แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย เราได้จัดการกับปัญหาเรื่องน้ำชาล้นถ้วย หรือกระเชอก้นรั่ว หรือแม่ปูเดินให้ลูกดูไม่ได้ เป็นที่เข้าใจกันอย่างเพียงพอในเบื้องต้นแล้ว บัดนี้ก็จะได้พูดถึงเรื่องที่เป็นความมุ่งหมายของการศึกษาและการปฏิบัติสืบไป นั่นก็คือเรื่องแฝด 2 เรื่อง คือเรื่อง “ปฏิจจสมุปบาท” กับ “อานาปานสติ” มันต้องพูดทีเดียว 2 เรื่องเพราะมันเนื่องกัน เลยไม่อาจจะแยกกัน เรื่องอานาปานสติเป็นตัวการปฏิบัติ เรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องบอกให้รู้ว่าทำไมจะต้องปฏิบัติ และจะปฏิบัติอย่างไร ในการพูดนี้เป็นการพูดนำ หรือว่าเป็นการเยี่ยมชมในชั้นต้นทั่วๆไปก่อน ไม่ได้พูดโดยรายละเอียด ซึ่งจะพูดทีหลัง เหมือนอย่างว่าชาวต่างประเทศเค้าจะมาดูกรุงเทพฯ เราก็ควรจะพาเค้าขึ้นเรือบินดูคร่าวๆ ทั่วๆไปก่อนแล้วจึงค่อยดูโดยรายละเอียด อย่างนี้ก็จะได้ผลกว่า เรื่องปฏิจจสมุปบาท อานาปานสตินี้ก็เหมือนกัน ในครั้งแรกนี้เราจะดูกันอย่างคร่าวๆ มีหัวข้อที่จะเรียกในวันนี้ว่า การเยี่ยมชมปฏิจจสมุปบาทและอานาปานสติอย่างคร่าวๆ นำไปดูนำไปเยี่ยมชมปฏิจจสมุปบาทและอานาปานสติอย่างคร่าวๆ โดยเค้าโครงทั้งหมดก็ดูจากเบื้องบน แล้วจึงค่อยศึกษารายละเอียดในเบื้องล่าง มันง่ายดี สิ่งทั้ง 2 นี้มันเนื่องกัน ปฏิจจสมุปบาท เป็นหลักวิชาที่ต้องรู้ ต้องเข้าใจ อานาปานสติเป็นการปฏิบัติให้ครบถ้วนถูกต้องตามหลักวิชานั้น มันแยกกันไม่ได้อย่างนี้เอง แล้วการที่เราจะมีชีวิตอยู่อย่างผาสุขมันก็ต้องมีชีวิตอยู่อย่างคลุกเคล้ากันไปในระหว่างปฏิจจสมุปบาท กับอานาปานสติ ในตัวชีวิตของเรามีการเป็นอยู่ หรือการกระทำที่มันคลุกเคล้ากันไปในระหว่างสิ่งทั้ง 2 นี้ ดังนั้น จึงต้องพูดพร้อมกัน 2 เรื่อง พูดกัน 2 เรื่อง
เรื่องแรกก็คือ “ปฏิจจสมุปบาท” ออกเสียงคำๆ นี้ตามพระบาลีเค้าออกเสียงว่า “ปะ-ติด-จะ-สะ-มุบ-บาท” แต่ใครที่เป็นนักดนตรีเป็นศิลปินอยากจะเรียกชื่อให้มันเพราะไปอีกก็ได้เหมือนกันว่า “ปะ-ติด-จะ-สะ-มุบ-ปะ-บาท” ก็ได้ คำแปลอย่างเดียวกัน แต่ว่าตัวบาลีแท้ๆ “ปะ-ติด-จะ-สะ-มุบ-บาท” ปฏิจจสมุปบาท แปลว่า อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น ภาษาฝรั่งก็แปลตามตัวง่ายๆว่า Dependent Origination อาศัยกันแล้วเกิดขึ้นเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท ชื่อมันค่อนข้างจะยาวมันก็แปลกหู แต่พอพูดกันจนชินแล้วเป็นของธรรมดาๆ ไม่ยากไม่ลำบากอะไร เรื่องปฏิจจสมุปบาทมันก็มี เคยมีปัญหา พระอานนท์กราบทูลพระพุทธเจ้าว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ลึกซึ้งพอประมาณเท่านั้นแหละ ยาวคมฺภีรา ตามใจความเค้าว่าลึกซึ้งพอประมาณ ข้าพระองค์รู้สึกว่ามันลึกซึ้งพอประมาณ พระพุทธเจ้าท่านก็ว่าอย่าๆๆ อานนท์อย่าพูดอย่างนั้น มันไม่ใช่ยาวคมฺภีรา มันเป็นอติคมฺภีรา มันลึกซึ้งที่สุดลึกซึ้งอย่างยิ่ง นี่แปลว่าเรากำลังพูดหรือไปแตะต้องสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยึ่ง ต้องพยายามใช้สติปัญญาให้สุขุมรอบคอบ เราจะต้องมีคำอธิบายที่ใช้ได้ทั่วไปแก่บุคคลทุกระดับ หมายถึงอะไร มันหมายถึงอะไร มันไม่ใช่เป็นคำพิเศษศักดิ์สิทธิ์เข้าใจไม่ได้อยู่ในพระคัมภีร์ เป็นไสยศาสตร์ไปซะอีก อย่างนี้มันใช้ไม่ได้ มันต้องเป็นเรื่องที่เห็นชัดๆอยู่ในที่ทั่วๆไป กระทั่งที่เนื้อ ที่ตัว ที่ร่างกาย ที่จิตใจของเรา ไม่ใช่เรื่องในพระคัมภีร์ ช่วยทำความเข้าใจเรื่องนี้กันอย่างนี้ก็แล้วกันว่า ถ้าพูดกับเด็กๆ เราก็พูดลูกเอ๋ยหลานเอ๋ย เพราะมีดวงอาทิตย์ มันก็ดูดน้ำที่มีอยู่บนโลกเป็นไอน้ำ เป็นไอน้ำลอยขึ้นไปเรื่อย โดยเฉพาะจากทะเล ก็มีดวงอาทิตย์ ไอน้ำยังถูดดูดขึ้นไปเป็นไอน้ำ พอไอน้ำมันมากเข้าก็ไปเป็นเมฆ พอเมฆมันมากเข้าๆ มันก็หนักแล้วมันเย็นก็กลายเป็นฝนตกลงมา พอฝนตกลงมาทางเดินของเราก็ลื่น เพราะทางเดินของเรามันลื่นแกก็หกล้ม เมื่อแกมันหกล้มหัวของแกก็แตก แกมันเจ็บมันร้องไห้ เมื่อแกมันเจ็บร้องไห้แม่ต้องพาไปหาหมอ หมอก็รักษาแผลของแกให้หาย หัวเราะได้อย่างเดิม ข้อที่มันต้องอาศัยกันแล้วเกิดขึ้นๆ อย่างนี้ เรียกว่า อาการแห่งปฏิจจสมุปบาท เอ้า!! พูดอีกทีหนึ่งจะพูดให้ชาวนาฟัง มีดวงอาทิตย์ดูดน้ำขึ้นไป ไปเป็นเมฆ เป็นเมฆได้ไม่กี่มากน้อยก็ไปทำฝนเทียมซะหมด มันไม่มีเมฆเหลือสำหรับจะเป็นฝนตกตามฤดูกาล แกก็ไม่มีน้ำทำนาตามฤดูกาลแกก็ลำบาก เนี่ยมันอาศัยกันอย่างนี้ แกเป็นชาวนารู้เพียงว่า น้ำดีฝนดี น้ำดีก็ทำนาได้ดี ทำนาได้ดีก็ขายข้าวได้มาก เมื่อมีเงินมากสะดวกสบาย หรือว่าเค้าเป็นข้าราชการ เค้าเรียนมาดี ทำงานดี ได้เงินเดือนดี ต่อมาอวิชชาครอบงำ ผัวก็ชอบกินเหล้า เมียก็ชอบเล่นการพนัน ไปสมคบกันโกงถูกจับได้เค้าจะไล่ออก พวกญาติทั้งหลายต้องช่วยกันเรี่ยไรเงินออกมาช่วยกันไว้ ไม่ต้องติดคุกติดตะราง เพราะมันอาศัยกันเป็นทอดๆๆ อย่างนี้ เรียกว่า อาการของปฏิจจสมุปบาท
ทีนี้มันไม่ใช้อาการของคนแต่ละคนอย่างนี้ มันหมดทั่วไปทั้งจักรวาล มันมีโซล่าร์ซิสเต็มส์ ระบบสุริยะจักรวาล มันมีดวงอาทิตย์ มันมีดวงดาว มันมีดวงจันทร์ มันมีโลก มีอะไรสารพัดอย่าง เนื่องกันๆๆแล้วก็เป็นอยู่อย่างนี้ มันเป็นเรื่องของธรรมชาติอันลึกซึ้งเกี่ยวพันกันอยู่ ความเป็นอยู่ของมนุษย์เราชีวิตจิตใจของเรามันขึ้นอยู่ หรือฝากเอาไว้กับตัวธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ อาศัยกันอยู่อย่างนี้ เมื่อเป็นไปอย่างถูกต้อง มันก็ไม่มีปัญหา มีความสงบสุข ถ้ามันโง่ๆ มีอวิชชาเข้ามาแทรกแซงมันผิดไปจากความถูกต้องจากความจริง ก็มีปัญหา พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นหลักใหญ่ๆว่า เพราะสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ไม่รู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท จึงได้ติดบ่วงอยู่ในวัฏฏะ คือ การเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะ มีกิเลส แล้วทำกรรม แล้วรับผลกรรม แล้วมีกิเลส ทำกรรม แล้วรับผลกรรมไม่ทีที่สิ้นสุด นี่วัฏฏะพูดอย่างวิทยาศาสตร์ วัฏฏะพูดอย่างปรัมปรา ก็เวียนว่ายตายเกิด เวียนว่ายตายเกิด เกิดมาแล้วเข้าโลง เข้าโลงแล้วก็มาเกิดใหม่ เกิดใหม่แล้วเข้าโลง เข้าโลงแล้วมาเกิดใหม่ วัฏฏะอย่างนี้เป็นคำพูดที่เค้ามีอยู่ก่อน ไม่ลึกซึ้งอะไร วัฏฏะเดี๋ยวนี้ที่นี่ซิ ที่มันเวียนอยู่วันหนึ่งไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยครั้ง มีกิเลสเป็นเหตุให้ทำกรรรมแล้วรับผลกรรม มันไม่หยุดกิเลสก็ทำกรรมอีก มันจึงเวียนอยู่ที่ กิเลส กรรม วิบาก กิเลส กรรม วิบากๆๆ เพระไอคนโง่มันไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาทมันจึงได้ติดบ่วงอยู่ในวัฏฏะ หรือว่าถ้าพูดเฉพาะคน เมื่อไม่มีความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทเนี่ย มันมืดมน มันยุ่ง จิตมันยุ่ง ท่านใช้คำว่าจิตมันยุ่ง คำว่า “ยุ่ง” ในบาลีอุปมาอยู่ 2 อย่าง คือ เหมือนกับกลุ่มด้าย เศษด้าย กลุ่มด้ายที่ขยุกๆ ปั้นเป็นก้อนไว้ มันยุ่งมันสางยาก เหมือนกลุ่มด้ายยุ่ง กลุ่มด้ายที่มันสะสมปนเปกันยุ่ง นี่ก็เรียกว่ากลุ่มด้ายยุ่ง บางทีก็เรียกว่า หญ้ามุญชะ หญ้าปัพพชะ เป็นหญ้าชนิดหนึ่งมันประสานกันยุ่ง จนไม่รู้ว่าโคนอยู่ที่ไหน ปลายอยู่ที่ไหน อุปมาด้วยหญ้าอย่างนั้นก็มี เป็นอันว่ามันยุ่งจนสางไม่ไหวสางยาก เพราะเค้าไม่รู้ปฏิจจสมุปบาทจิตมันก็ยุ่ง
