แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านนักศึกษาครูบาอาจารย์และท่านสาธุชนที่มีความสนใจในธรรมทั้งหลายอาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้ คือมาแสวงหาความรู้ทางธรรมเพื่อไปประกอบในการดำเนินชีวิตหน้าที่การงานของตน ให้มีผลดียิ่งๆขึ้นไป เป็นสิ่งที่มีเหตุผลและน่าอนุโมทนา จึงขออนุโมทนาให้เป็นสิ่งแรก หัวข้อที่จะพูดกันในวันนี้มีว่า ธรรมะคู่กับชีวิต เป็นสิ่งที่คู่กับชีวิตและถ้าท่านมองเห็นชัดยิ่งๆขึ้นไปอีกจะมองเป็นว่าเป็นตัวชีวิตนั่นเอง ไม่ต้องเป็นคู่กันอะไรที่ไหนแล้ว แต่ในที่นี้เราจะพูดกันถึง ธรรมะในฐานะเป็นคู่กับชีวิต จะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่าชีวิตและธรรมะให้แจ่มแจ้งชัดเจนกันเสียก่อนปรากฏว่าธรรมะหรือวิชาธรรมะและความรู้ทางธรรมะ เข้าใจยากลำบากในเวลานี้ก็เพราะว่า เราไม่มีการบัญญัติความหมายที่แน่นอนหรือถือความหมายแห่งคำแต่ละคำนั้นๆมันไม่แน่นอนไม่ตรงกัน เช่นที่วัดถืออย่างที่บ้านถืออย่างเลยพูดกันไม่รู้เรื่อง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำเหล่านั้น ให้เป็นที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง ถ้าพูดถึงคำว่าชีวิตทางวิทยาศาสตร์ก็หมายความอย่าง ทางวรรณคดีก็หมายความอย่าง เรื่องสังคมทั่วไปเรื่องจริยธรรมเรื่องทางศาสนามันก็หมายความอีกอย่างแม้จะใช้คำว่าชีวิตชีวิตเพียงคำเดียว นั้นจึงต้องทำความเข้าใจกันว่าเรากำลังจะพูดกันในความหมายไหนสำหรับคำนั้นๆ อย่างวิทยาศาสตร์ก็พูดถึงชีวิตมันก็หมายถึงวัตถุล้วนๆ พูดถึงเซลล์หนึ่งๆ ยังมีเยื่อวุ้นในเซลล์ ที่เรียกโปโตพลาสซึ่ม นาทีที่ 5.48 มันยังสดอยู่ยังไม่เน่ายังไม่ตาย เซลล์นั้นยังมีชีวิตเค้าเรียกนั่นแหละคือชีวิต ชีวิตมันมีความหมายเพียงเท่านั้นถ้าสำหรับทางวิทยาศาสตร์ แต่สำหรับพวกเรามันไม่ใช่อย่างนั้นความรู้แค่นั้นจะเอาไปทำอะไร มันก็หมายถึงหมายถึงความที่ไม่ตายความมีชีวิตในความรู้สึกตามธรรมชาติของสัตว์ทั้งหลาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่าชีวิตชีวิตนี้มันไม่ได้หมายถึงว่าชีวิตล้วนๆ มันหมายถึงการดำรงชีวิต วิถีทางของการดำรงชีวิตนั้นเราเรียกกันว่าชีวิตเราไปเรียกสั้นๆ มันจึงต่างกันมาก แม้ในทางศาสนาก็มุ่งหมายจะให้ใช้ความหมายในคำว่าการดำรงชีวิต คำว่าอาชีวะ อาชีวะมันแปลว่าการดำรงชีวิต ไม่ใช่แต่เพียงทำมาหากิน อาแปลว่าดำรงก็ได้ ชีวะ ก็ชีวิต ดังนั้นชีวิตที่เราจะพูดกันในวันนี้ ที่นี้ก็คือ การดำรงชีวิตหรือวิถีทางการดำรงชีวิตก็ได้ มันเกี่ยวกับธรรมะอย่างไรก็ต้องพูดกันถึงคำว่าธรรมมะธรรมะทีหนึ่งก่อนที่บ้านก็หมายความอย่างที่วัดก็หมายความอย่าง ชั้นต่ำๆก็หมายความอย่างชั้นลึกก็หมายความอย่างสำหรับคำว่าธรรมะ ธรรมะ ถ้าถือตามภาษา ภาษา ภาษาศาสตร์ คำว่าธรรมมันแปลว่าสิ่งที่ทรงไว้ซึ่งผู้มีธรรม ธรรมมะจริงๆคือสิ่งที่ทรงไว้ สิ่งซึ่งทรงไว้ ทรงอะไรก็ทรงสิ่งที่ทรงผู้ที่มีธรรม สิ่งใดทรงสิ่งผู้มีธรรมไว้สิ่งนั่นก็เรียกว่าธรรม ใครมีธรรม ธรรมก็ทรงบุคคลนั้นไว้ไม่ให้พลัดลงไปในที่ชั่ว แต่นั่นมันเรื่องทางภาษาเท่านั้นแหละ ถ้าว่าไกลไปถึงเรื่องของมนุษย์พูดกันไม่มีที่สิ้นสุดทุกสิ่งเรียกได้ด้วยคำว่าธรรมทั้งหมดพูดด้วยคำๆเดียว เรียกว่าใช้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นรูปเป็นนามเป็นการกระทำ ผลของการกระทำเป็นเป็นเหตุเป็นผลก็เรียกว่าธรรม เนี้ย ผู้ฟังคงไม่เชื่อเพราะไม่เคยสังเกตและคิดนึก พูดกันง่ายๆฟังกันง่ายๆให้คุณตั้งปัญหาสักล้านปัญหาล้านปัญหาคำตอบจะมีแต่ธรรมธรรมเดียว ทำไมเกิดมาเพราะธรรม ทำไมตายไปเพราะธรรมทำไมเจริญเพราะธรรม ทำไมมันเสื่อมเพราะธรรม ธรรมทุกๆอย่างมีความหมายว่าธรรม ธรรมชาติ เรามาบัญญัติกันให้ง่ายให้ชัดว่าธรรมะ ธรรมะคือธรรมชาติ ภาษาบาลีตัวเดียวกันเลย ธรรม หมายถึงธรรมชาติ ละก็ไม่ยกเว้นอะไรมันเป็นธรรมชาติหมด และก็ไม่มีที่เหนือธรรมชาติด้วย ภาษาฝรั่งภาษาต่างประเทศยังมีเหนือธรรมชาติ Supernatural นี่ยังมีพูดแต่ทางธรรมะไม่มี เป็นธรรมะเสมอเป็นธรรมชาติเสมอ หมด เดียวจะว่าให้ฟังคำว่าธรรมนี่แบ่งเป็น4ความหมาย
ธรรมชาติ4ความหมาย ธรรมชาติ4ความหมาย ความหมายที่ 1 ก็คือตัวธรรมชาติ ตัวธรรมชาติ ตัวธรรมชาติแท้ๆที่มีอยู่ตามธรรมชาติ มีปรากฏการก็ได้ไม่มีปรากฏการก็ได้เป็นรูปล้วนๆก็ได้มีชีวิตก็ได้ไม่มีชีวิตก็ได้มีจิตก็ได้ธรรมชาติทั้งหมดนี้เรียกว่าธรรมในความหมายที่1และก็ไม่มีอะไรที่นอกเหนือไปจากธรรมชาติ
ธรรมในความหมายที่2หมายถึงกฎ กฎ กฎเกณฑ์ ที่มีอยู่ในตัวธรรมชาตินั้น ในตัวธรรมชาติมันมีตัวกฏรวมอยู่ด้วย คนก็เรียกแยกออกมาเป็นความหมายที่2 กฎของธรรมชาติเรียกว่าธรรมชาติเพราะมันก็เป็นธรรมชาติ เฉียบขาดตามกฎ เป็นกฎตามกฎ ให้อะไรเกิดขึ้นมาก็ได้ ให้อะไรดับไปก็ได้ เป็นกฎของธรรมชาติอันเฉียบขาด เปรียบเสมือนพระเป็นเจ้าของในศาสนาต่างๆ ธรรมในความหมายที่ 3 ก็คือ หน้าที่เมื่อมีกฏธรรมชาติบังคับชัดอยู่อย่างนี้แล้ว ก็เกิดหน้าที่แก่สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายจะต้องปฏิบัติหน้าที่ หน้าที่ให้มันถูกต้องมิฉะนั้นมันจะตายมันก็มีหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติแม้หน้าที่อันนี้เราก็เรียกว่าธรรมชาติ คือธรรมคำเดียวก็ได้ผู้มีหน้าที่มีการกระทำหน้าที่มีผลเกิดจากการกระทำหน้าที่มีผลของหน้าก็ยังคงเรียกว่าธรรมหรือธรรมชาติอยู่นั่นแหละ ช่วยจำให้ดี 4 ความหมายนี้มันรวบหมดจะทำให้ศึกษาสิ่งทุกสิ่งได้สะดวกดายง่ายที่สุด 1 คือตัวธรรมชาตินั่นเอง 2 ก็คือกฎของธรรมชาติที่มีอยู่ในธรรมชาตินั้นๆ 3 หน้าที่หน้าที่ถูกต้องตามกฏของธรรมชาตินั้นๆ เมื่อมีหน้าที่ก็มีผล อันเกิดมาจากหน้าที่อันนั้น เดอะบอดี่ออฟเนเจอ (นาทีที่ 15.43 – 15.57) จำง่ายๆว่าธรรมชาติเอง ตัวกฎของธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ สรุปผลที่เกิดจากหน้าที่นั้น 4 อย่างนี้เรียกว่าธรรม ธรรมเดียวในภาษาบาลี จึงแปลเป็นคำว่าธรรมชาติในที่นี้ เมื่อเข้าใจทั้ง4 นี้แล้ว จะเห็นว่าคำว่าธรรมมันกินความหมดธรรมตามธรรมชาติ ยิ่งจักวาลระบบจักรวาลสากลจักรวาล ดวงอาทิตย์ ดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอะไรต่างๆมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ในบรรดาที่มีอยู่ตามธรรมชาติ นี้ก็เรียกว่าธรรมชาติตัวธรรมชาติ มีในทางวัตถุไม่ยกเว้นอะไรนะ ชนิดต่อมาก็คือกฏในสิ่งเหล่านั้นมีกฏถ้าไม่มีกฏมันก็เป็นไปไม่ได้ ดวงดาวทั้งหลายก็ชนกัน บางทีมันไม่ชนกันก็ตามหรือชนกันก็ตาม เป็นเรื่องเป็นไปตามกฎ มีกฎที่จะเจริญอย่างไรเสื่อมอย่างไรดูก็จะเห็น เมื่อมีกฎแล้วสิ่งที่มีชีวิตต้องปฏิบัติตามกฏ ไอสิ่งไม่มีชีวิตยกให้แต่ถ้าเป็นสิ่งที่มีชีวิตก็ต้องปฏิบัติตามกฎ ไม่เช่นนั้นมันตายแน่ เป็นคนก็ตาย สัตว์ก็ตาย เป็นต้นไม้ต้นไร่ก็ตายตายหมด จึงมีหน้าที่หน้าที่ ความหมายที่3 ให้จำให้ดีความหมายที่3เนี้ยมันสำคัญ ที่จะมาเป็นคำว่าธรรมในความหมายที่เกี่ยวกับมนุษย์ ในความหมายที่4มันก็เกิดผลขึ้นมามีการทำหน้าที่ก็เกิดผลแก่ผู้ทำหน้าที่ตามสมควรแก่หน้าที่ นอกตัวเราก็เป็นอย่างนี้ในตัวเราก็เป็นอย่างนี้ เห็นที่เป็นในตัวเราก่อนแล้วจะเป็นประโยชน์ที่สุด อะไรเนื้อหนังร่างกายกระดูกเลือด อะไรก็ตามมันเป็นตัวธรรมชาติ ตัวธรรมชาติแล้วก็ตัวกฎของธรรมชาติมันสิงสถิตอยู่ ในตัวนี้ทุกๆเซลล์ทุกๆกลุ่มของเซลทุกๆส่วนของร่างกายมีกฏของธรรมชาติบังคับอยู่ ให้เจริญ ให้เกิด ให้เปลี่ยนแปลงให้อะไรก็ไปตามกฎนั้น ในตัวเรานี้มีกฎธรรมชาติ คู่กับธรรมชาติที่มันเป็นตัวยืนพื้น ตัวเราเกิดหน้าที่โดยรู้สึกตัวบ้างไม่รู้สึกตัวบ้าง ทุกอย่างทำหน้าที่ตามธรรมชาตอโดยไม่รู้สึกตัว เช่นหายใจเช่นสูบฉีกโลหิต เมื่อเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องตั้งใจทำให้มันถูกยกขึ้นลุกขึ้นเดินยืนนั่งนอนเดินกินอาบถ่ายมันเป็นหน้าที่ หน้าที่ ที่มนุษย์ทำด้วยเจตนาที่ไม่เจตนาเป็นของธรรมชาติก็มี ทั้ง2 หน้าที่นี้เรียกว่าหน้าที่ นี้เกี่ยวกับชีวิต ไม่ทำก็ตายทำผิดก็เป็นทุกข์ทุกข์ยากลำบากทำถูกก็สบายหน้าที่ เอ้าที่นี้เมื่อทำหน้าที่แล้วมันก็มีผลมีผล ปฏิบัติหน้าที่ดีก็มีผลสบายดี ที่ต้องการความเจริญอะไรก็ได้ตามที่ต้องการนั่นแหละเรียกว่าผลจากหน้าที่ สั้นๆธรรมชาติก็คือ ธรรมชาติตัวกฎธรรมชาติหน้าที่ตามธรรมชาติ ผลตามหน้าที่ธรรมชาติ คือธรรม 4คำนี้เป็นคำตอบของคำถามทั้งหมดจะเกิดขึ้นกี่ล้านปัญหาลองถามดู มันน่าประหลาดอัศจรรย์สุดๆ ที่ตอบด้วยคำว่าธรรมเพียงคำเดียว ทำไมดวงอาทิตย์เกิดขึ้นมา ธรรมด้วยธรรม ทำไมดวงอาทิตย์จะหมดจะแตกหมดก็ธรรมจักรวาลจะแตกหมดก็ธรรมคือธรรมชาติ มันถึงอย่างนี้ ชีวิตที่ว่าวิทยาศาสตร์เซลล์แต่ละเซลล์มันก็มีกฎของธรรมชาติควบคุมเซลล์เหล่านั้นอยู่ แต่ละเซลล์นั้นก็ต้องทำหน้าที่ทำหน้าที่ทำหน้าที่ ไม่ทำหน้าที่ไอเซลล์เหล่านั้นมันก็ตาย เพราะมันมีกฏของธรรมชาติบังคับอยู่ เมื่อมันทำหน้าที่มันก็รอดไอร่างกายนี้ก็พลอยรอด เซลล์เหล่านี้ไม่ทำหน้าที่ก็ตายวูบเดียว เนี้ยเรียกว่ามันเนื่องกันอยู่อย่างไรชีวิตกับธรรมชาติชีวิตกับธรรมะ ชีวิตในแง่ของเซลล์แท้ๆต่อเนื่องกับกฏธรรมชาติชีวิตในการดำรงค์ชีวิตคนคนนี้จะต้องกินอาหารจะต้องทำอะไรตามหน้าที่มันก็เนื่องอยู่กับกฏของธรรมชาติมีอยู่เป็นหลักเกณฑ์ เราต้องทำอย่างนั้นรอดทำอย่างนั้นตาย เดี๋ยวนี้มันปฏิบัตไม่ถูกต้องตามกฏมากมายมันก็เกิดปัญหาขึ้นมา เมื่อไม่ถูกตามกฎของธรรมชาติมันก็เรียกว่า อธรรม อธรรมก็แล้วกันไม่ใช่ธรรมก็มีปัญหา คือความชั่วฝ่ายชั่วฝ่ายกิเลส ฝ่ายความชั่วเป็นอธรรม ไม่มีธรรมก็เกิดเรื่องเกิดกิเลสความไม่ถูกจิตคิดไปไม่ถูกตามกฏเกณฑ์ทำไปไม่ถูกตามกฏเกณฑ์ก็เป็นคิดชั่วพูดชั่วทำชั่วมันก็มียุ่งแล้วก็มีส่วนที่ผิดธรรมผิดธรรมในโลกมากขึ้นมากขึ้นโลกมันก็จะวินาศเพราะการที่เป็นไปอย่างไม่ถูกต้องทางธรรม เนี้ยธรรมมะกับชีวิตมันเกี่ยวข้องกันอย่างไร มันเกี่ยวข้องกันกี่มากน้อย 4ความหมายความหมายไหนสำคัญที่สุก ทุกคนจะเห็นได้เองโดยไม่ต้องบอก แต่มันต้องรู้ทั้ง 4ความหมาย จะเอาที่สำคัญที่สุดก็ความหมายที่3เรื่องของธรรมชาติเราก็ต้องรู้เรื่องกฏของธรรมชาติเราก็ต้องรู้ เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติเนี้ยต้องรู้ที่สุดรู้ถึงที่สุดเลย ทำให้มันผิดหน้าที่และก็ที่จะทำทั้งที่มันผิดหน้าที่ปัญหาก็เกิด ส่วนผลผลผลตามหน้าที่นั้นมันก็ต้องสนใจเหมือนกันจะว่าไม่สนใจฉันเลยก็ไม่ได้ก็ต้องสนใจมันเป็นไปตามถูกต้องตามหน้าที่ ใช้มันให้ถูกต้องตามเรื่องของธรรมชาติไปผลจะเกิดขึ้น อย่างเมื่อเราได้เงินมาแล้วยังต้องใช้ถูกกฏเกณฑ์ของธรรมชาติอยู่นั่นแหละ นั้นก็เกิดผลขึ้นมาแล้วมีปัญหาต้องจัดต้องควบคุมให้ผลที่ได้มานั้นเป็นไปอย่างถูกต้อง นี่โดยสรุปย่อๆก็มีอย่างนี้ธรรมะคู่กับชีวิต เพราะธรรมะหมายถึงธรรมชาติกฎธรรมชาติหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ ผลจากหน้าที่คู่กับชีวิต ชีวิตที่ไม่เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎธรรมชาติมันก็ตายเพราะชีวิตมันก็คือธรรมชาติ ถ้าดูให้ดีมันก็คือตัวชีวิตนั่นแหละ ตัวชีวิตก็คือตัวธรรมชาติ เมื่อเราพูดกับคู่ชีวิต คู่ชีวิตนี้มันแยกออกมา เป็นสองเรื่องธรรมชาติ อันหนึ่งชีวิตอันหนึ่งถ้าจะดูให้ดีพฤตตินัยแท้จริงชีวิตก็คือธรรมชาติ เนี้ยแล้วแต่จะมองดูในแง่ไหน หยาบๆหรือละเอียดที่สุดและก็ใช้สำเร็จประโยชน์ตามที่มันเป็นจริงจะเรียกว่ารู้ธรรมะรู้ธรรมะ ถ้าจะรู้ธรรมะก็จะต้องรู้4ความหมายรู้ธรรมชาติรู้กฎของธรรมชาติรู้หน้าที่ตามกฏของธรรมชาติรู้ผลที่เกิดจากหน้าที่นี้คือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะกล้าท้าว่าไม่มีมหาวิทยาลัยไหนสอนมันเรื่องนี้ในโลกนี้ไม่มีหมาวิทยาลัยสอนเรื่องธรรมชาติ ธรรมชาติ4ความหมายมันก็เลยไม่รู้เรื่องของธรรมชาติเรื่องของธรรมะก็แก้ปัญหาไม่ได้ความไม่เป็นธรรมมันก็มากขึ้นความเห็นแก่ตัว ธรรมชาติแท้ๆเป็นของธรรมชาติไม่ใช่ของตัว แต่ถ้าเป็นตัวก็เห็นแก่ตัวเกิดกิเลส เดินกันตรงกันข้ามจากกฎของธรรมชาติ ธรรมชาติทุกอย่างเป็นอนัตาไม่ใช่ตัวเอามาเป็นตัวไม่ได้มันก็เอามาอย่างโง่ๆเอามาเป็นตัวแล้วเห็นแก่ตัวเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้โลกจะวินาศเพราะเห็นแก่ตัวคุณรู้ล่วงหน้าไว้ด้วยก็ได้ ไหนไหนก็มาศึกษาเรื่องธรรมะแล้วก็ศึกษาเรื่องที่มันตรงข้ามกับธรรมะคืออธรรมกันเสียบ้างความไม่รู้เรื่องนี้ทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว มันไม่รู้เรื่องชีวิตมันไม่รู้เองธรรมชาติ4ความหมายมันก็เห็นแก่ตัวเห็นแก่ตัวเป็นความโง่เกิดขึ้นเกิดขึ้น เกิดมาจากท้องมารดาหรืออยู่ในท้องมารดามันยังไม่ได้เห็นแก่ตัวแต่มันก็มีความพร้อมคือมีความรู้สึกว่ามีตัวมีตัวมีตัว ถ้าเราจะยืนอยู่เป็นหลักเป็นประธานสำหรับการมีชีวิตนี้เราเพียงแต่มีตัวมีตัว แต่พอออกมาจากท้องมารดาแล้วมันโง่หนักเข้าหนักเข้า