิดฝ่ายที่ไม่เป็นทุกข์ มันมีผัสสะฉลาด ผัสสะฉลาดมันไม่หลงเวทนา มันไม่หลงเวทนามันไม่เกิดตัณหา ไม่เกิดตัณหาไม่มีอุปาทาน ไม่มีภพไม่มีชาติมันดับทุกข์ ปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้มันดับทุกข์ เพราะอำนาจของสติ ปัญญา สัมปชัญญะ โดยแยกกันเป็นสองทาง ปฏิจจสมุปบาทให้เกิดความทุกข์ ปฏิจจสมุปบาทให้เกิดความไม่มีทุกข์ เป็นอันว่าเรารู้ต้นเหตุ รู้จักต้นเหตุดีที่สุดว่าความทุกข์เกิดอย่างไร แล้วก็ควบคุมต้นเหตุหรือตัดต้นเหตุนั้นเสีย ความทุกข์ก็เกิดไม่ได้ นี่คือพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งเหตุผล ก็ต่อสู้กับวิทยาศาสตร์ได้ แต่ที่ต่อสู้กันไม่ได้ก็เพราะวิทยาศาตร์เขาพูดกันแต่เรื่องทางวัตถุ วัตถุ วัตถุ ไม่พูดทางเรื่องจิตใจ พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาตร์ทางจิตใจ ทำไมเราพูดกันทางจิตใจ เราก็ว่านี่ วิทยาศาสตร์ที่ดีกว่าที่เหนือกว่า ดับทุกข์ได้ วิทยาศาสตร์ทางวัตถุยังมีแต่สร้างปัญหาให้ความทุกข์มันมากขึ้น ถ้ามีวิทยาศาสตร์ทางจิตใจก็ป้องกันความทุกข์ได้เพราะรู้จักต้นเหตุ ต้นเหตุว่าความทุกข์มันเกิดขึ้นอย่างไร จึงถือได้ว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งเหตุผล เมื่อมีคนถามพระอรหันต์องค์หนึ่งว่า พระศาสดาของท่านสอนอย่างไร พระอรหันต์องค์นั้นก็ตอบว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าธรรมทั้งปวงมีเหตุ เป็นไปตามเหตุ ก็ทรงแสดงเหตุแห่งธรรมทั้งปวง แล้วก็ทรงแสดงความดับแห่งธรรมทั้งปวง พระศาสดาของข้าพเจ้าสอนอย่างนี้ ที่เราเรียกกันว่าคาถาพระอัสสชิ คือหัวใจของพุทธศาสนา สรุปความให้เห็นว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งเหตุ คือมีเหตุ เป็นไปตามเหตุ ความที่มันเป็นไปตามเหตุเรียกว่าอิทัปปัจจยตา เมื่อเป็นไปตามเหตุ มันก็เกิดขึ้นจากสิ่งที่เป็นเหตุ ก็เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท เรียกกันเสียทั้งหมดก็ว่า อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท ความรู้เรื่องเหตุ แล้วก็จัดการที่ต้นเหตุ แล้วก็ได้รับผลสุดท้ายคือไม่มีความทุกข์ ขอให้จัดการที่เหตุ จัดการที่เหตุ ที่ต้นเหตุ ก็จะแก้ปัญหาได้ ถ้ามัวจัดการที่ปลายเหตุหรือผล มันก็ไม่ดับทุกข์ได้ คำพูดโบราณในอินเดียหรือแม้แต่ในยุโรปก็คงจะมีนะ จัดการที่ต้นเหตุถูกต้อง จัดการที่ปลายเหตุไม่ถูกต้อง ยังแถมกำชับไว้ด้วยว่า ไปมัวจัดการที่ปลายเหตุเป็นลูกหมา ต่อไปใช้คำตรงๆมันสั้นดี มันง่ายดี ถ้าจัดการที่ต้นเหตุมันเป็นลูกเสือหรือลูกราชสีห์ คงจะมองภาพพจน์ออกแล้วมั๊ง ถ้าคุณเอาไม้ไปแหย่ แหย่สุนัข มันก็มัวกัดแต่ที่ปลายไม้ มันกัดแต่ที่ปลายไม้ ถ้าคุณไปแหย่เสือซิ มันจะกัดคนถือไม้ มันไม่มัวกัดที่ปลายไม้ นั่นแหละลูกเสือลูกราชสีห์ จึงพูดว่ามัวแก้ที่ปลายเหตุเป็นลูกหมาคือโง่ ถ้าไปกัดที่ต้นเหตุเป็นลูกเสือลูกราชสีห์ที่มันฉลาด พุทธศาสนามีหลักการจัดการที่ต้นเหตุ โดยเฉพาะเรื่องอริยสัจ เรื่องอริยสัจก็คือเรื่องปฏิจจสมุปบาทโดยย่อ ย่อให้มันเหลือเพียงสี่ ทุกข์ แล้วก็เหตุให้เกิดทุกข์ แล้วความดับทุกข์ แล้วก็ทางที่ถึงความดับทุกข์ มันล้วนแต่จัดการที่เหตุทั้งนั้น จัดการที่เหตุของความทุกข์ ความทุกข์ก็ดับ ถ้าจะจัดการที่เหตุให้ถูกต้องก็ต้องรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทอย่างที่กล่าวแล้ว แล้วก็ควบคุมมันเสียตั้งแต่ผัสสะ และเวทนา ความทุกข์ก็ไม่เกิด นี่เป็นการจัดการที่ต้นเหตุ เรื่องอริยสัจเป็นเรื่องย่อเหลือเพียงสี่อย่าง เรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องเต็มที่สมบูรณ์แบบขยายออกไปเป็นสิบเอ็ดอย่างหรือสิบสองอย่าง แต่ที่แท้มันเรื่องเดียวกัน เรื่องเดียวกัน ครูไปสอนผิดๆแยกไปสอง เรื่องสามเรื่อง นักเรียนก็ยุ่งหัวไปหมด เรื่องปฏิจจสมุปบาทกับเรื่องอริยสัจมันเรื่องเดียวกัน ความทุกข์เป็นอย่างนี้คือไม่น่าปรารถนา อริยสัจก็บอกสั้นๆว่ามันเกิดมาจากตัณหา ถ้าจะต่อให้ถูกต้อง มันเกิดมาจากกระแสปฏิจจสมุปบาทฝ่ายผิดฝ่ายโง่ มันมีตัณหารวมอยู่ในกระแสนั้นด้วย เมื่อตะกี้ก็พูดแล้ว มีอายตนะ มีวิญญาณ มีผัสสะ มีเวทนา มีตัณหา แล้วจึงมีอุปาทาน มีภพ มีชาติ มีตัณหาอยู่เป็นแกนกลางของปฏิจจสมุปบาท เพราะฉะนั้นอริยสัจในส่วนทุกข์กับสมุทัยคือปฏิจจสมุปบาทฝ่าย สมุทยวารเต็มที่ อริยสัจฝ่ายดับทุกข์ ทุกข์กับนิโรธก็คือปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวารเต็มที่ มีสติคุมอาสนะ(นาทีที่ 40:27) มีวิญญาณฉลาด มีผัสสะฉลาด มีเวทนาฉลาด แล้วก็ไม่เกิดตัณหาไม่เกิดทุกข์ ฝ่ายนี้ฝ่ายดับทุกข์ ทีนี้ที่จะทำเช่นนั้นได้ ทำอย่างไร ตอบสั้นๆก็ด้วยสติสัมปชัญญะ ถ้าตอบให้ยาวก็ตอบว่ามีอริยมรรคมีองค์แปด มีมรรคมีองค์แปดรวมของสติสัมปชัญญะ ปัญญา สมาธิ อยู่ที่นั่น ก็เรื่องเดียวกันแท้ แต่ว่าพูดกันคนละแง่คนละฝ่ายให้มันง่ายไปตามกรณีที่จะต้องพูด การรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ก็คือการรู้เรื่องอริยสัจ ขอให้มองเห็นความสำคัญของเรื่องปฏิจจสมุปบาท เรียกเต็ม เรียกเต็มที่ว่าอิทัปปัจยตาปฏิจจสมุปบาท ไม่เคยมีใครสอนเรื่องนี้แม้ในอินเดีย เขาสอนกันอย่างอื่น ความทุกข์เกิดจากอย่างอื่น เกิดจากพระเป็นเจ้า เกิดจากอะไรก็ไม่รู้ตามใจเขา แต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอน เรื่องความทุกข์มันเกิดมาจากอวิชชาในกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท กำจัดอวิชชาเสีย กระแสปฏิจจสมุปบาทฝ่ายที่จะเกิดทุกข์ มันเป็นไปไม่ได้ มันกลับเกิดฝ่ายที่เป็นวิชชา เป็นความถูกต้อง แล้วมันดับทุกข์ขึ้นมาแทน เราจะมองให้เห็นว่าเป็นเรื่องของชีวิตโดยตรง พวกคุณลองคิดดูซิว่า คนคนไหน คนคนไหนบ้างที่มันไม่ตกอยู่ภายใต้กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ก็ทุกคนมันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รับอารมณ์คือ รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ มันก็เกิดวิญญาณ เกิดผัสสะ เกิดเวทนา กันทั้งนั้น วันหนึ่งเกิดได้ไม่รู้กี่ร้อยครั้ง เพราะมันมีตั้งหกทางที่จะเกิด ทางเดียวมันก็เกิดได้หลายอย่างหลายรูปแบบ ชีวิตนี้มันก็คือการเป็นอยู่ด้วยปฏิจจสมุปบาท เมื่อไม่รู้หรือไม่ได้ฟังใครบอก ไม่ได้ฟังคำตรัสของพระพุทธเจ้า มันก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าชีวิตทั้งหมดนี้คือกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท คุณก็ไปดูเอาเอง ไม่ต้องเชื่อใคร ไม่ต้องเชื่ออาตมา ไม่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าด้วย ตามคำตรัสของพระพุทธเจ้า เชื่อการที่เห็นเอง เห็นเอง เห็นเอง มันเห็นอยู่อย่างนี้ ว่ามีอายตนะนอก-ใน ถึงกันเข้าเกิดวิญญาณสามประการเรียกว่าผัสสะ ผัสสะให้เกิดเวทนา เวทนาให้เกิดตัณหา ตัณหาให้เกิดอุปาทาน อุปาทานให้เกิดภพ ภพให้เกิดชาติ พอมีชาติแล้วเกิดทุกข์ทั้งปวงสิบเอ็ด–สิบสองคำนี้ ศึกษาให้เข้าใจ เข้าใจให้ดี เข้าใจให้ดี เพราะมันอยู่ในตัวชีวิตในตัวอัตภาพ มันรู้จักกันแต่เรื่องในบ้านในเรือน ในห้องน้ำ ห้องนอน รู้จักดีที่สุด เรื่องนอกบ้านนอกเรือนก็รู้จักดีที่สุด แต่ว่าเรื่องในตัวแท้ๆกลับไม่รู้จัก คือกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท เกี่ยวข้องเกิดขึ้น เป็นไป ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งตื่นและทั้งหลับ เพราะว่าหลับมันก็ยังฝันร้าย ถ้าไม่ฝันมันก็ไม่มีปฏิจจสมุปบาท มันก็หลับสนิท มันก็พักผ่อนได้ แต่ว่าหลับมันก็ยังมีความฝัน เพราะฉะนั้นปฏิจจสมุปบาทคือเรื่องตัวชีวิตตัวเรา แล้วก็ถูกให้ความหมายผิดๆว่าตัวกู ตัวกู แต่ที่ถูกนั้นไม่ใช่ตัวกู เป็นเพียงกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท เกิดขึ้นตามกฎของธรรมชาติ โดยอาศัยธาตุทั้งหก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ ธาตุทั้งหกมันทำให้เกิดอัตภาพร่างกายนี้ขึ้นมา แล้วก็เป็นที่ตั้งแห่งกระแสของปฏิจจสมุปบาทตามกฎของธรรมชาติ ถ้ารู้จักตัวเองหรืออัตภาพของตัวเองเพียงเท่านี้ก็จะดับทุกข์ได้ เป็นความจริงที่ลึกซึ้ง เพราะว่าพอเห็นความจริงข้อนี้แล้วมันดับทุกข์ได้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าการเห็นปฏิจจสมุปบาท นั่นคือการเห็นธรรม ธรรมะ การเห็นธรรมะคือการเห็นเราตถาคต เห็นเราตถาคตคือเห็นธรรม เห็นธรรมคือเห็นเราตถาคต การเห็นปฏิจจสมุปบาทคือการเห็นธรรม เพราะฉะนั้นการเห็นปฏิจจสมุปบาทคือการเห็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอยู่หลังม่านความโง่ของคุณ จำประโยคนี้ไว้มีประโยชน์มาก พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ในโบสถ์ ไม่ได้อยู่ที่อินเดีย ไม่ได้อยู่ที่เมืองอื่น ลังกา พม่า ไม่มี ท่านอยู่ที่หลังม่านความโง่ของคุณเอง ทุกคน ทุกคน เอาความโง่ออกเสีย ไม่มีม่านแล้ว โอ้!พระพุทธเจ้านั่งอยู่ตรงนี้ เข้าไปในโบสถ์ก็พบแต่พระพุทธรูปซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า แม้แต่พระธาตุก็เป็นกากเศษที่เหลืออยู่แห่งอัตภาพของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่องค์พระพุทธเจ้า องค์พระพุทธเจ้าคือความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท อย่างที่ท่านตรัสว่าเห็นปฏิจจสมุปบาทคือเห็นธรรม เห็นธรรมคือเห็นตถาคต เพราะฉะนั้นจงเห็นปฏิจจสมุปบาท ท่านจะเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริงที่ประทับนั่งอยู่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณ พอเห็นปฏิจจสมุปบาทม่านแห่งความโง่ ม่านแห่งอวิชชามันสลายไป มันสลายไป ไม่มีอะไรบังพระพุทธเจ้า จึงพูดให้จำง่ายและค่อนข้างจะหยาบคายหน่อยนะว่า พระพุทธเจ้าอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณทุกคนเลย พอเอาม่านนี้ออกเสียได้ก็เป็นพระอรหันต์หมด มีพระพุทธเจ้า เห็นพระพุทธเจ้า จนกระทั่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์น้อยๆเสียเอง ความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทมันเป็นอย่างนี้ จะหาเรื่องอะไรที่สำคัญกว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ไม่มี มันเรื่องอริยสัจโดยพิสดาร จะหาเรื่องอะไรลึกซึ้งเท่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทมันก็ไม่มีเหมือนกัน ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง แต่อย่าเอาความลึกซึ้งมาเป็นข้อแก้ตัว มันลึกซึ้ง ฉันไม่รู้ ฉันไม่อาจจะรู้ ฉันไม่สนใจ ถ้าอย่างนี้มันสูญเสียประโยชน์ที่ควรจะได้รับ มันจะลึกซึ้งเท่าไหร่ถึงจะขุดค้นเอามาให้ได้ ให้รู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท แล้วมันก็น่าหัว น่าหัวที่มันตั้งต้นด้วยเรื่องง่ายๆ เรื่องที่อัตภาพนี้มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีสิ่งมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วเกิดวิญญาณแล้วเกิดผัสสะ แล้วเกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดภพ เกิดชาติ แล้วเป็นทุกข์ ถ้าเข้าใจคำทั้งสิบเอ็ดคำนี้ หรือสิบสองคำทั้งคำสุดท้าย แล้วก็พอ อายตนะ อายตนะภายในและภายนอก แล้วก็วิญญาณ แล้วก็ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ นับเรียงตัวเป็น เรียงสิ่งที่จะได้ ก็จะได้สิบสอง สิบสองคำ เรียกว่า ปฏิจจสมุปนธรรม(นาทีที่ 48:40) ถ้านับแต่อาการเป็นคู่ๆจะได้สิบเอ็ดคู่ อาการแห่งปฏิจจสมุปบาท ตัวที่เป็นที่ตั้งแห่งอาการเรียกว่าปฏิจจสมุปนธรรม จำได้ก็ดี ถ้าจำไม่ได้ก็จำแต่คำว่าปฏิจจสมุปบาทก็พอ ปฏิจจสมุปนธรรม คือสิ่งที่จะเป็นปฏิจจสมุปบาท ถ้าเกิดทุกข์ขึ้นมารียกว่าปฏิจจสมุปบาท ถ้าดับทุกข์ลงไปเรียกว่าปฏิจจนิโรธ ปฏิจจนิโรธะ แต่คำนี้ไม่ค่อยเอามาพูดกัน เพราะว่าพูดแต่ปฏิจจสมุปบาทมันก็พอเสียแล้ว มันหยุดกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทได้ ก็เป็นนิโรธ เป็นดับทุกข์ ถามดูซิว่าเรื่องของใคร เรื่องของใคร เรื่องของทุกคน จริงหรือไม่ แล้วมันก็ลงไปถึงเรื่องของแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน มันไม่เต็มเปี่ยมเท่าเรื่องของคน แต่มันก็แนวเดียวกันแหละ เรื่องเป็นอย่างเดียวกันแหละ ถ้าว่าต้นไม้มันมีความรู้สึกอยู่บ้าง มันก็มีความทุกข์ได้ ตามที่เขาเชื่อกันว่าต้นไม้มันก็รู้สึกเป็นทุกข์ได้ ก็แนวเดียวกันอีกแหละ คือความโง่เป็นเหตุให้สัมผัสโง่ ให้เวทนาโง่ ให้ตัณหาโง่ ให้อุปาทานโง่ บทบาทโง่ตลอดกาล เพราะฉะนั้นรู้ปฏิจจสมุปบาทก็คือรู้ที่เป็นความฉลาดอย่างยิ่ง จนถึงกับเรียกว่าเป็นการตรัสรู้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง เราสมัครตรัสรู้ตามคือรู้ตามพระพุทธเจ้า ไม่ได้รู้เอง เราไม่เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราจะเป็นพุทธเจ้าองค์น้อยๆ รู้ตามพระพุทธเจ้าพระองค์ใหญ่ ยอมนับถือ มันพอหรือยังที่จะมองเห็นว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เป็นเรื่องเกิดทุกข์กับดับทุกข์โดยตรง ทำไมจึงห้าม ไม่ให้เอามาสอน ด้วยเหตุผลที่ว่ามันยาก มันยาก ถ้าอย่างนี้มันก็โง่ดึกดำบรรพ์ โง่ดึกดำบรรพ์ นี่อาตมาอธิบายตามข้อความในพระพุทธภาษิต ในพระบาลี พระไตรปิฎก ถ้าอธิบายตามหนังสือชั้นหลังเช่นหนังสือวิสุทธิมรรคเป็นต้น อธิบายอย่างอื่นนะ ไม่อธิบายอย่างที่กำลังพูดนี้ อธิบายอย่างอื่น อาตมาไม่เห็นด้วย ไม่จำ ไม่เอามาพุด ไม่เอามาสอน อยากจะอธิบายตามนั้นก็ไปหาหนังสือวิสุทธิมรรคอ่านดู จะไม่เหมือนกับที่กำลังพูดนี้ เขาอธิบายอ้อมค้อมจนไม่รู้ว่าอะไรกัน นี่เป็นเรื่องง่ายๆเป็นเรื่องที่เด็กเข้าใจได้ตามวิถีทางแห่งวิทยาศาสตร์ ใช้การศึกษาอย่างคณิตศาสตร์อย่างวิทยาศาสตร์ได้เต็มที่ นี่รู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ทีนี้มันก็มีปัญหาอยู่ที่ว่า จะควบคุมกระแสปฏิจจสมุปบาทได้อย่างไร ก็คือว่าอย่าให้โง่เมื่อผัสสะ จะควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทไม่ให้เกิดความทุกข์ก็คืออย่าโง่เมื่อผัสสะ อายตนะภายใน อายตนะภายนอก วิญญาณ แล้วผัสสะ แล้วก็มีเวทนา ตรงที่ผัสสะควบคุมไว้ได้อย่าให้มันโง่ ให้มันเป็นผัสสะฉลาด ผัสสะฉลาดเรียกว่าวิชชาสัมผัส คือสัมผัสด้วยวิชชา ถ้าไม่อย่างนั้นมันโง่เป็นอวิชชา ก็เรียกว่าอวิชชาสัมผัส เดี๋ยวนี้พวกเราไม่รู้เรื่องนี้ ก็สัมผัสทุกสิ่งด้วยอวิชชาสัมผัส เมื่อเกิดเวทนาโง่ ก็เกิดตัณหาโง่ จนได้เกิดทุกข์ จะโทษใครก็ไม่ได้ เกิดมาจากท้องมารดามันก็ไม่มีความรู้ พอเกิดมาแล้วมันก็ยังไม่มีโอกาสศึกษา มันจึงเป็นไปตามกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทฝ่ายโง่ฝ่ายเป็นทุกข์ จนกว่าจะได้มีโอกาสศึกษาธรรมะและปฏิบัติ มีสติสัมปชัญญะควบคุมกระแสปฏิจจสมุปบาท จึงจะรอดตัว การที่ท่านทั้งหลายมาที่นี่ ก็ขอให้มีความมุ่งหมายว่าศึกษาให้รู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ว่าความทุกข์เกิดอย่างไร ความทุกข์ดับอย่างไร ทีนี้มันควบคุมไม่ได้ มันควบคุมไม่ได้ก็ศึกษาอานาปานสติภาวนา อานาปานสติภาวนา ฝึกฝน ฝึกฝนอานาปานสติภาวนา ก็มีสติ สติ สติสมบูรณ์ที่สุด เอามาใช้ควบคุมผัสสะในสายแห่งปฏิจจสมุปบาท เอามาควบคุมผัสสะ ทีนี้ผัสสะก็ไม่โง่ ผัสสะมันฉลาดรู้ว่าโอ้!