แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ทีนี้ก็จะเริ่มการบรรยาย นักเรียนทั้งหลาย เธอทั้งหลายควรจะมีความรู้ให้สมกับความเป็นนักเรียน คือต้องรู้สิ่งที่ควรจะรู้ อายุยังน้อยเท่านี้ควรรู้อะไร มากกว่านี้ควรรู้อะไร โตขึ้นไปควรรู้อะไร ต่อไปเราก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่คนเฒ่าคนแก่ เราก็รู้ๆๆกันตลอด ทีนี้ตั้งต้นรู้ที่ความเป็นนักเรียนยังเล็กๆ ภาษาบาลีเขาเรียกว่ายังเป็นกุมาร เป็นกุมารี เป็นเพศชายหรือเป็นเพศหญิง กำลังฝึกฝน ศึกษา ฝึกฝน สิ่งที่ควรรู้ คือที่เหมาะสมกับผู้ที่ยังเล็ก ยังเล็กอยู่ จากกุมารา กุมารี ก็เป็นยุวตา ยุวตี เป็นยุวา ยุว เป็นวัยรุ่น เป็นหนุ่มสาว เป็นคหรา คหรี (นาทีที่ 10:09) เป็นพ่อบ้าน แม่เรือนเธอก็เห็นอยู่ ก็เข้าใจอยู่ เดี๋ยวเราจะพูดกันเรื่องเป็นนักเรียน สิ่งที่นักเรียนควรจะรู้เป็นสิ่งแรก และรู้ให้ดีที่สุด ก็คือ ผู้ที่เรียกว่า บิดา มารดา ทั้งหมดนี้ ใครเกิดจากโพรงไม้ ยกมือ ไม่มีใครยกมือ ใครเกิดเองได้ ยกมือซิ มันก็ไม่ได้ ใครเกิดจากบิดามารดา ยกมือ ทุกคนเลย ทุกคนเกิดจากบิดามารดา ไม่ได้เกิดจากโพรงไม้ ไม่ได้เกิดเองได้ หรือไม่ใช่ใครมาปั้นให้ก็ได้ เกิดจากบิดามารดา ถ้าไม่ได้บิดามารดา ก็ไม่มีการเกิด ดังนั้น บิดามารดา คือผู้ให้ชีวิตเรา จึงจัดว่าเป็นผู้มีพระคุณสูงสุด เพราะว่าให้สิ่งที่เรียกว่า ชีวิต ให้สิ่งที่เรียกว่าชีวิต คิดดูสิ ถ้าไม่ให้มา ก็ไม่มีชีวิต เพราะฉะนั้นจึงเป็นผู้มีพระคุณสูงสุด คือ บิดา มารดา และบิดามารดารักบุตรที่สุด จนตายแทนได้ จนตายแทนได้ ซึ่งเป็นธรรมชาติของบิดามารดา แล้วก็หวังดีที่สุด รักใคร่ที่สุด หวังดีที่สุด ไม่มีใครหวังดีที่สุดกับเราเท่ากับบิดามารดา และท่านก็ให้ได้ทุกอย่างที่ท่านจะให้ได้ด้วยความรัก นับตั้งแต่วันให้นม กิน หรือชีวิต เรื่อยๆมา กินข้าวกินปลากินอาหาร ถึงทุกวันนี้ก็ยังให้อยู่นั่นแหละ ใครให้เสื้อ ให้กางเกง ก็บิดามารดา ใครให้สตางค์ใช้ประจำวัน ก็บิดามารดา ท่านก็ยังคงให้ๆๆๆ ให้อยู่ตลอดเวลา ถ้าลูกมันกตัญญู มันก็รู้พระคุณของบิดามารดา ถ้ามันไม่กตัญญู มันก็ไม่ต้องรู้ แต่ถ้ามันเป็นคนกตัญญู มันก็รู้ว่าบิดามารดาให้ตั้งแต่ชีวิตมา แล้วก็ช่วยทุกอย่างให้รอดชีวิต จนกระทั่งบัดนี้ บิดามารดาให้
มีออมสินที่ไหน มีธนาคารที่ไหน ที่เธอเบิกเงินได้เรื่อยเลย โดยไม่ต้องฝาก ใครรู้จักออมสินไหน ธนาคารไหน เบิกเงินได้ โดยไม่ต้องฝาก ใครรู้ยกมือ นี่ต้องใช้คำว่า ยังไม่รู้พระคุณบิดามารดา ยังโง่ๆ ออมสินหรือธนาคารที่เบิกเงินได้เรื่อย โดยไม่ต้องฝากคือใคร คือใคร คือใคร ทำไมยังนึกไม่ออก ใครนึกออกยกมือ คือ พ่อแม่ หรือจะเรียกว่า บิดามารดา เป็นออมสิน เป็นธนาคาร ที่เบิกเงินได้เรื่อย เมื่อใดก็ได้ กลางคืนก็ได้ โดยไม่ต้องฝาก มันมีที่ไหน ควรจะรู้พระคุณของบิดามารดาว่าเป็นที่พึ่ง ให้เราตลอดเวลา บิดามารดาเป็นครูคนแรก สอนให้รู้จักกินนม สอนให้รู้จักดูดนม สอนให้รู้จักกินนม โดยไม่มีใครแรกกว่า สอนทุกอย่างเท่าที่จะสอนได้จนเดินได้ จนไปโรงเรียนได้ นี่เรียกว่าเป็นครูคนแรก พ่อแม่บางคนก็สอน ก ข ด้วย แต่ว่าเราเอากันตอนแรกที่สุดก็สอนให้รู้จักกินข้าว อาบน้ำ บริหารร่างกาย ชีวิตรอดอยู่ได้ เป็นครูคนแรก แล้วก็ว่าเป็นพระพรหม พระพรหมเป็นผู้มีความรัก ใครรักเราที่สุดในโลกนี้ ใครที่ว่ามีใครที่นอกจากพ่อแม่ ใครที่รักเรามากที่สุดนอกจากพ่อแม่ ผู้รักเราที่สุดนั่นแหละเป็นพระพรหม พรหมก็แปลว่าผู้มีเมตตา เมตตากรุณา เมตตากรุณา จงรู้จักไว้ว่านอกจากท่านจะเป็นครูคนแรกแล้ว ยังเป็นพระพรหม เป็นเทวดา เป็นอรหันต์ก็ได้ ถ้าเป็นพระอรหันต์เขาหมายความว่า ทำให้ได้บุญ ทำให้ได้บุญ เราจะทำให้ได้บุญก็คือเคารพ กตัญญูกตเวที ทำให้บิดามารดาสบายใจ แล้วเราได้บุญ เราทำให้บิดามารดาสบายใจเท่าไร เราก็ได้บุญเท่านั้น เขาจึงเรียกว่า เป็นพระอรหันต์ของลูกก็ได้ เป็นอาหุนัยบุคคล (นาทีที่ 16:39) ของลูกก็ได้ เธอทั้งหลายเริ่มรู้ข้อนี้ไว้ ถ้าโตขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ข้อนี้ ก็เรียกว่าคนไม่รู้ ไม่รู้เป็นนักเรียน นักเรียนก็ต้องรู้จักบิดามารดา รู้จักพระคุณของบิดามารดา รู้จักหน้าที่ของบิดามารดา เธอรู้ไหมว่าแต่โบราณนานมาแล้วนั้นเขาถือกันว่า ลูกมีสำหรับเป็นอะไร เกิดลูกมีลูกเป็นอะไรสำหรับบิดามารดา ใครรู้ ลูกนี่จะเป็นอะไรแก่บิดามารดาในอนาคต เขารู้กันมาแต่โบราณ ไม่รู้กี่พัน กี่หมื่นปี เกิดคำว่าบุตร เกิดคำบิดามารดา ขึ้นมาพูดว่าลูกคือผู้ที่จะทำให้พ่อแม่สบายใจ อิ่มใจ แน่ใจ นอนใจ ไม่มีบุตรก็ว้าเหว่ ใครจะสืบสกุล ยังว้าเหว่ ยังไม่มีที่ชื่นอกชื่นใจ พอลูกออกมา บิดามารดา ก็ชื่นใจ โดยเฉพาะแม่ แม่เลี้ยงดูทนุถนอมอย่างยิ่งแล้วก็ชื่นใจ ชื่นใจทุกวัน อุ้มลูกทีไรก็ชื่นใจทีนั้น ก็เลยบัญญัติคำนี้ว่า บุตรคือผู้ที่เกิดมาทำให้บิดามารดาชื่นใจ ทำให้บิดามารดาชื่นใจ ถ้าไม่ได้ทำให้บิดามารดาชื่นใจ คนนั้นไม่ใช่บุตร ฟังดูให้ดี ใครทำให้บิดามารดาโกรธบ้าง ยกมือ ใครทำให้บิดามารดาโกรธบ้าง บิดามารดาโกรธ ขัดใจบิดามารดา ใครทำ ทั้งหมดนี้ไม่เชื่อ ใครที่ทำให้บิดามารดาโกรธในบางครั้งบางคราว ยกมือ นั่นแหละ มันไม่ถูกกับความหมายของลูกหรือบุตรแล้ว เพราะว่าบุตรเขามีมาเพื่อให้บิดามารดาชื่นใจๆ ก็ดูสิ บิดามารดาก็ทำเพื่อลูกตั้งแต่เล็กๆ จนโตๆ ลูกบางคนมันไม่รู้ มันไม่รู้ภาษีภาษา มันเป็นอันธพาล มันไปทำสิ่งที่บิดามารดาไม่ชอบ ไปทำสิ่งที่บิดามารดาไม่ให้กระทำ แล้วมันก็แอบขโมยไปทำ แม่รู้ทีหลัง ก็น้ำตาไหล ร้องไห้ เพราะลูกมันไปทำสิ่งที่แม่ไม่ต้องการให้ทำ อย่างนี้เรียกว่า จัดบิดามารดาใส่ในความทุกข์หรือในนรก ถ้ามารดาต้องน้ำตาไหลเพราะลูกคนไหน ก็เรียกว่าจัดบิดามารดาของตนใส่นรกแล้ว ไม่ใช่ลูกแล้ว เพราะถ้าเป็นลูกต้องทำบิดามารดาของตนพออกพอใจอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่ได้ทำอย่างนั้นไม่ใช่ลูก เป็นของสกปรกก้อนหนึ่งออกมาจากท้องของบิดามารดา บิดามารดาไม่ควรจะเรียกว่าลูก เรียกว่าของสกปรกก้อนหนึ่งออกมาจากท้องบิดามารดาไม่ใช่ลูก ถ้าเป็นลูกนี่ต้องพยายามอย่างยิ่ง อย่าให้บิดามารดาต้องร้อนอกร้อนใจ ต้องโกรธเคือง หรือถึงกับต้องน้ำตาไหล ถ้าบุตรคนใดได้ทำให้บิดามารดาน้ำตาไหล ก็ถือกันว่าบุตรคนนั้นต้องตกนรกชั้นเลวที่สุด ชั้นต่ำที่สุด เรียกว่านรกอเวจี นรกชั้นอเวจี บุตรคนไหนได้ทำให้บิดามารดาน้ำตาไหล บุตรคนนั้นต้องตกนรกชั้นเลวที่สุด เรียกว่าชั้นอเวจี เขาถือกันมาอย่างนี้ ที่มารดาบางคนไอ้ความที่รักลูก รักลูก ลูกมันทำเจ็บปวดสาแสบเลวทรามที่สุด ก็ไม่กล้าให้น้ำตาไหล แม่ก็ไม่กล้าให้น้ำตาไหล กลัวว่าลูกมันจะตกนรกอเวจี ดูความรักของพ่อแม่สิ ด้วยความที่ไม่อยากให้ลูกตกนรกอเวจี อดกลั้นอดทนไม่ให้น้ำตาไหล ความรักของแม่ ดังนั้นพวกเธอจงรู้ความจริงข้อนี้ว่า แม่รักเราถึงที่สุดเท่าไร เขาถือกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าลูกที่ทำให้บิดามารดาน้ำตาไหล มันจะต้องตกนรกชั้นอเวจี คือชั้นเลวที่สุด ชั้นต่ำที่สุด อเวจีแปลว่า หลุมไฟไม่มีควัน ไม่มีเปลว มีแต่ถ่านที่แรง ดังนั้นเธอจงอธิษฐานจิต อธิษฐานจิต ตั้งจิตมั่นคงไว้ ว่าจะไม่พลั้งเผลอ จะไม่ลืมตัวกระทำสิ่งที่ทำให้บิดามารดาโกรธ หรือขัดใจ หรือเสียใจ จนกระทั่งน้ำตาไหล จนกระทั่งน้ำตาไหล ใช้สมาทานว่าข้าพเจ้าไม่ทำบัดนี้ และไม่ทำต่อไปให้บิดามารดาต้องโกรธ ต้องขัดใจ หรือน้ำตาไหล เป็นต้น ปฏิญญากันเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้า ว่าพร้อมกัน ข้าพเจ้า ไม่ทำบัดนี้ และไม่ทำต่อไป ให้บิดามารดาเสียใจ จนกระทั่งน้ำตาไหล ข้าพเจ้า ไม่ทำบัดนี้ และไม่ทำต่อไป ให้บิดามารดาเสียใจ โกรธเคือง ขัดใจ จนน้ำตาไหล ข้าพเจ้า จักเป็นบุตรที่ดี ของบิดามารดา ข้าพเจ้า จักเป็นบุตรที่ดี ของบิดามารดา ข้าพเจ้า จักเป็นบุตรที่ดี ของบิดามารดา
จะอธิบายต่อไปว่า บุตรที่ดีของบิดามารดามีแต่ทำให้บิดามารดาพออกพอใจ ชื่นอกชื่นใจ ตลอดเวลา บิดามารดามีความหวังอย่างไรก็ทำให้ได้ตามนั้น บิดามารดาหวังให้เรียนดี สอบไล่ได้ ไปประกอบการงานที่ดี เอาตัวรอด อย่างนี้ ก็ทำให้ได้ตามนั้น อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา กตัญญูกตเวที คือว่ารู้พระคุณของบิดามารดา แล้วก็ตอบแทนตอบแทน เดี๋ยวนี้เรายังเล็กอยู่ ยังทำอะไรไม่ได้มากมาย ก็ทำเท่าที่จะทำได้ บิดามารดาต้องการอะไรก็ช่วยทำให้เขา เท่าที่จะทำได้ ทำเท่าที่เด็กเล็กๆจะช่วยทำได้ ให้รู้ว่าจะช่วยทำร่วมกันก็ได้ หรือจะแยกกันทำต่างหากก็ได้ อย่างไรก็ได้ขอให้ได้ทำ ได้เสียสละ ได้ทำสิ่งที่ทำให้ บิดามารดาชื่นใจ พอใจ นี่เรียกว่าเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา หรือซื่อสัตย์กับบิดามารดา ไม่หลอกหลวงบิดามารดา เคารพ เคารพอย่างยิ่ง เพราะว่าให้ชีวิตมา กตัญญูอย่างยิ่งเพราะว่าได้ให้ความรอดชีวิตมา และทุกๆอย่างที่ควรจะได้รับ นี่เราจะเป็นบุตรที่ดีของบิดา เป็นข้อที่หนึ่ง ทีนี้เราก็โตพอจะไปโรงเรียน ไปอยู่โรงเรียนเราก็มีบุคคล รับหน้าที่แทนบิดามารดา คือครูบาอาจารย์ รับหน้าที่สอนหนังสือหนังหาวิชาความรู้ รู้สิ่งต่างๆที่ควรจะรู้ เนี่ยขั้นที่สอง เรียกว่าครูบาอาจารย์ เราจะต้องเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์คือ ศิษย์ที่ครูบาอาจารย์นำไปได้ พาไปได้ ครูบาอาจารย์เขาอยากให้ดีเขาอยากให้ถูกต้องอย่างไร ต้องเชื่อฟังจนพาไปได้ นำไปได้ อย่างนี้เรียกว่าศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ศิษย์ที่เลวของครูบาอาจารย์คือ ไม่เชื่อฟัง ไม่ยอมฟัง แล้วก็ดื้อดึง ไม่ยอมทำตาม ครูบาอาจารย์นำไปไม่ได้ ครูบาอาจารย์จะนำไปสู่ที่ถูกที่ควรที่ชอบที่เจริญ นำไปไม่ได้ เด็กคนนั้นต้องไปเป็นกากเดนมนุษย์ เป็นกากมนุษย์ เป็นกากเดนมนุษย์ เป็นคนที่ไม่มีสภาพสมบูรณ์แห่งความเป็นคน เราจงเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ คือเชื่อฟัง เชื่อฟัง มาคิดมานึกแล้วก็พยายามทำตาม ทำตาม โดยย่อความแล้วก็มาคิดมานึก ถ้าไม่รู้ก็ถาม ถามแล้วก็จำไว้ แล้วก็ปฏิบัติต่อไป เราจงทำอย่างนี้ ศึกษาให้รู้แล้วก็ปฏิบัติ เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ก็จะค่อยๆเจริญด้วยวิชาความรู้ เจริญด้วยวิชาความรู้ เป็นลำดับๆไป เขาเรียกว่าขั้นที่สอง ได้ดีแล้ว คือเป็นศิษย์ที่ดี ของครูบาอาจารย์ มาว่าพร้อมกันอีกที ข้าพเจ้า เป็นแล้วบัดนี้ แล้วจักเป็นต่อไป เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ข้าพเจ้าเป็นแล้วบัดนี้ แล้วจักเป็นตลอดไป เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ข้าพเจ้าเป็นแล้วบัดนี้ แล้วจักเป็นตลอดไป เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ให้ครูบาอาจารย์ชักนำไปได้ตามความพอใจ ไม่มีความดื้อดึงบิดพลิ้วแต่ประการใด สัญญากันแบบนี้
ทีนี้ข้อที่สามเราจักต้องเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เพราะว่าเราไม่อยู่คนเดียวในโลกได้ ถ้าให้เราอยู่คนเดียวในโลกให้ครองโลกทั้งหมด เราก็ตาย อยู่ไม่ได้หรอก เพราะมันต้องมีเพื่อนอย่างนั้นอย่างนี้ ดูสิกว่าเราจะได้เกิดมาเป็นคน เราต้องมีคนช่วยเหลืออย่างนั้นอย่างนี้ จึงมีข้าวกิน จึงมีเครื่องนุ่งห่ม จึงมียูกยา จึงมีสารพัดอย่าง จะต้องช่วยเหลือกันในสิ่งที่ทำคนเดียวไม่ได้ ดังนั้น เราจึงต้องมีเพื่อน มีเพื่อน หมามีเพื่อนไหม ต้นไม้มีเพื่อนไหม คนต้องมีเพื่อนเป็นคนเยอะแยะ สัตว์เดรัจฉานก็มีเพื่อนเป็นฝูง ต้นไม้ก็มีเพื่อนเป็นต้นไม้เต็มป่า มันอยู่ด้วยเพื่อน ลองขาดเพื่อนเหลือต้นไม้ต้นเดียวอยู่ไม่ได้ก็ตาย สัตว์อยู่ตัวเดียวไม่ได้มันขาดอะไรหลายอย่าง มันก็ต้องตาย คนก็อยู่คนเดียวไม่ได้ เราต้องมีเพื่อน คำว่าเพื่อนมันมาจากคำว่าสหาย สหาย ไปด้วยกัน ไปด้วยกัน มาด้วยกัน ไปด้วยกัน มาด้วยกันเรียกว่า สหาย แปลว่าทำอะไรก็ช่วยเหลือกัน ได้ผลมาก็กินกันอะไรกัน นี่เรียกว่า สหาย บางทีก็เรียกว่า มิตร มิตรคือผู้ที่ต้องมีจิตใจถึงกัน จดจ่อถึงกันอยู่เสมอ นี่ก็เรียกว่า มิตร บางทีก็เรียกคำที่เธอไม่เคยได้ยิน อย่างคำว่า สัมมะ สัมมะ (นาทีที่ 30:49) แปลว่า สหาย อย่างนี้แปลว่า มีอะไรเสมอกันหมด เข้ากันได้ดี ไม่มีสูงมีต่ำ ทำตนสม่ำเสมอกันดีเรียกว่า สัมมะ (นาทีที่ 31:04) เป็นมิตรก็ได้ เป็นสหายก็ได้ และอีกหลายๆคำ ก็ต้องมีเพื่อน ต้องมีเพื่อน ให้นั่งอยู่คนเดียวในโลกก็ตายแน่ เพราะความเหงา ตายนั่งอยู่คนเดียวในโลก เธอลองไปนั่งคนเดียวอยู่เกือบชั่วโมงดูสิ สองชั่วโมง สามชั่วโมง เดี๋ยวก็ทนไม่ไหว เรามาเป็นเพื่อนก็ช่วยกัน นักเรียนทุกคนเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนนักเรียนกัน ขอถามสักคำ ใครไม่เคยชกเพื่อน มีใครไม่เคยชกเพื่อน เคยชกเพื่อนกันแล้วทั้งนั้น ใครเคยชกเพื่อน ทีนี้มีมาก เนี่ยแสดงว่ามันไม่เคยเป็นเพื่อนจริง มันมีชกกันนี่ มันต้องไม่มีการชกต่อยกันเพราะว่าเราเป็นเพื่อนกัน เราเป็นเพื่อน ถ้าเป็นให้มากกว่า เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย อย่างนี้เป็นเพื่อนถึงที่สุด เป็นเพื่อนตาย เพียงแต่เพื่อนเล่น เพื่อนหัวนี่ไม่พอ ไม่สำเร็จประโยชน์ ต้องเป็นเพื่อนช่วยกันทำการทำงานที่ควรจะทำให้สำเร็จประโยชน์ แล้วก็ต่อสู้กัน เอาชนะไอ้สิ่งเลวร้ายให้ได้ แล้วก็อยู่อย่างความถูกต้องๆ ความพอใจ มีความสุขสวัสดี นี่เรียกว่ามีเพื่อนที่ดี เพื่อนที่ดี จงเคารพอย่างเพื่อน มันไม่สูงไป มันไม่ต่ำไป มันเสมอกัน มันพอดี นี่เราเป็นเพื่อนกันอย่างนี้ มีความช่วยเหลือกันนั่นแหละความหมายของคำว่าเป็นเพื่อน ถ้าไม่รักใคร่ช่วยเหลือกัน