แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาภาพขอแสดงความยินดี ในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้ คือเพื่อศึกษาหาความรู้ทางธรรมะ เพื่อไปประกอบหน้าที่การงานของตนของตนให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป มีเหตุผลควรแก่การอนุโมทนา อาตมาจึงขออนุโมทนาแสดงความยินดีด้วย และจะสนองความประสงค์นั้นตามที่จะทำได้ในโอกาสนี้ เรื่องที่เราจะต้องพูดกันเวลานี้หรือทั้งโลก คือ เรื่องของคำๆ เดียว คือคำว่า “ธรรมะ” ธรรมะ เพียงคำเดียว คำนี้เป็นคำที่แปลกประหลาด คือ มันหมายถึงทุกสิ่ง แต่เรารู้จักนิดเดียว คำว่าธรรมะนี้มันหมายถึงธรรมชาติทุกสิ่ง ไม่ยกเว้นอะไร ตัวธรรมชาติแท้ๆ นั้นก็ดี แล้วตัวกฎ กฎของธรรมชาติก็ดี ตัวหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎนั้นก็ดี ผลที่เกิดจากหน้าที่นั้นก็ดี เรียกว่าธรรมะหมด นี่ธรรมะจึง จึงได้แก่สิ่งทุกสิ่ง ไม่ยกเว้นอะไร แต่ว่าเราจะเลือกเอามาเฉพาะส่วนที่จำเป็น นี่เห็นได้ร่วมกันว่าความหมายที่ 3 ความหมายที่ 1 คือตัวธรรมชาติ เราก็รู้ตามสมควร กฏของธรรมชาติ เราก็รู้ตามสมควร แต่หน้าที่ตามกฏของธรรมชาตินี่ ต้องทั้งรู้ทั้งปฏิบัติ ทั้งรักษาไว้ให้ถูกต้อง ธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ โดยแท้จริงคำว่าธรรมะคำนี้ ภาษาอินเดียแปลว่าหน้าที่ ปทานุกรมสำหรับลูกเด็กๆ ศึกษา คำว่าธรรมะแปลว่า duty duty ไม่ได้แปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เหมือนในเมืองไทย อันนี้น่าสงสาร คำว่าธรรมะ ธรรมะนี่ ศาสดาไหน คำสอนของศาสดาองค์อื่นๆ เขาเรียกว่าธรรมะเหมือนกันหมด แล้วก็สอนเรื่องหน้าที่เหมือนกันหมด พระพุทธเจ้าองค์นี้ก็สอนเรื่องหน้าที่ ศาสดาองค์อื่นก็สอนเรื่องหน้าที่ หน้าที่เพื่อความรอดจากความทุกข์ แต่มันต่างกันตามที่ว่ามันมีความรู้ความคิดความเชื่อความถือยึดถือ มันต่างกัน จึงมีหลายลัทธิหลายศาสนา แต่ก็มีความมุ่งหมายตรงกันคือสอนเรื่องหน้าที่ เอ่อ, เพื่อจะให้หมดปัญหาหรือหมดความทุกข์ ดังนั้นคำว่า ธรรมะ ธรรมะ มันแปลว่าหน้าที่ มันมีใจความสำคัญตรงกันล่ะ ภาษาบาลีว่าธรรมะ ความหมายของคำๆ นี้ก็แปลว่า ยกขึ้นไว้ ชูขึ้นไว้ ไม่ให้พลัดตก คำว่าหน้าที่ หน้าที่ในภาษาไทยเราก็เหมือนกันนั่นล่ะ ใครมีหน้าที่ หน้าที่ก็ยกชูคนนั้นขึ้นไว้ ไม่พลัดตกลงไปในปัญหาหรือความทุกข์ เพราะนั้น ดังนั้นก็ว่าธรรมะกับคำว่าหน้าที่มันคำเดียวกัน ต่างกันแต่ภาษา เราจึงมีหน้าที่แล้วก็จะมีความรอด เรียกว่า ธรรมะ ธรรมะ ไม่ต้องแปล แปลเป็นภาษาอื่นไม่ได้ เพราะเคยแปลกันแล้ว มันแปลไม่ได้ แล้วมันอัศจรรย์อย่างยิ่งที่คำว่าธรรมะ ธรรมะ มันหมายถึงทุกสิ่ง ตอบปัญหาทุกปัญหา ปัญหาจะมีกี่ล้านล้านปัญหาก็ตอบด้วยคำเพียงคำเดียว ธรรมะ นี่ ใครสร้างโลกนี้ ธรรมะ โลกนี้ทำลายเพราะอะไร ธรรมะ ความทุกข์เกิดมาจากอะไร เกิดจากธรรมะคือขาดธรรมะ ความสุขจากอะไร ธรรมะ ความขัดแย้งก็เกิดจากธรรมะ ไม่มีธรรมะ ไม่ถูกต้อง ความสามัคคีก็มีธรรมะ ตอบได้ด้วยคำว่า ธรรมะ คำเดียวแก่ปัญหาทั้งหมดที่จะถามขึ้นมา มันผิดแปลว่าผิดธรรมะ ทำถูกก็ถูกธรรมะ จะเป็นสุขก็มีธรรมะ จะเป็นทุกข์ ก็ขาดธรรมะ นี่สนใจคำว่าธรรมะในฐานะที่เป็นหน้าที่ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติ แล้วธรรมะนั้นก็จะรักษา ผู้ปฏิบัติไว้ในความถูกต้องและปลอดภัย นี่นี่ ธรรมะ ธรรมะ แล้วก็มีความสูงสุดกว่าสิ่งใดๆ จนพระพุทธเจ้า ก็เคารพธรรมะ มันน่าหัวที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมะออกมา กลับเป็นสิ่งที่สูงสุดจนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องเคารพธรรมะ ดังนั้นธรรมะจึงเป็นที่พึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อตฺตทีปา อตฺตสรณา ท่านจงมีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นที่พึ่ง อนญฺญสรณา อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย แต่เรามันดื้อ พวกเรามันดื้อ ไปหาที่พึ่งอย่างอื่น พึ่งเงินบ้าง พึ่งอำนาจบ้าง พึ่งอะไรบ้าง กระทั่งไปพึ่งความทุจริต เรียกว่าอย่างดีที่สุดเค้าจะไปพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ไม่เคยพบที่ตรงไหน ที่พระพุทธเจ้าสอน จงพึ่ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีแต่สอนจงพึ่งธรรมะ จงพึ่งตัวเอง ตัวเองทำด้วยตนเอง น่ะเรียกว่าปฏิบัติธรรมะ นั่นแหละคือที่พึ่ง เพราะนั้นใครปรับปรุงกันเสียให้ดีเถอะว่าจะมีที่พึ่งที่พึ่ง มีที่ไหน มีที่ธรรมะ ถ้ามีที่พระรัตนตรัยก็ต้องให้มันมารวมอยู่ที่ธรรมะคือความถูกต้อง จำกัดความได้ว่า ธรรมะคือระบบปฏิบัติ ระบบปฏิบัติมันต้องปฏิบัติหลายๆ อย่างเป็นระบบ ที่ถูกต้องถูกต้อง แก่ความรอด แก่ความรอด รอดทั้งทางกาย รอดทั้งทางจิต แล้วรอดทุกขั้นตอนแห่งชีวิตคือตลอดชีวิต ทั้งเพื่อตัวเองและผู้อื่น นี่บทนิยามจำกัดความของคำว่า ธรรมะ มันเป็นอย่างนี้ ระบบปฏิบัติแล้วมันต้องปฏิบัติครบระบบ ไม่ใช่ข้อเดียว ก็ถูกต้องถูกต้อง ตามความหมายทางศาสนา ถูกต้องถูกต้อง เอ่อคือไม่ ไม่ไม่ไม่ไม่มีทุกข์หรือเสียหายแก่ฝ่ายใด มีแต่ได้รับประโยชน์ทุกฝ่ายนี่ คำว่าถูกต้องถูกต้องตามหลักพระศาสนา อย่าไปเอาถูกต้องถูกต้องตามแบบฝรั่ง ถูกต้องทาง philosophy ถูกต้องตาม logic นั้นไม่มีที่จุดจบ เพราะไม่พบจุดจบ เพราะมีเหตุผลที่แย้งกันได้เรื่อยไป ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาก็คือว่ามีแต่ผู้ได้รับประโยชน์ ไม่มีผู้แต่ได้รับความเสียหาย ที่ถูกต้อง ถูกต้องนี้ถูกต้องแก่ความรอด ความรอดนี้รอดทั้งทางกายและทางจิต รอดทางกายคือไม่ตาย รอดทางจิตคือ ไม่เป็นทุกข์ แล้วก็ทุกขั้นตอนแห่งชีวิตตั้งแต่ออกจากท้องมารดาจนเข้าโลงนี้ ตลอดชีวิตทุกขั้นตอนแห่งชีวิต แล้วก็ต้องเพื่อตัวเองและเพื่อผู้อื่น ข้อนี้สำคัญมาก ถ้าเราไม่เห็นแก่ผู้อื่น ความผิดธรรมะจะเกิดขึ้น เมื่อไม่เห็นแก่ผู้อื่นมันก็เห็นแก่ตัว เมื่อเห็นแก่ตัวก็ทำไปตามกิเลสตัณหา มันก็ไม่มีธรรมะเหลือ ถ้ายังนึกถึงผู้อื่นอยู่ ไม่คดโกง เห็นแก่ผู้อื่น มีเมตตากรุณา มันก็ครบถ้วน นี่ขอให้ธรรมะนี้ทั้งเพื่อตัวเองและเพื่อผู้อื่น แล้วปัญหาอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไม่เห็นแก่ตัว
เดี๋ยวนี้มันผิดตรงกันข้าม โลกมันผิดไปในทางเห็นแก่ตัวเห็นแก่ตัว ยิ่งเจริญยิ่งเห็นแก่ตัว โดยเฉพาะยิ่งเจริญทางวัตถุ ยิ่งเห็นแก่ตัว เพราะวัตถุมันสนองกิเลส กิเลสมันก็มากขึ้น ความเห็นแก่ตัวมันก็มากขึ้น เดี๋ยวนี้เขาผลิตกันด้วยเครื่องจักร ระบบอุตสาหกรรม ผลิตกันด้วยเครื่องจักร ดู มันผลิตออกมามากมายมหาศาลเกินความต้องการ เอาไปไหน มันก็ต้องโฆษณา โฆษณา โฆษณา ศิลปะวิเศษเนี่ย โฆษณาคนซื้อจนหมดเลยของเกินเหล่านั้น ไม่จำเป็น ก็ยังผลิตด้วยเครื่องจักร