แต่อาตมาคิดว่ายังไม่สำคัญ เพราะไม่รู้ปฏิจจสมุปบาทมันไม่มีโอกาสที่จะได้รู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ข้อนี้เข้าใจว่าท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่เคยได้ยินได้ฟังแล้วทั้งนั้น คือคำศัพท์ที่ตรัสว่า “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดไม่เห็นธรรม แม้จะจับมุมจีวรของเราถือเอาไว้ไม่ปล่อย ก็ไม่ชื่อว่าเห็นเรา เพราะเค้าไม่เห็นธรรม” ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม บาลีมันมีอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ก็มีผู้พูดต่อ พระสารีบุตรกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ข้าพองค์ได้ฟังมาจากพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าอย่างนี้ เมื่อเห็นธรรมคือเห็นปฏิจจสมุปบาท เมื่อเห็นปฏิจจสมุปบาทคือเห็นธรรม เห็นธรรมคือเห็นพระองค์ พระองค์จริง เห็นบุคคล พระองค์บุคคลเป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ลูกคนนั้นหลานคนนี้เกิดที่นั่นที่นี่ ไม่เห็นธรรมแล้วก็ไม่ชื่อว่าเห็นเรา คือเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง แต่เมื่อได้เห็นปฏิจจสมุปบาทว่าความทุกข์เกิดอย่างนี้ อาศัยกันเกิดอย่างนี้ อาศัยกันดับลงอย่างนี้ ชื่อว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ดังนั้นการเห็นปฏิจจสมุปบาทคือเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง เห็นเราตัวจริง ไม่ใช่เห็นเราเป็นตัวบุคคล เดี๋ยวนี้เราเองอย่าอวดดีไป รู้จักแต่พระพุทธเจ้าองค์บุคคล ยิ่งพวกฝรั่งนี่ยิ่งแล้วเลย มันอ่านแต่หนังสือพุทธประวัติ พูดถึงพระพุทธเจ้าอย่างบุคคลในประวัติศาสตร์ เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านปฏิเสธ มันไม่ใช่ฉัน เห็นธรรมะต่างหากจึงจะเห็นฉัน พวกฝรั่งยังไม่นิยมหลักที่ว่าเห็นธรรมะแล้วจึงเห็นพระพุทธเจ้า ก็ศึกษาพุทธประวัติอย่างบุคคลศึกษา ประวัติพุทธศาสนาอย่างทางวัตถุ มันก็ไม่เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง
ขอให้พวกเราไทยๆ ที่ว่านับถือพุทธศาสนาเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม คือพระองค์จริง คือเห็นปฏิจจสมุปบาทว่าความทุกข์อาศัยกันอย่างนี้แล้วเกิดขึ้น อาศัยกันอย่างนี้แล้วดับลงไป นี่ชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม พระองค์จริง พระองค์นิรันดร พระองค์นี้ไม่ประสูติ ไม่ตรัสรู้ ไม่นิพพาน คนโง่ก็จะเห็นแต่พระพุทธเจ้าองค์ที่ประสูติ ตรัสรู้ และนิพพาน แต่พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ไม่ประสูติ ไม่ตรัสรู้ ไม่นิพพาน คงอยู่ตลอดกาลนิรันดรเป็นกฎของธรรมชาติ เด่นอยู่อย่างนี้ เนี่ยพระพุทธเจ้าพระองค์จริง องค์ที่ไม่ประสูติ ไม่ตรัสรู้ ไม่นิพพาน ไม่ใช่ลูกหลานคนนั้นหลานคนนี้เกิดที่เมืองนั้นที่เมืองนี้ อายุเท่านั้นเท่านี้ พระพุทธเจ้าพระองค์คนๆ ที่บอกให้รู้ธรรม มาสอนให้รู้ธรรม นั่นแหละพระองค์คน แต่พระองค์จริงคือพระองค์ธรรม ไม่มีประสูติ ไม่มีตรัสรู้ ไม่มีนิพพาน ขอให้รู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นก็จะไม่เสียทีที่เป็นพุทธบริษัท ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม” เราเลยได้พระพุทธเจ้าเป็น 2 องค์ พระองค์บุคคลมีประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน ซ้ำๆซากๆ นับกันไม่ถูกว่ากี่องค์ แต่พระองค์จริงพระองค์เดียวตลอดกาลนิรันดรไม่ประสูติ ไม่ตรัสรู้ ไม่นิพพานไม่อะไรหมด เป็นกฎตายตัวอยู่อย่างนี้ว่า อาศัยเหตุปัจจัยอย่างนี้ทุกข์เกิดขึ้น อาศัยเหตุปัจจัยอย่างนี้ทุกข์ดับลงไป เห็นที่ไหนๆ เห็นพระพุทธเจ้าเห็นที่ไหน เห็นได้ทุกสิ่งในจักรวาล ทุกสิ่งรอบตัวเรา เห็นจากทุกสิ่งภายในตัวเรา อาการ 32 ธาตุทั้ง 4 ขันธ์ ธาตุอายตนะ ก็มีอาการแห่งปฏิจจสมุปบาทอยู่ทั้งนั้น เพราะงั้นเราเห็นพระพุทธเจ้าได้ภายในตัวเรา โดยการที่อาศัยปัจจัยและทุกข์เกิดขึ้น อาศัยปัจจัยและทุกข์ดับไป นี่คือองค์พระพุทธเจ้าองค์ธรรม แต่ไม่เห็น เพราะมีอะไรบังเสียๆ นั่นก็คือม่านแห่งความโง่ของเรา ม่านเห่งความโง่ของเราคืออวิชชา
ขอเตือนซ้ำอีกทีว่าไปดูภาพในโรงมหรสพทางวิญญาณ ภาพแรกซ้ายมือเข้าไปประตูแรก พระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณ พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่อินเดีย ไม่ได้อยู่ที่วัด ไม่ได้อยู่ที่ไหนอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณ เปิดม่านแห่งความโง่ของคุณออกก็จะพบกับพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ที่ตรงนั้น นี่พระพุทธเจ้าในภายในพระพุทธเจ้าที่เป็นองค์ธรรม เป็นอย่างนี้ แต่ทีนี้เราเห็นไม่ได้เพราะมันมีม่านของอวิชชาบังอยู่ ทำลายอวิชชากันเสียด้วยความรู้และการปฏิบัติอย่างที่เรากำลังกระทำนี่แหละ จะทำให้เราได้เห็นได้พบกับพระพุทธเจ้าพระองค์จริงที่ประทับอยู่หลังม่านแห่งความโง่ของเราเอง ช่วยจำความข้อนี้ไว้ดีๆ ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์จริงพระองค์ธรรมประทับนั่งอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของเรา ไม่ได้อยู่ในโบสถ์ ไม่ได้อยู่ที่วัด ไม่ได้อยู่ที่อินเดีย ไม่ได้อยู่ที่ไหน ที่เสียเงินเสียทอง ไปดูไปหากันอย่างไม่ได้รับประโยชน์อะไร เพราะพระองค์จริงนั่งอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณ เนี่ย!!พระพุทธเจ้าพระองค์จริงคือ ปฏิจจสมุปบาท คือกฎของปฏิจจสมุปบาทมีความสำคัญกี่มากน้อยท่านทั้งหลายคำนวณดูเอาเองว่ามันเป็นอย่างไร ปฏิจจสมุปบาทมีความสำคัญมากสำคัญน้อยอย่างไร ไม่ลึกซึ้งจนถึงกับเข้าใจไม่ได้ แต่อย่าเข้าใจว่าไม่ลึกซึ้งหรือลึกซึ้งพอประมาณ พระพุทธเจ้าท่านให้ถือว่าเป็นเรื่องลึกซึ้งที่สุด เป็นเรื่องลึกซึ้งที่สุดในบรรดาเรื่องที่ลึกซึ้งทั้งหลาย แต่ก็ไม่ได้ลึกซึ้งจนเข้าใจไม่ได้ มันอยู่ในลักษณะที่เข้าใจได้ ขอให้พยายามๆ ฟังเรื่องปฏิจจสมุปบาทให้ดีๆ แล้วปฏิบัติอานาปานสติให้ได้ ก็จะมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงคือมีปฏิจจสมุปบาทดับทุกข์ได้ ดับทุกข์ได้สิ้นเชิง มันมีประโยชน์อย่างนี้ เป็นกฎมีอยู่ในทุกๆปรมาณู อย่างเอาเปรียบหน่อยก็ว่า กฎปฏิจจสมุปบาทมันมีอยู่ในทุกๆปรมาณูที่ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาลทั้งหมดทั้งสิ้นในทุกๆปรมาณู มีกฎของปฏิจจสมุปบาทหาพบพระพุทธเจ้าได้ในทุกๆปรมาณูที่มันประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาลอันใหญ่หลวงนี้
เราไม่อาจจะศึกษาจากหนังสือ หรือฟังจากคำพูดอย่างที่อาตมาพูดอยู่เนี่ย ไม่สำเร็จประโยชน์เพียงเท่านี้ แต่ก็ต้องฟังต้องศึกษาต้องเข้าใจแล้วไปทำการปฏิบัติให้พบตัวจริง แล้วก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ให้ได้ การเพียงแต่ได้ยินได้ฟังมันไม่สำเร็จประโยชน์ ต้องเอามาทำโยนิโสมนสิการ เข้าใจๆๆๆแล้วปฏิบัติ ปฏิบัติเห็นแจ้งประจักษ์แก่ใจ เป็นวิปัสนา เป็นยถาภูตสัมมัปปัญญา เป็นยถาภูตญาณทัสนะ เห็นประจักษ์แก่จิตใจไม่อยู่ใต้เหตุผล ไม่ต้องอาศัยเหตุผล ประจักษ์แก่จิตใจ ใช้ได้ในการดับทุกข์ ข้อนี้มันมีปัญหายุ่งยากอยู่ว่า เราไม่ได้ฟังอย่างถูกต้อง เรื่องปฏิจจสมุปบาท อธิบายอย่างผิดๆก็มี เอามายึดถือเป็นหลักเป็นเกณฑ์เสียก็มี อย่างนี้ล้มเหลว มันต้องได้ฟังอย่างถูกต้องแล้วมาทำโยนิโสมนสิการอย่างถูกต้อง ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎนั้น แล้วก็จะได้รับผลคือ มีปฏิจจสมุปบาทชนิดที่ดับทุกข์ได้ มีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงอยู่กับเรา โปรดเราสำเร็จ ให้เราดับทุกข์ได้ เราสามารถรู้และปฏิบัติตามกฎปฏิจจสมุปบาทได้สำเร็จ ปฏิจจสมุปบาทที่สอนกันอยู่ในโรงเรียน คำอธิบายของพุทธโกศาจารย์มักจะเขวไปในทางที่มีตัวตน ข้ามภพข้ามชาติ เกิดข้ามภพข้ามชาติมีตัวตน อย่างเนี้ยไม่ตรงตามพุทธสุภาษิต เพราะว่าปฏิจจสมุปบาทจะพูดเรื่องไม่มีตัวตนๆ ยังแถมไม่มีที่จะบัญญัติว่าดี ว่าชั่ว ว่าบุญ ว่าบาป ว่ากุศล ว่าอกุศลเสียด้วย มันเป็นเพียงกระแสของปฏิจจสมุปบาทตามธรรมชาติ ใครชอบใจตรงไหนก็ว่าเป็นกุศลเป็นสุข ใครไม่ชอบใจตรงไหนก็ว่าบาป ว่าอกุศล ว่าเป็นทุกข์ แต่ตัวปฏิจจสมุปบาทไม่ได้มุ่งแสดงอย่างนั้น มุ่งแสดงว่าทุกข์เกิดขึ้นอย่างนั้น ทุกข์ดับลงอย่างนี้ นี่เป็นตัวปฏิจจสมุปบาท ถ้าไม่มองเห็นว่า โอ้!! มันไม่ใช่ตัวตน มันไม่มีตัวกูของกู แล้วมันก็ไม่มีกุศล ไม่มีอกุศล หรือไม่มีอะไรที่จะบัญญัติเป็นคู่ๆๆ เป็นบวกเป็นลบมันไม่มีนั่นแหละ ความรู้ของปฏิจจสมุปบาทช่วยได้ถึงขนาดนี้
ทีนี้เราก็รู้แล้วว่าความทุกข์มันเกิดขึ้นอย่างนี้ คือเกิดขึ้นเพราะมีความโง่ในขณะแห่งผัสสะ ประโยคสั้นๆ นี้กรุณาช่วยจำให้ดี ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีอวิชชาในขณะแห่งผัสสะ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง มีการกระทบทางอายตนะ เกิดวิญญาณขึ้นมาทำหน้าที่อันนั้น เรียกว่าผัสสะ ถ้าตรงนี้โง่แล้วต้องมีความทุกข์ ถ้าตรงนี้ไม่โง่มีปัญญามีวิชา แล้วไม่มีความทุกข์ จะต้องมีสติเมื่อมีผัสสะ มีปัญญามาคลุมเมื่อมีผัสสะ มีสัมปชัญญะเพียงพอ มีสมาธิเพียงพอเมื่อมีผัสสะ นี่ตามธรรมดามันไม่มีหนิ เราเกิดมาจากท้องแม่ มันไม่มีหนิ มันมีนิดๆหน่อยๆตามธรรมชาติ มันไม่พอ มันสติบ้าง สัมปชัญญะบ้าง ปัญญาบ้าง สมาธิบ้างนิดๆหน่อยๆ มีสมาธิพอหยอดหลุมได้ มันไม่พอ มันต้องมีสติปัญญาสัมปชัญญะสมาธิเต็มที่ ถึงจะมีการควบคุมผัสสะได้ดี ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องฝึก การฝึกอีกระบบหนึ่งที่จะทำให้เรามีสติปัญญาสัมปชัญญะสมาธิอย่างเพียงพอ นั่นก็คือฝึกอานาปานสติ ถ้าท่านทั้งหลายประสบความสำเร็จในการฝึกอานาปานสติอย่างที่จะจัดให้ทำนี้แล้ว ท่านจะมีสติปัญญาสัมปชัญญะสมาธิพอใช้ในการที่จะควบคุมผัสสะ ควบคุมเมื่อมีผัสสะด้วยสติ ความทุกข์ก็ไม่เกิด ปัญหาก็ไม่มี ฉะนั้นต้องรู้ปฏิจจสมุปบาท รู้จักหลักเกณฑ์ รู้จักอะไรต่างๆ ปฏิบัติให้มันมีขึ้นมาด้วยอานาปานสติ แล้วก็จะมีสติปัญญาสัมปชัญญะสมาธิควบคุมกระแสปฏิจจสมุปบาทได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่เรียกว่าผัสสะ แล้วก็จะได้พูดถึงอานาปานสติในลักษณะเยี่ยมชมอย่างคร่าวๆอีกต่อไปเป็นเรื่องที่สอง
อานาปานสติ แปลว่า สติกำหนดความจริงอันสูงสุดข้อใดข้อหนึ่งอยู่ทุกครั้งที่หายใจออกเข้า คำบัญญัติออกจะยาวสักหน่อยนะ สติกำหนดอยู่ที่ความจริง ธรรมะความจริงอันเด็ดขาดอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ทุกครั้งที่หายใจออกเข้า แล้วตัวความจริงตัวธรรมะที่เอามาใช้เป็นเครื่องกำหนดนั้น เลื่อนได้สูงขึ้นไปๆ ลึกขึ้นไปๆ จนถึงที่สุด แล้วมันก็จบเรื่องเพราะมันลึกถึงที่สุด ครั้งแรกอาจจะกำหนดเพียงลมหายใจก็ได้ ต่อมาก็กำหนดสิ่งต่างๆที่มันเกี่ยวกับลมหายใจ จนกระทั่งกำหนดอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่ทุกครั้งที่หายใจ รู้ธรรมะสูงขึ้นไปจนถึงที่สุดว่าหลุดพ้นแล้วอย่างนี้ก็ได้ กำหนดธรรมะอันสูงสุดอยู่อย่างใดอย่างหนึ่งทุกครั้งที่หายใจออกเข้า ออกเข้าหรือเข้าออกในบาลีมันเขียนกันอยู่ เรามีสิทธิที่จะใช้คำว่าออกเข้า หรือเข้าออกได้ตามที่เราพอใจ ตัวหนังสือคำนี้อธิบายเขียนอยู่ อานาปานสติมีสติกำหนดสัจจะหรือความจริงอันสูงสุดของธรรมชาติอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ทุกครั้งที่มีการหายใจออกเข้า นั่นคือ อานาปานสติ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเองว่า เมื่อตถาคตอยู่ด้วยอานาปานสติเป็นวิหารธรรม ตถาคตก็ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ต้องมีอานาปานสติเป็นวิหารธรรมตลอดเวลาจนกระทั่งวันตรัสรู้ ทรงให้ใช้อานาปานสติแก้ปัญหาต่างๆสารพัดอย่าง แม้กระทั่งทางวินัยที่เกิดยุ่งยากลำบากขึ้นมา ภิกษุพิจารณากายคตานุสติ มรณานุสติบางอย่างจนฆ่าตัวตาย ท่านว่ามันโง่ มันไม่ใช่ อุบายที่ละเอียด คืออานาปานสติ มันไปศึกษาอุบายที่หยาบจนเกลียดชีวิต เกลียดร่างกายแล้วฆ่าตัวตายกันเป็นฝูงๆอย่างนี้ ท่านใช้อานาปานสติแก้ปัญหาอันลึกซึ้งยุ่งยากสูงสุดทุกอย่างทุกประการ ทรงเสนอว่านี่เป็นวิธีที่จะทำให้บรรลุธรรมะ ตรัสรู้ธรรมะ หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง เรียกว่าพระองค์ทรงเสนอ ระบบปฏิบัติที่พระพุทธองค์ทรงเสนอ ทรงแนะได้ว่านี่เป็นทางรอด แต่เราก็ไม่ค่อยสนใจ บางทีไม่ได้สนใจ ไม่อยากจะสนใจ ได้ยินแต่ชื่อยังไม่สนใจ มันก็ไม่รู้จักอานาปานสติ