ไม่มีความหมายของคำว่าเป็นเพื่อน นั้นช่วยเพื่อนก็จะมีเพื่อน มีผู้ช่วยเรา เราช่วยเพื่อนเถิด แล้วจะมีผู้ช่วยเรา ยิ่งเราช่วยเขาไปมากๆมีเพื่อนมากๆ เราก็จะมีเพื่อนช่วยเรามากๆ ช่วยเขาไปมันจะกลับมาช่วยเรา ไม่เท่าไรเราก็จะมีเพื่อนที่ดี ไม่ใช่เพื่อนที่เลว เพื่อนที่ดีเต็มไปหมด เต็มไปหมด นี่คือเพื่อนที่ดี ลองคิดดูในข้อที่ว่าเราไม่อาจจะอยู่ได้คนเดียวในโลก กินข้าวคนเดียวก็ไม่อร่อยเท่ากับกินกับเพื่อน เล่นคนเดียวก็เล่นไม่ได้ต้องมีเพื่อนมาช่วยกัน จึงจะเล่นหัวอะไรได้ นี่เราจึงต้องมีเพื่อน ที่จริงพ่อแม่ก็เป็นเพื่อน ครูบาอาจารย์ก็เป็นเพื่อน แต่เป็นเพื่อนอยู่บนศีรษะสูงขึ้นไป ถ้าเพื่อนเสมอกัน นี่เรียกว่าเป็นเพื่อนตามธรรมดา เราจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน คือจะไม่มีข้อขัดแย้ง ถ้าเป็นเพื่อนที่ดีจะไม่มีข้อขัดแย้ง ข้อขัดแย้งนั้นภาษาบาลีเรียกว่า อุบาทว์ หรือ อุปัทวะ การขัดแย้งใดๆเรียกว่าอุบาทว์ เป็นการอุบาทว์ทั้งนั้นแหละการขัดแย้ง การขัดแย้งทางการเมือง การขัดแย้งทางการค้าขาย ทุกๆขัดแย้งเป็นอุบาทว์ทั้งนั้น ที่ไหนมีการขัดแย้ง ที่นั่นมีการอุบาทว์ เราจะไม่มีการขัดแย้ง เพื่อนทำไม่ถูก ทำไม่ดี เราก็บอกเพื่อนให้ทำใหม่ ทำให้ดี เราอย่าไปขัดแย้ง อย่ากล่าวคำขัดแย้ง แต่กล่าวคำแสดงความคิดเห็นอย่างนี้น่าจะดีกว่า ที่ว่าฉันชอบอย่างนี้ เพื่อนเห็นด้วยเพื่อนเขาก็ทำตาม ไม่ต้องทะเลาะกันเพราะไม่มีการขัดแย้ง จำไว้ว่าเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนคือไม่มีการขัดแย้ง ไม่มีการทะเลาะวิวาท ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอุบาทว์ คำว่าอุบาทว์ไม่ควรจะได้ยิน เลวทรามมาก ไม่ควรจะได้ยิน แต่กลัวว่าเธอจะไม่รู้จัก ต้องเอามาพูด พวกเธอจะได้รู้จัก สิ่งเลวร้ายที่สุด คือ อุบาทว์ อุปัทวะ อุบาทว์นี่ มันมาจากความขัดแย้ง ขัดแย้งน้อย อุบาทว์น้อย ขัดแย้งมาก อุบาทว์มาก ขัดแย้งระหว่างประเทศก็รบกัน ขัดแย้งระหว่างครอบครัวก็ได้ทะเลาะวิวาทกัน ฆ่ากันตาย ความขัดแย้งเป็นสิ่งเลวทราม แต่ถ้าเป็นมิตรก็ตรงกันข้าม เป็นสหาย ไปด้วยกัน มาด้วยกัน เลือดสุพรรณเอ๋ย นี่แหละคือความหมายของคำว่ามิตร สห แปลว่าด้วยกัน หาย แปลว่า มาหรือไปก็ได้ มาด้วยกัน ไปด้วยกัน เอาว่าพร้อมกัน ข้าพเจ้า จะเป็นเพื่อนที่ดี ของเพื่อน ข้าพเจ้า เป็นแล้วบัดนี้ แล้วจักเป็นต่อไป เป็นเพื่อนที่ดี ของเพื่อน ข้าพเจ้า เป็นแล้วบัดนี้ แล้วจักเป็นตลอดไป เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน ปราศจากการขัดแย้งโดยประการทั้งปวง นี่หมายความว่าจากนี้ไปเราจะไม่มีความขัดแย้ง ที่เคยชกต่อยกันมา ทะเลาะกันมา ให้อภัย ให้อภัย ขอสารภาพผิด ยกเลิกๆ ต่อไปนี้จะไม่มี เราได้ปฏิญญาณว่าข้าพเจ้าไม่มีในบัดนี้ และจะไม่มีต่อไป สำหรับเผื่อไว้ว่า จะ จะ แล้วก็ไม่ทำ ทำไม่ได้ อย่างนั้นใช้ไม่ได้ จึงต้องใช้คำว่าไม่มีบัดนี้ ไม่มีต่อไป นี่เรียกว่าเป็นเพื่อนที่ดี