ผลิตไม่ไม่ไม่มีที่สิ้นสุดนี่ ระบบหรือยุคอุตสาหกรรม ระวังให้ดีๆ ถ้าควบคุมไม่อยู่ก็วินาศเพราะมันผลิตออกมาแต่ส่วนเกิน ถ้าควบคุมไว้ได้ก็ดีไป มันก็จะสะดวกสบาย จะเกินสะดวกสบายแข่งกับเทวดาก็ได้ นี่เราอยู่ระหว่างปัญหา อยู่ในปัญหาที่การผลิตแต่เครื่องส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ยิ่งเอร็ดอร่อย ยิ่งสนุกสนาน ยิ่งลืมตัว ยิ่งเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวก็ครอบงำโลก ครอบงำโลก ดูขึ้นมา ดูมาตั้งแต่ว่ามหาประเทศ ประเทศมหาอำนาจมันก็เห็นแก่ตัวเพื่อจะครองโลก ประเทศมหาอำนาจก็มันแย่งกันครองโลก ระบบสังคมต่อๆ มาก็ล้วนแต่เห็นแก่ตัว ระบบนายทุนก็เห็นแก่ตัว ชนกรรมาชีพก็เห็นแก่ตัว คอมมิวนิสต์ก็เห็นแก่ตัว ประชาธิปไตยก็เห็นแก่ตัว อย่าอวดดีไป มันมีแต่ความเห็นแก่ตัว ทุกคนเจริญด้วยความเห็นแก่ตัว เศรษฐีก็เห็นแก่ตัว ขอทานก็เห็นแก่ตัว นายจ้างก็เห็นแก่ตัว ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว เราก็เห็นกันอยู่ว่าปัญหาเรื่องนายจ้างลูกจ้างน่ะ มันสิ้นสุดเมื่อไร แม้ในประเทศไทยเราเองมันก็ไม่สิ้นสุดปัญหาเรื่องนายจ้างลูกจ้าง เพราะมันเห็นแก่ตัว คนขายก็เห็นแก่ตัว คนซื้อก็เห็นแก่ตัว คนผลิตก็เห็นแก่ตัว คนจะซื้อต่อไปก็เห็นแก่ตัว นายจ้างก็เห็นแก่ตัว ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว แล้วมันยิ่งแรงขึ้นๆ ความเห็นแก่ตัวมันก็ครองโลกทั้งโลกอย่างงี้ ก็ลองคิดดูเองว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อเห็นแก่ตัวกันอย่างนี้ คนเห็นแก่ตัวนั้นมันขี้เกียจ ไม่อยากจะทำงาน แต่จะเอาประโยชน์ให้มากกว่าคนอื่น ถ้าโลกนี้มีแต่คนเห็นแก่ตัว มันก็วินาศเท่านั้น เห็นแก่ตัว ขี้เกียจทำงาน คนเห็นแก่ตัวก็คอยหาโอกาสฉ้อโกง ฉ้อฉลเอาประโยชน์ คนเห็นแก่ตัวก็ยกตนข่มผู้อื่น คนเห็นแก่ตัวก็ไม่สามัคคี ไม่สามัคคี คนเห็นแก่ตัวก็ตั้งหน้าแต่จะบิดพลิ้วจะขัดแย้งด้วยความเห็นแก่ตัวคนเห็นแก่ตัวมันจะสร้างความเจริญให้แก่ประเทศชาติได้อย่างไรล่ะ เขาก็เห็นแต่ประโยชน์ของเขา แล้วเขาก็มีอะไรของเขาเรียกว่า รวยลัด ไม่ต้องทำงานให้เหงื่อไหลไคลย้อย ไปจี้ไปปล้น พักเดียวก็ได้เป็นล้านๆ แล้ว เนี่ยไปปล้นธนาคารพักเดียวก็ได้เป็นล้านๆ เค้าเรียกว่า รวยลัด นั่นน่ะเรื่องของคนเห็นแก่ตัว แล้วความสงบสุขหรือสันติภาพมันจะมีได้อย่างไร สร้างปัญหาทางการปกครอง ทางการทหาร ทางการเศรษฐกิจ ทางการเมือง สารพัดอย่างเพราะเห็นแก่ตัว แล้วมลภาวะในโลก ที่กรุงเทพเต็มไปด้วยมลภาวะมาจากคนเห็นแก่ตัวทั้งนั้น อุบัติเหตุที่เกิด เกิดบ่อยๆ บ่อยๆ ก็มาจากความ ผู้เห็นแก่ตัว มันสะเพราะ มันจะกอบโกย มันหวังจะเอาประโยชน์ เจ้าของงานก็เห็นแก่ตัว ลูกจ้างก็ เห็นแก่ตัว สร้างอุบัติเหตุ เห็นแก่ตัวแล้วก็ทำลายธรรมชาติ ทำลายป่า เป็นปัญหาไม่สิ้นสุด เห็นแก่ตัวทำลายป่า ทำลายธรรมชาติ แม้ของที่เป็นของสร้างกันไว้ดีแล้ว คนเห็นแก่ตัวมันก็ยังทำลาย เห็นแก่ตัวนี่มันโง่ อยากจะลองรสแปลกๆ ของความอร่อย มันก็เลยไปติดยาเสพติด ไปติดยาเสพติด เป็นปัญหาโลกไปเลย มันก็ติดอบายมุข อบายมุขทุกชนิด นั่นแหละคนเห็นแก่ตัว ก็เลยป่วยเป็นโรคเลวร้ายที่สุนัขมันก็ไม่เป็น พูดอย่างนี้ก็เพื่อให้มันเข้าใจกันง่ายๆ โรคเอดส์ โรคเอิด อะไรก็ไม่รู้ โรคที่สุนัขก็ไม่เป็น คนเห็นแก่ตัวก็เอามาเป็น เป็นปัญหาโลกไปอีก เนี่ยความเห็นแก่ตัวความเห็นแก่ตัว สร้างคุกตะรางเท่าไรก็ไม่พอ เพิ่มตำรวจเท่าไรก็ไม่พอ เพิ่มทหารเท่าไรมันก็ไม่พอ เมื่อเมื่อพูดถึงส่วนกว้างไกลออกไป เพิ่มโรงพยาบาลบ้าเท่าไรก็ไม่พอ เพิ่มวัดวาอารามเท่าไรมันก็ไม่พออยู่นั่นแหละที่กำจัดผู้เห็นแก่ตัวหรือความเห็นแก่ตัว ทีนี้เราก็อยู่กันด้วยความยุ่งยากลำบาก สิ่งที่ไอ่ชวนให้เห็นแก่ตัวมากขึ้นนั้นก็มีมากขึ้นมากขึ้น คือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่สนองกิเลส เดี๋ยวนี้เราอยู่บ้านเรือนราคาหมื่นไม่ได้กันแล้ว ต้องอยู่บ้านราคาล้าน รถยนต์ราคาหมื่นก็นั่งไม่ได้แล้ว ต้องนั่งรถยนต์ราคาล้าน ได้ยินว่าห้องน้ำบางแห่งราคาตั้งล้านสองล้าน ห้องน้ำเท่านั้น ความเกินความเกินความเกิน มันผิดหลักพระพุทธศาสนาซึ่งต้องการพอดีๆ หรือความเป็นกลาง เมื่อคนเห็นแก่ตัวมันหลงทาง คือมัน เห็นแก่ตัวเข้มข้นขึ้นแล้วก็หลงทาง ก็เป็นบ้า ไปอยู่โรงพยาบาลบ้า นี่อีกทางหนึ่งความเห็นแก่ตัว มันหลงทาง มันก็มืดไปหมด แล้วฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าตัวเองตายตามไป ซึ่งมีข่าวให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ นี่ความเห็นแก่ตัว ถ้าควบคุมไม่ได้มันก็ยิ่งทวีมากขึ้น ปัญหามาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น นี่ลงทุนกันเป็นอันมากที่จะปราบการซื้อเสียง มันก็มาจากความเห็นแก่ตัว ผู้แทนที่ไปจ้างเขาเลือกน่ะมันเห็นแก่ตัว ประชาชนที่รับจ้างเลือกมันก็เห็นแก่ตัว มันมาจากความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัว สิ่งเหล่านี้ไม่มี หรือจะมองให้ไกลไปกว่านั้นก็ว่า ถ้าทุกคนประชาชนทุกคนไม่เห็นแก่ตัว ปัญหาจะไม่มี ไม่มีเลย ไม่ต้องมีการปกครอง คนไม่เห็นแก่ตัว ไม่ทำความผิดทั้งอาญาทั้งแพ่ง ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่ขโมย ไม่เอาเปรียบ ไม่ฉ้อฉล ไม่ ไม่สะบัด ไม่บิดพลิ้ว มันก็ไม่ไม่มีปัญหา ถ้าว่าไม่เห็นแก่ตัวกันแล้ว มันก็ไม่ต้องมีการปกครอง การปกครองที่ไม่ต้องมีการปกครองจะมีได้เฉพาะเมื่อประชาชนไม่เห็นแก่ตัว คำนี้ เล่าจื๊อ ศาสดาจีนพร้อมสมัยกับพระพุทธเจ้า นี่ประเทศจีนที่พร้อมสมัยกันกับพระพุทธเจ้า มีศาสดาชื่อ เล่าจื๊อ เคยถามเล่าจื๊อว่า การปกครองชั้นเลิศคืออย่างไร เล่าจื๊อตอบว่า การปกครองที่ไม่มีการปกครอง ให้ฟังถูก แต่เดี๋ยวนี้เราจะฟังถูก หมายความว่าถ้าประชาชนไม่เห็นแก่ตัว มันก็ปกครองโดยไม่มีการปกครอง คือปล่อยไปได้ การปกครองโดยไม่ต้องมีการปกครอง เพราะนั้นมีสันติภาพสงบเย็นอย่างยิ่ง เพราะทุกคนมันไม่เห็นแก่ตัว นะลองคำนวณดูดิ ความไม่เห็นแก่ตัว ไม่ต้องมีกฎหมาย เอากฎหมายไปโยนทะเลเสีย ปิดศาล ปิดเรือนจำ ปิดคุก ปิดตะราง ปิดหมด ไม่ต้อง ถ้าว่าประชาชนมันไม่เห็นแก่ตัว นี้มันพาลจะ เลิกไปได้แม้แต่พระศาสนาก็ไม่ต้องมี เพราะว่าไม่เห็นแก่ตัวนี้มันมีศาสนาซะเต็มที่แล้ว มันมีธรรมะซะอิ่มตัวแล้ว จะมีศาสนาอะไรกันอีกถ้าประชาชนไม่เห็นแก่ตัว มันก็เป็นผู้มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีมรรคผลอยู่ในตัวมันเอง นี่เรียกว่า เลิกได้ทั้งกฎหมาย เลิกได้ทั้งพระศาสนา พระคัมภีร์ ถ้าไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้เราไม่รู้ไม่ชี้ไม่สนใจที่จะ จะกำจัดความเห็นแก่ตัว ไม่สนใจที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัว ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ส่งเสริมความเห็นแก่ตัวโดยไม่รู้สึกตัวก็มี เผลอไปก็ได้ เดี๋ยวนี้การศึกษาสอนให้ฉลาด ฉลาด ฉลาด ยิ่งกว่าทุกที ยิ่งกว่าแต่ก่อนหน้าการศึกษา แต่ถ้ามันฉลาดแล้วไม่มีอะไรควบคุมความฉลาด เขาก็เอาความฉลาดไปเห็นแก่ตัวกันอย่างสูงสุด ยิ่งฉลาด ยิ่งเห็นแก่ตัวสูงสุดสูงสุด นี่มันเป็นซะอย่างนี้ การศึกษาเจริญเท่าไรมันก็ไม่สร้างสันติภาพ ผลิต การผลิต การ เอ่อ, ประดิษฐ์ ผลิตสูงเท่าไร มันก็ไม่มีสันติภาพ เพราะผลิตอะไรออกมาอย่างวิเศษ เอาไปใช้เห็นแก่ตัวหมด เรื่องเทคโนโลยี เรื่องวิเศษวิเศษอะไรที่มันเป็นผลิตออกมา มันก็เอาไปใช้ส่งเสริมความเห็นแก่ตัวหมด ไม่ใช้กำจัดความเห็นแก่ตัว โลกนี้จึงมากด้วยความเห็นแก่ตัว ด้วยความเห็นแก่ตัว มีสงครามนั่นน่ะมาจากความ เห็นแก่ตัว สงครามร้อน เดี๋ยวก็มาเดี๋ยวก็มา สงครามเย็นมีอยู่ในหัวใจตลอดเวลาตลอดเวลา นี่เรียกว่าสงครามเย็น นี่ไม่ใช่พูดมองในแง่ร้าย พูดในแง่ของความเป็นจริงว่าโลกเรามนุษย์เรากำลังตกอยู่ในปัญหาหนักที่สุด คือ ความเห็นแก่ตัว การศึกษาก็ยังไม่ได้จัดให้ลดความเห็นแก่ตัว กลับกลายเป็นว่ายิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัวลึก ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัวลึก เพราะแยกการศึกษาออกมาจากพระศาสนา
สมัยโบราณนั้นการศึกษาแปะติดอยู่กับการศาสนา ศาสนาก็ช่วยควบคุมการศึกษา การศึกษาก็ถูกต้อง เดี๋ยวนี้การศึกษาเสรี อิสระเสรีไม่เกี่ยวกับศาสนา บางประเทศไม่ให้เอาศาสนาเข้าไปสอนในการศึกษา ใครทำ หาเป็นผิดกฎหมาย ถูกลงโทษ ก็มีบางประเทศ ประเทศเราก็มีแต่ชื่อ ศาสนายังไม่ได้เข้าไปควบคุมการศึกษาอย่างเต็มที่ มันมีแต่ชื่อ ทีนี้มันก็ การศึกษาก็เสรีที่จะส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ครั้นไปดูการกีฬา มันก็ยิ่งส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ความมุ่งหมายของการเล่นกีฬาเพื่อจะลดความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นส่งเสริมความเห็นแก่ตัวนะ จะไปเล่นกีฬาสักทีมันก็หาวิธีได้เปรียบวิธีได้เปรียบ กินยาส่งเสริมบ้าง กลโกงอย่างไร ก็แสวงหา จะไปแข่งขันกีฬาที่เมืองจีนก็เตรียมหากลโกงมากมายมหาศาลไป เพื่อให้ได้ชนะ นั่นแหละ การเล่นกีฬามันกลายเป็นส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ยิ่งกองเชียร์เดี๋ยวนี้ยิ่งส่งเสริมความเห็นแก่ตัว นี่การกีฬาก็ไม่ได้ช่วยมนุษย์เราที่จะลดความเห็นแก่ตัว แล้วจะเอาอะไร การศึกษาก็ไม่ช่วย การกีฬาก็ไม่ช่วย วัฒนธรรมก็พลอยตามหลังไปเลย สนุกสนาน สวยงาม เอร็ดอร่อย ยิ่งสวยงาม ยิ่งอร่อยได้ก็ยิ่งดี มันก็ไม่ลดความเห็นแก่ตัว ธรรมะมันก็ไม่มี ความเห็นแก่ตัวมันก็มาก มันก็มีปัญหาปัญหาไปทั่วทุกหัวระแหง ปัญหาอาชญากรรมก็เห็นกันอยู่ว่ามันมากมายมากมายกว่าแต่ก่อนมาก ผู้หญิงเดินไปไหนคนเดียวก็ไม่ได้แล้ว ซึ่งผิดกว่าแต่ก่อนมาก เนี่ยคือไม่มีธรรมะ ขาดธรรมะ แล้วสิ่งตรงกันข้ามมันก็เข้ามาแทนที่ สิ่งนั้นคือความเห็นแก่ตัว ธรรมะ ความไม่เห็นแก่ตัว อธรรมะก็คือความเห็นแก่ตัว เพราะนั้นมีอย่างเดียว ช่วยกัน ช่วยกันทุกอย่างทุกทาง ร่วมกันเป็นสหกรณ์กำจัดความเห็นแก่ตัวให้หมดไปจากสังคม นี้มันคืบคลานเข้ามาในบ้าน ในครอบครัวแล้ว ในครอบครัวที่เห็นแก่ตัวมันมันไม่มีความสงบสุขและไม่มีประโยชน์อะไร เห็นแก่ตัวแล้ว ผัวเมียก็ต้องหย่ากัน เห็นแก่ตัวแล้ว เพื่อนรักก็ต้องแยกจากกัน ความเห็นแก่ตัวนี้มันจะทำให้แม่เดือดร้อนน้ำตาตก เพราะลูกมันเห็นแก่ตัว ลูกมันเห็นแก่ตัว มันทำอะไรที่ให้พ่อแม่ต้องน้ำตาตก มันจะหมดแล้วมั้ง จบแล้ว จากยอดมาถึงสุด ล่างสุด ธรรมะคือความไม่เห็นแก่ตัว เราจงศึกษาธรรมะให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเพื่อลดความเห็นแก่ตัว