ที่นี้จะพูดให้เข้าใจอย่างละเอียดลึกซึ้งทั่วถึง มันเป็นความรู้ ความลับของธรรมชาติที่มนุษย์ค่อยๆรู้เอง ขึ้นมาตามลำดับๆ ในเบื้องต้นๆ จนกระทั่งมาสูงสุดๆๆๆ ทำให้บรรลุมรรคผล เพราะว่าถ้าทำความรู้สึกในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ทุกครั้งที่หายใจออกเข้าก็เรียกอานาปานสติได้ทั้งนั้นเลย แล้วมันยังลึกลงไปอีกหน่อยว่าถ้าจัดการสิ่งใดเกี่ยวกับลม บังคับลม เรียกว่าอานาปานสติได้ทั้งนั้น กล่าวได้โดยไม่ต้องกลัวใครค้านว่าตั้งแต่มนุษย์ยังเป็นคนป่าไม่นุ่งผ้า มันรู้จักจัดการกับลมหายใจใช้ลมหายใจให้เป็นประโยชน์ รู้จักควบคุมลมหายใจไปตามระเบียบ ตามความรู้ของคนป่า จุดตั้งต้นของอานาปานสติมันมีมาอย่างนี้ แล้วมันสูงขึ้นมาๆๆ มาตกอยู่ในกำมือของมุนีฤาษีชีไพรก็รู้สูงขึ้นๆๆ แล้วต่อมาอยู่ในกำมือของพระพุทธเจ้าก็สูงถึงที่สุด เมื่อเด็กๆอาตมาอ่านหนังสือรามเกียรติ์ เสร็จแล้วเป่ารูปขึ้น 3 ที 7 ชั่วอินทรีย์ก็เสื่อมหาย ลุกขึ้นไปรบได้ มันถูกตีแหลกนอนจมกองเลือดอยู่ เกิดอานาปานสติเป่ารูปเป็น 3 ที 7 ชั่วอินทรีย์ก็เสื่อมหายลุกขึ้นรบได้อีก นี่แม้แต่พวกยักษ์ พวกมาร บ้าๆบอๆ มันก็รู้อานาปานสติ รู้จักการใช้ประโยชน์ของอานาปานสติคือลมหายใจ คำเดิมๆ ก่อนคำนี้มีคำว่า “ปราณยาม” แปลว่า บังคับลมหายใจ ปราณลมหายใจ อายามวิธีบังคับ ปราณยามบังคับลมหายใจ คนป่ารู้มาตามแบบคนป่ารู้สูงขึ้นๆๆ กระทั่งรู้ง่ายๆ ว่าเลือกออกบังคับจิตบังคับลมหายใจให้ละเอียดเลือดจะออกน้อย แล้วเลือดจะหยุดได้ คนป่ามันก็รู้ เนี่ยบังคับลมหายใจมีผลแก่ร่างกาย บังคับพร้อมกันไปได้ทั้งลมหายใจและร่างกายมันก็ใช้กันมาอย่างนี้ คาถาอาคมก็เกิดขึ้นโดยวิธีอย่างนี้ แม้ในหมู่พวกคนป่าซึ่งเป็นบรรพบุรุษของคนเมืองคนเดี๋ยวนี้แหละ มาจากคนป่าทั้งนั้นแหละ อย่าไปดูถูกคนป่า ความรู้เรื่องปราณยามบังคับลมหายใจนั้นเก่าแก่ที่สุด เก่าแก่ดึกดำบรรพ์ที่สุด เป็นสติปัญญาของมนุษย์เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ แต่ในระดับที่ต่ำมากๆ มันวิวัฒนาการสูงขึ้นมาๆๆ พอฤาษีมุนีมาค้นพบ เออ!! วิธีนี้อยู่ได้เป็นสุขที่สุด ฉันก็เข้าฌานนานนับเดือน ไม่เขยื้อนเคลื่อนกายา จำศีลกินวาตา เป็นผาสุกทุกคืนวัน ในหนังสือเด็กเรียนของสุนทรภู่ รู้จักทำอานาปานสติมีความสุขไม่ต้องกินข้าวหลายๆวันก็ได้ แต่เท่านั้นมันยังไม่สูงสุดอะไร มันมาสูงสุดที่ควบคุมกิเลสได้ ระงับกิเลสได้ กิเลสไม่เกิด นี่มันสูงสุดอย่างนี้ ในอินเดียมีมาแต่ดึกดำบรรพ์แล้วก็สูงขึ้นๆๆๆ จนเป็นวิชาธรรมดาที่ประชาชนจะต้องเรียนรู้ โดยเฉพาะคนหนุ่มทั้งหลาย เค้าจะต้องเรียนวิชานี้ด้วยกันทุกคน มันจึงแพร่หลายมาก จนเด็กชายสิทธัตถะอายุ 7 ขวบ ก็ทำได้ที่ใต้ต้นหว้าแลกนาขวัญ คิดดูซิ ถ้ามันไม่แพร่หลายมาก ก็ทำไม่ได้ขนาดนั้น ใครๆก็รู้ ใครๆก็ทำ แต่ว่ามันไม่มุ่งมาที่นี่ ไม่มุ่งมาที่ตัดกิเลสหรือดับทุกข์โดยตรง มันมุ่งที่ประโยชน์ทางฟิสิกส์ ทางวัตถุ ทางเนื้อหนัง ทางอะไรกันไป แล้วก็เชื่อว่าทำให้มีฤทธิ์มีเดช ทำการงานได้สำเร็จ ทำการงานที่ยากลำบากได้สำเร็จ เพราะกำลังของจิตที่ฝึกดีแล้ว จึงอยู่ในหลักสูตรของมนุษย์ ที่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในหน้าที่การงาน จะต้องมีความรู้เรื่องฝึกจิตๆๆ คนหนุ่มโดยเฉพาะในวรรณะกษัตริย์ต้องรู้จักฝึกจิตในตอนหนุ่ม
แล้วมันก็มีหัวใจสำคัญอยู่ที่ปราณยาม การบังคับปราณหรือลมหายใจ ท่านฟังแล้วท่านก็จะเห็นได้เองโดยไม่ต้องมีใครบอกว่า มันใช้ได้เรื่องโลกๆ ในโลก แล้วมันใช้ได้ใน โลกุตตระ พ้นโลกเหนือโลก สำหรับทำการงานได้ดี คิดนึกได้ดี จำเก่ง ตัดสินใจเก่ง กระทั่งห้ามเลือดก็ได้อย่างนี้ มันเป็นเรื่องโลกๆ แต่ถ้ามันไปรู้จักทำกิเลสให้หมดสิ้นก็เป็นเรื่องโลกุตระ ความรู้เรื่องอานาปานสตินี่มันก็ช่วยให้สำเร็จประโยชน์ได้ทั้งเรื่อง โลกียะ-โลกุตตระ ถ้าว่าทุกคนในโลกมีความรู้เรื่องอานาปานสติ สามารถหาความสุขเฉพาะตนได้ทุกคน มันก็ไม่มีใครไปฆ่าฟันกันที่ไหน ไม่ต้องไปรบราฆ่าฟันกันที่ไหน สันติภาพก็มีเต็มทั้งโลก เพราะว่าสามารถหาความสุขอันแท้จริงได้จากภายใน คือการบังคับจิตใจหรือลมหายใจ มีความสุขพอใจแล้วจะไปฆ่าฟันกันทำไม ป่วยการ จริงๆอยากจะพูดว่าสามารถเป็นเครื่องมือแห่งสันติภาพของสากลจักรวาล เพราะการหายใจพิเศษ การหายใจที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นกายสิทธิ์ ที่เป็นอานุภาพกำลังมหาศาลมหึมา หายใจทีเดียวความทุกข์เกลี้ยงหมดไป หายใจทีเดียวอยู่เหนือโลกเหนือจักรวาล หายใจเกลี้ยงจากกิเลสเนี่ยอยู่เหนือโลกเหนือจักรวาล หายใจทีเดียวขับไล่ความทุกข์ออกไปได้หมดสิ้น ไม่มีเหลือ นี่ประโยชน์สูงสุดของอานาปานสติมันถึงขนาดนี้ การหายใจที่สกัดความทุกข์ออกไปหมดสิ้น การหายใจชนิดที่มีอำนาจอยู่เหนือโลกหรือเหนือสิ่งทั้งปวง เรียกว่า อานาปานสติ บังคับจิตได้ตามที่ต้องการ พิจารณาดูว่ามันมีความสำคัญกี่มากน้อย มันเป็นสิ่งที่เราควรจะรู้จัก แต่คนโง่ก็ไม่รู้จัก เป็นสิ่งที่ผู้มีปัญญาควรจะรู้จัก เมื่อรู้จักแล้วก็จะต้องแสวงหามาให้ได้ แสวงมาด้วยการฝึกๆๆๆๆ พอฝึกแล้วมันก็สำเร็จ มันก็มีๆๆๆ มีสิ่งนี้มีอำนาจของสิ่งนี้ แล้วก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ในทุกๆกรณี แล้วก็เป็นผู้รับผลของธรรมะอันสูงสุดอยู่เป็นคู่ของชีวิต เป็นคู่ชีวิตอันแท้จริง คือทำชีวิตนี้ให้มีความสงบสุขได้โดยแท้จริง พอมองเห็นอย่างนี้ จะมองเห็นได้ว่าควรอยู่ในหลักสูตรบังคับให้มนุษย์ทุกคนเรียนรู้เรื่องนี้ ปฏิบัติเรื่องนี้ สำเร็จประโยชน์ในเรื่องนี้ แล้วมันก็ไม่ต้องฆ่ากัน ไม่ต้องเบียดเบียน ไม่ต้องแย่งชิงความสุขอะไรกัน มันก็อยู่ด้วยความสงบ แต่มันไม่มีใครมีอำนาจหนิ ไม่มีพระเจ้าที่ไหนมาบังคับให้ทุกคนศึกษาอานาปานสติ มันมีได้แต่ผู้มีปัญญาพอใจแล้วก็ศึกษา ใครจะบังคับการศึกษาในโลกได้ มันก็ไม่มี การศึกษาในโลกมันไปรับใช้กิเลสเสียหมด รู้อะไรมาก็ไปรับใช้กิเลสเสียหมด คิดของดีๆ วิเศษมา อะไรก็ไปรับใช้กิเลสเสียหมด วิทยุก็ดี ทีวีก็ดี คอมพิวเตอร์ก็ดี เอาไปรับใช้กิเลสหมดแล้ว ไม่ได้มาใช้เพื่อฆ่ากิเลสหรือทำลายกิเลส มันก็เลยไม่ได้อาศัยปัจจัยอันนี้มาบังคับให้ทุกคนต้องเรียนหลักสูตรเรื่องนี้ มีไม่ได้ ไกลเกินความหวัง ได้แต่พูดชี้ชวนอยู่ที่นี่ ตรงนี้ จะเอาสักกี่คนยังไม่ทราบ มันไม่ได้มีอำนาจบังคับ มันได้แต่ชี้ชวนๆ กันอยู่อย่างนี้ ไปตามเรื่องที่จะทำได้ ถ้ามันมาเป็นหลักสูตรการศึกษาบังคับทางจิตทางวิญญาณได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละเป็นโลกพระศรีอริยเมตไตรย์ขึ้นมาในพริบตาเดียว
อำนาจของอานาปานสติ เราบังคับจิตได้ เป็นอย่างนี้ได้ๆๆๆ บังคับให้เป็นเทวดาได้ตรงนั่งอยู่นี้ บังคับจิตให้เป็นพรหม เป็นพรหมโลกได้ที่นี่ บังคับให้บรรลุนิพพาน นิพพานได้ที่นี่ โดยไม่ต้องไปหา คำพูดว่าไปๆ ไปเป็นคำพูดที่โง่ที่สุด ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพาน เป็นคำพูดที่โง่เง่าที่สุดคือไป ยิ่งไปยิ่งไม่ถึงๆๆ โดยเฉพาะนิพพานยิ่งไปยิ่งไม่ถึง ต้องบังคับจิตให้ถูกต้อง ชำระจิตให้ถูกต้อง แล้วนิพพานก็มาครอบเอง เหมือนกับแสงสว่าง ถ้าเราเปิดเครื่องกั้นออกแสงสว่างก็มาถึงเอง นิพพานไม่ต้องไป ไม่ต้องไป ยิ่งไปยิ่งไม่ถึงๆ สวรรค์ก็ไม่ต้องไป ทำจิตให้ถูกต้อง แล้วระบบของสวรรค์บ้ากามนั่นแหละ มันก็มีสวรรค์ที่นี่ทันทีโดยไม่ต้องไป ทำจิตให้เป็นพรหม ไม่นิยมกาม ไม่นิยมรูป ไม่นิยมอรูป มันก็เป็นพรหมโลกขึ้นมาที่นี่ทันทีไม่ต้องไป คนที่พูดว่าไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพาน เป็นคนโง่หลับตาพูดที่สุด ขอยืนยันอย่างนี้ เอ้า!! ช่วยกันด่าอาตมาหน่อยเร็ว อาตมาพูดอย่างนี้ว่ามันเป็นคนโง่ที่สุด ที่มันจะพูดว่าไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพาน มันไม่ต้องไป มันบังคับจิตโดยวิธีการของอานาปานสติที่นี่ ต้องการสวรรค์ก็ได้ ต้องการพรหมโลกก็ได้ ต้องการนิพพานก็ได้ เนี่ยประโยชน์สูงสุดของสิ่งที่เรียกว่า “อานาปานสติ” ไม่ต้องไป เป็นหัวใจของคำสอนอันใหญ่หลวงของพระพุทธศาสนา เดี๋ยวนี้ยุติกันว่าคำสอนเรื่องมหาสติปัฏฐานสูตรอันยืดยาว เพียงแต่อ่านก็ตั้ง 6-7 ชั่วโมงกว่าจะจบ หัวใจของมันก็คืออานาปานสติ พูดไม่กี่นาที มหาสติปัฏฐานสูตรที่เพียงแต่อ่านก็กินเวลาตั้ง 6-7 ชั่วโมง หรือ 10 ชั่วโมงก็ไม่รู้ พระสวดมนต์เย็นบทมหาสติปัฏฐานสูตรต้องใช้เวลา 3 วันสวด 3 เย็น 3 สวดมนต์เย็นจึงจะจบ ยืดยาวอย่างนั้นหัวใจมันอยู่ที่อานาปานสติ บังคับจิตเป็นอย่างนั้นได้ บังคับจิตเป็นอย่างนี้ได้ ไปรู้เอาเองโดยละเอียดเถอะ บังคับกาย ลมหายใจได้ บังคับเวทนาได้ บังคับจิตต่างๆได้ บังคับอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นนั่นนี่ได้ พลอยไปหมดเลย หัวใจของมหาสติปัฏฐานสูตร หรือจะเรียกว่าหัวใจของสติปัฏฐานก็ได้ มันเป็นตัวสติปัฏฐาน ถ้าท่านจะสนใจมันเป็นหลักเป็นเกณฑ์ มีหลักมีเกณฑ์ ไม่ใช่ของเถื่อน
โพธิปักขิยธรรม 37 มันเริ่มต้นขึ้นมาด้วย สติปัฏฐาน4 สัมมัปปธาน4 อิทธิบาท4 อินทรีย์5 พละ5 โพชฌงค์7 มรรคมีองค์8 รวมกันเป็น 37 เรียกว่า “โพธิปักขิยธรรม” โพธิปักขิยธรรม หมายความว่า ธรรมที่เป็นไปในการฝักใฝ่ความตรัสรู้ ยกเอาสติปัฏฐาน4 เป็นเรื่องแรกเป็นหัวใจของเรื่อง นอกนั้นเป็นอุปกรณ์ มีสติปัฏฐาน4 คือบังคับกาย บังคับเวทนา บังคับจิต บังคับธรรมะ หลอกลวงอุปาทานได้ สติปัฏฐาน4 มาก่อน คำอธิบายยืดยาวว่ากันเป็นวันๆ แต่หัวใจมีนิดเดียว คือ อานาปานสติ 4 หมวด หมวดละ 4 ขั้น 16 ขั้น เรียกว่า “อานาปานสติ 16 ขั้น” เป็นหัวใจของสติปัฏฐาน4 แล้วทำให้สำเร็จด้วยสัมมัปปธาน ความเพียรพยายามถูกต้องด้วยสัมมัปปธาน แล้วใช้อิทธิบาทเครื่องบันดาลความสำเร็จ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ก็ให้สติปัฏฐาน4 มันเป็นไปสำเร็จ จะสำเร็จทั้ง 4 นี้ก็อาศัยอินทรีย์5 พละ5 ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ในลักษณะที่เป็นตัวกำลังเรียกว่า “พละ” ในลักษณะที่เป็นใหญ่บังคับธรรมะอื่นๆ เรียกว่า “อินทรีย์” มันก็ช่วยทำให้เกิดสติปัฏฐาน4 สมบูรณ์ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าเมื่ออานาปานสติสมบูรณ์แล้ว สติปัฏฐาน4 ก็สมบูรณ์ ท่านว่าอย่างนั้นช่วยจำไว้ด้วย อานาปานสติที่ตรัสไว้ที่นี้ สูตรชื่ออานาปานสติสูตรสมบูรณ์แล้ว สติปัฏฐาน4 ก็สมบูรณ์ สติปัฏฐาน4 สมบูรณ์แล้ว โพชฌงค์ก็สมบูรณ์ อริยมรรคก็สมบูรณ์ การบรรลุธรรมะสูงสุดก็สมบูรณ์ จุดตั้งต้นด้วยอานาปานสติสมบูรณ์แล้ว สติปัฏฐาน4 ก็สมบูรณ์ โพชฌงค์ มรรค ก็สมบูรณ์บรรลุธรรมะสูงสุด ขอให้สนใจเถอะว่าพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสแนะไว้อย่างนี้ จงฝึกอานาปานสติให้ครบถ้วน 4 หมวด (หมวดละ 4 ขั้น เป็น 16 ขั้น) 16 ขั้นนี้สมบูรณ์แล้วมหาสติปัฏฐานอันยืดยาวก็สมบูรณ์เอง โดยไม่ต้องฝึกทุกข้อทุกขั้น ฝึกอานาปานสติสมบูรณ์แล้ว มหาสติปัฏฐานอันยืดยาวมหาศาลก็สมบูรณ์เอง
ข้อนี้บางคนจะยังไม่เข้าใจ อาตมาจะขอบอกให้ทราบว่า อานาปานสติสูตรเป็นสูตรสั้นๆ อยู่ในคัมภีร์มัชฌิมนิกาย พูดเรื่องอานาปานสติ 4 หมวด หมวดละ 4 ขั้น 16 ขั้น แล้วก็บรรลุมรรคผล เมื่อรู้ว่าบรรลุมรรคผลแล้วมันจบ อ่านสักไม่กี่นาทีมันก็จบ แต่มหาสติปัฏฐานสูตรอันยืดยาวๆๆ ต้องอ่าน 6 ชั่วโมง 10 ชั่วโมง อยู่ในพวกทีฆนิกาย คือสูตรยาว อานาปานสติสูตรอยู่ในมัชฌิมนิกายสูตรขนาดกลาง ไม่ใช่สูตรเดียวกัน ถ้าสนใจก็ไปหาอ่านแล้วก็เทียบดู มหาสติปัฏฐานสูตรเนี่ยคล้ายๆกับคลัง คลังกองขยะมาเทใส่ลงไปๆๆ แต่ละหมวดๆ เติมลงไปจนนับไม่ไหว เรียก มหาสติปัฏฐานสูตร เพียงแต่อ่านก็กินเวลาเป็นชั่วโมงๆ ตั้งวันเสียแล้ว นี่สรุปได้อานาปานสติปฏิบัติเถิด มหาสติปัฏฐานสูตรก็จะสมบูรณ์ อาตมาไม่เชื่อ ใครจะด่าก็ด่า ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าจะได้ตรัสสูตรนี้ ซึ่งเพียงแต่อ่านก็กินเวลาตั้ง 6 ชั่วโมง 10 ชั่วโมง แล้วใครจะทนฟังไหว พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสอย่างนี้ไหวหรอๆ มหาสติปัฏฐานสูตรเป็นสูตรที่ประกอบร้อยกรองรวบรวมประมวลกันมาทีหลัง แล้วก็มาทำเป็นสูตรยาวเฟื้อยนี้ขึ้นมา ก็ได้ซิ มันก็สมบูรณ์ สมบูรณ์จนเกิน จนเฟ้อ ที่พอดีๆ นี่ก็คือ อานาปานสติสูตร ขอให้เรารู้จักอานาปานสติ โดยสูตรที่เรียกว่าอานาปานสติสูตร อยู่ในหมวดมัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
“อานาปานสติ” สติกำหนดสัจจะธรรมความจริงอย่างใดอย่างหนึ่ง อยู่ทุกครั้งที่มีการหายใจเข้าออก หรือออกเข้า โดยใจความสั้นๆ ก็คือว่า กายคือกายลมหายใจ กายเนื้อนี้เรียกว่ากาย มีสติกำหนดควบคุมได้ ให้มันระงับลงไป กาย ลมหายใจก็ระงับ แล้วกายเนื้อมันก็ระงับเอง เรียกว่า “ควบคุมกาย” แล้วความรู้สึกที่เป็นเวทนา ที่เรียกว่าปีติพอใจ พอใจเดือดพล่านนั่นก็เป็นปีติ พอระงับลงเรียกว่าสุข ปีติกับสุขนี่เรื่องเดียวกัน คือความพอใจ ถ้ามันกำลังเดือดกำลังคลั่งเรียกว่าปีติ ถ้ามันระงับลงไปเรียกว่าความสุข อันนี้มันครอบงำจิตใจของเรา หลงไหลไปในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ให้สุขเวทนา เป็นที่ตั้งแห่งความคิดนึกไปในทางกิเลสเสียมากกว่า ยังควบคุมไว้ได้อยู่ในอำนาจ อย่าไปตามกิเลส ให้มันมาในทางความรู้ ควบคุมปีติ ควบคุมสุขได้ ก็คือควบคุมจิตได้ ปีติและสุขเป็นจิตตะสังขารก่อให้เกิดจิต ควบคุมปีติและสุขได้ก็ควบคุม จิตตะสังขารได้ก็คือควบคุมจิตได้ เรียกว่าหมวดเวทนา
มาหมวดที่ 3 จิตเป็นอย่างไร รู้จักหมดทุกชนิดจึงปรากฎอยู่อย่างไรก็รู้ ถ้ามันไม่ปรากฎคือตรงกันข้าม ก็อนุมานได้ว่าเมื่อมีกิเลสมันเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่มีกิเลสมันจะเป็นอย่างไร ก็รู้ได้แม้ว่าเรายังมีกิเลสอนุมานรู้ว่าถ้าไม่มีกิเลสมันเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นเราจึงสามารถรู้จักจิตทุกชนิด จิตที่มีราคะ จิตที่ไม่มีราคะ จิตที่มีโทสะ จิตที่ไม่มีโทสะ จิตที่หลุดพ้น จิตที่ไม่หลุดพ้น เรารู้ความไม่หลุดพ้นดี แล้วคำนวณออกไปว่าถ้ามันตรงกันข้าม คือ มันหลุดพ้นแล้วจะเป็นอย่างไร จึงสามารถรู้จักจิตได้ทุกชนิด ควบคุมเป็นอย่างนี้ๆ ควบคุมจิตให้ได้ว่า ให้บันเทิง ให้ปราโมทย์ บันเทิง อภิปปโมทยัง บังคับให้บันเทิงก็ได้, สมาทหัง ให้เป็นสมาธิให้หยุดก็ได้, วิโมจยัง ให้ปล่อยๆๆๆก็ได้ การควบคุมจิตที่สมบูรณ์ที่สุดก็คือ การบังคับจิตที่สมบูรณ์ที่สุดก็คือ 3 อาการนี้ บังคับให้บันเทิง รื่นเริง เป็นสุขขึ้นมาได้ตามที่ต้องการ แล้วก็บังคับให้มั่น ตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่เอาอะไร ไม่บวกไม่ลบอะไรหมดก็ได้ แล้วบังคับให้ปล่อยๆ ให้จิตปล่อยสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่น หรือบังคับสิ่งที่จิตยึดมั่นถือมั่นให้หลุดไปจากจิตเรียกวิโมจยังให้ปล่อยๆ ให้บันเทิงก็ได้ ให้ตั้งมั่นก็ได้ ให้ปล่อยก็ได้ ทำได้ 3 อย่างนี้แล้ว เรียกว่ามีอำนาจเหนือจิต นี่หมวดที่ 3 ของอานาปานสติ
ทีนี้เมื่อบังคับให้ปล่อยได้ก็ปล่อย วิธีปล่อยคือเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก็ปล่อย ปล่อยสิ่งที่ยึดถือไว้โดยอุปาทาน เรื่องเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานี้มันละเอียดลออมาก ซึ่งต้องอธิบายกันยืดยาว แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ตรัสหรอก ท่านตรัสแต่เพียงอนิจจัง อนิจจังคำเดียว อนิจจานุปัสสี เห็นอนิจจังอยู่ มันก็จะเห็นทุกขังเอง เห็นอนัตตาเอง เห็นธัมมัฏฐิตตา เห็นธัมมนิยามเอง อิทัปปัจจยตาเอง สุญญตาเอง ตถาตาเอง กระทั่งมีอตัมมยตาเอง มันอยู่บนความลับของธรรมชาติ ขอให้เห็นอนิจจัง ให้จริงลงไปมันก็จะเห็นไปตามลำดับทุกๆ ตาๆ อนิจจตา ทุกขตา อนัตตา ธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตา อิทัปปัจจยตา สุญญตา ตถาตา อตัมมยตา นั้นจบๆ นี่เรียกว่าเห็นอนิจจาแล้ว ถึงที่สุดแล้ว ก็เห็นวิราคา คือปล่อยวางจางออกๆ คือวิราคา แล้วก็ถึงนิโรธะ คือดับหมดแห่งอุปาทาน รู้เป็นครั้งสุดท้าย โอ้!! เดี๋ยวนี้หมดแล้วโว้ยจบแล้วสิ้นสุดแล้ว ปฏินิสสัคคา เห็นความสลัดคืนออกไปหมดแล้วไม่มีอะไรเหลือแล้ว หมวดที่ 4 ของอานาปานสติ คือ การบรรลุมรรคผล รู้ว่าบรรลุมรรคผลแล้ว
คุณดูซิ!! มันขาดตกบกพร่องที่ตรงไหน มันสมบูรณ์เหลือประมาณ ในคำพูดเพียง 4 หมวด 4 ขั้น อานาปานสติจึงเป็นหัวใจของโพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 อานาปานสติเป็นเส้นเลือดใหญ่ของโพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 นั่นแหละ ขอให้สนใจให้รู้จักความจริง ในข้อนี้ในลักษณะอย่างนี้ก็จะชนะสิ่งที่เป็นฆ่าศึก ชนะสิ่งที่ต้องชนะ มีอำนาจเหนือกาย หมดกายก็หมดเรื่อง มีอำนาจเหนือเวทนาก็ควบคุมโลกได้ โลกนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าเวทนา เราบ้าในโลกจมอยู่ในโลกก็เพราะมีเวทนา แต่นี่ฉันควบคุมเวทนาได้มันก็หมดอำนาจ ควบคุมจิตได้ ควบคุมให้ไปในทางที่ถูกต้องได้ มันก็ไม่มีทางผิดพลาด ไม่มีทางทุกข์ ควบคุมอุปาทานได้ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใจ ให้ปล่อยวางให้หมดทั้งสิ้น นี่คืออำนาจมหาศาลของอานาปานสติ บังคับกายได้ บังคับเวทนาได้ บังคับจิตได้ บังคับอุปาทานได้ มันก็จบเรื่องเท่านั้นแหละ ไม่ต้องพูดให้มากมายท่วมหัวท่วมหูไปหมด มันมีชัดเจนง่ายๆ อย่างนี้ นี่แหละเป็นยอดสุดของอภิธรรม พูดไม่กี่คำก็จบ เพราะมันดับทุกข์ได้สิ้นเชิง ขอให้สนใจอานาปานสติ ศึกษาให้ดีปฏิบัติให้ดี ช่วงเวลา 7-8 วัน มันคงจะไม่สำเร็จ แต่มันจะช่วยให้เกิดความรู้สำหรับไปทำต่อไป กลับไปทำที่บ้าน แล้วก็ทำต่อไปๆ ทำอีกก็ได้ แต่ขอให้ทำต่อไปๆ ก็จะถึงที่สุดเข้าสักวันหนึ่ง โดยอาศัยวิธีปฏิบัติโดยอานาปานสติ
อานาปานสติจะเรียกว่ายอดสุดทางวัฒนธรรมด้านจิตด้านวิญญาณของมนุษย์ วัฒนธรรมของมนุษย์มีหลายด้าน ด้านวัตถุ ด้านอะไรก็มี แต่ว่าด้านจิตด้านวิญญาณนี่แหละ ความรู้เรื่องอานาปานสตินี่แหละคือยอดสุดทางวัฒนธรรมด้านจิตด้านวิญญาณของมนุษย์ เพราะว่าพอมนุษย์มารู้เรื่องนี้แล้วเรื่องมันจบ ไม่มีใครมาสอนให้ดีกว่านี้สูงกว่านี้ได้ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้ดับทุกข์ได้สิ้นเชิง ดับตัวตนได้สิ้นเชิง ดับทุกข์ได้สิ้นเชิง มันก็จบ เป็นยอดสุดของวัฒนธรรมทางฝ่ายจิตใจของมนุษย์ เอาไปใช้ควบคุมวัตถุด้วยก็ได้อย่าให้วัตถุมันมีอำนาจครอบคลุม เราบังคับได้ทั้งฝ่ายวัตถุและฝ่ายจิตใจ แต่ความประสงค์ใหญ่ก็คือวัฒนธรรมทางด้านจิตใจของมนุษย์เรา อ้าว....ทีนี้จะทำได้อย่างไร เมื่อฝึกอานาปานสติครบแล้วมันจะได้ธรรมะที่จำเป็นๆ มาครบถ้วน สำหรับควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทคือควบคุมโลก โลกนี้คือกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท พูดอย่างนี้ถ้าฟังไม่เข้าใจอีกก็แย่มาก โลกนี้คือกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทที่กำลังเป็นไปๆๆ กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทนั่นแหละคือโลก ควบคุมโลกก็คือควบคุมกระแสปฏิจจสมุปบาท ควบคุมกระแสปฏิจจสมุปบาทก็คือควบคุมโลก เดี๋ยวนี้ฉันมีเครื่องมือสูงสุดควบคุมกระแสปฏิจจสมุปบาท คือควบคุมโลก คือธรรมะที่จะได้รับออกมาจากการปฏิบัติอานาปานสติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอระบุไปยังธรรมะ 4 ข้อ เรียกว่า “ธรรมะ 4 เกลอ” ธรรมะนี้ต้องไปด้วยกันแยกกันไม่ได้จึงต้องเรียกว่า ธรรมะ 4 เกลอ ไปด้วยกัน 1.สติ 2.ปัญญา 3.สัมปชัญญะ 4.สมาธิ ลองปฏิบัติอานาปานสติให้ครบถ้วนจะมี 4 เกลอนี้เหลือใช้ มีเหลือใช้ทีเดียว เราเกิดมาจากท้องแม่มีสตินิดหน่อยไม่ใช่ไม่มีเลย พอจะกินข้าวทางปาก ไม่กินทางจมูก สติทางนี้มันไม่พอ มีปัญญารู้เพียงเท่าที่เด็กๆรู้ มันไม่พอ มีสัมปชัญญะอย่างเด็กๆรู้ มันก็ไม่พอ มีสมาธิอย่างที่เด็กๆ รู้ก็ไม่พอ มันต้องมีมากกว่านั้น มาฝึกกันที่นี่ด้วยอานาปานสติ ก็จะมีสติมากขึ้น ปัญญามากขึ้น สัมปชัญญะมากขึ้น สมาธิมากขึ้นจนอยู่ในลักษณะที่เรียกว่าเพียงพอ ถูกต้องและเพียงพอ คำนี้ต้องคู่กัน ถ้าไม่ถูกต้องใช้ไม่ได้ เป็นมิจฉา มิจฉาสติ มิจฉายานะ มิจฉาอะไรไปหมด เป็นมิจฉาไปหมด มันต้องถูกต้องเป็นสัมมา สัมมา สัมมา แล้วมันก็ต้องมากพอด้วย ถูกต้องต้องมากพอด้วย ถูกต้องไม่พอใช้ไม่ได้ ต้องถูกต้องชนิดที่มากพอ ทีนี้มันไม่ถูกต้องและไม่มากพอ เราก็ฝึกให้มันถูกต้องและมากพอ โดยการฝึกอานาปานสติคุณก็จะมีสติมากพอถูกต้องและมากพอ มีปัญญาถูกต้องและมากพอ สัมปชัญญะถูกต้องและมากพอ มีสมาธิถูกต้องและมากพอ
