แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในจิตภาวนา หรืออธิจิตตาโยคทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือศึกษาธรรมะและฝึกฝนจิต และขอทำความเข้าใจกับผู้มาใหม่ หลายๆ คนอีกครั้งหนึ่ง สักครั้งหนึ่ง เพราะมาเป็นครั้งแรก ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง หรือมีเหตุผลในการทำอย่างนี้ ในการทำอย่างนี้ คือมาศึกษาธรรมะและฝึกจิตภาวนา ก็เพราะว่าเราไม่รู้เรื่องนี้ ก็ไม่สามารถที่จะพัฒนาชีวิตให้ถึงที่สุดได้ ก็ลองคำนวณดูว่าถ้าไม่ได้ฟังเรื่องนี้ ไม่ได้ฝึกจิตอย่างนี้มันต่างกันอย่างไร ถ้าได้ฝึกแล้วมันได้รับอะไร เพราะมันมีสิ่งที่พอจะเรียกว่าเป็นความลับอยู่ได้อย่างหนึ่ง จริงๆ แล้วก็คือว่าสิ่งที่เป็นคู่กันมาระหว่างความถูกต้องกับความไม่ถูกต้อง ไอ้สิ่งที่เรียกว่าชีวิตนี้มันก็ดำเนินมาตามเหตุตามปัจจัย แต่ว่ามันมีข้อสงสัยอยู่ว่ามันถูกต้องหรือยัง ถ้ามันยังไม่ถูกต้องมันก็ไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่ตามที่ควรจะได้รับ คือเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ จนกระทั่งถึงจุดที่สูงสุด มันก็ไม่รู้หรือรู้ครึ่งๆ กลางๆ ชีวิตนี้ก็ไม่ได้พัฒนาไปจนถึงสิ่งสูงสุด และยังแถมจะมีความทุกข์อีกด้วย มันมีเป็นคู่กันมาเสร็จว่า ถ้าเป็นไปอย่างนี้มันก็เกิดทุกข์ ถ้าเป็นไปอย่างนี้มันก็ไม่เกิดทุกข์ หรือเกิดความสงบสุขถึงที่สุด นี่ธรรมชาติกำหนดมาเสร็จแล้วนี่ ไม่ใช่ว่าเราเพิ่งมารู้ เพิ่งมาเรียน เพิ่งมาสร้างมันขึ้นมา อย่าได้คิดอย่างนั้น กฎเกณฑ์อันนี้ธรรมชาติได้สร้างมาเสร็จแล้ว ถ้าทำอย่างนี้ก็มีผลอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้ก็มีผลอย่างนี้ เป็นคู่ตรงกันข้ามกันมาเสร็จแล้ว มันเหลืออยู่แต่ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้เท่านั้นแหล่ะ ตัวอย่างที่ง่ายกว่านี้ก็คือว่า ธรรมชาติมันก็สร้างโลกมาให้มนุษย์เห็นโลกอย่างนั้นอย่างนี้ แต่แล้วธรรมชาติก็ได้สร้าง หรือให้สิ่งที่บำบัดโลกมาอย่างครบถ้วนถูกต้องสมบูรณ์ แต่ส่วนนี้มนุษย์มันยังไม่รู้นี่ หรือมันรู้ได้เท่าไหร่มันก็เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์เท่านั้น แต่มันยังไม่รู้ทั้งหมด ยังมีโรคที่รักษายังไม่ได้ แต่ที่แท้แล้วธรรมชาติได้ให้มาครบถ้วน พิสูจน์ได้โดยที่รู้มาแล้วแต่หนหลัง แต่หนหลังโน้น รู้อะไรบ้าง แก้โรคอะไรได้บ้าง แก้โรคอะไรได้บ้าง รักษาโรคอะไรได้บ้าง วิธีอย่างนั้นมันรู้มาแล้วตามลำดับ แต่ว่ามันยังไม่หมด มันยังไม่หมด โรคภัยยังไม่หมด วิธีแก้รักษาโรคก็ยังไม่หมด แต่ว่าถ้าทำกันไปเรื่อยๆ ก็ค่อยๆหมด เช่นอย่างวัณโรค ก่อนนี้กลัวกันแทบเป็นแทบตาย เดี๋ยวนี้วัณโรคเป็นโรคเด็กเล่นไปแล้ว เป็นโรคเด็กเล่นไปแล้ว มันมีอย่างนี้มาตามลำดับ ธรรมชาติ คล้ายๆ กับสร้างมาพร้อมกันเป็นคู่กันมา เราจะรู้หรือไม่รู้ ใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ก็แล้วแต่เรื่องของเรา
ธรรมะนี่ก็เหมือนกันอีกแหล่ะ ถ้าคุณปล่อยไปอย่างนี้มันก็เกิดความทุกข์ ถ้ากระทำถูกต้องตามกฎธรรมชาติที่กำหนดมาแล้ว มันก็ไม่เกิดทุกข์หรือว่ามันดับทุกข์ ที่ส่วนที่จะเกิดทุกข์เป็นไปง่าย เป็นไปง่ายดาย ส่วนที่จะดับทุกข์มันยังลึกลับอยู่จนต้องเกิดมีบุคคลพิเศษคือพระพุทธเจ้านี่ ท่านค้นพบตลอดเลย พบมันตลอดสายเลย จะไม่เกิดทุกข์อย่างไร จะดับทุกข์อย่างไร พบแล้วนำมาสอน นี่คือสิ่งที่เรียกว่าพระธรรมๆๆ ซึ่งขอนิยามความหมาย บัญญัติความหมายของคำนี้ว่าระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความรอดทั้งทางกายและทางจิต ทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น นี่คือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ หรือพระธรรม และท่านทั้งหลายก็ดูเอาเองว่ามันมีค่าสักเท่าไร พิเศษประเสริฐสักเท่าไร
ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่สมควรอนุโมทนา อยากที่จะขออนุโมทนาในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้ คือศึกษาธรรมะให้รู้ๆๆๆ อย่างทั่วถึงในเรื่องของความรู้ แล้วก็ปฏิบัติๆๆ เฉพาะไอ้สิ่งที่มันกำลังจะทำร้ายท่าน ทำร้ายท่าน ทรมานท่านให้มันหมดไป แล้วชีวิตนี้ก็จะมีผลเป็นความสงบเย็นๆๆ และเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย คือจะได้รับรสของพระนิพพานและพร้อมกันนั้นก็ทำตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วยได้ด้วย ลองคำนวณดูว่าอะไรจะดีไปกว่านี้ อะไรจะดีไปกว่านี้ อะไรจะสูงสุดได้กว่านี้ จึงขออนุโมทนาในการที่ท่านทั้งหลาย ในการตั้งอกตั้งใจโดยแท้จริงในการมาเพื่อศึกษาธรรมะ และก็ฝึกฝนปฏิบัติธรรมะให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจะทราบได้เองว่ามันจะไม่สำเร็จได้ภายในสิบวันหรอก แต่มันก็รู้พอที่ว่าจะปฏิบัติต่อไปอย่างไร ปฏิบัติต่อไปอย่างไร กลับไปที่บ้านแล้ว หรือจะไปอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติต่อไปได้ สูงขึ้นไปๆๆ จนกว่าจะถึงที่สุด ก็เป็นการได้สิ่งที่ดีที่สุดไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ขออนุโมทนา
ที่ว่าขอทำความเข้าใจเรื่องใช้เวลาตีห้าอย่างนี้ สำหรับมาพูดจากันอีกสักหน่อย บางคนอาจจะไม่รู้ ก็เข้าใจผิด เห็นเป็นเรื่องที่แกล้งทำให้รำคาญ ให้ลำบาก ข้อนี้ขอให้เข้าใจว่าไม่ใช่เป็นเรื่องทำให้ลำบาก การทำให้ลำบากนี่ไม่ใช่ธรรมะ การทำสิ่งที่ไม่ลำบากให้ลำบากนั้นไม่ใช่ธรรมะ ธรรมะต้องทำเป็นสิ่งที่ประจักร ความทุกข์ความลำบากออกไป เวลาอย่างนี้มันเป็นเวลาที่เหมาะสม แม้แต่สำหรับจะฟัง จะฟัง จะคิดไปตาม มีความเห็นแจ้ง เพราะเป็นเวลาที่ร่างกายเหมาะสม โดยได้รับการพักผ่อนมาตลอดคืน แล้วก็เหลือหัวรุ่งจะตั้งต้นกันใหม่ จึงเป็นเวลาที่เหมาะสม มีทั้งกำลังกาย มีทั้งกำลังจิต ในการที่จะศึกษาและปฏิบัติธรรมะ เวลาเช่นเวลาอย่างนี้เป็นเวลาเบิกบาน แม้แต่ของดอกไม้ป่า ดอกไม้ในป่าทั้งหลายมันก็เริ่มเบิกบานในเวลาอย่างนี้ สัตว์ทั้งหลายก็ตื่นขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ของมัน และกำลังสดชื่น พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสรู้ในเวลาอย่างนี้ คือเวลาหัวรุ่ง มีความเหมาะสมของธรรมชาติ ช่วยให้บรรลุธรรมได้ง่าย ธรรมะปรากฏได้ง่าย ท่านก็ตรัสรู้ในเวลาอย่างนี้ จิตใจยังเติมอะไรลงไปได้มาก สำหรับเรานะ จิตใจยังว่างอยู่พอที่จะเติมอะไรลงไปได้มาก พอตกไปถึงเวลากลางวันแล้วมันใส่อะไรลงไปมากแล้ว เติมอะไรไปได้ยาก แล้วก็ตีกันยุ่ง ต้องใช้เวลาที่จิตเหมาะสมที่จะรู้ธรรมะ คิดนึกปฏิบัติธรรมะ
ทีนี้จะดูอีกแง่หนึ่ง คือการที่ต้องเดินมาจากสถานที่ฝึกมาสู่สถานที่นี้มันก็ตั้งกิโลเมตรกว่า ขอให้ถือเอาเป็นเวลาสอบไล่ หรือทำบทเรียนก็ตามใจ ทำบทเรียนก็ได้ สอบไล่ก็ได้ จะทำได้กี่มากน้อย ฝึกจิตภาวนาทำในอิริยาบถทั้งสี่ แต่ในอิริยาบถเดินนี่ก็มีความลับอยู่เป็นพิเศษว่าสมาธิ หรือปัญญาก็ตามที่ทำให้เกิดขึ้นมาได้ในเวลาที่เดินนั้นมีประโยชน์ที่สุด คือเข้มแข็งที่สุด แท้จริงที่สุด จะไม่เปลี่ยนแปลงที่สุด ตัวอย่างเช่นว่าสิ่งไรที่ท่านนอนคิด แล้วก็คิดออก คิดได้ เวลานอนคิดว่าโอถูกต้องๆ เป็นที่พอใจ แต่พอมาลุกขึ้นมาแล้ว มาเดินไปเดินมา คิดแล้วอ้าว...ผิด ผิดทั้งนั้นเลย ผิดทั้งนั้นเลย ความคิดที่มันไหลไปในอิริยาบถนอนนั่นนะ มันไม่ค่อยจะถูกหรอก แต่ถ้ามันไหลมาได้ในอิริยาบถเดินแล้วมันเข็มแข้ง มันถูกต้อง จึงควรใช้อิริยาบถนี้เป็นบทฝึกและเป็นบททดสอบ ท่านจะต้องฝึกข้อที่ว่ามีสติ กำหนดรู้ความไม่ใช่ตัวตน ไม่มีตัวตนที่แท้จริง มีแต่ตัวตนที่อวิชชาสร้างขึ้นชั่วคราว ว่างจากตัวตน ไม่มีตัวตนที่แท้จริง มีแต่สิ่ง มีแต่ตัวตนที่ไม่ใช่ตัวตน แล้วก็ทำความรู้สึกอันนี้อยู่ในใจ มีตัวตนซึ่งมิใช่ตัวตน แล้วก็เดินมา ถ้ามีความรู้สึกกูเดินมาอย่างนี้มันไม่มีธรรมะเลย มันเข้าใจผิด เข้าใจผิด ถ้ามีความรู้ โอ้...