พระพุทธศาสนานั้นประเสริฐเลิศล้นตรงที่สอนเรื่องความไม่มีตัว มีแต่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ วิญญาณ ประกอบกันเป็นอายตนะ ประกอบกันเป็นขันธ์ 5 ทำหน้าที่หรืออะไรทุกอย่าง อย่างสิ่งที่มีชีวิต ไม่ได้สอนว่ามีอัตตาหรือมีตัวตน ไม่มีอัตตามันก็ไม่ต้องก็ไม่มีการเห็นแก่ตัวเท่านั้น ถ้าเรารู้ พุทธศาสนากันอย่างถูกต้อง ไม่มีอัตตา ไม่มีตัว ขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัว อย่างนี้ มันก็ไม่มีความเห็นแก่ตัว ปัญหาก็ ไม่มี เดี๋ยวนี้ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครสนใจ ปล่อยไปตามเรื่องของไอ่กิเลสตัณหา ฉะนั้นปัจจุบันเรื่องของ เรื่องการส่งเสริมกิเลสตัณหามันมาก ความเห็นแก่ตัวมันก็มาก มันจึงเต็มไปด้วยปัญหา เต็มไปด้วยอันตราย เต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ เพราะนั้นขอให้เราพร้อมกันตั้งจิตปณิธานมุ่งหมายกำจัดความเห็นแก่ตัว กิจการทางพลเรือนก็กำจัดความเห็นแก่ตัว กิจการทางทหารก็กำจัดความเห็นแก่ตัว กิจการทางการปกครองก็กำจัดความเห็นแก่ตัว ทางการเมืองก็เพื่อเห็นแก่..กำจัดความเห็นแก่ตัว ทางเศรษฐกิจก็ใช้เพื่อกำจัดความเห็นแก่ตัว มันก็จะมีความตรงกันข้าม มีสันติภาพ มีความสุขสงบเย็น ไม่เห็นแก่ตัว พอเห็นแก่ตัวแล้วมันก็มีปัญหา เมืองสวรรค์ก็เห็นแก่ตัว เทวดาชั้นกามวจรก็เห็นแก่ตัว ชั้นพรหมนั้นไม่ได้มีการเห็นแก่ตัวทำนองนี้ แต่เห็นแก่ แก่ตัวทางไม่อยากจะนิพพาน อยากจะอยู่ ชั้นพวกพรหม ก็อยู่ในความเห็นแก่ตัวเหมือนกัน ไม่นิพพาน ไม่ยอมนิพพาน อยากจะมีตัวอยู่อย่างนี้ นี่เป็นปัญหาตั้งแต่ชั้นต่ำสุดขึ้นไปถึงชั้นสูงสุด เรียกว่า ภวัคคพรหม พรหมชั้นสูงสุดมีความเห็นแก่ตัวในแบบหนึ่งประณีตลึกซึ้งไป ไม่ใช่ความสงบเย็นตามความหมายของพระนิพพาน
นี่ขอให้เรามองดูข้อนี้ แล้วเคารพธรรมะ เคารพธรรมะคือเคารพหน้าที่ สิ่งที่เรียกว่าหน้าที่คือความถูกต้อง ความถูกต้องจะขจัดปัญหาหมดทุกอย่าง เราจงเคารพพระพุทธเจ้าแล้วก็เอาอย่างพระพุทธเจ้าที่เคารพหน้าที่ พูดกันสักหน่อยก็จะมีประโยชน์มาก พระพุทธเจ้าเคารพหน้าที่ ยิ่งกว่าใครๆ ในโลก เคยได้ยิน พระพุทธเจ้าเคารพหน้าที่ถึงขนาดว่า ครบวงจร 24 ชั่วโมง ก่อนสว่างหัวรุ่งท่านคิดว่า วันนี้รุ่งขึ้นจะไปทำอะไรที่ไหน จะไปโปรดใคร คิดตั้งแต่ก่อนสว่าง พอสว่างก็ไป ไปในรูปของการบิณฑบาต แต่มุ่งหมายไปทำหน้าที่ จะจัดการกะคนนั้น คณะนั้น สังคมนั้น หมู่นั้น ให้เป็นอ่า เปลี่ยนมาสู่ความถูกต้อง นับถือธรรมะ ไปบิณฑบาต ไปฉันที่นั่น ไปคุย สนทนากันที่นั่นจนสายจนเที่ยง บ่าย เที่ยง เที่ยงก็พักผ่อนนิดหน่อยเพราะ มันเหนื่อย บ่ายมาที่วัด เอ้า, ก็ประชาชนไปหาอีก ไปรออยู่แล้วตอนบ่ายสอนประชาชนกระทั่งตอนเย็น พอพลบค่ำ ปโทเสภิกขุโอวาทัง พอพลบค่ำก็สนทนาสั่งสอนภิกษุสามเณรประจำวัดไปจนเที่ยงคืนเที่ยงคืน อัฏฐรัตเตเทวะปัณธนัง แปลว่าเที่ยงคืนก็แก้ปัญหาเทวดาคือสอนพวกเทวดา เพราะว่าเทวดาอย่างจากสวรรค์ ก็ดี เทวดาอย่างพระราชามหากษัตริย์ก็ดี ไปหาพระพุทธเจ้าเวลาเที่ยงคืนทั้งนั้น ก็ต้อนรับสั่งสอนว่าจนเลยเที่ยงคืน ได้พักผ่อนนิดหน่อยเดี๋ยวก็หัวรุ่งอีก หัวรุ่งก็คิดอีกว่าพรุ่งนี้จะไปไหน ครบวงจรอย่างนั้นน่ะ พระพุทธเจ้า เคารพหน้าที่ แล้วท่านทำตลอดเวลาที่อยู่ที่เมืองไหนก็ทำตลอดเวลา ต้องเดินเป็นโยชน์ๆ ไม่มีรถยนต์ท่านก็เดิน เดินเท้าเปล่า ไม่มีร่มไม่มีรองเท้า ไปเมืองอื่นก็เดินไปได้ ไม่นั่งยานพาหนะที่เทียมด้วยสัตว์มีชีวิต รถม้าก็มี เกวียนก็มี แต่ว่าไม่นั่ง เพราะมันเทียมด้วยสัตว์มีชีวิต ท่านทำอย่างนี้จนถึงปีสุดท้าย ปีสุดท้าย จะปรินิพพานอยู่ ค่ำนี้ก็ปรินิพพานแล้วตอนกลางวันยังเดินอยู่เป็นโยชน์ๆ แล้วก็ไปสู่ที่ที่กำหนดไว้ว่าสำหรับจะปรินิพพาน จะปรินิพพานอยู่แล้ว หัวค่ำนี้ยังมีเอ่อ ปะ ปริพาชกศาสนาอื่นมาขอถามปัญหา ขอถามปัญหา พระเจ้าพระสงฆ์ไม่ชอบ ไล่มันไป ไล่ไป จะมาถามปัญหาอะไรเวลาอย่างนี้ พระพุทธเจ้าได้ยิน อย่าไล่ อย่าไล่ เอามา เอามา บอกมา ท่านอุตส่าห์สอนจนปริพาชกคนนั้นรู้ธรรมะ อ้า, สำหรับจะไปเป็นพระอรหันต์ได้องค์หนึ่งเป็นองค์สุดท้าย ต่อมาไม่ ไม่กี่ ไม่กี่นาที ก็เรียกว่าไม่กี่มากน้อย ท่านก็นิพพาน อย่างเหมือนกับปิดสวิตช์ไฟอย่างนั้น ดับจิต ปิดจิต เหมือนกับปิดสวิตช์ไฟ เนี่ยก็ท่านทำงาน จนวินาทีสุดท้ายอย่างเงี้ย พวกเราทำงานจนตายอย่างนั้นหรือไง ทำงานครบวงจร 24 ชั่วโมงนี่ เรายังไม่ต้องเดินเท้าเปล่า ยังนั่งรถยนต์อยู่
ขอให้นึกถึงพระพุทธเจ้า ภาวนาถึงพระพุทธเจ้าผู้เสียสละ เคารพธรรมะ เคารพหน้าที่ นี่เหตุการณ์ทั้งหลายก็จะดีขึ้นๆ หรือจะดีกว่านี้เพราะไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่มีความเห็นแก่ตัวจึงจะทำอย่างนั้นได้ ไม่มีความเห็นแก่ตัวจึงจะทำอย่างนั้นได้ ช่วยกันอบรมลูกเด็กๆ ลูกเด็กๆ ให้มันรู้จักโทษของความเห็นแก่ตัว ให้เป็นสุขสนุกสนานเมื่อได้ทำการช่วยเหลือผู้อื่น ปฏิบัติหน้าที่ถูกต้อง พอใจเมื่อได้ทำหน้าที่ถูกต้อง เมื่อเมื่อได้ทำหน้าที่เพื่อผู้อื่นนั้นแหละ คือมีธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ คือความถูกต้องในหน้าที่ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ที่ถูกต้อง เพราะนั้นทุกหน้าที่และหน้าที่ราชการโดยตรงที่เราคิด ก็ถูกต้องได้ ที่ที่บ้านที่เรือนก็ถูกต้อง มันไปที่ไหนก็ถูกต้อง แม้ที่สุดแต่ว่าจะรับประทานอาหารก็ให้มันถูกต้องทุกกระเบียดนิ้ว จะถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็ถูกต้อง ถูกต้อง บอกได้ว่าถูกต้อง ถูกต้อง ทุก ทุกกระเบียดนิ้ว ทุกวินาที นี่ถูกต้องกันขนาดนี้ แล้วจะมีอะไรที่จะเป็นปัญหา มองดูตัวเองทีไรก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ ทุกทีไป นี่คือมีธรรมะ มีเอ่อ มีธรรมะ มีแต่ความสงบเย็น สงบเย็น และเป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง มันต้องให้ได้ครบทั้ง 2 ความหมาย คือว่าสงบเย็นในส่วนตัว แล้วก็เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่มาเกี่ยวข้อง ถ้าไม่อย่างนั้น ไม่สมบูรณ์ เป็นสุขแต่ผู้เดียวนี้ไม่สมบูรณ์ ต้องมีความถูกต้อง ถูกต้องในการทำประโยชน์ผู้อื่นด้วย จึงจะเรียกว่าธรรมะที่ถูกต้อง ธรรมะที่สมบูรณ์ ขอได้โปรดรู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะในลักษณะอย่างนี้ คือถูกต้อง ถูกต้องทางกาย ทางจิต ทางอะไร สติปัญญาถูกต้อง ถูกต้องรอบด้านนี่คือธรรมะ ไม่มีความถูกต้องมันก็เป็นอธรรมะ พอไม่เห็นแก่ธรรมะ ก็เห็นแก่ตัว ถ้าไม่เห็นแก่ตัว ก็เห็นแก่ธรรมะ มัน มันอยู่กันไม่ได้ มันหลีกกันอยู่อย่างนี้เสมอ ถ้าเห็นแก่ตัวก็ไม่เห็นแก่ความถูกต้อง ไม่เห็นแก่ธรรมะ ถ้า เห็นแก่ธรรมะมันก็ไม่ไม่เห็นแก่ตัว แล้วก็ตัวก็สะอาด จิตใจก็สะอาด สติปัญญาก็สะอาด หน้าที่การงานก็สะอาด การดำเนินชีวิตก็สะอาด เราก็เป็นผู้ที่มีความเยือกเย็นและเป็นประโยชน์ ครบตามที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบกับพุทธศาสนา จึงขอแสดงความหวังว่าท่านทั้งหลายผู้มีความสนใจในธรรมะจงมี แอ่ การปฏิบัติที่ถูกต้อง อ่า, ต่อธรรมะ ต่อธรรมะ คือหน้าที่ หน้าที่ มีธรรมะเป็นหน้าที่ การปฏิบัติหน้าที่คือการปฏิบัติธรรมะ การปฏิบัติธรรมะคือการปฏิบัติหน้าที่ แล้วจะไม่มีปัญหาอะไรเหลือ จะไม่มีความทุกข์ใดเกิดขึ้น แม้จะผิดพลาดไปในนั้น ก็เป็นเรื่องน่า เป็นการศึกษาไปหมด ความทุกข์เป็นการศึกษาไปหมด ไม่ไม่เป็นความทุกข์ มันก็เป็นชีวิตที่ได้รับประโยชน์สูงสุด เป็นชีวิตที่..ใช้คำประหลาดสักหน่อยนะ ชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ หึหึ หึหึ ถ้าผิดจากนี้แล้วชีวิตนั่นน่ะมันกัดเจ้าของ ใครไม่มีธรรมะ ผิดพลาดในข้อนี้นี่ ชีวิตนั้นมันจะกัดเจ้าของ มันกัดเจ้าของยังไง เดี๋ยวความรักกัด เดี๋ยวความโกรธกัด กัดจิตใจ เดี๋ยวความเกลียดกัด เดี๋ยวความกลัวกัด เดี๋ยวความตื่นเต้นตื่นเต้นกัด เดี๋ยววิตกกังวลกัด อาลัยอาวรณ์กัด อิจฉาริษยากัด ความหวงกัด ความหึงกัด สารพัดอย่าง มากกว่านี้มาก ยกตัวอย่างมาเพียง ๑๐ อย่างเท่านี้มันก็น่ากลัวแล้ว ชีวิต มันกัดเจ้าของ สุนัขมันยังไม่กัดเจ้าของ เราไม่เคยเห็นสุนัขกัดเจ้าของ ในชีวิตที่ไม่มีธรรมะ เลวกว่าสุนัขคือมันกัดเจ้าของ พวกฝรั่งมาที่นี่ทุกเดือน เดือนละ ๑๐๐ กว่าคน ทุกเดือนเราก็สอนธรรมะ เขาพอใจคำนี้ พอใจคำนี้คำเดียว ยินดีที่ว่าเดี๋ยวนี้ได้มาพบไอ่ชีวิตใหม่แล้ว ชีวิตใหม่คือชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ภาวนาขึ้นใจเป็นหลักเกณฑ์เอา ชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนมีธรรมะเป็นเครื่องรางป้องกันไม่ให้อะไรกัด ทุกอย่างไม่กัด ความทุกข์ไม่มี มีแต่ความถูกต้อง แล้วก็จงได้มี แอ่ความสุขสวัสดีเจริญงอกงามในหน้าที่การงานทั้งส่วนตนและส่วนราชการ เรียกว่า ยกมือไหว้ตัวเองได้อยู่ตลอดทุกทิพาราตรีกาลด้วยกันจงทุกๆ ท่าน ทุกๆ คนเทอญ ขอยุติการบรรยาย
(นาทีที่ 33.48) ธรรมะแปลว่าหน้าที่ หน้าที่แปลว่าธรรมะ การทำให้ถูกต้องเรียกว่าธรรมะ ขอบพระคุณ มาเยี่ยม แวะมาเยี่ยม หึหึหึ มาช่วยทำให้สวนโมกข์เป็นสถานที่ที่มีประโยชน์ หึหึหึหึ หึหึหึหึ หึหึ (มีเสียงผู้ชายพูดว่า) พระเดชพระคุณตอนนี้แข็งแรงมั๊ยครับ (ท่านพุทธทาสตอบว่า) เดี๋ยวนี้ ไม่มีแรง อายุ 85 ปี แล้วก็ไม่มีแรง ปัญหาคือ ไม่มีแรง ถ้าอยู่เฉยๆ ก็ไม่มีปัญหา ถ้าไปทำอะไรมันไม่มีแรงอยู่เฉยๆ ก็สบาย
สองกิโลไปจากนี่ข้ามถนนแล้วก็มีสวนโมกข์นานาชาติสำหรับฝรั่ง ที่ว่า ตรงไปทางนี้ราวสองกิโล สวนโมกข์นานาชาติ ทำกับพวกฝรั่งตลอดเวลา
ไม่ต้องแขวนพระเครื่องก็ได้ ถ้ามีธรรมะเป็นเครื่องราง ฮึฮึฮึฮึฮึฮึ (36.13/มีเสียงผู้ชายพูดอะไร ไม่ทราบ-ฟังไม่ชัด) (ท่านพุทธทาสตอบว่า) ก็ได้ ให้มันเป็นความหมายของธรรมะ ความหมายของธรรมะ คือความถูกต้อง เอาแขวนคอไว้ สัญลักษณ์แห่งความถูกต้องมาแขวนคอไว้