นี่ธาตุตามธรรมชาติปรุงแต่งกัน ไม่โง่ไปตั้งแต่ผัสสะ แล้วเวทนาก็ไม่โง่ มันไม่หลงสุข ไม่เกลียดทุกข์ ไม่โง่ในเรื่องสุขเรื่องทุกข์ เรื่องอทุกขมสุข มันจัดการถูกต้องตามที่ควรจะเป็น แล้วมันก็ไม่เกิดตัณหา เพราะมันรู้ถูกต้องเสียแล้ว มันไม่โง่ไปเกิดตัณหา ในสุขเวทนาเป็นกิเลสประเภทราคะ โลภะ แล้วก็ไม่หลงเกิดกิเลส ไม่หลงในความทุกข์ ทุกขเวทนาแล้วเกิดกิเลสประเภทโทสะ โกรธะ แล้วก็ไม่หลงในอทุกขมสุขเวทนา มันก็ไม่เกิดกิเลสประเภทโมหะ นี่เป็นหลักตายตัวในบาลี ถ้าโง่ในความสุขมันก็เกิดกิเลสประเภทโลภ โลภะ ลาภะ เป็นต้น ถ้ามันโง่ในเวทนาประเภททุกข์ เป็นทุกข์ มันก็เกิดกิเลสประเภทโทสะ โกรธะ ประทุษร้าย ถ้ามันไปหลงในเรื่องอทุกขมสุข มันก็โง่เท่าเดิม อวิชชาโมหะ เกิดกิเลสประเภทโมหะ โลภะราคะมีฐานที่ตั้งคือสุขเวทนา โทสะโกรธะมีฐานที่ตั้งคือทุกขเวทนา โมหะความสงสัยความโง่มีฐานที่ตั้งคืออทุกขมสุขเวทนา คือไม่รู้อะไร แล้วมันก็โง่เท่าเดิม จะโทษใครก็ไม่ได้ เกิดมาจากท้องมารดามันก็ไม่มีความรู้ พอเกิดมาแล้วมันก็ยังไม่มีโอกาสศึกษา มันจึงเป็นไปตามกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทฝ่ายโง่ ฝ่ายเป็นทุกข์ จนกว่าจะได้มีโอกาสศึกษาธรรมะแล้วปฏิบัติ มีสติสัมปชัญญะควบคุมกระแสปฏิจจสมุปบาท จึงจะรอดตัว การที่ท่านทั้งหลายมาที่นี่ก็ขอให้มีความมุ่งหมายว่าศึกษาให้รู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ว่าความทุกข์เกิดอย่างไร ความทุกข์ดับอย่างไร ทีนี้มันควบคุมไม่ได้ มันควบคุมไม่ได้ก็ศึกษาอานาปานสติภาวนา อานาปานสติภาวนา ฝึกฝน ฝึกฝน ฝึกฝนอานาปานสติภาวนา ก็มีสติ สติ สติสมบูรณ์ที่สุด เอามาใช้ควบคุมผัสสะในสายแห่งปฏิจจสมุปบาท เอามาควบคุมผัสสะ ทีนี้ผัสสะก็ไม่โง่ ผัสสะมันฉลาด มันรู้ว่าโอ้! ไอ้นี่เป็นธาตุตามธรรมชาติ ปรุงแต่งกัน ไม่โง่ไปตั้งแต่ผัสสะ แล้วเวทนาก็ไม่โง่ มันไม่หลงสุขไม่เกลียดทุกข์ ไม่โง่ในเรื่องสุขเรื่องทุกข์เรื่องอทุกขมสุข มันจัดการถูกต้องตามที่ควรจะเป็น มันก็ไม่เกิดตัณหาเพราะมันรู้ถูกต้องเสียแล้ว มันไม่โง่ไปเกิดตัณหา ในสุขเวทนาเป็นกิเลสประเภทราคะ โลภะ แล้วก็ไม่หลงในกิเลส ไม่หลงในความทุกข์ ทุกขเวทนาแล้วเกิดกิเลสประเภทโทสะ โกรธะ แล้วก็ไม่หลงในอทุกขมสุขเวทนา มันก็ไม่เกิดกิเลสประเภทโมหะ นี่เป็นหลักตายตัวในบาลี ถ้าโง่ในเรื่องความสุขมันก็เกิดกิเลสประเภทโลภ โลภะ ลาภะ เป็นต้น ถ้ามันโง่ในเวทนาประเภททุกข์ เป็นทุกข์ มันก็เกิดกิเลสประเภทโทสะ โกรธะ ประทุษร้าย ถ้ามันไปหลงในเรื่องอทุกขมสุข มันก็โง่เท่าเดิม อวิชชาโมหะ เกิดกิเลสประเภทโมหะ โลภะ ราคะมีฐานที่ตั้งคือสุขเวทนา โทสะ โกรธะมีฐานที่ตั้งคือทุกขเวทนา โมหะความสงสัยความโง่มีฐานที่ตั้งคืออทุกขมสุขเวทนาคือไม่รู้อะไร แล้วมันก็โง่เท่าเดิม เรื่องของใคร เรื่องของใคร มันเรื่องของคนเราทุกกระเบียดนิ้ว ทุกปรมาณู มันเรื่องของคนเราทุกปรมาณู แต่เราก็ไม่รู้ เราไปเรียนเรื่องวิทยาศาสตร์ รู้เรื่องต่างประเทศ รู้เรื่องโลกพระจันทร์นู้น แล้วมันช่วยอะไรได้ มันช่วยอะไรได้ แม้รู้เรื่องโลกพระจันทร์แล้ว มันก็ยังมีความทุกข์เท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม มันช่วยไม่ได้นี่ เพราะมันไม่ใช่เรื่องดับทุกข์ มาเรียนวิทยาศาสตร์ทางจิตใจ จะรู้เรื่องความทุกข์แล้วก็ดับทุกข์ได้ แต่ให้ศึกษาอย่างละเอียดแยบคายลึกซึ้งเหมือนกะอย่างวิทยาศาสตร์ ใช้วิธีการของวิทยาศาสตร์แห่งยุคปัจจุบันนั่นแหละ แต่ว่าเอามาศึกษาเรื่องทางฝ่ายจิต ก็มีความรู้ทางธรรม ทางพุทธศาสนา แล้วก็ดับทุกข์ได้ วิทยาศาสตร์ฝ่ายวัตถุให้มันก้าวหน้า ยิ่งก้าวหน้า ยิ่งไปไกล ยิ่งยุ่งยาก ยิ่งหลงใหล ยิ่งหลงใหลในวัตถุ หลงใหลในความสุข ความทุกข์ ก็โง่เท่าเดิม เรียกว่าโง่เท่าเดิมเหมือนกัน มันเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว มันทำลายกันหมด วินาศกันทั้งโลก ถ้ามาศึกษาวิทยาศาสตร์ฝ่ายจิตใจ มันไม่เห็นแก่ตัว เพราะว่ามันไม่มีตัว มันมีแต่กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ชีวิตจิตใจมันมีแต่กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท มันไม่มีอัตตา ตัวตน มันไม่มีอหังการมมังการ ตัวกูของกู แล้วมันจะเห็นแก่ตัวได้ที่ไหน มันไม่เห็นแก่ตัว มันก็ไม่มีกิเลสเกิด มันก็ไม่มีปัญหา ก็ดับทุกข์สิ้นเชิง นี่สรุปใจความสั้นๆของปฏิจจสมุปบาท มันเป็นอย่างนี้ ปัญหามันก็เหลืออยู่แต่ว่า ทำอย่างไรจะควบคุมมันได้ ก็บอกแล้วบอกอีกว่า มีสติในขณะแห่งผัสสะ จงไปศึกษาให้ดี ขณะที่เป็นอายตนะ แล้วก็เป็นขณะแห่งวิญญาณ เป็นขณะแห่งผัสสะตรงนี้ควบคุมให้ได้ ให้เป็นผัสสะฉลาด เป็นผัสสะของวิชชา ฉลาด เป็นผัสสะของวิชชา ฉลาด ต่อไปก็จะไม่เกิดเวทนาโง่ ตัณหาโง่ ก็หมดปัญหา ชีวิตนี้จะไม่กัดเจ้าของอีกต่อไป มีแต่ความสงบเย็น สงบเย็น ในความหมายแห่งพระนิพพาน แล้วก็เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ทุกฝ่าย ผลของการรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นอย่างนี้ ใจความย่อๆมันก็เป็นอย่างนี้ โดยหัวใจมันก็เป็นอย่างนี้ รายละเอียดก็จงศึกษาเพิ่มเติม ครูบาอาจารย์จะสอนให้ต่อไปอีกในที่อบรมนั่น
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องสิ่งที่จะควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทคือสติ สติตามธรรมดามันมีไม่พอ สิ่งที่มีชีวิตมันมีสติด้วยกันทั้งนั้น แต่มันมีน้อย ไม่พอที่จะควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท เราจึงต้องศึกษาอบรมเพิ่มเติม ที่จริงสติมันเป็นสิ่งที่ต้องมีกับสิ่งที่มีชีวิต ถ้าไม่มี มันตายหมด มันไม่รู้จะทำอย่างไร จะเดินอย่างไร จะนั่ง จะนอน จะกินอย่างไร ถ้ามันมีสติตามสมควรแก่อัตภาพ มันจึงพอที่จะว่าไปปฏิบัติได้ถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องในการกินอาหาร ในการทำกิจการงาน แล้วก็ยืน เดิน นั่ง นอน มีสติ ไม่เดินชนเสา แต่ว่าสติเพียงเท่านั้นไม่พอที่จะมาควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ต้องมีสติมากกว่านั้น ก็คือรู้เรื่องปัญหาต่างๆที่เกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท แล้วเรามีความรู้เหนือ เหนือมัน ก็ควบคุมมันได้ เราก็ศึกษาเรื่องอานาปานสติกันต่อไป อานาปาน แปลว่าหายใจเข้าออก หรือออกเข้าแล้วแต่คุณจะชอบ ในบาลีมีทั้งสองอย่าง หายใจออกเข้าก็มี หายใจเข้าออกก็มี ถ้าสติอยู่ทุกครั้งที่หายใจเข้าออก ก็หมายความว่าผิดไม่ได้ ผิดไม่ได้ เพราะมีสติควบคุมให้มันผิดไม่ได้ สติต้องมีปัญญาเอามาใช้ ก็ต้องอบรมส่วนที่เป็นปัญญา แล้วก็เป็นสัมปชัญญะเฉพาะหน้าที่ แล้วก็มีสมาธิคือเพิ่มกำลังให้แก่ปัญญา