จนมีความเห็นแก่ตัวมีตัวเฉยๆร้ายกาจแต่ว่าเห็นแก่ตัวเป็นความเลวความผิดเป็นกิเลส เห็นแก่ตัว เซ้นฟิต (นาทีที่ 26.50) มันเป็นคำด่า แต่ก่อนนี้ใช้เป็นคำด่า นี่ท่ารักตัวสงวนตัวพัฒนาตัว ก็มีอย่างอื่นมันไม่ใช่เซ้นฟิต (นาทีที่ 27.02-27.10) ไม่เลว คำว่าเซ้นฟิต (นาทีที่ 27.13) มันก็เลวคือเห็นแก่ตัว มันไม่รู้จักชีวิตมันไม่รู้จักธรรมชาติมันไม่รู้จักกฏของธรรมชาติมันทำผิดๆๆๆโดยไม่รู้ตัว เด็กทารกเกิดมาจากท้องมารดา พอได้กินของอร่อยเช่นนมเป็นต้นก็เกิดความรู้สึกเป็นบวกเป็นลบ พออร่อยก็กูอร่อย พอไม่อร่อยก็กูไม่อร่อย เจ็บอะไรนิดก็กูเจ็บไม่ใช่เนื้อหนังเจ็บหรือธรรมชาติเจ็บ มีตัวกูของกูมากขึ้นมากขึ้นตามที่เด็กเด็กมัน เด็กทารกมันโตขึ้นมาโตขึ้นมา ไอความรู้สึกว่ามีตัวมีตัวจนกลายเป็นเห็นแก่ตัวเห็นแก่ตัว แล้วคนเลี้ยงก็ช่วยส่งเสริมให้เห็นแก่ตัวมากขึ้นคนเลี้ยงก็พยายามให้สบายที่สุดหลงในความสบายนั้นมากขึ้นก็ขัดใจเมื่อไม่สบายมากขึ้นเด็กๆของเราทารกของเราก็เห็นแก่ตัว เกิดความรู้สึกบวกหรือเป็นลบขึ้นมาเมื่ออยู่ในท้องมารดายังไม่มีความรู้สึกเป็นบวกเป็นลบพอมารู้สึกอารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่ถูกใจก็เป็นบวกไม่ถูกใจก็เป็นลบเป็นจุดตั้งตนของกิเลสคือมันจะเอาแต่ทางบวกมันไม่อยากเอาทางลบและมันก็จะเอาอย่างภาษาเห็นแก่ตัวไม่ต้องมีคิดว่าผิดถูกอย่างไร เด็กๆก็ตามใจตัวเองมากขึ้นตามใจตัวเองมากขึ้น เดินชนเก้าอี้ เตะเก้าอี้โง่กี่มากน้อย ถ้าเดินชนเก้าอี้มันก็เตะเก้าอี้ ก็คือมีตัวนี้ตัวกูเก้าอี้ก็เป็นตัวอีกฝ่ายหนึ่งเป็นข้าศึกก็เตะเก้าอี้ และทั้งคนเลี้ยงบางทีก็บิดามารดาช่วยผสมโรงไปตีเก้าอี้เข้าอีกไปช่วยตีเก้าอี้ให้เด็กมันหายโกรธเก้าอี้ให้มันหายร้องไห้ นี่เด็กมันคงโง่ โง่หนักขึ้นไปหนักขึ้นไป มีตัวมีตัวมันผิดธรรมชาติ มันไม่ใช่ธรรมะมันไม่ใช่ธรรมชาติแล้ว แล้วมันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้เรื่องนี้มันเป็นเรื่องตามธรรมชาติ มันรู้สึกตามธรรมชาติว่ามีตัวมีตัว อะไรที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวก็เป็นของตัว มีความรู้สึกว่าตนก็ของตน ตัวกูหรือของกูมันเป็นที่ยึดหมั้นถือมั่น อะไรมาแตะต้องตัวกูของกูมันก็ประกาศเป็นข้าศึก ต่อสู่ทำลายไปตามเรื่อง แล้วมันก็โง่มีตัวมีตัวจนชินๆๆเป็นนิสัย
ระบบประสาทตาแท้ๆเห็นภาพเห็นรูป มันก็กูเห็นรู้ใช่ไหม ท่านทั้งหลายทุกคนเมื่อเห็นรูปรู้สึกว่าตาเห็นรูปหรือตาเห็นรูป ถ้าตาเห็นรูปมันมีความหมายอย่างถ้ากูเห็นรูปมันมีความหมายอีกอย่าง ถ้าเพียงแต่ตาเห็นรูปมันก็มีเพียงตารู้สึกมิติ........(นาทีที่30.34) ขนาดอย่านั้นมิติอย่างนั้นสีสันอย่างนั้น เท่านั้นมันไม่มีความหมายให้เกิดกิเลส แต่กูเห็นรูปมันเป็นความหมายทันที พอมันรู้ก็ว่ารูปอะไร รูปหญิงรูปชายมันเกิดความรู้สึกต่างกันมาก ตาเห็นรูปกับกูเห็นรูป ตาเห็นรูปมันคือตามธรรมชาติกูเห็นรูปนี่มันโง่แล้ผิดธรรมชาติ ระบบประสาทหูรับคลื่นเสียงออกมามันก็กูกูได้ยินเสียงระบบประสาทตารับคลื่นแสงมันก็กูเห็น กูเห็นรูป ระบบหูรับคลื่นเสียมันก็กูได้ยินเสียง กูทั้งหมดหูได้ยินเสียงกับกูได้ยินเสียงมันต่างกันอย่าง......(นาทีที่ 31.40) ถ้ากูมันก็มีความหมายที่เป็นบวกเป็นลบที่จะเกิดกิเลสชอบหรือไม่ชอบ ถ้าหูได้ยินเสียงอย่างเดียวมันก็แก้ไขไปตามเรื่องตามธรรมชาติ ระบบประสาทหมู่จมูกได้กลิ่นก็กูได้กลิ่น ไอ้ประสาทลิ้นได้รสก็กูได้รส ต้องไปคิดดูมันต่างกันมากมายมายมหาศาล ลิ้นอร่อยกับกูอร่อยต่างกันเท่าไหร่ ลิ้นไม่อร่อยกับกูไม่อร่อยต่างกันเท่าไหร่ ถ้าเพียงลิ้นไม่อร่อยเป็นเรื่องทางวัตถุเท่านั้น กูไม่อร่อยมันเป็นเรื่องทางจิตมันก็โกรธก็ขัดใจ เดียวมันด่าแม่ครัว นี่ลิ้นอร่อยกับกูอร่อยต่างกันมากอย่างนี้ ผิวหนังสัมผัสผิวหนัง อะไรสัมผัสผิวหนังก็กูสัมผัสสัมผัสสูงสุดคือสัมผัสทางเพศ เกิดเรื่องราวมหาศาล เนี่ยมันเริ่มตั้งต้นมาตั้งแต่ตัวก. ตาเห็นรูปก็กูเห็นรูป กูได้ยินเสียงก็กูได้ยินเสียงเรื่อยมาเป็นตัวกูอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยก็เป็นของกู ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกลายเป็นของกู เป็นรูปของกู เป็นเสียงของกู เป็นกลิ่นของกู แล้วมันก็ทำให้เกิดความรู้สึกที่เป็นกิเลสบวกหรือลบ เนี้ยละมันก็เห็นแก่ตัวเห็นแก่ตัวคือจะเอาแต่ฝ่ายบวกเท่านั้น ฝ่ายลบมันไม่ต้องการแต่ที่จริงมันมีปัญหาเท่ากันนะ ฝ่ายบวกก็ทำยุ่งเหมือนกันฝ่ายลบก็ยุ่งเหมือนกันนะ ถ้าคนมันไม่มีความรู้มีแต่อวิชามันก็มุ่งหมายแต่ฝ่ายบวก ก็แย่งชิงกันแต่ฝ่ายบวกรบราฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงฝ่ายบวก นี่เลยกลายเป็นเห็นแก่ตัวเห็นแก่ตัว
ระดับบุคลก็เห็นแก่ตัว ระดับครอบครัวก็เห็นแก่ตัว ระดับสังคมก็เห็นแก่ตัว ระดับประเทศก็เห็นแก่ตัว ระดับโลกก็เห็นแก่ตัว พวกมหาประเทศในโลกก็เห็นแก่ตัว และก็ทำไปตามอำนาจเห็นแก่ตัวเดือดร้อนเท่าไหร่ นั้นคือธรรมหรือผิดธรรมธรรมะหรืออธรรม ถ้ามันยังไม่เห็นแก่ตัวมันยังถูกธรรมะอยู่พอมันเห็นแก่ตัวนี่ผิดธรรมะแล้ว แล้วก็ลงโทษมหาศาลเดือดร้อนกันเป็นการใหญ่ ผู้เห็นแก่ตัวนั้นมันดูเถอะสารพัดจะเค้าก็จะทำไปตามความรู้สึกเห็นแก่ตัว ขี้เกียจ มันเอาเปรียบบ้าง อิจฉาริษยาบ้าง จองหองพองขนบ้างไม่ร่วมสามัคคีกับใครๆ ผู้เห็นแก่ตัวคือไม่มีธรรมะเห็นแก่ตัวแล้วมันก็ไปทำตามความเห็นแก่ตัวคือตามกิเลสโง่เขลา ก็ไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำ มันจึงได้ไปติดยาเสพติด ติดบุหรี่ ติดเหล้า ซึ่งมันไม่ควรทำ ความโง่เห็นแก่ตัวคืออร่อย ของใหม่พอไปทำเข้ามันก็เลยติด ของเสพติด ยาเสพติด ก็เห็นแก่ตัว ไปติดอบายมุขดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืนดูการละเล่น การพนัน กระทั่งติดยาเสพติด กระทั่งได้เป็นโรคที่สุนัขก็ไม่เป็นโรคที่เป็นปัญหาทั้งโลกเวลานี้ โรคเอดส์ โรคแอด อะไรก็ไม่อยากเรียกชื่อ หมาก็ไม่เป็นแต่คนเห็นแก่ตัวมันเป็นมันอยากจะไปลองในที่แปลกนิดหน่อย เห็นแก่ตัวแล้วก็ได้เป็นโรคเอดส์ ก่อนก็ไม่มีโรคซิฟิลิลโกโนเลีย (นาทีที่36.13) โรคที่หมาก็ไม่เป็นทั้งนั้นแล้วคนเห็นแก่ตัวก็ได้เป็นแล้วดูเดี๋ยวนี้กำลังเป็นปัญหาโลก เป็นปัญหาทั้งโลกโรคที่สุนัขก็ไม่เป็นคนเอามาเป็นเพราะมันเห็นแก่ตัว เพราะมันไม่มีธรรมะไม่มีธรรมะเสียเลยมันจึงได้ไปเป็นโรคที่สุนัขก็ไม่เป็น เพราะเห็นแก่ตัวแล้วมันก็ทำความเสียหาย มลภาวะทั้งหมดในโลกมาจากคนเห็นแก่ตัวมลภาวะนี้มีรายละเอียดเราจำแนกไม่ไหวนะ ทั้งโลกมาจากคนเห็นแก่ตัว เอ็กซีเดน (นาทีที่36.40) อุบัติเหตุทั้งหลายก็มาจากผู้เห็นแก่ตัว ทำลายธรรมชาติเข้า เพราะเห็นแก่ตัว ทำลายของที่เค้าสร้างขึ้นดีๆก็เพราะเห็นแก่ตัว นี่ในที่สุดมันก็เบียดเบียนตัว ทำลายตัว มหาเศรษฐีก็เห็นแก่ตัว ขอทานก็เห็นแก่ตัว มันต่างกันตรงไหน เศรษฐีมีทรัพย์สมบัติมหาศาลก็เห็นแก่ตัว ขอทานไม่มีอะไรก็ยังเห็นแก่ตัว นายจ้างก็เห็นแก่ตัวลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว คนขายก็เห็นแก่ตัว คนซื้อก็เห็นแก่ตัว พอเห็นแก่ตัวแล้วมันก็เกิดอธรรม อธรรม ไม่ใช่ธรรม คุณมาที่นี่เพื่อแสวงหาความรู้เรื่องธรรม หรือพระธรรม เอาไปใช้เป็นประโยชน์ ก็คือเรื่องธรรมะและอธรรมคือเห็นแก่ตัว ถ้าครูบาอาจารย์เห็นแก่ตัว ทำนาบนหลังลูกศิษย์ แย่ไปทั้งลูกศิษย์และผู้ปกครองลูกศิษย์
ถ้าครูบาอาจารย์เห็นแก่ตัว ถ้าหมอเห็นแก่ตัวเป็นยังไง หมอก็คือผู้ฆ่าคน สูบเลือดคน หมอก็ไปทำนาบนหลังคนเจ็บไข้ ตุลาการเห็นแก่ตัวก็ทำนาบนหลังจำเลยทั้งหลาย พระเจ้าพระสงฆ์เห็นแก่ตัว ก็ทำนาบนหลังทายกทายิกา นัวเห็นแก่ตัว ผัวเมียเห็นแก่ตัวก็ต้องหย่ากันอยู่ด้วยกันไม่ได้ เพื่อนกันแท้ๆเห็นแก่ตัวก็แยกจากกันเลิก เลิกความเป็นเพื่อน นี่ความเห็นแก่ตัวคืออธรรม เป็นเหตุให้ยุ่งยากลำบากทุกสิ่งทุกประการ จะสร้างคุกตารางเท่าไหร่ก็ไม่พอกับผู้เห็นแก่ตัว จะสร้างตำรวจเท่าไหร่ก็ไม่พอ สร้างศาลยุติธรรมเท่าไหร่ก็ไม่พอ สร้างโรงพยาบาลบ้าเท่าไหร่มันก็ไม่พอกับผู้เห็นแก่ตัว นี่เราจะเอากันยังไง นี่คืออธรรม อธรรมมันเป็นอย่างนี้ ขอพูดถึงการศึกษาสักหน่อยนะขออภัยนะ การศึกษายังแย่มาก แย่ลง แย่ลง การศึกษาในโลกปัจจุบันนี้ไม่แก้ปัญหานี้ คือไม่แก้ปัญหาเห็นแก่ตัว ก็เพราะการศึกษาสมัยปัจจุบันนี้มีแต่สอนให้ฉลาดๆฉลาดไปสารพัดอย่างทุกแขนงวิชา ไปเที่ยวโลกพระจันทร์ได้เหมือนกับไปเที่ยวเล่นสวนหลังบ้านฉลาดถึงขนาดนั้น เสร็จแล้วมันก็ยิ่งเห็นแก่ตัว เพราะการศึกษาเดี๋ยวนี้มันแยกออกจากการศาสนา สมัยโบราณ..............นาที่ที่ 40.10 การศาสนามันช่วยคุมไว้ให้การศึกษาจึงยังมีความถูกต้อง คือยังไม่เห็นแก่ตัว นี่มันแยกจากกันเป็นอิสระเสรี ยิ่งฉลาดลึกยิ่งเห็นแกตัวลึก ยิ่งฉลาดลึกยิ่งเห็นแกตัวลึก ก็ดูคนในโลกปัจจุบันเค้าฉลาดที่จะกอบโกยประโยชน์ใครจะเดือดร้อนเท่าไหร่ก็ช่าง นี่คือความไม่มีธรรมะไม่มีธรรมะ ธรรมมะไม่มาควบคุมการศึกษาของพวกคุณ การศึกษาของพวกคุณก็หันไปรับใช้ความเห็นแก่ตัว รับใช้การเมือง รับใช้เศรฐกิจอะไรก็ตามที่มันรับใช้ความเห็นแก่ตัว นี้ความเห็นแก่ตัวในโลกมันก็มากขึ้นมากขึ้นนี้คือไม่มีธรรมะความไม่มีธรรมะอยู่ในโลก โลกกำลังจะวินาศ นี้เรียกว่าไม่มีธรรมะ นั้นขอพยายามเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ก็คือตัวปัญหา ไม่ใช่ไม่เกิดปัญหามันก็คือ ที่จะช่วยให้รอดหรือตายคือธรรมะหรืออธรรม มันก็มีธรรมะหรืออธรรม นี้คำว่าธรรม ภาษาไทยเราเรียกว่าธรรม ภาษาบาลีเรียกธรรมะภาษาสัน.......(นาทีที่ 41.39-41.42) แต่คำเดียวกันคือธรรมะ คำๆนี้แปลว่า ทรงไว้ยกขึ้นไว้ไม่ให้พลัดลงไปข้างล่าง ธรรมะคืออย่างนี้ตัวหน้าที่ก็คืออย่างนี้ ในภาษาไทยเรียกหน้าที่ ในภาษาบาลีเรียกว่าธรรม ธรรมะสิ่งเดียวกัน แม้จะเรียกต่างกันแต่มันคือสิ่งเดียวกัน สิ่งที่เป็นหน้าที่หน้าที่ หน้าที่ก็ยกผู้มีหน้าที่ไว้ไม่พลัดลงไปตาย สิ่งที่เป็นธรรมะธรรมะก็ยกผู้มีธรรมะไว้ไม่พลัดลงไปตาย จึงขอย้ำแล้วย้ำอีกเตือนแล้วเตือนอีกว่าความหมายที่สาม ความหมายที่สาม ธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ เมื่อใดคือหน้าที่เมื่อนั้นคือปฏิบัติธรรมะ เมื่อมีการปฏิบัติธรรมะเมื่อนั้นมีการทำหน้าที่ ไปดูเอาเอง แม้ว่าจะกินอาหาร จะอาบน้ำจะถ่าย มันก็คือการทำหน้าที่ การทำหน้าที่ แล้วมันก็ไม่ต้องตาย ก็ดิ้นรนทุกอย่างในการเล่าเรียนก็ดี ในการทำงานก็ดี ในการสะสมทรัพย์สมบัติก็ดี มันก็มีลักษณะอย่างนี้ ถ้าทำถูกหน้าที่ก็มีธรรมะ แล้วก็ยกคนนั้นขั้นไว้ ไม่ให้ตายหรือไม่ให้เป็นทุกข์ ธรรมะคือสิ่งที่จะทรงผู้มีธรรมะ หน้าที่ก็คือจะทรงผู้มีหน้าที่ไม่พลัดตกลงไปในความทุกข์ ดังนั้นจึงเป็นสิ่ง สูงสุดๆที่ควรจะสนใจ ควรจะเคารพและบูชา ผู้ใดบูชาหน้าที่ผู้นั้นมีความเจริญสูงสุด ผู้ใดเหยียบย่ำหน้าที่ตกนรกแล้วทั้งเป็น ขอให้สนใจคำว่าหน้าที่ หน้าที่ มีหลักเกณฑ์ ที่ตายตัวว่าการปฏิบัติธรรมคือการปฏิบัติหน้าที่ การปฏิบัติหน้าที่คือการปฏิบัติธรรมะ จะมีธรรมะๆนี้ให้ถูกต้องมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกตั้งแต่ออกจากท้องมารดาให้มีความรู้ความเข้าใจถูกต้องเป็นเด็กมีธรรมอย่างเด็ก เป็นเด็กวัยรุ่นก็มีธรรมะอย่างเด็กวัยรุ่นหนุ่มสาว นั้นก็คือมีธรรมะตามขั้นของตนอย่าให้ขาดตอน แล้วก็จะมีแต่ความสุขสวัสดี เด็กทารกไม่มีธรรมะมันก็น่าสงสาร วัยรุ่นไม่มีธรรมะก็ดูเอาเอง ชิงสุกก่อนห่ามไรไปตามเรื่อง คนหนุ่มคนสาวไม่มีธรรมะก็เต็มไปด้วยความเลอะเทอะ พ่อบ้านแม่เรือนไม่มีธรรมก็ไม่ได้ เจริญยาก คนแก่คนเฒ่าไม่มีธรรมะก็........นาทีที่44.54 ฉะนั้นเราจึงจัดการชำระสะสางให้มีธรรมะถูกต้องๆ ตามสถานะแห่งตน เป็นเด็กทารกเป็นเด็กโต วัยรุ่นแล้วหนุ่มสาวแล้ว จึงขอสรุปความ บัญติความหมายว่า ธรรมะคืออะไร...........นาทีที่45.15-45.25 ธรรมะตัวบทตั้งคือระบบปฏิบัติ ระบบปฏิบัติ วัตที่ถูกต้อง วัดแก่ทางรอดทั้งทางกายและทางจิต ทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น ยาวหน่อยนะยาวหน่อย แต่มันสมบูรณ์ที่สุด ธรรมะคือระบบปฏิบัติ ทำไมต้องใช้คำว่าระบบเพราะว่ามันไม่ใช่ปฏิบัติอย่างเดียว มันต้องปฏิบัติกันครบทั้งระบบไม่ว่าธรรมะเรื่องอะไรมันเป็นระบบต้องปฏิบัติให้ครบทั้งหมดจึงจะเรียกว่าระบบ ระบบปฏิบัติ ระบบการปฏิบัติไม่ใช่ข้อเดียวอันเดียว ธรรมะคือระบบปฏิบัติ ปฏิบัติครบถ้วนตามระบบ ก็ต้องมีคำว่าที่ถูกต้องปฏิบัติที่ถูกต้องถ้าไม่ถูกต้องมันก็ไม่เป็นธรรมะ ระบบปฏิบัติที่ถูกต้องคำว่าถูกต้องนี้เอาภาษาศาสนากันดีกว่า อย่าไปภาษา..................นาทีที่47.22บ้าๆบอๆ ถึยงกันจนตายก็ไม่รู้ว่าถูกต้องคืออะไร ถ้าเอาระบบ.............นาทีที่47.29มาใช้ เอาระบบศาสนามาใช้สิถูกต้องคือไม่ทำอันตรายแก่ผู้ใดมีประโยชน์ทุกฝ่ายถูกต้อง ถ้ามันไม่เป็นโทษอันตายแก่ผู้ใดมีประโยชน์แก่ทุกฝ่ายนั่นคือถูกต้องๆถูกต้องตามความหมายของศาสนา.........นาทีที่47.55-48 พูดกันทั้งวันก็ไม่รู้ว่าถูกต้องอย่างไร เถียงกันหน้าดำหน้าแดงเพียงความถูกต้องก็ไม่จบ ระบบปฏิบัติที่ถูกต้อง ถูกต้องคือมันเกิดผลแก่ทุกฝ่าย ถูกต้องแกอะไร ถูกต้องแก่ความรอด..........นาทีที่48.17-48.20รอดจากความตายก็ได้รอดจากทุกข์ก็ได้ รอดตายมีชีวิตอยู่ก็ต้องรอดจากความทุกข์รอดจากปัญหาทุกอย่างทุกประการอีกทีหนึ่งจึงจะเป็นความรอดที่เต็มเปรี่ยม คือทั้งทางกายและทางจิตทางกายก็รอดตายทางจิตก็รอดจากความทุกข์คือปัญหา รอดทั้งทางกายและทางจิต คำถัดไปคือทุกขั้นตอนแห่งชีวิตใช่ไหมทุกขันตอนคือตั้งแต่เด็กจนเข้าโลง ทุกขั้นตอนแห่งชีวิต เป็นเด็ก เป็นเด็กใหญ่ เป็นวัยรุ่น เป็นหนุ่มสาว เป็นพ่อบ้านแม่เรือนทุกขั้นตอนแห่งชีวิต รอดทั้งทางกายและทางจิต ทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่นรั้งท้ายทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น อันนี้คนมันจะเครียดคนอื่นช่างหัวมันสิ นี่มันคือคนโง่มันอยู่คนเดียวในโลกได้ ธรรมชาติไม่ได้สร้างขั้นมาให้อยู่คนเดียวในโลก มนุษย์ก็ดีสัตว์เดรฉานก็ดี ต้นไม้ต้นไร่ก็ดี ธรรมชาติไม่ได้สร้างขั้นมาให้อยู่คนเดียวตัวเดียว ตนเดียวในโลก อยู่คนเดียวตนเดียวมันก็ตายเท่านั้น มันต้องอยู่อย่างพึ่งพาอาศัยกันนี่จึงเรียกว่ามีความสัมพันธ์มีความผูกพันธ์อย่างที่แยกกันไม่ได้โลกนี้ต้องประกอบด้วยส่วนประกอบครบทุกอย่างจึงขอแถมสุดท้ายทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น รอดทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น ถ้ารอดอยู่คนเดียวมันอยู่ไม่ได้ เค้าให้เราอยู่คนเดียวห้ามหมดทุกอย่างมันก็ตายเท่านั้นอยู่ไม่ได้ ธรรมะคือระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความรอดทั้งทางกายและทางจิตทุกขั้นตอนแห่งชีวิตทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่นนี้เรียกว่าธรรมะ คุณจะคิดยังไงมาที่นี้เพื่อแสวงหาความรู้ทางธรรมะไปใช้เป็นประโยชน์พอได้ยินคำอย่างนี้แล้วสั่นหัวยอมแพ้บอกคืนไม่เอา เข้มแข็งต่อสู้เอาสิมันมีความหมายอย่างนี้ ระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความรอดทั้งทางกายและทางจิต ทุกขั้นตอนแห่งชีวิตทั้งตนเองและผู้อื่นฟังดูมันมากมายมหาศาลแต่นั่นคือพอดีเต็มที่พอดีไม่มากไม่น้อย ธรรมะต้องเป็นอย่างนี้แล้วเราจะต้องปฏิบัติให้ถูกให้ทันแก่เวลา ให้ถูกให้ทันแก่เวลา คือให้ได้รับผลของธรรมะก่อนเข้าโลง แล้วบางคนจะอุตริไม่รับผิดชอบ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมาฉันไม่ได้ขอเกิดมา ฉันไม่ได้ทำสัญญาว่าเกิดมาแล้วจะต้องทำอะไรฉันไม่รู้ไม่ชี้ อ้าวก็ได้เหมือนกันก็ลองดูสิ ใครจะคิดอย่างนี้ก็ลองดูสิ...................นาทีที่52.00-52.10 มันก็เกิดมาแล้วมันเกิดมาแล้วมันไม่มีข้อต่อรองอะไรมันเกิดมาแล้วมันเหลืออยู่แต่ว่าจะต้องทำอย่างไรมันเกิดมาแล้วมันก็คืออันนี้คือปฏิบัติธรรมะให้เสร็จทัน ก่อนที่จะเน่าเข้าโลงเป็นเด็กก็ถูกต้อง วัยรุ่นก็ถูกต้องหนุ่มสาวก็ถูกต้องพ่อบ้านแม่เรือนก็ถูกต้องคนแก่คนเฒ่าก็ถูกต้องมีความถูกต้องทันแก่เวลาก่อนแต่ที่จะเข้าโลงคนโบราณเค้ามีสติปัญญา ขอสรุปความให้มันง่ายขึ้นมาว่าชีวิตนี้หนึ่งเป็นเหมือนของยืม ยืมมาจากธรรมชาติ อย่าโง่เป็นตัวกูเป็นของกูเป็นตัวกูเป็นของกู ธรรมชาติจะตบหน้าเอาถ้าคดโกงเพราะมันยืมมาจากธรรมชาติแท้ๆธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุอากาศธาตุวิญญานอะไรก็ตามได้มาจากธรรมชาติเป็นชีวิตพักหนึ่งแล้วก็สลายตัวไป คนแก่สรุปให้มันสั้นแค่นี้ยืมจากธรรมชาติมาพัฒนาเอาเองพัฒนาเอาเองพัฒนาเอาเองให้ได้ประโยชน์เต็มที่ตามความพอใจ แล้วคืนเจ้าของคือตาย ความตายเป็นการคืนเจ้าของไม่น่ากลัวแล้วก็ไม่ยักยอกธรรมชาติ ธรรมชาติให้ยืม ลูกหนี้ที่ดีไม่คดโกงธรรมชาติธรรมชาติให้ยิมไม่คิดค่าสึกหรอให้ยืมพัฒนาเอาเองตามความพอใจแล้วก็ส่งคืนในเวลาที่ควรจะส่งคืนนี่คือความตายถ้าเรามีหลักเกณฑ์กันอย่างนี้บนโลกนี้มันจะมีสันติภาพสันติสุข ยิ่งกว่านี้มากมายคือไม่มีใครเห็นแก่ตัวไม่มีใครสร้างกิเลสขึ้นเผาผลานตัวก็มีชีวิตถูกต้อง ระบบปฏิบัติถูกต้องทั้งทางกายและทางใจเรียกว่ามีชีวิตถูกต้อง ถ้ามีชีวิตถูกต้องชีวิตนี้จะเยือกเย็นและเป็นประโยชน์เยือกเย็นก็ไม่มีความทุกข์เลยแล้วก็เป็นประโยชน์แก้ทุกฝ่าย นั้นสรุปเป็นคำพูดง่ายๆขึ้นมาอีกทีหนึ่ง ว่าชีวิตนี้ไม่กัดเจ้าของ.........นาทีที่55.03ชีวิตนี้ไม่กัดเจ้าของคุณมองออกไหมว่ากำลังมีชีวิตชนิดที่กัดเจ้าของกันอยู่ทุกคนพวกฝรั่งมาที่นี่กันทุกเดือน เดือนละร้อยกว่าคนชอบคำนี้มาก ชอบคำพูดที่ได้พบชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ เพราะเคยพบแต่ชีวิตที่กัดเจ้าของที่แล้วมาแต่หนหลังชีวิตที่กัดเจ้าของ พึ่งมาพบกับชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของก็เมื่อ มีธรรมะ ศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรม เมื่อก่อนนี้ชีวิตกัดเจ้าของกัดตัวเองหมายังไม่กัดเจ้าของหมาแท้ๆมันยังไม่กัดเจ้าของ ชีวิตมากัดเจ้าของ มันควรจะคิดกันมากๆ เดี๋ยวความรักกัด ความรักนี่มันกัดหัวใจคนทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ไปดูความรักแง่บวกก็กัดแบบบวก ความรักแง่ลบก็กัดแง่ลบ แม้แต่ว่ารักๆๆไม่ใช่กูรักรักพ่อรักแม่รักเพื่อนมันก็ยังกัด อย่างลูกเด็กๆก็รักพ่อรักแม่ ไปโรงเรียนวันแรกไปร้องไห้ที่โรงเรียนก็คิดถึงแม่ ความรักมันกัดทั้งนั้นไม่ว่ารักชนิดไหนเดี๋ยวความรักกัดเดี๋ยวความโกรธ โกรธนั่นโกรธนี่ก็กัด ความเกลียดก็กัด เกลียดนั่นเกลียดนี่ ความกลัว ความกลัวนี่มีสาระพัดอย่าง มันกลัวสอบไล่ตก กลัวจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ กลัวจะตายก่อนตายแต่มันทำอะไรไม่ได้มันก็เลยนิ่งอุปไว้ในใจ แต่ความกลัวมีชีวิตอยู่ด้วยความกลัว ถ้าเป็นยุคสงครามยังมีความกลัว กัดและก็มีการตื่นเต้นๆ อันนี้คนไม่ค่อยมองเอ็กไซเทด ตื่นเต้น ตื่นเต้นอยู่ดีๆไม่ชอบไปหาอะไรทำให้มันตื่นเต้นกินเหล้าเข้าไปให้มันตื่นเต้นไปดูมวยให้มันตื่นเต้นไปดูกีฬาให้มันตื่นเต้น ความตื่นเต้นมันกัด ดูดีดีความตื่นเต้นไม่ใช่ความสงบ ก็กัดๆๆๆ ความตื่นเต้นนี้ก็กัดลึกซึ้ง ความวิตกกังวลในอนาคตที่ไม่รู้ว่ายังไงกันแน่วิตกอนาคตก็กัด กัดหัวใจ อาลัยอาวรณ์เรื่องที่แล้วมาแต่หนหลังในอดีตมันก็กัด อิดฉาริษยาก็กัด ความหวงมันก็กัด ความหึงมันก็กัด ฆ่ากันตาย ตัวอย่างที่ชีวิตกัดเจ้าของมากมาย เราเอามาเป็นตัวอย่าง10อย่างพอแล้วเกินแล้วเกินพอ ชีวิตกัดเจ้าของหลายร้อยอย่างหลายพันอย่าง ลองจำไว้หนึ่งความรัก สองความโกรธ
สามความเกลียด สี่ความกลัว ห้าความตื่นเต้น หกความวิตกกังวลอนาคต เจ็ดอาลัยอาวรณ์อดีต แปดอิดฉาริษยา เก้าหวง สิบหึง หวงมันเรื่องธรรมดา ถ้าเป็นเรื่องทางเพศเรียกว่าหึง สิบอย่างพอแล้วเกินที่จะเข้าใจแล้วเกินที่จะรู้รสแล้ว เกินที่จะเกลียดกลัวแล้ว ความรักความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความตื่นเต้น วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิดฉาริษยา หวง แล้วก็หึง 10อย่างมันพอแล้วเนี้ย แล้วไม่ต้องบอกใช่ไหมไม่ต้องอธิบายใช่ไหม เพราะมันถูกกัด............นาทีที่59.33ไม่ต้องอธิบายแล้วชีวิตที่กัดเจ้าของโดยสิบอย่างเท่านี้ก็พอแล้วถูกกัดมาจนรู้จักดีแต่คนก็ยังสมัครให้มันกัดอยู่ไม่มีปัญญาที่จะป้องกันธรรมป้องกันอาการที่ไม่ทำให้กัดเจ้าของไม่เกิดความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความตื่นเต้น วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิดฉาริษยา หวง หึง มีแต่ความสงบ สงบ ปกติแล้วก็สงบ แล้วก็ยังเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นแก่ทุกฝ่ายด้วย มันมีอานิสงค์อื่นๆอีกมากมายต้องธรรมะ แต่พวกฝรั่งที่มาพอใจแต่ข้อนี้ข้อเดียว ข้อเดียวก็พอใจเสียแล้วที่ได้พบชีวิตใหม่ชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของเป็นชีวิตเยือกเย็นๆๆ แล้วเป็นประโยชน์ เย็นในที่นี้มันมีความหมายเฉพาะ คือมันเหนือบวกเหนือลบเหนือดีเหนือชั่วเหนือสุขเหนือทุกข์เหนือได้เหนือเสียเหนือแพ้เหนือชนะเหนือกำไรเหนือขาดทุนเหนือเอาเปรียบเหนือเสียเปรียบเหนือทุกอย่าง นี้ชีวิตเย็นไม่ต้องไปบวกไม่ต้องไปลบถ้าบวกก็ยุ่งไปตามบวก แพ้ก็ยุ่งไปตามแบบแพ้แชนะก็ยุ่งไปตามแบบชนะ ไม่แพ้ไม่ชนะ ไม่ดีแล้วก็ไม่ชั่วเหนือดีเหนือชั่ว ถ้ายังดีอยู่บ้าดีเมาดีหลงดีดีมันจะกัด เหนือกำไรเหนือขาดทุน ฉันไม่สนใจเรื่องกำไรเรื่องขาดทุนเอาแต่ความปกติ ฉันไม่หัวเราะและไม่ร้องไห้ หัวเราะก็บ้าร้องไห้ก็บ้า เหนื่อยทั้งนั้นไม่เอาทั้งหัวเราะและร้องไห้ แล้วก็ไม่ดีใจไม่เสียใจ ข้อนี้มันควรจะดีได้ทุกคนแต่ว่าเราไม่สนใจ ดีใจก็เหนื่อยไปแบบหนึ่ง เสียใจก็เหนื่อยไปแบบหนึ่ง ดีใจก็ยุ่งไปอีกแบบกินข้าวไม่ลงนอนไม่หลับ เสียใจก็ยุ่งกินข้าวไม่ลงนอนไม่หลับเลิกเสียทั้งดีใจทั้งเสียใจธรรมชั้นสูงสุดเหนือดีเหนือชั่วคือนิพาน เหนือชั่วคือดีเหนือดีคือนิพานอย่าไปติดอยู่ที่ดี บ้าดีเมาดีหลงดี นี่มันจะร้ายกว่าบ้าชั่วเสียอีกนะให้กระทั้งไม่มีอะไรที่เป็นบวกหรือเป็นลบ กระทั่งไม่มีความหมายแห่งการเป็นหญิงหรือการเป็นชาย ปัญหามันเลยไม่มีจิตแท้ๆของคนไม่มีความเป็นหญิงเป็นชาย เป็นกลางเป็นจิตล้วนๆ แต่ถ้ามีอะไรมาทำให้เกิดความรู้สึกเป็นหญิงรู้สึกเป็นชายขึ้นมาจนเกิดปัญหาทางเพศ พระอรหันละมูลเหตุเหล่านี้ได้เหนือความเป็นหญิงความเป็นชาย จึงไม่มีความเป็นหญิงไม่มีความเป็นชายไม่มีปัญหาใดใดอย่างที่เราๆมีกันอยู่เนื่องจากความเป็นหญิงความเป็นชาย คำสอนหรือธรรมะนี้มันไม่ใช่เรื่องไว้ให้คนโง่ล้อเล่น แต่มันลึกสำหรับคนมีปัญญาที่จะมองให้ลึกมองให้เห็น เราเรียกว่าเหนือความเป็นคู่ทุกคู่เรียกว่าบวกหรือลบบวกหรือลบ ภาษาจีนก็ยินหยางยินและหยาง.........นาทีที่63.47-63.55 ไม่ให้ความเป็นบวกครอบงำความเป็นลบครอบงำนั้นแหละมันจึงไม่ดีใจเสียใจไม่หัวเราะไม่ร้องไห้ไม่รู้สึกอะไรที่เป็นคู่ๆ ภาษาธรรมดาเรียกว่าความรู้สึกที่เป็นคู่ แพรออฟออฟเฟอซิ้ 64.25คู่แห่งสิ่งตรงกันข้ามนี้คือความเป็นบวกหรือเป็นลบ ฝ่ายบวกก็ยุ่งไปอย่างฝ่ายลบก็ยุ่งไปอย่าอย่างบวกอย่าลบแล้วมันก็สงบ อันนี้เราบูชาบวกอยากให้เป็นบวกจะลบก็ปัดออกไม่ได้ลบก็ลบกวนบวกก็ลบกวนเลยมีชีวิตชนิดที่กัดเจ้าของเดี๋ยวความเป็นบวกกัดเดี๋ยวความเป็นลบกัด เดี๋ยวดีใจเดี๋ยวเสียใจไม่ต้องมีอะไรแล้ว ถ้าเสรีภาพแท้ๆก็ไม่ต้องเป็นอย่างนี้เรียกว่าหลุดพ้นจากอิทธิพลทุกสิ่งบนโลกนี้ไปสู่พระนิพาน สู่นิพานเต็มที่ก็เป็นอย่างเต็มที่ถ้ายังไม่เต็มที่ยังอยู่ในโลกนี้เรียกว่าเย็นขนาดพอสมควรก็เรียกว่านิพุติ คำนี้ควรจะจำไว้นิพุติแปลว่าเย็นนิพานแปลก็แปลว่าเย็น เมื่อมีการทำพิธีทางศาสนาเมื่อไหร่ที่บ้านที่วัดทีวิทยาลัยไหนก็ตามถ้ามีพิธีทางศาสนาว่าต้องนิมนต์พระมาสวดแล้วพระก็ให้ศีล พอจบให้ศีลพระก็บอก สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ นิพพุติ ยันติ สีเลนะ สุคะติง ยันติสีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโสทะเย นิพพุติ นิพพุติ คือเย็นตามความหมายแห่งนิพานแต่ยังไม่ถึงที่สุด ที่นี้คนที่ฟังทั้งหลาย สีเลนะ นิพพุติ ยันติ เป็นแรดฟังไม่รู้ว่าอะไรคนฟังเป็นแรดกันหมด พระให้มากี่ร้อยกี่พันหนกี่หมื่นหน มันก็ยังไม่รู้ว่า นิพพุติ คืออะไร บางทีพระผู้ให้ก็เป็นแรดซะเองไม่รู้เหมือนกันว่านิพพุติ คืออะไรแต่ให้คนอื่นตั้งร้อยครั้งพันครั้งนิพพุติ ชีวิตเยือกเย็นชีวิตเยือกเย็นเย็นอกเย็นใจไม่มีความเร่าร้อนนั้นคือนิพพุติ แต่มันยังกลับได้เปลี่ยนได้ถ้ามันเด็ดขาดตายตัวไม่กลับไม่เปลี่ยนเรียกว่านิพพาน เย็นอย่างเด็ดขาดสูงสุดเรียกว่านิพาน สบายอย่าพออยู่ได้ในโลกนี้ก็เรียกว่านิพพุติเย็นๆๆเป็นชีวิตเย็นนี่ชีวิตที่มีธรรมมะก็ถูกต้องตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติแล้วก็เป็นชีวิตเย็นมิฉะนั้นต้องมีชีวิตวุ่นๆๆร้อนและยุ่งคำว่าเย็นหมายถึงไม่ร้อนแล้วก็ไม่หนาว หนาวนี้ก็ไม่ไหวนะร้อนก็ไม่ไหวเอาที่เย็นสบาย ละชั่วถึงดีละดีถึงนิพานยอดสุดของธรรมะอยู่ที่นั่น ถ้าเราไม่รู้จักแล้วก็ทำผิดๆดำเนินชีวิตผิดๆดำเนินชีวิตผิดๆก็เป็นชีวิตที่โลดเต้น กระโดดโลดเต้นอยู่ในบวกอยู่ในลบมันจึงร้อนขึ้นร้อนลงอยู่ตามความเป็นบวกหรือความเป็นลบทั้งหญิงทั้งชาย ถ้าเอาชนะเรื่องนี้ได้ก็มีแต่ความเย็นเป็นนิพาน เนี้ยธรรมะคืออะไรก็พอจะเข้าใจธรรมะคือธรรมชาติคือตัวธรรมชาติ คือตัวกฏธรรมชาติ หน้าที่ ธรรมคือสิ่งนี้ ถ้าเราปฏิบัติถูกต้องทั้ง4ความหมายเย็นมีแต่ความเย็นไม่มีความร้อนก็เรียกได้ว่าดำเนินชีวิตถูกต้องตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ นิพพุติ นิพพุติ เย็นอกเย็นใจเย็นอกเย็นใจจนเข้าโลงสูงกว่านั้นก็เป็นนิพานเป็นพระอรหันต์นี่ผลของการมีธรรมะ ต่อไปก็จะพูดถึงว่าเราจะเกี่ยวข้องกับธรรมะอย่างไรที่สมมุติเรียกว่าเราสมมุติเรียกว่าเราโดยสมมุติจะเกี่ยวข้องกับธรรมะอย่างไรอันแรกเราต้องศึกษาให้เรียนรู้ๆๆๆธรรมะเอาเรียนกันก่อนเอาเรียนกันก่อน