ข้อที่หนึ่ง เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ข้อที่สอง เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ข้อที่สาม เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน ข้อต่อไปที่เราต้องมานึกถึง เราเป็นศิษย์ เราเป็นเพื่อนมาตามลำดับ เรามีสิ่งหนึ่งซึ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือความเป็นพุทธมามกะ การนับถือพุทธศาสนา นี่เป็นสาวกของพระศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ข้อนี้ก็ต้องว่าเราจะเป็นสาวกที่ดีของศาสนา ศึกษาให้รู้ ศึกษา ศึกษา แล้วปฏิบัติ แล้วให้ได้รับรู้ถึงผลของการปฏิบัติ เราจะถือศีลเท่าที่เราจะถือได้ตามความสามารถของเรา แล้วเราก็จะมีความสงบสุข นี่เรียกว่าเป็นสาวกที่ดีของพระศาสนา ข้อนี้ต้องเรียนเป็นพิเศษ ที่โรงเรียนก็ได้ ที่วัดก็ได้ ใครที่รู้ก็ได้ เรียกว่าศาสนา สอนอย่างไร ถ้าจะสรุปให้สั้นที่สุด สั้นที่สุด ศาสนานี้สอนให้ไม่เห็นแก่ตัว ที่จริงสอนลึกกว่านั้น สอนว่าไม่มีตัว แต่เธอคงฟังไม่ถูก ถ้าฉันไม่อธิบาย ฟังไม่ชัด (นาทีที่ 38:53-38:55) ไม่มีตัว ไม่มีตัว ไม่มีตัว แต่เรามันมีตัว เรารู้สึกว่ามีตัว ถ้าเรารู้สึกว่ามีตัว เราอย่าเห็นแก่ตัว เราเห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ อย่าเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัวน่ะมันโง่ คนเห็นแก่ตัวมันขี้เกียจ คนเห็นแก่ตัวมันเอาเปรียบ คนเห็นแก่ตัวมันอิจฉาริษยา คนเห็นแก่ตัวมันก็จองหองพองขน มันก็พูดทำลายสามัคคี ยุแหย่ให้เขาแตกกันแล้วมันได้ประโยชน์ นี่คนเห็นแก่ตัวมันเลวขนาดนั้น ทำไปทำไปหนักเข้าๆมันหลงทาง หลงทางเป็นบ้าเลย ได้อยู่โรงพยาบาลบ้า สมน้ำหน้ามันเลย คนเห็นแก่ตัวน่ะ มันจะหลงๆ จนหลงทางหมด ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าตัวเองตายตามไปในที่สุด หนังสือพิมพ์ก็มีอยู่บ่อยๆ ฆ่าตัวเองตามไป นี่คนเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว ความไม่มีธรรมะ ความไม่มีศาสนา ถ้าเห็นแก่ตัวมันก็ไม่รักใคร มันก็รักตัวของมันเองหมด มันไม่รักใคร ไม่รักผู้อื่น ไม่เห็นแก่ผู้อื่น ไม่เห็นแก่พระศาสนา ไม่เห็นแก่ประเทศชาติ คนเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ประเทศชาติ พูดว่ารักชาติโกหก มันหลอกเขา คนเห็นแก่ตัวมันรักชาติไม่ได้ มันรักผู้อื่นไม่ได้ มันรักความถูกต้องไม่ได้ มันเอาแต่ประโยชน์ ประโยชน์ ประโยชน์ของมันเอง เราจักต้องเป็นสาวกที่ดีของพระศาสนา มีธรรมะคือความไม่เห็นแก่ตัว เอาเรามาสัญญากัน ข้าพเจ้าจักเป็นสาวกที่ดีของพระศาสนา คือไม่เห็นแก่ตัว ข้าพเจ้าจักเป็นสาวกที่ดีของพระศาสนา คือไม่เห็นแก่ตัว เมื่อเราไม่เห็นแก่ตัวจิตใจมันก็กว้างออก เห็นแก่ผู้อื่น เห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่ประเทศชาติ เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งโลก ลองไปคิดดูมันสบายเท่าไร เห็นแก่ตัว อัดอั้นๆอยู่นั่นแหละ เรื่องของตัวเมื่อไรจะได้ เมื่อไรจะได้ เมื่อไรจะรวย เมื่อไรจะสวย เห็นแก่ตัว มันอัดอั้นอยู่อย่างนี้ นี่มันไม่มีความสุข เราจะเป็นสาวกหรือผู้ฟังที่ดี คือฟังแล้วปฏิบัติตามนี่เรียกว่า สาวก คือผู้ฟังที่ดี ของพระศาสนา ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สั่งสอนไว้