เพิ่มกำลังให้แก่สติ ถ้าจะกล่าวเฉพาะส่วนที่สำคัญๆ เราอบรมอานาปานสติหรือบำเพ็ญกรรมฐานนั่น มันทำให้ได้รับสิ่งสำคัญสี่สิ่งคือ สติ ปัญญา สัมปชัญญะ แล้วก็สมาธิ พูดถึงผลของมันก่อนจะได้เข้าใจได้ง่ายนะ เราต้องการสติ ปัญญา สัมปชัญญะ และสมาธิ เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นเป็นปัญหาในชีวิตประจำวัน ต้องมีสติระลึกได้ทันทีว่านี่มันอะไร แล้วสติมันก็ไปเอาปัญญาที่จะแก้ แก้ปัญหาหรือข้อขัดข้องนี้ ไปเอาปัญญามา เพราะฉะนั้นต้องมีปัญญาที่สะสมไว้เพียงพอ ไม่ใช่เอามาทั้งหมด ปัญญามันมากเรื่องนัก เอามาแต่เรื่องที่จะแก้ปัญหาเฉพาะเรื่องนี้ ทางตา ทางหู ทางอะไรก็ตาม เฉพาะเรื่องนี้จะเอาปัญญาไหนมา นั่นก็เรียกว่าคัดเอามาให้ตรงกับเรื่อง เรียกว่าสัมปชัญญะ สัมปชัญญะก็คือปัญญานั่นแหละ ถ้าเก็บไว้ทั้งหมดทั้งกลุ่มเรียกว่าปัญญา ถ้าหยิบออกมาเฉพาะกรณีเรียกว่าสัมปชัญญะ เช่นเดียวกับเรามีอาวุธทุกอย่างทุกชนิดประจำบ้านเรือน อาวุธทุกอย่างมี แต่พอจะใช้จริงๆมันใช้อย่างเดียวเท่านั้นแหละ แต่ควรใช้ปืนหรือใช้ดาบหรือใช้มีดหรือใช้ระเบิด ใช้อย่างเดียวเท่านั้นแหละ ก็มีอาวุธหลายอย่าง อาวุธทั้งหมดคือปัญญา อาวุธอย่างเดียวที่เลือกเอามาคือสัมปชัญญะ หรือว่าเรามียาแก้โรคทุกอย่าง ทุกอย่างอยู่ในตู้ยา พอจะใช้ยา จะกินยา มันใช้อย่างเดียวเท่านั้นแหละ มันไม่ได้กินยาทั้งหมดหรอก ยาทั้งหมดคือปัญญาที่สะสมไว้เป็นคลังของปัญญา จะหยิบเอามาเฉพาะกรณีเฉพาะโรคนี่เป็นสัมปชัญญะ ให้มันถูกให้มันตรงกะเรื่องเรียกว่าสัมปชัญญะ ปัญญากับสัมปชัญญะนี้บางทีหรือโดยมากมันก็อ่อนแอ กำลังไม่พอ มันไม่สามารถจะทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ได้ จึงต้องมีสมาธิ สมาธิ สมาธิคือกำลังหรือน้ำหนัก เราจะเห็นได้ง่ายๆ เช่นว่าเรามีมีด มีดหรืออะไรก็ตามที่มันคมเหลือประมาณ คมเหลือประมาณ แต่ถ้าไม่มีน้ำหนักที่จะกดลงไป มันจะตัดได้อย่างไร ความคมก็เป็นหมันเท่านั้นเอง มีปัญญาอย่างสัมปชัญญะก็ตามถ้าไม่มีกำลังของสมาธิมากดลงไป มันก็ไม่ตัดสิ จึงต้องมีสิ่งที่เป็นน้ำหนักที่จะช่วยให้ตัด ถ้าในกรณีนี้สมาธิตามธรรมชาติไม่พอ ใช้ไม่ได้ ก็เอาสมาธิที่เราฝึกฝนอบรมมาใช้ มันก็มีน้ำหนักมากพอ ดูเอาเถอะ ดูให้เห็นในข้อที่ว่าจะคมอย่างไร จะคมอย่างไรถ้าไม่มีน้ำหนักที่จะกดลงไป ความคมก็ไม่ตัดอะไร มันเป็นหมันเปล่า ปัญญาท่วมหัวเอาตัวไม่รอด อวดดีไปว่ามีปัญญา ต้องมีสมาธิด้วย ครบชุดแหละ สติระลึกได้ทันทีไปเอาปัญญามา เฉพาะที่ตรงกับเหตุการณ์เรียกว่าสัมปชัญญะ แล้วก็ให้เพิ่มกำลังให้แก่ปัญญาและสัมปชัญญะโดยสมาธิ เพราะฉะนั้นการฝึกอานาปานสติที่ฝึกกันอยู่นี่ ถ้าถูกต้องสมบูรณ์แบบโดยแท้จริงแล้ว มันจะได้ผลอย่างน้อยสี่อย่าง ธรรมะสี่อย่างนี้เป็นเบื้องหน้า เป็นเบื้องต้นหรือเป็นประธาน แต่ว่ายังมีอย่างอื่นอีกเยอะแยะ อย่างอื่นอีกเยอะแยะที่จะเรียกชื่อได้อีกมากมาย แต่ว่าเอาที่มันเป็นตัวล่ำสันใช้เป็นประโยชน์ได้ก็คือ สติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ ปัญญานั้นมันขยายออกเป็นญาณ ญาณสารพัดอย่างหลายสิบชื่อหลายร้อยชื่อ กระทั่งช่วยให้ตัดกิเลส ตัดปัญหาหมดเป็นพระนิพพานไปโน้น มันก็ด้วยวิธีการอย่างเดียวกันแหละ สติไปเอาปัญญามา ตัดกิเลสตัณหาด้วยอำนาจกำลังของปัญญาและสมาธิ สัมปชัญญะนั่นคือจัดให้เหมาะสมที่จะทำหน้าที่ ปัญญาทั้งหมดมันจะทำงานอะไรกันไหว มันแย่งกันทำ เอามาให้เฉพาะเรื่อง เฉพาะอย่าง แล้วจัดให้มันตรงกับเรื่อง สัมปชัญญะแปลว่ารู้ตัวทั่วพร้อม รู้ตัวทั่วพร้อมคือรู้ครบหมด แล้วก็รู้เฉพาะที่มันควรจะทำอย่างไร ก็เรียกว่าพร้อม พร้อม ธรรมะสี่อย่างนี้ต้องมี โดยเฉพาะในขณะแห่งผัสสะ ผัสสะ มันก็จะควบคุมได้ตลอดสายของปฏิจจสมุปบาท อาตมาตั้งชื่อให้เป็นที่น่าสนใจว่าธรรมะสี่เกลอคู่ชีวิต ธรรมะสี่เกลอคู่ชีวิต ถ้าจะให้ดีก็ทำให้มันเป็นชีวิตเสียเอง ธรรมะสี่เกลอ สติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ ธรรมะสี่เกลอนี้จะมาเป็นคู่ชีวิต ก็จะช่วยชีวิตไม่ให้มีความทุกข์ คือมันมีความถูกต้องในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท เดี๋ยวนี้เราไม่มี หรือมีไม่พอ มันก็ต้องมีความทุกข์ ถ้ามีธรรมะสี่เกลอนี้พอ พอคุ้มครองได้ มันไม่มีความทุกข์ เพราะฉะนั้นขอให้สนใจฝึกฝนอานาปานสติภาวนาจนให้ได้รับผลอย่างน้อยเป็นธรรมะสี่เกลอ ธรรมะสี่เกลอ ปัญญาเพิ่มไว้เท่าใดก็ได้ เก็บไว้เป็นคลัง พอเกิดเรื่อง สติไปเอามาใช้เฉพาะเรื่อง เป็นสัมปชัญญะ สมาธิก็เพิ่มกำลังเรียกว่าเพิ่มน้ำหนักให้ เพิ่มน้ำหนักให้ สิ่งเหล่านี้ก็ทำหน้าที่ถูกต้อง สมบูรณ์จนถึงที่สุด อานาปานสติเมื่ออบรมถึงที่สุดแล้ว มันได้ผลอย่างนี้เรียกว่าได้ผลเป็นสติปัฏฐานจนครบทั้งสี่ประการ ดังนั้นในรูปของอานาปานสติจึงมีสติปัฏฐานสี่ประการนั้นเป็นตัวแกน เป็นตัวหลัก เป็นตัวแกนสี่อย่างคืออะไร คงจะเคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้ว แต่ก็คงจะมีผู้ไม่เคยได้ยินได้ฟังก็มากเหมือนกันสี่อย่างคืออะไร สี่อย่างคือเรื่องของกาย เรื่องของเวทนา เรื่องของจิต เรื่องของธรรมที่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือเรียกว่าธรรมเฉยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างในสากลจักรวาลนี่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือได้ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าจะมองเอาใจความสำคัญว่า สิ่งซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือนี้เรียกว่าธรรม เรารู้เรื่องกายดี เรื่องกายดีจนมีกายที่ดี ที่เหมาะสม ที่พร้อมจะทำหน้าที่ของกาย แล้วก็มีความรู้เรื่องเวทนาจนควบคุมได้ ไม่ตกเป็นทาสของเวทนา ซึ่งเป็นตัวการร้ายเวทนานี่ แล้วก็มีเรื่องจิต ความรู้เรื่องจิตจนบังคับจิตได้ แล้วก็มีความรู้เรื่องธรรมะคือสิ่งที่จะมาหลอกให้เรายึด ยึดถือ จนยึดถือสี่เรื่องนี้เรียกว่าสติปัฏฐาน สติปัฏฐาน สิ่งเป็นที่ตั้งหรือที่กำหนดแห่งสติ สติมีที่ตั้งที่กำหนดเป็นสี่อย่างนี้ ไอ้สี่อย่างนี้ก็เลยเรียกว่าสติปัฏฐาน ถ้ามีเวลาพูดเท่านี้ก็พูดกันแต่ใจความ ใจความนั่นแหละสำคัญ ท่านจับใจความให้ได้ แล้วก็ไปขยายเอาเป็นเรื่องปลีกย่อยได้โดยง่าย ถ้าจับใจความไม่ถูกแล้วก็ฟุ้งซ่านหมด จะพูดกันก็ตั้งแต่คำว่าอานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก ความรู้นี้โบราณที่สุด เก่าแก่ที่สุด ดึกดำบรรพ์ที่สุด ไม่รู้ว่ามีมาตั้งแต่ครั้งไหน พอมนุษย์พ้นจากความเป็นคนป่า มีปัญญาบ้างแล้ว ก็เริ่มรู้จักความสำคัญของลมหายใจ ของลมหายใจ ก็รู้จักจัดการเรื่องลมหายใจเรียกว่ากาย กาย กายเนื้อหนังนี่มันหล่อเลี้ยงอยู่ได้ด้วยลมหายใจ ไม่แยกกัน กายลม ลมหายใจ แล้วกายเนื้อ ผิวหนังร่างกายแฝดติดกันอยู่ เรียกว่ากาย กาย คนโบราณครั้งกระโน้นเขาก็รู้จักว่าจัดการลมหายใจถูกต้อง แล้วก็หมดความทุกข์ หมดความทุกข์ ลมหายใจนี่บางทีก็เรียกว่าปราณ ในภาษาสันสกฤตมาเป็นภาษาไทยเรียกว่าปราณ ภาษาบาลีเรียกว่าปาณะ ปาณะ คำว่าปาณะคือคำว่าปราณ คำนี้หมายถึงลมหายใจก็ได้ หมายถึงสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิตก็ได้ คนป่ารู้จักเสกเป่าคาถาให้ เรียกปราณ เอาปราณมาทำให้เข้มแข็งขึ้นมา ในนิทานเรื่องจักรๆวงศ์ๆพอเขาเจ็บป่วยขึ้นมา