รู้ เรียนวรรครู้ ปฏิบัติและผลการปฏิบัติและช่วยกันเผยแผ่ต้องเรียนไม่เรียนไม่รู้ต้องเรียนอย่างถูกต้องก็จะเกิดความรู้ ความรู้ต้องไม่รู้เฉยๆต้องปฏิบัติๆๆ รู้ธรรมะมีธรรมะแล้วก็ปฏิบัติธรรมะแล้วมันจะเกิดผลของการปฏิบัติเป็นผู้อยู่เหนือปัญหาเหนือความทุกข์ และมีหน้าที่ที่จะช่วยกันเผยแผ่เผยแผ่ให้คนชั้นหลังได้รู้ได้รับประโยชน์เหมือนที่เราได้รับประโยชน์จากคนก่อนๆเขาเผยแผ่ทิ้งไว้ให้เรารู้ เราควรจะตอบแทนพระคุณข้อนี้ เผยแผ่ไว้ให้คนข้างหลังได้รู้ต่อๆไปอีก เผยแผ่เผยแผ่นี้มีความหมายพิเศษทางธรรมะพุทธศาสนาเผยแผ่โดยการมีความสุขให้ดูพระอรหันต์เผยแผ่โยการมีความสุขให้ดูไม่ได้สอนแต่คำเดียวไม่ได้สอนแต่ปากแต่คำเดียวหนังสือก็ไม่มีใช้แต่ถ้ามาอยู่ในโลกในลักษณะที่มีความสุขเหนือความทุกข์ด้วยประการทั้งปวงให้คนทั้งหลายดู คนทั้งหลายก็สมัครปฏิบัติตามเรียกว่าได้รับผลสูงสุดเดี๋ยวนี้พูดกันไม่รู้ตั้งเท่าไหร่พิมพ์หนังสือกันหระดาษเป็นล้านๆกิโลแล้วมันก็ยังไม่สำเร็จ ยังเผยแผ่ไม่ถูกต้อง มันต้องช่วยกันเป็นสุขให้ดูช่วยกันหมดปัญหาให้ดู เรียน เรียน ต้องเป็นเรื่องที่ถูกต้อง คำว่าเรียน เรียนเป็นภาษาไทย ถ้าเป็นภาษาบาลีอินเดีย สันสกฤษ ว่าศึกษา ศึกษา พอยืมมาให้ภาษาไทยศึกษาก็เป็นภาษาไทยได้เหมือนกันแต่ยังไม่ค่อยรู้ความหมายของคำว่าศึกษา เพื่อที่จะให้เรียนเป็นศึกษาแท้จริงเราจะต้องรู้อะไรบางอย่างก็จะบอกให้สังเกต ให้สังเกตอีกทีหนึ่ง ศึกษาศึกษานี้เป็นภาษาไทย ที่ยังเป็นบาลีเนี้ย สิขา เป็นสันสฤษ สิฉา สิฉา ออกเสียงอย่างสันสกฤษ ออกเสียงเป็นบาลีว่าสิขา พอเป็นไทยเรียกศึกษา ก็คือตัวสิขา ทำให้ได้อย่างสิขาสิขาก็จะเป็นการเรียนที่สมบูรณ์ สิขา สิฉา ศึกษา มันมาจากคำสองคำ สะ แปลว่าเองหรือข้างใน อิขะแปลว่าเห็นหรือดู สิขาแปลว่าดูข้างใน แต่ความหมายมันมากกว่านั้นนะ คอยฟังให้ดีช่วยจำให้ดีนะ ถ้าจะให้เป็นการศึกษาๆครบถ้วนถูกต้องสมบูรณ์แล้ว มันก็ดูใช้คำว่าดู อิขะแปลว่าดูหรือเห็นดูซึ่งตัวเองดูแล้วก็ซึ่งตัวเองแล้วก็ในตัวเองแล้วก็ด้วยตัวเองดูซึ่งตัวเองด้วยตนเองในตนเอง ดูซึ่งตัวเองด้วยตนเองในตนเอง จะมีการเห็นตัวเองแล้วก็จะมีการรู้จักตัวเอง รู้จักตัวเอง แล้วก็จะวิจัยๆๆๆตนเองเสร็จแล้วก็จะปฏิบัติตามผลของการวิจัยถ้าคุณทำครบตามนี้เป็นยอดของการศึกษาไม่ใช่เพียงแต่จดไว้ในสมุดหรือท่องกันไว้ด้วยปากอย่างที่เค้าทำกันอยู่ในโรงเรียน มันไม่มีความหมายอย่างนี้ใช่ไหม ก็บอกอีกที่ตั้งใจฟังหรือจดให้ดีว่า ดูกริยาคำแรกว่าดูแล้วก็ซึ่งตัวเองและก็โดยตัวเองแล้วก็ในตัวเองคนละอย่างทั้งนั้นแหละ แล้วก็เห็นตัวเองเห็นตัวเองแล้วก็รู้จักตัวเองอีกที เห็นแล้วไม่รู้จักก็ได้ รู้จักตัวเอง แล้วก็จะได้วิจัยวิจาณตัวเองวิจัยวิจาณค้นหาเหตุผลไคร่ครวญศึกษาธรรมะ
แล้วทีนี้ก็ปฏิบัติตามเหตุผลที่วิจัยวิจาญได้ ในมหาวิทยาลัยทำอย่างนี้ไหมในวิทยาลัยทำอย่างนี้ไหมในโรงเรียนประถมทำอย่างนี้ไหมมันคนละระดับ จะตรงกับคำว่าศึกษา สิขา ของภาษาอินเดีย ดูซึ่งตัวเอง โดยตัวเองคนอื่นดูแทนไม่ได้ และในตัวเองเรื่องข้างนอกยังไม่ต้องดูในตัวเองถึงที่สุดแล้วก็จะเห็นตัวเองเห็นแล้วก็ต้องรู้จัก รู้จักตัวเอง แล้วก็เอาตัวเองมาวิจัยวิจาญ วิจัยวิจาญ วิจัยวิจาญ ศึกษาตามหลักเหตุผลวิจัยวิจาญเสร็จแล้วก็ปฏิบัติในส่วนที่เห็นว่าควรปฏิบัติหรือต้องปฏิบัติ ถ้าทำอย่างนี้แล้วก็เรียกว่าสมบูรณ์ในการศึกษา
ขอยึดหลักจากคำว่า ศึกษา สิขา คำว่าเอ็ดดูเคด คำฝรั่งไปดูในประธานาณุกรมรากศัพท์คำว่ารีดดิ่ง....นาทีที่76.27-76.33 ส่วนนำออกมา นำออกมา เอ็ดดูเคดแปลว่านำออกมาดูมันยังน้อยไปสู้ของเราไม่ได้ สิขาแล้วก็ดู ซึ้งตัวเอง ในตัวเอง ด้วยตนเองแล้วก็รู้จักตัวเอง และวิจัยวิจาณตัวเอง ปฏิบัติถูกต้องตามเหตุผลที่วิจัยวิจาณ สิขาดีกว่าคำว่าเอ็ดดูเคดมากนะถ้าศึกษาธรรมะโดยเฉพาะแล้วขอให้ทำอย่างนี้ อุตสาหะมาที่นี่เพื่อศึกษาธรรมะไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์ ขอเสนอคำว่าศึกษาๆคือทำอย่างนี้ ความจริงที่มีอยู่ในตัวเองเห็นชัดแล้วมันจากไปข้างนอกได้ทั้งนั้น ถ้าเราไปดูข้างนอกศึกษาข้างนอกมันไม่เห็นมาก ไม่เห็นชัดเหมือนกับดูข้างในเราดูข้างในเห็นชัดแล้วไปจับข้างนอกปรับข้างนอกได้หมดจะแก้ปัญหาได้หมดทั้งข้างนอกและข้างในศึกษา ศึกษาต้องทำข้างใน ดูซึ่งตัวเองในตัวเองด้วยโดยตนเอง กระทั่งเห็นตัวเองรู้จัก รู้จักตัวเอง แล้วก็วิจัย วิจาณวิจัย วิจาณ เอาส่วนที่จะต้องปฏิบัติมา พบแล้วก็ปฏิบัติทำอย่างนี้แล้วเรียกว่าศึกษาธรรมะอย่างสมบูรณ์100% จะจำไปใช้ที่ไหนก็ได้เมื่อไหร่ก็ได้ ดูข้างใน ข้างในของตัวเองดูซึ่งตัวเองข้างในด้วยตัวเองโดยตนเองแล้วก็เห็นรู้จักวิจัย วิจาณแล้วก็ปฏิบัติตามเหตุผลที่วิจัย วิจาณ ได้นี้เรียกว่าศึกษาๆเป็นอันว่าธรรมะคือเรื่องธรรมชาติของธรรมชาติสี่ความหมาย ชีวิตในที่นี้ตัวปัญหาคือวิธีหรือวิถีการดำเนินชีวิต ไม่ต้องเอาแต่เถียงว่าเซลล์แต่ละเซลล์ยังสดอยู่ไม่มีเรื่อง ตัววิถีการดำเนินชีวิตถูกต้องตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติแล้วก็ศึกษาธรรมชาติ ศึกษาธรรมชาติ ให้รู้จักธรรมชาติ ให้รู้จักกฎธรรมชาติ รู้จักหน้าที่ๆๆตามกฎของธรรมชาติ
แล้วก็รู้ผลที่ได้รับมาจากหน้าที่จัดไว้ให้ดี สอนกันลูกเด็กๆทารกเด็กค่อยๆโต วัยรุ่นเด็กหนุ่มสาว เด็กๆผู้ให้สอนกระทั้งจนแก่เฒ่าเข้าโลง นั่นก็จะมีความถูกต้องๆๆๆๆๆสำมาอาชีโว ก็ดำรงค์ชีวิตดำเนินชีวิตเรื่อยไปจนถึงจุดหมายปลายทาง ที่เรียกว่านิพานหรือนิพุติ เมื่อคุณเห็นธรรมชาติเป็นอย่างนี้มันดำเนินไปตามกฏเกณฑ์อย่างนี้ จะต้องมีหน้าที่บังคับให้ได้ให้ถูกต้องควบคุมมันให้ได้ เพื่อให้มันถูกกฎของธรรมชาติ จึงต้องปฏิบัติทางจิตใจเรียกว่าสมาธิหรือวิปัสสนา ภาวนานั้นคือบังคับจิตใจให้รู้แจ้ง ให้เรามีสติสมบูรณ์ให้เรามีปัญญาร้อบรู้ให้เรามีสัมปะชันญะอย่างเข้มแข็งให้มีสมาธิเต็มที่เราต้องศึกษาให้รู้ทั้งหมดนี้เรียกว่ารู้ทุกอย่างที่ควรรู้เรียกว่ามีปัญญาถ้ามีปัญญาแล้วก็ต้องมีสติเอาปัญญามาใช้ทันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต ใครจะไปรู้ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นภายในชีวิตตอนไหน แต่ตอนนี้เราศึกษาๆๆๆเตรียมปัญญาไว้ครบพอเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในชีวิต สติสติเอาปัญญามาทันที สติเหมือนกับเครื่องขนส่งเอาปัญญามาทันทีแล้วก็ถูกต้องตามเหตุการณ์นั้นๆทางหูตาจมูกลิ้นกายใจ หรือทางไหนก็ตาม สติเอาปัญญามาอย่างถูกต้อง ปัญญาเอามาเฉพราะบางส่วนที่จำเป็นกับกรณีนี้เท่านั้นแหละเอาปัญญามาแล้วก็ทำให้เป็นสัมปะชัญญะ คุมเชิงเหตุการณ์อยู่เรียกว่าสัมปะชัญญะ รู้ตัวทั่วถึงคุมเชิงเหตุการณ์อยู่ให้มีแต่ความถูกต้อง ถ้าจิตมันอ่อนแอมันสู้เหตุการณ์ไม่ได้ก็เพิ่มสมาธิกำลังของสมาธิลงไปถึงที่สุด มันก็เอาชนะได้ ปัญญามันต้องคู่กับสมาธิ เข้าใจได้ง่ายๆปัญญาคือความคม แต่ถ้ามันไม่มีน้ำหนักแล้วมันจะตัดอะไรได้ถ้ามันคม ถ้าไม่มีน้ำหนักก็ตัดไม่ได้ต้องมีสมาธิคือน้ำหนัก ปัญญาต้องมีน้ำหนัก ให้ความคมมันตัดและมันต้องทันแก่เวลา ถ้ามันสายกว่าเวลามันก็ไม่มีประโยชน์ต้องมีสติๆๆๆเร็วทันแก่เวลา นี้ก็เป็นสัมปะชัญญะรอบคอบสุขุมรอบคอบบังคับเหตุการณ์นั้นให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ถูกต้อง เปรียบเป็นอุปมาจำง่ายๆก็คือว่าเราสะสมปัญญาไว้ทุกอย่างหรืออาวุธสะสมปัญญาคืออาวุธ สะสมไว้ทุกอย่าง ยูกยาแก้โรค สะสมไว้ทุกอย่าง ในบ้านเรือนของเราสะสมอาวุธไว้ทุกอย่างยูกยาไว้ทุกอย่าง พอเหตุการณ์เกิดขึ้นมันใช้อย่างเดียวเท่านั้นมันไม่ได้ใช้ทุกอย่างแม้เราจะมียาครบทุกอย่างในตู้ยา แต่พอเหตุการณ์เกิดขึ้นมันกินอย่างเดียวเท่านั้น เลือกมาให้ถูกให้ทันแก่เวลา นี่เราศึกษาสิ่งที่ควรศึกษาให้เป็นปัญญารอบรู้ได้ทุกอย่างพอมีอะไรเกิดขึ้นสติก็มาอย่างเร็วทันเหตุการณ์ นี่เป็นสัมปะชันญะเผชิญกับเหตุการณ์ ความคมไม่พอก็สมาธิ สมาธิเพิ่มลงไป น้ำหนักมันมากพอความคมมันก็เกิดปัญหาเรียกว่าสี่เกลอ ธรรมะสี่เกลอ เกลอที่1คือปัญญาเกลอที่2คือสติเกลอที่3คือสัมปะชัญญะเกลอที่4คือสมาธิ
สี่เกลอนี้มาพร้อมหน้ากันแล้วนี้ชนะทุกเหตุการณ์ไม่ว่าเหตุการณ์ไหน ปัญญาถูกต้องครบถ้วนสมาธิทันแก่เวลาสัมปะชัญญะทำหน้าที่ต่อสู้ต่อสู้อย่างดีที่สุดแล้วก็สมาธิสัมประชัญญะต่อสู้สมาธิก็เพิ่มกำลังเพิ่มกำลังเนี้ยธรรมมะสี่เกลอรีบหาไว้ทุกคน ปัญญา สติ สัมปะขัญญะ สมาธิ ปัญญารอบรู้ทุกสิ่งที่ควรรู้ไม่ต้องรู้ทุกอย่างมันรู้ไม่ได้แต่ที่ควรรู้เราก็รู้ทุกอย่าง เรามีอาวุธทุกชนิดมีหยูกยาทุกชนิดพอเกิดเรื่องขึ้นมาก็สติก็รู้จักเลือกเอาขวดไหนเอาอันไหนมาแก้ปัญหาแล้วแล้วก็เผชิญหน้ากับมันด้วยสัมประชัญญะรู้สึกตัวตัวพร้อมในเหตุการณ์นั้นๆเพิ่มกำลังจิตเพิ่มกำลังจิตเพิ่มกำลังจิตด้วยสมาธิ เดี๋ยวมันก็ชนะการต่อสู้ภายในทางภายในไม่ใช่ทางวัตถุ ปัญญาๆพูดปัญญาเวลาเหลืออีกนิดหนึ่งปัญญาคือทุกอย่าง ปัญญาแสดงให้เห็นอนิจตา ความไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่ง สิ่งทุกสิ่งในโลกนอกจากพระนิพานแล้วเปลี่ยนแปลงเรื่อยให้เห็นว่าเปลี่ยนแปลงเรื่อย ตัวปัญหาก็เปลี่ยนแปลงตัวความสุขก็เปลี่ยนแปลงกรรมก็เปลี่ยนแปลงผลกรรมก็เปลี่ยนแปลงเป็นอนิจตาเห็นอนิจตาไม่มีอะไรที่คงที่ แล้วก็เห็นทุขตา ทุขตา คือสิ่งที่เราต้องผูกพันธ์กันอยู่กับสิ่งที่ไม่เที่ยง มันไม่เที่ยงเราต้องผูกพันกับสิ่งนั้นมันก็เป็นทุกข์ มันทั้งไม่เที่ยงและเป็นทุกข์อันนี้ก็เรียกว่ามันไม่ใช่ตัวตนมันไม่ใช่ของตน เราก็ไม่สียใจเพราะเราเห็นว่ามันเป็นอย่างนี้นั่นเองตามธรรมชาติเรียกว่าธรรมติถตา มันตั้งอยู่หรือเป็นอยู่เช่นนี้ เพราะเหตุใดเพราะมันมีธรรมนิยามตาคือมีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ เมือเห็นธรรมชาติบังคับอยู่ก็เห็นอิถาปัจจัยตา คือทุกสิ่งต้องเป็นไปตามปัจจัย เรารู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ไม่รู้แต่ชีวิตมันจะไปตามปัจจัยของมันเองนี้เรียกว่าเห็นอิถาปัจจัยตา คนโง่ก็โชคชะตาราศีผีสางเทวดาบันดานแต่ทางธรรมคืออิถปัจจัยตา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีเหตุมีปัจจัยและต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยนี่เรียกว่าเห็นอิถปัจจัยตา พอเห็นมาถึงขนาดนี้แล้วโอ ไม่มีตัวตนไม่เป็นตัวตนมันไม่มีตัวตนเรียกว่าสุนยตา ว่างจากตัวตน ว่างจากตัวตนหนักเข้าหนักเข้า โอมันเช่นนั้นเอง เรียกว่า ตถาตา เช่นนั้นเองจิตมันคงที่ จิตมันคงที่ อะไรมาปรุงแต่งจิตให้เป็นบวกหรือเป็นลบไม่ได้อีกต่อไป ทุกๆคู่ที่พูดมาแล้วบวกลบทุกคู่มาปรุงแต่งจิตให้เปลี่ยนแปลงไม่ได้อีกต่อไป จิตคงที่อย่างนี้ไม่มีทุกข์อีกเลยเรียกว่า อตามยตา คำนี้เราพึ่งเอามาพูดจากพระบาลีพอพูดก็ถูกด่าหาว่าเอาอะไรมายัดย้อมแมวขาย ไม่เคยได้ยิน แต่เดี๋ยวนี้พอจะเข้าใจกันได้บ้าง อตามยตา ความที่จิตคงที่ อะไรอะไรปรุงแต่งไม่ได้ คงที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้มันก็ในความถูกต้องๆๆๆ แล้วก็สงบเย็น สงบเย็นและเป็นประโยชน์เรื่องมันก็จบ ถึงยอดสุดของธรรมะ มันมีแต่ความสงบเย็นและเป็นประโยชน์ เราควรจะทบทวนชีวิตคืออะไร ธรรมะคืออะไร มันสัมพันธ์กันอย่างไร แล้วเราจะต้องจัดการกับธรรมะอย่างไร ที่จะต้องรู้และปฏิบัติและวิธีศึกษามันเป็นอย่างไร วิธีศึกษามันเป็นอย่างไร แล้วก็เกิดผลเป็น4เกลอถ้าหาย4เกลอค่อยให้ความสำคัญ ความรู้ทั้งหลายสรุปรวมเป็น89.30เห็นความไม่เที่ยงเห็นความเป็นทุกข์เห็นความเป็นอนัตตาเห็นความตั้งอยู่เช่นนั้นเองเห็นว่ามันมีกฏของธรรมชาติบังคับอยู่ เห็นว่ามันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเห็นว่ามันว่างจากตัวตนเห็นว่ามันเช่นนั้นเองจิตก็คงที่คงที่อยู่ในความถูกต้องถูกต้องเรื่องมันก็จบ สรุปความมันเป็นอย่างนี้ถ้าไม่ลืมเสียก็ปฏิบัติให้ใช้ประโยชน์ได้ถ้าฟังไม่เข้าใจมันก็ทิ้งอยู่ที่นี่เอาไปไม่ได้ถ้าเข้าใจฟังเข้าใจก็เอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้ จึงขอแสดงความหวังไปในทางที่ท่านทั้งหลายจะเข้าใจเรื่องที่พูดนี้ และจะเข้าใจยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป ละเอียดขึ้นไปทุกๆคราวที่ศึกษาเพิ่มเติมคิดค้นเข้าไปรู้ยิ่งขึ้นไปยิ่งขึ้นไปจิตใจก็จะเจริญถึงขีดที่อะไรก็ปรุงแต่งไม่ได้คงที่อยู่ในความถูกต้องคือธรรมะ ธรรมะ แล้วธรรมะก็ยกไว้ชูไว้ไม่ให้พลัดตกลงไปในความทุกข์ และเรื่องก็จบ ขอขอบพระคุณที่ทนฟังมาชั่วโมงครึ่ง ท่านที่ไม่ได้ฟังก็ขออภัยด้วยนะที่ฟังไม่ถูกก็ขออภัยด้วยที่ฟังเข้าใจถูกก็ขอขอบพระคุณอุตสาห์อดทนฟัง อดทนมาชั่วโมงครึ่งขอยุติการบรรยายหวังว่าท่านทั้งหลายประสบความสำเร็จในการขนขวายธรรมะศึกษาธรรมะปฏิบัติธรรมะได้รับผลสมควรที่จะนำไปใช้ในการประกอบชีวิตหน้าที่การงานของตนให้มีความสุขสวัสดีอยู่ทุกทิวาราตรีการเทอน ขอยุติการบรรยาย