ทีนี้เรามาถึงเป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นสาวกที่ดี ขออีกอย่างเป็นมนุษย์ที่ดี ขอให้เป็นมนุษย์ที่ดี เราจะเป็นมนุษย์ที่ดี มนุษย์ที่ถูกต้อง มนุษย์ที่มีความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่ไม่เต็มมันก็คือคนบ้าๆบอๆ เขาว่ามึงไม่เต็มๆเนี่ย โกรธไหม เพราะมันไม่เต็มแห่งความถูกต้อง ไม่เต็มแห่งความเป็นมนุษย์ เราต้องเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ มันเป็นอย่างไร มนุษย์เรามีจิตใจสูง มีจิตใจสะอาด จิตใจสว่าง จิตใจสงบ จิตใจสูงจนไม่มีความชั่ว ความชั่วเหมือนกับน้ำ เวลามันสูง น้ำมันก็ท่วมไม่ได้ นี่เรียกว่ามีจิตใจสูง ความทุกข์ ความยากลำบากนั้นเป็นน้ำ ถ้าเรามีจิตใจสูงแล้ว มันก็ท่วมไม่ได้ จิตใจสูงคือสูงเหนือความชั่ว สูงเหนือความทุกข์ นี่คือจิตใจสูง มนุษย์เรามีจิตใจสูง เราจะเป็นมนุษย์ให้เต็ม คือมีจิตใจสูงโดยแท้จริง ไม่เห็นแก่ตัวแล้วมันก็สูง ทำหน้าที่เพื่อโลก ทำหน้าที่เพื่อคนทั้งโลก ทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติ ไม่ใช่ทำหน้าที่เพื่อตัวกูของกู อย่างนี้จิตใจมันสูง จิตใจมันไม่แคบ เราจึงนึกถึงความเป็นมนุษย์ที่เต็ม คือเป็นผู้มีจิตใจสูง ถ้าแปลตามตัวหนังสืออีกคำก็คือ ผู้เป็นเหล่ากอของมนู พระมนู บุคคลที่เรียกว่าพระมนูในประวัติศาสตร์ เป็นครูบาอาจารย์ที่จิตใจสูง ฉลาดที่สุด เป็นคนดีที่สุด เป็นผู้ให้กำเนิดกฎหมายต่างๆออกมาให้ เรียกว่ามีจิตใจสูง เป็นเหล่ากอของมนุษย์ เรียกว่ามีจิตใจสูงก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้เราเอาเป็นกลางๆตามธรรมชาติๆ ให้มีจิตใจสูงโดยธรรมชาติ คือ มีความรู้ดี ปฏิบัติดี ได้รับผลของการปฏิบัติดี ก็มีจิตใจสูง สูงก็ไม่มีกิเลส ไม่มีกิเลสก็ไม่ทำชั่ว ไม่เกิดความทุกข์ ไม่มีความทุกข์ จิตใจมันสูงเสีย ความชั่วท่วมไม่ได้ ความทุกข์ท่วมไม่ได้ มีจิตใจสูง ถ้าจิตใจต่ำก็จะทำอย่างที่เด็กเลวๆมันทำ ต้องซ่อนไม่ให้ใครเห็นทำความชั่ว เพราะมันเลว มันต่ำ ต้องปกปิดไม่ให้ใครรู้ เพราะมันทำความชั่ว ถ้าทำความดีไม่ต้องกลัว อวดได้ แสดงได้ และไม่อวดดี แต่อวดให้เห็นได้ว่า เรามีความถูกต้อง มีความดี ทำทุกอย่างให้มันถูกต้องๆเสีย อาบน้ำให้ถูกต้อง กินข้าวให้ถูกต้อง แม้แต่จะถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะก็ให้มันถูกต้อง ทำหน้าที่การงานก็ถูกต้อง การเล่าเรียนก็ถูกต้อง ช่วยตัวเองก็ถูกต้อง ช่วยผู้อื่นก็ถูกต้องๆๆๆ นี่เรียกว่าเป็นมนุษย์ที่เต็ม มนุษย์ที่เต็ม สัญญากัน ข้าพเจ้าจักเป็นมนุษย์ที่มีความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์ อยู่เหนือความชั่วและความทุกข์ทั้งปวง ข้าพเจ้าเป็นแล้วบัดนี้ และจักเป็นต่อไปในการเป็นมนุษย์ที่เต็ม มีความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์จนยกมือไหว้ตัวเองได้ เพราะอะไรจึงยกมือไหว้ตัวเองได้ เพราะมันมีความดี มองไปที่ไหนก็ดี มองไปที่ไหนก็ดีๆๆๆ พูดดี ทำดี คิดดี ขนขวายดี อะไรดีไปทุกอย่าง พอใจตัวเอง รักตัวเอง นับถือตัวเอง จนยกมือไหว้ตัวเองได้ ถามว่าเดี๋ยวนี้ใครยกมือไหว้ตัวเองได้ ใครมีความดีจนยกมือไหว้ตัวเองได้ พยายามต่อไปๆให้สร้างความดี ความถูกต้องๆๆในการกระทำๆจนพอใจตัวเอง พอใจตัวเอง นึกขึ้นมา โอ้ ประเสริฐ วิเศษ ยกมือไหว้ตัวเองโดยไม่ทันรู้ โดยไม่ทันรู้ ถ้ามีความดีมากจะยกมือไหว้ตัวเองได้โดยไม่ทันรู้
ข้อที่หนึ่ง ข้าพเจ้าเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ข้อที่สอง ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ข้อที่สามข้าพเจ้าเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน ข้อที่สี่ ข้าพเจ้าเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ข้อนี้เราลืมไป แต่ครูเขาสอนที่โรงเรียนแล้ว ข้อที่ห้า เราจะเป็นสาวกที่ดีของพระศาสนา ข้อที่หก เราจะเป็นมนุษย์ที่เต็มแห่งความเป็นมนุษย์ ฟังให้ดีๆ เป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดี เป็นมนุษย์ที่เต็มๆ หกอย่างเท่านั้น พยายามจำ หนึ่ง เป็นบุตรที่ดี สอง เป็นศิษย์ที่ดี สาม เป็นเพื่อนที่ดี สี่ เป็นพลเมืองที่ดี ห้า เป็นสาวกที่ดี หก เป็นมนุษย์ที่เต็ม อย่างนี้เราจะอยู่เหนือความทุกข์ทั้งปวง และมีหวังที่จะเป็นอริยบุคคล เป็นพระอรหันต์ ข้างหน้าโน้น เดี๋ยวนี้มันก็กำลังเดินไปในทางดี ทางดี สูงขึ้นๆ ขอให้เธอทั้งหลาย ตั้งจิต มั่นคง แน่วแน่ อธิษฐานจิตว่าจะเป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดี เป็นมนุษย์ที่เต็ม แล้วก็ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็จะทำให้บิดามารดาชื่นอกชื่นใจ ชื่นใจในการที่มีลูกอย่างนี้ มีลูกน่าชื่นใจอย่างนี้ พ่อแม่มีความสุข มีความพอใจ ก็อย่างดีที่ว่าได้ลูกมาทั้งทีไม่เสียหลาย มาช่วยทำให้เกิดความปีติ ชื่นอกชื่นใจ ปราโมทย์ มีความพอใจได้ในทุกสิ่งทุกอย่าง จึงขอแสดงความหวังว่าพวกเธอจะเป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดี เป็นมนุษย์ที่เต็มด้วยกันจงทุกคน แล้วจะได้สมชื่อกันว่าเป็นนักเรียน นักเรียน เรียนๆๆๆ แล้วก็รู้ๆๆๆ แล้วก็ปฏิบัติๆๆ แล้วก็ได้ผลๆๆของการปฏิบัติ ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และได้พบกับพุทธศาสนา
นี่คือการบรรยายสำหรับเธอทั้งหลายที่ยังเป็นลูกเด็กๆ เราเคยเป็นลูกเด็กๆ มาแล้ว เราก็เลยพยายามอย่างเต็มที่ เราต้องการจะฝากไว้เป็นอนุสรณ์ต่อไป ว่าลูกเด็กๆ ลูกเล็กๆที่จะมาในการข้างหน้านั้นจงได้เป็นผู้สมาทานธรรมะหรือพระธรรมอันสูงสุดของลูกเด็กๆของกุมารา ของกุมารี ทั้งหลาย ดังนัยที่กล่าวมาแล้วว่าจะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา บิดามารดาชื่นอกชื่นใจ จะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์พาไปได้ จูงไปได้ นำไปได้ จะเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน ไม่มีการกระทบกระทั่งกันเลย จะเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ รักษาชาติไว้ได้ จะเป็นสาวกที่ดีของพระศาสนา รักษาศาสนาไว้ได้ แล้วก็จะเป็นมนุษย์ที่เต็ม เป็นมนุษย์ที่เต็ม อย่าให้ใครมาดูถูกได้ว่า มึงไม่เต็ม มึงยังเป็นคนไม่เต็มนั้น มันเป็นคำด่าหยาบ ให้ใครๆโมทนาสาธุว่ามึงเต็ม เต็มเป็นคนเต็ม มีความเป็นมนุษย์ที่เต็ม มีความดี มีความงาม มีความน่ารัก น่านับถือ เป็นอันว่าครบแล้ว พอแล้วสำหรับเธอทั้งหลายที่อยู่ในวัยกุมารา กุมารี จงได้สำนึกในหน้าที่ของตนแล้วรับรองว่าเอาตัวรอดได้ ไม่ดื้ออย่างเดียว ดีหมดทุกอย่าง ถ้าจำคำนี้ไว้ได้ ไม่ดื้ออย่างเดียว ดีหมดทุกอย่าง ไม่ดื้ออย่างเดียว ดีหมดทุกอย่าง จำไว้ว่า ไม่ดื้ออย่างเดียว ดีหมดทุกอย่าง ถ้าไม่จริงค่อยมาต่อว่า มาต่อว่าได้เลย ถ้าไม่ดื้อแล้วเลวมาต่อว่าได้เลย ขอยืนยันว่า ไม่ดื้ออย่างเดียว ดีหมดทุกอย่าง การบรรยายนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว หมดแรงจะพูดแล้ว ขอแสดงความหวังเป็นครั้งสุดท้ายว่า ขอให้เธอทั้งหลาย จงเคารพเชื่อฟังหนักแน่นในคำแนะนำสั่งสอนที่มีเหตุผลแสดงอยู่ในตัวว่า ปฏิบัติแล้วจะเป็นอย่างนี้ จริง แล้วก็จงปฏิบัติไปตามลำดับ มีความถูกต้อง มีความสุขสวัสดีอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย