แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาตมาภาพขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือ แสวงหาความรู้ทางธรรมะ เพื่อไปใช้ในการประกอบกิจในชีวิตและการงาน ให้เป็นคนดียิ่งๆ ขึ้นไป นี้มีเหตุผลอย่างยิ่ง ก็ขออนุโมทนา สำหรับเรื่องที่จะบรรยายนั่นก็คือ ธรรมะที่เหมาะสมแก่นักบริหาร ตามความประสงค์ของเรื่องที่มีอยู่ ธรรมะนี่ ที่จะพูดถึงกันต่อไปนี้ มันก็มีอยู่เป็นสองประเภท คือ ธรรมะสำหรับบริหารชีวิตผู้นั้นโดยตรง นี่อย่างหนึ่ง และก็ธรรมะสำหรับบริหารการงานอันเป็นหน้าที่ นั้นอีกอย่างหนึ่ง ขอให้แยกออกเป็นสองอย่างอย่างนี้แล้วก็จะง่ายในการศึกษาหรือการปฏิบัติ เราจะพูดถึงธรรมะ ที่เป็นการบริหารชีวิตโดยตรงกันก่อน เพราะว่าถ้าชีวิตมีความถูกต้องตามความหมายของความเป็นมนุษย์แล้วมันก็ดี คือ มีสมรรถภาพ มีความเหมาะสม มีอะไรที่จะทำหน้าที่ตามที่จะต้องทำ แต่ว่าชีวิตโดยพื้นฐานนี่จะต้องมีความถูกต้อง อย่างยิ่งกันเสียก่อน ทว่าโดยพื้นฐาน เมื่อเป็นธรรมะประเภทที่ทำให้ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว คือเรามีชีวิตชนิดที่ไม่เห็นแก่ตัวแล้วก็จะมีความสงบเย็น มีสมรรถนะ สามารถทำประโยชน์ผู้อื่น ถ้าเห็นแก่ตัว มันก็มีกิเลส ทำเพื่อกิเลส เป็นไปเพื่อกิเลส อย่างนี้มัน หาความเจริญ หรือความประเสริฐได้ได้ยาก ดำเนินชีวิตชนิดที่ถูกต้อง ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เป็นทางให้เกิดกิเลสใดๆ นั่นแหละพื้นฐาน โดยโบราณ เขามีอุบาย หรือจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่เถอะ เขาถือกันเป็นหลักที่มีประโยชน์ ในการดำเนินชีวิตนั่นเอง คือ คนโบราณจะถือว่า ชีวิตนี้เป็นของยืม ชีวิตนี้เป็นของยืม คือธรรมชาติให้ยืมมา ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณ กี่ธาตุ กี่ธาตุ เอามารวมเป็นอัตภาพ หนึ่งคนหนึ่งนี่ แล้วก็จะต้องพัฒนาให้ทันแก่เวลา พัฒนาตามใจชอบและให้ทันแก่เวลาสำหรับส่งคืน เมื่อรู้สึกว่าชีวิตเป็นของให้ยืมอย่างนี้ มันก็ไม่ ไม่เกิดความหลงยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นตัวกู เป็นของกู ถ้ามันไม่มีหลักเกณฑ์อย่างนี้ คนนั้น เหล่านั้น มันก็จะยึดถือว่า ตัวกู ของกู อะไรๆ ก็ของกู ตัวกูก็ มีมี ของกู มีชีวิตของกู นี่มันเป็นเรื่องตัวกูของกู มันต้องมีการกระทำไปอย่างหนึ่งแน่ะ กับอีกทางหนึ่ง ชีวิตนี้เป็นของยืม ธรรมชาติให้ยืมมา แล้วก็จะต้องพัฒนาให้ทันแก่เวลา แล้วก็ไม่ยักยอกเอาเป็นของกู เอาเป็นตัวกู หรือของกู ยังคงเป็นของธรรมชาติ แต่พัฒนาเอา พัฒนาเอา ให้ได้รับประโยชน์สูงสุดตามที่ต้องการแล้วในที่สุดก็คืนเจ้าของ ก่อนความตายจะมาถึงนี่ สละเสร็จ สละไว้เสร็จก่อนแต่ความตายจะมาถึง คืนเจ้าของ คนชนิดนี้หัวเราะเยาะความตาย หัวเราะเยาะความเจ็บไข้ ไม่มีความทุกข์ทนหม่นหมองใดใด นี่เราจะต้องรู้ว่าในส่วนตัวบุคคลนั้นจะต้องให้คิดอย่างไร ปฏิบัติอย่างไร แต่ว่าอย่างน้อยที่สุดก็จะต้องยอมรับในข้อที่ว่าจะพัฒนา พัฒนา พัฒนา ให้ถึงจุดสูงสุดตามที่ชีวิตนี้มันจะสูงได้นั้นแหละ เป็นข้อสำคัญ บางคนอาจจะคิดว่าตัวกู ของกู แล้วกูจะทำก็ได้ กูจะไม่ทำก็ได้ แล้วบางคนจะแก้ตัวว่า เฮ้ย กูไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา กูไม่ได้ขอเพื่อเกิดมา มันเกิดมาอย่างนี้ กูไม่รับผิดชอบอะไรอย่างนี้ก็ได้ ตามใจ จะคิดอย่างนั้นก็ได้ ก็ลองดูสิ ก็ปล่อยไปตามบุญตามกรรม ถ้าคิดว่า ยืมมาในเวลาอันจำกัด แล้วก็พัฒนาให้เต็มที่ อินเดียโบราณเขามีหลักการทางวัฒนธรรมคืออย่างนี้ว่า ชีวิตะสังโวหาระ ชีวิตะสังโวหาระ แปลว่าการค้าขายด้วยชีวิต คือ จัดให้ชีวิตนั่นแหละเป็นการค้าประเภทหนึ่ง การค้าก็รู้กันอยู่ดีนั้นมันเพื่อกำไร ชีวิตเป็นเดิมพัน ทำการค้าเพื่อกำไรก็ประสบความสำเร็จที่ว่ามีทรัพย์สมบัติพอตัว มีเกียรติยศชื่อเสียงอะไร พอตัว พอตัว พอตัว แล้วก็ก่อนตาย มีทรัพย์สมบัติ มีหลักทรัพย์ มีอะไรทุกอย่างแล้ว คนแก่นี้ก็มอบทรัพย์สมบัตินั้นให้แก่ลูกหลาน ให้ลูกหลานดำเนินกิจการต่อไป ตัวเองก็ ตามที่ ที่กล่าวไว้ในเรื่องเหล่านั้นน่ะ นุ่งผ้าขาว ห่มผ้าขาว สวมรองเท้าขาว กางร่มขาว เธอเดินอยู่ตามป่าละเมาะ ริมลำธารในที่สงบสงัด มีความสุขโดยสมบูรณ์ทุกประการ นั่นเขาเรียกว่านี่ คนนี้สำเร็จชีวิตตะโว สังโวหารคือการค้าด้วยชีวิต เขาก็มุ่งหมายกันอย่างนี้แต่ในเรื่องของส่วนตัว แต่นั่นน่ะมันไม่พอ เผอิญวันหนึ่ง ไอ้คนแก่คนนี้ไปพบพระพุทธเจ้าเข้าที่ไปเดินเล่น เขาก็ทำทีคุยโตว่าเขาเป็นผู้ประกบ ประกอบชีวิตะโว สังโวหารสำเร็จสูงสุด ดีกว่าใครแหละ และก็ในทำนองจะดูหมิ่นพระพุทธเจ้าว่าไม่ได้ทำอะไร มาอยู่คล้ายๆ กับคนขอทานอย่างนั้น นี่คนนี้มันรู้เพียงเท่านี้ ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านก็เลยลองถามดูว่า เออนี่เป็นอย่างไร ถ้าว่าไอ้ลูกหลานคนหนึ่งมันตายไป จะเป็นอย่างไร จะคิดอย่างไร จะนึกอย่างไร จะร้องไห้ไหม จะเสียใจไหม ตาแก่คนนั้นก็ตอบตามตรงว่าร้องไห้ ต้องร้องไห้แน่ ความรักลูกรักหลานเสียใจ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า นี่มันไม่สำเร็จ ไม่ใช่ชีวิตตะโวหารที่สมบูรณ์ ยังมีเรื่องต้องร้องไห้ มันเป็นเรื่องการค้าแต่ในด้านทางวัตถุ ทางจิตใจเปล่าเลย มันต้องไม่ร้องไห้ ไม่ต้องมีความทุกข์ โดยประการทั้งปวง จึงจะเรียกว่าสำเร็จชีวิตะสังโวหาระ ตาแก่คนนี้ก็เห็นจึงซักไซ้ไล่เรียง ขอศึกษาการปฏิบัติในทางจิตทางใจเพื่อบรรลุมรรคผลแล้วไม่ต้องมีความทุกข์ใดๆ เหลืออยู่อีกต่อไปนี่ นี่ก็เรียกว่า ถ้าถือเอาตามนี้เป็นหลัก การพัฒนาชีวิตมันมีอยู่เป็นสองขั้นตอนน่ะแม้สำหรับคนคนเดียว คือ อย่างทางวัตถุ อย่างทางโลกๆ ก็ทำไปสำเร็จ ทีนี้อย่างทางจิตทางวิญญาณที่เหนือ เหนือโลก เรียกว่าเหนือโลกก็สำเร็จนี่ อย่างนี้สำเร็จชีวิตะสังโวหาระ ถ้าใครได้ทั้งสองขั้นก็ ก็ดี ถ้าใครได้เพียงขั้นเดียวก็ดี พอที่จะดำเนินไปตามแบบอย่างที่เรียกว่าโลกๆ วิสัยโลก อย่างวิสัยโลก เรียกว่าเป็นผู้ที่มีความถูกต้อง ความเข้มแข็ง สมรรถนะสมบูรณ์ ในส่วนตน ก็ทำงานในหน้าที่การงาน แล้วแต่จะมีหน้าที่การงานอะไร อย่างเป็นพ่อ เป็น เป็นชาวนา ชาวสวน เป็นพ่อค้า เป็นข้าราชการ เป็นไอ้กรรมกร เป็นศิลปิน หรือแม้แต่กระทั่งจะเป็นคนขอทานก็สุดแท้ มันก็มีความถูกต้อง ถูกต้อง สามารถทำหน้าที่นั้นได้ให้ถึงที่สุด ถึงที่สุด เป็นประโยชน์ในหน้าที่การงานโดยเฉพาะ หมายความว่า ไอ้ชีวิตของเขาก็มีการพัฒนา มีการพัฒนา ถึงที่สุด ไอ้หน้าที่การงานของเขาก็ถูกพัฒนาถึงที่สุด นี้จะเรียกว่าพัฒนาได้ถึงที่สุด จะเรียกว่าบริหารมันก็ได้เหมือนกัน ความหมายมันก็คล้ายๆ พัฒนา ก็ทำให้เจริญขึ้นมา บริหาร คือ พาไปสู่จุดหมายที่ควรจะไปถึง ก็ได้ผลอย่างเดียวกันล่ะ มีความสุข สงบเย็น สงบเย็น แล้วก็เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ด้วย ไม่ ไม่สงบอยู่เฉยๆ ทีนี้เราจึงเห็นว่า มันมีรากฐานอยู่บนธรรมะที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ รู้จักตัวธรรมชาติ รู้จักกฎของธรรมชาติ รู้จักหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ รู้จักผลที่จะได้รับจากหน้าที่ แล้วก็พยายามมากในการทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ นั่นแหละเป็นเรื่องของหน้าที่ หน้าที่ที่จะสำเร็จผลประโยชน์ได้สูงสุดอย่างไร ทีนี้ก็อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ถ้ามีความถูกต้อง มีความถูกต้อง มันก็เป็นเรื่องที่จะไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว ขอทุกท่านได้โปรดจำคำนี้ไว้เพียงคำเดียวเลยว่า ปัญหาทั้งหมดหรือความไม่สำเร็จมันมาจากความเห็นแก่ตัว เรามีชีวิตพื้นฐานถูกต้องไม่เห็นแก่ตัว จนกระทั่งว่าชีวิตนี้เป็นของยืมมาพัฒนาแล้วส่งคืนในโอกาสอันควร ไม่เห็นแก่ตัว ไอ้ความไม่เห็นแก่ตัวนี้ยังจะต้องรักษาไว้สำหรับไปประพฤติในหน้าที่การงานอย่างอื่นต่อไปนี่ แล้วแต่ว่าจะเป็นพ่อค้า เป็นข้าราชการ เป็นอะไรก็ตามในทุกหน้าที่การงาน ต้องมีหลักเป็นความไม่เห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันทำให้เกิดมีตัวมึงตัวกู ตัวมึงตัวกู มันมาจากความรู้สึกเป็นตัวมึงตัวกู ยึดถือในความเป็นบวกในความเป็นลบของตน ของตนกัน มันเกิดแบ่งแยกเป็นตัวมึงตัวกูนี่ นั่นแหละต้นเหตุแห่งปัญหาแหละ ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัว มันเลยรวมกันหมด เป็นตัวเดียวกันเสีย เป็นเพื่อนน่ะ เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น มันก็ไม่มีปัญหาอะไร ไม่มีปัญหาอะไร โปรดจำคำนี้ว่า ถ้ามันไม่มีความเห็นแก่ตัว มันก็ไม่มีทางที่จะแยกเป็นตัวมึงตัวกู มันรวมเป็นตัวเดียวกัน เป็นตัวเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ความหมายว่าเพื่อนในที่นี้ หมายถึงรวม เข้าเป็นหน่วยเดียวกันเสีย ถ้ายังมีแยกมันก็มีมึงมีกู ถ้ามีมึงมีกูมันก็ไม่ใช่เพื่อน ถ้ามันมีความเป็นเพื่อน มันก็เป็นรวมกันว่าเป็นเพื่อน เอ่อ เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นตัวเดียวกันเสีย คล้ายว่าคนทั้งโลกเป็นคนๆ เดียวกัน นี่คือความไม่เห็นแก่ตัว ในการพัฒนาก็ดี ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัวแล้วก็ทำได้ดี คือเห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ มันก็พัฒนาเพื่อความถูกต้อง พัฒนาเพื่อความมนุษย์ ไม่ใช่พัฒนาเพื่อตัวกู นี่มันมีหลักอย่างนี้ จะใช้คำว่าบริหาร ก็บริหารอย่างเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกัน อย่าบริหารอย่างมึงๆ กูๆ อาตมาเสนอแนะความคิดนี้ว่า เรามาทำตนเป็นสมาชิกสหกรณ์ใหญ่ร่วมกันพัฒนาโลก พัฒนาโลกตามหน้าที่สูงต่ำ ตามความสามารถของตน ของตน ไม่แยกเป็นมึงเป็นกูหรือว่าเป็นของ เป็นฟักเป็นฝ่าย เช่นเป็นลูกจ้าง เช่นเป็นนายจ้าง เสมียน พนักงาน ไอ้เจ้าหน้าที่ของบริษัทใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพ เขามากันบ่อย หลายๆ บริษัทอยู่ อาตมาก็ชี้แนะข้อนี้ว่าถ้าคุณจะถือหลักธรรมะในพระพุทธศาสนาล่ะก็ ให้เลิกความเป็นนายจ้างหรือลูกจ้างเสียเถอะ อาตมาก็พูดยาก บางทีก็มี ท่านรองประธานกรรมการของบริษัทติดมาด้วย แต่ก็ตัดใจ ไม่ ไม่เป็นไร เราจะไม่มีความเป็นนายจ้าง ไม่มีความเป็นลูกจ้าง แต่มีความเป็นเพื่อนเกิดแก่ เจ็บตาย ช่วยกันพัฒนาโลกให้มีสันติภาพ มันเลยเป็นได้บุญ การงาน การแม้แต่การค้ามันก็กลายเป็นเรื่องได้บุญไป อย่าเข้าใจผิดไปว่า ถ้าเป็นการค้าแล้วจะได้บุญอะไร เอากำไรนี่ มันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเขาเอากำไรตามสมควร ตามความเหมาะสมสำหรับการค้า แล้วประโยชน์ ความสุข ความสะดวกที่ให้แก่เพื่อนมนุษย์นั้นมันก็เป็นบุญเป็นกุศล ลองคิดดูเถอะ ถ้าว่า สมมุติว่า เราไม่มีระบบการค้าในบ้านในเมือง ไม่มีระบบการธนาคารในบ้านในเมือง เราได้รับความลำบากเท่าไหร่ ได้รับความลำบากมหาศาล ฉะนั้นข้อที่ได้รับความสะดวกสบายจากการถ้ามันมีระบบการค้า มีการธนาคาร นั่นมันก็เป็นบุญเป็นกุศล นี่เรา เราเรียกตัวเองว่าลูกจ้าง แล้วก็เรียกอีกฝ่ายว่านายจ้าง มันเป็นมึงเป็นกู ถ้ามันมีความหมายเป็นลูกจ้าง นายจ้าง มันไม่ใช่เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย อาตมาก็แนะว่า นายจ้างเขาจะว่าอย่างไรก็ตามแต่ ฉันไม่รู้ ไม่ ไม่รับรู้เรื่องลูกจ้าง นายจ้าง ฉันจะทำงานอย่างเป็นสมาชิกร่วมกันพัฒนาโลกให้มีสันติภาพ เงินที่จ่ายให้ประจำเดือนนั้นเป็นค่าใช้สอย ไม่เรียกว่าค่าจ้าง ถ้าเรียก ถ้าเรียกว่าค่าจ้าง มันมาอยู่บนหัว ถ้าเรียกค่าใช้สอย มันมาอยู่ใต้ฝ่าเท้า มันผิดกันมากนัก นี่ เรา ไม่ ไม่ ไม่ เราไม่ได้เป็นลูกจ้าง เขาให้เงินประจำเดือนมาเป็นค่าใช้สอย ทำอะไร ก็พัฒนาโลก ก็เลยได้บุญ ไม่ต้องเป็นลูกจ้าง ยิ่งทำงานให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งได้บุญ แล้วช่วยให้เขาสะดวกสบายนี่ บางทีก็เป็นบริษัท บริษัท โรงแรมอย่างใหญ่นั้นน่ะ คนงานเหล่านี้ทำงานให้ ให้แขกมาพักได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น อย่าไปคิดเป็นเรื่องค่าจ้างลูกจ้าง ให้คิดไปทางทำดีที่สุดเกิน เกินค่าที่เขาให้เงินอีก มันก็ได้บุญและถือว่าเป็นการทำหน้าที่ที่ถูกต้องแล้วก็สนุก สนุก สนุก ในการทำหน้าที่ ปรากฏว่าได้ผลดี ประธานกรรมการบางบริษัทมาแสดงความยินดี ขอบคุณ ว่ามัน มันทำงานดีขึ้น ไอ้คนเหล่านี้มันทำงานดีขึ้น นี่เราอย่าเป็นนั่นเป็นนี่กัน แม้แต่ทางราชการ เป็นผู้บังคับบัญชา เป็นลูกน้อง เป็นอะไรกันมา ก็ไม่ต้องดีกว่า เป็นสมาชิกช่วยกันพัฒนาโลกให้มีสันติภาพ ที่พูดว่าข้าราชการเป็นลูกจ้างของประชาชนนี่ อาตมาไม่เห็นด้วย ไม่ ไม่เห็นด้วย ไม่ควรจะถือหลักว่า ข้าราชการเป็นลูกจ้างประชาชนหรือบางทีประชาชนจะเป็นลูกจ้างราชการอย่างนี้ ก็ไม่เห็นด้วย แม้จะเป็นลูกน้องเป็นผู้บังคับบัญชากันก็ยังไม่อยากจะเห็นด้วย อยากจะเห็นว่า มันเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ร่วมกันพัฒนาโลก ถ้ามันจะต้องบังคับบัญชากันบ้างก็ในฐานะคนหนึ่งมันไม่รู้ก็สอนให้เขารู้ ให้เขามีความรู้ ให้เขาสามารถ จะไม่เรียกว่าผู้บังคับบัญชาก็ได้ เป็นผู้นำ อันนี้แหละตรงกับคำว่า ปริหาระ ปริหาร ปริหาระ แปลว่า นำไปอย่างครบถ้วน นำไปอย่างทั่วถึง คือพาไปได้นั่นแหละ เรียกว่า บริหาร พาเขาไปให้ได้ในหน้าที่การงานให้สำเร็จประโยชน์ก็เป็นผลดีแก่ราชการและเราอยู่กันอย่างไม่มีมึงไม่มีกู เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย พัฒนาโลก พัฒนาโลก ทุกคนมุ่งหมายพัฒนาโลกเพราะว่าการพัฒนาโลกมันได้บุญ มันได้บุญได้กุศล มันเสียสละความเห็นแก่ตัวออกไป มันทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นมา ให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุขเพราะฉะนั้นมันจึงเป็นการกุศล ผู้กระทำกลายเป็นปูชนียบุคคลไปเลย เรียกว่าลูกจ้างของบริษัทนั้น บริษัทนี้ เสมียนพนักงานของแผนกนั้นแผนกนี้ก็เรียกไปเหอะ แต่ในจิตใจของฉันเป็นปูชนียบุคคล เพราะว่าได้เสียสละ เสียสละให้หมดเลย เพื่อประโยชน์แก่มหาชนในโลกมีราคามากกว่าเงิน เงินที่ได้รับ เงินที่ได้รับมันน้อยกว่าประโยชน์ที่เราทำให้โดยหมดชีวิตจิตใจ เสียสละทำให้อย่างนี้ แม้ลูกจ้าง แม้จะเรียกว่าลูกจ้างก็ มันยังกลายเป็นปูชนียบุคคล มันเป็นการกุศลไปเสียแล้วทำงานก็สนุก ไม่มีปมด้อยว่าเป็นลูกจ้าง หรือเป็นผู้น้อยผู้ใต้บังคับชา ไม่ต้องเป็น ฉันเป็นผู้พัฒนาโลก เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยการพัฒนาโลกให้โลกมีสันติภาพ อ้าว ขอให้ลองคิดดูสักหน่อยว่าถ้ามีหลักการอย่างนี้ โลกนี้จะเป็นอย่างไร โลกนี้จะมีอาการขบกัดฟัดเหวี่ยงกันเหมือนกับสัตว์เดรัจฉานอย่างที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้หรือไม่ หรือไม่ เดี๋ยวนี้มันมีสงครามตลอดเวลา สงครามเย็นเป็นเรื่องการเมืองใต้ดิน สงครามร้อนก็ฆ่ากัน ทำลายชีวิตกัน อยู่ตลอดเวลา มันหาสันติภาพไม่ได้ นี่ มันเพราะเหตุว่า มันมีตัวกู ตัวสู ตัวมึง ตัวกู คือ ต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัว ต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัว แล้วก็ทำไปตามความรู้สึกที่เห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้นแหละ ฉะนั้นขอให้นึกเสียใหม่ว่า ไอ้เรื่องตัวกูของกูเอาออกไป ให้เหลือแต่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ช่วยกันสร้างโลกนี้ให้มีสันติภาพ ความเห็นแก่ตัวมีไม่ได้ ความเห็นแก่ตัวมีไม่ได้ แล้วก็ไม่มีปัญหา ก็มีเท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้มันเห็นแก่ตัวไปกันตั้งแต่ตัวเล็กๆ เป็นใหญ่ขึ้นมาตามลำดับ บ้านนี้ก็เห็นแก่ตัว เมืองนี้ก็เห็นแก่ตัว ประเทศนี้ก็เห็นแก่ตัว ซีกโลกนี้ก็เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว แล้วก็พัฒนาเพื่อความเห็นแก่ตัว ถูกแล้วมันมีพัฒนามหาศาลในโลกนี้ แต่มันพัฒนาเพื่อตัวกู เพื่อของกู โดยหลักธรรมะมันใช้ไม่ได้ มันต้องพัฒนาเพื่อสันติภาพของมนุษย์ ไม่ใช่พัฒนาเพื่อตัวกู เรามีสิ่งที่เรียกว่า พัฒนา พัฒนา มากมายมหาศาล ใช้อุตสาหกรรม ใช้เครื่องจักร ใช้เครื่องมืออันวิเศษพัฒนา แต่แล้วมันพัฒนาเพื่อตัวกูทั้งนั้นน่ะ มันไม่ได้พัฒนาเพื่อสันติภาพของโลก ดังนั้น โลกมันจึงไม่มีสันติภาพ เพราะว่าสิ่งที่พัฒนานั้นต่างคนต่างพัฒนาเพื่อตัวกู น่าเสียดายที่ว่า มีความเจริญ เจริญ เจริญ เจริญจนไม่รู้จะเจริญกันอย่างไรแล้ว มันยิ่งกลับจะเต็มไปด้วยวิกฤตการณ์การเบียดเบียนกัน ทำร้ายหรือการหลงผิดอะไรต่างๆ นานา เพราะ มันมีความเห็นแก่ตัวอย่างเต็มที่ ความเห็นแก่ตัวมันก็นำไปสู่ไอ้ความเลวร้ายเหล่านี้ การศึกษาก็เรียกว่าเจริญสูงสุด การสุขภาพอนามัยก็ว่าดีที่สุด การเศรษฐกิจ การเมือง การสหกรณ์ การอะไรต่างๆ เทคโนโลยี ปรมาณู อวกาศอะไรก็รู้กันหมดจนว่าจะไปเที่ยวโลกพระจันทร์ได้เหมือนกับไปเที่ยวหลังบ้านอย่างนี้ แต่แล้วทำไมโลกไม่มีสันติภาพล่ะ ยิ่งไม่มีสันติภาพ เพราะมันพัฒนาเพื่อตัวกูนี่ ไปโลกพระจันทร์ได้ มันก็จะหาทางเอาเปรียบผู้อื่น มันไม่ได้ไปโลกพระจันทร์เพื่อหาทางสันติภาพ มันก็น่าเสียดาย ที่เราได้พัฒนา ได้เรียกว่าความเจริญก้าวหน้า แม้แต่การคมนาคมที่เดี๋ยวนี้มีดีมาก เจริญมากแต่บ้านเมืองมันก็ไม่สันติสุข ไม่สันติภาพ มันกลับใช้คมนาคมที่สะดวกสร้างวิกฤตการณ์อะไรเสียอีกนี่ นี่มันน่าเสียดาย น่าเสียดายที่ว่า ไอ้พัฒนาอันมหาศาลอันมีอยู่ในโลกนี้ มันไม่ได้เป็นไปเพื่อสันติภาพ แต่มันเป็นไปเพื่อวิกฤตการณ์เลวร้าย นี่ ขอให้ช่วยคิดดู เรากำลังตกอยู่ในฐานะอย่างนี้ เรากำลังตกอยู่ในฐานะอย่างนี้ ทั่วกันทั้งโลก ต่างคนต่างก็แข่งกันพัฒนา แต่แล้วก็พัฒนาเพื่อตัวกูกันทั้งนั้น ตัวกูของกู มันก็มีอำนาจแก่กล้าที่จะออกมาต่อสู้ ทำลายล้างกัน ระหว่างบุคคลก็มี ระหว่างครอบครัว ระหว่างหมู่บ้าน ระหว่างไอ้สังคม กระทั่งระหว่างประเทศ นี่ ก็เต็มไปด้วยความยุ่งยาก เพราะว่ามันมีความยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกู เป็นของกู อยากจะย้อนกล่าวอีกสักนิดว่า ถ้าถือชีวิตนี้เป็นของยืม มันก็ไม่อาจจะเกิดตัวกูของกู มันก็เยือกเย็นเป็นสุข ไม่มีใครสร้างวิกฤตการณ์ เดี๋ยวนี้มันตัวกูของกู ไม่ยอมรับรู้ไอ้เรื่องว่าของยืม หรืออะไร ก็มุ่งแต่เรื่องตัวกูของกู การศึกษาเลยกลายเป็นการส่งเสริมตัวกูของกู การศึกษาในโลกเวลานี้ คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุด อาตมาพูดอย่างนี้ช่วยจำไปด้วย ว่าการศึกษาที่กำลังมีอยู่ในโลกเวลานี้ มันเลวร้ายที่สุด มันเลวร้ายลงไป มันเลวร้ายลงไป เพราะว่ามันสอนแต่ให้ฉลาด ฉลาด ฉลาด ฉลาด ฉลาด จนสุดที่จะฉลาด เลยไม่มีอะไรบังคับความฉลาด ควบคุมความฉลาดให้มันเดินไปถูกทาง ทุกคนก็ใช้ความฉลาดเพื่อเห็นแก่ตัว คนฉลาดเห็นแก่ตัวลึกซึ้งมันก็แก้ยาก ปัญหามันเกิดมาจากความเห็นแก่ตัวมันก็มีทวีขึ้น ทวีขึ้นตามความเจริญของการศึกษาชนิดนี้ การศึกษาที่ถูกต้องมันต้องควบคุมความเห็นแก่ตัว นั่นคือควบคุมความฉลาด มันเคยฝากหรือแฝกกันอยู่กับศาสนา ที่จริงไอ้การศึกษานี้ก่อนนั้นมันเป็นเรื่องของทางศาสนา มันยังไม่ได้แยกมาเป็นการศึกษาอย่างเดี๋ยวนี้ ได้ยินว่ามหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด เคมบริดจ์อันใหญ่โตสูงสุดของโลกนั้น ก่อนนี้มันเป็นโรงเรียนราษฎร์ของวัด เป็นโรงเรียนราษฎร์ของวัดพระจัดเต็มที่เหมือนกับพระจัดในวัดนั่น นี่มันก็เจริญขึ้นมา เจริญขึ้นมาจนเป็น แยกตัวออกมาเป็นไอ้เรื่องเอกเทศ และแยกศาสนาออกไปจากการศึกษา เขาว่ามันดี เรียกชื่อกันเพราะว่า Secularization Secularization แยกศาสนาออกไปจากการศึกษา ใครอยากจะมีความรู้ทางศาสนาก็ไปหาเอาเอง ไปหาเอาเองอย่ามาปนกับการศึกษาให้เสียเวลายุ่งยาก ฉันจะจัดแต่การศึกษาให้เต็มที่นี่ มันก็มีเรื่องแยกการศึกษาออกจากศาสนา หรือจะเรียกว่าแยกศาสนาออกจากการศึกษาก็ตามใจ มันก็มีผลเท่ากัน ฉะนั้นความฉลาด ฉลาด ฉลาด ฉลาดเหลือประมาณ มันไม่มีอะไรควบคุมความฉลาด มันก็เอาความฉลาดไปใช้เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น วิกฤติการณ์ความเลวร้ายในโลกมันจึงลึกซึ้งสูงสุด ลึกซึ้งสูงสุด เพราะมันทำด้วยคนฉลาด สมัยที่คนไม่ฉลาดมันไม่ทำอะไรลึกซึ้งอย่างนี้ เดี๋ยวนี้การศึกษามันทำให้คนฉลาด ฉลาด แล้วไม่มีอะไรควบคุมความฉลาด คนเหล่านั้นเอาความฉลาดไปใช้เพื่อเห็นแก่ตัว โลกเป็นอย่างไรก็ดูเอาเอง ในที่นี้อยากจะขอร้องว่า เสียเวลากันสักหน่อยพิจารณาคำว่าเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว อาตมาสังเกตเห็นว่ามีคนสนใจน้อยและไม่ค่อย ไม่พยายามจะเข้าใจว่ามันคืออะไร ที่จริงมันเป็นต้นเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งหมดของทุกสิ่งในโลก ความเห็นแก่ตัว คำพูดสั้นๆ คำเดียวนี่ เป็นมูลเหตุแดนเกิดแห่งสิ่งเลวร้ายทั้งหมดทั้งสิ้นในโลก แล้วความไม่เห็นแก่ตัวมันตรงกันข้าม เป็นมูลเหตุแห่งสันติสุข สันติภาพ ความไม่เห็นแก่ตัวนี่เป็นหัวใจของทุกๆ ศาสนา ทุกๆ ศาสนา ได้สำรวจตรวจค้นดูแล้ว ทุกศาสนามุ่งหมายความไม่เห็นแก่ตัว ไม่หลงบวก ไม่หลงลบ มันก็ไม่เกิดความเห็นแก่ตัว มันเป็นอย่างนี้ด้วยกันทุกศาสนา แต่แล้วคนมันก็ไม่ถือ ไม่ถือศาสนาให้ถูกต้องโดยหลักว่าไม่เห็นแก่ตัว มันถือแต่ปาก ปากว่าถือศาสนานั่น ถือศาสนานี่ รวมทั้ง ศาสนาพุทธด้วยนะ แต่หัวใจมันถือศาสนาเงินเพราะมันเห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ตัว มันก็ถือศาสนาเงิน ไม่ได้ถือศาสนาที่มีอยู่จริงว่า ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ อิสลาม ฮินดู หรือแล้วแต่ ไม่ได้ถือ ถือกันแต่ปาก ในใจถือศาสนาได้ กูได้แล้วเป็นดี ถือกันเสียอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ศาสนาก็เลยเป็นหมันไป ไม่สามารถจะควบคุมความเห็นแก่ตัว ยิ่งคนฉลาดเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ศาสนาไม่สามารถจะเอื้อมมือเข้ามาควบคุม วัฒนธรรมไอ้แต่ก่อนก็หายไป ไม่เหลืออยู่สำหรับควบคุม การศึกษารุ่นหลังนี่ก็ถูกแยกออกจากกัน กระทรวงศึกษาธิการเป็นกระทรวงเด็กวัด ไม่ได้รับใช้นำกิจการอะไร บางประเทศก็ไม่ต้องมีด้วย ขอให้นึกถึงไอ้สิ่งเลวร้ายที่มนุษย์รู้จักกันดีมาแต่ดึกดำบรรพ์ว่าเป็นสิ่งเลวร้าย ต้องการจะขจัดออกไป ขจัดออกไป คือ ความเห็นแก่ตัว อย่างที่ว่ากู ตัวกู ของกู ไม่ใช่ของยืมจากธรรมชาติ นั่นเท่านี้ก็ได้ แต่มันมากกว่านั้น เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ คำว่าตัวกู ของกู และก็สร้างปัญหา ผู้เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวแล้วมันก็ขี้เกียจ ไม่พัฒนา คนเห็นแก่ตัว ไปดูที่ไหนก็ตาม อยากนอน แล้วก็นอนมาก และคอยแต่จะเอาประโยชน์ ผู้เห็นแก่ตัวนี่ขี้เกียจและไม่พัฒนา เพราะฉะนั้นอย่าไปหวังพัฒนาอะไรกับคนเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัวมันก็เอาเปรียบ มันก็เอาเปรียบ เอาเปรียบหมู่คณะ เอาเปรียบ คนเห็นแก่ตัว มันก็หลอกลวง ปลิ้นปล้อน และมันก็ริษยา มันก็สุรุ่ยสุร่ายนี่ แล้วมันก็ ด้วยความเห็นแก่ตัวนั่นแหละ มันก็ ทำสิ่งที่กำลังเป็นปัญหาแก่โลก โดยเฉพาะ ไอ้มลภาวะทั้งหลาย ถ้าคนไม่เห็นแก่ตัวเท่านั้น แล้วมลภาวะไม่มี เดี๋ยวนี้มันเห็นแก่ตัว ตั้งแต่มหาเศรษฐี พวกเจ้าของกิจการงาน ไม่ใช่เห็นแก่ตัวเพียงคนขับรถ มันเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว จนเต็มไปด้วยมลภาวะในโลก จนโลกกลายเป็นโลกสกปรก ต่อไปจะหาที่อาบน้ำก็คงจะไม่ได้ นี่ คนเห็นแก่ตัว มันสร้างมลภาวะ คนเห็นแก่ตัวมันทำลายธรรมชาติ ทำลายป่าไม้ ทำลายอะไรก็ตาม ทำลายถนนหนทาง ห้วยหนองคลองบึง บ้านที่เขาทำไว้ดี มันรุกพื้นที่เอามาเป็นของตัว อยากจะแนะกันสักนิดว่าก่อนนี้ถนนหนทางนี่มันเป็นเรื่องของผู้ไม่เห็นแก่ตัว ของประชาชนผู้ไม่เห็นแก่ตัว ของวัดวาอารามผู้ไม่เห็นแก่ตัว ที่นี่ไม่มีถนนจะเดิน หรือมีถนนเลวนะ พอเขาจะมีงานแห่พระประจำปี เขาช่วยกันทำทั้งพระทั้งชาวบ้าน ถนนที่จะแห่พระนั้นก็เกิดขึ้น คลองนี่รกรุงรังแห่พระไม่ได้ ทั้งทางวัดและทางบ้านทำให้คลองนี้สวยงามสะอาดเย็น แห่พระได้นี่ ไม่ต้องรบกวนรัฐบาลไปเสียทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนเดี๋ยวนี้ แบ่งเบาภาระไปได้มากเพราะความไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเห็นแก่ตัว มึงก็มึง กูก็กู แม้แต่ประชาชนกับรัฐบาลก็มึงกับกู นี่มันจึงเรื่องทำลายธรรมชาติ มันจึงมีมากขึ้น ความสุรุ่ยร่าย ความไม่ประหยัด ความไม่สามัคคี มีอยู่ที่ผู้เห็นแก่ตัว จะชวนผู้เห็นแก่ตัวมาช่วยกันพัฒนาเพื่อประเทศชาตินี่ มันเป็นไปไม่ได้ คนเห็นแก่ตัวมันไม่สามัคคี คิดดูให้ดี มันไม่สามัคคี ชวนผู้เห็นแก่ตัวมาพัฒนาเพื่อประเทศชาตินี่ ต้องพูดว่า ชวนช้างรอดรูเข็มจะดีกว่า ดีกว่าจะชวนผู้เห็นแก่ตัวมาช่วยพัฒนาส่วนรวม และผู้เห็นแก่ตัวยังเลวร้าย เลวร้าย ที่ว่า เสพติด อบายมุข อบายมุข สิ่งเลวร้าย สนามม้า สุรา การพนัน อะไรก็ตาม จนเป็นผู้ติดอบายมุข แล้วก็ติดยาเสพติด ติดยาเสพติด ซึ่งแต่โบราณไม่เคยมี ปู่ย่าตายายของเราไม่เคยมีปัญหายาเสพติด เดี๋ยวนี้ปัญหายาเสพติดระบาดทั่วโลก ทั่วโลก เป็นปัญหาโลก ปัญหายาเสพติด ในการที่จะกำจัดมันก็ดี อะไรทุกอย่างเป็นปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาทั่วโลกกำจัดไม่ได้ ให้ลิงมันหัวเราะ ให้คนป่ามันหัวเราะ สมัยนู้นน่ะ สมัยคนป่ามันไม่มีปัญหาอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ ดูสิปัญหายาเสพติดกลายเป็นปัญหาโลก แล้วก็มาจากคนเห็นแก่ตัว ไม่บังคับตัว เห็นแก่ความสนุกสนาน สะเพร่า นี้มันก็ต้องเป็นโรคที่กำลังเป็นปัญหาทั่วโลก ท่านทั้งหลายคงจะทราบแล้วว่าหมายถึงโรคอะไรที่กำลังเป็นปัญหาทั่วโลก เป็นปัญหาใหญ่ของโลก อาตมาก็ขอเรียกว่าโรคที่แม้แต่สุนัขมันก็ไม่เป็น โรคที่แม้แต่หมามันก็ไม่เป็น แต่คนมันเป็น เพราะคนมันเห็นแก่ตัวและเป็นปัญหาของโลกไปเลย แล้วก็มีอยู่หลายชื่อ ไม่ใช่ชื่อเดียว ปัญหา เป็นโรคชนิดที่สุนัขก็ไม่เป็น นี่ คนเดี๋ยวนี้มันเป็นปัญหาอย่างนี้เอง ปู่ย่าตายายไม่เคยเป็น คนป่าสมัยนู้นมันก็ไม่เคยเป็น มันก็หัวเราะเยาะ นี่เรียกว่าเราตามใจตัวกันมาจนถึงขนาดนี้ มีปัญหาอย่างนี้มหาศาลเกิดขึ้น ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ ทางอะไรกันอีกมากมายที่ทำลายธรรมชาตินี่ และที่มันเป็นอยู่จริงก็คือว่า คนเห็นแก่ตัวมันก็ เขามีภาษาของเขาว่า รวยลัด นั้นน่ะ คือ ไม่มาทำการทำงานให้มันเหงื่อไหล ให้ลำบากให้มันยาก รวยลัดก็คือไปจี้ไปปล้นไปขโมยไปอะไรต่างๆ หรือบางทีก็ทำอาชญากรรมเลวร้ายทางเพศขึ้นมา นี่ก็รวยลัดเหมือนกัน นี่คนเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัว หนักเข้า หนักเข้า มันก็หลง คือมืดมนจนหลง ความเห็นแก่ตัว มันก็หลงทาง ไม่ฆ่าแต่ผู้อื่นแหละทีนี้ จะฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าตัวเองตายตามไปก็ได้สำหรับผู้เห็นแก่ตัว ขอให้สังเกตดูให้ดี การฆ่าตัวเองนี่มันต้องเป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัวเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่น แต่ความเห็นแก่ตัวที่หลงทาง มหาเศรษฐีในโลกนู่น ฆ่าตัวตายกันบ่อยๆ มหาเศรษฐี ก็เพราะ ความเห็นแก่ตัวมันหลงทาง ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าตัวเองตายตาม ถ้าเหลืออยู่ก็เป็นบ้า ต้องไปอยู่โรงพยาบาลบ้า ขอให้ติดตามดูในโลกนี้ คนบ้าทุกคนไม่ว่าอยู่นอกโรงพยาบาลหรือในโรงพยาบาล มันมีมูลมาจากความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวหลงทางจนเป็นบ้า ทีนี้ก็ดู รัฐบาลจะสร้างคุกตารางเท่าไหร่ก็ไม่พอ แล้วเราจะใส่พวกอาชญากร สร้างตำรวจเท่าไหร่ก็ไม่พอ เห็นๆอยู่ว่ามันไม่พอ ตำรวจก็เพิ่มๆจนไม่มีเงินจะเพิ่ม ศาลยุติธรรมก็สร้างเท่าไหร่ก็ไม่พอ จนจะต้องมีวิธีการอย่างอื่นเพราะไม่มีเงิน สร้างโรงพยาบาลบ้าขึ้นมาเท่าไหร่มันก็ไม่พอกับคนบ้า นี่คือความเห็นแก่ตัว ในที่สุดมันก็เต็มไปด้วยปัญหา ขอคิดดูเองเถอะว่าถ้าไม่เห็นแก่ตัว สิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้น มีแต่ความถูกต้อง ถูกต้อง สงบเย็นเป็นสุขและมีประโยชน์แก่กันและกัน ดังนั้นขอให้เล็ง คือใช้วิจารณญาณให้ลึก รู้จักความไม่เห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นหัวใจของศาสนาทุกศาสนาว่า มันมีความสำคัญอย่างไร ก็ง่ายนิดเดียว คือ ลองกลับกันเสียว่า ไอ้ที่เห็นแก่ตัว ที่พูดมาแล้ว มันเลวร้ายอย่างไร ถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันก็ไม่มีความเลวร้ายอย่างนั้น เพียงไม่เห็นแก่ตัวอย่างเดียว ก็ไม่มีใครฆ่าใคร ขโมยใคร ประพฤติผิดในกามของใคร โกหกหลอกลวงใคร หรืออาชญากรรมใดๆ ไม่เกิดขึ้น คดีแพ่ง คดีอาญาอะไรไม่อาจจะเกิดขึ้น ถ้าคนมันไม่เห็นแก่ตัวอย่างเดียว อยากจะเล่าเรื่องเล็กๆ สักเรื่องซึ่งบางคนก็คงจะเคยได้อ่านมาแล้วแต่ถ้าไม่เคยอ่านอาตมาก็จะเล่าให้ฟัง ว่าเมื่อแรกอ่านหนังสือของพวกนักปราชญ์จีน เช่น เหลาจื้อ เป็นต้น ก็พบข้อความว่า มีผู้ถามเหลาจื้อว่า ท่านอาจารย์ การปกครองที่ดีที่สุดนั้นคือการปกครองอย่างไร เหลาจื้อก็ตอบว่า การปกครองที่ไม่มีการปกครอง แล้วเหลาจื้อก็ไม่อธิบายอะไร ปล่อยให้มันคิดเอาเอง ความโง่ของมัน ให้คิดเอาเอง อาตมาก็ โอ้ นี่มันบ้าหรือดี คือสงสัยอยู่เหมือนกัน การปกครองที่ไม่มีการปกครองมันมีได้อย่างไร คล้ายกับเป็นคำพูดของคนบ้า ต่อมาเมื่อศึกษาธรรมะธรรมะ มากเข้า รู้จักหัวใจทุกศาสนา คือความไม่เห็นแก่ตัว แล้วก็เห็นโทษความเห็นแก่ตัว ก็มาเห็นตรงกันข้ามไม่เห็นแก่ตัว มันก็จริง มันก็จริง ทุกคนนี่เห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละ เราก็มีการปกครองซึ่งไม่มีการปกครอง ทุกคนไม่เห็นแก่ตัว มันจะมี มีอาชญากรอะไรเกิดขึ้นได้ล่ะ ทั้งทางแพ่ง ทางอาญา ทางไหนก็มีไม่ได้ นั่นแหละการปกครองซึ่งไม่มีการปกครอง ฟังดูแล้วคล้ายกับบ้าแต่แล้วมันกลายเป็นความจริงสูงสุด เมื่อคนประชาชนไม่เห็นแก่ตัว เราไม่ต้องมีการปกครองมันจะมีการปกครองโดยอัตโนมัติ ได้ผลน่าชื่นใจเต็มที่ เต็มที่ เป็นโลกพระศรีอารยเมตรัยไปเลย เพราะว่าสันติภาพสูงสุดมันมี คงจะเข้าใจได้ใช่ไหม ถ้ามันไม่มีเห็นแก่ตัว มันก็ไม่มีอาชญากรรมใดๆ เลิกกฎหมาย เลิกกระทรวงทุกกระทรวงก็ยังได้ ไม่ต้องมีกฎหมาย ไม่ต้องมีตำรวจ ไม่มีทหาร เลิกศาสนาเสียก็ได้ ไม่ต้องมีศาสนาก็ได้ ถ้าทุกคนมันไม่เห็นแก่ตัวนะ มันถึงขนาดนั้น นี่ทำเล่นกับว่า การปกครองซึ่งไม่ต้องมีการปกครองสิ นี่ ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว ครูบาอาจารย์เห็นแก่ตัว มาไถนี่ ไถ ไถลูกศิษย์ ไถพ่อแม่ของลูกศิษย์ หมอเห็นแก่ตัว มาไถคนเจ็บ ตุลาการเห็นแก่ตัวมาไถจำเลย พระเจ้าพระสงฆ์เห็นแก่ตัวมาไถทายกทายิกา ไม่มียกเว้นน่ะ ถ้ามีการเห็นแก่ตัวแล้วมันก็มีอย่างนี้ เพราะฉะนั้นขอให้ระลึกถึงคำ ถึงธรรมะสูงสุดของธรรมชาติที่มันไม่ใช่ตัวกู มันไม่ใช่ของกู อย่าไปเห็นแก่ตัวมันก็ไม่เกิดความผิดพลาดใดๆ พอเห็นแก่ตัวเท่านั้นแหละมันเกิดกิเลสครบทุกชนิด นี่กิเลสครบทุกชนิด กิเลสจะมีสักกี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านอย่าง มันเกิดหมด เพราะความเห็นแก่ตัว พอไม่เห็นแก่ตัวเท่านั้นแหละ มันก็ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นมา ฉะนั้นขอให้นึกถึงความไม่เห็นแก่ตัว มันจะเป็นเหตุให้บริหารชนิดที่ไม่ต้องมีการบริหาร สบายแล้วนะ ปกครองซึ่งไม่ต้องมีการปกครอง เดี๋ยวนี้มันก็จะมีการบริหารโดยที่ไม่ต้องมีการบริหาร ถ้าคนมันไม่เห็นแก่ตัว มันไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น ฉะนั้นขอฝากไว้ให้ไปคิดดู แม้การพัฒนาก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้มันพัฒนาไม่ได้เพราะมันพัฒนาแต่เห็นแก่ตัว พัฒนาเพื่อตัวกู เพื่อของกู มันก็ไม่เป็นการพัฒนา เพราะมันพัฒนาแข่งกันเป็นการเห็นแก่ตัว มันก็เกิดขัดแย้งขัดแย้งกัน แล้วก็จนกระทั่งเป็นสงครามขึ้นมาตลอดเวลา พัฒนาไม่ได้ ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัว มันก็พัฒนาโดยอัตโนมัติสูงสุด เป็นผลของพัฒนาโดยอัตโนมัติ แล้วก็เป็นการปกครองที่ประเสริฐ เป็นการบริหารที่ประเสริฐ สรุปความว่า ทุกคนบริหารตนอยู่ในความถูกต้องเป็นพื้นฐาน เป็นชีวิตพื้นฐาน เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง คือไม่เห็นแก่ตัว แล้วก็พัฒนาการงาน หน้าที่การงานแล้วแต่จะมอบหมายแล้วคนก็ไม่เห็นแก่ตัว ชาวสวนชาวนาก็ไม่เห็นแก่ตัวพ่อค้าก็ไม่เห็นแก่ตัว ข้าราชการก็ไม่เห็นแก่ตัว ศิลปินก็ไม่เห็นแก่ตัว กรรมกรก็ไม่เห็นแก่ตัว สูงต่ำเท่าไร ต่างกันอย่างไรก็ล้วนแต่ไม่เห็นแก่ตัว แม้ที่สุดแต่คนขอทานก็ไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้มันเต็มไปแต่ผู้เห็นแก่ตัวนี่ คนขับรถนี้เรียกว่าอันตรายที่สุด คนขับรถรับจ้างมันเห็นแก่ตัวเป็นภัยเป็นอันตรายที่เราต้องระมัดระวังที่สุด ในกรุงเทพ ทวีความเห็นแก่ตัว มีมลภาวะ มีการทำลายธรรมชาติ มีอาชญากรรม มีอะไรมากมายมหาศาล เมื่อก่อนบวชอาตมาไปกรุงเทพ ไปธุระการงาน ได้เห็น โอ้ มันช่างสงบสงัดปลอดภัยดีกว่าที่ ที่บ้านนอก บ้านนอกเราเสียอีก ดึกๆ ดื่นๆไปไหนคนเดียวก็ได้ เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว อยู่บ้านนอกจิตใจจะดีกว่า จะสังเกตเห็นว่า พวกฝรั่งที่เขาจ้างมาเป็นที่ปรึกษา เป็นครูบาอาจารย์นั้นน่ะ พวกนั้นเป็นจเรตำรวจออกไปอบรมประชาชน มาที่นี่ อาตมาก็ไปฟัง มีข้อติเตียนว่าคนไทยยังล้าหลังยังป่าเถื่อนคือเห็นแก่ตัว เราก็เก็บไว้ในใจ ก็ชักจะเห็นว่าจริง จริงของเขา แต่ว่าฝรั่งเดี๋ยวนี้ไม่พูดแล้วว่าคนไทยเห็นแก่ตัว ฝรั่งเก็บเอาไปใช้เองหมด ไม่ต้องว่าคนไทยเห็นแก่ตัว นี่มันเป็นอย่างนี้ โลกมันเป็นอย่างนี้ โลกมันเป็นอย่างนี้ นี่เราก็ระวังให้ดีเถอะว่า อย่าให้มันกลับมาเจริญงอกงามขึ้นในจิตใจวิญญาณของเราจงต้อนรับมันด้วยพระพุทธ พระธรรมอันสูงสุดว่า อนัตตา มันไม่ใช่ตัว สุญญตา มันว่างจากความหมายแห่งตัว นี่แล้วมันก็ไม่เห็นแก่ตัว ให้ง่ายขึ้นก็ถือว่าชีวิตนี้เหมือนของยืม ธรรมชาติให้ยืมมา มันให้ยืมมาไม่คิดดอกเบี้ยนะ ไม่คิดค่าสึกหรอ ไม่คิดค่าอะไร ขอแต่ส่งคืนให้มันเรียบร้อย พัฒนาชีวิตให้ทันแก่เวลาส่งคืนธรรมชาติให้เรียบร้อยให้ถูกต้อง มันก็ดีแล้ว ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู มันเป็นของยืมจากธรรมชาติ เอามาพัฒนาให้ถูกต้อง ตั้งต้นเป็นปัญหาส่วนตัวก่อนว่า ให้มีความถูกต้อง ถูกต้อง สงบเย็น โดยส่วนตัว มีความสามารถบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่น ขอ ขอเป็นสองอย่างว่า สงบเย็น เป็นสุขด้วยแล้วก็เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย จึงจะเรียกว่าสมบูรณ์ แล้วก็ทำหน้าที่ หน้าที่เพื่อประโยชน์ผู้อื่น เมื่อหน้าที่มันใหญ่โตแล้วก็ ก็ต้องแบ่งกันทำอย่างว่า เดี๋ยวนี้หน้าที่แบ่งไปตามกระทรวง แบ่งไปตามอะไร ถ้าเราศึกษาเรื่องดึกดำบรรพ์ในพระบาลี ก่อนนี่รวมอยู่ที่พระเจ้าแผ่นดินองค์เดียว หน้าที่ทุกกระทรวงรวมอยู่ที่พระเจ้าแผ่นดินองค์เดียว ก็มันเล็กๆ ทำได้ ต่อมาต้องแบ่งแยกออกเป็นหลาย หลาย หลาย หลาย หลาย หลาย เช่นเดี๋ยวนี้มีมาก พระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวมันก็ทำได้ง่าย เมื่อ เมื่อแบ่งออกเป็นหลายๆ กระทรวง มันก็ลำบากยิ่งขึ้นทุกที มันควบคุมความเห็นแก่ตัวยากยิ่งขึ้นทุกที แต่ถ้าเมื่อมีความหวังดี จงรักภักดีต่อธรรมะ ต่อธรรมะแล้วก็ขอให้สนใจเถอะว่า ยึดธรรมะเป็นหลัก เพราะว่าธรรมะเป็นสิ่งสูงสุด คือ มันเป็นกฎของธรรมชาติ มีความหมายเหมือนกับพระเป็นเจ้าน่ะ ธรรมะน่ะไม่ใช่เรื่องใครว่าขึ้น พระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นอย่างนี้ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ มันเป็นกฎของธรรมชาติ เป็นกฎความจริงของธรรมชาติ พระพุทธเจ้าค้นพบคือตรัสรู้ และท่านก็เอามาสอน แต่หน้าที่ของท่านก็แค่เพียงสอนเรื่องดับทุกข์ เรื่องดับทุกข์ส่วนบุคคลเพราะมันเป็นเรื่องสำคัญกว่าเรื่องอื่น ดังนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า เรา แต่ก่อนก็ดี เดี๋ยวนี้ก็ดี พูดแต่เรื่องทุกข์กับดับทุกข์ทั้งนั้นนะ แต่ไม่ใช่พระองค์บัญญัติว่า มันต้องเป็นอย่างนี้ มันต้องเป็นอย่างนี้ มันเป็นกฎของธรรมชาติ มันเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่าที่จะเป็นศาสนา แต่มันก็มากลายเป็นศาสนา รู้จักธรรมชาติทุกอย่างดี ดิน น้ำ ลม ไฟ มีรูป ไม่มีรูป มีชีวิต ไม่มีชีวิต ธรรมชาติเหล่านี้รู้จักมันให้ดี แล้วก็รู้จักว่าในธรรมชาติเหล่านั้นมันมีกฎ กฎ กฎ กฎเกณฑ์อันเฉียบขาดอยู่ในนั้น มิฉะนั้นมันจะต้องตาย มันมีกฎเป็นเครื่องรักษาตัวมันไว้ เพราะฉะนั้นมันมีกฎแล้วมันก็ต้องมีหน้าที่ที่จะต้องเป็นไปตามกฎ นี่ธรรมะในความหมายที่สาม สำคัญที่สุด คือ หน้าที่ หน้าที่ ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ แล้วมันก็เกิดผลที่พึงปรารถนา เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้ายังเคารพพระธรรม พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เคารพพระธรรม พระธรรมในที่นี้หมายถึงกฎของธรรมชาติ ที่พระพุทธเจ้าเอง ตรัสรู้ออกมาเอง และก็ยังต้องเคารพเพราะมันสูงสุดกว่าสิ่งใด เราเคารพพระพุทธเจ้าก็ขอให้เคารพสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าเองก็เคารพ นี่จึงจะเรียกว่าปลอดภัย ปลอดภัย พระพุทธเจ้านี่มันหลายความหมาย แต่ความหมายที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับคนเราก็คือว่า ผู้ช่วยให้รอด ผู้ช่วยให้ชี้ทาง ให้ปฏิบัติ ให้รอด คือให้หายจากความโง่ ความหลง หรืออวิชชา เรามีรูปภาพอยู่ในตึกนั่นรูปหนึ่งเป็นภาพที่เขียนให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าพระองค์จริงนี่อยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณ ที่หลังม่านแห่งความโง่ของคุณน่ะมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริง คุณจงหาม่านนี้ให้พบ แหวกม่านออกไปพบพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ที่หลังม่านแห่งความโง่ของตัวเอง ไม่ต้องไปหาในโบสถ์ ไม่ต้องไปหาที่วัด ไม่ต้องไปหาที่อินเดีย อาตมาเคยๆ เคยหลงไปหาที่อินเดียกับเขาเหมือนกันแต่ก็ไม่พบพระพุทธเจ้าเพราะมันอยู่ที่หลังม่านแห่งความโง่ของเราเอง เปิดม่านแห่งความโง่ของเราเองก็พบพระพุทธเจ้า เมื่อหายโง่มันก็รู้อะไรเป็นอะไร อะไรเป็นอะไร ทุกข์เกิดเพราะเหตุอะไร ทุกข์มันเกิดจากความเห็นแก่ตัว บาลี ปฏิจจสมุปบาท น่ะตัณหา ให้เกิดอุปาทานน่ะเห็นแก่ตัว ให้เกิดภพ เกิดชาติ ให้เกิดทุกข์ มันโง่ไปตั้งแต่เวทนา สวยสดงดงามหรือไม่สวยสดงดงาม เป็นบวกหรือเป็นลบก็ตาม ไปหลงอันนั้นแล้วมันก็เกิดความเห็นแก่ตัว อุปาทานเป็นตัวกูเป็นของกู มันกัดทั้งนั้นแหละ บวกก็กัด ลบก็กัด คือความรักก็กัด ความโกรธก็กัด ความบวกหลอกไปอย่าง ความเป็นลบก็หลอกไปอย่าง มันใช้ไม่ได้ทั้ง Positive ทั้ง Negative ทีนี้ทั้งโลกบูชา Positive หายใจเป็น Positive มันก็มีการถูกกัด คือความยินดี ยินดี ความยินดีมันก็ไม่ใช่ของสงบ ยินดีมากเกินไปก็กินข้าวไม่ลง นอนไม่หลับเพราะความยินดี ไม่แพ้ความยินร้าย ไอ้ความเป็นบวกก็ไม่ไหว ความเป็นลบก็ไม่ไหว ต้องอยู่เหนือบวก เหนือลบจึงจะไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่รัก ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่กลัว ไม่วิตกกังวล อาลัย อาวรณ์ ไม่ตื่นเต้นไม่อิจฉา ริษยา ไม่หวงไม่หึง ต่อเมื่อไม่เป็นบวก และเป็นลบ ถ้ายังรู้สึกเป็นบวก อยากได้ รู้สึกเป็นลบ อยากฆ่า อยากทำลายแล้วน่ะ มีปัญหาเรื่อยไป ทั้งหมดนั้นมันมาจากความเห็นแก่ตัว ไม่มีความเห็นแก่ตัวแล้ว ความเป็นบวกเป็นลบเกิดขึ้นมาในจิตใจไม่ได้ ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนผู้นับถือพระรัตนตรัย นับถือพระพุทธองค์แล้วจงลดความเห็นแก่ตัว เลิกความเห็นแก่ตัว มีความไม่เห็นแก่ตัว มีความถูกต้องถึงที่สุด ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เกิดกิเลสใดใดในโลกนี้ก็เป็นสุข เหนือโลกก็เป็นสุข คือจะบรรลุมรรคผลนิพพาน ผู้ไม่เห็นแก่ตัวอยู่ใกล้ประตูพระนิพพาน ก็พยายามไม่เห็นแก่ตัว ปัญหาในโลกโลกนี้ก็หมด ปัญหาเหนือโลกก็หมด ก็เลยได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ไม่เสียทีที่เกิดมา ไม่เสียทีที่เกิดมา ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ คือได้รับธรรมะ ซึ่งเป็นกฎความจริงของธรรมชาติอันสูงสุดจนพระพุทธเจ้าก็เคารพเรียกว่า ธรรมะ ธรรมะ ขอสรุปสั้น ตอนท้ายนิดว่าธรรมะคืออะไร ธรรมะไม่ใช่ คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เหมือนที่ในโรงเรียนครูสอนเด็กๆ ว่า ธรรมะ คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมะมันแปลว่าหน้าที่ แสดงธรรมเทศนา มันต้องพูดอย่างนั้น แสดงธรรมเทศนา คือแสดงเรื่องหน้าที่ ประเทศอินเดีย ปทานุกรม ว่าธรรมะ ธรรมะ แปลว่า Duty คือ หน้าที่ หน้าที่ที่ต้องประพฤติให้ครบถ้วน ทั้งระบบ ธรรมะคือ หน้าที่ที่ประพฤติครบถ้วนทั้งระบบ คือ มันหลายๆ เรื่องจึงจะครบถ้วน ก็ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง คือ ไม่มีผลร้าย มีแต่ผลดี ถูกต้องแก่ความรอด ความรอด รอดนี่ต้องรอดทั้งทางกาย และรอดทั้งทางจิต และต้องรอดตลอดทุกขั้นตอนแห่งชีวิต แล้วก็ต้องทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น นี่คือบทนิยามของคำว่าธรรมะธรรมะ ในอินเดีย คำสั่งสอนของศาสดาองค์ไหนก็เรียกว่าธรรมะเหมือนกันหมด เป็นหน้าที่จะเอาไปจากความทุกข์ทั้งนั้น วิธีมันก็ต่างกันแล้วแต่ใครจะชอบ แล้วแต่ใครจะเลือกเอา ใครจะชอบธรรมะของพระสมณโคดม หรือของนิคัณฐนาฏบุตรหรือเดียรถีย์อื่นๆ แล้วแต่จะเลือกเอา เรียกว่าธรรมะเสมอกัน แต่ธรรมะในความมุ่งหมายที่เป็นสูงสุดและส่วนรวม คือระบบปฏิบัติ ให้ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง แล้วก็เพื่อความรอด เพื่อความรอดทั้งทางกายและทางจิตทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น อาตมาขอให้ท่านทั้งหลายประสบความสำเร็จในการใช้ธรรมะ เพื่อแก้ไขปัญหาส่วนตัว ปัญหาส่วนตัวหมดสิ้นแล้ว มีความเป็นมนุษย์โดยพื้นฐานถูกต้องแล้ว ก็ใช้ธรรมะในขั้นที่สองคือ การบำเพ็ญหน้าที่การงาน หน้าที่การงาน หน้าที่การงานถูกต้องอีก ถูกต้องทั้งความเป็นมนุษย์ ถูกต้องทั้งหน้าที่การงานที่มนุษย์จะต้องทำแล้ว มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานในชีวิตพร้อมกันไป เป็นสุขสวัสดีอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ....สาธุ ขอยุติการบรรยาย
กราบนมัสการ วันนี้นับว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่งที่บรรดานักบริหารของกรุงเทพมหานครได้มีโอกาสมาพบหลวงพ่อและได้ฟังธรรมะ เพื่อจะเป็นเครื่องเตือนสติ เพราะว่าบรรดาเพื่อนนักบริหารต่างๆ เหล่านี้จะต้องไปรับผิดชอบในหน้าที่การงานและรับผิดชอบต่อสังคม อีกนาน หลายประการทีเดียว ตลอดเวลาที่เราทำงานมาอาจจะไม่มีเวลาหวนคิดถึงสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ชอบธรรม วันนี้เราได้รับฟังธรรมะจากหลวงพ่อมาเป็นเครื่องเตือนสติ พวกเราจะได้นำเอาคำเหล่านี้ เอาธรรมะนี้ ไปใช้ในหน้าที่การงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด นั่นก็คือ การลดความเห็นแก่ตัว ลงให้ได้ เชื่อว่า จากแนวนี้ แนวคิดของ แนวธรรมะของหลวงพ่อ คงจะเป็นเครื่องที่จะช่วยให้บรรดา นักบริหารของเราทุกคนได้ทำหน้าที่เพื่อสังคม เพื่อประโยชน์ เพื่อประเทศชาติ และเพื่อสันติภาพของโลก และเชื่อว่าราคงจะ ได้มีโอกาสเป็นสมาชิก คนหนึ่งผู้ที่จะร่วมพัฒนาโลกให้เกิดสันติภาพ ผมขอเรียนกราบนมัสการต่อหลวงพ่อว่า เราจะพยายามตั้งใจปฏิบัติหน้าที่การงานอย่างเต็มความสามารถ โดยการลดความเห็นแก่ตัวและสร้างความสุขให้กับประชาชนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในโอกาสนี้พวกเราทุกคนได้พร้อมใจกันรวบรวมปัจจัยเพื่อจะขอถวายต่อหลวงพ่อไว้ใช้ในกิจการในการเผยแผ่ธรรมะ ในการสร้างสันติภาพต่อโลกสืบต่อไป ขอหลวงพ่อได้โปรดรับปัจจัยจากพวกเรา