ทีนี้ปฏิบัติอย่างไรในการดับกิเลส พอเผชิญข้าศึก ข้าศึกมาเผชิญหน้า เช่น รูปมากระทบตา เสียงมากระทบหู กลิ่นมากระทบจมูก เรียกว่าเผชิญหน้าข้าศึก เผชิญหน้าข้าศึกต้องมีอะไรหล่ะ สติ สติเผชิญหน้าข้าศึก ระลึกได้ว่านี่ข้าศึกๆ มีสติระลึกได้ สติก็ไปเอาปัญญามา เราเรียนรู้ปัญญาไว้สต๊อกใหญ่มากพอ สติไปเลือกเอาปัญญาที่จะแก้เหตุการณ์อันนี้ได้ เอามาเฉพาะหน้า เป็นปัญญาเฉพาะหน้าที่ ปัญญาใหญ่ๆมากมายเอามาเฉพาะส่วนที่จะทำหน้าที่ในกรณีนี้ เรียกว่า สัมปชัญญะ มันก็คือปัญญานั่นแหละ (สํ แปลว่า พร้อม + ป แปลว่า ทั่ว + ชัญญะ แปลว่า รู้) สัมปชัญญะปัญญาที่เหมาะสมที่สุด เฉพาะหน้าที่ที่สุด เอาปัญญามา แล้วก็ทำการต่อสู้กับอารมณ์โดยเฉพาะในขณะแห่งผัสสะ ทีนี้กำลังจิตมันอ่อนมันจะแพ้ มันจะอ่อน ก็ต้องใช้กำลังของสมาธิ สมาธิคือกำลังมหาศาล สัมปชัญญะก็สู้ได้จนชนะ บังคับผัสสะได้ก็ไม่มีปัญหา ความลับมันมีอยู่ว่าถ้าไม่มีสติ มันก็ไม่รู้อะไร ไม่รู้สึกอะไร ก็ไม่ได้วิ่งไปเอาปัญญามา พอมีสติมันก็เร็วมากเป็นลมกรดไปเอาปัญญามา หยิบมาเฉพาะที่จะใช้แก้ปัญหา เหมือนกับว่าในตู้ยามียามากเยอะแยะแต่พอจะกินจริง กินอย่างเดียวใช่ไหม หรือว่าสะสมอาวุธไว้เต็มบ้านเต็มเรือนหลายๆชนิดนานาชนิด แต่พอจะใช้ปราบฆ่าศึกใช้อย่างเดียวเท่านั้น สติสามารถไปเลือกเอามาจากคลังของปัญญา เฉพาะปัญญาพิเศษจะมาทำหน้าที่เรื่องนี้ๆ เรียกว่า สัมปชัญญะ ปัญญาเปลี่ยนชื่อเป็นสัมปชัญญะ ปัญญาในคลังเรียกว่าปัญญา ปัญญาในหน้าที่การงานเฉพาะเรียกว่าสัมปชัญญะ สัมปชัญญะก็เผชิญหน้ากับฆ่าศึก คืออารมณ์ที่มากระทบที่อ่อนแอ มันปวกเปียก มันไม่มีแรงพอ ต้องเอาสมาธิช่วยให้เป็นกำลัง เป็นน้ำหนัก ปัญญาหรือสัมปชัญญะเปรียบเหมือนกับความคมของมีด มันจะคมวิเศษเท่าใดก็ตามใจแต่ถ้าไม่มีน้ำหนักที่จะกดลงไปมันไม่ตัดหรอก มันบ้า คมเป็นบ้าเปล่าๆ ทำไมมันไม่ตัด มันต้องมีน้ำหนัก ความคมมันจึงจะตัด เราจึงต้องมีสมาธิ เราต้องฝึกสมาธิมากพอสำหรับเป็นน้ำหนักที่จะทำให้ความคมหรือปัญญามันตัดลงไป
4 เกลอ ช่วยจำไว้ให้ดี คู่ชีวิตนี่แหละ 4 เกลอ มีสติรวดเร็ว อย่างสายฟ้าแลบ คนโบราณใช้คำว่าลูกศร ความเร็วของลูกศร สติแปลว่าความเร็วของลูกศร เร็วมากขนาดนั้น เป็นเครื่องขนส่งไปเอาปัญญามา สติทำหน้าที่ระลึกได้ แล้วไปเอาปัญญามา เอามาเฉพาะที่จะแก้สถานการณ์โดยเฉพาะเรียกว่าสัมปชัญญะ ไม่เอามาทั้งหมดหรอกป่วยการ เอามาเฉพาะจะแก้สถานการณ์นี้ สติมันเลือกเอง มันธัมวิจยะเองมันเลือกเอง มันก็ได้มาเหมาะสมเป็นสัมปชัญญะ ทีนี้แรงไม่พอ เอาสมาธิมาเป็นแรงน้ำหนักมันพอ ช่วยจำไว้ว่าสติเอาปัญญามาทำเป็นสัมปชัญญะ แล้วก็เอาสมาธิเป็นกำลังน้ำหนักสำหรับให้มันตัด เนี่ยธรรมะ 4 เกลอๆ ท่านใช้ได้แม้ในการทำไร่ ทำนา ค้าขาย กิจการในโลก ก็ใช้ได้ธรรมะ 4 เกลอเนี่ย แต่เดี๋ยวนี้เราพูดกันเฉพาะบรรลุธรรมะสูงสุดคือนิพพาน มีสติ มีปัญญา มีสัมปชัญญะ มีสมาธิ 4 อย่างเท่านี้ก็เหลือกินแล้ว แต่มันมีอีกมากมายๆ เบ็ดเตล็ดมหาศาลมากมาย ออกชื่อไม่ไหว เป็นธรรมะบางทีมาด้วยกันๆอีกมากมายหลายอย่าง ไปถามพวกอภิธรรมซิเค้ารู้เรื่องนี้ดี อาตมาไม่ต้องการมากกว่า 4 อย่างนี้ สติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ เอามาทันเวลาแก้ปัญหาได้ ระงับกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทหยุดลงเพียงแค่ผัสสะ ไม่ทำให้เกิดความทุกข์ ไม่ไปถึงความทุกข์
จึงขอร้องท่านทั้งหลายว่าจงมีธรรมะ 4 เกลอๆ ให้เพียงพอ ให้ถูกต้อง ให้ทันเวลาๆๆ ขะโณ โว มา อุปัจจะคา ขณะเดียวเท่านั้นถ้าพลาดไปไม่ทันแล้ว ล้มเหลว จงทันเวลาทันขณะ มาทันขณะ สติปัญญาสัมปชัญญะสมาธิมาทันเวลา มาทันขณะ มันก็แก้ปัญหาได้ๆ เมื่อสิ่งสูงสุดจะเรียกว่าศักดิ์สิทธิ์เป็นไสยศาสตร์ก็ได้ ถ้าถือไสยศาสตร์ก็ให้ถือคุณของธรรมะ อย่าถือผีสางเทวดาบ้าๆบอๆ ไสย แปลว่าดีกว่า ดีกว่าไม่มี แต่ไสยมันแปลว่าหลับนอนหลับก็ได้ ไสยศาสตร์มันแปลว่าศาสตร์สำหรับนอนหลับก็ได้ พุทธศาสตร์มันศาสตร์สำหรับตื่น ไม่หลับ แต่ไสยมันแปลว่าดีกว่าไม่ดีก็ได้ เพราะงั้นเอาไสยศาสตร์ดีกว่าไม่มี สติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ เอามาให้ถูกต้องให้เพียงพอให้ทันแก่เวลาจะคุ้มได้หมด ความทุกข์มาแตะต้องไม่ได้ ขอให้ท่านทั้งหลายจำไว้ให้ดี ถ้าฝึกอานาปานสติสำเร็จแล้วท่านจะมีสติปัญญาสัมปชัญญะสมาธิพอเหลือใช้ไปได้อีก เหลือใช้ก็หมายความไปใช้อย่างอื่นได้ ใช้ดับทุกข์โดยปลงแล้ว เหลือใช้ก็ไปใช้ทำไร่ ทำนาค้าขายอะไรก็ได้ มันเป็นคู่ชีวิตจริงๆ ธรรมะที่จะเป็นคู่ชีวิตจริงๆก็คือธรรมะ 4 เกลอ ฝึกฝนไว้ให้ชำนิชำนาญ
อยากจะชี้แนะอีกอย่างหนึ่งว่าอานาปานสติ 4 หมวด หมวดละ 4 ขั้น 16 ขั้นเท่านี้ เรื่องอานาปานสติ 4 หมวดเท่านั้นแหละ มันครอบคลุมหมดทั้งกระบิ ทั้งกระบิของพระพุทธศาสนา มันจะมีทาน มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีวิมุติ มีวิมุติญาณทัศนะ โดยมากเราพูดเพียง 5 อย่าง เอาทานออกไปเสียก็ได้ มีศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ และวิมุติญาณทัศนะ มันจบเท่านั้นแหละมี 5 เท่านั้นเอง ในอานาปานสติ 4 มีครบ ไม่มานั่งรับศีลอยู่ เหมือนที่เค้าว่ามารับศีลกันเสียก่อนจึงทำสมาธิหรอก ป่วยการ ทำสมาธิอานาปานสติ ศีลมาเอง ศีลมามหาศาล ศีลมาเอง การรับศีลก่อนธรรมนั้นเป็นพิธีรีตองชนิดที่ปรัมปรา ลงมือทำอานาปานสติมันมีการควบคุมบังคับกายวาจาใจในตัวมันเอง มีศีลเต็มที่อยู่ในอานาปานสติ แล้วก็มีสมาธิอยู่แล้วในตัวอานาปานสติ แล้วมีปัญญารู้แจ้งสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง เป็นยถาภูตสัมมัปปัญญาครบถ้วน พอปัญญาทำหน้าที่ๆ มันก็วิมุติหลุดออกมาจากอุปาทาน แล้ววิมุติญาณทัศนะเห็นแจ้งโดยประจักษ์ว่าเดี๋ยวนี้วิมุติแล้วโว้ย ในธรรมะ 5 อย่าง ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัศนะ นั้นเป็นทั้งกระบิทั้งหมดของพระพุทธศาสนา 5 อย่างนั้นมีอยู่ในอานาปานสติ ไม่ต้องพูดถึงทาน ไม่ต้องพูดถึงศีล มันมีมาเอง ถูกลากมาเองโดยอัตโนมัติ เค้าเรียกว่าสมังคีมันมาด้วยกัน อานาปานสติจึงมีพุทธศาสนาหมดทั้งกระบิพรหมจรรย์ หมดทั้งกะบิดับทุกได้สิ้นเชิง มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีวิมุติ วิมุติญาณทัศนะ อาตมาชอบสิ่งทั้ง 5 นี้มาก เลยเอามาเตือนใจไว้เสมอ เสา 5 เสาอยู่บนหลังคา หลายๆแห่งเสา 5 เสาอยู่บนหลังคา ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัศนะ เตือนใจไว้เสมอ มันมีรวมอยู่แล้วในอานาปานสติอย่างครบถ้วน ไม่ต้องไปพะว้าพะวังเรื่องศีล มาท่องศีลท่องสิขาบทแล้วก็ไม่มีศีล รับศีลจนตายก็ไม่มีศีล ลองไปทำอานาปานสติ จะมีศีลทันที มีครบ มีถ้วน มีบริบูรณ์ถูกต้องทันที ไม่ต้องมานั่ง ปานาติปาตา เวรมนี แล้วเอาสิกขาบทเป็นศีลยังโง่มาก สิกขาบทบทช่วยให้มีศีลไม่ใช่ตัวศีล ตัวสิกขาบทไม่ใช่ตัวศีลเป็นตัวช่วยให้มีศีล “ศีล” คือความสงบระงับแห่งกิเลสและความทุกข์ในเบื้องต้นในขั้นต้น
มีศีลได้เพราะทำอานาปานสติ เมื่อมี สมาธิ มีปัญญา มีวิมุติ มีวิมุติญาณทัศนะ ครบถ้วนหมดก็เรียกว่า “สัมมัตตะ10” สัมมาเพียง 8 เรียกว่า อริยมรรค อัฏฐังคิกมรรค เติมเข้าไปอีก 2 สัมมาญาณ, สัมมาวิมุตติ เป็น 10 เรียกว่า สัมมัตตะ10 นั่นแหละ คือหมดทั้งกระบิทั้งหมดของพระพุทธศาสนา สัมมาทิฏฐิมันรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ถ้าพูดให้ชัดสัมมาทิฏฐิมันรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท สัมมาสังกัปปะมันอยากจะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของปฏิจจสมุปบาท แล้วมันก็ปฏิบัติด้วยสัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว อยู่เป็นพื้นฐาน แล้วก็มีสัมมาวายาโมพากเพียรๆ สัมมาสะติควบคุมให้มันถูกต้องอยู่ตลอดไป สัมมาสะมาธิสมบูรณ์แบบมันก็เกิดขึ้น เรียกว่า (จำชื่อไว้ให้ดีนะ) “อริยสัมมาสมาธิ” มีบริวาร7 เคยได้ยินไหม อาจจะพรรณนาว่าคุณไม่เคยได้ยินก็ได้ มันอยู่ในพระสูตรที่ไม่ค่อยเอามาพูดกัน พวกจัตตารีสักกสูตร ออกชื่อว่าอริยสัมมาสมาธิ มีบริวาร7 คือ สมาธิ มันตัวยืนเป็นแม่ทัพ นอกจากนั้นอีก 7 เป็นตัวบริวาร มีสัมมาทิฏฐิเป็นกองหน้าเป็นกองนำหน้า มีสัมมาสังกัปปะเป็นความประสงค์เป็นวัตถุประสงค์ มีสัมมาวาจาเป็นการประพฤติปฏิบัติเป็นกำลังเป็นเสบียงเป็นอะไรเรื่อยมา มีสัมมาวายามะเป็นความกล้าหาญเป็นความพากเพียร สติก็มีอยู่ตลอดเวลา ไอสัมมาสมาธินี่มันจะกระโดดขึ้นมาเป็นอริยสัมมาสมาธิมีลูกน้อง7 มีบริวาร7 จำไว้ให้ดี อริยสัมมาสมาธิมีบริขาร7 ก็ได้ มีบริวาร7 ก็ได้ มีลูกน้อง7 ก็ได้ ขนาดนั้นจะบรรลุมรรคผลต้องด้วยอริยสัมมาสมาธิมีบริวาร 7 มันจึงจะตัดกิเลส ตัดอนุสัย ตัดสังโยชน์
สมาธิเป็นตัวแม่ทัพนอกนั้นเป็นอุปกรณ์ให้แม่ทัพทำงาน แม่ทัพต้องมีปัญญา สมาธิต้องมีปัญญาจูงนำ มีสัมมาสังกัปปะดึงไปให้ถูกต้องให้มันสำเร็จ แล้วมีการประพฤติครบถ้วน อริยสัมมาสมาธิมีบริวาร 7 เป็นการบรรลุธรรม เป็นการตัดกิเลส ตัดสังโยชน์ ตัดอนุสัย ขอให้สนใจเป็นพิเศษ แล้วมันจะใกล้เข้าไปๆ คุณปฏิบัติอานาปานสติถึงที่สุดแล้วจะไปลงที่อริยสัมมาสมาธิ มีบริวาร7 มีบริขาร7 จบที่นั่นแหละ อย่าเข้าใจผิดเอาสัมมาทิฏฐิเป็นแม่ทัพนะ มาทัพคือสมาธิ นอกนั้นเป็นบริวารเป็นเรื่องประกอบ เป็นที่ปรึกษาเป็นอะไรทั้งหมดของแม่ทัพ เมื่อแม่ทัพได้สิ่งทั้ง 7 มาเป็นบริวารแล้ว มันก็ครบชนะฆ่าศึกได้ ทีนี้ก็จะต้องสังเกตดูให้ดีว่า “สัมมา” นั้นแหละสำคัญคือมันถูกต้อง ต้องมีปัญญาถูกต้องครบถ้วนจึงจะมีสัมมา ทิฏฐิที่ไม่ถูกต้องเพราะเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ว่าทิฏฐิถูกต้องแต่ถ้าไม่เป็นไปเพื่อนิพพานก็ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิต้องถูกต้องเพื่อนิพพาน ทิฏฐิธรรมดาสัมมาทิฏฐิธรรมดาก็มี ยังไม่เป็นสัมมาทิฏฐิในอริยมรรค สังกัปปะก็เหมือนกันธรรมดาๆก็มี ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิในอริยมรรค สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ธรรมดาๆก็ยังไม่ใช่เป็นองค์แห่งอริยมรรค จะเป็นสัมมา สัมมา สัมมาได้ก็ต่อเมื่อมันมีความหมายว่าเป็นไปเพื่อพระนิพพาน มีพระบาลีกล่าวไว้ชัดว่าต้องเป็น วิเวกนิสฺสิตํ อาศัยวิเวก, วิราคนิสฺสิตํ อาศัยวิราคะ, นิโรธนิสฺสิตํอาศัยนิโรธ, โวสฺสคฺคปริณามิํฯ น้อมไปเพื่อการเสียสละ โวสฺสคฺคปริณามิํฯ น้อมไปเพื่อการโยนทิ้งๆๆ มันจะเรียกว่าทิฏฐิ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ ได้ทั่วไปถ้ามันไม่มีองค์ประกอบนี้มันไม่เป็นสัมมา ไม่เป็นสัมมาก็ไม่เป็นอริยมรรคมีองค์ 8 เพราะฉะนั้นท่านจะต้องจัดให้คุณธรรมทั้งหลายของท่านที่มีอยู่นั้นเป็นสัมมาขึ้นมา ทำให้เป็นไปเพื่อวิเวก ทำให้เป็นไปเพื่อนิโรธ ทำให้เป็นไปเพื่อวิเวก วิราคะ นิโรธ โวสสัคคปริณามี ให้มันน้อมไปน้อมไปเพื่อความโยนทิ้ง คือไม่มีอุปาทาน มีสติธรรมดาก็ได้ แต่มันไม่ใช่สัมมาทิฏฐิถ้ามันไม่เป็นไปอย่างนี้ มีความเพียรธรรมดาก็ได้แต่มันไม่เป็นสัมมาวายามะ ถ้าต้องการสัมมาๆๆ แล้วก็จัดให้มันเป็น อาศัยวิเวก วิราคะ นิโรธ น้อมไปเพื่อการปลดปล่อยๆ โยนทิ้ง ศัพท์คำนี้ก็ดี ปลดปล่อยๆ โวสสัคคปริณามิง ต้องเป็นไปเพื่อการปลดปล่อย ปลดปล่อยสัตว์โง่ๆ ออกมาจากกองทุกข์คืออวิชชา เป็นสัมมาๆๆ แล้วก็เรียกว่า สัมมัตตะ ความถูกต้อง มีอยู่ 10 เติมเข้าไปอีก 2 คือ สัมมาญาณ รู้อย่างถูกต้อง, และสัมมาวิมุตติ วิมุตติอย่างถูกต้อง แม้แต่วิมุตติก็ยังมีมัจฉาวิมุตติ มันใช้ไม่ได้ มันต้องมีสัมมาๆๆๆเป็นสัมมาญาณ สัมมาวิมุตติ เติมเข้าไปที่ 8 มันกลายเป็น 10 นั่นแหละพุทธศาสนาที่สมบูรณ์ ถ้าเป็นเพียงอริยมรรคมีองค์ 8 เป็นเพียงส่วนเหตุ ส่วนที่จะทำให้เกิดผล มันต้องเติมส่วนผลเข้าไปอีก 2 คือ สัมมาญาณ, สัมมาวิมุตติ ก็สมบูรณ์ทั้งส่วนที่เป็นเหตุ และส่วนที่เป็นผล เลยเป็นพุทธศาสนาที่สมบูรณ์ โดยชื่อเรียกว่าสัมมัตตะ 10
น่าเศร้า น่าสงสารที่คำนี้ไม่ค่อยจะเอามาพูดจากัน พูดจากันแต่เพียง 8 อริยมรรคมีองค์ 8 ในส่วนการปฏิบัติเพื่อให้เกิดผล เอาผลอีก 2 คำมาพูดเสียด้วยเลยเป็นสัมมัตตะ10 ความถูกต้อง10 ประการ ปฏิบัติอานาปานสติให้ถูกต้องให้ครบถ้วนตามกฎเกณฑ์ตามหลักนั่นเถิดจะมีสัมมัตตะ10 คือมีพระพุทธศาสนาที่สมบูรณ์แบบครบถ้วนทุกอย่างทุกประการเป็นแน่นอน
ขอให้ท่านทั้งหลายมีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา คืออิทธิบาท ในการประพฤติกระทำอันนี้ให้มีความกล้าหาญ มีความพากเพียรในการกระทำ เรียกว่าอย่างพอใจเป็นสุขไปเลย ปฏิบัติธรรมะอย่างเป็นสุขอย่างพอใจไปเลย ไม่ต้องโศกเศร้า ไม่ต้องหดหู่ ไม่ต้องละเหี่ยละห้อยอะไร ร่าเริงมีปีติ มีปราโมทย์ ปฏิบัติไปด้วยความบันเทิง ก้าวหน้าไปตามลำดับๆ ของสิ่งที่เรียกว่า “อานาปานสติ” อานาปานสติสมบูรณ์แล้ว สติปัฏฐาน4 ก็สมบูรณ์ สติปัฏฐาน4 สมบูรณ์แล้ว โพชฌงค์และมรรคก็สมบูรณ์ สัมมัตตะ10 ก็มีมา เรื่องก็จบ การพูดนี้ก็สมควรแก่เวลา บางคนอาจจะนึกเบื่ออยู่ในใจแล้วก็ได้ มันก็ช่วยไม่ได้ เรื่องมันมาก อาตมาก็ต้องพูดมาก จะขอร้องว่าช่วยกำหนดจดจำไว้ดีๆ เอาไปคิดไปทำความเข้าใจต่อไปๆ ให้ดีๆสำเร็จประโยชน์ได้แน่นอน ไม่เป็นหมัน เกิดมาชาติหนึ่งไม่เสียทีที่เกิดมา ไม่เป็นหมันเพราะได้รับประโยชน์สูงสุดจากพระพุทธศาสนา ขอขอบคุณที่ท่านตั้งใจฟังอย่างดี ขอให้สำเร็จประโยชน์ตามความมุ่งหมายด้วยกันทุกๆประการ มีความพอใจสนุกสนานอยู่ในการปฏิบัติธรรมะนี้ ทุกลมหายใจๆ เข้าออกเทอญ ขอยุติการบรรยาย