เขาก็สำรวมสติใหม่เรียกปราณเข้ามา แข็งแรง ลุกขึ้นทำงาน ลุกขึ้นต่อสู้ได้ต่อไปอีก เขารู้จักใช้กำลังของปราณ ของปานะ ของลมหายใจ แต่ว่าในระยะเบื้องต้น เบื้องต้น เขาเหมาะสมกับคนที่ยังไม่รู้ถึงที่สุด แต่ว่าความรู้นี้มันไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น มันขยายตัวเรื่อยมา ขยายตัวเรื่อยมา จนรู้จักวิธีทำให้ลมหายใจนี้มีประโยชน์ถึงที่สุด มีการเสกเป่าลมหายใจให้เด็กๆหายเจ็บหายป่วย หายความทุกข์ร้อนได้ตามสมควร นี่ก็เรียกว่าเพิ่มปราณให้ หรือว่าแก้ไขในเรื่องของปราณ มันยังไม่มาถึงเรื่องดับกิเลส แต่มันก็มีประโยชน์ที่จะดับความทุกข์เบื้องต้นได้ มีการเสกเป่าด้วยคาถาอาคม มันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับปราณนี้ทั้งนั้นแหละ แต่มันค่อยๆเจริญขึ้น เจริญขึ้น เจริญขึ้นจนเราใช้แก้ไขความร้อนของกิเลสหรือดับกิเลส แม้เพียงระยะสั้นคือเมื่อมีร่างกายถูกต้อง มีลมหายใจถูกต้อง ความทุกข์มันลดไปได้มาก เรามีลมหายใจถูกต้อง มันระงับความเจ็บปวด ระงับอะไรได้มาก ระงับความดันโลหิตสูงก็ได้ ถ้ามีปราณ มีลมหายใจถูกต้อง ถ้ารู้ขึ้นมา รู้ขึ้นมา รู้ขึ้นมา จนมีความรู้ที่ทุกคนรู้ตามมากตามน้อย เรียกว่ารู้เรื่องอานาปานสติคงจะแพร่หลายมากในครั้งพุทธกาลนั้น แม้พระพุทธเจ้ายังไม่เกิด ยังไม่สอน มันก็รู้แล้ว เพราะว่าเด็กชายสิทธัตถะ 4-5 ขวบก็ไปทำอานาปานสติในพิธีแรกนาขวัญ มีคำว่าอานาปานสติใช้แล้ว เด็กชายอานาปานสติเล็กๆรู้จักทำอานาปานสติ ดังนั้นเป็นที่เชื่อได้ว่ามันแพร่หลายในหมู่ประชาชน แต่ยังไม่ถึงขนาดที่จะตัดกิเลส พอพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วตรัสรู้ ท่านพบความรู้นี้ถึงที่สุดจนเอามาใช้ตัดกิเลสเลย เป็นอานาปานสติขั้นสูงสุด ก็จัดการข้อแรกเกี่ยวกับกายคือกายเนื้อ หรือกายลมคือปราณก็ได้ เราจึงฝึกบทเรียน
หมวดที่ 1 เรียกว่ากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือกายานุปัสสนาสติ ถ้าฝึกลมหายใจตามวิธีที่จะมีให้ฝึก เมื่อฝึกได้ตามนั้นก็มีลมหายใจที่ดีที่ถูกต้อง ร่างกายนี้ก็พลอยถูกต้อง พลอยมีกำลังอะไรตามขึ้นมา เลยเป็นว่าชีวิตในด้านร่างกายหมดปัญหา เรามีร่างกายที่ถูกต้อง มีร่างกายที่อยู่ในอำนาจของเรา บังคับให้เป็นอย่างไรก็ได้ แล้วก็จัดหรือทำให้ร่างกายนี้มีสมรรถนะสูงสุด เป็นที่ตั้งแห่งจิตต่อไป ต่อไป ให้ร่างกายมันถูกต้องเสียทีหนึ่งก่อน ฝึกวิธีอานาปานสติขั้นที่ 1 เรื่องลมหายใจยาว ขั้นที่ 2 เรื่องลมหายใจสั้น เรื่องกายทั้งปวง เรื่องทำกายสังขารให้สงบระงับ เป็น 4 บทเรียน เสร็จเรื่องกาย เสร็จเรื่องกายแล้วก็จับเอาเวทนาเข้ามาเป็นบทเรียนสำหรับฝึก คำว่าเวทนานี้มันกว้างทั่วโลกครอบจักรวาล สัตว์มีชีวิตทั้งหลายตกอยู่ภายใต้อำนาจของเวทนา ตกเป็นทาสของเวทนาเพราะว่าชีวิตทั้งหลายทั้งคนและสัตว์ มันต้องการสุขเวทนา เพราะฉะนั้นเวทนาจึงเป็นนายเหนือหัวใจของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย ถ้าควบคุมไม่ได้ มันเตลิดเปิดเปิงไปในทางผิด ควบคุมให้อยู่ในทางถูก จึงต้องควบคุมเวทนา อย่าให้สุขเวทนาโดยเฉพาะกามารมณ์ดึงพาไปได้ตามต้องการ ควบคุมไว้ให้ได้ ให้เป็นเวทนาที่ถูกต้อง ขอให้รู้ไว้ว่า เวทนานี่คือสิ่งสูงสุดที่ลากคอลากหัวมนุษย์ให้เป็นไปตามประสงค์ของเวทนา ต้องการเวทนาสูงสุด ด้วยความโง่ก็เป็นเรื่องทางกามด้วย ความฉลาดก็เรื่องระงับกิเลส ระงับกาม ระงับกิเลส เราเอาเวทนามาพิจารณา ปีติมันยังฟุ้งซ่าน มันยังพอใจ ยังฟุ้งซ่านเป็นปีติ ก็ยังดีกว่าไม่มีปีติ แต่ว่าถ้าปล่อยไปตามนั้นมันฟุ้งซ่าน จะทำให้เป็นความสุขหรือสงบระงับลงไป เราก็รู้ว่าทั้งปีติและทั้งสุขนี้มันปรุงแต่งจิต ปรุงแต่งความนึกความคิด เพราะฉะนั้นควบคุมไว้ให้ได้ ควบคุมไว้ให้ดี ควบคุมจิตสังขารคือปีติ ความสุข ผู้ปฏิบัติต้องสร้างเวทนาขึ้นมาให้ได้ จะคำนึงคำนวณเอาเวทนาซึ่งอยู่ภายนอกเข้ามาให้เกิดความรู้สึกก็ได้ แต่มันไม่ดีเท่ากับที่เอาเวทนาภายในที่มีอยู่จริงภายในเมื่อเราปฏิบัติหมวดที่ 1 คือกายานุปัสสนาสำเร็จ มันจะเกิดความพอใจ พอใจเป็นปีติ ฟุ้งซ่าน ถ้าทำให้สงบระงับก็เป็นสุข เวทนานั้นแหละเอามาพิจารณาว่าเป็นจิตสังขาร ปรุงแต่งจิต ปรุงแต่งจิตแล้วควบคุมให้ได้ ปรุงแต่งแต่ในทางที่ควรปรุงแต่ง หรือว่าไม่ให้ปรุงแต่งเสียเลยก็ได้
หมวดที่ 2 ก็ยังมี 4 บทเรียนอีก คือ 1 รู้จักปีติ ขั้นที่ 2 รู้จักสุข ขั้นที่ 3 รู้ว่าไอ้หมอนี่ปรุงแต่งความคิด ขั้นที่ 4 ควบคุมมันให้ได้ ให้มันปรุงแต่งแต่ที่ควรจะปรุงแต่ง หรือไม่ให้ปรุงแต่งเสียเลยก็ทำได้ นี่อานาปานสติหมวดที่ 2 คือจัดการกับเวทนาจนเรามีอำนาจเหนือเวทนา เราเป็นนายเหนือเวทนา เช่นเดียวกับที่เราเป็นนายเหนือกาย เป็นนายเหนือกายในหมวดที่ 1 ในหมวดที่ 2 นี้เราก็เป็นนายเหนือเวทนา เวทนาจะมาหลอกไม่ได้อีกต่อไป สุขเวทนาก็หลอกไม่ได้ ทุกขเวทนาก็หลอกไม่ได้ อทุกขมสุขเวทนาก็หลอกไม่ได้ ถ้าเราไม่หลงในคุณค่าของเวทนา ใจความมันมีอย่างนี้ แต่การฝึกจริงมันยากหรือลำบาก กินแรงงาน กินเวลามากกว่านี้ หมวดที่ 2 จัดการกับเวทนาให้ชนะ
หมวดที่ 3 จิตโดยตรง จิตโดยเฉพาะ จะจัดการประพฤติปฏิบัติจนให้เป็นนายเหนือจิตให้จนได้ อย่าให้จิตเป็นนายเหนืออัตภาพร่างกาย คือว่าเหนือความรู้สึกของเรานี่ เราจะให้สติปัญญามีอำนาจเหนือจิต อย่าให้จิตพาไปตามความต้องการของจิต หมายความว่าตามธรรมดาจิตนี่เป็นจิตที่ไม่ถูกต้อง ยังเป็นอวิชชา ทำจิตให้เป็นวิชชาเสีย มันก็จะหมดปัญหา แต่เทคนิคมันมีละเอียดมากไปกว่านั้น จึงแบ่งออกเป็น 4 บทเรียนอีกแหละ หมวด 3 เรื่องจิต ก็แบ่งเป็น 4 บทเรียน 4 ข้อ
ข้อที่ 1 มานั่งกำหนดดูให้จิตทุกชนิด ให้รู้จักจิตทุกชนิดว่ามันจะเป็นได้อย่างไร กี่มากน้อย ตั้งแต่ว่าจิตมีกิเลสหรือจิตไม่มีกิเลส จิตสงบระงับหรือไม่สงบระงับ จิตถูกปรุงแต่งหรือไม่ถูกปรุงแต่ง กระทั่งว่าจิตราคะ โทสะ โมหะ ให้รู้มันไปหมด เมื่อรู้จิตหลุดพ้น เดี๋ยวนี้เรายังไม่หลุดพ้น แต่เรารู้จักความหลุดพ้นของจิตโดยการคำนวณ คือคำนวณว่าจิตมีราคะ ร้อนอย่างไร ร้อนอย่างไร คำนวณถ้ามันไม่มีร้อนอย่างนี้มันจะเป็นอย่างไร นั่นแหละสามารถจะรู้จักความหลุดพ้นได้โดยที่ยังไม่หลุดพ้น จิตมีโทสะเป็นอย่างไร เป็นอย่างไร เป็นอย่างไร ถ้ามันไม่มีโทสะเหล่านี้ มันจะเป็นอย่างไร นี่ก็รู้เรื่องของความหลุดพ้น นี่จึงรู้จักทั้งฝ่ายที่เป็นทุกข์ยุ่งยากและฝ่ายที่ไม่เป็นทุกข์ยุ่งยาก รู้จักจิตทุกชนิด ในที่สุดก็พอใจเลือกเอาจิตหลุดพ้น จึงพยายามที่จะทำจิตให้หลุดพ้น รู้จักจิตทั้งปวงแล้วก็เลือกเอาจิตที่ควรจะพอใจให้เป็นจิตหลุดพ้น ก็มาทำปีติบังคับจิต ฝึกฝนการบังคับจิต
ซึ่งบทเรียนขั้นที่ 2 ก็ทำจิตให้ปราโมทย์ แล้วก็ทำจิตให้เป็นสมาธิ แล้วก็ทำจิตให้ปล่อยวาง ต้องเอาความปราโมทย์เข้ามาเป็นข้อแรก คือปราโมทย์นั่นมันเป็นกำลัง การจะบรรลุธรรมะในพระพุทธศาสนาหมวดไหนก่อนก็ตาม จะต้องเอาปีติหรือสุขหรือปราโมทย์มานำหน้าสมาธิ หล่อเลี้ยงสมาธิ แล้วสมาธิก็หล่อเลี้ยงปัญญา เราต้องรู้จักทำให้ปราโมทย์ ให้ปีติ ให้เป็นสุข โดยทางจิตนี้ก่อน โดยฝึกจิตให้ปราโมทย์ ปราโมทย์โดยวิธีใด ก็ฝึกไป ฝึกไปหล่อเลี้ยงจิต เท่านี้ก็มีประโยชน์ถมเถไป สามารถทำจิตปราโมทย์ได้ เท่านี้มันก็น่าจะพอแล้ว แต่ยังไม่พอ มันยังหลงใหลในความปราโมทย์ แต่เอาเถอะทำให้ปราโมทย์ให้ได้ก่อน ถ้าหมดขั้นที่ 2 ของหมวดนี้ได้แล้ว