นามและรูป นามและรูปเคลื่อนไหวทำหน้าที่ตามธรรมชาติได้ในตัวมันเอง ไม่ใช่ตัวกูเดิน ไม่ใช่เดินเพื่อตัวกู แต่ก็มีการเคลื่อนไหวไป เคลื่อนไหวไปตามลำดับ เรียกอย่างตลาดว่าเดินโดยไม่ต้องมีผู้เดิน ถ้าเข้าใจได้จะดีมาก เดินโดยไม่ต้องมีผู้เดิน ฝรั่งเขาชอบ walking without walker เดินโดยไม่ต้องมีผู้เดิน มีแต่การเคลื่อนไหวตามอิริยาบถ ตามเหตุตามปัจจัย ตามความรู้สึกของจิตควบคุมร่างกาย ให้ก้าวยก ก้าวยกๆๆ หัดเดินโดยไม่รู้สึกว่ามีตัวกูผู้เดิน เป็นบทเรียนที่ดี และก็เป็นเวลาที่ทดสอบด้วย ท่านเดินมากว่าจะถึงที่นี่ เกือบสองกิโลเมตร มันเกินตัวกูสักกี่ครั้ง ให้คะแนนศูนย์ ผิดก็ตั้งต้นใหม่ กำหนดไม่มีตัวกูผู้เดิน มีแต่อิริยาบถเคลื่อนไหวอย่างที่เรียกว่าเดิน อย่างที่เขาเรียกกันว่าเดิน ไม่ใช่มีตัวกูผู้เดิน จะฝึกได้มาก ทดสอบได้มากกว่าจะมาถึงที่นี่ เลยกลายเป็นใช้เวลาที่เดินมานี่เป็นเวลาเรียน เหมือนกับอยู่ในห้องเรียน เดินมานี่ เป็นเวลาเรียนก็ได้ เป็นเวลาสอบไล่ก็ได้ ขอให้ใช้เวลาเดินมานี้ให้ถูกต้องและเป็นประโยชน์อย่างนี้ด้วยกันจงทุกคน อิริยาบถยืน นั่งนอนก็เหมือนกันแหล่ะ ไม่มีตัวกูผู้นั่ง ผู้นอน ผู้ กระทั่งอิริยาบถกิน อาบ ถ่าย อะไรต่างๆนี่ ทำความรู้สึกอย่างเดียวกัน ไม่มีตัวกูผู้กระทำอย่างนั้น นั่นก็ทำได้ในที่ๆ อยู่ ในที่ๆ ฝึก แต่ว่าเดินนี่พิเศษ ถ้าคิดอะไรออกเวลาที่เดินนั้น ความคิดนั้นจะถูกต้องคงที่ตลอดไป ไม่เหมือนกับนอนคิด ที่ความคิดมันไหลไป มันรู้สึกว่าถูกต้อง ว่ายังนอนอยู่นั้น พอลุกขึ้นไปเดินอ้าวมันผิดแล้ว ไม่จริงแล้ว ไม่จริงแล้ว นี่สรุปความว่าเวลาอย่างนี้เหมาะสมแล้ว ที่จะรู้ จะเข้าใจ จะแจ่มแจ้ง และก็จะได้ฝึก morning walk ทั้งไปและกลับ อย่าเดินคุย หัวเราะ เล่นอะไรกันเสีย มันไม่ได้ประโยชน์อันนี้ ถ้าเดินปฏิบัติธรรมะ กว่าจะถึงที่นี่ จะกลับไปถึงที่โน่น ก็แยะนะไม่ใช่เล็กน้อยนะ เวลานี้ใช้เป็นประโยชน์ เป็นบทเรียนอันหนึ่ง ขณะหนึ่งหรือตอนหนึ่ง คือทำไปในอิริยาบถเดิน ส่วนได้ผลทางสุขภาพอนามัยไม่ต้องพูดถึง ได้มันได้อยู่ แต่เราจะเอาบทเรียนธรรมะว่าเดินโดยไม่มีผู้เดิน เป็นบทเรียนขั้นสูงสุด คือขั้นอนัตตามิใช่ตัวตน มิใช่ตัวตน มิใช่ตัวตน อนัตตาแปลว่ามิใช่ตัวตน ถ้าจะมีตัวตน ก็ต้องมีตัวตนชนิดที่ว่ามิใช่ตัวตน ตัวตนผีหลอกชั่วขณะ
ทีนี้ก็มาดูกันต่อไปว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะนี่มันคืออะไรกันแน่ ท่านอาจจะรู้จักธรรมะเล็กๆ น้อยๆ หรือบางส่วน ในความหมายที่แคบ คำว่าธรรมะ มันหมายถึงทุกสิ่ง ทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร คำว่าทุกสิ่งนี่ยังจะต้องทำความเข้าใจกันเป็นพิเศษว่ามันเป็นทุกสิ่งอย่างเท่าไร ทุกสิ่งเท่าไร มันทุกสิ่งจริงๆ มันไม่ยกเว้นอะไร พูดเป็นศัพท์เป็นแสงท่านก็ไม่รู้ เพราะว่ายังไม่เคยศึกษา ว่าทุกสิ่งที่เป็นสังขตและเป็นอสังขต นี่ก็จะฟังไม่ถูก หมายความว่าสิ่งที่มีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่ง เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิตย์ นี่เรียกว่าสังขต ทั้งหมดนี้ก็เรียกว่าธรรมะ ธรรมะ แต่เป็นฝ่ายสังขต และอีกประเภทหนึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ไม่ต้องมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ดำรงอยู่ได้โดยไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่อะไรหมด นี่ก็มีอยู่พวกหนึ่งเรียกว่าพวกอสังขต พระนิพพานรวมอยู่ในพวกหลังนี้ สัจจะ ความจริงที่เป็นกฎเกณฑ์ทั้งหลายก็รวมอยู่ในพวกนี้ ซึ่งก็มีมากเหมือนกัน เรียกว่าอสังขต ทั้งสังขต ทั้งอสังขตก็เป็นธรรมะด้วยกัน นี่ธรรมะหมายถึงทุกสิ่งอย่างนี้ แล้วคิดดูจะเหลืออะไร จะเหลืออะไร ไม่มียกเว้น นับตั้งแต่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ในสากลจักวาล แผ่นดิน ทั้งหมดทั้งโลกนี่ฝ่ายรูปธรรม มีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่ง มีจิต ฝ่ายที่เป็นจิตใจ รู้สึกคิดนึกได้ก็มีปัจจัยปรุงแต่ง และส่วนที่ตรงกันข้ามจากนั้น ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง รวมด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเรียกว่าธรรมะ หรือธรรมชาติ ภาษาบาลีเรียกว่าธรรมะเฉยๆ ในภาษาไทยใช้คำว่าธรรมชาติๆ คือว่ามันเป็นอยู่ตามธรรมชาติๆ ตามธรรมดา
ถ้าจะให้จำง่ายเข้าใจง่าย ทั้งหมดทั้งสิ้นก็แบ่งออกเป็นสี่ขั้นตอน ตัวธรรมชาติ ตัวธรรมชาตินี่ข้อแรก ไม่ว่าชนิดไหน สังขต อสังขต ตัวธรรมชาติทั้งหมดทั้งสิ้นไม่ยกเว้นอะไรนี่เรียกว่าตัวธรรมชาติ แล้วก็ในตัวธรรมชาติทั้งหมดนั้นมีกฎๆ กฎเกณฑ์ของธรรมชาติกำหนดอยู่ กำกับอยู่ ควบคุมอยู่ เมื่อมีกฎของธรรมชาติกำหนดอยู่อย่างนี้มันก็เกิดสิ่งที่สาม สิ่งที่สามคือหน้าที่ หน้าที่ ที่จะต้องทำให้ถูกตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ มิฉะนั้นมันจะต้องตาย มันจะต้องตายหรือได้รับความทุกข์เจียนตายอยู่ตลอดเวลา อันนี้เรียกว่าหน้าที่ หน้าที่ หรือ ปฏิ-บัติ (นาทีที่ 24.40) หรือกรณียะ แล้วแต่จะเรียก ครั้นปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่แล้วมันก็มีผลเกิดขึ้นมาตามการปฏิบัติ ปฏิบัติผิดก็ได้ผลผิด ปฏิบัติถูกก็ได้ผลถูก ก็เรียกว่าผลของหน้าที่เหมือนกันทั้งนั้น ต้องมีการศึกษาให้ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้อง เราก็จะได้รับผลจากการปฏิบัติหน้าที่ ที่น่าพอใจ ดังนั้นจึงต้องศึกษากันหน่อย ศึกษากันหน่อยเรื่องธรรมชาติ เช่นเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี่ศึกษากันหน่อย ครั้นแล้วก็ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์อันนั้น ก็หมดปัญหา ไม่มีความทุกข์ไม่เกิดความทุกข์ ไม่มีความทุกข์ ชีวิตนี้สงบเย็น สงบเย็นถึงที่สุดที่มันจะสงบเย็นได้ และก็เป็นประโยชน์ๆๆ ทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่น ก็หมด เป็นประโยชน์มหาศาล
ทีนี้เหลือบมองไปในทางที่มันไม่เป็นอย่างนี้ คือมันไม่มีความรู้ มันไม่มีการปฏิบัติที่ถูกต้อง ก็จะต้องได้รับความทุกข์หรือความตาย คือตายทางร่างกายก็คือตายเข้าโลง ตายทางจิตใจก็คือมีแต่ความทุกข์ทรมาน ทุกข์ทรมานนี่เรียกว่าตายทางจิตใจ ไอ้ตัวชีวิตที่มีมาสำหรับจะหาความสุข มันกลายเป็นความทุกข์ไปเสียเลย ชีวิตเลยกลายเป็นความทุกข์ไปเสียเอง เราเรียกว่าชีวิตนี้กัดเจ้าของ ชีวิตนี้กัดเจ้าของชีวิต พูดให้ฟังง่ายๆ ก็ต้องขออภัยที่ต้องพูดว่า มันเลวกว่าหมาไปเสียอีก เพราะหมามันยังไม่กัดเจ้าของนี่ แล้วทำไมชีวิตจะต้องกัดเจ้าของ ถ้ามันกัดเจ้าของก็เลวกว่าหมาไปเสียอีก พวกฝรั่งโดย หรือทั้งหมดก็ว่าได้ มันชอบใจคำนี้ จงสนใจธรรมะ คือว่าจะได้มีชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ตลอดเวลาที่เขาไม่รู้จักธรรมะแต่หนหลัง ชีวิตมันกัดเจ้าของ กัดอย่างรู้สึกเจ็บปวดตรงๆ ก็มี อย่างไม่รู้สึกก็มี แต่ก็ทนทรมานจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี ชีวิตมันกัดเจ้าของ ข้อนี้ขอให้ไปสังเกตเอาเอง อย่าให้ต้องอธิบายกันมากเลย เพราะว่าชีวิตที่ไม่มีธรรมะมันเป็นอย่างไรบ้าง เดี๋ยวความรักกัดเอา ตามแบบของความรัก เดี๋ยวก็ความโกรธกัดเอาตามแบบของความโกรธ เดี๋ยวความเกลียดนั่น เกลียดนี่กัดเอาตามแบบของความเกลียด ไปเกลียดสิ่งใดเข้าก็ต้องเป็นทุกข์เพราะความเกลียดสิ่งนั้น เดี๋ยวมันกัดเอาเพราะความกลัวๆๆ กลัวใต้สำนึก กลัวว่ามันจะสูญเสียทั้งหมดนี่ ส่วนใหญ่มันกลัวตาย กลัวจะไม่ได้สิ่งที่ควรจะได้ ไอ้สิ่งที่ได้แล้วมีแล้วมันจะหายไป ไอ้นี่มันกลัวๆ ความกลัวมันก็กัด ความวิตกกังวลในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร จะได้อะไร จะเป็นอย่างไร จะประสบผลสำเร็จหรือไม่ นี่เรียกว่าวิตกกังวลในอนาคต มีเมื่อไรมันก็กัดเมื่อนั้น นี่ความอาลัยอาวรณ์ในอดีตแต่หนหลัง โอ้ลืมไม่ได้ ชั้นลืมไม่ได้ ความรักความผูกพันอาลัย เพราะว่าลืมไม่ได้ในอดีต มันก็กัด จนกระทั่งเป็นอยู่ในชีวิตนี้ ไม่รักกันมีแต่อิจฉาริษยากัน เพียงแต่เห็นเขาสวยกว่าเรานิดหน่อยก็ไม่ได้แล้ว มีความอิจฉาริษยากัน นี่มันก็กัด ข้อนี้ควรสังวรณ์กันให้มากสักหน่อย เมื่อเราอิจฉาริษยาผู้ใด ความริษยาจะกัดเราทันที ผู้นั้นยังไม่รู้สึก นอนหลับไม่รู้ ไม่รู้สึกว่าถูกริษยาด้วยซ้ำไป แต่ความริษยามันกัดผู้นี้ ผู้ที่ริษยาเขา กัดเอาๆ ๆ บางทีเป็นบ้าไปเลยก็มี ความริษยา อิจฉาริษยากัดเอา ความยึดครอง ความหวงกั้นอะไรๆของฉัน รับผิดชอบหวงกั้นไปหมดมากมายมหาศาล เรียกว่าความหวง มันก็กัด หวงไว้เท่าไรมันก็กัดเท่านั้น เข้มข้นออกมาเป็นเรื่องทางเพศ เรียกว่าความหึง นี่กัดรุนแรง เข้มข้น ถึงกับฆ่ากันตายไม่ทันรู้เลย ตัวอย่างเพียงสิบข้อนี้ก็พอแล้ว มันมีได้หลายสิบอย่าง แต่มันเป็นสิบข้อนี่ก็ชัดพอ หรือว่าทำให้เข้าใจได้ว่าชีวิตตามปกติ ที่ไม่รู้ธรรมะมันกัดเจ้าของอย่างไร ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความตื่นเต้นๆ ในของที่ประหลาด ตื่นเต้น ความวิตกกังวลอนาคต อาลัยอาวรณ์อดีต อิจฉาริษยา ความหวง ความหึง มันเกินพอแล้วที่จะศึกษาว่ามันกัดอย่างไร ถ้าไม่มีธรรมะ สิ่งเหล่านนี้จะเกิด จะผลัดกันเกิดอยู่ตลอดเวลา เรียกว่ามีชีวิตชนิดที่หาความสงบสุขไม่ได้ เพราะชีวิตนั่นเองมันกลายเป็นผู้กัดเจ้าของเสียเอง เพราะมีธรรมะ มีความรู้ทางธรรมะขึ้นมามันก็ควบคุมได้ บังคับได้ ควบคุมได้ โดยศีลก็ดี ก็ควบคุมได้มาก โดยสมาธิก็ดี ก็ควบคุมได้มากขึ้นไปอีก โดยปัญญาหรือวิปัสสนาก็ดี ก็ควบคุมากขึ้นไปอีก จนไม่มีอะไรมาทำให้ต้องเป็นทุกข์ แม้ว่าชีวิตนี้จะเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เปลี่ยนแปลงเรื่อย สติปัญญามันก็ควบคุมไว้ได้ ไม่เป็นทุกข์กับมัน ไม่เป็นทุกข์กับมัน มึงเปลี่ยนแปลงไป กูไม่รู้ๆ ไม่รู้ไม่ชี้กับมึง กำหนดแต่ว่าความจริงนี้เป็นอย่างไร ไม่ยึดมั่นถือมั่น เอาเป็นตัวตน เอาเป็นของตน ให้สังขารทั้งหลายเป็นไปตามธรรมดาของสังขาร จิตนี้คงที่ๆๆ คงที่อยู่ในความถูกต้อง คงที่อยู่ในความสงบเยือกเย็นอย่างเดียว มันเป็นได้ถึงอย่างนี้ ถ้าทำได้ถึงที่สุด ที่สูงสุดก็เป็นพระอรหันต์ ทำได้น้อยก็เป็นพระรองๆ ลงมา พระอริยเจ้าชั้นรองๆ ลงมา ทำได้นิดเดียวก็ยังเป็นปุถุชนที่พอใช้ได้ ทำไม่ได้เลยๆ เป็นปุถุชนเต็มคาบ ถูกชีวิตกัดตลอดเวลา เหลือแต่กระดูก นี่คือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะๆ ถ้ามีแล้วมันก็ป้องกันชีวิตไม่ให้ถูกขบกัด ความจริงข้อนี้เป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มาพร้อมกันเลยกับชีวิต ให้ชีวิตมาแล้วก็ให้ความจริงสำหรับที่จะป้องกันไม่ให้เป็นทุกข์มา แต่คนมันไม่เอา คนมันไม่รู้ คนมันไปเห็นแก่ความเอร็ดอร่อย สนุกสนานเพลิดเพลิน ไปทำเสียอย่างอื่น มันก็เกิดไอ้ ถูกกัด เท่ากับถูกลงโทษอย่างที่ว่ามาแล้ว นี่ไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ในการเกิดมา ใครจะรับผิดชอบล่ะ ข้อนี้สำนึกกันสักหน่อย
เราไม่ได้อยากจะเกิดมา เราไม่ได้ตั้งใจว่าจะเกิดมา แต่เราก็ได้เกิดมาแล้วนี่ เกิดมาแล้วนี่จะทำอย่างไร แม้ว่าเราไม่ได้ขอร้อง หรือตั้งใจจะเกิดมา แต่มันก็เกิดมาแล้ว ทีนี้แกเลือกเอาสิ จะไปฆ่าตัวตาย ก็ตามใจแก แต่ถ้าว่ามันจะต้องต่อสู้ให้ได้ให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรจะได้ นี่จะต้องศึกษา เหลวไหลไม่ได้แล้ว ต้องมาศึกษาให้รู้ธรรมะ และความจริงของธรรมชาติ และปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ แล้วก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้าใครปฏิเสธว่าฉันไม่ได้สัญญานี่ ฉันไม่ได้อยากจะเกิด และสัญญาว่าจะต้องทำ ก็ตามใจ ก็ลองดูสิ ลองดูอย่างนั้นบ้างก็ได้ แต่ที่เกิดมาแล้วนี่ ธรรมชาติมันไม่ยอม เข้ามาสู่ขอบเขตอันนี้แล้วจะต้องปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็ไม่มีความทุกข์เลย ความรู้อันนี้เป็นของธรรมชาติ อำนาจแท้จริงเด็ดขาดนี้เป็นของธรรมชาติ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าตั้งขึ้น หรือสั่งให้มันเป็นไป พระพุทธเจ้าทำอย่างนั้นไม่ได้ แต่ว่าท่านทำลึกซึ้งที่สุดคือพบมัน พบความจริง ๆ จนที่เรียกว่าตรัสรู้ๆๅ พบความจริงถึงที่สุด จนพบชัดลงไปว่า อย่างนี้เป็นความทุกข์ อย่างนี้เป็นต้นเหตุของความทุกข์ อย่างนี้เป็นความดับสนิทของความทุกข์ อย่างนี้เป็นความดับสนิทแห่งความทุกข์ ที่เราเรียกกันว่าอริยสัจสี่ประการนั่นแหล่ะ กล่าวโดยย่อมันก็เป็นสี่ประการ ความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางแห่งความดับทุกข์ ถ้าเราจะย่อให้เหลือสองประการก็ได้ว่า ทุกข์กับดับทุกข์ก็ได้เหมือนกัน แต่มันไม่สมบูรณ์ สู้สี่ประการไม่ได้ มีทุกข์ก็มีเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วมีความดับสนิทไม่มีทุกข์ คือตรงกันข้าม แล้วก็มีทางให้ถึงดับสนิทนั้นเรียกว่ามรรค สี่อย่างนี่ แต่ถ้าจะอธิบายหรือขยายความให้ละเอียด ให้เข้าใจง่ายขึ้นไปอีก ก็เป็นถึงสิบสองอย่างที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท เข้าใจว่าคงได้รับฟังคำอธิบายกันบ้างแล้ว เรื่องปฏิจจสมุปบาท สิบสองอย่าง สิบเอ็ดอาการนั้นแหล่ะ คือขยายความจากสี่อย่างออกไปให้มันละเอียด ให้เห็นง่าย เป็นสิบสองอย่าง ก็เป็นอริยสัจขยายความให้ใหญ่ไป อริยสัจเล็กก็คือสี่อย่าง อริยสัจใหญ่ก็คือสิบสองอย่าง สังเกตดูให้ดี ศึกษาดูให้ดี เป็นความรู้ที่จะต้องรู้ในเบื้องต้น คือรู้ความทุกข์และเหตุให้เกิดทุกข์ และดับทุกข์ได้ นี่เป็นส่วนของความรู้
ทีนี้มันก็ลำบากอยู่... ทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะกิเลสมันเหนือกว่า กิเลสมันคอยดึงไปทางเป็นกิเลส คือให้เกิดทุกข์กันเรื่อยไป เราจะต้องจัดการกับมัน จัดการกับมัน ตามกฎเกณฑ์ที่ธรรมชาติวางมาให้แล้ว ไม่ใช่เรามาตั้งเอาเอง ไม่ใช่พระพุทธเจ้าท่านตั้งขึ้น ธรรมชาติกำหนดมาแล้ว กำหนดมาเสร็จแล้ว เป็นธรรมะของธรรมชาติ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็นำมาสอน คือฉลาดรู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้ว่าโอ้มันอย่างนี้ มันอย่างนี้ มันไม่เที่ยงอย่างนี้ มันเป็นทุกข์อย่างนี้ มันเป็นอนัตตาอย่างนี้ มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตาอย่างนี้ เห็นให้ชัดๆ โอ้มันเป็นธรรมดาอย่างนี้เรียกว่า ธัมฐิตต คือมันเป็นอยู่ ตั้งอยู่ เป็นไปอยู่อย่างธรรมดาอย่างนี้เอง คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ถ้าเห็นข้อนี้ชัด ก็โอ้ว...กฎของธรรมชาติมันบังคับอยู่โว้ย เรียกว่าธรรมนิยามตา ธรรมนิยามตา เมื่อเห็นธรรมนิยามตาตลอดเวลาอย่างนี้ แล้วอ้อคือความที่ต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติเรียกว่าอิทัปปัจจยตา อิทัปปัจจยตา คำนี้สำคัญมาก ศึกษาให้เข้าใจให้ดีที่สุด ใช้กับสิ่งทุกสิ่ง เป็นอิทัปปัจจยตา ตามเหตุตามปัจจัย ถ้าพูดเฉพาะมนุษย์ที่มีชีวิต มีสุขทุกข์รู้สึกได้ แคบเข้ามาก็เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท ใช้กับสิ่งที่มีชีวิตรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ได้แล้ว กฎเกณฑ์อันนี้เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท แต่ถ้าใช้กับทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร ไม่ยกเว้นอะไรเรียกว่า อิทัปปัจจยตา ดินทราย มีไหม ไม่มีชีวิต ไม่รู้สึกสุขทุกข์อะไร แต่มันก็เป็นอิทัปปจัยตา เป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย แต่มาถึงสิ่งมีชีวิต รูปกายเห็นนี่ มันก็มีชีวิต รู้สึกสุขทุกข์ เรื่องมันก็แคบเข้ามาเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท กระแสเปลี่ยนแปลงไปจนเกิดทุกข์ เปลี่ยนแปลงไปจนดับทุกข์ แล้วแต่อันไหน
พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้เรื่องนี้ ในคืนตรัสรู้ท่านพิจารณาเรื่องนี้ พระบาลีมีอยู่สองความหมายว่า พิจารณาปฏิจจสมุปบาทตลอดคืนจนตรัสรู้ แต่ข้อความบางแห่งว่าพิจารณาบุพเพนิวาสานุสติญาณก็มี จุตูปปาตญาณ อาสวขยญาณก็มี แต่ถ้าจะพูดให้มันกลมกลืนกันก็เพราะว่าพิจารณาปฏิจจสมุปบาท จึงได้รู้เกิดญาณทั้งสามนั้นดังนี้ก็ได้ แต่หัวใจของมัน การตรัสรู้คือรู้ความดับทุกข์โดยนัยยะแห่งปฏิจจสมุปบาท และทรงพิจารณาอยู่เรื่อย แม้ตรัสรู้แล้วก็ยังพิจารณาอยู่เรื่อย อ่านดูในพุทธประวัติ มันน่าประหลาดว่าวันหนึ่ง วันหนึ่งท่านคิดว่าประทับอยู่ผู้เดียวไม่มีใคร ท่านก็สาธยายปฏิจจสมุปบาทนี้ขึ้นมา อาศัยตาด้วย รูปด้วย เกิดจักษุวิญญาณ สามประการนี่เรียกว่าผัสสะ เพราะมีผัสสะมีเวทนา มีเวทนามีตัญหา เมื่อมีตัญหาก็มีอุปาทาน เมื่อมีอุปาทานก็มีภพ ภพก็มีชาติ ชาติก็มีทุกข์ สาธยายเรื่องตาจบ แล้วเรื่องหูอีก เรื่องหูจบแล้วก็เรื่องจมูก ก็เรื่องลิ้น เรื่องกาย เรื่องใจ มันพิเศษจนถึงกับแม้กระทั่งพระพุทธเจ้าเองก็ยังต้องทรงเอามาสาธยาย ไม่ใช่ว่ามันจะลืม ไม่ใช่ แต่เพราะว่าท่านพอใจ หรือสบายใจเมื่อได้พูดถึงเรื่องนี้ ไม่ใช่เหมือนกับเด็กๆ ต้องท่องสูตรคูณ ไม่ท่องมันจะลืมเสีย อย่างนั้นไม่ใช่ แต่มันคล้ายๆ ฟังดูมันคล้ายๆ ที่เผอิญภิกษุองค์หนึ่งแอบอยู่ข้างหลัง ข้างด้านหลัง แอบฟังอยู่ พอพระพุทธเจ้าเหลียวไปเห็น ก็อ้าว...แกอยู่นี่เอง มานี่ เอาไปๆๆ มันเป็นอาทิพรหมจรรย์ อาทิพรหมจรรย์ เป็นจุดตั้งต้นของพรหมจรรย์ นี่จุดตั้งต้นของพรหมจรรย์ คือแกรู้เรื่องนี้แล้วก็ปฏิบัติ ท่านระบุไว้ชัดเลยนะว่าจุดตั้งต้นของพรหมจรรย์คือเรื่องปฎิจจสมุปบาท ขอให้เรารู้ว่าเรื่องนั้นมันเป็นอย่างไร ไอ้เรื่องนั้นมันเกิดทุกข์ เกิดอย่างไร ไอ้ทุกข์ดับอย่างไร มันก็แค่นั้น นี่ก็ปฏิบัติไม่ให้ทุกข์เกิด ไม่ให้ทุกข์เกิดมันก็ไม่มีทุกข์ เรื่องมันก็จะจบ ก็จบ เหลือแต่ว่าเมื่อรู้เรื่องนี้แล้วก็สอนผู้อื่นต่อไป ต้องใช้ความเสียสละพยายามของตน ถ้าจะทำบุญทำกุศล เพื่อการเสียสละอะไรบ้างล่ะก็ ช่วยกันทำให้ผู้อื่นรู้ธรรมะ จะได้กุศลสูงสุด เงินทุกบาททุกสตางค์ ถ้าจะต้องจ่ายไปในการทำบุญแล้วก็ ขอให้จัดมันเป็นไปในทางให้ผู้อื่นรู้ธรรมะ อย่ามัวสร้างโบสถ์สร้างอะไรกันอยู่เลย นั่นมันไกล ที่ใกล้ที่สุดก็คือให้เพื่อนมนุษย์รู้ธรรมะ
พูดเรื่องที่น่าขันแต่เรื่องเดียว ท่านอาจจะไม่เชื่อ ไม่เชื่อด่าก็ได้ ยอม พระพุทธเจ้าไม่รู้จักโบสถ์ พระพุทธเจ้านั้นไม่รู้จักโบสถ์ ไม่เคยเห็นโบสถ์ ไม่เคยอยู่ในโบสถ์ พระพุทธเจ้า ในครั้งพุทธกาลไม่มี ไม่มีโบสถ์ มันไม่มีโบสถ์ มันมีไปทำไม มันจะเอาไปใส่อะไร โบสถ์มันเพิ่งมีเมื่อหลายร้อยปีทีหลังมีพระพุทธรูปแล้ว จึงมีโบสถ์ พระพุทธเจ้าไม่เคยรู้จักโบสถ์ พูดแล้วมันก็ดูถูกพระพุทธเจ้าว่าไม่รู้จักโบสถ์ ไม่รู้โบสถ์ ท่านก็ไม่รู้จริงๆ เพราะมันไม่มีนี่ แล้วสมัยพุทธกาลนั่นนะไม่มีรูปเคารพหรอก ไม่มีรูปเคารพแทนพระศาสดาใดๆ ในศาสนาอื่นๆ ศาสนาผู้อื่นก็ไม่มี ในพุทธศาสนาก็ไม่มี จึงไม่มีโบสถ์ที่สร้างขึ้นเพื่อใส่รูปเคารพ พระพุทธเจ้าเลยไม่ได้เห็นโบสถ์ โบสถ์ในพระพุทธศาสนาก็ไม่มี โบสถ์ในศาสนาอื่นมันก็ไม่มี ต่อเมื่อมีศาสดาล่วงลับไปแล้ว คนทั้งหลายจึงทำของแทนขึ้นมา ทำของแทนขึ้นมาแล้วจึงสร้างโบสถ์ใส่ของแทน อย่างที่พวกเราสร้างพระพุทธรูปขึ้นมา แล้วก็สร้างโบสถ์ แล้วก็ทำเสียแย่ะ แพงที่สุด เป็นชิ้นเอกที่สุด แพงที่สุดในวัด ลองคิดดู เราไปสร้างใหญ่โตที่สุดยิ่งกว่าสิ่งใด สำหรับสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่เคยรู้จัก พระพุทธเจ้าไม่เคยรู้จัก ไม่เคยอาศัย ไม่เคยใช้ เดี๋ยวนี้จะเห็นว่าคนทำสังฆกรรม พระทำสังฆกรรมกันในโบสถ์ มีสีมา มีบางทัด พระสีมา สนุกกันใหญ่ บริจาคกันใหญ่
ครั้งพุทธกาลไม่มี ไม่มีการทำอย่างนี้ เพราะไม่มีการสร้างโบสถ์ อย่าไปหลงใหลสร้างโบสถ์หรือสร้างอะไรให้มันไกล ให้มันไกลออกไป อ้อมค้อมออกไป เผยแผ่ธรรมะให้ทุกคนรู้ธรรมะตามพระพุทธประสงค์ เอาธรรมะนั้นมาไว้ในใจของเรา เอาธรรมะนั้นมามีในชีวิตของเรา แล้วกายทั้งตัว เนื้อตัวร่างกายของเรากลายเป็นโบสถ์เองนะ ถ้าสร้างโบสถ์ละก็สร้างร่างกายโครงนี้ให้กลายเป็นโบสถ์ ให้มีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงคือธรรมะ ธรรมะนะอยู่ในโบสถ์ คงจะเคยได้ยินกันมาแล้วทุกคนกระมังว่า พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้เองว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ถ้าเขาไม่เห็นธรรมะ เขาไม่ได้เห็นเราไม่ได้รู้จักเรา ไม่ได้เห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ทีนี้มีตรัสไว้อีกต่อไปว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม หรือจะเรียกว่าเห็นธรรมก็ต่อเมื่อเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นก็เห็นเรา เห็นที่ไหน ก็เห็นในชีวิตในร่างกายของเรา ไอ้โบสถ์ก็เป็นขึ้นมาทันที ธรรมะอาศัยอยู่ในจิตใจ อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ร่างกายนี้ก็เป็นโบสถ์ ไม่ต้องลงทุนอีกสักบาทเดียวนะ โบสถ์แท้จริงมีพระพุทธเจ้าอยู่ข้างใน เกิดขึ้นมา นี่มันเป็นเรื่องที่น่าคิด มันเป็นเรื่องที่จะได้สิ่งสูงสุด โดยไม่ต้องเสียเงินเสียทองอะไรกันมากมายนัก เสียเวลาศึกษา พยายามปฏิบัติให้มีธรรมะเกิดขึ้นมาในใจจนได้
ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนประสบความสำเร็จในการที่มาฝึกธรรมะ มาเรียนธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ ชั่วสิบวันนี่ มันมีธรรมะเกิดขึ้นมาในใจ ถ้ายังเกิดไม่ได้เพียงพอก็ขอได้เสนอความรู้ สำหรับไปปฏิบัติต่อไปข้างหน้า ต่อไปข้างหน้าจนกว่ามันจะเกิดขึ้นมาได้เลย ธรรมะขึ้นมาในใจ ก็มีพระพุทธเจ้ามาอยู่ในร่างกายที่เป็นโบสถ์นี่คือธรรมะ ธรรมะคือองค์พระพุทธเจ้าที่แท้จริง ธรรมะ ธรรมะนี่ก็คือกฎของธรรมชาติอย่างที่กล่าวมาแล้ว เป็นนิรันดร นิรันดรคือไม่มีเกิด ไม่มีดับ พระพุทธเจ้าองค์นี้อยู่ในตัวเองเป็นนิรันดร เป็นอสัขต เป็นนิรันดรแล้วแต่ว่าจะมาปรากฏในใจหรือไม่ นี่พวกอสังขตเป็นอย่างนี้ ปฏิบัติจนรู้จัก เห็น รู้ให้หมด รู้จักธรรมะ รู้จักธรรมะ มีธรรมะ แล้วก็ใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์ ต้องศึกษาจนรู้จัก แล้วปฏิบัติให้มีขึ้นมาในตน แล้วก็ใช้ดับทุกข์ ด้วยประการทั้งปวง นี่คือสิ่งที่มีค่าสูงสุดยิ่งกว่าสิ่งใด มีธรรมะนี้ก็คือมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริง เป็นธรรมะที่ไม่ จะไม่เรียกว่ารูปหรือนาม มันเหนือรูปเหนือนามไปเสียอีกธรรมะชนิดนี้ หรือพระพุทธเจ้าชนิดนี้ไม่อยู่ในความเป็นรูปหรือเป็นนาม บางคนหรือบางแห่งอาจจะสอนว่าธรรมะเป็นนาม พระนิพพานเป็นนาม พระพุทธเจ้าเป็นนามก็ตามใจเขา อาตมาไม่เชื่อและไม่ถืออย่างนั้น
พระพุทธเจ้าหรือพระธรรมมันสูงสุด ไม่เป็นรูปหรือไม่เป็นนาม คือกล่าวไม่ได้ว่าเป็นรูปหรือเป็นนาม เรียกว่าเป็นอัพยากตธรรม ธรรมะที่กล่าวไม่ได้ว่าเป็นรูปหรือเป็นนาม พระนิพพานรวมอยู่ในพวกนี้ พระพุทธเจ้าพระองค์จริง ที่ไม่เกิดไม่ดับก็รวมอยู่ในพวกนี้ พระพุทธเจ้าองค์บุคคล บุคคลชั่วคราว อย่างพระพุทธเจ้าชื่อสิทธัตถะ เกิดที่นั่นที่นี่ ลูกคนนั้น หลานคนนี้ แปดสิบปีก็นิพพาน แล้วก็เผาแล้วเหลือแต่กระดูก ถ้าอย่างนี้เป็นรูปเป็นนามได้ แต่ว่าในนั้น ในนั้น มีพระธรรม มีพระองค์จริง ที่ไม่รู้จักเกิด ที่ไม่รู้จักดับ เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระองค์นอกร่างกาย พระองค์ในคือพระธรรม ที่มีอยู่ในนั้น พระพุทธเจ้าพระองค์บุคคลนี่ได้ช่วยสอนให้เราได้รู้จักพระพุทธเจ้าองค์ธรรม องค์พระธรรม พระพุทธเจ้าองค์บุคคลนี้มีเกิดมีตาย มีประสูติ มีตรัสรู้ มีนิพพาน มีอะไรไปตามแบบของท่าน ในส่วนที่เป็นบุคคล แต่พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมที่ส่วนที่เป็นธรรม เป็นหัวใจ ไม่เกิดไม่ดับ ไม่ประสูติไม่ตรัสรู้ ไม่นิพพานอะไรหมด คงที่อยู่อย่างนั้นตลอดกัลป์ปาวสาร นี่คือกฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติที่เราเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท จะคงอยู่ตลอดกัลป์ปาวสาร เห็นปฏิจจสมุปบาทคือเห็นธรรม เห็นธรรมคือเห็นเรา พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้
ท่านทั้งหลายอย่าได้หยุดอยู่แค่เพียงพระองค์บุคคลเลย ทะลุพระองค์บุคคลไปถึงพระองค์ธรรม พระองค์ธรรมที่เป็นนิรันดร อนันตกาล ไม่เกิดไม่ดับ ไม่ประสูติไม่ตรัสรู้ ไม่นิพพาน ไม่อะไร แต่พระองค์คนนี้ช่วย ช่วยๆ ให้เรารู้พระองค์ธรรม ถ้าไม่มีพระองค์คนมาช่วยบอก เราก็ไม่มีวันที่จะรู้พระองค์ธรรม ให้ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณ บรม...คุณอะไรสูงสุด (นาทีที่ 53.28) ท่านได้ช่วยให้เรารู้พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม พระองค์บุคคลก็มีประโยชน์อย่างนี้ พระพุทธเจ้าที่เป็นพระองค์บุคคลนี้ ตามที่เชื่อ หรือถือๆ กันว่าเกิดแล้วเกิดอีกๆ นับไม่ไหวเหมือนกันแหล่ะ พระ.. (นาทีที่53.47) เกิดตั้งหลายๆ องค์ ยังเกิดอีกหลายองค์ ยังจะเกิดอีกหลายองค์ พระพุทธเจ้าองค์บุคคล แต่พระพุทธเจ้าองค์ธรรมะนั้น ...(นาทีที่ 53.58) ตลอดเวลา ไม่มีเกิดไม่มีดับ นั่นแหล่ะพระพุทธเจ้าพระองค์จริง เป็นตัวธรรมะ ถ้าท่านศึกษาและปฏิบัติได้ มีพระองค์ธรรมนี้แล้วก็เรียกว่าจบเรื่อง จบเรื่อง ขอให้ศึกษาเรื่องอริยสัจ หรือปฏิจจสมุปบาท หรืออิทัปปัจจยตาก็ได้ ให้จริง ให้จริงๆ แล้วก็ปฏิบัติๆๆ ให้ปรากฏขึ้นมาจริงๆ ให้ดับทุกข์ได้จริง ท่านมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ดับทุกข์ได้สิ้นเชิง ให้ร่างกายของเรานี้เป็นโบสถ์ สำหรับพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ปรากฏเมื่อไรก็ได้ เมื่อเราต้องการเมื่อไร เมื่อเรามีความสว่างไสว แจ่มแจ้งว่าดับทุกข์อย่างไร เมื่อใดก็ได้ นั่นนะใช้ได้ ขอให้ทุกท่านสำเร็จในข้อนี้ ในข้อนี้
ทีนี้มันจะดูกันต่อไปถึงว่า มันมีอะไรเกิดขึ้น มีธรรมะเกิดขึ้น มีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงเกิดขึ้น มันก็มีความสว่างไสว สว่างไสวยิ่งๆ ขึ้นไปจนถึงที่สุดตามลำดับ ตามลำดับที่ออกชื่อมาแล้วเมื่อตะกี้ คือ ตาๆๆๆๆ ทุกขตาๆ ความเป็นทุกข์ เฮ้ย...เดี๋ยวผิดไปแล้ว อนิจจตาก่อน อนิจจตา ความไม่เที่ยง ทุกขตา ความเป็นทุกข์ อนัตขตาคือความเป็นของไม่ใช่ตน เราเห็นธรรมถิตตาว่ามันเป็นอยู่ตามธรรมชาติอย่างนั้นๆ นะ มันไม่เที่ยงมันเป็นทุกข์มันเป็นอนัตตาอยู่อย่างนั้น เป็นอยู่ตามธรรมชาติเรียกว่าธรรมถิตตา แล้วก็เห็นว่ากฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ หรือธรรมะที่เป็นกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ บังคับอยู่ มีกฎบังคับอยู่ นี่ก็เห็นธรรมนิยามตา นิยามะ แปลว่ากฎ เหมือนกับกฎหมาย เป็นกฎบังคับอยู่อย่างนี้ เห็นธรรมนิยามตา ความที่มีกฎธรรมชาติบังคับอยู่ เมื่อมันเป็นอย่างนี้ มันต้องเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้เรื่อยไปอย่างนี้เรียกว่า อิทัปปัจจยตา ๆๆ ความเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิจ ที่เป็นรูปก็ดี ที่เป็นนามก็ดี มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมันอยู่เนืองนิจ
แม้เห็นอิทัปปัจจยตา จริงๆ นะ เห็นชัดเจนจริง ก็จะเห็นอ๋อ...ไม่มีอย่างอื่น ไม่มีทางอื่น ไม่มีอย่างอื่น มีแต่อย่างนี้ๆๆ จะเห็นว่าว่าง ว่างจากตัวตนไม่มีสิ่งที่เรียกว่าตัวตนมันว่างจากตัวตน เรียกว่าเห็นสฺญญตาๆ ความว่างจากตัวตน สฺญญตาไม่ได้แปลว่าสูญเปล่านะ ตามวัดสอนกันผิดๆ ว่าสูญตาแปลว่าสูญเปล่า ไม่ใช่สูญเปล่าหรอก มันว่างจากตัวตน นั่นแหล่ะเป็นคุณค่าสูงสุดที่มันว่างจากตัวตน มันจะดับทุกข์ได้ สฺญญตา ความว่างจากตัวตน แล้วก็ตถาตา ๆโอ้มันเป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง จะมองดูกันทางทิศไหน อย่างไหน ผลกี่อย่างกี่ชนิด มันก็เป็นเช่นนั้นเอง ๆ ว่างจากตัวตนเช่นนั้นเอง ไม่มีตัวกูๆ ว่างจากตัวกู แล้วความเป็นเช่นนั้นเอง เมื่อจิตเห็นเช่นนั้นเองอย่างนี้ และจิตก็คงที่ ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งจิตได้ ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งจิตให้เกิดกิเลสใดๆ ได้ จิตไม่ต้องเป็นไปตามอำนาจปรุงแต่งใดๆ คงที่ๆ ๆ ๆ อยู่ในความปรกติๆ ที่เรียกว่าเยือกเย็นเป็นพระนิพพาน มันคงที่ๆๆ อยู่ในความถูกต้อง คือความสงบ สะอาด สว่าง สงบ ข้อนี้เรียกเป็นคำสุดท้ายว่า อตัมมยตา ช่วยเขียนให้ถูกๆ นะถ้าจะเขียน อ-ตัม-ม-ย-ตา (นาทีที่ 59.00) ตัวหนังสือแท้ๆ แปลว่าไม่สำเร็จมาแต่สิ่งใด ไม่สำเร็จมาแต่สิ่งใด คือเป็นอิสระแก่ตัวเอง ข้อนี้หมายความว่าสิ่งใดจะมาปรุงแต่งมันไม่ได้ จะมากระทำต่อมันไม่ได้ จะมาอะไรกับมันไม่ได้ มันเป็นอิสระสูงสุด จึงคงที่อยู่ได้ในความถูกต้อง ถ้าอะไรมาทำได้ เปลี่ยนแปลงได้มันก็ไม่ใช่คงที่สิ เดี๋ยวนี่มันไม่มีอะไรมาทำ เปลี่ยนแปลงได้ บังคับได้ มันก็คงที่ๆ อยู่ในความถูกต้อง นั่นคือความสงบเย็น สงบเย็น เพราะไม่มีไฟลุกขึ้นมา ไฟไม่อาจจะลุกขึ้นมา มันก็มีความสงบเย็นตามความหมายของคำว่านิพพาน นิพ-พา-นะ(นาทีที่ 59.52) นิพพานแปลว่าเย็นๆ เย็นเพราะว่าไม่มีไฟ ไฟคือราคะ โทสะ โมหะไม่มีแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า ราคะทะโย โทสะทะโย โมหะทะโย นิพพานัง ความสิ้นไฟแห่งราคะ สิ้นไฟแห่งโทสะ สิ้นไฟแห่งโมหะ นี่คือนิพพาน คือไม่มีไฟมันก็ไม่ร้อน แต่ก็ไม่ใช่หนาว ไม่หนาวและก็ไม่ร้อน เย็นอย่างนิพพานไม่หนาวและไม่ร้อน เป็นความหมายพิเศษของคำๆ นี้ นี่ก็เป็นสิ่งที่จะต้องรู้จัก ไอ้ตาๆๆๆ นี่ไม่ใช่เล่น ลึกซึ้งที่สุด อนิจจตา ทุกขตา อนัตถตา แล้วก็ธรรมถิตตา ธรรมนิยามตา อิทัปปัจจยตา แล้วก็สญญตา ตถาตา อตัมมยตา จัดเป็นสามกลุ่ม กลุ่มละสาม มันก็เก้า เก้าตา
ถ้าประสบความสำเร็จในการปฏิบัติจิตภาวนา หรือวิปัสสนา ท่านจะพบไอ้เก้าตานี่ พบเก้าตานี่ แต่ไม่พบถึงที่สุดก็ยังดี พบเท่าไรก็ดับทุกข์ได้เท่านั้น โดยเฉพาะอิทัปปัจจ... โดยเฉพาะอตัมมยตา พบได้เท่าไรดับทุกข์ได้เท่านั้น ไปจนสูงสุดๆ คงที่อยู่ในความถูกต้องคือความสงบเย็น พูดให้ชัดว่าคงที่อยู่ในพระนิพพาน คงที่อยู่ในพระนิพพาน เรียกว่า อตัมมยตา คงที่ๆ คือไม่เปลี่ยนแปลง ไม่หวั่นไหว ไม่โยกโครง ไม่เปลี่ยนแปลงไม่หลอกลวง นี่ว่าคงที่ คงที่ยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ที่เรารู้จัก ที่เรารู้จัก ที่ยังไม่เคยรู้จัก คงที่ถึงที่สุดจนกว่าจะรู้เรื่องอตัมมยตา เปรียบเทียบกันสักหน่อยนะ เสียเวลาเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายว่า ท่านว่าภูเขาใหญ่ คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง มันไม่จริงใช่ไหม พอแผ่นดินไหวภูเขาก็ไหว ภูเขาหิมาลัยในทวีปเอเชียนี่ยาวตั้งสองพันไมล์ สามสี่พันกิโลเมตร สองพันไมล์ มันก็ยังหวั่นไหว เมื่อแผ่นดินมันไหว ภูเขาแอลป์ในทวีปยุโรปก็พอๆ กันแหล่ะ มันก็ไหวเมื่อแผ่นดินไหว ทิวเขาร๊อคกี้ในอเมริกาก็จะยิ่งกว่านี้อีก มันก็ไหวเมื่อแผ่นดินมันไหว แต่ว่าอตัมมยาตาไม่หวั่นไหว จิตที่มีอตัมมยตาไม่หวั่นไหว ไอ้ภูเขาเหล่านี้หวั่นไหว วิ่งชนกันไปก็ตามใจเถอะ อตัมมยตาไม่หวั่นไหว จิตที่มีอตัมมยตาคงที่ไม่หวั่นไหว ทีนี้มันไม่อยู่ที่จิต มันมีความสำคัญอยู่ที่จิต ไม่ได้อยู่ที่แผ่นดินเหมือนภูเขา คนมีอตัมมยตาแล้วก็เป็นพระอรหันต์ไม่หวั่นไหว สมมุติว่าผู้หญิงสาวสวย สาวสวยคนหนึ่งมีอตัมมยตา จิตไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งที่มายั่วยวนแวดล้อม จะมีชายหนุ่มรูปงามเจ้าชู้มาตั้งฝูงหนึ่งก็เกี้ยวไม่สำเร็จ เพราะเขามีอตัมมยตา หรือว่าชายหนุ่มคนหนึ่งรูปสวยรูปงามมีอตัมมยตา ให้นางงามจักรวาลมาสักฝูงหนึ่งก็เกี้ยวไปไม่ได้ ให้นางฟ้ามาสักฝูงหนึ่งก็เกี้ยวชายหนุ่มคนนี้ไปไม่ได้หรอก เพราะว่ามันมีอตัมมยตา
ท่านทั้งหลายไปคำนวณดูเอาเองว่าอตัมมยตานั้นมันมีความมั่นคงสักเท่าไร คงที่อยู่ในความถูกต้อง คงที่อยู่ในความถูกต้อง กิเลสเกิดไม่ได้ กิเลสเกิดไม่ได้ ไฟ ความร้อนเกิดไม่ได้ มันก็มีความเย็นเป็นพระนิพพาน เราจงบูชาพระพุทธเจ้าด้วยธรรมะข้อนี้ พระพุทธเจ้าท่านมีอตัมมยตาสูงสุด เราก็พลอยโดยสารท่าน มีอตัมมยตาตามท่าน แล้วก็ปฏิบัติอตัมมยตานี่เป็นเครื่องบูชาท่าน บูชาท่าน ไอ้ดอกไม้อย่างนี้ ขยะมูลฝอยนะ นี่มันสำหรับหลอกเด็กๆ ไปฟังสิ ถ้าจะบูชาพระพุทธเจ้ากันจริงๆ แล้วจงบูชาด้วยธรรมะ ท่านเรียกว่าธรรมานุธรรมะ(นาทีที่ 1.05.06) ปฏิบัติบูชา ป-ฏิ-บั-ติ บูชา บูชาด้วยการปฏิบัติธรรมะ จงปฏิบัติธรรมะเป็นเครื่องบูชาพระพุทธเจ้า ไม่ต้องบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียน วัตถุสิ่งของ พระพุทธองค์ท่านประสงค์อย่างนั้น พระพุทธองค์ท่านประสงค์ให้เราทุกคน บูชาท่านด้วยการปฏิบัติ
ในวันที่จะปรินิพพาน ในวันที่จะปรินิพพาน วันนั้นมีการบูชาอย่างใหญ่หลวง คือดอกไม้ที่เป็นทิพย์ บันดารวะ(นาทีที่ 1.05.46) ดอกไม้เป็นทิพย์อะไรล่วงลงมาจากสวรรค์เต็มไปหมดทั้งสถานที่ ดอกไม้สวรรค์หล่นลงมาบูชาเต็มไปหมดทั้งสถานที่ พระพุทธองค์ไม่มีความหมาย ไม่มีความหมาย ไม่เป็นการบูชาเราตถาคต ท่านทั้งหลายจงปฏิบัติธรรมะให้เป็นการสมควรแก่การปฏิบัติธรรมะ แล้วเอาสิ่งนี้บูชา บูชาตถาคต ดอกไม้สวรรค์ล่วงลงมาเต็มแผ่นดินนี่เศษขยะมูลฝอย ไม่มีความหมาย แต่ว่าเราเข้าใจ เห็นว่าน่าอัศจรรย์ น่าอัศจรรย์ แต่ท่านบัญญัติมันเป็นขยะมูลฝอย ปฏิบัติธรรมะให้มีในจิตใจ นี่ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ปฏิบัติธรรมะให้มีในจิตใจเถิด ถึงจะเป็นการบูชาที่แท้จริงและสูงสุด เพราะฉะนั้นจะปฏิบัติธรรมะอะไรก็ขอให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนเสมอไป จะรักษาศีลก็ดี จะทำสมาธิก็ดี ทำวิปัสสนาก็ดี วันนี้เรา ข้อแรกที่สุดทำเพื่อบูชาพระพุทธองค์ ตอบสนองพระคุณของพระพุทธองค์แล้วก็ปฏิบัติไปๆๆ สำเร็จเท่าไรๆ ก็เป็นการปฏิบัติ ใช้บูชาก็ได้เท่านั้น ขอให้ตั้งใจอย่างนี้ ขอให้ตั้งใจอย่างนี้ บูชาด้วย ป-ฏิ-บัติ บูชา เรียกว่าธรรมานุธรรมปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ใช้คำว่าเธอสมควรแก่ธรรมนี่มันหมายถึงความถูกต้อง ถ้าไม่ถูกต้องมันก็ไม่ความสมควรแก่ธรรม
ธรรมะมีเป็นสามขั้นตอน ธรรมะสำหรับเรียน สำหรับเรียนนี่ก็เป็นขั้นตอนหนึ่ง แล้วก็ธรรมะสำหรับปฏิบัติๆๆๆ นี่ขั้นตอนหนึ่ง และธรรมะที่เป็นผลของการปฏิบัตินี่อีกขั้นตอนหนึ่ง เรียกเป็นบาลีว่าก็เรียกว่าปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม ปฏิเวธธรรม ธรรมะสำหรับเรียนเรียกว่าปริยัติธรรม สำหรับปฏิบัติเรียกว่าปฏิบัติธรรม สำหรับรู้แจ้งแทงตลอดเรียกว่าปฏิเวธธรรม ถ้ามันดำเนินไปอย่างถูกต้องมันจะครบทั้งสามอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันมักจะติดตันอยู่แค่ปริยัติธรรมแล้วก็มัวแต่เถียง มัวแต่ทะเลาะจนไม่รู้จะเอาอย่างไร มัวแต่ตีความตามตัวหนังสือ ก็ไม่รู้ เลยไม่ได้ปฏิบัติ ตามศาลาวัดมัวแต่เถียงกันเรื่องตัวหนังสือ ไม่ได้ปฏิบัติ ปริยัติแปลว่าความรู้นี่มันจำเป็น ถ้าไม่มีความรู้มันปฏิบัติไม่ถูก มันปฏิบัติไม่ถูก มันต้องมีความรู้ที่ถูกต้องๆ ด้วยความรู้ แล้วจึงมีการปฏิบัติที่ถูกต้อง เมื่อมีการปฏิบัติที่ถูกต้องมันก็มีผล มีผลแท้จริงของการปฏิบัติครบ ทีนี้จะเกิดมรรคผลนิพพาน มีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ครบถ้วนแล้วมันจะเกิดมรรคผลนิพพานคือ โลกุตรธรรม นี่มันมีอยู่อย่างนี้ กฎของธรรมชาติ กำหนดไว้อย่างนี้ มีกฏเกณฑ์อย่างนี้ แล้วมันไม่ใช่สิ่งที่เหลือวิสัย ถ้ามันเหลือวิสัย พระพุทธเจ้าไม่ทรงนำมาสอน พระพุทธองค์ทรงนำมาสอนแต่สิ่งที่ใช้ปฏิบัติได้ และรับผลได้ไม่เหลือวิสัย ถ้าสิ่งใดเหลือวิสัยก็ไม่ทรงนำมาสอน ดังนั้นมันจึงไม่มีสิ่งที่เหลือวิสัยอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า นี่เป็นเหตุให้มีผู้บรรลุมรรคผลนิพพาน การสอนของพระพุทธเจ้านี่รู้จักกันไว้บ้าง เผื่อว่าบางทีเราจะนึกสอนผู้อื่นบ้างว่าอาจจะรู้น้อยกว่าเรา ถ้าเรารู้มากกว่าเขา เราก็มีสิทธิที่จะสอนได้ มีเหตุผล เราก็ถือโอกาสสอนไปพลางก็ได้ เรารู้แล้วเท่าไรเราก็สอนได้เท่านั้น จนกว่าเราจะรู้ถึงที่สุดก็สอนกันในระดับสูงสุด เดี๋ยวนี้รู้เท่าไรก็สอนไปได้เท่านั้น ไม่ได้ตั้งตัวเป็นอาจารย์ แต่ว่าตั้งตัวเป็นมิตรสหายที่ดี เป็นมิตรสหายที่ดี เป็นกัลป์ญาณมิตรที่จะช่วยเพื่อนของเราให้ได้รับผลประโยชน์อันนี้บ้าง
ขอโอกาสพูดเรื่องวิธีสอนของพระพุทธเจ้าสักหน่อย ช่วยจำกันไว้ เพราะว่าในท่านเหล่านี้บางคนก็เป็นครูก็มีนะ วิธีสอนของพระพุทธเจ้านั้น ข้อแรกท่านจะสอนให้เกิดความสนใจ คือผู้ฟังจะรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นของใหม่เรายังไม่รู้ ท่านจะทำให้เกิดความสนใจว่า ได้ยินได้ฟังของใหม่ที่เรายังไม่รู้ เป็นของใหม่ที่มีประโยชน์ ถ้าเราจะไปสอนธรรมะแก่เพื่อนของเรา ก็ปลุกความสนใจข้อนี้ขึ้นมาให้ได้ว่าเป็นเรื่องใหม่ที่เขายังไม่รู้ และยังมีประโยชน์เหลือประมาณ เหลือที่จะกล่าวได้ เขาก็จะสนใจ คือมีความรักหรือฉันทะ ฉันทะไม่ใช่กิเลส แต่มีความรักมีความพอใจที่จะปฏิบัติธรรมะ ก็จะรู้ขึ้นมา ข้อที่หนึ่งให้เกิดความสนใจว่านี่ของใหม่ ของประเสริฐ ข้อที่สองท่านแสดงมีเหตุผลอยู่ในตัวคำสอน ไม่ต้องไปดูที่อื่น ไม่ต้องไปฟังท่าน ไม่ต้องไปถือเอาท่านเป็นหลักประกัน เป็นนายประกัน มันมีหลักประกันอยู่ในคำที่พูดออกไป คือคำที่พูดออกไปมันมีเหตุผลอยู่ในตัว ว่ามันดับทุกข์ได้จริง มันดับทุกข์ได้จริง เขาสนใจที่มาศึกษา แล้วก็มาศึกษา แล้วก็พบเหตุผลอันนี้แหล่ะมันแสดงอยู่ในตัวคำพูด ในบาลี กาลามสูตร จึงตรัสกล่าวว่าไม่ต้องเชื่อตามปิฎก ตามพระไตรปิฎก ไม่ต้องเชื่อที่เขาเล่าลือ ไม่ต้องเชื่อว่าผู้นี้น่าเชื่อ ไม่ต้องเชื่อว่าผู้นี้เป็นสมณะ สมณะนี้เป็นครูของฉันก็ไม่ต้องเชื่อ แต่ว่าสิ่งที่ควรจะเชื่อหรือต้องเชื่อนั้นคือเหตุผลที่มันแสดงอยู่แล้วในคำที่พูด เรื่องอริยสัจก็ดี ปฏิบัติก็ดี มันมีเหตุผลแสดงอยู่แล้วในคำเหล่านั้นว่ามันดับทุกข์ได้จริง หรือพูดกันง่ายๆ ท่านว่า กิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ นี่มันไม่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าก็ได้ เพราะมันรู้จักกิเลส และมันก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์อยู่ในตัวมันแล้วเห็นได้ชัด อย่างนี้ กาลามสูตรมีหลักอย่างนี้ ไม่ต้องเชื่ออะไรอื่นนอกจากเหตุผลที่มันแสดงอยู่ในตัวมันเอง ราคะเป็นของร้อน โทสะเป็นของร้อน โมหะเป็นของร้อน จะต้องเชื่อใครเล่า เพราะว่าราคะ โทสะ โมหะ มันเผาอยู่ทุกวันแล้วจะต้องไปเชื่อใครอีก นี่เป็นข้อที่สอง แสดงให้เหตุผลอยู่ในตัวคำพูด ข้อที่สามคือปาฏิหาริย์ คือปฏิบัติได้จริง ปฏิบัติได้จริง ไม่เหลือวิสัย มีหนทางที่จะปฏิบัติได้จริงนำซึ่งผลดังที่กล่าวมาแล้วนั้นได้จริง นี่เรียกว่ามีปาฏิหาริย์ เป็นสามข้อด้วยกัน เป็นวิธีการของพระพุทธเจ้าใช้ในการสั่งสอน
ถ้าเราจะต้องสอนเด็ก หรือสอนเพื่อน หรือสอนอะไรบ้างก็สอนโดยวิธีสามอย่างนี้ ในสิ่งที่เรารู้แล้ว รู้แล้วจริงๆ เราพูดคำแรกออกไปในลักษณะที่เขาจะสะดุ้ง โอ้นี่ของใหม่ ไม่เคยได้ยิน และข้อที่มีสองก็มีเหตุผลแสดงอยู่ในคำพูดนั้นว่ามันจะดับทุกข์ได้จริง ข้อที่สามก็มีวิธีที่จะปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วก็ดับทุกข์ได้จริง ข้อหนึ่งมีความน่าอัศจรรย์เป็นของใหม่ ข้อสองมีเหตุผลๆๆ อยู่ในตัวคำพูด ข้อสามมีปาฏิหาริย์ๆ คือปฏิบัติได้จริงอยู่ในสิ่งสอนก็สำเร็จ สำเร็จในการสอน ผู้ฟังเขาก็มีศรัทธาเต็มที่ มีความพยายามเต็มที่ พากเพียรเต็มที่แล้วก็ได้รับผล นี่ช่วยกันสืบอายุพระศาสนาไปพลางเถิด เรารู้แล้วเท่าไร เราดับทุกข์ได้แล้วเท่าไร จงสอนผู้อื่นเท่าที่เรารู้แล้ว และดับทุกข์ได้จริง ข้อนี้เป็นการสนองพระคุณของพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง เพราะพระพุทธองค์ตรัสว่าตถาคตเกิดขึ้นมาในโลกนี้เพื่อประโยชน์สุขแก่สัตว์ทั้งหลาย ทั้งเทวดาและมนุษย์ แก่สัตว์ทั้งหลาย ทั้งเทวดาและมนุษย์ หมู่สัตว์พร้อมทั้งเทวดา และมนุษย์ พร้อมทั้งสมณะ พร้อมทั้งพราหมณ์ คือทุกชั้น ทุกคน ทุกพวก เกิดมาเพื่อ เกิดขึ้นมาในโลกเพื่อประโยชน์แก่คนเหล่านั้น เธอทั้งหลายจงพยายามให้สัตว์ทั้งหลายรู้ธรรมะเหล่านี้ ท่านประสงค์อย่างนี้ เราก็สนองพระพุทธประสงค์ คือช่วยสอนให้คำสอนของพระพุทธเจ้าแพร่หลายออกไป แพร่หลายออกไป แพร่หลายออกไป อาตมาก็ถือหลักเกณฑ์อันนี้ มันจึงได้เกิดสวนโมกสวนเมิกนี้ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่อันนี้ เผยแผ่ธรรมะให้กว้างขวางออกไป ให้ไกลออกไปๆๆ จนว่าทุกคนได้รับประโยชน์จากธรรมะ จากธรรมะ ไม่ต้องการบุญกุศลชนิดไหนหมดแหล่ะ ต้องการแต่ว่าให้เพื่อนมนุษย์ดับทุกข์ได้ และการกระทำนี้สนองพระคุณ ตอบแทนพระคุณของพระพุทธเจ้า ไม่ต้องการสวรรค์วิมานอะไรที่ไหน เรื่องเด็กเล่น เรื่องจริงก็คือดับทุกข์ๆ ๆ ให้ได้จนได้ ไม่มีพิธีรีตองอะไร มีแต่การปฏิบัติที่ถูกต้อง
เดี๋ยวนี้มันมีพิธีรีตองเกิดขึ้นมากจนยุ่งไปหมด จนไม่ได้ปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ ไปเสียเวลากับพิธีรีตองกันเสียมากโดยเปลือกนอก ช่วยเข้าใจกันไว้ให้ดีๆ พยายามเจาะทะลุเข้าไปตามลำดับ ให้เห็นพระพุทธเจ้าทุกขั้นตอน จะพูดจากข้างในออกมาหรือจะพูดจากข้างนอกเข้าไป เอาข้างในออกมาดีกว่า คือธรรมะๆ อันสูงสุดเป็นนิรันดร นั่นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ธรรมะนิรันดร พระพุทธเจ้าพระองค์จริงโดยที่ตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ธรรมะนั้นเป็นนิรันดร นี่พระพุทธเจ้าพระองค์จริง แล้วก็มาปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลายโดยพระพุทธเจ้าที่เป็นบุคคล
พระพุทธเจ้าองค์บุคคลคือพระพุทธเจ้าที่เราเรียนพระพุทธประวัติของท่านมา พระสิทธัตถะ ประสูติออกมา แล้วก็ออกบวช แล้วก็ตรัสรู้ แล้วปรินิพพานแล้ว นี่เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์บุคคล ช่วยให้เรารู้พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมะที่แท้จริงที่อยู่ลึก ในส่วนลึก ถ้าไม่อาศัยพระพุทธเจ้าองค์บุคคล เราก็ไม่รู้พระพุทธเจ้าพระองค์จริงหรือส่วนลึก อ้าวไม่เท่าไร พระพุทธเจ้าองค์บุคคลก็นิพพาน อย่างที่เรียกกัน นิพพานอย่างที่เรียกกัน คือสังขารดับไป มันก็เหลือแต่พระพุทธเจ้าที่เป็นพระองค์แทน พระองค์บุคคลนิพพานไปก็เหลือพระองค์แทน
พระองค์แทนนี่อะไรบ้างลองนึกเอาเอง เช่นพระสารีริกธาตุเป็นพระองค์แทน อย่าไปติดอยู่แค่กระดูก พระสารีริกธาตุ ทะลุให้ไปถึงพระองค์คน ทะลุพระองค์คนไปถึงพระองค์ธรรม พระองค์แทนที่เป็นสารีริกธาตุนี่มีปลอมนะ มีนักเลงหากิน ใช้คำอย่างนี้ ขอพูดใช้คำอย่างนี้ เขาไปเอาเก็บเอากรวด เม็ดกรวด ที่คล้ายไข่มุกออกมา แล้วบอกคนว่านี่พระธาตุ ให้ช่วยกันซื้อหาอะไร หาประโยชน์ พระสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ที่เราไปเห็นที่อินเดีย ในอินเดียทั้งหมด ทั้งอินเดียไม่มี ไม่พระธาตุเหมือนเม็ดไข่มุกไม่มี มีแต่เป็นกระดูกเผาไฟนะในอินเดีย พระธาตุที่เป็นเม็ดสวยๆ เหมือนไข่มุกมีแต่ในเมืองไทย กับลังกามากที่สุด พม่า ลังกา มีพระพุทธเจ้า มีพระธาตุเหมือนเม็ดผัก แล้วไปเอามาจากไหนต้องมากมาย มีคนเอาพระธาตุชนิดนี้มาดีด ให้คนคอยรับพระธาตุ หลับตารับพระธาตุ มีคนคอยดีดพระธาตุชนิดนี้ให้มันไปปรกกฎ แก่คนบางคนเขาว่าเขาได้พระธาตุ พระธาตุชนิดนี้หลอกลวงกันถึงอย่างนี้ ไม่ต้องออกชื่อว่าทำที่ไหน เมื่อไร แต่เป็นความจริงที่ได้กระทำกันแล้ว พระอาจารย์นั่งอยู่บนธรรมมาส บอกทายก ทายิกาทั้งหลาย อ้าวเตรียมพร้อมกันทำสมาธิรับพระธาตุ หลับตา แล้วก็มีพระธาตุเหล่านี้ดีดมา เก็บได้บางคน ไม่ใช่ทุกคน แล้วมีคนๆ หนึ่งเขาไม่ยอมหลับตา เขาแอบลืมตา เห็นแม่ชีคนหนึ่งดีดก้อนกรวดเหล่านี้ไปตามทางนั้นบ้าง ทางนี้บ้าง นี่มันเล่นตลกแล้ว ระวังพระธาตุชนิดที่เป็นไข่มุก ไม่มีในลังกา ไม่มีในอินเดีย ในลังกามีมากที่สุด ในเมืองไทยก็เริ่มมีตามลังกา พระธาตุที่เป็นไข่มุกมีแต่ในเมืองไทย ในลังกา ในพม่าแถวนี้ ไม่มีในอินเดีย เอาล่ะ เอาว่าพระธาตุ พระธาตุหรือมาจากร่างกายของพระพุทธเจ้านี่ก็เป็นพระองค์แทน สร้างพระสารีริกธาตุเป็นเจดีย์ใหญ่หลวง และบรรจุพระธาตุไว้ แล้วมันน่าหัวไหม มีแต่ไหว้ๆๆ ไม่มีปฏิบัติธรรมะ ไม่มีศึกษาธรรม แล้วพระธาตุจะช่วยอย่างไรก็ยังไม่รู้ ทีนี้หนัก ต่อมาก็มีพระพุทธรูป ล่วงมาหลายร้อยปีมีพระพุทธรูปเกิดขึ้น ก็เอาพระพุทธรูปเป็นพระองค์แทน เป็นพระองค์แทน ขอให้เอาธรรมะเป็นพระองค์แทนดีกว่า คือธรรมะที่มีอยู่ในจิตใจของเรานั่นแหล่ะ เป็นพระองค์แทนพระองค์จริง พระธาตุก็ดี พระพุทธรูปก็ดีเป็นพระองค์แทนที่ว่ายังจะต้องจัดการกันอีกมาก กว่าจะได้รับประโยชน์อันแท้จริงขึ้นมา นี่เดี๋ยวนี้เรามีพระพุทธเจ้าพระองค์แทนกันไปเสียหมด ไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์จริง คือธรรมะ พระพุทธเจ้าพระองค์บุคคล องค์บุคคลก็นิพพานแล้ว อายุแปดสิบปีก็นิพพานไปแล้ว แต่พระพุทธเจ้าพระองค์จริงคือพระองค์ธรรมยังอยู่ตลอดนิรันดร หาไม่พบก็ตามใจ ถ้าหาพบเมื่อไร ก็พบพระพุทธเจ้าพระองค์จริงเท่านั้นแหล่ะ
อาตมาจึงขอร้องว่าเจาะเข้าไปทะลุ เจาะเข้าไปทะลุ เจาะเข้าไปทะลุ พระองค์แทนเป็นพระพุทธรูป เจาะพระพุทธรูปเข้าไปทะลุถึงพระธาตุ ถึงพระธาตุเจาะทะลุเข้าไปถึงพระองค์คน พระองค์คนที่เดินอยู่ในอินเดีย เจาะพระองค์คนให้ทะลุไปถึงพระองค์ธรรม พระองค์ธรรม นั่นล่ะองค์จริง องค์จริง
ผู้ใดเห็นธรรมะผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม ปฏิจจสมุปบาท คือกฎของธรรมชาติที่มีอยู่ตลอดกาลนิรันดร อาตมาก็ได้บอกท่านทั้งหลายในตอนต้นแล้วว่า ไอ้สิ่งที่เป็นคู่กันสำหรับมาดับทุกข์ คู่ปราบของความทุกข์ มันมีธรรมชาติให้มาแล้วเป็นคู่กัน แต่สิ่งนี้มันไม่ค่อยปรากฏ คนมันหาไม่ค่อยจะพบ มันไม่ปรากฏนี่ มันปรากฏแต่ความทุกข์ สิ่งที่จะดับทุกข์มันไม่ค่อยปรากฏ ก็มันเหลวไหลกันเสียโดยมาก มันต้องการสวรรค์ ต้องการสวรรค์ต้องการทำนองนั้น ไม่ต้องการดับทุกข์
ขออภัยสักหน่อยนะว่า บอกว่า คนที่มาที่นี่ น้อยคนนะที่มาแสวงหาธรรมะ ความรู้ เขาต้องการบุญ พูดแล้วเหมือนดูถูกคนไทย คนไทยมาที่นี่ต้องการบุญ แต่พวกฝรั่งทั้งหลายมาที่นี่เพื่อต้องการความรู้ เพื่อดับทุกข์ ดูสิมันน่าละอายกี่มากน้อย คนไทยมาที่นี่ล้วนแต่ต้องการบุญ ต้องการบุญ มากไปกว่านั้นอีก ก็ช่วยเป่าหัวที รดน้ำมนต์ที ลูบหัวที นี่เป็นเสียอย่างนี้โดยมาก ฝรั่งไม่เคยมีอย่างนี้ ไม่หาพบ ไม่พบ มันต้องการความรู้ โดยเฉพาะเจาะจงเรื่องปฏิจจสมุปบาท และเพื่อดับทุกข์ นี่คนไทยยังล้าหลังอย่างนี้ ที่แห่กันมาเป็นฝูงๆ ต้องการบุญทั้งนั้น และก็พูดค่อยๆ ว่าช่วยลูบหัวทีช่วย ช่วยเป่าหัวที ไม่กล้าพูดดังๆ ว่า โอ้...ฉันทำไม่เป็นหรอก ไม่ได้เรียน เพราะฉันไม่เชื่อเรื่องนี้ ฉันไม่ได้เรียน ฉันจึงทำไม่เป็น คุณไปรดน้ำมนต์กันที่อื่น ไปเป่าหัวกันที่อื่น ที่นี่ทำไม่เป็น ไม่เคยเรียน ไม่เคยทำ เพราะว่าไม่เชื่อ แต่ถ้าคุณต้องการได้ของจริง และศึกษาธรรมะๆๆ ให้รู้ว่าดับทุกข์อย่างไร ทุกข์เกิดมาจากอะไร และดับมันเสียอย่างไร ก็ชักจะไม่พอใจ ไม่ได้อะไร กลับไปโดยไม่พอใจเสียด้วย ขาดทุนสองต่อ ไม่ได้อะไรและกลับไปด้วยความไม่พอใจ ไปดูรูปภาพรูปใหญ่ที่หัวตึก ตึกมหรสพทางวิญญาณ หัวตึกด้านนี้รูปภาพรูปใหญ่ เต็มด้าน มีแจกลูกตา มีแจกลูกตา เป็นภาพแจกลูกตา สองสามคนรับเอาลูกตา นอกนั้นวิ่งกลับไปหัวขาดไม่มีอะไร ไปเป็นฝูงๆ วิ่งกลับไป นี่บันทึกเหตุการณ์ที่เราได้ผ่านมาโดยแท้จริงที่นี่ ว่าคนส่วนมากมากมาๆๆ แต่ก็ไม่ได้รับธรรมะ กลับไปหัวขาด ที่ได้รับธรรมะก็ได้รับลูกตาๆๆๆ ดับทุกข์อย่างไร ดับทุกข์อย่างไร เอาไปดับทุกข์ได้ ไปดูอีกทีสิจะได้ติดตาไป เมื่อได้รับลูกตากับไม่ได้รับลูกตามันต่างกันอย่างไร ไม่ได้รับลูกตา ไม่ได้รับแสงสว่าง ก็ไม่ใช่พุทธบริษัท บริษัท พุทธบริษัท เป็นบริษัทของพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะเป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่นจากหลับ เป็นผู้เบิกบานด้วยความไม่ทุกข์ ต้องอย่างนั้นจึงจะเป็นพุทธบริษัท จงพยายามให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะๆๆ นี่รู้ ความหมายตัวหนังสือนั้นว่ารู้ๆๆ ก็คือตื่นจากความโง่ คือความหลับ ถ้าไม่มีความโง่ ไม่มีกิเลสแล้วมันก็เบิกบานๆ เหมือนดอกไม้บาน แต่ว่ามันเป็นการบานที่ไม่รู้จักโรย ดอกไม้ธรรมดาบานแล้วมันโรย แต่ว่าดอกไม้ธรรมะในจิตใจของบุคคลนี่เบิกบานแล้วไม่รู้จักโรย มันเป็นอนันตกาลเหมือนธรรมะโดยแท้จริง ขอให้ได้ประสบเหตุการณ์อันนี้ คือเป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้เบิกบาน ไม่เสียทีที่ได้เป็นพระพุทธบริษัท
ทำให้รู้ว่าอุตสาห์ศึกษาเล่าเรียนก่อน ศึกษาในส่วนศีลก็เรียกว่าศีลสิกขา ศึกษาในส่วนสมาธิก็เรียกว่าจิตสิกขา ศึกษาในส่วนวิปัสสนาหรือปัญญาก็เรียกว่าปัญญาสิกขา สิกขาปัญญา ปัญญาสิกขา ขอให้มีสิกขาคือศึกษา อันนี้ก็เหมือนกันเป็นธรรมที่ยังเข้าใจไม่ถูก เข้าใจน้อยจนใช้ประโยชน์ไม่ได้ ศึกษาๆ คุณจดไว้ในสมุดก็ปิดเก็บไว้ เป็นศึกษาอะไรกัน เพียงแต่จำไว้ในใจมันก็ยังไม่ใช่การศึกษา การศึกษามันต้องเพื่อเห็นแจ้ง เห็นแจ้ง ทำให้มันเห็นแจ้ง มันมีขั้นตอน ขั้นตอนที่ควรจะสนใจตามตัวหนังสือ ตามตัวหนังสือของคำว่าสิกขา ๆ ช่วยฟังให้ดีนะ สิกขามันแยกออกเป็น “สะ” พยางค์หนึ่ง แล้วก็ “อิกขะ” (นาทีที่1.30.19) อีกคำหนึ่ง สะ สะ อิกขะ รวมกันเข้าเป็นสิกขะ หรือสิกขา คำว่า”สะ สะ” แปลว่าภายใน อยู่ในภายในก็ได้ แปลว่าตัวเองก็ได้ ที่ใกล้ก็ได้ “สะ” น่ะ แล้วก็แปลว่าภายใน คือตัวเอง ส่วน”อิกขะ” เห็นอย่างแจ่มแจ้ง เห็นอย่างแจ่มแจ้งด้วยปัญญา จะต้องมีการดูตัวเอง ด้วยตัวเองและก็ในตัวเองนั่นช่วยจำไว้ให้ดี ใครอย่ามาดูแคลนได้นะ ต้องดูด้วยตัวเอง ดูที่ไหน ก็ดูตัวเอง ดูเข้าไปในตัวเอง ดูตัวเองด้วยตนเอง โดยตนเอง ภายในตนเองเพื่อประโยชน์แก่ตนเอง นี่คำว่า “สะ” นี่ “อิกขะ ๆ” ก็เห็นแจ้ง ประจักร แจ้งประจักร ดูตนเองแจ้งประจักรด้วยปัญญาเรียกว่าสิกขา
มีขั้นตอนที่ควรจะแยกแยะให้ชัด ให้ละเอียด ช่วยฟังหน่อยนะ จะต้องมีการดู อย่างที่พูดแล้วดูตัวเองในตัวเอง โดยตัวเองดู ดู มีการดู ดูเหมือนกับเราดูข้างนอกนี่ แต่นี่เป็นดูข้างในด้วยปัญญา ต้องมีการดู ทีนี้มันต้องเห็น ถ้าดูไม่เป็นไม่เห็นหรอก ดูให้ตายก็ไม่เห็น ต้องดูเป็นแล้วมันก็เห็น ดูที่หนึ่ง แล้วก็เห็น ถ้าเห็น ถ้าเห็นจริงเห็นถูก มันต้องรู้จัก ทีนี้มันเห็นแล้วไม่รู้จัก แม้เห็นก้อนดินนี่ยังไม่รู้จักเลยว่าอะไร มันต้องเห็นชัดจนรู้จัก พอรู้จักๆ ว่าโอ้นี่มันคืออันนี้ มันเป็นปัญหาเกี่ยวกับทุกข์กับดับทุกข์นี่รู้จัก ถ้ารู้จักแล้วก็วิจัยวิจารณ์ วิจัยวิจารณ์ หั่นแหลกเลย หั่นแหลกเลย คำว่าวิจัย วิจัยนี่ไม่ใช่คำใหม่ๆ เพิ่งตั้งขึ้นเมื่อวาน เป็นคำเก่าแก่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านเรียกว่าธรรมวิจยะ หรือวิจัยธรรมะ คือวิจัยวิจารณ์กันอย่างละเอียดลออถี่ยิบไปเลย วิจัยวิจารณ์ เพื่อให้รู้ว่ามันเป็นอย่างไร มันมีเหตุผลอะไร มันเพื่ออะไร มันโดยอะไร มันทำไมกัน นี่วิจัยวิจารณ์ วิจัยวิจารณ์ เมื่อหั่นแหลกกันอย่างนี้ มันก็พบแล้ว โอ้จะต้องปฏิบัติอย่างไร มันก็เก็บส่วนนั้นไปปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ มันจึงจะดับทุกข์ อย่างน้อยที่มันถูกต้อง มันต้องมีสภาพขั้นตอนดูๆ แล้วเห็นๆ เห็นจนรู้จัก รู้จักแล้วเอามาวิจัยวิจารณ์อย่างหั่นแหลก แล้วเก็บเอาไปแต่ส่วนที่จะปฏิบัติ แล้วก็ปฏิบัติ แล้วมันก็ดับทุกข์ได้ การทำอย่างนี้คือสิ่งที่เรียกว่าสิกขา สิกขาคือการศึกษา จะทำกับศีลก็ต้องทำอย่างนี้ จะทำกับสมาธิก็ต้องทำอย่างนี้ จะทำกับปัญญาก็ต้องทำอย่างนี้ ก็ต้องดูเข้าไปในตนเอง เพื่อตนเองโดยตนเอง เพื่อประโยชน์สุดท้ายของตนเอง แล้วก็เห็น เห็นแล้วก็รู้จักว่าโอ้...นี่มันเรื่องเดียวกับเรา เมื่อรู้จักก็วิจัยวิจารณ์ วิจัยวิจารณ์ให้มันทุกแง่ทุกมุม แล้วเก็บเอาไปในส่วนที่เป็นการปฏิบัติได้ ปฏิบัติๆ แล้วท่านก็จะได้รับผลของการปฏิบัติ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการสิกขา ไม่ใช่เทศน์บนธรรมมาศ ไม่ใช่จดไว้ในสมุด มันต้องให้ครบห้าองค์อย่างนี้จึงจะเป็นการศึกษา ขอท้าทายสักหน่อยว่า การศึกษาในโลกทั้งโลกมันไม่มีลักษณะอย่างนี้ มันมีแต่บอกให้จำ หรือบอกให้หาวิธีคดโกง หาประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ใช้จิตวิทยาหาประโยชน์ให้ได้มากที่สุด นี่เป็นการศึกษารับใช้การเมืองมั่ง รับใช้เศรษฐกิจมั่ง รับใช้อะไรก็ไม่รู้ ในที่สุดก็คือรับใช้กิเลส ศึกษาเพื่อรับใช้กิเลส ขอให้การศึกษาๆ ศึกษานี้รับใช้พระพุทธเจ้า รับใช้พระศาสนา รับใช้สันติภาพ คือเพื่อให้มันเกิดสันติภาพ การศึกษา อย่าเพื่อเศรษฐกิจ รวยกันใหญ่ การเมือง คดโกงกันใหญ่ ทำนองนั้นไม่ใช่การศึกษาของพระพุทธศาสนา มันเป็นการศึกษาของอันธพาล ของยักษ์ ของมาร ของกิเลสตัณหา อย่าไปเอากับมันเลย ในโลกมันมีแต่การศึกษาเพื่อความเห็นแก่ตัว หาประโยชน์ให้มาก กอบโกยให้มาก ใช้จิตวิทยาในทางหลอกลวงให้มาก ล้วงกระเป๋าคนอื่นได้ ด้วยการโฆษณาเก่ง โฆษณาเก่ง ทำให้ยายแก่ขี้เหนียวซื้อตู้เย็นได้ล่ะก็พอแล้ว ศึกษาอย่างนี้ล่ะก็ มันพูดเก่ง มันมีวิธีที่จะหลอกคนเก่ง ไม่ใช่การศึกษา
ศึกษาศีลๆๆ ที่มันเป็นพื้นฐานเหมือนกับแผ่นดิน ถ้าไม่มีแผ่นดินเราไม่มีที่เหยียบ เราก็ทำอะไรไม่ได้ ขอให้คิดดูเถิด ถ้าไม่มีที่เหยียบที่ใช้อาศัยเหยียบได้แล้วมันจะอยู่ได้อย่างไร มันก็ทำอะไรไม่ได้ ศึกษาศีลเอาไว้ในลักษณะเป็นพื้นฐาน คือความถูกต้อง ในทางวัตถุ ในทางกาย ในทางวาจา เอามันสามอย่างเลย ถูกต้องเกี่ยวกับวัตถุเครื่องใช้ไม้สอยทุกอย่าง แม้กระทั่งเครื่องนุ่งห่ม อาหารการกินนี่ นี่วัตถุ นี่ก็ถูกต้อง ทางวาจา พูดจาถูกต้อง ทางร่างกายคือการปฏิบัติๆ ในทางกายก็ถูกต้อง ถูกต้องทั้งทางวัตถุ ทางกาย ทางวาจา แล้วเราก็มีศีล สี-ละ แปลว่าสงบๆๆ ไม่มี ไม่มีการต่อต้านเพื่อความวุ่นวาย ไม่มีความขัดแย้งเพื่อการทะเลาะวิวาทกัน นี่มีศีลสิกขา ดู เห็น รู้จัก วิจัยวิจารณ์ เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ ให้สำเร็จประโยชน์ในการที่จะเป็นผู้มีศีล มีศีล มีศีลเป็นพื้นฐาน อ้าวทีนี้ก็เลื่อนต่อไป พื้นฐานดีแล้ว มีที่เหยียบดี ก็ปฏิบัติในส่วนสมาธิ
สมาธิคือจิตภาวนาในขั้นแรก การทำสมาธิ จิตภาวนาในขั้นที่สองคือปัญญา ทำปัญญา จิตภาวนาขั้นแรกทำจิตให้มีสมาธิ คือเตรียมจิตที่ยังไม่เหมาะสมให้เหมาะสมสำหรับจะเห็นแจ้งสิ่งทั้งปวง จิตตามธรรมดาไม่เหมาะสม เพราะไปคลุกคลีอยู่กับอารมณ์ บวกลบ บวกลบ บวกลบ หัวหกก้นขวิดอยู่แต่กับการดีใจเสียใจ กำไรขาดทุนอะไรอยู่ที่นั่น ไม่เหมาะสม ทำจิตให้มันเป็นสมาธิ รวมกำลังจิตทั้งหมดมาเป็นจุดเดียว มันจะได้เข้มข้นแข็งแรง นี่เตรียมจิตให้เหมาะสำหรับจะรู้แจ้งนั้นเรียกว่าทำสมาธิ
ให้ได้องค์ประกอบสามอย่างครบถ้วนของสมาธิ ข้อที่หนึ่งคือมีจิตที่บริสุทธิ์ หรือจิตเกลี้ยง เกลี้ยงไม่มีกิเลส ไม่มีนิวรณ์รบกวนในจิต จิตเกลี้ยง เรียกว่าจิตบริสุทธิ์ นี่ข้อที่สอง จิตตั้งมั่น รวมกำลังกันหมด รวมกำลังกันหมดไม่พร่ากระจายไป แต่มันรวมกำลังกันหมด เหมือนกับแก้วรวมแสงแดด แก้วนูนมาส่องรวมแสงสว่าง รวมแสงสว่าง แสงแดดก็ได้ ไม่ใช่ก็ได้ แสงสว่างมันรวม แสงสว่างทั้งหลายมารวมกันเป็นจุดเดียวมันก็แรง มันก็แรงลุกเป็นไฟได้ รวมแสงแดดรุกเป็นไฟได้ นี่เรียกว่ารวมกำลัง ตั้งมั่น สมาธิโต สมาธิโต(นาทีที่1.39.40) เข้มแข็ง ตั้งมั่น สมาธิโต ที่หนึ่งบริสุทธิ์โธ สะอาดดี ข้อที่สองสมาธิโต รวมกำลังตั้งมั่น แล้วข้อที่สามกัมมนีโย กัมมนีโย พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ ถ้ามันเกลี้ยงดี สะอาดดี แล้วมันรวมกำลังกันดี แล้วมันก็พร้อมที่จะทำหน้าที่ นี่เรียกว่ากัมมนีโย ไม่ค่อยเอามาพูดกัน เข้าใจว่าคงจะไม่ค่อยได้ยินกันนัก สมาธิไม่ครบถ้วนหรอกถ้าไม่ถึงกัมมนีโย นุ่มนวลอ่อนโยน สะดวกทั้งหมดที่จะทำหน้าที่ จิตนี้นุ่มนวล อ่อนโยนควรแก่การทำการงาน เรียกสั้นๆ ว่าไวต่อหน้าที่ ที่เขาชอบกันนัก เป็นคำสากลว่ามัน active active activeness ความว่องไวในหน้าที่เป็น active ไม่งุ่มง่าม คำนั้นแหล่ะ เรียกว่ากัมมนีโย
เมื่อท่านได้ทำจิตให้เกลี้ยงสะอาด และรวมกำลังกันหมด ตั้งมั่น กัมมนีโย พร้อมที่จะทำหน้าที่ พร้อมทั้ง ๓ อย่างนี้ เรียกว่าจิตนี้มีสมาธิ มีสมาธิสามารถบังคับจิตได้ เพราะว่าฝึกจิตจนมีกำลังอย่างนี้ มีคุณภาพอย่างนี้ แล้วก็จะบังคับจิตได้ บังคับจิตให้บันเทิงร่าเริงพอใจอยู่ก็ได้ ก็เป็นสุขได้ บังคับจิตให้รวมกำลังอยู่ได้ บังคับจิตให้ปล่อยๆ อย่าเอามายึดถือไว้ ปล่อยออกไปก็ได้ ก็ทำได้ นี่ก็เสร็จเรื่องของสมาธิ สำหรับจะมีปัญญาต่อไป แต่ถ้าใครไม่ต้องการ ขี้เกียจโว้ย กูเอาแต่สมาธิมีความสุขกันอยู่ที่นี่ก็ได้เหมือนกัน ก็มีความสุขในทันตาเห็นนี่ก็ได้ แต่มันไม่ใช่ที่สุด มันไม่ใช่สูงสุด ถ้าทำต่อไปจนปัญญา ปัญญารอบรู้ ปัญญารอบรู้ ก็เห็นความจริงของสิ่งทั้งปวง ไอ้เก้าตาเมื่อตะกี้ เมื่อคุณทำจิตเป็นสมาธิ สมาธิแล้ว ก็เกิดปัญญาขึ้นมาตัดกิเลส เห็นอนิจจตา ความไม่เที่ยง เห็นทุกขตา ความเป็นทุกข์ เห็นอนัตตา ความที่ไม่เป็นตัวตนอันแท้จริง เป็นเพียงความเข้าใจผิดว่าเป็นอัตตา นี่ก็ตัดความโง่ไปได้เยอะ ตัดความหลงใหลในตัวตนไปได้เยอะ แล้วมันก็เห็นธรรมฐิตตตา ว่าเป็นอย่างนี้อยู่ตลอดในที่ทุกหนทุกแห่งเป็นธรรมดา เรียกว่าเห็นธรรมฐิตตตา แล้วก็รู้ว่ามีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ นี่ก็คือเห็นธรรมนิยามตา พอเห็นอย่างนี้แล้ว โอ้ทุกอย่างกำลังไหลไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา ไม่ว่าอะไร บรรดาสังขตธรรมทั้งหลาย ที่มีเหตุปัจจัยไหลไปตามกฎอันนี้ เรียกว่าเห็นอิทัปปัจจยตา ทีนี้สูงๆ มาถึงขั้นนี้ นี่เห็นว่าโอ้มันไม่มีตัวตนที่บังคับได้ ที่จะอยู่ในอำนาจได้ มันก็เป็น สฺญญตา ร่างกายจิตใจก็มันทำหน้าที่ของมันได้เองโดยไม่ต้องมีอัตตา ไม่ต้องมีอัตตา จะเห็นว่างจากอัตตา เห็นว่าเป็นอย่างนี้เอง เห็นตถาตา พอเห็นอย่างนี้แล้วจิตอิสระ อิสระอะไรปรุงแต่งไม่ได้เรียกว่าเห็นอตัมมยตา นั่นคือการตัดความโง่ ตัดความโง่ ตัดความโง่ ตัดความโง่มาตามลำดับ ทุกขั้นตอนจนหมดความโง่ เป็นอิสระจากอวิชชา ไม่มีอัตตา ไม่ตัวตน ที่จะสำหรับ สำหรับจะโง่ เมื่อไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตนมันไม่อาจจะเกิดกิเลสใดๆ กิเลสเกิดจากเพราะมีอัตตา นี่เราศึกษาในส่วนปัญญา จนให้มีไอ้เก้าตา เก้าตานี่ มีตาเก้าตา ครบทั้งศีล สมาธิ และปัญญา รู้คุณสมบัติที่แท้จริงของมัน ว่าปัญญานั้นเป็นการตัด เป็นการตัดสิ่งที่ต้องตัด การตัดเรียกว่าปัญญา คือความคม แต่ว่าไอ้ความคมนี่ไม่ตัดหรอกถ้าไม่มีน้ำหนัก จะรู้ๆๆๆ อย่างไรถ้าไม่มีสมาธิมันไม่ตัด เพราะมันไม่มีน้ำหนักที่จะกดลงไป คุณคิดดูเถอะมันจะมีความคมยิ่งกว่ามีดโกนนะ คมๆๆ แต่ถ้าไม่มีอะไรกดลงไป มันไม่ตัดหรอก มันไม่ตัดหรอก มันคมเฉยๆ ปัญญาก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีสมาธิก็เท่ากับว่ามันไม่มีน้ำหนัก ไม่มีน้ำหนักที่จะกดลงไปให้มันตัด มันต้องมีความคมคือปัญญา มีน้ำหนักคือสมาธิแล้วกดลงไป แล้วมันก็ตัดได้ ทั้งสองอย่างนี้จะทำหน้าที่อยู่ได้ก็เพราะมีพื้นฐานที่ดีคือศีล มีที่เหยียบ ที่เหยียบ ที่ตั้งมั่นที่ดี และสมาธิก็เป็นน้ำหนักสำหรับให้กดความคมลงไปตัดๆๆ สิ่งที่ควรตัด สิ่งนี้คือตัดความโง่ว่าตัวกู ตัวกูไม่ใช่ของมีอยู่จริง เป็นแต่โง่ขึ้นมาด้วยอำนาจอวิชชาว่าตัวกูๆๆ มันโง่ขนาดดักดาน ระบบประสาทตาเห็นรูป มีตา มีระบบประสาทตาเห็นรูป รู้สึกโดยระบบประสาทว่ารูปอะไร เป็นอย่างไร ก็ส่งเข้าไปที่จิต ให้รู้ว่าเป็นอย่างนั้น มีเท่านี้ มันไม่ต้องมีตัวกู แต่คนโง่มันก็ว่ากูเห็นรูป ทั้งที่ระบบประสาทตามันเห็นรูป รู้จักรูป คนโง่ว่ากูเห็นรูป แล้วกูมาจากไหน กูผีหลอกนะ ที่หูได้ยินเสียงโดยระบบประสาทที่หู มันก็โง่ กูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ระบบประสาทที่จมูกมันได้กลิ่น มันก็ว่ากูๆ ได้กลิ่น มันกูไปเสียทั้งหมด นี่ปัญญามันจะตัดไอ้ความโง่ว่ากูๆๆๆ นี่ตัดออกไปเสีย ของกูก็ถูกตัดออกไป เมื่อไม่มีกู ไม่มีของกูแล้วราคะไม่เกิด โทสะไม่เกิด โมหะไม่เกิด เมื่อกิเลสไม่เกิด ก็ไม่มีไฟคือความทุกข์ นี่ต้องทำการศึกษากันในลักษณะอย่างนี้ว่าศีลสิกขา ทำพื้นฐานแห่งกายและจิตให้ดีๆไว้ จิตสิกขา รวมกำลังจิตให้มากพอให้สมบูรณ์ แล้วก็ปัญญาสิกขา เป็นแสงสว่างที่จะตัดความโง่ด้วยกำลังของสมาธิ จึงมีศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา
คนโบราณเขาทำอุปมาเรื่องนี้ไว้ภาพเขียน ไม่เห็นบ้างหรอตามภาพเขียนฝาผนัง ไอ้สามคนมันไปเที่ยวในป่า มันมีต้นจำปาออกดอกบานสะพรั่ง มันเก็บไม่ได้ มันจึงให้ไอ้สองคนนั้นนั่งลง ไอ้คนนี้นั่งบนคนนี้ คนนี้เหยียบบ่าไอ้คนนี้ต่อขึ้นไปแล้วก็หยิบดอกไม้ได้ สามคนรวมกันจึงจะหยิบดอกไม้ได้ ทำงานอย่างสหกรณ์ สหกรณ์ของศีล ของสมาธิ ของปัญญา ก็หยิบดอกไม้คือมรรคผลนิพพานได้
ท่านทั้งหลายจงมีสิกขาโดยสมบูรณ์ทั้งสามประการ ศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา ศึกษาให้รู้ ถ้ารู้แล้วก็ปฏิบัติๆๆๆ จนเกิดมี ถ้าในช่วงเวลาสิบวันมันทำไม่ได้สำเร็จ ก็จงจำเอาไว้ไปปฏิบัติต่อไปที่บ้าน ที่ไหน หรือจะมาทำกันใหม่ก็ได้ จนกว่ามันจะรู้ จนกว่ามันจะตัด ตัวกูของกูได้ ไม่หลงบวก ไม่หลงลบ ไม่หลงยินดี ไม่หลงยินร้าย ความโง่นี่มันทำให้แยกเป็นดี เป็นร้าย เป็นชอบใจไม่ชอบใจ เป็นบวกเป็นลบ เป็นสวรรค์เป็นนรก อย่ากับมัน มันเป็นเช่นนั้นเอง ฉันไม่มีความทุกข์ก็แล้วไป เมื่อรู้ตามที่เป็นจริงว่าไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตนก็ไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดกิเลศก็ไม่มีความทุกข์ นี่เป็นเรื่องเบื้องต้นสำหรับท่านทั้งหลายทั่วไปที่จะมาเพื่อศึกษาธรรมะ และปฏิบัติจิตภาวนา จงรู้ไอ้ความรู้ทั่วไป ปริทัศน์ทั่วไปว่ามันเป็นอย่างนี้ มันเกี่ยวข้องกันอย่างนี้ เข้าใจแจ่มแจ้งให้ดีเหมือนกับอยู่บนที่สูงแล้วมองเห็นไปทั่วทุกทิศทุกทาง ว่าระบบปฏิบัติพระศาสนามันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ มันตั้งต้นที่ไหน มันเป็นไปอย่างไรตามลำดับ ท่านก็จะประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม มาที่นี่ จะช่วยกันประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น หรือเร็วขึ้น มันก็แล้วแต่การกระทำของท่านทั้งหลาย อาตมากำลังปรับความเข้าใจ ให้ใช้สติปัญญาให้ถูกต้อง ให้ไปสู่ ความสำเร็จ นี่พูดกันนี่สองชั่วโมงแล้ว มันจะมากเกินไปแล้ว ต้องขอยุติการบรรยาย ขอบพระคุณในการเป็นผู้ฟังที่อดทน ทนฟังมาได้สองชั่วโมงแล้ว ขอบคุณนะสำหรับความเป็นผู้ฟังที่อดทน จงไปคิด ไปพินิจพิจารณา ทำให้สำเร็จได้ตามที่กล่าวมานี้แล้วก็จะได้รับสิ่งที่เป็นประโยชน์ เอาไปใช้ในชีวิตหน้าที่การงานของตน ของตนแล้ว ขอให้มีความสุขสวัสดีอยู่ทุกทิวาราตรีกาลเทอญ
ขอยุติการบรรยาย