แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสมาชิกจิตตภาวนาผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาขอกล่าวย้ำถึงการที่เราใช้เวลารุ่งอรุณนี้ให้เป็นประโยชน์อีกครั้งหนึ่ง โดยหวังว่าท่านทั้งหลายจะได้ใช้เวลานี้ปฏิบัติเดินสุญญตาเวลานั่งนอนยืนก็ตามมาแล้ว และต่อไปขอให้ถือเอาเป็นบทเรียนตลอดเวลา มีสติที่จะไม่เกิดตัวกู ตัวตนตัวกูเป็นผู้เดิน เป็นผู้ยืน เป็นผู้นั่ง มันก็คงจะขลุกขลักบ้างสำหรับแรกกระทำ แต่เมื่อทำไปๆมันก็จะเข้ารูปได้เหมือนกันและก็ขอให้ใช้เวลาอย่างนี้หรือรุ่งอรุณนี้ให้เป็นประโยชน์เพิ่มขึ้นต่อไปในอนาคต โดยเหตุว่าที่แล้วมาไม่เคยใช้กันโดยมาก ใช้เวลาพักผ่อนหาความสุขจากการนอน ต่อไปก็ขอให้ใช้เป็นเวลาศึกษาอย่างที่กล่าวนี้เป็นเวลาพิเศษของแต่ละวันแต่ละวัน ใช้ชั่วโมงเนี่ยชั่วโมงรุ่งอรุณนี้ให้เป็นประโยชน์ที่สุดเป็นประจำไปเลย มันเป็นการเรียนอย่างยิ่ง การเรียนที่แท้จริงนั้นคือการปฏิบัติ การเรียนด้วยการฟังการจดจำการนี้มันเป็นเรื่องครึ่งเดียว ยังไม่สมบูรณ์แห่งการเรียน การเรียนที่สมบูรณ์ก็คือการ ปฏิบัติ ปฏิบัติ ปฏิบัติ ปฏิบัติ แล้วมันสอนอยู่ในตัวมันเอง ให้ลึกซึ้งถูกต้องแม่นยำและมากขึ้นมากขึ้น ขอให้ถือว่าการเรียนที่แท้จริงนั้นคือตัวการปฏิบัติก็แล้วกัน ปฏิบัติอยู่ตลอดเวลาในสิ่งที่เราต้องการจะได้พ้น เนี่ยขอปรารภไว้ครั้งหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทีนี้ก็จะได้กล่าวถึงเรื่องที่จะพูดในวันนี้ โดยหัวข้อว่า ธรรมะที่ควบคุมกระแสปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่ควบคุมกระแสปฏิจจสมุปบาท เรื่องปฏิจจสมุปบาทคืออะไรอย่างไรเราก็พูดกันแล้วในวันแรก อานาปานสติคืออะไรและอย่างไรก็พูดแล้วในวันต่อมา ทีนี้ก็จะพูดถึงการที่ธรรมะที่สามารถควบคุมกระแสปฏิจสมุบาทนั้นคืออะไรและอย่างไร อย่างไร มันก็คือ อานาปานสติจิตนั่นเองแต่ว่าจะชี้ให้เห็นในแง่ที่ไม่เรียกชื่ออย่างนั้น เรียกชื่อเป็นอย่างอื่นเสีย เช่นเรียกว่าไตรสิกขาบ้าง อาริยะมรรคมีองค์ 8 บ้าง นี่ชื่อมันแปลกออกไปแต่เนื้อแท้ของมันก็คือสิ่งเดียวกัน ไตรสิกขานี่อยู่ในรูปของอานาปานสติก็ได้ อยู่ในรูปของอารยะอัฏฐังคิกมรรคก็ได้ อยากจะทำความเข้าใจในข้อนี้กันก่อน คือข้อที่ว่าธรรมทั้งหลายที่เป็นหมวดๆ นั้น มันเนื่องถึงกัน มันเนื่องถึงกันในภายในปฏิบัติอย่างเดียวเนี่ยมันก็มีผลออกไปหลายอย่างในชื่อต่างๆ ต่างๆ กันแต่ว่าเนื้อนั้นเป็นอย่างเดียวกัน อาการอย่างนี้เรียกว่า ธรรมสโมธาน ธานนั่นธอธง ธรรมสโมธาน ประชุมลงแห่งธรรมะ คือว่ามันมีได้มันมีหรือมันได้เกิดขึ้นได้มีและก็ได้รับได้พร้อมกันไปในตัวเลย ธรรมะหลายชื่อแต่ด้วยการปฏิบัติเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้เพราะมันเนื่องกันอยู่ในภายในจะยกตัวอย่างเห็นง่ายๆก่อนก็เช่นคำว่าไตรสิกขา ไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา ไอ้ ศีล สมาธิ ปัญญา ไปอยู่ในรูปของพระไตรปิฎกก็ได้ พระไตรปิฏกทั้งหมดว่าด้วยเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา เนื้อหาสาระ ของพระไตรปิฏก เป็นเรื่องไตรสิกขา ถ้าปฏิบัติไตรสิกขาก็เท่ากับปฏิบัติพระไตรปิฏก และที่ยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือว่าพระรัตนตรัยคุณแยกออกเป็นสองเรื่องสามเรื่อง ที่แท้มันเรื่องถึงกันในภายใน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็ตรัสรู้เรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา ท่านก็ปฏิบัติได้และท่านก็สอนได้ พระสงฆ์ก็ปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ในศีล สมาธิ ปัญญา ก็มีอยู่ในภายในเป็นหัวใจของพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ต้องดูที่มันเนื่องกันในภายในอย่างนี้แหละ เนื่องเป็นอันเดียวกันอย่างนี้เราเรียกว่า สโมธาน มันรวมกันอยู่ที่นั่น ต่อเมื่อมีปัญญาพิจารณาจึงมองเห็นว่า มันรวมกันอยู่ที่นั่นหรือว่าของนี้มันเรียกได้หลายชื่อ ตามหน้าที่ที่แยกออกไป จะยกตัวอย่างเป็นเรื่องโลกๆ หน่อยนะ เช่น ขนมหวาน ขนมหวานทั้งหลาย ยี่สิบอย่างกี่สิบอย่างทั้งหลายแต่มันก็ประกอบขึ้นด้วยน้ำตาล แป้ง และน้ำมัน ส่วนที่เป็นน้ำตาลอะไรก็ได้ให้มันหวานก็แล้วกัน ส่วนที่เป็นแป้งก็แป้งอะไรก็ได้ ส่วนที่เป็นน้ำมันมันจะเป็นน้ำมันกะทิน้ำมันสัตว์น้ำมันเข้มข้นอะไรก็แล้วแต่เป็นเนยก็ยังได้ มันมี สามอย่าง น้ำตาล แล้วก็แป้ง แล้วก็น้ำมัน มันอยู่ในรูปขนมที่เหลว เช่นขนมบัวลอยก็ได้คุณดูสิมันก็ประกอบด้วยของสามอย่างนี้ มันจะข้นขึ้นมาเป็นขนมหม้อแกงมันก็อยู่สามอย่างนี้ หรือขนมที่เอามาปิ้งเช่นขนมจากมันก็ประกอบด้วยแป้งและก็น้ำตาลและน้ำมันหรือกะทิ แม้มันจะเอามาทอดแห้งๆเป็นขนมฝักบัวแห้งไกลกันลิบเลย มันก็ยังประกอบด้วยน้ำตาล แป้ง และน้ำมันอยู่นั่นแหละ ส่วนใหญ่มันจะเป็นอย่างนั้น มันจะออกมาเป็นรูปขนมอะไรกี่สิบอย่างก็ตาม อาการที่เป็นอย่างนี้เรียกในภาษาธรรมะว่ามันสโมธาน มันสโมธาน มันรวมกันอยู่ได้ ถ้าเข้าใจเรื่องนี้จะมองเห็น ว่าธรรมะทั้งหมดทั้งหมดมันสโมธาน สโมธานอย่างใกล้ชิดก็มีห่างๆออกไปก็มี ขอยกตัวอย่างอีกว่า กับข้าว กับข้าวแกงยกตัวอย่างเป็นแกงมันก็ประกอบด้วยของสามอย่างนั้นแหละคือว่าสิ่งที่จะแกงเช่นเนื้อหรืออะไรก็ตามนั้นอย่างหนึ่งแล้วก็เครื่องแกงแล้วก็มันมันคือกระทิ แกงเขียวหวานก็ดูเครื่องแกงกระทิ แกงข้นๆอย่างแกงมัสหมั่นมันก็ไอ้สามอย่างนั้น ที่นี้ไม่ได้ทำเป็นแกงเอามาเป็นของข้นเข้ม เข้มข้นเป็นห่อหมกนึ่งมันก็ไอ้สามอย่างนั้น ในห่อหมกมันก็สามอย่างนั้น จะมาเป็นทอดมันทอดเหมือนกับดอกเห็ดแข็งแห้งอยู่ในกระทะ นี้มันก็ไอ้สามอย่างนั้นแหละ หรือจะเอาเอามาพอกไม้หุ้มปิ้งออกมาเป็นกับข้าวชนิดหนึ่งมันก็ไอ้สามอย่างนั้น จะมาทำเป็นน้ำพริกคั่วมันก็ไอ้สามอย่างนั้น ขอให้ดูเถอะว่าเนื้อเครื่องแกงและก็ไอ้น้ำมัน ส่วนที่เป็นน้ำมัน มันสามอย่างอย่างนี้ทั้งนั้น ที่ทำทั้งปวงมันอยู่มีหัวใจเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเนื้อเป็นแก่นอยู่ในนั้น และก็ปรุงออกไปเป็นอะไรปรุงออกไปเป็นอะไรมันก็ได้มากมายหลายอย่าง ถ้าไม่เคยสังเกตก็จะไม่เห็น และก็มักจะไม่ค่อยบอกกันด้วยในเรื่องนี้ อาตมาขอร้องขอแนะนำว่าจงพยายามมองให้เห็นว่า ไอ้ธรรมทั้งหลายมันสโมธานแก่กัน มันเนื่องถึงกันในภายในด้วยเหตุที่ว่าแกน แกนของมันนะ แกนกลางของมันคือสิ่งที่เดียวกัน และเราจะดูกันในเรื่องอานาปานสติได้บรรยายมาละเอียดแล้วในวันก่อน และท่านทั้งหลายก็ฝึกอานาปานสติกันมาแล้ว ทีนี้ก็จะมองจะชี้ให้เห็นในแง่ที่ว่ามันสโมธาน มันเป็นอย่างไรกับไตรสิกขา ท่านก็นึกอานาปานสติ 4 หมวด หมวดละ 4 บทเรียนเป็น 16 บทเรียน 4 หมวด 16 บทเรียนมันมีศีลอยู่ทุกๆบทเรียนทั้ง 16 บทเรียนนั่นแหละ คือการควบคุม ระวัง ตั้งใจ ประพฤติ ปฏิบัติให้ได้คือการบังคับตัวให้ปฏิบัติให้ได้ นั่นแหละคือตัวศีล ศีลแท้จริงคือที่นั่น ไม่ใช่พิธีรับศีล น่าหัว น่าหัว ขอโทษนะที่เอามาพูด สำนักวิปัสสนาบางแห่งพอจะเริ่มทำก็เรียกตัวมารับศีลกันเดี๋ยวนั้น เรียกตัวมารับศีลกันเดี๋ยวนั้นเพื่อให้มีศีล นี่มันน่าหัวอย่างนี้ มันมิได้เพียงแต่รับด้วยปาก มันต้องมีการบังคับกาย วาจา ใจ ให้กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไปให้ถูกต้องครบถ้วนนั่นแหละ ตัวนั้นแหละคือตัวศีล ทีนี้เราไม่ได้มานั่งรับศีลกัน แต่ขอให้มีการบังคับกายวาจาใจให้ทำสิ่งนี้ ให้สำเร็จด้วยดีไปทุกๆบทเรียน 16 บทของอานาปานสติ ดังนั้นศีลมันจะมีอยู่ในทุกๆบทเรียน ทั้ง 16 บทเรียนของอานาปานสติ ทุกๆบทเรียนของอานาปานสตินั้นมันมีการกำหนดอารมณ์ กำหนดอารมณ์ กำหนดลมยาว ลมสั้น กำหนดกายเนื้อ กำหนดกายสังขาร ปิติ เวทนา กำหนดสุข กำหนดจิตนานาชนิด มันกำหนดอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ทั้ง 16 บทเรียน ใน 16 บทเรียนมันมี สมาธิ สมาธิ สมาธิ ทีนี้ในการทำบทเรียนทั้ง 16 บทเรียนนี้ ต้องมีความรู้เกิดขึ้นเรียกว่า ปัญญา ปัญญา ต้องรู้ความจริงของธรรมชาติไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งทั้ง 16 บทเรียน ยังมีปัญญาเกิดอยู่รวมอยู่ในการปฏิบัติอานาปานสตินั้นทั้ง …(นาทีที่ 15:32) ทุกบทเรียนทั้งหมด ไตรสิกขาจึงมีอยู่อย่างสมบูรณ์อย่างแน่นแฟ้นเป็นแกนกลางหรือเป็นหลักของอานาปานสติ พูดได้ว่าเรามีทั้งอานาปานสติเรามีทั้งไตรสิกขามีทั้งพระรัตนตรัยอย่างที่ว่ามาแล้วรวมอยู่ในนั้น การที่มันเป็นได้ …(นาทีที่ 15:59) …(นาทีที่ 16:10) ทุกบทเรียนทั้งหมด ไตรสิกขาจึงมีอยู่อย่างสมบูรณ์อย่างแน่นแฟ้นเป็นแกนกลางหรือเป็นหลักของอานาปานสติ พูดได้ว่าเรามีทั้งอานาปานสติเรามีทั้งไตรสิกขามีทั้งพระรัตนตรัยอย่างที่ว่ามาแล้วรวมอยู่ในนั้น การที่มันเป็นได้คราวเดียวกันพร้อมกันหลายอย่างอย่างนี้เรียกว่า สโมธาน ยิ่งมองเห็นก็ยิ่งได้กำไร ยิ่งมองเห็นก็ยิ่งได้กำไร เพราะมันกระทำกันเท่านั้นปฏิบัติกันเท่านั้น แต่มันได้อะไรบ้างเนี่ยมันแล้วแต่ว่าคนนั้นจะมองเห็น คนฉลาดก็มองเห็นรู้สึกได้โดยตัวเอง แต่คนโง่เนี่ยเห็นจะลำบาก มันไม่มองเห็นบอกให้ก็ยังจะไม่ค่อยเห็นเสียอีก หมวดธรรมทั้งหลายหมวดธรรมทั้งหลายมีไตรสิกขาอยู่เป็นแกนกลาง เหมือนกับว่าขนมทั้งหลายมีแป้ง มีน้ำตาล มีน้ำมันเป็นแกนกลาง แกงเผ็ดทั้งหลายมีเนื้อมีเครื่องแกงและก็มีน้ำมันเป็นแกนกลางอยู่ข้างในออกมาในรูปต่างๆ เป็นแห้งเป็นเปียกเป็นน้ำเป็นสารพัดอย่าง ขอให้มองเห็นความเป็นสโมธานอย่างนี้ ในเมื่อว่าอานาปานสติมันเป็นไตรสิกขาได้อย่างนี้ ถ้าเห็นชัดแล้วก็เห็นได้กลับถอยกลับขึ้นไปว่าไอ้ไตรสิกขามันก็เป็นอานาปานสติได้เหมือนที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง เราทบทวนจากอานาปานสติมาเป็นไตรสิกขาเห็นชัด แล้วก็ทบทวนไตรสิกขาไปสู่อานาปานสติอย่างเห็นชัด เรียกทบทวนธรรมสโมธาน ธรรมสโมธานที่มันเนื่องกันอยู่ในภายใน ทีนี้ก็จะขยายออกไปอีกหมวดหนึ่ง หมวดสำคัญที่สุด มีชื่อเสียงที่สุดของพระพุทธศาสนา หมวดนั้นคืออริยอัฏฐังคิกมรรค หรือมรรคมีองค์แปดมรรคมีองค์แปด เพื่อให้ท่านเข้าใจเพิ่มขึ้นเห็นชัดเจนเพิ่มขึ้น อริยมรรคมีองค์แปด มีศีล คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโวนั่นเป็นศีลอยู่ในอริยมรรคมีองค์แปด สมาธิก็มี สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สมาธิอยู่ในอริยมรรคมีองค์แปด แปดองค์ ในปัญญาก็มี สัมมาทิฏฐิและสัมมาสังกัปปะ ทีนี้ข้อที่ควรสังเกตว่าทำไม พระพุทธเจ้าตรัสสัมมาทิฏฐิสัมมาสังกัปปะก่อนจึงเป็นตัวปัญญามาก่อน ทีนี้ข้อที่ควรสังเกตว่าทำไม พระพุทธเจ้าตรัสสัมมาทิฏฐิสัมมาสังกัปปะก่อน จึงเป็นตัวปัญญามาก่อน แล้วจึงตรัสศีล ปัญญาแล้วจึงตรัสศีล สัมมาวาจาสัมมากัมมันโตสัมมาอาชีโว แต่แล้วจึงตรัสสมาธิ คือสัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เหตุไรจึงเป็นอย่างนี้ เพราะว่าถ้าเมื่อพูดถึงการปฏิบัติเป็นตัวการปฏิบัติแล้วปัญญาต้องมาก่อน มีคนด่าอาตมาว่าพุทธทาสสอนผิดสอนปัญญาก่อนแล้วสอนศีลทีหลัง มันโง่เองมันไม่รู้นี่มันด่าอาตมานี่ ในการปฏิบัติปัญญาต้องมาก่อนมันถึงจะทำศีลได้ถูกต้องทำสมาธิได้ถูกต้อง ลองไม่มีปัญญาสิมันจะปฏิบัติศีลก็ไม่ถูกไม่ได้ มันต้องมีปัญญามาก่อน ถ้าพูดอย่างหลักปฏิบัติมันปัญญาศีลสมาธิ ถ้าพูดอย่างคำพูดเป็นหลักทั่วไปวิชาการทั่วไปก็ศีลสมาธิ ปัญญา พูดกลับหัวกลับหางกันอยู่อย่างนี้ เพื่อจะให้รู้ว่ามันสโมธานกันอยู่ในภายในนั้น การเรียงลำดับนั้นมันแล้วแต่ว่า เราจะทำอย่างไรเพื่อเรียนกันในห้องเรียน หรือเพื่อจะปฏิบัติในสนามที่ปฏิบัติ ถ้าในสนามที่ปฏิบัติคุณต้องเอาปัญญามาก่อนตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้วางไว้ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป หมายถึงศีลคือสัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว จึงมาถึงสมาธิคือสัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ แบบพูดๆกัน เรียงศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าแบบปฏิบัติก็ ปัญญา ศีล สมาธิ เพียงแปดนะเพียงแปด นี้พูดแต่ส่วนเหตุ ส่วนตัวการปฏิบัติมีองค์แปด แต่ถ้าพูดให้สมบูรณ์ถึงผลของการปฏิบัติด้วยมันต้องเพิ่มขึ้นอีกสองอย่าง เพิ่มมาอีกสองอย่าง คือสัมมาญานะกับสัมมาวิมุติ สัมมาญานะคือรู้อย่างถูกต้อง สัมมาวิมุติคือหลุดพ้นอย่างถูกต้อง เพิ่มมาอีกสองอย่างเป็นสิบอย่างก็เปลี่ยนเป็นชื่อเรียกว่า สัมมัตตะ 10 คือความถูกต้อง 10 ประการ ในพระบาลีเป็นอันว่าพระพุทธเจ้าตรัสสัมมัตตะ 10 เนี่ยเป็นตัวพุทธศาสนาที่สมบูรณ์ ถ้ากล่าวเพียงอริยมรรคมีองค์แปด มรรคมีองค์แปดนั้นมันพูดแต่เหตุ พูดแต่ตัวการปฏิบัติไม่ได้พูดถึงผล มันไม่สมบูรณ์ ถ้าสมบูรณ์ต้องพุดถึงผลอีกสองอย่างคือสัมมาญานะกับสัมมาวิมุติ ท่านยกเอาตัวเนี่ยเป็นพุทธศาสนาโดยสมบูรณ์ เรียกว่าทั้งกลมทั้งกลมก็ต้องหมดทั้ง 10 นี้ เป็นตัวพุทธศาสนาที่จะกำจัดบาปเพื่อว่าจะหลุดพ้นไปได้มันต้องครบทั้ง 10 อย่างนี้ มันก็ไม่พ้นไปจากศีล สมาธิ ปัญญา อยู่นั่นแหละ แล้วอีกอย่างหนึ่งมันก็ต้องทำหน้าที่สัมพันธ์กันอย่างถูกต้อง ไม่เพียงแต่สโมธานเฉยๆมันต้องสัมพันธ์กันอย่างถูกต้อง ในอริยมรรคมีองค์แปด อริยมรรคมีองค์แปดเข้าใจว่าท่องกันได้ทุกคน แต่แล้วท่านจะเข้าใจว่าอย่างไรว่าในแปดองค์นั้นองค์ไหนสำคัญที่สุด สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ อันไหนสำคัญที่สุด พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในที่แห่งอื่นคือไม่ใช่ในบาลีธรรมจักร แต่ว่าตรัสไว้ในที่แห่งอื่นยกเอาสัมมาสมาธิเป็นสำคัญที่สุด เจ็ดนอกนั้นเป็นบริวาร ก็สัมมาสมาธิมันเปรียบเหมือนตัวแม่ทัพใหญ่ตัวผู้ทำงาน สัมมาทิฏฐินี่ก็เป็นเพียงไอ้กองหน้ารึกองอะไร สัมมาสังกัปปะก็รองลงมาทุกอย่างก็ส่งเสริมสัมมาสมาธิทั้งนั้น สัมมาสมาธินั้นเมื่อได้สัมมาทิฏฐิส่งเสริมแล้วมันก็ถูกต้อง สมาธิมันถูกต้องเนี่ย แล้วมันได้สัมมาสังกัปปะส่งเสริมให้สัมมาสมาธิก็พุ่งไปถูกต้องพุ่งไปถูกจุด ส่วนสัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโวนั้นเป็นพื้นฐาน หรือเรียกว่ามันมีอยู่แล้วก็ได้ มันส่งเสริมให้สัมมาสมาธิเป็นไปได้ สัมมาวายามะ พากเพียร พากเพียร พากเพียร สัมมาสมาธิก็เป็นไปได้ สัมมาสติ สติระลึกอยู่อย่างถูกต้อง ระลึกอยู่อย่างถูกต้อง ไอ้สมาธิก็ถูกต้องถูกต้องและเข้มแข็ง สมาธินั้นจึงเข้มแข็งเข้มแข็ง ตัดกิเลสด้วยอำนาจของสมาธิที่เป็นอริยะและมีบริวารเจ็ด ในสมาธิมันมีปัญญาอยู่ด้วย มันมีปัญญาอยู่ด้วยในสมาธิ เรียกชื่อใหม่ยาวและค่อนข้างเพราะว่าอริยสัมมาสมาธิมีบริวารเจ็ด ควรจะจำข้อนี้ไว้ให้ดีๆมันช่วยได้มาก อริยสัมมาสมาธิมีบริวารเจ็ด ในมรรคมีองค์แปดนั้น เจ็ดอย่างเอาไปเป็นบริวารของสมาธิหมด ต้องปฏิบัติสมาธิจนมีบริวารครบเจ็ดอย่างนี้ มันจึงจะทำงานได้ตามที่ต้องการมันคือตัดกิเลส ปัญญา ปัญญามันเหมือนความคมมันคม แต่ถ้าไม่มีน้ำหนักมันไม่ตัดหละ คิดดูถ้ามันคมกว่ามีดโกนยิ่งกว่ามีดโกนถ้าไม่มีน้ำหนักที่จะกดลงไปมันจะตัดได้อย่างไรเล่า มันก็คมเฉยๆลำพังความคมมันไม่ตัด ต้องมีน้ำหนักก็คือสมาธิ มันกดความคมลงไปมันก็เลยตัด แต่เพื่อความสมบูรณ์อย่างยิ่งก็เอาสัมมาสังกัปปะคือความประสงค์ที่ถูกต้อง ความต้องการที่ถูกต้องเป็นวิชาเป็นปัญญา ถ้าความต้องการที่ไม่ถูกต้องมันเป็นกิเลสตัณหา ก็เรียกว่าตัณหาไปเสียไม่เรียกว่าสังกัปปะ ถ้าเรียกว่าสังกัปปะมันหมายถึงความต้องการที่ถูกต้อง ที่จะขึ้นสูงขึ้นไปสูงขึ้นไป แต่โดยเนื้อแท้มันเป็นความต้องการด้วยกัน ไม่ใช่ดำริเฉยๆ มันดำริด้วยความต้องการ สัมมาทิฏฐิเข้าใจถูกต้อง สัมมาสังกัปปะต้องการอย่างถูกต้องตามที่มันเข้าใจถูกต้อง มันเป็นเหตุให้กระทำพูดจา การทำการงานการดำรงชีวิตถูกต้องไปเสียอีก ทีนี้ก็สัมมาวายามะพากเพียรก็ถูกต้อง สัมมาสติก็ถูกต้อง ทั้งเจ็ดอันเป็นบริวารของสมาธิ ถ้าลองทำแล้วมันจะเป็นอย่างนี้โดยอัตโนมัติแหละ ให้ทุกอย่างมันส่งเสริมสมาธิ สมาธิจะเข้มแข็งพอที่จะตัดกิเลสซึ่งเป็นปัญหาทุกอย่างทุกประการ อย่างง่ายๆโง่ๆว่าขี้โกรธบังคับไม่ได้ลองทำให้อย่างนี้สิ ให้มีอริยสมาธิมีบริวารเจ็ดเดี๋ยวมันก็ตัดความโกรธตัดไอ้ความไม่พึงปรารถนานานาชนิด นี้เห็นมั้ยว่ามันเป็นธรรมสโมธาน ศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ในอริยอัฏฐังคิกมรรคแล้วมันยิ่งกว่าสโมธาน ก็คือว่าทำงานกลมเกลียวกันเป็นที่เรียกภาษาเด็กๆว่าทีมเวิร์ค ทีมเวิร์คแยกออกไปเป็นหน่วยหนึ่งก็ไม่สำเร็จมันต้องครบทีม มันก็ทำได้ ไม่ใช่มาอิจฉาริษยา แข่งขันทำลายแย่งชิงกัน ไม่มีทีมเวิร์ค บางทีในรัฐสภาไม่มีทีมเวิร์ค จริงเต็มไปด้วยเรื่องน่าหัวเราะขบขัน ถ้าเรามีทีมเวิร์คมันก็จะไม่มีอาการอย่างนั้น สนิทสนมกลมเกลียวกันตลอดเวลาเป็นอริยอัฏฐังคิกมรรคที่สำเร็จเป็นอริยสัมมาสมาธิมีบริขารเจ็ดเนี่ยคือธรรมสโมธาน ธรรมสโมธาน ข้างนอกรูปร่างต่างกันแต่ข้างในเหมือนกัน ข้างในเนื่องเป็นอันเดียวกันเป็นธรรมสโมธาน ทีนี้หัวข้อที่ตั้งใจจะพูดก็คือว่าธรรมที่ต้องควบคุมกระแสปฏิจสมุปบาท กระแสปฏิจสมุปบาทนั้นถ้ามันโง่ โง่ไปตั้งแต่ผัสสะ ก็ไหลเปะปะไปหาความทุกข์ ไปหาความทุกข์อย่างเดียว ไปหาความทุกข์อย่างเดียว แต่ถ้าว่ามันมีสิ่งควบคุมให้ถูกต้องมันจะไม่เกิดด้วยซ้ำไป ไม่เกิดกระแสปฏิจสมุปบาทที่เป็นฝ่ายทุกข์ แต่มันจะไปเกิดกระแสปฏิจสมุปบาทฝ่ายที่ดับทุกข์ มีอริยอัฏฐังคิกมรรค ก็คือมีศีล สมาธิ ปัญญาครบถ้วน มันก็ถูกต้องไปเสียตั้งแต่อายตนะให้เกิดผัสสะ อายตนะให้เกิดวิญาณ วิญญาณให้เกิดผัสสะ ผัสสะให้เกิดเวทนา เวทนาให้เกิดตัณหา นั้นก็เป็นความถูกต้องไม่โง่ ถ้าไม่อย่างนั้นมันโง่ก็ตั้งแต่เกิดผัสสะ ผัสสะโง่เกิดเวทนาโง่ เป็นยินดียินร้ายเป็นบวกเป็นลบเกิดตัณหาโง่ เป็นบวกเป็นลบเกิดอุปาทาน บวกลบเป็นตัวเป็นตน เกิดภพเกิดชาติเกิดทุกข์ นี้เรียกว่ากระแสปฏิจสมุปบาทไม่ได้รับการควบคุม ไม่ได้รับการควบคุม ถ้าได้รับการควบคุม โดยเฉพาะโดยอริยมรรคมีองค์แปด ซึ่งมันมีเต็มอยู่ในอานาปานสติ หรือมันตัว ศีล สมาธิ ปัญญา มีอยู่ในอานาปานสติ อานาปานสติจึงควบคุมกระแสปฏิจสมุปบาท ไม่ให้เกิดฝ่ายทุกข์คือไม่โง่ แต่เกิดฝ่ายดับทุกข์คือปัญญาหรือวิชชาจนดับทุกข์ได้ ท่านต้องเห็นความจริงข้อนี้ไม่ใช่ลึกซึ้งอะไรนักหนา แต่เพราะไม่คิดไม่ใคร่ครวญไม่คิด มันจึงเร้นลับอยู่อย่างที่ว่าไม่อาจจะเข้าใจได้ กล่าวได้ว่าถ้าทำอานาปานสติอยู่โดยสมบูรณ์แล้ว ก็มีศีล สมาธิ ปัญญา โดยสมบูรณ์ มันก็มีเครื่องป้องกัน การเกิดแห่งทุกข์โดยสมบูรณ์ มันก็ฉีดวัคซีน วัคซีนป้องกันไม่ให้เกิดทุกข์อยู่เป็นปรกติมันก็เกิดไม่ได้ อานาปานสติก็ดีไตรสิกขาก็ดีหรืออะไรที่มันสโมธานอยู่ในสิ่งเหล่านี้ก็ดี มันเป็นเหมือนวัคซีนป้องกันเด็ดขาด ไม่ให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาได้ และก็ขอย้ำอีกมีว่าจะมีพระรัตนตรัยที่แท้จริงโดยอัตโนมัติ ต่อให้ท่านไม่เคยรู้เรื่องพระรัตนตรัย ไม่เคยได้ยินสามคำนี้ แต่ถ้าท่านปฏิบัติอยู่อย่างนี้ อยู่อย่างนี้ ปฏิบัติอยู่อย่างนี้ พระรัตนตรัยองค์จริงจะเต็มอยู่ในการปฏิบัตินั้นทั้งที่ท่านไม่รู้จักชื่อ ท่านไม่รู้จักชื่อแต่กลับมีจริง ไอ้ที่มันพูดกันแต่ปากว่า พุทธังสรณังคัจฉามิวันละหลายๆหน เดือนหลายร้อยครั้ง มันไม่มี มันกลับไม่มีเพราะมันมีแต่ชื่อ แต่ถ้ามีการปฏิบัติอย่างนี้อยู่ ปฏิบัติอย่างนี้อยู่ มันมีพระรัตนตรัยพระองค์จริงและมีได้ทั้งที่ท่านยังไม่รู้จัก มีไปแล้ว เช่นบุคคลไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกเลย ทูลถามและก็ตรัสอธิบายวิธีดับทุกข์อย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น เช่นให้ดับทุกข์ได้จริง ดับทุกข์ได้จริง เขาก็พอใจว่า เออขอรับระบบปฏิบัติเนี่ย ขอรับระบบปฏิบัตินี้และขอถือเอาพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่งจนตลอดชีวิต ไม่เคยได้ยินคำว่าพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ แต่เขามาถือเอาความหมายว่า ผู้รู้เรื่องนี้ ผู้สอนเรื่องนี้ หรือเรื่องที่สอนนี้หรือผู้ปฏิบัติเรื่องนี้คือพระรัตนตรัยนั้นมันมีขึ้นมา เกิดขึ้นมาโดยไม่ได้รู้จักชื่อมาก่อน คนพวกนี้เป็นพูดถึงพระรัตนตรัยที่แท้จริงทั้งที่ไม่รู้จักชื่อ ท่านก็รู้ในนามของไอ้ธรรมชาติ ธรรมดาว่าผู้รู้เรื่องนี้ ผู้สอนเรื่องนี้สิ่งที่สอนนี้ผู้ปฏิบัตินี้จะขอถือเอาเป็นสรณะจนตลอดชีวิต นี่ลอง ลองปฏิบัติดู เมื่อปฏิบัติอานาปานสติอยู่มันจะมีพระรัตนตรัยชนิดที่ท่านไม่รู้จักชื่ออยู่ในนั้นด้วยเสร็จ มองเห็นมก็มี มีโดยไม่ต้องรู้ว่าเรียกว่าพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ แต่รู้ว่ามีผู้รู้ ผู้สอนสิ่งที่สอนกับสิ่งที่ปฏิบัติ นั้นการมีพระรัตนตรัยมันจึงมีอยู่สองชนิด ชนิดที่เกิดขึ้นมาในจิตใจจริงๆอย่างนี้อย่างหนึ่ง และชนิดที่จับตัวมาเหมือนจับตัวเด็กๆมาให้มันว่าพุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมังสรณัง คัจฉามิ จับมาให้มันว่า มันก็มีพระรัตนตรัย นกแก้วนกขุนทองไปก่อนเท่านั้นแหละ จนกว่าจะได้ปฏิบัติธรรมะแล้วได้มองเห็นว่า โอ้ นี้มันดับทุกข์ได้จริง พระรัตนตรัยแท้จริงรวมอยู่ในศีลสมาธิปัญญา รวมอยู่ในอริยอัฏฐังคิกมรรคในธรรมทุกอย่างที่สมาทานกันสโมธานกันอยู่เป็นกลุ่มแห่งการดับทุกข์ ข้อนี้มีข้อปลีกย่อยที่จะต้องพูดสักหน่อยนะ พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้าจนตลอดชีวิต นี้มันฝืน ฝืนฝืนคำสั่งของพระพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้าว่าตนเป็นที่พึ่งแก่ตน เด็กคนนี้มันดื้อมันจะพึ่งพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ เพราะมันไม่รู้จักพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ที่แท้จริงที่เป็นที่พึ่งอยู่แล้ว พูดให้ใครด่านะ ว่าไอ้คนที่มันว่าถือพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่งเนี่ยเป็นเด็กดื้อ ดื้อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนให้พึ่งตนเอง ให้พึ่งตนเอง เนี่ยปฏิบัติศีลสมาธิปัญญา แล้วพระรัตนตรัยก็เกิดขึ้นเองแล้วก็เป็นที่พึ่งเอง ท่านจึงให้พึ่งตนเอง พึ่งตนเอง แต่เดี๋ยวนี้มันตะโกน ตะโกนลั่นกันไปหมด พึ่งพระพุทธพึ่งพระธรรมพึ่งพระสงฆ์ ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มีนอกจากพึ่งพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ เนี่ยมันแย้งพระพุทธเจ้า มันแย้งพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซนต์เลย เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสให้พึ่งตัวเอง คืออย่างปฏิบัติธรรมะอย่างที่ว่านี้ มันก็มีพระรัตนตรัยแท้จริงโดยอัตโนมัติ เกิดขึ้นมากำจัดความทุกข์ แต่ไม่เป็นไรละขอให้เป็นเรื่องธรรมดาคนมันไม่รู้มันก็ต้องพูดอย่างนั้นหละ เพราะความรู้สึกพึ่งผู้อื่นมันเป็นเรื่องง่ายดี พึ่งตัวเองมันลึกซึ้งมันยาก พึ่งพระรัตนตรัยกันไปก่อน แต่ขอบอกให้รู้ว่าพระรัตนตรัยแท้จริงมันอยู่ในการปฏิบัติ ไม่ต้องคิดพึ่ง แต่ปฏิบัตินะมันช่วย ช่วย ช่วยตลอดเวลา นี่มีพระรัตนตรัยอยู่โดยอัตโนมัติ ในตัวการปฏิบัติอานาปานสติก็ดีปฏิบัติไตรสิกขาก็ดีปฏิบัติอื่นๆก็ดี ที่มันสกัดกั้นกระแสแห่งปฏิจสมุปบาทได้แล้วมันเป็นพระรัตนตรัยอยู่ในนั้น ให้เรามีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อยู่ในการปฏิบัตินั้นเอง เมื่อปฏิบัติได้ถึงขนาดนี้มันก็มีมรรคผลนิพพานน้อยๆ นิพพานตัวอย่างอยู่ไม่ไม่ต้องกลัวว่าจะอวดดี ไม่ ไม่ต้องอวดดีเพียงแต่มันยังไม่สมบูรณ์ มีมรรคคือการตัดกิเลสน้อยๆ มีผลคือการตัดกิเลสได้ตามสมควรน้อยๆ มีนิพพานคือความเยือกเย็นน้อยๆอยู่ในตัวการปฏิบัตินั้น ลองปฏิบัติอานาปานสติและควบคุมกระแสปฏิจสมุปบาทให้ได้เถอะ มันจะมีมรรคผลนิพพานน้อยๆเป็นอย่างน้อยและก็สูงขึ้นไป สูงขึ้นไปสูงขึ้นไปจนถึงที่สุด เต็มเปี่ยมทุกๆความหมาย เนี่ยเมื่อมีการปฏิบัติอานาปานสติ มันจะมีพระรัตนตรัยหรือว่ามีมรรคผลนิพพานอย่างน้อยๆพอเป็นตัวอย่างได้ไม่ต้องสงสัย ทีนี้ก็มีสติสมบูรณ์ในทุกกรณี ผู้ที่ปฏิบัติอานาปานสติจะเกิดธรรมะครบถ้วนทุกอย่าง โดยเฉพาะที่ออกหน้าที่สุดคือ สติ จะมีสติทุกชนิดทุกความหมาย ทุกชนิดทุกความหมายเอาไปใช้ได้ในทุกความหมายนี้ที่จะต้องใช้สติ ในการจะป้องกันก็ได้ ในการจะรักษาก็ได้ ในการจะแก้ไขก็ได้ ในการที่จะพัฒนาก็ได้ ไม่ว่าในแง่ไหนสติต้องใช้ทั้งนั้น เราควรจะปฏิบัติธรรมะอยู่ โดยเฉพาะอานาปานสติและทำให้มีสติในระดับนี้ถึงขนาดนี้ แล้วดูอีกทีหนึ่งซ้ำขอพูดซ้ำอีกทีว่าในนั้นมีศีลสมาธิปัญญายัดไส้อยู่ มีศีลสมาธิปัญญาครบถ้วน ยัดไส้อยู่ในการปฏิบัติ เพียงเท่านี้มันก็พอเป็นตัวอย่างที่เพียงพอแล้วว่าถ้าปฏิบัติอานาปานสติก็จะมีอริยมรรคมีองค์แปดสมบูรณ์ มันจะสกัดกั้นกระแสแห่งปฏิจสมุปบาทจะมีพระรัตนตรัยที่แท้จริงจะมีมรรคผลนิพพานในระดับน้อยขึ้นไปตามลำดับ ก็เรียกได้ว่าได้ผลตรงตามหลักพระพุทธศาสนาที่เราต้องการ ทีนี้ก็ดูเป็นการสรุปหรืออะไรทำนองนั้นอีกที ปฏิบัติอานาปานสติถูกต้องมันกั้นกระแสปฏิจสมุปบาทฝ่ายทุกข์ไว้ตลอดเวลาไม่มีความทุกข์ในชีวิตประจำวัน มีแต่ความเหมาะสม มีแต่ความถูกต้อง ง่าย ง่ายที่จะก้าวหน้าไปตามลำดับในชีวิตประจำวัน เขาจะศึกษาเล่าเรียนก็ดีจะสนุกเลย ถ้ายังเป็นพวกผู้ที่ต้องศึกษาเล่าเรียนขอให้มีสติสมบูรณ์อย่างนี้ การศึกษาจะสนุก สนุกยิ่งกว่าอย่างอื่นไปเสียอีก ดีกว่าไปเที่ยวซะอีก ถ้าจะประกอบการงานหนักเหงื่อไหลไคลย้อยทำไร่ทำนาก็มีสติอย่างนี้เถิด มีสติอย่างนี้เถิด จะมีพระรัตนตรัยมีไตรสิกขามาคุ้มครอง มันจะไม่รู้จักเหน็ดจักหนื่อย เหงื่อมันออกมาเป็นน้ำมนต์แล้วมันก็ทำงานสนุก ทำงานสนุก ไม่ต้องไปเป็นอันธพาลปล้นจี้ มันสนุกในการประกอบการงาน เอ้าทีนี้ไกลไปถึงว่าได้เสวยผลงานได้เงินได้ทองได้ข้าวได้ของมาแล้ว ถ้าไม่มีสติมันจะหิวเป็นเปรตอยู่นั่นแหละ มันหิวไม่รู้จักจบอยู่นั่นแหละ ถ้ามีสติมันจะสงบเย็น เสวยผลงานด้วยความสงบเย็นไม่วิตกกังวลไม่กลัวไม่หวาดไม่กลัว ถ้าไม่มีสติไม่มีธรรมะแล้วแม้จะมีเงินเป็นมหาเศรษฐีมันก็ยังกลัวจนกลัวตายกลัวฉิบหายกลัวอะไรอยู่นั่นแหละ เงินอยู่ในฝากไว้ในธนาคารแต่มาสุมอยู่บนหัวมันนั่นแหละ มันหาความสงบสุขไม่ได้แม้ว่ามันจะมีเงินเป็นมหาเศรษฐี นี้ก็การเสวยผลงาน การเสวยผลงานต้องมีสติ ต้องมีสติ ไม่ทรมานคนผู้มี แม้ว่าจะพักผ่อน ความพักผ่อนนี่จำเป็นสำหรับชีวิต มันต้องพักผ่อน แต่ถ้ามันไม่มีสติ ไม่มีธรรมะข้อนี้แล้ว มันไม่เป็นการพักผ่อน มันจะดิ้นรน จะหิวกระหายมันจะฟุ้งซ่านไม่มีการพักผ่อน คือมันหิวเป็นเปรตอยู่เรื่อยแล้วมันจะมีพักผ่อนอะไรได้ ถ้ามีสติเพียงพอมีความรู้ถูกต้องเพียงพอ มันเป็นการพักผ่อนเพียงพออยู่ในตัวธรรมะนั้น เป็นการพักผ่อนที่ให้กำลังอย่างยิ่งทั้งทางกายทั้งทางจิต เป็นการพักผ่อนที่แท้จริง ไม่ต้องไปเที่ยวชายทะเลที่ไหน พักผ่อนอยู่ในห้องที่บ้านนั่นแหละพักผ่อนอย่างยิ่ง ทีนี้เมื่อมันเล็งถึงว่าถ้าจะต้องเผชิญภัย มีอุบัติเหตุมีอะไรที่สุดวิสัยเกิดขึ้น สติก็ช่วยได้ ป้องกันได้ ถ้าเกิดขึ้นแล้วก็เป็นทุกข์น้อย แก้ไขให้ลุล่วงไปด้วยดีในการเผชิญภัย ข้อสุดท้ายก็ว่าถ้ามีสติแล้วจะมีแต่การพัฒนา พัฒนา พัฒนา พัฒนาที่ถูกต้องไม่ใช่พัฒนาละเมอละเมอ ไปสู่ความดับทุกข์แท้จริงคือนิพพาน พัฒนาเดี๋ยวนี้มันพัฒนาเพื่อกิเลสให้รวยให้สวยให้งามให้สนุกสนานเอร็ดอร่อย พัฒนาอย่างนี้พัฒนาไปเพื่อกิเลส พัฒนาที่ถูกต้องก็เพื่อความสงบเย็นเป็นพระนิพพาน เค้ากำลังคุยถึงเรื่องแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองกันนะ อาตมาเห็นแล้วสงสารว่าแผ่นดินทองนั้นหมายถึงความสมบูรณ์ทางวัถตุ มันทองแดงนะทองแดงไม่ใช่ทองคำ แผ่นดินทองที่แท้จริงมันต้องความสงบเย็นเป็นพระนิพพานเหนือกิเลสนั่นจึงจะเป็นแผ่นดินทอง ถ้าเป็นแผ่นดินทองเพียงร่ำรวยสวยงามอย่างที่หวัง ouhแผ่นดินทองแดงทองเหลืองที่ไม่ใช่ทองคำ พัฒนาให้ไปสู่จุดสุดท้ายสงบเย็นเป็นนิพพานและก็เป็นประโยชน์แก่คนทุกคน สองคำนี้พูดมาหลายหนแล้วขอให้จำ ให้รู้จักว่าสงบเย็นส่วนตัวเป็นประโยชน์ส่วนตัวอื่น นี้ความสงบเย็นเป็นพระนิพพานตามความของพระนิพพาน และก็เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น นี่ความหมายของคำว่าพัฒนา สรุปว่าธรรมะทั้งหลายมีธรรมสโมธานคือมีไส้ในตรงกันเหมือนกัน รูปร่างข้างนอกจะต่างกันอย่างไรแต่ไส้ในที่เป็นแกนกลางนั้นมันเหมือนกัน ในอริยมรรคก็มีไตรสิกขา ในอริยมรรคก็มีพระรัตนตรัย ในอริยมรรคก็มีการป้องกันกระแสแห่งปฏิจมุปบาทไม่ให้ความทุกข์เกิดขึ้น วันนี้เราพูดกันถึงเรื่องสโมธาน สโมธาน คือที่มันเนื่องถึงกันมันรวมความหมายด้วยกันมีกลุ่มในภายในเป็นอย่างเดียวกัน ท่านจะรู้สึกพอใจว่าเพียงแต่ปฏิบัติอานาปานสติอย่างเดียวมันเหมือนปฏิบัติหมดหมดเลยทั้งพระพุทธศาสนา และที่จะมีความหมายอย่างยิ่งสำคัญอย่างยิ่งก็คือมันป้องกันการเกิดแห่งปฏิจสมุปบาทฝ่ายทุกข์ มันสกัดกั้นกระแสแห่งปฏิจสมุปบาทฝ่ายที่จะเป็นทุกข์ แล้วจะเอาอะไรกันอีกละไม่มีความทุกข์แล้วมีแต่ประโยชน์ก็ควรจะพอ ต้องการมากกว่านี้มันควรจะเรียกว่าบ้าแล้วบ้าแล้ว สงบเย็นและเป็นประโยชน์นะมันพอแล้ว ถ้ามากกว่านี้แล้วมันจะทำอะไรกันที่ไหน ขอให้ประสพความสำเร็จในการปฏิบัติอานาปานสติสกัดกั้นกระแสแห่งปฏิจสมุปบาท ชีวิตนี้สงบเย็นและก็เป็นประโยชน์ สงบเย็นก็คือว่าชีวิตนี้ไม่กัดเจ้าของ พวกฝรั่งชอบคำนี้มากที่สุด ที่เค้ามาสนใจธรรมะกันมากขึ้นอย่างติดพันเพราะชอบประโยคนี้ คือว่าได้พบชีวิตใหม่ way of life new way of life ที่ไม่กัดเจ้าของ เพราะเคยมีแต่ชีวิตที่มันกัดเจ้าของ เดี๋ยวความรักกัด เดี๋ยวความโกรธกัด เดี๋ยวความเกลียดกัด เดี๋ยวความกลัวกัด เดี๋ยวความตื่นเต้นตื่นเต้นกัด เดี๋ยวความวิตกกังวลกัด เดี๋ยวความอาลัยอาวรณ์กัด เดี๋ยวความอิจฉาริษยากัด เดี๋ยวความหวงกัด เดี๋ยวความหึงกัด กระทั่งฆ่ากันตาย ฆ่ากันตาย ชีวิตเดิมๆที่เค้ามีอยู่มันกัดเจ้าของ กัดเจ้าของแล้วก็เลวกว่าหมา เพราะหมาเนี่ยไม่กัดเจ้าของ มีชีวิตที่กัดเจ้าของเนี่ยมันแย่มาก ได้มาพบชีวิตใหม่ที่ไม่กัดเจ้าของ เกิดการปฏิบัติอานาปานสติปิดกั้นกระแสปฏิจสมุปบาทฝ่ายที่เลวร้ายเสียได้โดยประการทั้งปวงก็เลยชอบ เป็นหัวข้อใหญ่มันได้ชีวิตชนิดที่แปลกและใหม่เป็นที่น่าพอใจมีตัวตนซึ่งไม่ใช่ตัวตน มีตัวตนที่มิใช่ตัวตน มีตัวตนแห่งสุญญตา ที่ขอร้องให้จงเดินอย่างว่าง นั่งนอนยืนอย่างว่าง ทำอะไรอย่างว่างว่าง เดินสุญญตาอย่างที่สอนมา ที่ขอร้องให้เดินมาทุกวัน เค้าก็ปฏิบัติกันได้มากขึ้น มีชีวิตแบบสุญญตา เป็นชีวิตใหม่ที่ไม่กัดเจ้าของ สรุปกันเสียทีเอาว่าเดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าปฏิบัติได้อย่างนี้แล้วเดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างไรบ้าง ข้อแรกจะต้องระบุลงไปว่าเดี๋ยวนี้เรามีอำนาจเหนือเวทนา เวทนา เวทนา โดยเฉพาะเล็งถึงความสุข เราเป็นทาสเวทนาเป็นทาสของความสุข แต่ความทุกข์ก็ไม่เว้นเพราะมันหลีกไม่พ้น เพราะถ้ามีความสุขมันก็ต้องมีความทุกข์ เพราะว่ามีความสุขแล้วความสุขมันจะต้องดับไปแล้วก็กลายเป็นความทุกข์ การได้มามันก็จะหมดสิ้นและมันก็จะกลายเป็นความทุกข์ เราเป็นทาสของเวทนาฝ่ายสุขรึฝ่ายบวกแต่มันก็ยกเว้นไม่ได้ยกไม่ได้ ไม่ได้ยกเว้นที่เป็นทาสของฝ่ายลบรึฝ่ายทุกข์ด้วย ก็เป็นทาสของเวทนาทั้งฝ่ายบวกและฝ่ายลบกันอยู่ตลอดเวลาทั้งโลกเลยทั้งโลกเลย สิ่งที่ครอบงำจิตใจของมนุษย์อยู่อย่างแท้จริงก็คือเวทนานั่นหละทั้งโลกเลย เดี๋ยวนี้เรามีอำนาจเหนือเวทนาโดยการปฏิบัติอานาปานสติหมวดที่สอง หมวดที่สอง เวทนาสุปัสสนาที่อธิบายกันแล้วอย่างละเอียดนั้นนะเอาไปใช้เถอะ และเราก็จะเป็นนายเหนือเวทนา สิ่งใดๆในโลกก็ไม่ทำให้เกิดปัญหา เป็นนายของเวทนาเสียอย่างเดียว ไม่หัวเราะไม่ร้องไห้ไม่ดีใจไม่เสียใจ สงบเย็นที่สุดไม่มีปัญหา แล้วก็จะมีอำนาจเหนือจิต นี่ก็สำคัญเราบังคับจิตไม่ได้ที่แล้วมาเดี๋ยวเป็นอย่างนั้นเดี๋ยวเป็นอย่างนี้เป็นปัญหาทั้งนั้นเป็นกิเลสทั้งนั้น เดี๋ยวนี้สามารถบังคับจิต เป็นอย่างนี้อย่าเป็นอย่างนั้น สามารถบังคับได้ ให้ปล่อยวางจากสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นเสียก็บังคับได้ ให้มันเจอปราโมทย์ปิติก็ได้ ให้มันคล่องแคล่วว่องไวในหน้าที่การงาน ที่เรียกว่ากัมมัญญตาก็ได้ ก็ได้ เรามีอำนาจเหนือจิตคำว่าเราเนี่ยมันก็คือจิต มีจิตฝ่ายที่ถูกต้องจนจิตฝ่ายที่ผิดพลาดไม่อาจจะโผล่ขึ้นมา พูดอย่างนี้ ฟังเข้าใจผิดได้ว่า เรา เรา เราขึ้นมาอีกและไม่มีตนไม่มีตัวตนแล้วมีเราที่ไหน ก็มีชีวิตชนิดที่มีอำนาจเหนือจิตก็คือเหนือกิเลส มีอำนาจเหนือจิตก็คือมีอำนาจเหนือกิเลสก็ต้องเข้าใจให้ดีๆ ที่ว่ามีอำนาจเหนือจิตนะเหนืออำนาจที่มันเป็นไปตามอำนาจของกิเลส จิตนี้มันจะลงทางต่ำตามธรรมชาติเหมือนปลามันจะลงน้ำเรื่อยไปเราไปบังคับไม่ได้ก็ลงน้ำเรื่อยไปกิเลสเรื่อยไป เดี๋ยวนี้บังคับได้ จิตที่รู้แล้วมีอำนาจเหนือจิตที่ไม่รู้ คือวิชชามันชนะอวิชชา โพธิมันชนะกิเลส โพธิความรู้ว่ามันชนะกิเลส นี้เรียกว่ามีอำนาจเหนือจิต แต่ใช้คำสมมติว่า เรา เรา เพราะว่าเราพูดจากันอย่างมีตัวเรา ถ้าพูดว่าไม่มีตัวเรามันก็ไม่รู้เรื่อง แต่ที่แท้มันก็ไม่มีตัวเรา กำลังมีจิตชนิดที่ไม่มีกิเลสเป็นตัวเรา และก็ชนะปัญหาทุกอย่างที่เป็นกิเลสเป็นตัวเราฝ่ายร้ายกาจฝ่ายเลวทรามฝ่ายที่เป็นทุกข์ สรุปเรียกสั้นๆว่าเดี๋ยวนี้เรามีอำนาจเหนือจิต จะพูดอีกข้อหนึ่งก็ว่าเดี๋ยวนี้มีอำนาจเหนือโลก คำนี้สำคัญเว้นไม่ได้ท่านทั้งหลายก็เคยได้ยินอยู่เป็นประจำว่าโลกุตตระ โลกุตตระ ภาษาบาลี ภาษาชาวบ้านว่าโลกอุดรโลกอุดร อุดรคือกุตตระ กุตตระแปลว่าเหนือ โลกอุดรหรือว่าเหนือโลก โลกที่เหนือโลกไม่ใช่โลกทางทิศเหนือ คือโลกที่เหนือโลก เดี๋ยวนี้เรามีอำนาจเหนือโลก โลกจะทำให้เราเป็นทุกข์ไม่ได้อีกต่อไป ธรรมดาเราเป็นไปตามอำนาจของโลกหรือสิ่งแวดล้อม เดี๋ยวนี้เราเป็นอิสระออกมาเสียจากไอ้สิ่งแวดล้อมชนิดนั้น และไม่มีความผูกพันธ์กับโลกชนิดนั้น ซึ่งมันมีความเกิดความแก่ความเจ็บความตาย เราเหนือโลกชนิดนั้นก็คือเหนือปัญหาอย่างนั้น ความเกิดความแก่ความเจ็บความตายไม่ระคายขนอะไร คือไม่เอาเป็นของเรามันก็ไม่มาทำให้เราเดือดร้อน ความเกิดความแก่ความเจ็บความตายนั้นหมดปัญหา พุทธศาสนาทำให้ไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย หมายความว่าไม่อยู่ใต้ปัญหาของสิ่งนี้ พระอรหันต์ก็ตายพระพุทธเจ้าก็ตายเห็นมั้ยด้วยร่างกาย แต่ว่าไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย คือไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเกิดเรื่องแก่เรื่องเจ็บเรื่องตาย นี่เราพ้นจากความเกิดพ้นจากความแก่พ้นจากความตายเรียกว่าเหนือโลก หรือยังไม่ทันตายก็เอามเป็นทุกข์แล้ว พอคิดว่าจะตายก็กลัวกันอย่างเหลือประมาณแล้ว ลูกตายเมียตายไม่ได้ตายเองก็เป็นทุกข์เหลือประมาณแล้ว เนี่ยความเกิดความแก่ความเจ็บความตายมันครอบงำอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ไม่ ที่เรียกว่าอยู่เหนือโลก เหนือบวกเหนือลบ โลกมันมีแต่เรื่องบวกเรื่องลบ เราก็เหนือบวกเหนือลบ ไม่ดีใจไม่เสียใจไม่หัวเราะไม่ร้องไห้ เรื่องนี้สำคัญมาก ขอให้สนใจเถอะว่าไอ้คำว่าเหนือบวกเหนือลบนะไม่ใช่คำวิทยาศาสตร์ใหม่ๆเมื่อวานนี้เป็นคำโบราณเป็นพันๆปีมาแล้ว ที่พระศาสดาแห่งศาสนานั้นๆก็รู้จักกัน โดยเฉพาะพระพุทธศาสนานี่เหนือบวกเหนือลบเหนือดีเหนือชั่วเหนือบุญเหนือบาปเหนือที่เป็นคู่ๆ พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้แล้ว คำสอนในศาสนายิวก่อนคริสต์นะ คือต้นของศาสนาคริสต์คือศาสนายิว เค้าประมาณกันว่าแปดพันปีนะ คำสอนนั้นก็มีให้เหนือบวกเหนือลบ ใบแรกๆของคัมภีร์ไบเบิ้ลหน้าสองหน้าสามแถวนั้นแหละ พระเจ้าห้ามให้ผัวเมียคู่นั้นที่สร้างขึ้นมาใหม่ว่าแกอย่าไปกินผลไม้ที่ทำให้ความรู้ว่าดีว่าชั่ว ถ้ากินเข้าแกจะตาย นี่หมายความว่ามนุษย์ไม่รู้จักดีไม่รู้จักชั่วมันก็ไม่ยึดมั่นเป็นดีเป็นชั่วมันยังไม่มีปัญหาหรอก พอยึดมั่นดียึดมั่นชั่วมันมีปัญหาทันที มันจะหิวในฝ่ายดีมันจะกลัวในฝ่ายชั่ว หรือมันจะหวังในฝ่ายบวกมันจะเกลียดกลัวในฝ่ายลบเป็นปัญหา พูดกันอย่างนี้ดีกว่าว่าเด็กๆเกิดมาจากท้องแม่เด็กนี้จะยังไม่ปัญหาอะไร จนกว่าเด็กๆคนนี้จะรู้ว่าอย่างนี้เรียกว่าดีอย่างนี้เรียกว่าชั่ว ปัญหาจะเกิดมาทันทีคือเขาจะต้องต่อสู้ความชั่วละความชั่ว และหวังจะให้ดีหวังจะให้ดีรักษาความดี ปัญหาแห่งชีวิตพึ่งมีก็ต่อเมื่อทารกมันเกิดไปรู้ว่าอย่างนี้ดีอย่างนี้ชั่วขึ้นมา นี้ก็จะเกิดความโลภโลภโลภที่จะได้ดีและมันจะอิจฉาริษยาผู้อื่นที่จะพลอยได้ดี มีเรื่องตัวอย่างคัมภีร์ไบเบิ้ลอีกเหมือนกันว่า พี่ชายหลอกเอาน้องชายไปฆ่าทิ้งเสียในป่าเพราะว่าพ่อรักน้องชาย ไม่ค่อยรักเขาที่เป็นพี่ชาย ความริษยามันเกิดจึงหลอกน้องชายไปฆ่าเสียในป่า นี้มันบ้าดี มันบ้าดี ขอให้ดูเถอะแม้ไอ้ความดีมันก็เป็นปัญหาอย่างนี้ ถ้ามันอิจฉาริษยากันไม่รักสมัครสมานสามัคคีกันเพราะมันบ้าดี บ้าดีเมาดีหลงดีกันก็แย่เหมือนกัน นั้นอยู่เหนือเถิด เหนือดีเหนือชั่วเหนือบุญเหนือบาป เหนือได้เหนือเสียเหนือแพ้เหนือชนะ เหนือไปมันทุกอย่างเหนือหัวเราะเหนือร้องไห้ ไม่ดีใจไม่เสียใจนั่นแหละจึงจะเรียกว่าโลกุตตระ โลกุตตระ อยู่เหนือโลกอยู่เหนือโลก พูดซ้ำอีกทีว่าเดี๋ยวนี้จะอยู่เหนืออำนาจของเวทนา เดี๋ยวนี้จะอยู่เหนืออำนาจของจิตคือเหนือจิต เดี๋ยวนี้จะอยู่เหนืออำนาจของโลกคือเหนือโลก คุณค่ามันเหลือประมาณจนไม่รู้จะตีราคากันสักเท่าไร เหนือเวทนาเหนือจิตเหนือโลก คุณค่ามหาศาลความหมายของพระนิพพาน เหนือโลกเหนือโลกก็เย็น ดับเย็น ก็เป็นพระนิพพาน พระนิพพานนั่นตัวหนังสือแท้ๆก็แปลว่าเย็น อาตมาอธิบายไปอย่างนี้มีคนเขียนด่าว่านี่ว่าเอาเองว่านิพพานแปลว่าเย็น เค้าว่านิพพานแปลว่าตาย คำว่านิพพานนิพพานนั้นแปลว่าดับ ดับ ไม่ใช่ดับตายแต่ว่ามันดับแห่งความร้อน ความทุกข์หรือความร้อนมันดับ ความดับนั้นเรียกว่านิพพาน ภาษาชาวบ้านที่พูดกันอยู่ตามบ้านเรือนในครัวในอะไรต่างๆก็ใช้คำนี้อยู่นะ ไม่ใช่เรื่องทางศาสนาเรื่องคำพูดธรรมดาใช้คำว่านิพพาน ไฟดับเรียกว่าไฟนิพพาน ไปยืมมาใช้ในคำทางศาสนาว่าดับไฟคือกิเลสเรียกว่านิพพาน ข้าวร้อนกินไม่ได้รอให้นิพพานก่อนจึงกินได้ แกงกับร้อนกินไม่ได้รอให้นิพพานก่อนแล้วถึงกินได้ ถ่านไฟแดงๆดับเรียกว่ามันนิพพาน ใช้อยู่ในบ้านในครัวเรือนในหม้อ ทีนี้ขยายขึ้นไปว่าอะไรที่ร้อนดับลงดับลงมันก็เรียกว่านิพพานหมด มีตัวอย่างในบาลีพูดคำนี้ว่าช่างทองเขาหลอมทองเหลวคว้างไว้อยู่ในเบ้า พอเค้าต้องการจะเย็นเพื่อจะทำต่อไปเค้าเอาน้ำรด กริยาที่เอาน้ำรดทองที่เหลวคว้างให้เย็นนั้นเรียกว่าทำให้มันนิพพาน ทำให้มันนิพพาน ไม่ใช่ทำให้มันสูญสิ้นไป ไม่ใช่ ความหมายคืบคลานออกไปถึงเรื่องของสัตว์ สัตว์ตัวไหนที่ยังมีอันตรายมีพิษร้ายนั้นมันยังไม่นิพพาน สัตว์ตัวไหนฝึกดีแล้วไม่มีอันตรายเลย จับควายป่าวัวป่าสัตว์ป่าช้างป่าอะไรมา ฝึกๆๆจนเชื่องเหมือนกับแมว อย่างนี้ก็เรียกว่านิพพานของสัตว์ นิพพานของสัตว์ มันมีอยู่อย่างนี้ไม่ใช่อาตมาว่าเอาเอง แต่พอเอามาบอกก็ถูกด่าว่าเออมันยังมีนิพพานของสัตว์มาอีก เพราะว่าคำๆนี้มันเป็นอย่างนี้ ทีนี้ต่อมามันเข้าเกี่ยวข้องกับศาสนาเพราะว่าที่ดับความร้อนใจได้จะเป็นนิพพาน คนที่ยังโง่อยู่ โง่อยู่เขาเอากามารมณ์เป็นนิพพาน ความสมบูรณ์ทางกามารมณ์เป็นนิพพาน คำกล่าวข้อนี้มีอยู่ในบาลีพรหมชาลสูตรและพระไตรปิฎกเอง คนเคยโง่สมัยหนึ่งในยุคหนึ่งเอากามารมณ์เป็นนิพพาน แต่ต่อมามันฉลาด โอ้ไม่เอาๆ เอาสมาธิ เอาจิต ความเป็นสมาธิสมาบัติเป็นนิพพานๆ เนี่ยไปกันได้สูงสุดเพียงแค่นี้ก็เกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมา ไม่เอาๆฉันไม่เอาสมาธิสมาบัติไม่ใช่นิพพาน ความสิ้นไปแห่งกิเลสความสิ้นไปแห่งราคะสิ้นไปแห่งโทสะสิ้นไปแห่งโมหะนี่คือนิพพาน วิสะราโควิสะโทโสวิสะโมโห ราคะทะโยโทสะทะโยโมหะทะโยนิพพานัง สิ้นไปแห่งราคะสิ้นไปแห่งโทสะสิ้นไปแห่งโมหะนี่คือนิพพาน คำว่านิพพานมันมีตั้งแต่ว่าถ่านไฟดับเย็น แกงกับเย็นกินได้ โลหะเย็นใช้ประโยชน์ได้ สัตว์เดรัจฉานเชื่องใช้ประโยชน์ได้ กามารมณ์เป็นนิพพานหลอก หลอกให้สบายใจได้พักหนึ่งเนี่ยเขาก็เรียกว่านิพพาน สมาธิสมาบัติดีกว่านั้นก็เรียกว่านิพพาน พระพุทธเจ้าศึกษาจากอาจารย์ต่างๆก่อนตรัสรู้ก็ไปพบเรื่องนี้ อาฬารดาบสและอุทกดาบส รามาหุตะสอนได้แค่สมาบัตินี้ท่านว่าไม่เอา ไม่ใช่นิพพาน ท่านมาพบของท่านเองทีหลังว่า ราคะทะโยโทสะทะโยโมหะทะโยนิพพานนัง ดับกิเลสเสียเป็นนิพพาน ดับกิเลสคือดับตัวตนเสีย อย่ามีตัวตน อย่ามีตัวกูอย่ามีของกู พอไม่มีตัวตนมันก็ไม่มีกิเลส เพราะกิเลสมันต้องเกิดที่ตัวตน ไม่มีตัวตนมันก็ไม่มีกิเลส จะเรียกว่าความสิ้นกิเลสก็ได้ความหมดไปแห่งตัวตนก็ได้นั่นคือนิพพาน นี่เหนือโลกเหนือโลกอยู่ เหนือโลก เหนือโลก ขอให้จำคำไว้ว่าพอไม่มีกิเลสก็อยู่เหนือโลก มีความสะอาดสะอาดไม่มีสกปรกเลย มีความสว่างแจ่มแจ้งเข้าใจหมด สงบเย็นสงบเย็น เย็นๆๆไม่ต้องรดน้ำไม่ต้องแช่น้ำแข็ง เย็นยิ่งกว่าแช่น้ำแข็งไปเสียอีก และก็มีเสรีภาพเสรีภาพไม่มีอะไรผูกพันรัดรึงให้เกิดความทุกข์ เป็นสิ่งสูงสุดของเสรีภาพเรียกว่าหลุดพ้นหลุดพ้นหลุดพ้น เหนือโลกเหนือโลกเหนือโลก ทั้งหมดนี้สำเร็จได้ด้วยการรู้จักใช้ธรรมะอย่างที่ว่ามาแล้ว อานาปานสติก็มีไตรสิกขาก็กำจัดกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทเสียได้ หรือควบคุมให้มันเกิดแต่ในฝ่ายที่ไม่เป็นทุกข์ นี้ก็เรียกว่าประสพความสำเร็จในการที่เกิดมามีชีวิตที่จะต้องพัฒนาเอาเองพัฒนาเอาเอง ขอพูดอีกครั้งเถอะว่าชีวิตหรืออะไรละดินน้ำลมไฟอากาศวิญญาณชีวิตเนี่ยมันของธรรมชาติ ธรรมชาติให้เรายืมมายืมมาใช้ ยืมมาใช้ตามพอใจไม่คิดค่าเช่าไม่คิดดอกเบี้ยไม่คิดค่าสึกหรออะไรเอามาใช้เถอะ พัฒนาตามพอใจเถอะขออย่างเดียวว่าอย่าตู่เอามาเป็นของกู มันคงเป็นของธรรมชาติอยู่เรื่อยไป ยังไม่ได้พัฒนาก็เป็นของธรรมชาติ ถ้าพัฒนาแล้วก็เป็นของธรรมชาติ พัฒนาให้สูงสุดเท่าใดก็บริโภคเถิด บริโภคผลเถิด แต่พอเอามาเป็นของกูมันโกหกมันหลอกลวง มันถูกตบหน้าถูกกัดโดยธรรมชาติ เลยต้องเป็นทุกข์เพราะมันเป็นคนโกง อย่าให้เกิดความรู้สึกว่ามันเป็นตัวตนหรือของตน ก็จึงมีแต่ความเยือกเย็นเป็นนิพพาน พอมันโกงธรรมชาติเอามาเป็นตัวกูของกู ธรรมชาติมันก็กัดหน้าเอาตบหน้าเอามันก็เป็นทุกข์เป็นทุกข์ เรื่องมันมีเท่านี้ เนี่ยขอให้มองเห็นธรรมะมันเป็นธรรมสโมธานเนื่องถึงกันหมด ปฏิบัติให้ถูกต้องในหมวดใดมันจะกินไปถึงหมวดอื่นหมด อย่างยกตัวอย่างถึงขนมหรือกับข้าวประกอบด้วยของสามอย่างด้วยกันทั้งหมด ธรรมะนี้ก็ประกอบด้วยของสามอย่างคือ ศีลสมาธิปัญญาไตรสิกขาผลิตออกมาเป็นอะไรก็ได้และเป็นอันว่า ขอยุติการบรรยายเร็วกว่าวันก่อนๆ คืออาตมาขัดที่คอที่ขา วันนี้ก็ขอยุติไว้เพียงเท่านี้ว่าธรรมะที่ปฏิบัติถูกต้องแท้จริงมันสกัดกั้นกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่เราจะต้องปฏิบัติปฏิบัติและปฏิบัติได้นั้นคืออานาปานสติ 4 หมวด 16 บทเรียนมีไตรสิกขารวมอยู่ในนั้น มีอัฏฐังคิกมรรครวมอยู่ในนั้น อะไรๆที่จะดับทุกข์ได้รวมอยู่ในอานาปานสติ อานาปานสติมีแกนกลางยัดไส้ด้วยศีลสมาธิปัญญาอย่างที่กล่าวแล้วขอให้ท่านทั้งหลายเข้าใจเรื่องนี้ ลูบคลำเรื่องนี้อย่างถูกต้องอย่างถูกต้อง คือใช้มันให้ถูกต้องมันก็จะดับทุกข์ได้ เป็นผู้เจริญในทางของพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่เหนือความทุกข์ทุกๆอย่างทุกประการอยู่ทุกทิวาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย