แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการที่ท่านทั้งหลายมีความสนใจในธรรม แล้วพากันมาศึกษาและฝึกฝนกันที่ธรรมาสมที่จัดขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ คือให้เกิดความสะดวกแก่การที่จะศึกษาธรรมะแล้วฝึกฝนการปฏิบัติธรรมะให้สำเร็จประโยชน์ในการที่จะดำเนินชีวิตด้วยธรรมะ เพื่อให้ได้รับผลดีที่สุดในการที่ได้เกิดมา การขวนขวายเพื่อให้รู้ธรรมะนั้นก็มีเหตุผลควรแก่การอนุโมทนา อาตมาขออนุโมทนาและขอสนองความประสงค์ของท่านทั้งหลายตามที่จะทำได้
ขอทำความเข้าใจกันในเบื้องต้นว่าทำไมมาพูดกันเวลาอย่างนี้ คือเวลาห้านาฬิกา นั้นก็เพราะว่าเป็นเวลาพิเศษซึ่งมีความเหมาะสมที่จะพูดจากันด้วยเรื่องธรรมะ อันเป็นเรื่องลึกซึ้ง โดยเหตุที่เป็นเวลาที่จิตใจมีความเหมาะสมมากกว่าเวลาอื่น แต่ถ้าไม่เคยก็รู้สึกอึดอัดรำคาญบ้างก็ได้ แต่ถ้าเคยเสียแล้วก็จะสะดวกสบายในการที่จะพูดจากันในเวลาอย่างนี้ สำหรับอาตมาเองก็มีความจำเป็นอยู่บ้าง คือเวลาอื่นก็ไม่ค่อยจะมีกำลังสำหรับจะพูดโดยเฉพาะเวลาบ่ายอย่างนี้ก็ไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรงจะพูด ยิ่งกว่านั้นมันก็เป็นเรื่องที่จะต้องทราบไว้ว่า เวลาอย่างนี้ ก่อนรุ่งหรือเริ่มรุ่งนี้เป็นเวลาที่จิตใจยังใหม่อยู่ ยังไม่ได้เติมอะไรลงไปในจิตใจก็มีความเหมาะสมที่จะเติมในสิ่งที่เรียกว่าธรรมะลงไปในจิตใจเป็นเวลาที่รับได้โดยง่าย นี้เป็นเวลาที่เบิกบานแห่งจิตใจหรือสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงก็มีลักษณะอย่างนั้น แม้นแต่ต้นไม้มันก็มีความเบิกบาน ดอกไม้ป่าก็เริ่มบาน เวลาอย่างนี้สัตว์ทั้งหลายก็ตื่นขึ้นวันใหม่ นี้ไก่ก็ขัน หรืออะไรก็เตรียมพร้อมที่ว่าจะตื่น จึงเหมาะสมที่จะใช้ทำความตื่น พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้เวลาอย่างนี้ จนได้นามว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เวลาตรัสรู้ก็เวลาอย่างนี้เราก็ถือโอกาสทำตาม เมื่อเปล่าโดยขนบธรรมเนียมแล้วภิกษุสามเณรก็ตื่นกันเวลาอย่างนี้ แล้วก็ศึกษาท่องบ่นสาธยายก็มี ทำกรรมฐาน ภาวนาก็มี ปัจเวจก็มี เป็นเวลาที่เหมาะสม เข้าใจว่าศาสดาอื่นในศาสนาอื่นก็จะได้ใช้เวลาอย่างนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจึงถือเอาโอกาสเช่นนี้เพื่อให้ได้รับผลดีที่สุด แล้วก็จะฝึกให้มันเป็นนิสัยแล้วจะทำอะไรได้มาก ถ้าเรายังนอนอยู่มันก็ไม่ได้อะไร แล้วคนเป็นอันมากก็กำลังนอนอยู่ยังไม่ได้มาทำอะไรอย่างนี้ แต่ถ้าเรามาใช้เวลาอย่างนี้ชั่วโมงหนึ่ง สองชั่วโมงก็ตามเพิ่มเติมธรรมะลงไปให้มันก็มีค่ามากเท่ากับต่ออายุหรือยืดอายุหรือเพิ่มอายุ ถ้าวันหนึ่งเราเพิ่มได้หนึ่งชั่วโมงปีหนึ่งก็เพิ่มได้ตั้งสามร้อยกว่าชั่วโมง แล้วก็เป็นชั่วโมงพิเศษเสียด้วย ชั่วโมงพิเศษที่จะทำให้รู้อะไรได้ดี เรียกว่าเป็นนาทีทองของการศึกษาธรรมะชั่วโมงหนึ่งหรือสองชั่วโมงก็ตามใจ ถ้าฝึกกันเป็นนิสัยมันก็เพิ่มเวลาอายุได้ตั้งหลายร้อยหลายพันชั่วโมง หรือมิเช่นนั้นก็เอาไปนอนหลับเสียมันก็ไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้น นี้ถ้าฝึกให้เป็นนิสัยใช้เวลาอย่างนี้ ก็ควรจะเรียกว่าได้กำไรในชั้นพิเศษ ไม่มีอะไรตื่นขึ้นมาจับดินสอปากกามาเขียนบันทึกความรู้สึกอยู่ทุกวันๆ มันก็ช่วยให้ฉลาดขึ้นมาทุกวันเหมือนกัน เมื่อไม่คิดจะเขียนมันก็ไม่เกิดขึ้นในความรู้สึก พอไปคิดจะเขียนมันก็เกิดในความรู้สึกว่าจะเขียนอย่างไรก็นึก ก็เป็นความ เป็นการศึกษา เป็นการเพิ่มเติมความรู้ เป็นการประทับความรู้ลงไปในจิตใจให้มันแน่นเฟ้น ให้ท่านทั้งหลายลองทำดู จะได้ผลเป็นเวลาพิเศษเพิ่มให้ จึงขอแนะนำว่าควรจะใช้เวลาอย่างนี้ให้เป็นประโยชน์แม้นอยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่ไหนก็สุดแท้ เป็นทำความตื่นทางจิตใจ ไอ้ตื่นทางร่างกายนี้มันก็ตื่นของมันเองได้ แต่ว่าตื่นทางจิตใจนี้จะต้องช่วยกันหน่อยจะต้องพยายามกันสักหน่อย มันจึงจะเกิดความตื่นจากหลับคือกิเลส ไอ้หลับธรรมดามันก็ตื่นง่าย แต่หลับด้วยกิเลสด้วยอวิชานี้มันตื่นยาก มันต้องพยายามที่ต้องฝึกฝนจึงจะมีความตื่น นี้คือสิ่งที่ควรจะทำด้วยอย่างหนึ่งเหมือนกันคือใช้โลกในเวลาห้านาฬิกาให้เป็นประโยชน์ แทนที่จะใช้เพื่อแสวงหาความสุขจากการนอนหรือเพื่อการอย่างอื่นซึ่งไม่เป็นการช่วยให้เจริญงอกงามไปในทางของพระธรรม ถ้าใช้จิตใช้ชั่วโมงพิเศษหลายร้อยหลายพันชั่วโมงเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ การเจริญงอกงาม การล่าในธรรมของพระธรรมก็มีได้มาก
ที่นี้ก็จะพูดถึงเรื่องที่จะพูดในวันนี้โดยหัวข้อว่ามีธรรมะอย่างไรกัน หรือจะพูดว่าเติมธรรมะอย่างไรกันก็ได้ มีธรรมะอย่างไรกันนี้มันเป็นเรื่องที่เป็นปัญหาเป็นปริศนาหรือเป็นความลับที่ยังไม่รู้เพราะว่ามีแต่ทำตามธรรมเนียม ศึกษาธรรมะตามธรรมเนียม โดยไม่มีความแน่นอนว่าทำไมกันหรืออย่างไรกัน ปล่อยไปตามธรรมเนียมนี้ก็คงจะไม่ได้ผลถึงที่สุด เดี๋ยวนี้มันมีปัญหาที่จะต้องนึกคิดในเบื้องต้น ใครรู้บ้างว่าเกิดมาทำไม เกิดมาทำไม นี้ก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไมเพราะไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมาตั้งแต่ในท้องมารดาก็ไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา จนเกิดออกมาแล้วก็มารี ๆ ขวาง ๆ โดยไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ถ้าถามว่าเกิดมาทำไมก็ไม่รู้ ทำไมเกิดมา ก็บอกไม่รู้ อะไรหรือใครทำให้เกิดมาก็ยังไม่รู้อยู่นั้นแหละ ถ้าเป็นการกระทำของบิดามารดาก็เป็นเรื่องของบิดามารดาเราก็ไม่รับผิดชอบ นี้เราไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เกิดมาจากไหน เกิดมาโดยอะไร เกิดมาอย่างไร ก็ได้แต่พูดกันบ้างตามธรรมเนียมแล้วแต่ใครจะพูดกันอย่างไร จะสอนลูกสอนหลานกันอย่างไร
นี้คนจีนคงจะได้คิดเรื่องนี้กันมาก มันจึงเกิดภาพเขียนขึ้นชุดหนึ่ง ที่เรียกว่าภาพจับวัว ในโรงมหรสพทางวิญญาณของเราก็มีและภาพจับวัวนี้เขียนกันหลายชุดเป็นเรื่องเดียวทั้งนั้น เด็กคนหนึ่งโผล่ขึ้นมายืนเก้ ๆ กัง ๆ เด็กทารกนั้นแหละเหลียวไปทางทิศไหนก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน จะไปทำอะไรที่ไหน ยืนเก้ ๆ กังๆ หันรีหันขวางอยู่กลางทุ่งนา นั้นจุดตั้งต้นของการเกิดมา ต่อมามันก็เห็นรอยวัวที่เดินไปกลางทุ่งนาเป็นรอยคู่ ๆๆๆๆๆ มันเห็นเป็นสิ่งแรก มันก็คิดว่าอันนี้ ๆ คงจะมีความหมายมันก็เดินไปตามรอยวัว อุตสาห์สะกดรอยไปเรื่อย ๆๆ เรื่อยไปก็จนเห็นวัวแต่ที่ไกล เห็นหางวัว เห็นตัววัว เห็นวัวเต็มที่ ก็ตัดสินใจแน่ว่าจะต้องจับไอ้สัตว์นี้เอาไปให้ได้ ก็พยายามทุกอย่างทุกทางไปหาเชือกมาไปหาไม้มา ไปหาอะไรมาต่อสู้กันกับวัวเป็นเวลานาน จนในที่สุดคล้องวัวได้ เอาไปผูกกับต้นไม้แล้วก็ตีวัว เพื่อฝึกวัวจนวัวยอมทุกอย่าง มันก็ขึ้นขี่วัวไปบ้าน กลับไปบ้าน นี้ก็อยู่กับวัวทำอะไรกับวัวจนหนักเข้า ๆ นานเข้าวัวก็หายไป วัวก็หายไป โดยอะไรก็ยังไม่อธิบาย หนักเข้าๆ ไอ้ตัวคนนั้น ตัวชายหนุ่มนั้นก็หายไปๆ ไม่มีเหลือ แล้วก็เกิดใหม่มาเป็นคนแก่เที่ยวแจกของส่องตะเกียง กลายเป็นเที่ยวแจกของให้คนอื่นเที่ยวส่องตะเกียงให้คนอื่นเดินทาง มันจะรวมทั้งการจับวัวด้วยก็ได้เรื่องมันก็จบ นี้มันก็เป็นความหมายที่ดี
เราเกิดมาไม่รู้ถึงกับว่าเกิดมาทำไม ทำไมจึงเกิดมา อะไรให้เกิดมา มันก็ล้วนแต่ไม่รู้ กว่าจะมาพบเงื่อนงำร่องรอยโดยการเห็นรอยวัว โดยการพบตัววัว โดยการถูกต้องจับวัวมาใช้มาสอยเป็นเรื่อง จนกว่าหมดความหมายที่จะต้องใช้วัว จนกว่าตัวเองก็หมดความหมาย หมดความตั้งใจที่จะทำอะไรเพื่อตัวเอง มันก็เลยกลายเป็นทำเพื่อผู้อื่น เที่ยวแจกของส่องตะเกียงก็เป็นเรื่องจบ ถามดูว่าใครทำได้อย่างนี้บ้าง ใครทำได้อย่างนี้บ้าง มันจะไม่พบแม้นแต่ตัวเองที่ไม่พบวัว ไม่พบวัว คนไม่รู้จักแม้นแต่ตัวเอง แล้วมันจะฝึกวัวได้อย่างไร มันก็ไม่เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการเกิดมา แล้วมันก็ตายไปเปล่า มันก็ไม่ได้เป็นคนแต่เที่ยวแจกของส่องตะเกียง เหมือนแต่ว่าขั้นสุดท้ายแห่งชีวิต เมื่อจบเรื่องของเราแล้วมันก็เป็นเรื่องช่วยมนุษย์ ช่วยโลก ได้แจกของส่องตะเกียง ถ้าจะเอาเรื่องนี้ไปใช้กับพระพุทธเจ้าก็จะครบเรื่อง ท่านเกิดมาท่านต่อสู้แล้วประสบความสำเร็จในการเป็นพระพุทธเจ้า นี้ก็แจกของส่องตะเกียงจนตลอดพระชนม์ชีพ อย่างนี้จะเรียกว่าอะไร เรียกว่าเกิด ได้เกิดมาโดยแท้จริงและโดยสมบูรณ์ๆ ประโยชน์ตนเองก็ทำสำเร็จถึงขีดสุด แล้วก็ทำประโยชน์ผู้อื่นจนถึงที่สุด ในลักษณะที่เรียกว่าขนคนไปทั้งโลก ช่วยคนทั้งโลกให้ประสบความสำเร็จในการที่เกิดมาได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ แต่เดี๋ยวนี้เรา เรายังไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม มันก็ดูอย่างข้างเคียงเขาเกิดกัน เขาทำอะไรกันก็ทำไปอย่างนั้น โดยไม่ต้องรู้ลึกซึ้งว่ามันเกิดมาทำไมโดยแท้จริง และบางคนก็จะต่อสู้ว่าฉันไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา ฉันก็ไม่ต้องทำอะไรสิ ฉันไม่ได้สัญญากับใครว่าเกิดมาจะต้องทำอะไรก็ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรผูกมัดให้ฉันต้องทำอะไร ฉันก็ไม่มีเรื่องที่จะตอบปัญหาว่าเกิดมาทำไมก็ได้ แล้วก็ลองดู ก็ลองปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้นดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเกิดมาโดยไม่รู้ว่าทำอะไรก็ปล่อยไปตามเรื่องของไอ้ความไม่รู้ เรื่องอะไรมันจะเกิดขึ้น นี้มันดีแต่ว่ามันมีขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ศีลธรรม อะไรมันมีอยู่เป็นร่องรอย นั้นแหละมันก็ว่าเด็กมันพบรอยวัว ก็เดินตามรอยวัวไปจนกว่าจะพบตัววัว เราเกิดมาในครอบครัวใดก็ตามที่ปกติ มันก็มีระเบียบ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ในรูปแบบของศีลธรรมบ้าง จริยธรรมบ้าง ศาสนาบ้างก็มี ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน ก็ตามเดินไปตามรอยนั้น เดินไปตามรอยนั้น สิ่งแวดล้อมทำให้เดินไปตามรอยนั้น โตขึ้นมาเป็นหนุ่มเป็นสาวมันก็มีรูปแบบของการกระทำ โดยที่ตัวเองไม่รู้ว่าทำทำไม
เอาล่ะเป็นอันว่ายกเว้นให้เมื่อไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ทำไมจึงเกิดมา แต่มันจะต้องรับรู้ในข้อที่ว่ามันเกิดมาแล้วนี้ มันเกิดมาแล้วนี้ มันจะไปตายเสียก็ไม่ได้ มันเกิดมาแล้ว มันก็มีปัญหาว่าที่เกิดมาแล้วนี้จะต้องทำอย่างไร ต้องมีเสรีภาพที่จะคิดและที่จะทำ แล้วมันก็ไม่มีปัญญาจะทำ ไม่ต้องอวดดี มันก็แล้วแต่สิ่งแวดล้อมคือบิดามารดาหรืออะไรที่แวดล้อมอยู่จะชักจูงไปให้ทำอย่างไร ที่เรียกว่าแล้วแต่บิดามารดา หรือจะพูดให้ลึกกว่านั้นก็แล้วแต่ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศีลธรรม จริยธรรม มันมีอยู่อย่างไรก็จำเป็นที่จะต้องทำอย่างนั้น แล้วมันก็น่าหัวที่ว่าเด็กอยู่ในท้องไม่มีความคิดอะไร ไม่มีตัวกูของกู มันก็ทำไปตามธรรมชาติ ก็เป็นไปเองตามธรรมชาติ พอคลอดมาจากท้องมารดาแล้วก็ได้รับสิ่งแวดล้อม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเขาเริ่มทำงาน ทำงาน เกิดผลเป็นความรู้สึกที่เป็นผลงาน เป็นบวกก็ดีใจ เป็นลบก็เสียใจ พอเป็นบวก เป็นบวก เสวยผลบวกหนักเข้า หนักเข้าก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาเองว่าตัวกู ได้รับผลอย่างนี้คืออร่อยหรือเป็นสุข แต่พอมันเป็นลบเข้ามันก็เกิดตัวกูอีกแบบหนึ่ง ตัวกูลบ กูมีความทุกข์อย่างนี้ ตัวกูลบมันก็เกิด เดี๋ยวตัวกูบวกเกิด เดี๋ยวตัวกูลบเกิด พอเจอะเจอมันก็จะมีตัวกูเต็มที่ ไม่กี่ครัวมันก็มีตัวกูเต็มที่ เพราะทุกคราวที่มันเสวยอารมณ์บวกก็ตาม ลบก็ตามมันจะเกิดความรู้สึกตามหลังมาว่ากู ก็อย่างเช่นเด็กกินของอร่อยจะเป็นนมหรือเป็นอะไรก็ตามมันอร่อย อร่อย อร่อย อร่อย โดยความรู้สึกตามธรรมชาติ แต่แล้วมันก็พลอยเกิดความรู้สึกกูตามมา เพราะความอร่อยนั้นแหละทำให้เกิดความรู้สึกว่ากู กูอร่อย นี้แสดงว่าตัวกูมันพึ่งเกิดทีหลังตามความรู้สึก เนื่องจากอายาตนะได้สัมผัสอารมณ์ มันก็เป็นตัวกู ตาเห็นรูปมันก็ว่ากูเห็นรูป ก็ไม่ได้ว่าตาเห็นรูป มันไม่มีความรู้ว่าระบบประสาทตาหรือว่าคลื่นแสงอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่รู้เรื่องนี้แต่มันเห็นสวย เห็นงาม เห็นน่ารัก น่าพอใจ หรือว่ารู้ว่ามันเป็นรูปอะไรเสียแล้ว มันก็ตัวกูออกมาเป็นผู้เห็น ทางเสียงก็เหมือนกันมันไม่รู้กูได้ยิน มันไม่ใช่ระบบประสาทได้รับคลื่นเสียง มีรูปเป็นอย่างนั้นอย่างนี้แล้วต่อมามีความหมายอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็ไม่รู้ กูไม่ได้ยินเสียง จมูกทำหน้าที่ก็บอกว่ากูได้กลิ่น ลิ้นทำหน้าที่มันก็ว่ากูได้รส สัมผัสผิวหนังคนมันก็กู กู กู คิดนึกอะไรในความคิดโดยลำพังของจิตล้วน ๆ ไม่มีตัวกู มันก็ว่ากูคิด ในที่สุดมันก็มีตัวกูสมบูรณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไปรวมอยู่ที่จิตที่เป็นตัวกูเต็มที่ นั้นแหละมันก็เกิดเป็นตัวกูขึ้นมา
สิ่งแวดล้อมทั้งหลายก็ล้วนแต่ทำให้เด็กรู้สึกเป็นตัวกูของกู การผะเน้า ผนอ ประเล้าประโลมจิตทำให้เด็ก จิตของเด็กตามที่มันต้องการ ช่วยส่งเสริม มันก็เกิดตัวกูไปในทางให้เกิดตัวกูทั้งนั้น เพราะความรักของบิดามารดา ของผู้เลี้ยงดูมันส่งเสริมไปในทางบวก มันก็บอกล้วนแต่เป็นเรื่องทางตัวกู บ้านของหนู อะไรของหนู ตุ๊กตาของหนู พ่อแม่ของหนู พี่น้องของหนู นี้มันเป็นไปในทางตัวกู มันได้เปรียบโดยธรรมชาติ สัญชาตญาณแท้ ๆ มันก็เป็นเพียงว่ารู้สึกว่ามีชีวิตที่จะต้องรักษาต้องต่อสู้ต้องรักษามันยังไม่เกิดตัวกูเข้มข้นถึงกับว่าจะต้องเห็นแก่ตัวกู ถึงมันเป็นตัวกูมันก็เป็นตัวกูชนิดที่ไม่เห็นแก่ตัวกู ทีนี้ต่อมา ต่อมา มันหลงในความเป็นบวก หลงในความเป็นลบ มันก็เกิดไอ้ตัวกูชั้นสอง คือความเห็นแก่ตัวกู เห็นแก่ตัวกูทุกเรื่อง มันเห็นแก่ตัวกู มันก็ได้รับการอบรมแวดล้อมด้วยดีทางศีลธรรม ทางวัฒนธรรม ทางไอ้ที่พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูจะจัดให้มี ให้ได้ มันก็หลงในผลของการได้รับ ในการเอร็ดอร่อย สนุกสนาน เพลิดเพลิน ในสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องมันก็เกิดอาการใหม่ขึ้นมาอีก ตัวแทนที่จะคล้อยตามพ่อแม่ คล้อยตามจริยธรรม ตามศีลธรรม ตามระเบียบที่ดี มันก็ไม่เอาแล้ว มันก็จะเอาแต่ที่ว่าจะอร่อยอย่างไร จะสนุกอย่างไร จะเพลิดเพลินอย่างไร จนกระทั่งเรื่องกามรมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็สลัดทิ้งไอ้ที่เคยอบรมมาให้ถูกต้อง ให้ประณีต มันก็สลัดทิ้ง ไปบูชาไอ้ความรู้สึกทางเนื้อหนัง ซึ่งเป็นเรื่องของกามรมณ์ทั้งนั้นแหละ ทางตา ทางหู ทางจมูก อุปมาในคำสอนโบราณสมุดข่อย เศษกะรุ่งกะริ่งนี้มีพบว่า เขาก็เคยคิดในเรื่องนี้กันก็บรรยายเรื่องนี้กัน ก็บรยยายไว้ตอนหนึ่งที่น่าฟังที่สุดว่าไอ้เด็กหนุ่ม หรือว่าเด็ก เด็กที่โตแล้วพอสมควรแล้วมันก็ทิ้งพ่อแม่ ทิ้งพ่อแม่หนี วิ่งหนีตามโจรไป อุปมาเหมือนกับว่าพวกโจร พวกเลวร้ายนี้มันมาได้มาเกี่ยวข้องกับไอ้เด็ก เด็กที่กำลังเจริญขึ้นมานี้ มาแสดงบทบาทของโจร มาแสดงการเป็นอยู่แบบโจรสนุกสนาน เอร็ดอร่อย จนเด็กคนนั้นทิ้งพ่อแม่หนีตามโจรไป ไปกับพวกโจร ก็คิดดูเสียว่ามันจะเป็นอย่างไร มันก็ไปหัวหกก้นขวิดตามสบายกันเสีย พวกโจรจนกว่าจะได้รับผลเลวร้ายทนไม่ไหวจึงจะหนีโจรกลับมาหาพ่อแม่ มันเป็นอุปมาที่ดี เด็ก ๆ เขาก็คิดที่จะไม่ทำตามพ่อแม่ คิดจะหนีบ้านหนีโรงเรียน หนีอะไรไป เพื่อแสวงหาอะไรตามพอใจของกิเลส ทิ้งพ่อแม่หนีตามโจรไป ครั้นได้ไปอยู่กับโจรเข้าจริงๆ ก็ทนไม่ไหว ทนไม่ไหว ถ้าคนโชคดีนะ ของเด็กคนนั้นกลับตัวได้ก็ทิ้งโจรหนีกลับมาหาพ่อแม่ เมื่อก่อนนี้เคยอยู่ในระเบียบวินัยที่ดี แต่แล้วมันก็ทิ้งระเบียบวินัยที่ดีไปตามใจตัวเอง ไปเป็นอันธพาลไปก็ได้ จนกว่าจะเห็นว่ามันสู้ไม่ไหวก็ทิ้งไอ้ความอันธพาลนั้นกลับมาหาระเบียบอีกก็ได้ระวังให้ดี สังเกตดูให้ดี ไอ้ลูกเด็ก ๆ ของเราจะเป็นอย่างนี้ผู้ที่เป็นพ่อแม่ควรจะระวังให้ดีว่า มันจะมีอยู่ระยะหนึ่งที่ลูกเด็ก ๆ ของเราจะทิ้งพ่อแม่แล้วหนีตามโจรไป ทีแรกมันก็อยากดี อยากดี อยากดี แต่ไปพบความสนุกสนาน เอร็ดอร่อยแบบอันธพาลเข้ามันก็เหไป ทิ้งความถูกต้องความเป็นระเบียบหรือความดีไปเอากันอย่างนั้น โดยมากมันก็มักจะทะลุไปทางโน้น การที่จะระลึกนึกได้แล้ววิ่งกลับมาหาพ่อแม่นี้มันก็เป็นส่วนน้อย ถ้าเป็นได้มันก็โชคดีหรือถ้าพ่อแม่ดี ครูบาอาจารย์ดี มันก็จับตัวกลับมาได้ มาหาพ่อแม่กันใหม่ มาหาครูบาอาจารย์กันใหม่ พูดสรุปสั้น ๆ ก็ว่ามันเกิดมามันไม่รู้อะไร มันไม่รู้อะไร มันได้พบความสนุกสนาน เอร็ดอร่อย มันก็เพลิดเพลินไปจนกว่าจะรู้สึกตามความเป็นจริงว่าเราจะตามใจความรู้สึกอันนั้นไม่ได้ จะต้องหาความถูกต้อง เป็นหลักเป็นเกณฑ์แล้วก็ประพฤติปฏิบัตินี้ก็คือธรรมะ มันเกิดมาโดยธรรมะ มีธรรมะแล้วมันก็ทิ้งธรรมะ หนีไปตามอธรรม และในที่สุดก็ทิ้งจากอธรรมหนีมาหาธรรมะที่สูงๆๆๆ ขึ้นไปจนหลุดพ้นไปเลย หมดปัญหาไปเลยนั้น มันจะเป็นอย่างนี้ ไอ้ชีวิตนี้มันจะเป็นอย่างนี้ เราก็ไม่โทษหรอกว่าทำไมจึงไม่เข้าใจธรรมะ ก็มันไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ทำไมเกิดมามันไม่รู้ ก็เรียกว่าเป็นพระเดชพระคุณของบิดามารดาที่จับตัวไว้ให้อยู่ในกรอบในขอบเขตที่ถูกต้อง ศาสนา จริยธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีก็ช่วยเป็นกรอบหรือเป็นกรง ขังไว้ก่อนให้ปลอดภัย ให้มันเจริญอยู่ในกรงจนกว่าจะปลอดภัยจนกว่าจะออกจากกรงได้ นี้คือความลับที่เราจะต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ
เกิดมาทำไมไม่รู้ ทำไมเกิดมาก็ไม่รู้ ใครให้เกิดมาก็ไม่รู้ จะต้องทำอย่างไรก็ยังไม่รู้ จนกว่ามาเผชิญกับชีวิตเป็นปัญหามากขึ้น ๆ จนค่อยสังเกตุเห็นดูว่ามันจะทำอย่างไร เดี๋ยวนี้จะต้องทำอย่างไรที่แล้วมาก็ยังไม่รู้ อนาคตก็ยังไม่รู้ ว่าปัจจุบันนี้ฉันจะต้องทำอย่างไรมันก็ค่อย ๆ รู้ ถ้าโชคดีได้รับการอบรมที่ดีจากบิดามารดา ครูบาอาจารย์ที่ดีมันก็รู้เร็วขึ้น รู้ถูกต้องมากขึ้น การรอดตัว เปรียบเหมือนเด็กคนนั้นตามวัว พบกับวัวได้ก็เอามาใช้เป็นประโยชน์ ใช้ประโยชน์จนถึงที่สุด จนถึงที่สุด จนหมดเรื่องที่จะใช้ชีวิตในแบบนั้น ก็กระโดดไปใช้ชีวิตในแบบคนแก่เที่ยวแจกของส่องตะเกียง ก็เรียกว่าเขาได้ทำครบถ้วน ครบถ้วน บริบูรณ์ในการเกิดมา ไม่เสียทีที่เกิดมา แม้นว่าทีแรกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดมาทำไม เหมือนกับเด็กคนนั้นเกิดมาที่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่กลางทุ่งนาไม่รู้จะไปไหน ทิศเหนือทิศใต้ไม่รู้ แต่เผอิญเห็นรอยวัวก็เดินตามรอยวัวไปพบตัววัว จับวัว นี้มันเพิ่งจะพบชีวิตและก็จัดการกับชีวิตได้สำเร็จประโยชน์ในเรื่องส่วนตัวจบ จึงทำเรื่องผู้อื่นเที่ยวแจกของส่องตะเกียง ถ้ามันสำเร็จประโยชน์ครบถ้วนตามที่ได้เกิดมา
ภาพจับวัวอย่างนี้อาตมาสังเกตเห็นมีมากมายหลายชุด เขียนกันหลายรูปแบบ ศิลปะการเขียนไอ้เรื่องเดียวกันทั้งนั้น เรื่องอย่างนี้ทั้งนั้น ก็ต้องพูดว่าชาติโบราณเก่าแก่พัน ๆ ปีมีจีน มีอินเดียนี้เป็นชาติโบราณเก่าแก่ มันก็เคยคิด เคยนึก เคยศึกษาเคยอะไรมามากมาย ควรจะสังเกตดูคนที่ศึกษา ดูพระพุทธเจ้าก็เป็นชาวอินเดีย มาบัดนี้ก็มายุติว่าเราจะทำอย่างไร จะทำไมจึงทำนี้ไม่รู้โง่ ทำไมเกิดมาก็ไม่รู้ เกิดมาทำไมก็ไม่รู้ แต่ในที่สุดมันก็บังคับให้ต้องรู้ว่าแกเกิดมาแล้วนี้แกจะต้องทำอย่างไร แกอยากจะไปฆ่าตัวตายก็เชิญ ก็เชิญ มันไม่อยากจะฆ่าตัวตายมันจะดำเนินชีวิตต่อไป แกก็ต้องรู้ถึงที่สุดว่าจะต้องทำอย่างไร ดังนั้นอาตมาจึงเอามาเป็นหัวข้อสำหรับจะบรรยายในวันนี้ว่าจะมีธรรมะกันอย่างไร พูดกันไม่รู้เรื่องว่าทำไมจะต้องมีธรรมะ มันไม่รู้เรื่อง มันไม่รู้เรื่อง เด็กทารกคนนี้มันไม่รู้เรื่องจนมันเกิดขึ้นมาแล้ว ก็อยู่ในสภาพอย่างนี้มันก็เลือกเอาสิจะฆ่าตัวตาย หรือจะไปตามโจรไม่กลับมาหรือว่าจะกลับมา หรือว่าจะทำอย่างไร นั้นก็ค่อย ๆ สอนให้เอง ค่อย ๆเข้ารูปขึ้นมาเอง ทำผิดก็เจ็บปวดด้วยควาทุกข์ ทำถูกก็สบายด้วยความสุข มันก็รู้กันเท่านี้ มันก็สอนให้ สอนให้มากขึ้น รู้จักหลีกไอ้เรื่องของความทุกข์มาทำมากขึ้นในเรื่องของความสุข ที่มันจะรู้ไม่เองไม่มีเพียงเท่านี้ รู้ความสุขเพียงว่าได้ตามพอใจ ดังนั้นไอ้ความสุขของคนโง่ ของปุถุชนคนโง่ทั้งหลาย ความสุขของเขา มันยุติอยู่เพียงว่าได้ตามพอใจ ได้ตามพอใจ หลงบูชาว่านี้เป็นความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยต้นแห่งชีวิตก็บูชากามรมณ์ ได้กามรมณ์ ตามพอใจ เรียกว่าได้สิ่งสูงสุดที่ควรจะได้ อายุมากเข้าก็ได้ทรัพย์สมบัติมากมายตามพอใจ หรือต่อไปอีกก็มีอำนาจวาสนาตามที่พอใจ มันไปสรุปความอยู่ที่ว่าได้ตามพอใจ ได้ตามพอใจ เป็นความสุขของปุถุชนต้องใช้คำว่าคนโง่ เป็นความสุขจริงหรือไม่ก็ลองดู เพราะว่าไอ้ความพอใจมันไม่รู้จักสิ้นสุด มันเปลี่ยนเรื่อย มันมีวันสิ้นสุด มันก็ไม่มีความพอใจที่สิ้นสุดลงด้วย มันก็หิวเรื่อย หิวเรื่อย จนกว่าพระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้น ท่านรู้ไอ้ความสุขที่แท้จริงคือว่าไม่พอใจหยุดพอใจ หยุดโง่ หยุดพอใจ หยุดแสวงหาโดยความพอใจ โดยมารู้จักการดำรงชีวิตอยู่อย่างถูกต้องๆๆ แล้วก็ไม่ต้องหวังอะไร ไม่ต้องอยากอะไร นี้อยู่เหนือความต้องการ ความพอใจก็ได้ มันขึ้นไปเหนือความต้องการ ตามพอใจ กลายเป็นไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร มีแต่การปฏิบัติที่ถูกต้องแล้วก็ไม่ต้องการอะไร นี้ก็เป็นพระอรหันต์ บางคนก็จะไม่เอา ฉันไม่ชอบพระนิพพานว่างไม่มีกิเลส ตัณหาไม่ต้องการอะไรก็ไม่พอใจ ไม่ต้องการนิพพาน แต่ขนบธรรมเนียมประเพณีแต่ก่อนมันมีมาว่าเขาก็ต้องการนิพพานกัน คนแก่คนเฒ่าก็ปรารถนานิพพาน มันเหลือศาสนาติดไม่รู้ว่าอะไรโดยตนเองและคิดนึกตามๆๆๆ เขาไปก็ต้องการนิพพาน ท่านจะไม่รู้ว่านิพพานมันหยุดต้องการตามพอใจ เพราะมันหยุดพอใจเสียได้โดยประการทั้งปวง ไอ้ความพอใจ พอใจนี้มันเป็นกิเลสหยาบบ้าง ละเอียด ประณีตบ้าง ละเอียดจนไม่รู้ว่าเป็นทุกข์ เป็นอันตรายก็มี แต่ถ้ามีความต้องการแล้วมันก็ทรมานจิตใจทั้งนั้นไม่ว่าชนิดไหน ฉะนั้นนิพพานก็หยุดความต้องการ ทีนี้ก็ว่างจากการปรุงแต่งซึ่งเป็นความต้องการ จึงจะเป็นความสุขที่แท้จริงและสงบเย็น ทีนี้ความสุขของปุถุชนก็มีแต่ต้องการความสุข ต้องการให้ได้ตามที่ต้องการก็เป็นความสุข เป็นความสุขจึงอยู่ที่กามรมณ์ จึงอยู่ที่ทรัพย์สมบัติ จึงอยู่ที่อำนาจวาสนาบารมีอะไร ไปตามเรื่องของความต้องการ มีผู้หญิงคนหนึ่งเขามาหาอาตมาว่าให้ช่วยอธิบายในเรื่องไปนิพพาน อาตมาบอกเขาแต่เพียงว่าที่เมืองนิพพานไม่มีรำวงเพียงเท่านี้จบเรื่อง จบหยุด คือเขาบอกถ้าอย่างนั้นไม่ต้องการ ไม่ต้องการนิพพาน เพราะคนนี้เขาชอบรำวงเป็นหัวหน้ารำวง พอบอกว่าเมืองนิพพานไม่มีรำวงก็ขอถอดคำพูด ไม่ต้องการนิพพานคิดดูมันเป็นถึงขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเราจะเกิดมาทำไม เราจะควรได้อะไร โดยมาเอาติดรำวงงอมแงมเป็นยาเสพติด แล้วก็คงจะคิดเอาว่าเมืองนิพพานคงจะมีรำวงแบบที่ดีกว่านี้ สนุกกว่าที่มีอยู่ที่นี้อีกก็เลยไม่ต้องการไปนิพพาน เพราะได้ยินเขาพูดกันอยู่ว่าไอ้นิพพานเป็นบรมสุข แสนสุข สุด ๆๆๆ ที่สุดของความเป็นสุข นี้ถ้าจะต้องเอามาคิดดูบ้างว่าไอ้ธรรมะนี้มันคืออะไร ต้องการธรรมะไปทำอะไร แล้วมันก็ติดขัดตรงที่ว่า ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ทำไมจึงเกิดมา และควรจะได้อะไร นี้มันจึงเป็นปัญหา เกิดมามันก็ถูกจับปล่อยในที่มืดแล้วค้นหาทางออกเอาเอง
เดี๋ยวนี้มันก็มีขนบธรรมเนียมประเพณีซึ่งยังไม่รู้ว่าอะไรมันเป็นเครื่องช่วย เด็กทารกผู้ใหญ่ก็เลี้ยงดูแล้วต้องบังคับด้วยให้ทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ ซึ่งบางทีเขาไม่อยากจะทำก็อยากจะเล่นอย่างเดียว เด็กๆ นี้มีอะไรพิเศษ เด็กทารกให้เขาทำอะไรเขาทำเป็นของเล่นหมด ยังไม่มีความทุกข์เข้ามา ถ้าเราจะใช้เด็ก ๆ ถูบ้านถูเรือนเขาก็สนุก เขาก็สนุก เขาก็เล่นสนุกกันด้วยการถูเรือน หรือใช้ให้ขนของ อ้าวมันก็สนุกด้วยการขนของ ใช้ให้ทำอะไรมันก็เป็นเรื่องสนุกไปหมด แต่แล้วมันสนุกไปไม่ได้ถึงไหนแล้ว เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่รู้อะไร แต่มันไปดีอยู่อย่างที่น่าคิด แต่ว่าลองใช้ เด็ก ๆ ทำอะไร ใช้ซักผ้าก็ได้มันก็เป็นของเล่นสนุกไปหมด หรือใช้ให้ขนฟืนก็ได้มันก็สนุกไปหมด ใช้ขนอิฐก็ได้ก็สนุกไปหมด แต่คนผู้ใหญ่มันไม่เป็นอย่างนั้นมันกลายเป็นการงาน การงาน จนหนักเหมือนกับลากเกวียน ลากของที่หนักไปเสีย นี้ก็เพราะว่าเด็ก ๆ เขายังไม่ได้มีตัวตนเข้มข้น ยังไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย พอให้ทำอะไรก็เป็นเรื่องสนุก ใช้กวาดมันก็สนุกกันใหญ่ มันก็กวาดกันอย่างสนุก หัวเราะเล่น เล่นหัวกันกับไม้กวาดนั่นแหละ นี้แหละเป็นเด็กเป็นต้องช่วย ผู้ใหญ่นี้ต้องช่วยบังคับ ช่วยต้องชักจูง มันเป็นความถูกต้อง ครั้งเด็กมันโตขึ้นมา โตขึ้นมา ทำไมมันรู้จักขี้เกียจ มันรู้จักขี้เกียจ ทำไมไม่เป็นสนุกไปเสียทุกอย่าง อย่างที่มันเคยเป็นมาแล้ว เพราะว่าเด็กโตก็ต้องเรียน มันก็จะเรียนสนุกจนกว่ามันจะรู้จักขี้เกียจเอง รู้จักหนีโรงเรียน ในลักษณะที่ทิ้งพ่อแม่หนีตามโจรไป มันก็เรียนจบมันก็ต้องทำงาน มันมีความหวังอยู่จะได้ตามที่ต้องการ ได้ตามใจตัว ได้ความต้องการ จากตัวอย่างที่พอจะมองเห็นหรือรับคำบอกเล่า จะได้มีเงิน จะได้สมรสแต่งงานมีเกียรติ จะได้มีความเป็นใหญ่เป็นโต นี้มันก็จูงใจให้กระทำแต่ว่าด้วยความลำบากด้วยความอดทด บางทีก็ท้อถอย แล้วมันก็จะไปพบกันเข้ากับการมีครอบครัว การมีปัญหายุ่งยากเพิ่มขึ้นๆ ตามความเจริญของชีวิต เหล่านี้มันเป็นปัญหา เป็นปัญหาที่เขาจะต้องผ่านไป เมื่อเขาผ่านไปไม่ได้พ่อแม่นี้จะต้องช่วยให้เด็กทารกผ่านด่านแห่งความเป็นเด็กทารกไปเป็นอย่างดี เป็นเด็กวัยรุ่นผ่านไปอย่างดี เป็นหนุ่มเป็นสาวผ่านไปอย่างถูกต้อง จนกระทั่งไปเป็นพ่อบ้านแม่เรือน คนแก่คนเฒ่าด้วยตนเอง รอดตัวไป รอดตัวไป
ธรรมะอยู่ที่ไหน ธรรมะอยู่ที่ความถูกต้อง ถูกต้องในการปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้นนั่นเอง สิ่งนั้นแหละคือความถูกต้อง ธรรมะ ธรรมะตัวมันแท้ๆ มันแปลว่าความถูกต้องในการปฏิบัติหน้าที่ ในโรงเรียนในเมืองไทยเราก็น่าสงสารอยู่ที่ว่า ครูบอกนักเรียนว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันหลอกกันโดยไม่รู้ตัวเพราะในประเทศอินเดีย คำว่าธรรมะๆ นี้ใช้กับคำสั่งสอนในลัทธิไหนศาสนาไหนก็ได้ โดยธรรมะของศาสดาชื่อนั้นก็มีหลายอย่าง ของพระพุทธเจ้าก็เป็นอย่างหนึ่งเท่านั้น ธรรมะๆ แต่หมายถึงสิ่งที่ประพฤติกระทำเพื่อความรอด ดังนั้นมันจึงต้องเป็นความถูกต้อง พระพุทธเจ้าเป็นคนตรัสธรรมะในอันดับสุดท้ายหรือสูงสุดเป็นความถูกต้องตลอดกาล ระบบปฏิบัติที่ถูกต้องไม่ใช่เพียงแต่ความรู้ ไอ้ความรู้มันยังไม่ช่วยต้องเป็นการปฏิบัติ ปฏิบัติถูกต้องครบระบบว่าถูกต้อง ถูกต้องนี้คือช่วยได้ ถูกต้องอยู่ที่มันช่วยได้ อย่าถูกต้องตามไอ้ความคิดสมัยใหม่ ถูกต้องทาง Logic บ้าง ถูกต้องทาง Philosophy บ้าง อย่าไปเอาเลยมันไม่จุดจบ ไม่มีจุดจบ มันไม่ถูกต้อง มันถูกต้องตามหลักพระศาสนาคือทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ มันก็เป็นการถูกต้องแก่ความรอด คือไม่ตายและไม่มีทุกข์ ถ้าไม่ถูกต้องทางกายมันก็ตาย ไม่ถูกต้องทางจิตมันก็เป็นทุกข์ ทั้งเป็น ๆ อย่างนี้ มันต้องรอดทั้งทางกายและรอดทั้งทางจิตและทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ตั้งแต่เกิดจนตาย และต้องเพื่อผู้อื่นด้วยไม่ใช่เฉพาะตัวเองผู้เดียว มันทั้งเพื่อตัวเองและผู้อื่น เพราะว่าอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ เขาให้เราอยู่คนเดียวในโลกครองโลกหมดคนเดียวมันก็ตาย ตายในไม่กี่วัน มันจะต้องนึกถึงการอยู่ร่วมกัน เพราะสิ่งที่มีชีวิตอื่น ๆ ในรูปแบบสหกรณ์ สหกรณ์ ทำกันคนละหน้าที่ สัตว์เดรฉานก็มีส่วนทำหน้าที่ให้โลกนี้ สะดวกสบายที่จะอยู่ ต้นไม้ ต้นไร่นี้ก็มีหน้าที่ ทำให้เกิดความสะดวกสบายแก่โลกนี้ โดยการที่จะอยู่ อย่าว่าแต่คนด้วยกันเลย คนด้วยก็กันก็ยิ่งมีหน้าที่ เดี๋ยวนี้เรามีหน้าที่กันทุกอย่าง ครบถ้วนมันจึงสะดวกสบาย เราคนเดียวทำไม่ได้มันต้องนึกถึงผู้อื่นด้วยเป็นความถูกต้องเป็นความจำเป็นที่จะต้องมีธรรมะส่วนที่ทำประโยชน์แก่ผู้อื่น เหมือนกับในนิทานอุปมานั้นว่าในที่สุดก็ออกไปเป็นผู้แจกของส่องตะเกียง เรื่องวัวเรื่องอะไรที่บ้านนี้หมดแล้ว จบแล้ว มันไปจบด้วยเรื่องของผู้อื่นเที่ยวแจกของส่องตะเกียง จึงจะได้รับผลถึงที่สุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์
เดี๋ยวนี้มันมีอุปสรรคคือความไม่รู้ที่ถูกต้อง ไม่รู้ธรรมะนั่นแหละมันไม่รู้ที่ถูกต้อง มันมีปัญหาเต็มไปหมด ปัญหาที่จะมีปัจจัยสี่นี้ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย แล้วแต่เป็นปัญหา ยังแก้ไม่ค่อยจะได้ สุขภาพอนามัยก็เป็นปัญหา เรื่องเศรษฐกิจก็เป็นปัญหา เป็นการสังคมแก่กันและกันก็เป็นปัญหา คือพร้อมที่จะเอาเปรียบคนอื่นทั่ว ๆ ไปนั้นเป็นปัญหา มันไม่มีความรักผู้อื่น มันมีแต่ความเห็นแก่ตัวมันก็เป็นปัญหา ปัญหาทางเพศตามความเจริญของร่างกายมันก็เป็นปัญหา พอมีครอบครัวมีบุตรภรรยามีลูกหลานมันก็ยิ่งเพิ่มปัญหา ในทางสังคมมันก็เป็นปัญหา จนต้องการจะมีอำนาจวาสนามีบารมีสำหรับที่จะบันดาลสิ่งต่างๆ แต่แล้วภายในมันก็ยังถูกบีบคั้นอยู่ด้วยอำนาจของกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ นี้บีบคั้นอยู่ในภายในตลอดเวลามันก็เป็นปัญหา ปัญหาของกิเลสนี้ที่มันเห็นชัด ๆ ก็คือมันต้องการส่วนเกินที่ไม่รู้จบ จะกินเกิน แต่งตัวเกิน เครื่องใช้ไม้สอยเกิน แม้นแต่การเจ็บไข้ก็ต้องการการเกินในการเยียวยารักษาไม่รู้จบด้วยการต้องการส่วนเกิน อันนี้ล่ะกำลังเป็นปัญหาขอให้สังเกตดูให้ดีมันเป็นปัญหาที่ว่ามันต้องการส่วนเกิน มันจึงเกิดระบบอุตสาหกรรม ผลิตออกมาด้วยเครื่องจักรแล้วมันก็เกิน พอเกินก็ต้องโกหกด้วยการโฆษณา มันโฆษณาเก่งมันก็ขายหมด ทั้ง ๆ ที่มันเป็นส่วนเกินไม่จำเป็น โฆษณายายแก่ซื้อตู้เย็นก็ทำได้ ในบ้านมันจึงเต็มไปด้วยส่วนเกินไปดูที่บ้านของคุณบ้านบ้านของใครก็ตาม มันมีส่วนเกินที่เอาไปทิ้งเสียได้ก็เยอะแยะไป แต่ไม่ทิ้งก็หามาอีกให้ยิ่งเกินไปกว่านั้นอีก ก็เปลี่ยนของใช้ ของกินกันอยู่เรื่อยไป รถยนต์ก็ต้องเปลี่ยน ตู้เย็นก็จะต้องเปลี่ยน อะไรมันก็ต้องเปลี่ยนให้มันดีกว่าเก่ายิ่ง ๆ ขึ้นไปไม่รู้จักจบกันที่ส่วนไหน ระบบอุตสาหกรรมมันจึงครองโลกแต่ว่าเต็มไปด้วยปัญหา ถ้าควบคุมกันไม่ได้มันก็ต้องวินาศด้วยระบบอุตสาหกรรมที่ควบคุมไม่ได้นั้น นี้ก็เรียกว่ามันเป็นปัญหาเรื่องส่วนเกิน แล้วมันยังมีธรรมชาติที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่แวดล้อมเราอยู่นี้มันไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ เราอยู่ในท่ามกลางสิ่งที่มันไม่เป็นไปตามความต้องการของเรา มันไม่เป็นไปตามใจชอบของเรามันก็เป็นปัญหาแก่เรา มันก็ต้องต่อสู้เปลี่ยนแปลงต้องแก้ไขอยู่เรื่อยไป ไม่รู้ว่าจะพอกันเมื่อไร จะพอกันอย่างไร แล้วปัญหาอีกอันหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นปัญหาลึกลับที่สุด ปัญหาที่จะต้องอยู่ร่วมโลกกับคนบ้า คนอันธพาล หรือคนอะไรก็ตามเต็มไปหมดในโลก แล้วเราจะต้องอยู่ร่วมโลกกับคนชนิดนี้ อาตมาขอใช้คำว่าเราจะต้องอยู่ร่วมโลกกันกับคนบ้า ดูสิที่เราจะออกไปถนนหนทางมันก็เจอะกับปัญหา คนขับรถมันก็ต้องเกิดแต่กับคนขับรถที่เห็นแก่ตัวเลยเหมือนกับคนบ้า ยังมีอุบัติเหตุเต็มไปหมดเพราะว่าเราต้องอยู่ร่วมโลกกับคนบ้าคือคนที่พูดกันไม่รู้เรื่องนี้ระวังให้ดี บางทีในครอบครัวเองนั่นแหละมันก็มีคนที่พูดกันไม่รู้เรื่อง แล้วก็ดูอีกทีไอ้เราเองมันก็พูดกันไม่ค่อยจะรู้เรื่องเพราะกิเลสมันพูด พูดกับสติปัญญา มันพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง บางทีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีพูด แต่บางทีกิเลสพูดในชีวิตนี้มันก็ต่อสู้กันเรื่อยไปเหมือนกัน มันก็อยู่ร่วมโลกกับคนบ้าเรียกว่ามันไม่มีที่สิ้นสุด
เหล่านี้มันมีมูลมาจากปัญหาที่กล่าวมาแล้วว่าเราไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม ทำไมจึงต้องเกิดมา เกิดมาทำไม เพราะเราไม่รู้ข้อนี้เราจึงเกิดมาพบกับปัญหานานาชนิดอย่างที่กล่าวมาแล้ว มันก็ว่า เกิดมาแล้วก็มาเผชิญกับปัญหา ก็หาทางแก้ปัญหาไป แล้วต่อสู้กันเรื่อยไปมันจะอยู่เฉย ๆ ไม่ได้มันก็จะต้องตาย แล้วก็ต้องต่อสู้ ต่อสู้เพื่อให้ลุล่วงไปด้วยดีให้ชีวิตนี้มันมีความถูกต้องๆๆ จนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย นี้แหละคือความไม่รู้ธรรมะ ไม่มีธรรมะ ไม่ได้ใช้ธรรมะเพราะไม่มีธรรมะ มันจึงเป็นการถูกต้องอย่างยิ่งที่จะมาศึกษาธรรมะและก็ปฏิบัติธรรมะ แล้วก็จะมีธรรมะแล้วเราก็ใช้ธรรมะในการแก้ปัญหาทุกอย่าง หรืออย่างในทางวัตถุเราต้องเรียนให้รู้ ว่าหาเงินอย่างไรแล้วเราก็ต้องปฏิบัติตามนั้นเราก็ได้เงินมาแล้วเราก็มีเงิน พอมีเงินแล้วเราก็ใช้เงินไปตามความปรารถนา แต่นั้นเป็นเรื่องทางนอก ๆ ทางร่างกายทางวัตถุปัญหาไม่หมด มันเหลืออยู่ปัญหาทางจิตใจมันต้องแก้ปัญหาในทางด้านจิตใจ จึงต้องเรียนธรรมะ แล้วก็ปฏิบัติธรรมะ แล้วก็มีธรรมะ แล้วก็ใช้ธรรมะที่มี แล้วก็ได้รับประโยชน์จากการใช้ธรรมะมันเลยกลายเป็นสองเรื่อง
เรื่องทางวัตถุทางกายนี้มันก็ไม่ยากนักแล้วมันก็มีตัวอย่างเต็มไปหมด แต่เรื่องทางจิตใจมันก็ลึกซึ้ง แล้วบางคนมันเอาเรื่องทั้งสองเรื่องนี้ไปปนกันเสีย ปฏิบัติในเรื่องทางจิตใจแต่เพื่อจะให้ได้ประโยชน์ในทางวัตถุ ทำบุญ ทำบุญนี้ก็ได้สวรรค์วิมานทั้งนั้นแหละ นี้มันพวกค้ากำไรเกินควร ทำบุญ ทำบุญนี้เพื่อจะละกิเลส จะลดกิเลส จะเลิกความเห็นแก่ตัว ทำบุญเพื่อให้สวย ให้รวย ให้ได้สวรรค์วิมานก็เพิ่มความเห็นแก่ตัว มันใช้ผิด ใช้อย่างผิดฝาผิดตัว มันก็เกิดปัญหา เรื่องทางกายก็ให้ถูกต้องไปตามระบบกาย เรื่องทางจิตก็ให้มันถูกต้องไปตามระบบจิต มันจึงจะไม่มีปัญหา ปราศจากความรู้ข้อนี้ทางจิตมันก็ผิดหมด ฉะนั้นทางกายมันก็จะพลอยผิดไปด้วยเพราะว่ากิเลสมันก็เกิดขึ้นเพราะมันมีความผิดในทางจิต ร่างกายก็พลอยผิดไปตามอำนาจของกิเลส มันก็ฆ่าตัวเองตายโดยไม่รู้สึก ตายอยู่ทุกวันเพราะการทำผิดธรรมะ มีความทุกข์อยู่ตลอดเวลาแห่งชีวิต มันไม่มีความรู้ที่ถูกต้อง มันไม่ตื่นจากหลับ คือกิเลส มันก็ไม่มีโอกาสที่จะเบิกบาน ถ้าเรามีความรู้ธรรมะถูกต้อง ๆ และเพียงพอแล้ว ปัญหาเหล่านี้มันจะค่อยละลาย ๆ ไปเอง เหมือนกับกองทรายขึ้นมาที่ชายหาด พอน้ำขึ้นมาไอ้กองทรายก็ค่อยละลายๆ สูญหายไปเอง ความผิดพลาดโง่เง่าทั้งหลายนี้ที่สะสมไว้มากมาย มันจะค่อยละลายๆ ไปเองเมื่อมีความรู้ทางธรรมะ คือรู้ทางธรรมะเพิ่มขึ้น ๆ นี้ทำให้ถูกวิธีเถอะ ไอ้ความทุกข์มันจะละลายสูญหายไป หรือกิเลสซึ่งเป็นเหตุให้เกิดทุกข์มันก็ค่อยละลาย ๆ สูญหายไป เดี๋ยวนี้มันทำไม่ได้สิ มันไม่รู้ทำอย่างไรถูกต้อง มันก็ได้แต่กองทรายหลอกตัวเองอยู่ มันเปรียบอีกทีหนึ่งก็เปรียบเสมือนหนึ่งว่ามันถูกจับไปปล่อยเกาะร้างที่ไหนแห่งใดแห่งหนึ่งแล้วแต่เป็นเกาะปล่อยเกาะมันจะเป็นอย่างไร เราถูกจับไปทิ้งไว้ที่เกาะ ไม่รู้ว่าเรือนอยู่ที่ไหน บ้านเรือนอยู่ที่ไหน อาหารอยู่ที่ไหน ศัตรูอันร้ายกาจอยู่ที่ไหนมันก็ไม่รู้ทั้งนั้น ก็นั่งไม่รู้ให้ยุงกัดจนตายไปนั้นแหละ มันไม่รู้มันก็ก็ถูกปล่อยเกาะ แต่เรื่องชีวิตนี้มันเห็นยากมันเหมือนกับถูกปล่อยเกาะแต่มันก็มีอะไรมาหลอกลวงให้หลงใหล มีผี มียักษ์ มีอะไรมาหลอกลวงให้หลงใหล แต่ที่แท้มันก็เหมือนถูกจับไปปล่อยเกาะ ที่มีเสือ มีโจร มีโรค มีอันตรายอยู่ที่ไหนมันก็ไม่รู้ มีแต่สิ่งที่แปลกและไม่รู้จัก มันก็เลยไม่รู้จะดำเนินชีวิตอย่างไร นั้นเป็นการดีที่สุดแล้วที่ว่ามาศึกษาธรรมะ ศึกษาธรรมะ มันจะได้รู้จักทั้งหมดทีหลังก็ได้ พอจะประเมินได้ว่าเกิดมาทำไม ทำไมต้องเกิดมา เกิดมาแล้วจะต้องทำอะไร นี้ขอให้ท่านศึกษาธรรมะให้ถึงที่สุดเถิด มันจะตอบคำถามคราวนี้ขึ้นมาเองว่าเกิดมาทำไม ทำไมต้องเกิดมา เกิดมาแล้วจะต้องทำอะไร และอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่สูงสุด ที่ชีวิตนี้จะต้องได้ ความรู้เหล่านี้จะเกิดขึ้นตามลำดับ ตามลำดับของการที่ศึกษาธรรมะอย่างถูกต้อง ถ้าศึกษาธรรมะอย่างถูกต้องมันมีเรื่องหมด จบหมด ขอให้ช่วยจำไว้หน่อยเถอะ
อาตมาขอร้องให้จำไอ้คำสี่ความหมายว่า ธรรมะมันไม่ใช่แปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างที่ในโรงเรียนสอนลูกเด็ก ๆ ธรรมะในความหมายที่หนึ่ง คือธรรมชาติ ๆ ทั้งหมดทั้งสิ้นที่เป็นธรรมชาติ ไอ้ตรงนี้ขอบอกหน่อยว่าในพุทธศาสนาเราก็มีแต่เรื่องธรรมชาติ อะไร ๆ ก็เป็นธรรมชาติ ไม่มีเรื่องนอกเหนือธรรมชาติ เหมือนกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งมันมัวเรียนแต่เรื่องวัตถุมันก็ไม่รู้เรื่องทางจิตใจ เลยกันบางส่วนออกไปเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ ฟิวเจอร์เนเจลรัล นั้นมีสำหรับวิทยาศาสตร์ ในโลกปัจจุบันแต่ไม่มีสำหรับธรรมะ เป็นวิทยาศาสตร์หมด เป็นเรื่องจิตใจก็เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องวัตถุก็เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ มีปรากฎการณ์เป็น ฟรีนอมิน่าก็เป็นธรรมชาติ เป็นนูมินอลตรงกันข้ามโดยประการทั้งปวง ก็เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติ สังกัตธรรม ธรรมชาติ อสังกัตธรรม ก็ธรรมชาตินั้นแหละ มีแต่ธรรมชาติจะรู้จักธรรมชาติ
ความหมายที่สองคือกฎของธรรมชาติ ท่านทั้งหลายก็พอจะเข้าใจได้เองในธรรมชาติทั้งหลายมีกฎของธรรมชาติควบคุมอยู่ทั้งนั้น มันต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎ มิเช่นนั้นมันจะต้องตาย จะต้องสูญหายไปไม่เหลืออยู่ กฎของธรรมชาติก็เรียกว่าธรรมะ ฉะนั้นมีกฎแล้วก็มีหน้าที่ ที่จะต้องทำตามกฎ สิ่งที่มีชีวิตจึงต้องทำหน้าที่ ๆ ๆ ตามสมควรแก่อัตภาพของตน นี้เรียกว่าหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติก็เรียกว่าธรรมะ ท่านทำหน้าที่เสร็จแล้วมันก็มีผลเกิดขึ้นตามสมควรแก่หน้าที่ แม้นผลอันนี้ก็เรียกว่าธรรมะ จะมีอะไรเหลือลองคิดดูมีอะไรเหลือตัวธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ตัวผลที่เกิดมาจากหน้าที่ รวมทั้งสี่อย่างนี้เป็นคำพูดคำเดียวว่าธรรมะ ในภาษาไทยมีพยางค์เดียวว่าธรรม ธรรม ธรรม แต่ภาษาบาลีต้องเสียงเป็นธรรมะ เป็นธรรมะคือธรรมชาติสี่ความหมาย ท่านต้องปฏิบัติให้ถูกต้องทั้งสี่ความหมาย ถูกต้องตามธรรมชาติ ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ถูกต้องตามหน้าที่ที่จะพึงกระทำตามกฎของธรรมชาติ และถูกต้องในผลที่จะต้องได้รับ อย่าไปหวังผลบ้า ๆ บอที่ผิดธรรมชาติ มันแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ พอมาเรียนธรรมะโดยความหมายที่กว้างขวางที่สุดแล้วก็คือสี่อย่างนี้ ถ้ามันมากมายนัก มันก็ตัด ตัดตอนเอาสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องรู้ก่อนคือความรอด รอดทางกายอย่างไรรอดทางจิตอย่างไร นี้เรียกว่าเราจะต้องรู้ธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ มีธรรมะ ใช้ธรรมะ
ทีนี้เราจะทำอย่างไร เราเกิดมาจากท้องมารดาไม่รู้เรื่องอะไร มันก็ต้องอาศัยบิดามารดาหรือผู้ที่เกิดมาก่อนที่รู้ธรรมะเป็นผู้ช่วยอบรมสั่งสอน แล้วเมื่อจะทำให้เป็นสะดวกให้ง่ายก็ตราไว้ ตราไว้ เป็นระเบียบ เป็นระเบียบก็เรียกว่าเป็นวัฒนธรรมบ้าง เป็นศีลธรรมบ้าง เป็นจริยธรรมบ้าง กระทั่งเป็นพระศาสนาในที่สุด เขาตราไว้เป็นระเบียบ นี้เราก็เข้าไปสู่ระเบียบนั้นให้ถูกต้อง ถ้าว่ามันโชคดีนะ บ้านเรือนนี้มีระเบียบทางวัฒนธรรม ศีลธรรมถูกต้อง บ้านเรือนนี้ก็จะอบรมลูกเด็ก ๆ ให้มีความถูกต้องตั้งแต่คลอดออกมาแล้ว และมันก็ถูกต้องเรื่อยไป ถูกต้องเรื่อยไป นี้คำว่าถูกต้อง ๆ ในที่นี้ก็ต้องตามความหมายของธรรมะ อย่าถูกต้องตามสมัยนิยม อย่าเห่อ ๆ ไปตามสมัยนิยม ซึ่งมันเป็นกันมากเข้า ๆ มันหาความสุขกันไม่ได้ก็มี ถ้าถูกต้องมันพิสูจน์ได้ว่ามันเกิดผลดีไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้ยิ่งถูกต้องยิ่งมีปัญหายิ่งเจริญยิ่งมีปัญหา ยิ่งเจริญทางวัตถุยิ่งมีปัญหา คือความเห็นแก่ตัวก็เป็นอันธพาลกันทั้งโลก จนกระทั่งออกจากบ้านเรือนไม่ได้จะถูกจับ พวกไปจี้ไปปล้นไปทำร้าย ถ้ามันมีความถูกต้องอยู่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น นี้เรามีระเบียบวัฒนธรรมที่ดีแล้วก็ช่วยกันรักษา ช่วยกันสงวนช่วยกันรักษาระเบียบวัฒนธรรมโดยเฉพาะที่ประจำบ้านเรือน แล้วก็ให้มีสอนลูกเด็ก ๆ พอคลอดออกมาลืมตาขึ้นมาในท่ามกลางวัฒนธรรมประจำบ้านเรือนที่ถูกต้อง
อย่างที่พูดมาแล้วว่าเดี๋ยวนี้ คนเลี้ยงเด็กก็สอนให้มันมีตัวกูอยู่เรื่อยไป อะไรก็ของหนู พ่อแม่ของหนู ตุ๊กตาของหนู ของเล่นของหนู อร่อยของหนู มันเป็นของหนู ของหนู ของหนู มันไม่มีใครบอกว่านี้เป็นของธรรมชาติ ได้แต่ฟังไม่ถูก แต่ถ้าจะมีการประพฤติ มีการกระทำที่ทำให้เด็กๆ อย่าหลงใหลเป็นของกู ๆ กันให้มากนักก็จะดี อย่างเด็กวิ่งไปชนเก้าอี้เจ็บ มันเตะเก้าอี้อยู่ร้องไห้อยู่อย่างนี้ คนเลี้ยงเด็กก็อย่าเข้าไปช่วยตีเก้าอี้อีกคน ก็ดูกันมันสอนให้เด็กมันโง่ต่อไป พ่อแม่ก็อย่าบอกว่าก็แกทำไม่ถูกแกไปโดนเก้าอี้ แล้วจะมาร้องไห้อยู่ทำไม แต่พ่อแม่มักจะไปช่วยตีเก้าอี้ ตีเก้าอี้ให้มันหายร้องเร็ว ๆ นี้คือการสอนที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงมาตั้งแต่เล็ก ๆ พาไปที่ร้านขายของเล่นแกจะเอาอันไหน แพงเท่าไรฉันจะซื้อให้ มันก็ไม่บอกลูกเด็ก ๆ ว่าไอ้ทั้งหมดนี้เขามีไว้ให้เราโง่นะลูกเอย ไอ้ของเล่นของสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดนี้เขามีไว้ให้เราโง่ เราจึงเลือกดูเอาแต่ข้อดีถูกต้อง อย่าไปคนโง่ ทำไมไม่ทำอย่างนี้ มีแต่ส่งเสริมความรู้สึกว่าตัวกูของกู จะเอาอะไรก็จะเอาให้ได้ตามพอใจ ถ้าอย่างนี้เรียกว่ามันไม่ได้สอนธรรมะ มันสอนให้ความผิดพลาดให้จากธรรมะ มันก็เกิดปัญหาขึ้นมาทีหลังแน่นอน พอคลอดออกมามันก็ต้องประสบสิ่งแวดล้อม ก็ไปตามสิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้นจะต้องจัดให้มีการแวดล้อมที่ดี โดยการคุ้มครองของบิดามารดา อย่างสัตว์ในป่าพอคลอดออกมาก็ตามแม่ ตามแม่ ทำตามแม่ แม่ก็ช่วยคุ้มครอง ไอ้ลูกสัตว์ก็ทำตามแม่ ลูกช้าง ลูกควาย ลูกอะไรมันก็รอดมาได้เพราะการคุ้มครองของแม่ที่มันมีแต่ความถูกต้อง นี้มารดาของคนนี้บางทีมันทำผิดเสียเอง มันทำผิดเสียเอง มันไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติล้วน ๆ มันก็เกิดความผิดพลาดขึ้นมา มัปัญหาขึ้นมา ถ้าไว้ให้เป็นธรรมชาติ ตามธรรมชาติ มีระเบียบตายตัวอยู่ตามธรรมชาติมันก็รอด อย่างน้อยมันก็รอดตาย ถ้าพ่อแม่มันฉลาด ไอ้ลูกมันก็พลอยฉลาด อย่างลูกลิงอย่างนี้มันก็ฉลาดไปตามพ่อแม่ของมัน เพราะมันได้รับการแวดล้อมที่ดี ถ้าพ่อแม่ไม่ฉลาดมันก็พลอยไม่ฉลาด นี้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะรีบ ๆๆๆๆ ศึกษาธรรมะๆ ให้หายโง่ ให้หายความมืดบอด ให้มีแต่ความถูกต้อง ๆๆ แสดงความถูกต้องอยู่ที่เนื้อที่ตัวให้ลูกเด็ก ๆ มันเห็น มันก็เอาอย่างมันก็เลยถูกต้องกันหมด แล้วมันก็จะหมดปัญหา มันก็จะหมดปัญหา หมดปัญหาเพราะมีระเบียบการปฏิบัติที่ถูกต้องคือธรรมะ ธรรมะ อย่างที่ว่ามาแล้ว ถูกต้องสำหรับความรอดทั้งทางกายและทางจิตทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่นนี้คือธรรมะ
ถ้าท่านมาที่นี้เพื่อแสวงหาความรู้ทางธรรมะก็ตั้งหลักในการที่จะรวบรวมความรู้เรื่องนี้ จะมีการปฏิบัติที่ถูกต้องเพราะมีความรู้ถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องแก่ความรอดๆๆ รอดทั้งทางกายรอดทั้งทางจิต รอดทั้งทางวัตถุอะไรด้วย มันก็จะทุกขั้นตอนแห่งชีวิตที่เป็นตลอดชีวิต และก็ได้ด้วยกันทั้งเราและผู้อื่นนั้นแหละถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ เดี๋ยวนี้มันยังไม่มีความถูกต้องอย่างที่กล่าวนั้น ปัญหามันก็เกิดขึ้นเราก็ต้องเรียนธรรมะอีกนั่นแหละ เราก็จะรู้จักปัญหาที่เกิดขึ้น ความไม่ถูกต้องเริ่มตั้งแต่ทางวัตถุสิ่งของมันไม่ถูกต้องในบ้านเรือน วัตถุสิ่งของรวมทั้งบ้านทั้งเรือนทั้งเครื่องใช้ไม้สอยมันไม่ถูกต้องมันเกินหรือมันขาด มันไม่ถูกต้อง นี้ไม่ถูกต้องทางวัตถุรีบขจัดเสียให้ถูกต้อง ส่วนเกินอย่ามีเลย ส่วนที่มันขาดอยู่จริง ๆ ก็หาเอามาให้ได้ก็เกิดความถูกต้องทางวัตถุ นี้ก็ทางร่างกาย ร่างกายนี้ต้องถูกต้องคือมีสุขภาพอนามัยดี มีสมรรถณะที่จะประกอบกิจหน้าที่การงานนี้มันเป็นความถูกต้องทางกาย นี้พอถูกต้องทางจิตระบบจิตถูกต้อง คิดเก่ง จำเก่ง อะไรอย่างนี้เรียกว่าสุขภาพทางจิตก็ดี ก็อย่าพึ่งว่าหมดนะมันยังมีอีกอันหนึ่งนะคือทางวิญญาณ วิญญาณในที่นี้หมายถึงทางสติปัญญา ทางสติปัญญา ไม่ใช่วิญญาณรู้แจ้งทางตา หู ไม่ใช่ ทางสติปัญญาก็ขอเรียกว่าวิญญาณ ทางวิญญาณใช้กันมาเก่าแก่ก่อนพุทธกาล คือความรู้ สติปัญญา ทิฐิ ความคิดความเห็น อุดมคติ อะไรถูกต้องแล้วมันดำเนินไปตามความถูกต้องมันก็หมดปัญหา ถึงแม้ฝรั่งพวกความรู้สมัยใหม่เขาก็จะยอมรับความถูกต้องสี่ประการนี้ ถูกต้องทางวัตถุ ทาง Material Material มันถูกต้อง ถูกต้องทางร่างกาย Physical มันถูกต้อง ถูกต้องทางจิต Mental Mentality มันถูกต้อง ถูกต้องทางสติปัญญา Spiritual Spiritually นี้มันก็ถูกต้อง เขาใช้คำๆ นี้ในความหมายเดียวกันกับที่หลักธรรมะมีอยู่ มันมีความถูกต้องทางวัตถุ ถูกต้องทางร่างกาย ถูกต้องทางจิตใจ ถูกต้องทางสติปัญญา และผลสุดท้ายมันก็ต้องถูกต้อง คือถูกต้องในการดำเนินชีวิต ดำเนินชีวิต ชีวิตถูกต้อง สงบเย็นและเป็นประโยชน์ ถ้าชีวิตถูกต้องมันจะสงบเย็นและเป็นประโยชน์ เป็นชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ พวกฝรั่งมาที่นี้ทุกเดือน ร้อยกว่าคนทุกเดือนแล้วเขาชอบคำนี้มากที่สุดเท่าที่เขามาพูดกับอาตมา มาแสดงความขอบใจอะไรนี้ คือเขาพอใจที่เดี๋ยวนี้ได้มาพบชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ก่อนนี้มันมีแต่ชีวิตที่กัดเจ้าของ เขากระเสือกกระสนไปทั่วโลก เที่ยวรอบโลกมันก็พบแต่ชีวิตที่กัดเจ้าของ เดี๋ยวความรักกัด เดี๋ยวความโกรธกัด เดี๋ยวความเกลียดกัด เดี๋ยวความกลัวกัด เดี๋ยวความตื่นเต้นกัด เดี๋ยวความวิตกกังวลกัด เดี๋ยวความอาลัยอาวรกัด เดี๋ยวความริษยากัด เดี๋ยวความหวงกัด เดี๋ยวความหึงกัด จนฆ่ากันตาย นี้ตัวอย่างชีวิตที่มันกัดเจ้าของ นี้เขาได้มาพบชีวิตระบบหนึ่งที่มันไม่กัดเจ้าของคือความถูกต้อง ถูกต้อง ตามทางธรรมะทั้งสี่ประการนั้น ชีวิตนี้ไม่กัดเจ้าของและเยือกเย็นเป็นสุขและก็เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย อย่าลืมจะเยือกเย็นเป็นสุขแต่เราคนเดียวไม่ได้หรอก มันต้องผู้อื่นด้วย ฉะนั้นต้องช่วยกันให้ผู้อื่นมีความเยือกเย็นเป็นสุขด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นอันธพาลจะเกิดขึ้นรอบด้านและไม่มีใครเป็นสุขอยู่ได้ จึงมีหลักว่าทั้งตัวเองและผู้อื่น ประโยชน์นั้นมีอยู่ทั้งตนเองและผู้อื่น แต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้มากกว่านั้นคือเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง ช่วยฟังคำตรัสของพระพุทธเจ้าไว้ให้ดี ๆ ประโยชน์ตนเอง อัตตถประโยชน์ และก็ประโยชน์ผู้อื่นก็รัฐประโยชน์ แล้วก็ประโยชน์ที่มันเกี่ยวพันกันแยกกันไม่ได้ว่าตนเองหรือผู้อื่นคือภูทคัดถประโยชน์ ประโยชน์ที่มันต้องเกี่ยวพันกันทั้งระหว่างตนเองและผู้อื่นมันมีอีกประโยชน์หนึ่ง เรามักจะเห็นแต่ประโยชน์ตัวคือเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ตัว ไม่เห็นประโยชน์ผู้อื่น และก็ไม่ต้องรู้ประโยชน์ที่มันเกี่ยวพันกัน สัมพันธ์กันแยกกันไม่ออกมีความรู้แต่ประโยชน์ตัวคือเห็นแก่ตัว ข้อนี้มีพระบาลีว่า อัตตถปัญญา อสุจีมานุสา อัตตถปัญญา อสุจีมานุสา ผู้มีปัญญาเห็นรู้จักแต่ประโยชน์ของตัว เป็นมนุษย์อสุจิ อสุจิคือของที่สกปรกที่สุด อสุจีมานุสะ มีปัญญาเห็นแต่ประโยชน์ของตน และถ้าไม่ครบตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น และประโยชน์ที่เกี่ยวพันกันแยกกันไม่ได้ มันแยกกันไม่ได้ มันก็มีอยู่ประโยชน์หนึ่ง เลยบำเพ็ญประโยชน์ให้ครบทั้งสามประโยชน์มันก็จะหมดปัญหา เดี๋ยวนี้เราไม่มีสติปัญญาเพียงพอที่จะบำเพ็ญประโยชน์อย่างนั้นมันก็เกิดปัญหา ก็รามมาถึงเรื่องทางวัตถุ ทางร่างกาย ทางจิตใจออกไปถึงข้างนอกทั่วโลก มีแต่ความผิดพลาดหรือการเบียดเบียน ยิ่งเดี๋ยวนี้ด้วยแล้วก็ยิ่งจะต้องคิดนึกมากเพราะมันผูกพันกันยิ่งกว่าแต่ก่อนมาก มนุษย์แต่ก่อนไม่ค่อยจะผูกพันกันนัก ยิ่งสมัยยังไม่นุ่งผ้าเลยต่างคนต่างอยู่ เดี๋ยวนี้มันผูกพันกันทั่วโลก เพราะว่าไปมาเดี๋ยวเดียวก็ทั่วโลก ประโยชน์หรือกิจการงานมันจึงผูกพันกันทั้งโลก มันก็เกิดระบบการเมืองที่ผูกพันกัน เกิดระบบสังคมที่ผูกพันกัน เกิดระบบเศรษฐกิจที่มันผูกพันกัน ปัญหามันก็เพิ่ม ๆๆ ๆ ต้องมีธรรมะมากกว่าธรรมดา มากกว่าแต่ก่อนจึงจะเอาชนะได้ เดี๋ยวนี้มันไม่รู้เรื่องนี้มันก็ได้แต่หลับตาทำไปตามขนบธรรมเนียมประเพณี เหมือนกับคนตาบอดจูงคนตาบอด บางคนก็บอกว่าฉันสวดมนต์มันทุกคืน ทำบุญมามากมายแล้วไม่เห็นมีอะไรมันดีขึ้นเขาก็ยังมืดแปดด้าน มีปัญหารอบด้านทั้งที่อุตส่าห์สวดมนต์ทุกคืน ทำบุญทำทานมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้ว ข้อนี้ขอให้รู้เถอะถ้ามันไม่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติแล้วมันไม่มีทางที่จะดีขึ้นได้ แล้วมันจะอยู่เหนือปัญหาไม่ได้ ถ้าสวดมนต์มีประโยชน์มันต้องรู้เรื่องที่สวดมนต์แล้วก็ช่วยเรื่องความจำ ไม่หลงลืมให้ปฏิบัติถูกต้องยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าจะมีการทำบุญก็ให้เป็นการลดความเห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัว อย่าทำบุญเอาหน้า อย่าทำบุญเอาสายสะพาย อย่าทำบุญแลกเอาสวรรค์วิมาน ซึ่งมากไปด้วยกามรมณ์นั้นมันไม่ถูก ด้วยอย่างนั้นมันไม่ถูกตามกฎของธรรมชาติ และจะไม่เรียกว่าบุญด้วยซ้ำไป ถ้าเป็นบุญมันต้องล้างบาป ล้างความชั่ว ทีนี้ทำบุญด้วยกิเลสอยากจะมีนางฟ้าเป็นบริวารมีเทพบุตรบำเรออย่างนี้มันจะเป็นบุญได้อย่างไร มันไม่ลดความเห็นแก่ตัว ถ้าบุญที่แท้จริงนั้นมันจะต้องลดความเห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัว ไม่ต้องพูดว่าทำบุญมากมายแล้วไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น นี้เพราะว่าสิ่งที่ทำนั้นมันไม่ได้เป็นบุญ มันไม่ได้ล้างบาป มันไม่ได้ล้างความชั่ว มันไม่ได้ล้างความผิดพลาด มันได้แต่ความดีใจสนุกสนาน บ้าบุญ เมาบุญ หลงบุญ ระวังเถอะมันจะร้าย ร้ายกว่าไม่ได้มีบุญเสียอีก มันจน จนไม่รู้ว่าจะไปอย่างไร มันไม่เหมือนเด็กคนนั้นพบรอยวัว ตามวัว ตามรอยวัว พบตัววัว ฝึกวัวใช้เป็นประโยชน์สำเร็จแล้วเลิกกันไปเป็นผู้เฒ่าผู้แจกของส่องตะเกียง เดี๋ยวนี้มันเดินทางตรงกันข้าม มาจนมันไม่รู้ไปในทิศทางไหน ในที่สุดมันก็จะมีอุตริว่า ผูกคอตายกันเสียทีโว้ย มันยังชวนกันผูกคอตาย จะได้ตัดปัญหา ตายแล้วมันจะหมดปัญหานี้มันโง่หนักเข้าไปอีกว่าตายแล้วมันหมดปัญหา มันก็เท่ากับว่าไม่ได้รับประโยชน์อะไร มันก็โง่แล้วสิ่งที่จะมีประโยชน์ก็ทำลายเสียเปล่า ๆ นี้มันชวนกันผูกคอตาย มันจะแก้ปัญหาอะไรได้ แต่บางคนก็คิดว่าง่ายลองดู อย่าคิดอย่างนั้น ทีนี้เพื่อนมันก็บอกอย่า ๆๆ ไม่ต้องผูกคอตาย ไปหาพระพุทธเจ้ากันสิโว้ย ไปหาพระพุทธเจ้ากันสิโว้ย เอากันอย่างไร มันก็ฟังไม่ถูก ก็ไปหากันที่ไหน จะไปหาพระพุทธเจ้ากันที่ไหน หาที่ไหนล่ะ เพราะว่าพระพุทธเจ้าตอนนั้นท่านอยู่ที่ไหน คุณลองทายทีพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณเอง หลังม่านแห่งความโง่ อวิชชา โง่ดับบังของคุณเองพระพุทธเจ้าอยู่ที่หลังม่านนั้น คุณไปหาที่วัดมันก็พบแต่พระพุทธรูป ไปหาที่อินเดียมันก็ไม่พบพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณเอง ม่านแห่งความโง่ของคุณมันอยู่ที่ไหนก็ไปหาที่นั้น นั้นแหละขอให้ชำระความโง่ ทำลายอวิชชา ทำลายอวิชชา ม่านแห่งความโง่ สูญหายไปพระพุทธเจ้าก็ปรากฏ อ้าวอยู่ที่นี้เอง พอเปิดม่านแห่งความโง่ออก ก็โอ้พระพุทธเจ้าอยู่ที่นี้เอง พระพุทธเจ้าอยู่ที่นี้เอง ขอให้เป็นอย่างนี้
ฉะนั้นการมาที่สวนโมกข์นี้ก็ให้มาในลักษณะที่ว่ามาแสวงหาความรู้หรือวิธีที่จะทำลายม่านอวิชชา ไม่ใช่ว่ามาที่สวนโมกข์แล้วก็จะพบกับพระพุทธเจ้าทันทีไม่ได้ เพราะว่าท่านยังแบกเอาม่านแห่งความโง่มา ต้องหาวิธีให้พบ พบวิธีทำลายม่านแห่งอวิชชา พอเพิกม่านแห่งอวิชชาออกไปอ้าวพระพุทธเจ้าก็อยู่ที่นี้ เดี๋ยวนี้เราจะต้องหยุดเพราะฝนมันตก ขอให้ประสบความสำเร็จในการที่มาสวนโมกข์ มาธรรมาสมนี้ มาเพื่อมาแสวงหาวิธีที่จะทำลายม่านแห่งอวิชชา พอม่านนั้นออกไปก็พบพระพุทธเจ้า โอ้อยู่ที่นี้เอง ไปหาที่วัดก็พบแต่พระพุทธรูป จะใช้คำหยาบคายว่าต่อยพระพุทธรูปเสียจะพบพระพุทธเจ้าอย่างนี้ก็ไม่ได้เดี๋ยวถูกด่า อาตมาเคยถูกด่ามาแล้วไม่พูดแล้วแต่ว่าถ้าทำได้นี้ อย่าให้มันติดอยู่แค่พระพุทธรูป ขอให้ทะลุพระพุทธรูปเข้าไปก็จะพบพระพุทธเจ้าพระองค์จริง แต่ที่จะพูดกันให้ถูกต้องแล้วก็เรียกว่าอยู่ที่หลังม่านของอวิชชา รูปภาพในตึกนั้นรูปแรกที่สุดประตูทางซ้ายมือมีภาพนี้ พระพุทธเจ้าอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณเอง นี้มาหาความรู้ที่จะทำลายม่าน ทำลายม่านแห่งอวิชชา ไม่มีอวิชชาปิดบังแล้วพระพุทธเจ้าก็แสดงตัวออกมาเอง ขอให้ท่านประสบความสำเร็จ มันไม่สำเร็จได้ภายในสิบวันห้าวัน แต่ว่าอย่างน้อยก็ขอให้รู้วิธี รู้วิธี รู้วิธี แล้วก็ไปทำต่อไปจนตลอดชีวิต ก็จะทำลายม่านอวิชชาแล้วก็พบพระพุทธเจ้าพระองค์จริง เสร็จแล้วก็รู้จักปฏิบัติให้ถูกต้องตามความประสงค์อันนี้คืออานาปาณสติ ปฏิบัติแล้วจะทำลายม่านแห่งอวิชชา จะมีธรรมะเป็นประโยชน์ เป็นที่พึ่ง เรียกว่าธรรมะสี่เกลอ แก้ปัญหาได้ทุกปัญหา พรุ่งนี้เราจะพูดกันเรื่องอานาปาณสติ ในวันนี้ก็เห็นจะต้องหยุดก็เพราะว่าฝนจะหนักขึ้นมาอีก ขอแสดงความหวังว่าจงประสบความสำเร็จในการศึกษาธรรมะเพื่อทำลายม่านแห่งอวิชชาด้วยอานาปาณสติ ขอขอบคุณที่อดทนฟังทั้งฝนตก ขอบคุณเป็นผู้ฟังที่ดี และก็ต้องขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้