ก็ทำขั้นที่ 3 เป็นสมาธิดีกว่า หยุด หยุด หรือรวมกำลังจิต ไม่ปราโมทย์ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ซ่าน ไม่ซ่านไปรอบตัว จิตนี้มีลักษณะเหมือนกับแสง มันซ่านไปรอบตัว จุดเทียนเข้าไว้แสงสว่างมันซ่านไปรอบตัว เราไม่ให้ซ่านไปรอบตัว ให้มารวมอยู่ที่ตรงกลาง กระแสจิตถูกรวมเข้ามาอยู่ตรงกลางก็เป็นสมาธิ เป็นสมาหิโต เป็นสมาธิ เหมือนกับแก้วนูนรวมแสงแดดลุกเป็นไฟ เดี๋ยวนี้ก็รวมกระแสจิตที่ฟุ้งซ่านรอบตัวมาเป็นกระแสจิตที่มีเป็นจุดเดียวศูนย์กลาง ก็เลยเป็นจิตที่สูง ที่แรง ที่มีอำนาจสูงสุดเท่าที่จิตมันจะเป็นได้ เพราะฉะนั้นจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาหิโตเป็นสมาธินี่มันก็มีประโยชน์หลายหลาย ที่อธิบายความหมายของคำว่าตั้งมั่น ตั้งมั่นเป็นสมาธินี่คือว่ามันสะอาด เวลานั้นไม่มีกิเลส ไม่มีนิวรณ์ นี่มันสะอาด แล้วก็มันรวมกำลังเป็นจุดเดียวเป็นจุดศูนย์กลาง เรียกว่าสมาหิโต จิตสะอาดเรียกว่าปริสุทโธ จิตรวมกำลังหมดเรียกว่าสมาหิโตตั้งมั่นรวมเป็นจุดเดียว แล้วก็มีผลเกิดขึ้นเป็นกัมมนีโย คือจิตนี้เดี๋ยวนี้ได้ที่ ได้ที่ ได้ที่พร้อมที่จะทำหน้าที่ ภาษาสากลเรียกว่า activeness activeness เราต้องการกันนักใช่ไหม ในการกระทำใดๆก็ตามเราต้องการ active คือว่องไวในหน้าที่ เดี๋ยวนี้จิตมีกัมมนีโย คือเหมาะสมกับการงานเป็น activeness ที่สุด ความหมายของคำว่าสมาธิ จิตเป็นสมาธินี่คือสะอาดมาก่อน แล้วก็รวมกำลังเป็นจุดเดียว พร้อมที่จะทำการงาน กัมมนีโยเหมาะสมที่จะทำการงานทางจิตอย่างไรก็ได้ ความเป็นสมาธิของจิตมันมีองค์สาม สะอาด แล้วรวมกำลังเป็นจุดเดียว แล้วพร้อมที่จะทำหน้าที่ อย่างแรกเรียกว่าปริสุทโธ อย่างที่สอง เรียกว่าสมาหิโต อย่างที่สาม เรียกว่ากัมมนีโย องค์ทั้งสามนี้เป็นองค์ประกอบของจิตที่เป็นสมาธิ เราก็ฝึกจิตให้เป็นสมาธิอย่างนี้ จนกว่าจะได้ นี่ข้อที่ 3 ของบทเรียนในหมวดนี้
ข้อที่ 4 ฝึกให้มันปล่อย มันยึดถืออะไรเอาไว้ มากน้อยเท่าไหร่ก็ตาม ให้มันปล่อย ให้มันปล่อย ฝึกให้มันปล่อย คือมีสติรู้ทันว่าไปยึดมันจะกัดเอา ไม่ไปยึดอะไร ให้มันปล่อย ฝึกให้มันปล่อย ปล่อยทุกอย่าง ปล่อยตั้งแต่ของเล็กน้อยจนถึงของใหญ่หลวง กระทั่งปล่อยตัวเอง ไม่มีตัวเอง ไม่ยึดถือตัวเอง ปล่อย ปล่อย หมวดนี้จึงมีว่า รู้จักจิตทุกชนิด แล้วก็ทำจิตให้ปราโมทย์ตามต้องการ แล้วทำจิตให้เป็นสมาธิได้ แล้วก็ทำจิตให้ปล่อยสิ่งที่มันยึดถืออยู่ มีคุณค่าเท่าไรคุณลองคำนวณดูเอา ว่าบทเรียนหมวดนี้เกี่ยวกับจิต เดี๋ยวนี้เราเป็นนายเหนือจิต เราจะใช้จิตให้ทำอะไรก็ได้ วิเศษอย่างนั้น
หมวดที่ 3 ของอานาปานสติที่จัดการกับจิต จนเราชนะจิต มีอำนาจเหนือจิต บังคับ บังคับไปตามต้องการ แล้วทำจนหลุดพ้นไปเลย
ทีนี้ก็หมวดที่ 4 มาหยิบเอาเรื่องธรรมะทั้งหมดขึ้นมาพิจารณา ธรรมะทั้งหมดเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือทั้งนั้นแหละ ดีก็ยึดถืออย่างดี ชั่วก็ยึดถืออย่างชั่ว เล็กนิดเดียวก็ยึดถืออย่างเล็กนิดเดียว มันเป็นที่ตั้งของความยึดถือ จนจะพูดได้ว่าขี้ฝุ่นเม็ดเดียวยันพระนิพพานเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือทั้งนั้น คนโง่ก็จะไปยึดถือนิพพานเป็นตัวตน นี่จะไม่ยึดถือสิ่งใดโดยความเป็นตัวตน เงินทอง ข้าวของ ยศศักดิ์ อำนาจวาสนา ก็มีใช้อยู่อย่างไม่ต้องยึดถือว่าเป็นตัวตน ก็จะไม่มีปัญหา ถ้าไปยึดถือ มันก็จะไปรักนั่น แล้วจะเกลียดนี่ จะกลัวนั่น อย่างที่ว่ามาแล้ว รักบ้าง โกรธบ้าง เกลียดบ้าง กลัวบ้าง ตื่นเต้นบ้าง วิตกกังวลบ้าง อาลัยอาวรณ์บ้าง มันจะเกิดขึ้นมาถ้าไปยึดถือเข้า ทุกสิ่งเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ สิ่งดีก็เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ สิ่งชั่วก็เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ สิ่งที่กล่าวไม่ได้ว่าดีหรือชั่วก็เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ จึงใช้คำว่าธรรมทั้งปวงไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ ก็เอาธรรมทั้งปวงมาพิจารณาให้เห็นว่าไม่ควรจะยึดถือ เอาธรรมทั้งปวงมาพิจารณาในขั้นที่ 1 ว่า อนิจจานุปัสสี สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ที่เกี่ยวข้องกันอยู่กับเรานี้ไม่เที่ยง มันยังเปลี่ยนแปลงเรื่อย มันเปลี่ยนแปลง เห็นความไม่เที่ยง เห็นความไม่เที่ยงของสิ่งทั้งปวง แม้จะยึดถืออย่างไรมันก็ยังไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลง ยึดถือในมือมันก็เปลี่ยนแปลงอยู่ในมือ เห็นความไม่เที่ยง เห็นความไม่เที่ยง ดูให้มาก ดูให้มากเห็นความไม่เที่ยง ความดีก็ไม่เที่ยง ความชั่วก็ไม่เที่ยง ไม่ดีไม่ชั่วก็ไม่เที่ยง ความสุขก็ไม่เที่ยง ความทุกข์ก็ไม่เที่ยง ไม่ทุกข์ไม่สุขก็ไม่เที่ยง แม้แต่สิ่งที่เรียกว่าบุญก็ไม่เที่ยง สวรรค์ก็ไม่เที่ยง นรกก็ไม่เที่ยง ให้มันเห็นไปตลอดทั้งข้างบนและข้างล่างว่าไม่เที่ยง ไม่เที่ยง ไม่เที่ยง ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงเรื่อย ไหลเรื่อย ไหลเรื่อย เมื่อเห็นความไม่เที่ยงเป็นข้อแรกขั้นที่ 1 อยู่แล้ว มันก็มาถึงขั้นที่ 2 มันก็คลายความยึดถือ เห็นความไม่เที่ยงเท่าไหร่ก็คลายความยึดถือเท่านั้น แต่ว่าเห็นความไม่เที่ยงนี่มันเห็นอะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งไม่ได้เอามากล่าวไว้ในคำพูดคำนี้ คำพูดคำนี้กล่าวแต่ไม่เที่ยงอย่างเดียว แต่ถ้าเห็นไม่เที่ยงมันจะต้องเห็นเป็นทุกข์ เห็นความเป็นทุกข์ เห็นไม่เที่ยงเห็นความเป็นทุกข์ มันจะต้องเห็นอนัตตา เห็นไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เห็นอนัตตาแล้ว มันก็จะต้องเห็นความเป็นธรรมดาของสิ่งเหล่านั้น เรียกว่าเห็นธัมมัฏฐิตตา เห็นธัมมัฏฐิตตามันก็เห็นธัมมนิยามตา ว่ากฎของธรรมชาติมันบังคับอยู่อย่างนี้ มันจึงไม่เที่ยง แล้วมันก็จะเห็นอิทัปปัจจยตาอย่างที่ว่ามาแล้วนั่นแหละ มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย มันมีเหตุมีปัจจัย แล้วมันก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แล้วมันจะเที่ยงได้อย่างไรเล่า มันต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นขอให้เห็นความไม่เที่ยงเป็นจุดแรก เห็นความทุกขตาความเป็นทุกข์ อนัตตาความไม่ใช่ตน ธัมมัฏฐิตตามันเป็นตามธรรมชาติอยู่อย่างนั้น ธัมมนิยามตามันมีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ อิทัปปัจจยตาเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย พอเห็นอย่างนี้แล้ว อ้อ! มันมีตัวตนที่ไหนล่ะโว้ย! มีแต่ไหลเรื่อยอย่างนี้เรียกว่า เห็นสุญญตาว่างจากตัวตน ไม่มีตัวตนนั่นน่ะเป็นเช่นนั้นเอง เห็นตถาตาเป็นเช่นนั้นเอง พอเห็นตถาตาแล้วมันก็หยุดการปรุงแต่ง เห็นอตัมมยตา อตัมมยตาปรุงแต่งไม่ได้ต่อไป เห็นความไม่เที่ยงมันมีปฏิกิริยามีผลสืบต่อจนถึงอตัมมยตา แต่ว่าในกรณีนี้เราไม่ได้หมายถึงนั่น เราหมายถึงแต่เห็นไม่เที่ยงจนพอ เพียงพอที่จะคลายความยึดถือในสิ่งที่ไม่เที่ยง เรียกว่าวิราคานุปัสสี เป็นบทเรียนข้อที่ 2 แห่งบทที่ 4 วิราคาแปลว่าจางออก จางออก ที่มันเคยยึดมั่นถือมั่นมันจางออก จางออก ที่มันเคยย้อมติดแน่น มันละลายจางออก จางออก เห็นความไม่เที่ยงเท่าไรมันก็จะคลายออกเท่านั้น เห็นความไม่เที่ยงถึงที่สุด มันก็จะคลายออกถึงที่สุด เมื่อมันคลายออก คลายออก เดี๋ยวมันก็หมด จึงเห็นนิโรธานุปัสสี ดับไปแล้วแห่งความยึดมั่นถือมั่น เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ก็ถือว่าสิ่งทั้งปวงดับไปแล้ว ดับไปแล้วเพราะเราไม่ไปยึดมั่นถือมั่นมัน มันไม่มีความหมายแก่เรา มันจึงมีค่าเท่ากับดับไปแล้ว โลกนี้ทั้งโลกก็ดับไปได้ ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นมัน เรียกว่านิโรธานุปัสสี นิโรธานุปัสสีเห็นความดับแห่งความยึดมั่นถือมั่น พร้อมกันนั้นก็เห็นความดับแห่งความทุกข์ นี่บทเรียนที่ 3 ข้อที่ 3 ของหมวดที่ 4 ยังเหลืออีกข้อ ข้อสุดท้ายเป็นบทเรียนขั้นที่ 4 ของบทที่ 4 ก็ว่าโอ้ว! ดู ดู ดู สุดท้ายดูอีกที อ้าว! หมดปัญหาแล้วโว้ย! หมดปัญหาแล้วโว้ย! เรียกว่าปฏินิสสัคคานุปัสสี สลัดคืน สลัดคืน ทิ้ง ปล่อยหมด เคยโกง คดโกงเอาของธรรมชาติมาเป็นตัวกู มาเป็นของกู เดี๋ยวนี้เลิก เลิก เลิก เป็นของธรรมชาติไปตามเดิม ความทุกข์เคยเอามายึดถือไว้เป็นของกู คืน คืน คืน ไม่มีความทุกข์ ก็คือดูผลสำเร็จสุดท้ายของการปฏิบัติ ว่าเดี๋ยวนี้คืนหมด ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เป็นปัญหา ความทุกข์ก็ดับไปโดยสิ้นเชิง เช่นว่าเราเคยหลงใหลในทรัพย์สมบัติอำนาจวาสนาบารมี เราก็มาพิจารณาดู โอ้! มัน มันไม่เที่ยง เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย โยกโกง หลอกลวง ก็เริ่มคลายความยึดมั่นถือมั่นในทรัพย์สมบัติ อำนาจวาสนาบารมี คลาย คลาย คลาย เดี๋ยวมันก็หมด ก็หมดความยึดมั่นถือมั่นในทรัพย์สมบัติอำนาจวาสนาบารมี ก็ดูซิ โอ้ว! หมดแล้ว หมดแล้ว ทิ้งไปหมดแล้ว ทิ้งไปหมดแล้ว นี่อานาปานสติข้อที่ 4 ของหมวดที่ 4 คือหมวดสุดท้าย
หมวดที่ 1 เรื่องกาย ก็มี 4 หัวข้อ มี 4 บทเรียน หมวดที่ 2 เรื่องเวทนา ก็มี 4 บทเรียน หมวดที่ 3 เรื่องจิต ก็มี 4 บทเรียน หมวดที่ 4 เรื่องธรรมทั้งปวงที่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือก็มี 4 บทเรียน ถ้าจำหัวข้อทั้ง 4 นี้ไว้ให้ดีไม่เสียหลาย ไม่เสียหลาย ไม่ครึคระงมงาย จะฉลาดในทางธรรมะโดยเร็ว
หมวดที่ 1 คือหมวดกาย มีลมหายใจยาว ลมหายใจสั้น มีกายทั้งปวง และมีดับกายสังขาร
หมวดที่ 2 เวทนา มีปีติ มีสุข มีจิตสังขารคือสองอันนั้นเป็นจิตสังขาร แล้วระงับอำนาจ ระงับกำลังของมันเสีย เรียกว่าดับจิตสังขาร ทำให้จิตสังขารระงับอยู่ มันก็มี 4 ข้อ
หมวดที่ 3 จิต ให้รู้จักจิตทั้งปวง เป็นขั้นที่ 1 แล้วบังคับฝึกให้มันปราโมทย์ ก็เป็นกำลังแห่งการปฏิบัติ แล้วบังคับให้หยุด ให้เป็นสมาธิ แล้วบังคับให้คล่องแคล่วในการทำหน้าที่ ให้เหมาะสมที่จะทำหน้าที่ เป็นกัมมนีย ก็มี 4 ข้อ รู้จักจิต รู้จักบังคับให้ปราโมทย์ รู้จักบังคับให้รวมกำลัง รู้จักบังคับให้เหมาะสมที่จะทำการงาน หรือว่าจะเอากันอีกอย่างหนึ่งก็ว่า รู้จักจิต ก็ว่ารู้จักบังคับให้ปราโมทย์ บังคับให้เป็นสมาธิ แล้วบังคับให้ปล่อย เอาเพียง 4 อย่าง อย่างนี้ก็ง่ายดี
ทีนี้หมวดที่ 4 ธรรมะ ธรรมทั้งปวงไม่ว่าอะไร ล้วนแต่อาจจะเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น คนโง่จะยึดมั่นถือมั่นได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรเป็นตัวกูของกู
ทีนี้ก็มาดูว่าทั้งหมดนั้นมันไม่เที่ยง เพราะว่ามันมีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่ง มันก็ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยที่ปรุงแต่ง นั่นคือมันไม่เที่ยง พอเห็นความไม่เที่ยง เห็นความไม่เที่ยง ความหลอกลวง มันก็คลายความรัก คลายความยึดมั่นถือมั่น ไอ้สิ่งที่เราเคยหลงรักไม่ว่าอะไรก็ตาม มันจะคลายความหลงรักเรียกว่าวิราคะ เห็นอนิจจังแล้วก็เกิดราคะ เมื่อมีราคะเป็นไป เป็นไป เป็นไปถึงที่สุด มันก็เกิดนิโรธะ ดับหมดแห่งความยึดมั่นถือมั่น ถ้ามารู้ส่งท้ายเรื่องอีกทีว่า โอ้! นี่จบเรื่อง จบเรื่อง จบพรหมจรรย์ จบพรหมจรรย์ หมดปัญหา เพราะว่าโยนทิ้งไปหมดแล้วไอ้สิ่งที่เป็นปัญหา ถ้าพยายามทบทวน 4 หมวด หมวดละ 4 ข้อนี้ให้เข้าใจแจ่มแจ้งอยู่เสมอ แล้วมันจะเป็นอัตโนมัติ ต่อไปนี้จะค่อยๆเป็นไปเอง เป็นไปเองตามความจริง หรือตามระบบของความจริงที่ธรรมชาติมันกำหนดไว้ มันจะค่อยๆเป็นไปเองเพราะมันมีหนทาง จึงขอร้องว่า จงกำหนดธรรมะ 16 อย่างนี้หรือบทเรียน 16 ขั้นนี้ให้คล่องแคล่ว คล่องแคล่ว แต่ละวันเอามานึกถึงครั้งหนึ่ง รอบหนึ่งก็ยังดี แทนที่จะสวดมนต์ภาวนาว่าออกมา ก็ให้นึก นึกให้ครบทั้ง 16 ข้อ ถ้าเอามาสวดเป็นสวดมนต์ได้ก็ยิ่งดี สวดอานาปานสติภาวนาได้ก็ยิ่งดี แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ขอให้จำแม่นยำ 4 หมวด หมวดละ 4 ข้อมีอยู่อย่างนี้ ทีนี้ก็เริ่มการฝึกให้เป็นไปตามนั้นทั้ง 4 หมวด ที่เรามาฝึกกันที่นี่ 4-5 วันนี้ มันไม่ทันหรอก ไม่พอ แต่ว่าพอที่จะรู้วิธีว่าจะฝึกอย่างไร ดังนั้นขอให้ท่านพยายามรู้วิธีที่จะฝึก อย่างไรเสียภายในเวลา 4-5 วันก็เก็บไปฝึกที่บ้านหรือที่ไหนก็ตาม ไปต่อ ต่อ ต่อไปถึงที่สุด ถ้าเวลาเท่านี้มันทำได้เท่านี้ ฝรั่งมา 10 วันมันก็ทำได้เท่านี้ รู้วิธีที่จะไปทำต่อไปอย่างไร เรามีความรู้เรื่องที่สำคัญที่สุด 2 เรื่องแล้ว คือเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี่เป็นตัวชีวิต แล้วก็เรื่องที่จะควบคุมปฏิจจสมุปบาท คืออานาปานสติภาวนา มี 2 เรื่องเท่านั้น รู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทเห็นชัดว่าทุกข์เกิดอย่างนี้ ทุกข์ดับอย่างนี้ ก็ทำให้มันได้ เดี๋ยวนี้มันทำไม่ได้ มันต้องฝึกสิ่งที่จะช่วยทำให้ได้ก็คืออานาปานสติ พอฝึกอานาปานสติแล้วมันได้ผลมหาศาล แต่ที่สำคัญที่สุดที่จะแยกเอามาใช้ประโยชน์ก็คือ สติอย่างหนึ่ง ปัญญาอย่างหนึ่ง สัมปชัญญะอย่างหนึ่ง สมาธิอย่างหนึ่ง นี่เรียงลำดับใหม่ตามที่จะใช้ในการทำหน้าที่ ถ้าเรียงลำดับไปใช้ในห้องเรียน สำหรับเรียนในห้องเรียน เรียงลำดับอย่างอื่นตามใจ แต่นี่เป็นนักปฏิบัติที่จะใช้ปฏิบัติกันโดยตรง เราจะเรียงลำดับตามเหตุการณ์ที่มันมีอยู่จริง ที่จะต้องปฏิบัติอยู่จริง เราต้องมีสมาธิมากแล้วก็เร็ว เร็วเหมือนกับสายฟ้าแลบ แต่ว่าสมัยโบราณเขาใช้คำเปรียบด้วยลูกศร สติ สติคำเดียวกับสร(นาทีที่ 01:42:52) แปลว่าลูกศร ความเร็วแห่งลูกศรเป็นอย่างไร เอามาใช้เป็นความเร็วแห่งความระลึก ระลึกเร็วทันควัน ไม่ปล่อยให้โอกาสล่องไป มีสติ มีสติ มีสติก็สามารถที่จะไประลึกถึงปัญญา ถ้าเราฝึกอานาปานสติอยู่ มันมีปัญญา ปัญญา ปัญญาเพิ่มขึ้นเก็บไว้เป็นคลังอย่างหนึ่ง พอเกิดเรื่องร้ายขึ้นมา สติเร็วอย่างลูกศรหรือสายฟ้าแลบไปเอาปัญญามา ไปเอามาอย่างหนึ่งที่เหมาะ สติเป็นผู้เลือกเอาให้เหมาะ ไม่เอามาทั้งหมด ถ้าเอามาทั้งหมดเรียกว่าปัญญา เอามาเฉพาะที่จะใช้แก้ปัญหาเรียกว่าสัมปชัญญะ คัดเลือกดูให้ดี ให้ถูก ให้ตรง ให้ครบ ให้พร้อม เรียกว่าสัมปชัญญะ ปัญญาที่เก็บไว้ในคลังเรียกว่าปัญญา ปัญญาที่เอามาทำหน้าที่เฉพาะเรื่องเรียกว่าสัมปชัญญะ ปัญญาในหน้าที่ ปัญญาเก็บไว้เรียกว่าปัญญา ปัญญาในหน้าที่เรียกว่าสัมปชัญญะ เมื่อปัญญาในคลังมีพอก็เลือกเอามาได้ตามต้องการ มาเป็นสัมปชัญญะ มาเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ เมื่อเกิดความยากลำบาก จะต่อสู้กับเหตุการณ์คือกิเลสเป็นต้น แล้วมันก็มักจะท้อแท้เพราะว่ากำลังไม่พอ เป็นสมาธิ ทำให้เป็นสมาธิขึ้นมา เพราะว่าเมื่อฝึกอานาปานสติมันมีสมาธิ ได้สมาธิ เป็นผลได้อย่างหนึ่งเหมือนกัน สมาธิ สมาธิเป็นกำลังมาหนุนสัมปชัญญะให้เข้มแข็ง ให้คมกล้า จะตัดข้าศึกคือปัญหาออกไป เรียกว่าธรรมะสี่เกลอ ถ้าท่านมาฝึกอานาปานสติจนได้ธรรมะสี่เกลอแล้ว ก็คุ้มค่า เกินค่า เกินค่า ขอให้ได้ธรรมะสี่เกลอกลับไป แม้น้อยๆก่อนแล้วก็ค่อยมากขึ้น มากขึ้น สูง สูง สูงขึ้นไป จนเต็มอัตราของมัน มีธรรมะสี่เกลอเป็นคู่ชีวิต ก็จะเป็นพุทธบริษัทสมชื่อ เป็นพุทธบริษัทที่ไม่มีความทุกข์ เราเรียกกันสั้นๆว่าเป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้เบิกบาน ก่อนนี้เป็นผู้ไม่รู้ โง่เขลาและหลับอยู่ด้วยอำนาจของกิเลส แล้วก็ไม่เบิกบานไหว เบิกบานไม่ไหว เดี๋ยวนี้รู้ที่ควรจะรู้ โดยเฉพาะรู้ปฏิจจสมุปบาท เรียกว่าตื่นจากหลับคือกิเลสคือความไม่รู้ ไม่มีกิเลสครอบงำ มันก็เบิกบาน เบิกบาน เบิกบานทางธรรมะนี่พิเศษนะ คือเบิกบานที่ไม่รู้จักโรย ดอกไม้บานเดี๋ยวก็โรย จะเบิกบานโดยธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น มันเบิกบานนิรันดร เบิกบานไม่รู้จักโรยคือพระนิพพาน เบิกบานที่ไม่รู้จักโรยนั่นคือพระนิพพาน มีลักษณะแล้วแต่จะมอง มองในความสวยก็สวยที่สุด มองในความเย็นก็เย็นที่สุด มองในแง่ของความไม่มีทุกข์ก็ถึงที่สุด มองในแง่ของเสรีภาพหลุดพ้น ก็หลุดพ้นที่สุด มันที่สุดอยู่ที่ความเบิกบาน เป็นพระนิพพานของพระนิพพาน เรื่องมันก็จบ
จึงขอสรุปความสั้นๆเตือนว่า ท่านจงมีความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทให้พอสมควร เดี๋ยวนี้เรียนรู้ในเบื้องต้นสำหรับไปศึกษาต่อไปให้เต็มที่ มีความรู้ให้เต็มที่ แล้วก็ฝึกสิ่งที่จะช่วยให้ปฏิบัติได้ตามนั้นให้เต็มที่ คืออานาปานสติ ฝึกอานาปานสติอย่างน้อยก็ขอให้ได้ธรรมะสี่เกลอ ธรรมะสี่เกลอ สติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ มองเห็นชัดเจน ไม่ใช่ว่าท่องจำอย่างเดียว สติไปเอาปัญญามาเป็นสัมปชัญญะเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ สมาธิเพิ่มกำลังให้ ชนะ ชนะ ชนะ พุทธศาสนาต้องเรียกว่าศาสนาแห่งชัยชนะ ไม่พ่ายแพ้แก่กิเลสและความทุกข์ มันจะไม่คุ้มค่าอย่างไร เสียเวลามาบ้าง เสียเงินบ้าง เหนื่อยบ้างอะไรบ้าง มันก็ได้ผลเกินค่า ขอให้ท่านทำให้สำเร็จประโยชน์ตามความมุ่งหมายนี้ แล้วก็มันจะถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ทุกคนจะซ้องสาธุการ ถ้าผีสางเทวดามีจริงจะพลอยแซ่ซ้องสาธุการว่ามันถูกต้อง ถูกต้อง ดีแล้ว ดีแล้ว อนุโมทนา อนุโมทนา ถ้าไม่มีอะไรมาช่วย เราก็ทำของเราเอง เราถูกต้องของเราเอง เราอนุโมทนาของเราเอง เราชื่นชมโสมนัสของเราเอง เพราะว่าสามารถจะดำเนินชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของ คำพูดนี้น่าหัวเราะ แต่จริงที่สุด มีประโยชน์ที่สุด เคยมีชีวิตที่กัดเจ้าของ เอ้า! เลิก เลิก มามีชีวิตที่ไม่อาจจะกัดเจ้าของ ก็มีสี่เกลอ สี่เกลอควบคุมอยู่ ชีวิตไม่อาจจะกัดเจ้าของ จงทำให้สำเร็จทันแก่เวลาด้วยความไม่ประมาท เดี๋ยวมันจะเข้าโลงเสียก่อนจะพบกับสิ่งนี้ ขอให้ได้พบสิ่งนี้เสียก่อนแต่ที่จะเข้าโลง นั่นแหละคือความไม่ประมาท ไม่ประมาท เป็นพระพุทธประสงค์ว่าท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม จะเรียกว่าสมบูรณ์อยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ท่านรีบทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ก็สนองพระพุทธประสงค์ เป็นลูกของพระพุทธเจ้าที่ดี รับมรดกธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างเต็มที่ เพราะว่าสามารถเอาชนะความทุกข์ทั้งปวงได้เพราะความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท แล้วควบคุมได้ด้วยอานาปานสติ อาตมาใคร่ครวญอย่างยิ่งแล้ว เห็นว่าสองเรื่องนี้พอ สองหัวข้อนี้พอ คือรู้ปฏิจจสมุปบาท ปฏิบัติอานาปานสติให้ควบคุมปฏิจจสมุปบาทได้ สองเรื่องนี้พอ เรื่องอื่นๆอีกมากมายมหาศาลเป็นบริวารของสองเรื่องนี้ มันมารวมอยู่ในสองเรื่องนี้ จงสนใจในความหมายสองเรื่องนี้ รู้ปฏิจจสมุปบาท แล้วปฏิบัติอานาปานสติ แล้วก็เตรียมพร้อมสำหรับที่จะเป็นบิดามารดาที่เป็นบูรพาจารย์ของลูก เพราะว่าลูกเกิดมาจากท้องมารดาไม่มีความรู้อะไรเลย จงจัดอะไรให้มันถูกต้อง ในบ้านในเรือน ให้มันมีหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องทางศีลธรรม วัฒนธรรม อย่าให้เป็นเด็ก อย่าให้เด็กๆของเราหลงใหลไปในเรื่องต่างๆที่มันหลงใหลกัน หลงสวย หลงงาม หลงเอร็ดอร่อย หลงจนพ่อแม่น้ำตาตก ซึ่งจะจบหรือไม่จบก็คิดดูเอาเอง ไม่มีปัญหาเหลือ เรื่องบวกก็ไม่เป็นปัญหา เรื่องลบก็ไม่เป็นปัญหา เรื่องสุขก็ไม่เป็นปัญหา เรื่องทุกข์ก็ไม่เป็นปัญหา อยู่เหนือปัญหา เดี๋ยวนี้ไม่มีปัญหา ไม่หัวเราะ ไม่ร้องไห้ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ อยู่เหนือนั่น จิตว่าง จิตปกติ จิตคงที่ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ นั่นแหละคือความหลุดพ้น ถ้ายังต้องดีใจ เสียใจ ร้องไห้ หัวเราะอยู่นั่น ยังติดคุกของชีวิต ติดคุกของอัตตา ยังติดตะรางติดคุกของอัตตา ยังไม่ได้หลุดพ้น ถ้าหลุดพ้นมันก็ไม่มีอะไรที่จะทำ ก็ไม่ต้องหัวเราะต้องร้องไห้ต้องดีใจต้องเสียใจ เรียกว่าอยู่เหนือด้วยประการทั้งปวง เรียกว่าวิมุต หลุดพ้น แล้วก็ไปสู่พระนิพพาน ภาวะของความดับเย็นแห่งความร้อนคือความทุกข์ นิพพานไม่ได้แปลว่าตาย สอนกันผิดๆ ลัทธิอื่นที่ไม่ใช่พุทธศาสนาอาจจะสอนว่านิพพานคือความตายที่ไม่เกิดอีก ตามใจเขา ช่างหัวมัน ในพุทธศาสนานิพพานคือเย็นแห่งความร้อน ความร้อนคือกิเลสและความทุกข์ ไม่ต้องตาย ที่นี่เดี๋ยวนี้นิพพานได้ ถ้าไม่มีกิเลสและไม่มีทุกข์เรียกว่ามีนิพพานได้ อย่าไปฝากไว้กับตายแล้ว มันจะได้ประโยชน์อะไรตายแล้ว เย็นกันที่นี่ เย็นกันเดี๋ยวนี้ เพราะว่ามีความรู้มีการปฏิบัติเพียงพอ ก็มีพระนิพพาน พอกพูนหนทางแห่งพระนิพพานด้วยการศึกษาอานาปานสติและการปฏิบัติ ศึกษาและปฏิบัติปฏิจจสมุปบาทและอานาปานสติทั้งสองเรื่องพร้อมกันไป เคียงคู่กันไป รู้และปฏิบัติให้ได้
ขอบพระคุณท่านทั้งหลาย 2 ชั่วโมงแล้ว อดทนฟังด้วยความอดกลั้นอดทน ขอบคุณที่เป็นผู้ฟังที่ดี และช่วยทำให้อาตมาเป็นคนที่มีประโยชน์ ไม่เป็นหมัน ขอบคุณ ขอบคุณ ท่านทั้งหลายไม่ต้องขอบคุณอาตมานะ อาตมาเสียอีกขอบคุณท่านทั้งหลายที่ช่วยทำให้อาตมาเป็นคนมีประโยชน์ เป็นคนมีประโยชน์ ขอบคุณ ขอบคุณ เป็นผู้ฟังที่ดีตลอดเวลา 2 ชั่วโมงแล้ว ขอให้ทุกท่าน ทุกท่าน ประสบความสำเร็จตามที่หวังมา ว่าจะได้รู้อะไร จะได้ปฏิบัติอะไร จงให้ได้รับผลอันนี้ไปตามสมควร อย่างน้อยก็เป็นเค้าเงื่อนเบื้องต้น แล้วไปศึกษาปฏิบัติต่อไป ต่อไป เพื่อจะช่วยลูกช่วยหลานให้มีความรู้ถูกต้องไว้เสียตั้งแต่ต้นด้วย จะเป็นผู้นำครอบครัวที่ดี จะพากันไปสู่พระนิพพานทั้งหมด ขอให้สมประสงค์และมีความถูกต้องสะดวกดายอยู่ในการปฏิบัติธรรมะ ทำหน้าที่ให้เป็นปฏิบัติธรรม ทำการงานให้เป็นการปฏิบัติธรรม ทุกอย่างเป็นการปฏิบัติธรรมไปหมดเลย สนุกไปหมด แล้วก็สุขสวัสดีในลักษณะนี้ตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย