แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักศึกษาสมาชิกมูลนิธิโกมลคีมทองผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาได้รับคำขอร้องให้บรรยายความคิดเห็นเกี่ยวกับครูโกมล โดยกำหนดหัวข้อมาให้ว่า คนหนุ่มสาวกับอุดมคติเพื่อสังคมและข้อคิดจากชีวิตครูโกมล ที่จริงมันก็รวมได้สั้นๆว่าข้อคิดจากชีวิตครูโกมล โดยที่เป็นอุดมคติเพื่อสังคมสำหรับคนหนุ่มสาวควรจะทราบ อาตมาก็กำลังเป็นหวัด แต่เมื่อมองเห็นความตั้งใจแรงกล้าของท่านทั้งหลาย ก็ขอสนองความประสงค์ทั้งที่เป็นหวัดอย่างนี้
มันมี เอ่อมันไม่มีอะไรมากไปกว่าที่อาตมาจะบรรยายไปตามความรู้สึก อันเกิดมาจากการรู้จักคุณโกมล เพราะว่าแรกเริ่มเดิมทีทีเดียวนั้น เขาแวะมาที่นี่ทุกครั้งที่ไป จะๆจะไปเข้าป่า มีเพื่อนสตรีมาคนหนึ่งด้วยชื่อคุณรัตนา คุณโกมลก็มาคุยกับอาตมา เพื่อนสตรีนั้นก็ไปคุยกับคุณเฉย คงสนั่น อุบาสกอุบาสิกาแก่ๆที่ทางโน้น แล้วอาตมาก็คุยกับคุณเฉยอีกทีหนึ่งว่ามันดูยังไงกัน ที่จะเข้าไปแสดงบทบาทในป่าอย่างนี้ สารภาพตรงๆก็คือ เต็มไปด้วยวิตกกังวล ความห่วง ความเป็นห่วงนี่ ว่ามันจะเป็นอันตราย แต่เมื่อมองเห็นในแง่ที่ว่า โอ้ย, ไอ้ช้าง ช้างมันวิ่งนี่ใครจะฉุดหางให้มันหยุดนี่ดูมันไม่มี ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ก็เลยไม่ได้แสดงความคิดเห็นในทางที่จะคัดค้านอย่างไร ได้แต่พูดไปตามประสาคนแก่ที่ไม่รู้อะไรมากมาย ว่าระวังนะ ระวังให้ดีๆ ระวังให้สุขุมให้รอบคอบ ก็ได้แวะมาที่นี่ไม่น้อยกว่า ๔-๕ ครั้ง แม้ประเดี๋ยวประด๋าวก็อุตส่าห์แวะมาก่อนที่จะเข้าไปในป่า แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรกันมากไปกว่าอย่างนี้ ในที่สุดก็ได้รับข่าวที่เป็นไปในทางตรงกันข้ามคือถูกฆาตกรรม ก็เป็นอันว่า ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เรื่องมันก็จบ แต่ความรู้สึกบางอย่างมันยัง มันยังเหลืออยู่ที่ว่า เมื่อจะต้องพูดก็เห็นว่าควรจะเอามาพูดกับท่านทั้งหลายที่ต้องการจะให้พูดหรือกำหนดหัวข้อมาให้อย่างนี้ ก็จะพูดไปตามความรู้สึก ผิดถูกอย่างไร ไม่ต้องรับผิดชอบกันนะ ไปดูเอาเองก็แล้วกัน แต่ว่าตั้งใจจะพูดในแง่ที่รู้สึกโดยแท้จริงและจะเป็นประโยชน์ได้ สำหรับผู้ที่สนใจหรือได้รับช่วงกิจการงานนี้ต่อไป
การบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นด้วยการเสียสละความสุขหรือกระทั่งชีวิตก็ยอมเสียสละอย่างนี้เป็นอุดมคติของโพธิสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฝ่ายมหายาน ซึ่งนิยมเรียกกันว่าอุดมคติของโพธิสัตว์ โพธิสัตว์แปลว่า Ideal ยอมเสียสละเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นแม้แต่ชีวิตของตัว แต่แล้วก็สังเกตเห็นอยู่ว่า คุณโกมลมีอุดมคติของโพธิสัตว์เต็มที่ในส่วนที่เป็นวิชาความรู้และการเสียสละ แต่มันยังขาดอุดมคติของโพธิสัตว์อีกอย่างหนึ่งคือความถูกต้องตามกาลเทศะ ที่ๆจะไปพูด เวลาที่จะไปพูด มันถูกต้องเพียงพอหรือเปล่า ข้อนี้รู้สึกว่าชอบกล การวิ่งเข้าไปพูดในป่า จะเป็นคนป่า คนที่ไม่ค่อยจะมีเหตุผล ไปทำกับคนที่ยังล้าหลังด้วยอุดมคติที่มันสูงเกินไป มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ จะมาตั้งต้นสอน ก ข ก กา กับคนเหล่านั้น มันก็ยังห่างไกลจากความสำเร็จ ในที่สุดก็ เป็นผลออกมาเป็นความตาย ซึ่งทีแรกเราก็ได้รับข่าวที่ไม่แน่นอนว่า ฆาตกรรมอันนี้กระทำโดยคนอันธพาลที่อยู่ในป่าหรือการกระทำของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง คือเพราะเสียงที่เล่าลือเหมือนมีว่า ไอ้คนเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองเขาก็มี มีความสงสัยในเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมืองนั้น พูดตรงๆดีกว่า สั้นๆว่า เขาสงสัยว่าคุณโกมลจะเล่นซื่อหรือไม่ซื่อนี่ จะมีอะไรแอบแฝงหรือไม่ ก็มีเสียงพูดกันอยู่อย่างนี้ว่า มีมูลมาทั้งจากคนในป่าอันธพาลเหล่านั้นหรือว่าจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง ข้อนี้มันก็จะโทษใครไม่ได้เพราะว่ามันมีอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น มันมีๆข้อเท็จจริงอย่างนั้น มันก็เป็นๆไปอย่างนั้น จนกระทั่งเดี๋ยวนี้อาตมาก็ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ว่าใครมันจะเป็นคนประกอบกรรมอันเลวร้ายอันนี้ อาตมามองเห็นในอีกทางหนึ่งว่า พระโพธิสัตว์นั้นยังขาดความรู้หรือปัญญาในเรื่องกาลเทศะ หรือแผนการณ์หรือวิธีที่จะกระทำนี่ ไอ้ความไม่ปลอดภัยจึงเกิดขึ้น นี่ล่ะเป็นเรื่องที่ว่าเราจะรับเอาตัวอย่างอันนี้มาใช้เป็นประโยชน์ได้อย่างไรบ้าง
ก็ขอแถมสักนิดหนึ่งว่า เท่าที่สังเกตมาน่ะ ประชาชนโดยทั่วๆไปน่ะไม่ได้ต้อนรับ ไม่ได้ยินดีต้อนรับนักศึกษาหญิงชายที่ชักชวนกันไปทำการพัฒนาประชาชน เมื่อมีโอกาสว่างเช่นปิดเทอมหรืออะไรก็ตาม เขาไม่เลื่อมใสๆ ก็มองเห็นในแง่ที่ว่าน่าสงสัยว่าทำไมต้องไปกันเป็นทั้งหญิงทั้งชาย และก็เป็นไปในลักษณะสนุกสนาน หรือมองไปในแง่ว่าทำเพื่อเกียรติยศชื่อเสียงเสียมากกว่าที่จะเป็นบุญกุศลโดยแท้จริง พ่อบ้านคนหนึ่งพูดกับอาตมาว่า ไอ้สิ่งที่มาสอนน่ะผมรู้ดีกว่า อย่างนี้ก็มี มันไม่สำเร็จประโยชน์ถึงขนาดนั้น ไอ้ความจริงจังในหน้าที่การนั้นมันสำคัญ แต่ไม่ค่อยได้เน้น ไปเน้นในเรื่องวิชา ความรู้ที่บางอย่างมันก็เฟ้อ มันก็อยู่เหนือความจำเป็นหรือนอกแนวแห่งความจำเป็นที่จะต้องรู้ นี่ก็เป็นสิ่งๆหนึ่งที่ควรจะตั้งข้อสังเกตไว้ด้วยเหมือนกัน ว่านักศึกษาเหล่านั้นกระทำเหมือนอย่างแฟชั่นๆอันหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่การบุญการกุศลที่แท้จริง แต่ก็ได้ยินว่าเดี๋ยวนี้มันก็เลิกรากันไปแล้ว แต่ก็ควรจะจำไว้เป็นคตินิทรรศน์ อุทาหรณ์ ว่าควรจะทำกันได้อย่างไร เพียงไรต่อไปในอนาคต
การให้ความรู้เป็นทานนั่นพระพุทธสรรเสริญว่าเป็นยอดทาน เป็นยอดทานสูงสุดของการให้ทานคือการให้ความรู้ และยิ่งมีการเสียสละแม้แต่ชีวิตก็สละได้อย่างนี้ก็ยิ่งยอดออกไปอีกทางหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่ควรจะพิจารณาว่ามันจะต้องได้รับผลตอบแทนที่น่าพอใจ แต่ถ้ามันได้รับผลตอบแทนตรงกันข้ามคือต้องเสียชีวิตไปอย่างนี้ มันก็ยังมีส่วนที่ต้องสอบสวนว่ามันเป็นความบกพร่องของอะไร คือถ้าจะทำให้มีประโยชน์ มีผลดีต่อไปในอนาคตนั้น มันควรจะทำอย่างไรนั่นแหละมากกว่า คนที่อยู่ข้างหลังที่ตั้งใจจะสนองงานอันนี้ต่อไปก็ได้สังเกตดู พิจารณาดูให้ดีๆว่า การให้ความรู้นั้นมันยอดสุด การเสียสละในรูปแบบของอุดมคติโพธิสัตว์มันก็สูงสุด แต่ทำไมมันยังไม่ประสบความสำเร็จ ยิ่งต่อสู้ มันมีการต่อสู้ มันมีการยั่วให้มีการต่อสู้ มันยังไม่สำเร็จ พูดง่ายๆมันก็ว่ามันยังไม่ชนะ มันยังไม่ชนะ ดังนั้นมันต้องมีข้อผิดพลาด ไม่ตรงตามจุดมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่งหลบซ่อนอยู่ด้วยเป็นธรรมดา ซึ่งจะต้องใคร่ครวญพินิจพิจารณากันเสียใหม่ให้ดีๆ เพื่อมันจะถูกต้องยิ่งขึ้น ถูกต้องยิ่งขึ้น
อาตมาอยากจะพูดเป็นเรื่องแรกก็คือว่า คำว่าโกมล คีมทอง ซึ่งเป็นชื่อของมูลนิธิ เมื่อถืออุดมคติอันนี้ได้มันก็วิเศษประเสริฐล่ะ คำว่าโกมลๆ กะมะโล ในภาษาบาลีนี้หมายถึงไอ้สิ่งที่มีรูปร่างเหมือนกับดอกบัวที่ยังตูม ยังไม่บานน่ะ มันแหลมข้างหนึ่ง มันมนข้างหนึ่ง รูปร่างคล้ายกับหัวใจ ที่จริงเอามาใช้เป็นชื่อของหัวใจก็ได้ เรียกว่าโกมล ความหมายในทางวัตถุ หรือภาษาคนมันก็ว่าสิ่งที่มีรูปร่างอย่างนั้น แต่ความหมายในทางภาษาธรรมหมายถึงสติปัญญา สติปัญญาอันสูงสุด ความหมายของคำว่าโกมล ภาษาคนก็หมายถึงของมีรูปร่างอย่างนั้น ภาษาธรรมก็หมายถึงสติปัญญาสูงสุด ทีนี้คีมทองก็เป็นคำที่มีความหมายดีมาก มันจะโดยบังเอิญหรืออะไรก็สุดแท้ คีมตามที่รู้กันโดยๆทั่วไปมันก็คือหนีบหรือตัด แล้วก็มันทำด้วยทอง มันก็ต้องชั้นดีชั้นวิเศษ แม้ว่าเหล็กจะเป็นสิ่งที่แข็งกว่า แต่ก็เป็นสิ่งที่โน้มน้าวไปได้ตามความประสงค์ของเงินและทอง ซึ่งอ่อนกว่า ซึ่งมันอ่อนกว่า แม้จะแข็งอย่างเหล็ก เงินมันก็ง้างไปได้ทั้งที่มันอ่อนกว่า และทองมันก็ง้างไปได้ยิ่งไปกว่านั้นอีก ทีนี้ต่อให้มันแข็งโป๊กเหมือนกับเพชร เอาสิ แข็งที่สุดไม่มีอะไรแข็งเท่า เงินหรือทองที่อ่อนกว่ามันน้อมไปได้ น้อมไปได้ตามที่ต้องการถ้ารู้จักใช้ ดังนั้นก็ว่าคีมทองนี้มีความหมายดีที่สุด ที่ว่ามันจะน้อมไอ้ไปได้แม้สิ่งที่แข็งกว่า คือมันถูกตามความประสงค์หรือวัตถุที่ควรจะประสงค์ คือมีความฉลาด สามารถตามความหมายของคำว่าโกมลหรือกมลมันก็ยิ่งวิเศษสูงสุด คีมทองที่ฉลาดสูงสุด มันจะโดยบังเอิญหรืออะไรก็ตามใจแต่ว่า คำนี้มีความหมายดีที่สุดแล้วถ้ารักษาไว้ให้ได้ด้วยอุดมคติอันนั้นแล้วมันจะแก้ปัญหาได้ไม่ว่าปัญหาอะไร
เดี๋ยวนี้เรากำลังนิยมอุดมคติแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง ก้องกันอยู่ในประเทศ แต่ดูยังจะไม่ค่อยรู้ความหมายกันนัก แผ่นดินทองนี่มันต้องสูงสุด ไม่ใช่เรื่องปากเรื่องท้อง แผ่นดินธรรมนั้นมันมีความถูกต้องเรื่องปากเรื่องท้อง แต่ว่ามันก็ต้องมาจากแผ่นดินไทที่เป็นอิสระ ไม่เป็นขี้ข้า ไม่เป็นทาสของกิเลสนั่น คือแผ่นดินไทคือมีจิตใจเป็นไท และก็สามารถพัฒนาโดยแผ่นดินธรรม คือความถูกต้องๆๆตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ มันก็มีผลออกมาเป็นแผ่นดินทองที่อยู่เหนือปัญหาทั้งปวง ไม่ใช่เพียงแต่มีเงินทองใช้สนุกสนานไปตามแบบของกิเลสอย่างนั้น ใช้ไม่ได้ มันเป็นทองแดงหรือไอ้ทองเหลือง ทองอะไร ไม่ใช่ทองคำ เราต้องเป็นทองคำ เป็นทองแท้ที่มีค่าสูงสุด นี่จึงจะเป็นเรื่องที่น่าพอใจหรือยึดถือไว้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ได้ สมาชิกโกมลคีมทองก็กำลังขวนขวายอยู่ เพื่อสิ่งซึ่งเป็นอุดมคติหรือว่าจะเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ มันก็ถูกต้องแล้ว แต่ขอให้ใช้ความหมายของคำว่าทองที่ถูกต้อง ทองไม่ใช่เรื่องสนุกสนานทางเนื้อทางหนัง ทางกามารมณ์ ทางความฟุ้งเฟ้อ อะไรอย่างนั้น อย่างนั้นไม่ใช่ทอง ถ้าทองก็ทองเหลือง ทองแดง มันใช้ไม่ได้ มันต้องเป็นเรื่องที่ถูกต้อง นำมาซึ่งความสงบตั้งแต่เบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลายให้มันเป็นทองโดยแท้จริง สามารถจะขจัดปัญหาๆ ปัญหาต่างๆได้ ตามความหมายของคำว่าคีม มันก็ตัดขาดออกไป แล้วก็มันถูกต้อง มันถูกต้องแล้วมันก็แก้ปัญหาได้ แล้วมันไอ้คำว่าถูกต้องนี้มันต้องปลอดภัยด้วย ถ้าไม่ปลอดภัยมันก็ยังไม่เรียกว่าถูกต้อง แม้จะเป็นการเสียสละชีวิต มันก็ต้องมีความไม่ถูกต้องอยู่ครึ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ต้องสูญเสียชีวิต แม้ว่าจะได้รับการยกย่องบูชาในการสูญเสียนี้ก็ๆไม่เป็นไร ก็ยังเรียกว่ายังเหลือปัญหาอยู่สำหรับจะต้องแก้ไขกันต่อไปในลักษณะที่ไม่ต้องเสียชีวิต ทีนี้ต้องมีความฉลาดในส่วนนั้นของโพธิสัตว์ มีความรู้ที่ถูกต้อง เสียสละสุดยอด และก็มีความถูกต้องที่จะปลอดภัยและสำเร็จไปตามความมุ่งหมายนั้นได้โดยแท้จริง นี่อาตมาเห็นว่าเป็นอะไรอ่ะข้อคิดจากชีวิตของครูโกมล สมาชิกมูลนิธิโกมลคีมทองก็ได้ขวนขวายอยู่หลายๆอย่างในการต่อสู้ ขอนำมาวินิจฉัยวิพากย์วิจารณ์กันสักเล็กน้อยเพื่อประกอบเรื่องให้มันเป็นที่เข้าใจกันดีและลุล่วงไปด้วยดี
ปรากฎว่าประชาชนทำลายต้นน้ำลำธาร ด้วยความโง่ เห็นแก่ประโยชน์อะไรทางหนึ่ง แล้วสูญเสียประโยชน์อันใหญ่หลวง ถึงความวินาศนั้นก็ไม่เห็น มันก็ต้องบอกให้เขาเข้าใจให้มองเห็นไอ้สิ่งที่มันมีค่า มากน้อยสูงต่ำอย่างไร ทำไมมันจึงไม่สำเร็จ เพราะประชาชนเหล่านั้นยังเห็นแก่ตัวมากกว่าความถูกต้องนั่น มันไม่โกมล มันไม่ถูกต้อง ประชาชนยังมองเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว มันจึงทำลายต้นน้ำลำธาร เหมือนกับไม่มีความหมายอะไร แต่ต้องจับใจความสำคัญให้ได้ว่ามันมีมูลมาจากความเห็นแก่ตัว ถ้าเราจะแก้ไขข้อนี้ก็ต้องแก้ไขที่ความเห็นแก่ตัวของคนที่ไม่มีความรู้เหล่านั้น ถ้าเขาไม่เห็นแก่ตัว มันก็ๆไม่ทำอย่างนั้นปัญหามันก็ไม่มี ทีนี้เขาก็หลับหูหลับตา เห็นแก่ตัว ทำลายสิ่งที่จะเป็นผลร้ายแก่ตัวยิ่งไปกว่าเดิม ประชาชนทำลายป่าไม้ ก็ดูมันเป็นความโง่โดยไม่รู้สึกตัว เพราะเขาไม่มีความรู้ ถ้าเรามีความรู้เราก็ช่วยบอกให้เขารู้ตามที่เป็นจริงว่า การทำอย่างนั้นนั่นมันเป็นการเชือดคอตัวเองให้ตาย เพราะป่าไม้ทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกนี่คือสิ่งที่ช่วยจัดให้โลกมีความถูกต้องสำหรับสิ่งที่มีชีวิตจะอาศัยอยู่ในโลกได้ ต้นไม้ทั้งหลายช่วยจัดให้มีความถูกต้องโดยเฉพาะทางอากาศๆ ทางการหายใจ มันมีความถูกต้องอย่างนั้น สัตว์มันจึงเกิดขึ้นมาในโลกและมีชีวิตอยู่ได้ โดยการจัด โดยการกระทำของสิ่งที่เรียกว่าต้นไม้ทั้งหลายในโลก พอไปทำลายต้นไม้ทั้งหลายเหล่านั้นในโลกมันก็เกิดความผิดพลาดขึ้นคือความไม่เหมาะสมที่ว่าโลกนี้จะเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์อย่างที่เขารู้กันอยู่ เขาก็โฆษณากันอยู่ ซึ่งควรจะช่วยกันโฆษณาให้มันรู้ไปถึงคนโง่เหล่านั้น เช่นว่าแสงไม่พึงปรารถนาจากดวงอาทิตย์มันจะเข้ามาในโลกมากเกินไปจนอยู่ไม่ได้ หรือว่าอากาศที่เป็นจำเป็นแก่ชีวิตเช่นออกซิเจนมันจะผิดพลาดไปหมด ไม่เหลือไว้ให้อยู่อาศัย มันก็จะต้องตาย เพราะไปทำลายต้นไม้ซึ่งเป็นสิ่งที่จัดให้โลกนี้มีบรรยากาศที่เหมาะสมสำหรับสิ่งที่มีชีวิต กลายเป็นบรรยากาศที่ไม่เหมาะสมสำหรับมีชีวิต มันก็ต้องตาย ดังนั้นการทำลายป่าไม้มันก็คือการเชือดคอตัวเองอย่างนี้เป็นต้น ทำไมเขาจึงทำ เพราะเขาเห็นแก่ตัวน่ะสิ ดูสิ ดูเห็นชัดๆ แล้วก็เห็นแก่ตัวเกินไป หลับหูหลับตา เห็นแก่ตัวจนเกินไป จนไม่เห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวม
เรื่องที่สามก็เป็นเรื่องที่อยากจะพูดเสียด้วยเหมือนกัน คือเรื่องสนับสนุนการเยียวยาโรคภัยไข้เจ็บด้วยสมุนไพรๆ คือพืชพันธุ์ทั้งหลายที่แก้โรคได้ ธรรมชาติสร้างมาให้เสร็จ มีพืชพันธุ์ที่จะกำจัดโรคภัยไข้เจ็บอย่างเพียงพอสำหรับมนุษย์จะอยู่รอด แม้ว่าธรรมชาติจะจัดมาให้เสร็จแต่ถ้ามนุษย์ไม่รู้ มันก็ๆไม่สำเร็จประโยชน์ ดังนั้นมันจะต้องรู้เรื่องสมุนไพรว่าจะใช้กันอย่างไร ตามธรรมชาติมันก็ใช้กันตามธรรมชาติ ตามธรรมชาติ แต่เดี๋ยวนี้มนุษย์มันเจริญทางวิชาการบางอย่างบางแขนงสูงสุด มันก็ทำดีๆเกินกว่าที่ธรรมชาติต้องการ ทำเรื่องสมุนไพรให้กลายเป็นเรื่องมิใช่สมุนไพร เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นไอ้ประดิษฐกรรมแขนงไหนไปก็ไม่รู้ สูญเสียความเป็นสมุนไพร ที่จะใช้พืชพันธุ์เหล่านั้นให้กำจัดโรคโดยตรง ถูกตรงตามที่ธรรมชาติต้องการ แล้วก็เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา ทั้งนี้ก็เพราะว่าเห็นแก่ตัวเหมือนกัน มนุษย์เห็นแก่ตัวเหมือนกัน จึงชอบยาสมัยใหม่ซึ่งมันไม่ขมหรือมันไม่กิน คือไม่กินยาก มันกินง่าย แต่แล้วมันก็มีไอ้โทษ ความผิดพลาดแฝงอยู่ในนั้นโดยไม่รู้สึกตัว อาตมาก็สนใจเรื่องนี้มากเหมือนกันล่ะเพราะว่า เมื่อออกมาอยู่ป่ามันก็ไกลจากไอ้วิชาความรู้ของบ้านของเมือง มันก็ต้องหันมาสนใจเรื่องสมุนไพรในป่าเอาว่าเราจะใช้ประโยชน์กันได้อย่างไรบ้าง ในที่สุดก็พบข้อที่ว่าเรามันละห่างจากกฎเกณฑ์ที่ธรรมชาติกำหนดไว้ให้เกี่ยวกับสมุนไพร เมื่อมนุษย์ยังไม่เจริญมันก็ไปเอาสมุนไพรนั้นโดยตรงมากินเข้าไป หรืออย่างดีก็ต้มแล้วกินเข้าไป อย่างง่ายๆก็กินเข้าไปทั้งสดๆอย่างนั้น แล้วมันก็แก้โรคภัยไข้เจ็บไปตามแบบของสมุนไพร แต่ว่าในการกินเข้าไปทั้งอย่างนั้นน่ะมันมีผลอ่าอะไร มีปฏิกิริยา คือมันกินยาก มันเหม็น บางทีมันทำให้อาเจียน อาเจียนเอามากๆ แต่แล้วโรคภัยไข้เจ็บมันก็หายนะ
ไอ้วันหนึ่งไปหาไม้กันในป่า คนๆหนึ่งมันเป็นไข้จับสั่น มันไปคอยทำงานไปช่วยทำงาน มันเกิดจับสั่นขึ้นมาเป็นไข้ ไม่มีอะไร ไม่มียาอะไร แต่ก็มันมีต้นไม้ชนิดหนึ่งที่อยู่ตรงนั้น แถวนั้นน่ะ คือเรียกว่าต้นเลี่ยนๆ ขมเหมือนกับ Quinine น่ะ อาตมาออกความเห็นว่าให้ลองกินยอด ยอดต้นนี้เข้าไปสักกำมือหนึ่งซิ มันก็กินเข้าไป แล้วมันก็อาเจียนๆๆ แล้วมันก็หยุด หายไข้เลย กลับบ้านไม่ไข้ต่อ ไม่เป็นไข้ต่อไป แต่มันอาเจียนเกือบตาย ทีนี้ไอ้เรื่องที่ว่าในสมุนไพรแท้ๆมันมีสิ่งที่ทำความยุ่งยากลำบากอย่างนี้รวมอยู่ด้วยเสมอไป ที่ความรู้สมัยใหม่เขามีความรู้สกัดมันออกไปเสีย สกัดมันออกไปเสีย แทนที่จะเป็นผงเขียวๆ เป็นน้ำดำๆกินเข้าไปนี่ มันสกัดส่วนนั้นออกไปหมด เหลือแต่ Alkaloid ล้วนๆ ขาวเป็นผงแป้งเลยนี่ รู้ไหมว่ามันสกัดอะไรออกไปกี่มากน้อย อย่างยา Quinine นี่ ถ้าเรามากินเข้าไปตามธรรมชาติเหมือนกับต้มกินเข้าไป มันก็จะมีส่วนขม มีส่วนกินยาก มีส่วนทำให้อาเจียน แต่มันก็มีส่วนแก้ร้อนๆ แต่ยาควินินที่สกัดออกมาเป็นผลขาวๆล้วนๆ นี่กินเข้าไปมันไม่แก้ร้อน มันไม่แก้ร้อน แม้จะทำให้ไข้หายไปก็หายอย่างโกลาหลวุ่นวาย มันไม่แก้ร้อน คนๆหนึ่งรู้จักกัน เขาไปทำงานในป่าในดง เขาไม่มีทางอื่นเขาก็ใช้ยา Quinine นี้ง่ายๆ ผงๆกินเข้าไป กินเข้าไป ออกมาหูหนวกตลอดชีวิตเลย คิดดูเถอะ เพราะมันไม่ได้มีส่วนถูกต้อง หูหนวกตลอดชีวิตเลย ถ้าว่าเราจะกินยาไอ้ Cinchona นั่น อย่างที่ต้มกินตามธรรมดา มันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก แต่มันต้องทนความลำบาก เรื่องเหม็น เรื่องขม เรื่องอาเจียน เรื่องอะไรอย่างที่กล่าวมาแล้ว นี่มันสูญเสียความเป็นสมุนไพรไปเสียแล้ว เนื่องจากความรู้ทางสมัยใหม่ วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าสกัดออกมาเหลือแต่แกนที่เป็นยา แล้วก็ด้านเดียว ไม่มีอะไรครบถ้วนเหมือนกับเดิม นี่เราน่าจะกลับไปใช้วิธีเดิม แม้จะขมหน่อยก็ทนเอา เหม็นหน่อยก็ทนเอา แม้จะอาเจียนบ้างก็ทนเอา อาตมาก็เคยกินยาหม้อที่กินแล้วก็อาเจียน แล้วก็หายได้เหมือนกัน นี่แหละสมุนไพรนี้มันเป็นของธรรมชาติให้มาอย่างถูกต้องเหมาะสม คู่กันกับชีวิตที่เป็นไปตามธรรมชาติ ต้นไม้ทุกต้นมีคุณสมบัติอันนี้ไม่มากก็น้อย ผู้ที่มีความรู้ดีที่เขาเรียกกันแต่โบราณกาลตามตำนานปรำปราว่าหมอชีวกโกมารภัจจ์ผู้แตกฉานในยาสมุนไพรนี่ เดินไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้บอกตะโกนว่าฉันแก้โรคอะไร ฉันแก้โรคอะไร ฉันแก้โรคอะไร นี่มันเป็นไปได้ มันเป็นไปได้ ถ้ามันเป็นผู้เชี่ยวชาญ มันศึกษามาตั้งแต่เด็ก มันลูบคลำมาตั้งแต่เด็ก มันมีความรู้เพิ่มเติมมาตั้งแต่เด็ก เพียงแต่เดินเฉียดไปข้างต้นไม้ต้นนี้น่ะ มันก็รู้เสียแล้วว่าต้นไม้ต้นนี้จะใช้ประโยชน์รักษาโรคอะไรได้บ้าง เพราะมันมีกลิ่น มันมีรส เพราะมันมีอะไร อย่างเราเดินเข้าไปใกล้ต้นกระเพา ต้นโหระพามันก็ส่งกลิ่นออกมา กลิ่นนั้นก็บอกให้รู้ได้ว่าจะใช้อะไรได้บ้าง เพียงแต่หมอชีวกโกมารภัจจ์เอามือไปขยำใบๆ แล้วมาดมดูก็พอแล้วที่จะบอกว่าไอ้ต้นไม้ต้นนี้มันจะแก้โรคอะไรได้บ้าง แล้วเมื่อหนักเข้าๆเพียงแต่เหลือบเห็นเท่านั้นแหละมันก็พอจะรู้เสียแล้ว ว่าไอ้ต้นยาต้นนี้มันจะพอแก้โรคอะไรได้บ้างนี่ เรื่องของสมุนไพรมันเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้แทนที่จะต้มกิน บดกินเข้าไปทั้งอย่างนั้น มันก็กลายเป็นยาสมัยใหม่ มีลักษณะสำอาง กินง่าย กินอร่อย และก็ได้ผลไปทางหนึ่ง แต่ผลข้างเคียงบางอย่างไม่มีแล้ว อย่างเช่นว่าที่มันให้ความเย็นกินเข้าไปแล้วเย็นหายไข้เลย เย็นด้วย มันก็ไม่มีนะ มันก็หายไข้อย่างแบบร้อนๆ ไปถามหมอดูว่ายา Quinine กินเข้าไปมากอย่างนั้นๆ ต้องกินยาระงับความร้อนอย่างอื่นช่วย นี่เราละทิ้งธรรมชาติไปไกลในแง่ของสมุนไพร
เอ้า, ทีนี้จะแก้มือ เกลือจิ้มเกลือย้อนกลับบ้าง เอามันมาใช้รวมกันแหละ ทั้งสมุนไพรเดิมล่ะและไอ้ความรู้ของสมัยใหม่ ทีนี้มันเล่าๆ ขอเวลาน้อยนิดหน่อยนะ มันจะเสียเวลาบ้างแต่ว่ามันเป็นเรื่องที่น่าหัว คนโบราณถ้าเป็นบิด เขาก็ใช้หัวเป็ดฮือที่งอกอยู่ทั่วไปตามป่าทั่วไป ในวัดนี้ก็มีทั่วไป มาฝนกับน้ำปูนใส เอาหมกไฟซะก่อนแล้วฝนกับน้ำปูนใส มากินเข้าไป ละลายยาอะไรนิดหน่อยก็ได้ ไม่ละลายยาอะไรก็ได้ กินเข้าไปเถอะ หัวเป็ดฮือหมกไฟฝนกับน้ำปูนใส กินเข้าไปแล้วแก้บิด เราก็เคยใช้ มันก็แก้บิดได้ ตามแก่นแกนนั่นน่ะ แต่ถ้าจะให้ดี ให้ดีที่สุด เอายาแก้บิดของสมัยใหม่ที่เขาไปทำขึ้นสำเร็จรูป ที่มีใช้อยู่สมัยนั้น โดยมากก็ไอ้ยาที่เรียกว่า Doverse Doverse รู้จักกันทั่วๆโลกว่าแก้บิดน่ะ เอายาผง Doverse นี่เป็นของสมัยใหม่แล้ว พ้นจากความเป็นสมุนไพรแล้ว ใส่ลงในน้ำหัวเป็ดฮือหมกไฟตำแหลกๆ เราไม่ฝนกับน้ำปูนใสแล้ว มันๆน้อยไป ตำมันเลย มันก็ได้ยาเข้มข้น ใส่ยา Doverse ลงไปเม็ดสองเม็ดกิน มันหายเหมือนกับยาทิพย์ มันบวกเข้าไปทั้งสมุนไพรและมิใช่สมุนไพร มันจะรู้จักเรื่องธรรมชาติตามธรรมชาติ ชีวิตนี้เป็นธรรมชาติ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เอ็น กระดูกนี้มันเป็นธรรมชาติ มันเหมาะสำหรับธรรมชาติ ซึ่งธรรมชาติก็ได้ให้มา ไอ้ความเห็นแก่ตัวเราก็ไปชอบของกินง่าย ของอร่อยของยาสมัยใหม่ ที่จริงมันคือสมุนไพรนั่นแหละ เราไปโง่เอง ไปหลงเองไปเรียกว่าไม่ใช่ยาสมุนไพร มันก็สมุนไพรทั้งนั้นแหละ แต่มันไปสกัดเอาออกไปบางส่วน เอาบางส่วนเขามา เลยไม่เรียกว่าสมุนไพร ที่จริงมันคือสมุนไพรที่สกัดออกมาบางส่วน แล้วแก้โรคโดยเฉพาะ แล้วมันๆไม่คุ้มครองอะไรต่างๆที่ควรจะได้ด้วย มันไม่ได้ โบราณเป็นไข้ก็เอาลูกสมอมาต้มเอาน้ำละลายดีเกลือกิน ถ่ายไข้ มันก็ได้ผล แต่มันกินยาก ไอ้น้ำสมอนี่ มันเฟื่อน มันขม มันสารพัดอย่าง แต่ถ้าใส่ใบชุมเห็ด หรือสะหนาด ใบๆหนาด ใบชุมเห็ด ใบหนาดก็ได้ลงไปสักกำมือหนึ่ง มันกลายเป็นกินง่ายแล้วหอมและชวนกินและก็ได้ผลเท่ากันนั่น คู่มือคนโบราณเขารู้ เขารู้โดยเหตุอะไรก็ไม่ทราบ แต่เขารู้กันมาแล้ว เขารู้ว่าไอ้ยาสมุนไพรนี้มันกินเข้าไปแล้วอะไรมันจะช่วยให้กลบกลิ่นเหม็นหรืออะไรที่มันไม่ชวนกินนั้น ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดยาสมัยใหม่ แต่โบราณเขาก็มีไม่ต้องสมัยใหม่ เขาก็มีอะไรที่จะมาช่วยกันแก้ให้มันหมดปัญหาเรื่องนั้น แต่ความรู้นี้มันได้ถูกละเลยๆๆไปเสียแล้วจนเด็กๆไม่รู้จักใช้ยาสมุนไพร ใบหนาด ใบชุมเห็ด จะมีประโยชน์อะไรก็ไม่มีใครรู้ อาตมารู้ ว่าใบหนาดหรือใบชุมเห็ดนี่ถ้าใส่ลงไปในไอ้ๆๆน้ำสมอที่แสนจะขมจะเฟื่อนจะเหม็นนั้นน่ะ แล้วก็ใส่ดีเกลือกินให้ถ่ายไข้ระบายโรคนี้ มันดีขึ้น นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่เราละเลย ละทิ้งไปตามก้นฝรั่งน่ะ ไปตามก้นไอ้ความเจริญแผนใหม่เหมือนเรื่องยานั้นน่ะ จนกลายเป็นพิษ จนกลายเป็นยาพิษไปโดยไม่รู้สึกตัว ไอ้ยาที่ประดิษฐ์ดีเกินไป ไกลเกินธรรมชาติ เช่นกินยา Quinine จนหูหนวกตลอดชีวิตเป็นต้น เพราะมันไม่รู้เรื่องสมุนไพร
เอาล่ะว่าแม้แต่เรื่องสมุนไพรก็ดีนะ ก็ควรจะมีความรู้ความเข้าใจถูกต้อง ไม่ต้องบังคับอะไรกันนักและรู้จักใช้ให้สำเร็จประโยชน์ บางทีก็เป็นเรื่องที่น่าสงสาร เป็นเรื่องที่น่าสงสาร ความเห็นแก่ตัวเป็นต้นเหตุให้เราดัดแปลงสิ่งต่างๆจนกลายเป็นตรงกันข้าม จนกลายเป็นโทษไปเสีย เห็นแก่ตัว ทำลายต้นน้ำลำธารก็ดี เห็นแก่ตัวทำลายต้นไม้พฤกษาชาติก็ดี เห็นแก่ตัวจนไม่รู้จักใช้สมุนไพรตามธรรมชาติก็ดี เหล่านี้เรียกว่าเป็นความผิดพลาด เป็นความโง่เขลาแล้ว ก็ไม่ต้องต่อสู้อะไรกันให้เป็นให้ตาย ถึงกับเป็นถึงกับตาย ชี้แจงๆกันให้เห็นตามความเป็นจริง อันนี้อันตราย อันนี้มาจากความเห็นแก่ตัว ช่วยกันให้การศึกษาที่ถูกต้องๆ ให้ฉลาดๆเต็มที่ มีความรู้เต็มที่ แล้วก็มาใช้แก้ปัญหาได้ เพราะไม่เห็นแก่ตัว ถ้าความเห็นแก่ตัวแทรกเข้ามา มันกลับกันหมด ไอ้ๆที่ถูกต้อง ที่เป็นที่พึ่งได้มันกลายเป็นผิดพลาด จนเดี๋ยวนี้โลกมันจะวินาศอยู่รอมร่อแล้ว คุณเชื่อหรือไม่เชื่ออาตมาขอกล่าวอย่างนี้ ว่าโลกนี้มันจะวินาศอยู่รอมร่อแล้ว เพราะว่าความเห็นแก่ตัวมันเพิ่มขึ้นๆๆ ควบคุมโลกทั่วไปทั้งหมดเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ความถูกต้อง ไม่เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ มันเห็นแก่ตัวตะพึดนี่ มันเห็นแก่กิเลสของมันโดยตะพึดนี่ ไม่เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ ไม่เห็นแก่ความถูกต้อง มันก็ทำสิ่งที่เป็นการเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และตัวเองพร้อมกันไปโดยไม่รู้สึกตัว ยิ่งเจริญทางวัตถุ เจริญทางวัตถุมากขึ้นเท่าไร ความเห็นแก่ตัวก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น เพราะความเจริญทางวัตถุมันส่งเสริมความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง เรียกง่ายๆว่าทางกามารมณ์นั่นน่ะ ยิ่งเห็นแก่เนื้อหนังเท่าไร มันก็ยิ่งไม่เห็นแก่ความถูกต้องหรือธรรมะ มันก็เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นๆ สัตว์เดรัจฉานเห็นแก่ตัวเท่าเดิม แต่มนุษย์เห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นๆ ร้อยเท่า พันเท่า หมื่นเท่า แสนเท่า ล้านเท่า ถ้าไปเทียบกับคนป่าสมัยดึกดำบรรพ์โน้นซึ่งยังโง่ไม่รู้จักเห็นแก่ตัว แล้วก็ค่อยๆรู้จักเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นๆ จนมาเป็นมนุษย์สมัยนี้เห็นแก่ตัว ไม่รู้กี่พันกี่หมื่นกี่แสนเปอร์เซ็นต์ ก็ทำทุกอย่างเพื่อเห็นแก่ตัว แล้วคุณก็ดูเอาเองว่าอะไรมันเกิดขึ้นในโลก
ถ้าเราจะส่งเสริมความสงบสุขในโลกโดยอุดมคติของพระโพธิสัตว์ ตามรอยคุณโกมลก็ได้ ก็จงส่งเสริมในเรื่องนี้ ให้มันลดความเห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัว มันไม่มีความเห็นแก่ตัวมันก็ไม่ทำลายต้นน้ำลำธาร มันไม่ทำลายป่าไม้ มันไม่เนรคุณไอ้สมุนไพร มันไม่ทำอะไรที่ไม่ควรจะทำ มันจะมีความถูกต้อง ถูกต้องๆ เต็มไปหมด แล้วก็มีความสงบสุข เดี๋ยวนี้มันเห็นแก่ตัวน่ะ มันเห็นแก่ตัวโดยไม่รู้สึกตัวเสียด้วย เอาๆโทษของความเห็นแก่ตัวกันก่อนนะว่าคนเห็นแก่ตัวน่ะมันขี้เกียจน่ะๆ มันอยากจะนอน อยากจะนอน เอาเปรียบไปทางนอนด้วยแต่ประโยชน์ก็จะเอา นั่นแหละคนเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัวมันขี้เกียจ และคนเห็นแก่ตัวมันเอาเปรียบๆๆรอบด้าน คนที่เห็นแก่ตัวมันก็ริษยาๆๆ เพื่อนฝูงโดยไม่มีเหตุผลมันก็ริษยา คนที่เห็นแก่ตัวมันก็กอบโกยประโยชน์เป็นอันธพาลๆ ใครจะเสียประโยชน์ฉันไม่รู้ ฉันจะเป็นผู้ได้ประโยชน์ก็แล้วกัน มันไม่สามัคคีน่ะ เรียกมาช่วยกันพัฒนานี่หน่อยนะ มันไม่มา เอ้า, มาช่วยกันสร้างถนนตรงนี้เดินหน่อยนะ มันก็ไม่มา มึงทำสิ เสร็จแล้วกูจะเดินเองให้มึงได้บุญ มันคิดอย่างนี้ เอากะคนเห็นแก่ตัวสิ มันไม่สามัคคี มันจะมารักชาติ ชวนมารักชาติ สมัครสมานสามัคคี มันไม่เอานี่ มันจะคอยเอาแต่ประโยชน์ แล้วมันก็เห็นแก่ตัว มันก็เป็นอันธพาลๆ ฉวยโอกาสทุกอย่าง ทุกประการ ทุกขณะ ที่จะเอาประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของตน มาเป็นของตน แล้วมันก็สร้างไอ้สิ่งที่เป็นประโยชน์ของมันโดยไม่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่น ดังนั้นมันจึงได้ทำลายธรรมชาติ คนเห็นแก่ตัวมันทำลายธรรมชาติ ทำลายต้นน้ำลำธาร ทำลายป่าไม้ ทำลายๆธรรมชาติ แล้วมันก็สร้างมลภาวะ มลภาวะทั้งหลายที่กำลังมากขึ้นในโลก มากขึ้นในโลกนี้มาจากผู้เห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละ มาจากผู้เห็นแก่ตัว และเมื่อมันมีเห็นแก่ตัวมาก มันก็ไม่ระมัดระวังหรือมันจะเอาเปรียบ มันก็สร้างอุบัติเหตุ อุบัติเหตุที่รถชนกันหรืออะไรก็ตามที่เป็นอุบัติเหตุ มันมาจากความเห็นแก่ตัว ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ มันจึงเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นๆอย่างน่าใจหาย ตามรายงานของไอ้ทางฝ่ายสาธารณสุข ทางการแพทย์ว่าคนเจ็บป่วยต้องไปเข้าโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ ที่นำหน้าคืออุบัติเหตุ เจ็บป่วยเกิดมาจากอุบัติเหตุ นำหน้าโรคมะเร็ง นำหน้าโรคอะไรต่างๆเสียอีก ความเจ็บป่วยที่เกิดมาจากอุบัติเหตุ เพราะอุบัติเหตุมันเพิ่มขึ้น เพราะคนมันเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้น อุบัติเหตุมันจึงเพิ่มขึ้นอย่างไม่ๆๆน่าเชื่อ นี่เรียกว่าอุบัติเหตุ แล้วก็มันทำอันธพาลน่ะ ทำอันธพาลฉ้อฉล ทำอันตรายเลวร้ายทุกอย่างทุกประการ เอาประโยชน์ให้แก่ตัวโดยไม่ต้องเห็นแก่ความถูกต้อง มันจึงเป็นเหตุให้ต้องสร้างเรือนจำขึ้นมา คุกตะรางน่ะมันสร้างขึ้นมาเพราะเห็นแก่ตัว สร้างตำรวจขึ้นมามากมายเพราะว่ามันมีผู้เห็นแก่ตัว สร้างศาลยุติธรรมขึ้นมาอย่างยุ่งยากลำบากเพราะมันมีผู้เห็นแก่ตัว ไอ้สามอย่างนี้มันก็เหลือประมาณแล้ว เรือนจำ ตำรวจ ศาลยุติธรรมมันต้องสร้างขึ้นมาในโลกเพราะมันมีผู้เห็นแก่ตัว ถ้าหยุดความเห็นแก่ตัวเมื่อไรสิ่งทั้งสามนี้จะไม่ต้องมีในโลก ไม่ต้องมีในโลก ถ้าทุกคนในโลกมันไม่เห็นแก่ตัว มันก็เลิกคุกตะราง เลิกตำรวจ เลิกศาลได้นี่ แล้วที่ไกลไปกว่านั้นก็คือโรงพยาบาลบ้า เมื่อความเห็นแก่ตัวมันเป็นไปมากเข้า มันหลงทาง หลงทาง มันก็กลายเป็นคนบ้าไป ฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ แล้วฆ่าตัวเองตายตามไปน่ะมันเป็นคนบ้า หรือไม่ฆ่าตัวเองตายตามไปมันก็ไปออกันอยู่ในโรงพยาบาลบ้า สร้างโรงพยาบาลบ้าเท่าไรก็ไม่พอ งบประมาณของกระทรวงสาธารณสุขนี้บอกว่าไม่มีเงินจะสร้างโรงพยาบาลบ้ากันแล้ว ต้องคิดหาทางออกอย่างอื่นแล้ว นี่เราไม่มีเงินพอที่จะสร้างคุกสร้างตะราง สร้างตำรวจ สร้างศาลยุติธรรม สร้างโรงพยาบาลบ้า เป็นผลเกิดมาจากการที่มนุษย์เห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นๆๆๆ นี่คือข้อเท็จจริงที่มันเป็นอยู่จริงที่จะต้องช่วยกันกำจัดแก้ไข ผู้มีอุดมคติของโพธิสัตว์ทั้งหลาย จงตั้งใจมุ่งหมายที่จะแก้ไขสิ่งเลวร้ายอันนี้ อย่าปล่อยให้มันมากไปๆๆ พอความเห็นแก่ตัวเข้ามาเท่านั้นแหละมันกลายเป็นผิดพลาด สูญเสียอุดมคติที่ถูกต้องไปไม่ทันรู้ ถ้าหากว่าครู ครูในโรงเรียนสอนนักเรียนเกิดเห็นแก่ตัวขึ้นมา มันก็หมดความเป็นครู มันก็ขูดรีดนักเรียน ขูดรีดผู้ปกครองนักเรียน ไม่มีความเป็นครู กลายเป็นพ่อค้าที่โหดร้ายซ่อนตัวอยู่ในความเป็นครู ครูก็หมดไปจากโลก หรือว่าถ้าหมอเกิดความเห็นแก่ตัวขึ้นมา ก็เป็นพ่อค้าขูดรีด ทำนาบนชีวิตเลือดเนื้อของคนเจ็บคนป่วย มันก็ไม่มีหมอเหลืออยู่ในโลก หรือถ้าผู้พิพากษาตุลาการเห็นแก่ตัวขึ้นมา มันก็ทำนาบนหลังจำเลย ไม่มีผู้พิพากษาตุลาการน่ะ พระเจ้าพระสงฆ์เห็นแก่ตัวขึ้นมามันก็เต็มไปด้วยอลัชชี เต็มไปด้วยอลัชชี แล้วจะอยู่กันได้อย่างไร เห็นแก่ตัวที่ไหนบ่อนแตกที่นั่น เพื่อนกันแท้ๆ เพื่อนรักกันแท้ๆ พอเห็นแก่ตัวเข้ามามันก็ต้องแตกกันแยกกัน หมดความเป็นเพื่อน ผัวเมียก็ยังเคยต้องหย่ากัน เดี๋ยวนี้การศึกษามันผิดพลาด เด็กๆเห็นแก่ตัว วัยรุ่นเห็นแก่ตัว ตามใจตัว พ่อแม่น้ำตาตก น้ำตาไหล แม่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่น้ำตาตกเพราะลูกมันเลวลงๆ มันทำอะไรที่ไม่เห็นแก่จิตใจของพ่อแม่ โดยเฉพาะแม่ที่เป็นห่วง ลูกหญิงลูกชายอะไรก็ตามที่มันเตลิดเปิดเปิงไปด้วยความเห็นแก่ตัว นี่มันก็หาความสงบสุขไม่ได้ และมันก็พร้อมที่จะเป็นมนุษย์ผู้เห็นแก่ตัว มันก็เป็นราษฎรประชาชนที่เห็นแก่ตัว มันก็รับจ้างเลือกผู้แทนเพราะเห็นแก่ตัว มันจะเป็นผู้แทนมันก็จ้างคนให้มันเลือกเพราะความเห็นแก่ตัว นี่คิดดูทีคิดจะเป็นยังไง ประชาชนทุกคนเห็นแก่ตัว รัฐสภาเต็มไปด้วยผู้เห็นแก่ตัว ไปตั้งรัฐบาลก็เป็นรัฐบาลที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว แล้วมันจะอยู่กันอย่างไร ก็ต้องอยู่กันอย่างต่อสู้กันๆ หน้ามืดขึ้นมาไม่เท่าไรมันก็เอาอาวุธร้ายกาจโยนใส่กัน เป็นล้างโลกไปเลย ล้างโลกไปเลยด้วยความเห็นแก่ตัว มันหน้ามืดขึ้นมานะ เดี๋ยวนี้ความเห็นแก่ตัวมันเจริญตาม มันเจริญตามความเจริญทางวัตถุ ความเจริญทางวัตถุนี้เขาทำกันด้วยอุตสาหกรรม โรงงานอุตสาหกรรม สร้างสิ่งยั่วยวนกิเลสหรือเห็นแก่ตัวขึ้นมาเต็มไปหมด เฟ้อเกินไปหมด เต็มไปด้วยสิ่งที่ส่งเสริมกิเลส เห็นแก่ตัวเกินไปหมด แล้วมันจะมีความสงบสุขที่ตรงไหน มันก็ต้องเปลี่ยนซื้อของใหม่ที่ยั่วยวนกว่า ยั่วยวนกว่า เสมอไป ในเรื่องกินเรื่องอยู่ก็ดี เรื่องนุ่งห่มก็ดี ที่อยู่อาศัยก็ดี การเยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บก็ดี มันก็เต็มไปด้วยส่วนเฟ้อส่วนเกิน เกินๆๆๆ มีบ้านหลังเดียวไม่พอ ต้องมีหลายบ้าน รถยนต์คันเดียวไม่พอต้องมีหลายคัน อย่างนี้ แล้วมันจะหาความสงบสุขมาจากไหน
เพราะฉะนั้นถ้าพระโพธิสัตว์ผู้เสียสละชีวิตของตนเพื่อความรอดของผู้อื่นแล้ว จงช่วยกำจัดความเห็นแก่ตัว ถ้าใครอยากเจริญรอยคุณโกมลคีมทอง จงพยายามทุกอย่างทุกประการเพื่อจะช่วยกันกำจัดความเห็นแก่ตัวในโลกนี้ หรือเป็นเรื่องของๆๆประเทศชาติ ของชาวโลกไปเสียเลยก็ยิ่งดี สอนเรื่องความเห็นแก่ตัวเป็นภัยอย่างไร กำจัดกันอย่างไร จัดการศึกษาให้ถูกต้องไปเสียตั้งแต่ระบบอนุบาล ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย ให้กลายเป็นเรื่องกำจัดความเห็นแก่ตัว กำจัดความเห็นแก่ตัวทุกทิศทุกทางเลย อย่าให้โง่หลงมาเป็นความฉลาด ฉลาดและเห็นแก่ตัว ลึกซึ้งๆ จนกอบโกยประโยชน์ของผู้อื่นจนบางพวกบางฝ่ายวินาศไปอยู่ไม่ไหว เขาก็ต้องต่อสู้เป็นธรรมดา เมื่อฝ่ายหนึ่งเอาเปรียบรุกล้ำเข้ามา อีกฝ่ายหนึ่งมันก็ต้องต่อสู้ เมื่อคนยากจนก็เห็นตัว คนร่ำรวยก็เห็นแก่ตัว มันก็ต่อสู้กันไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นในโลกนี้มันมีการต่อสู้กัน การ strike กันอะไรก็ตามระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หาความสงบสุขเท่าขี้เล็บมันก็ไม่ได้ ในโลกที่มันเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว
ขอแสดงความยินดีที่ท่านทั้งหลายสนใจในอุดมคติของคุณโกมล แต่ถ้าอยากเจริญรอยทำตามส่งเสริมแล้วจงช่วยกันตั้งหน้าใหม่ บากบั่น บากหน้าใหม่ไปสู่การทำลายความเห็นแก่ตัว ทำลายความเห็นแก่ตัว ช่วยกันมีความเสียสละทุกอย่างทุกประการเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว ทำลายความเห็นแก่ตัว ฉลาดเท่าไร ยิ่งทำลายความเห็นแก่ตัวเท่านั้น เดี๋ยวนี้ฉลาดเท่าไร มันเอาไปใช้เพื่อเห็นแก่ตัวเท่านั้น ดังนั้นการศึกษาในโลกมันเลวร้ายที่สุด มันมีแต่สอนให้ฉลาดอย่างเดียว มันไม่ควบคุมความฉลาด มันเอาความฉลาดไปเห็นแก่ตัว ไปเห็นแก่ตัว แล้วบนโลกนี้จะมีสันติสุขจะมีสันติภาพได้อย่างไร มันจะต้องเข้าใจข้อนี้ เข้าใจข้อนี้แหละ แล้วช่วยกันจัดการข้อนี้แหละ แล้วก็ไม่ต้องฆ่ากันตายล่ะ มันจะมีความสงบสุขได้ โดยทำลายศัตรูภายในคือความเห็นแก่ตัวๆ คนร่ำรวยก็ไม่เห็นแก่ตัว คนยากจนก็ไม่เห็นแก่ตัว มันก็อยู่กันอย่างลูกหลานที่ดี เศรษฐีใจบุญ ลูกหลานที่ดีอยู่กันไปได้ ถ้าเห็นแก่ตัวมันก็เป็นอยู่อย่างต่อสู้กัน คนร่ำรวยก็อยู่อย่างนายทุนกระดาษทรัพย์ ลูกจ้างก็อยู่อย่างผู้ต่อสู้ ผู้พร้อมที่จะทำลายนายจ้าง แล้วมันจะหาความสงบสุขมาแต่ไหน หมดความเห็นแก่ตัว หมดความเห็นแก่ตัวเพราะว่าเรามันมีปัญหาอย่างเดียวกัน มีปัญหาอย่างเดียวกัน ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องอ่ะเผชิญกับความทุกข์ตามธรรมชาติโดยเสมอกัน เราก็มาเป็นเพื่อนดีกว่า เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายกันดีกว่า แล้วปฏิบัติหน้าที่ของเพื่อน
พวกฝรั่งเขามากันที่นี่ทุกเดือน ร้อยกว่าคนต้นเดือนทุกเดือนๆ มาเอง อาตมาก็บอกเขาเรื่องนี้ บอกว่าทางรอดของเขาก็ไม่มีอะไร อยู่กันอย่างเพื่อน ไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ทุกคน ถ้าทำไม่ได้ก็บังคับจิตให้ได้ ทำวิปัสสนา ทำอ่าเจริญสมาธิวิปัสสนา สมาธิ ตลอดถึงสติสัมปชัญญะ ควบคุมความเห็นแก่ตัวให้ได้ มันก็ไม่มีปัญหาอะไรเหลืออยู่ มีคณะหนึ่งยกกองมาโดยเฉพาะจากฝรั่งเศส ยี่สิบกว่าคน โดยปัญหาที่ว่ามันไม่มีความสงบสุขในหมู่คนเหล่านั้น ไม่ใช่เฉพาะเท่านั้น เป็นจำนวนมากแล้วเขาๆก็ชวนกันมาจำนวนหนึ่งราวยี่สิบคน บอกว่ามันเต็มไปด้วยความเครียด มันไม่มีความหยุดเย็นเป็นสุขที่ไหน งานก็มีทำแยะ เป็นเจ้าของโรงแรมก็มี เป็นเจ้าของกิจการอย่างนั้นก็มี เป็นพนักงานชั้นหัวหน้า ชั้นทำงานที่มีเงินเดือนสูงแพงกันทั้งนั้น แต่ไม่รู้ยังไง มันไม่มีความหยุดเย็นเป็นสุขแม้แต่นิดเดียว มันมีแต่ความเครียด อาตมาก็อธิบายเขาอย่างนี้ว่าเรามันอยู่กันอย่างเห็นแก่ตัว คือมันอยู่กันอย่างลูกจ้างหรือนายจ้าง แม้มันจะอยู่กันอย่างผู้บังคับบัญชาหรือผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา มันก็ยังเห็นแก่ตัวอยู่นั่นแหละ มันไม่ได้ร่วมมือกันอย่างเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ดังนั้นขอให้คุณมาพิจารณากันใหม่ว่าเรา เอาควรจะอยู่กันอย่างไร ธรรมชาติกำหนดมาให้อย่างนี้แล้วเราควรจะอยู่กันอย่างไร ก็จะอยู่อย่างเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย รับผิดชอบร่วมกัน เป็นผู้ช่วยกันพัฒนาโลก ไม่มีใครเป็นลูกจ้างนายจ้างแก่ใคร ร่วมมือกันพัฒนาโลก เงินที่แบ่งปันให้นั้นก็เป็นค่าใช้สอยให้ช่วยกันพัฒนาโลก ไม่ใช่เงินเดือนไม่ใช่ค่าจ้าง อย่างนี้แล้วมันจะเกิดความรักที่จะอยู่กันอย่างเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย ความเครียดมันจะลดลงไป เราอยู่กันอย่างเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย มันถูกต้องตามที่ธรรมชาติมันกำหนดให้มา ธรรมชาติมีกฎของธรรมชาติเฉียบขาดที่สุด คล้ายกับระบุมาเสร็จแล้วว่า พวกแกอยู่กันอย่างเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย อย่าอยู่กันอย่างมึงก็มึง กูก็กู มึงก็มึง กูก็กู นี่คือความเห็นแก่ตัว แต่แล้วมนุษย์ไม่ทำตามนั้น มาอยู่อย่างมึงก็มึง กูก็กู มันก็เลยทะเลาะวิวาทกันไม่มีที่สิ้นสุด แล้วมันก็เกิดการต่อสู้กันระหว่างคนมั่งมีกับคนยากจน คนมีอำนาจวาสนากับคนด้อยอำนาจวาสนา เป็นคู่ต่อสู้กันไปไม่มีความเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกันเลย
ถ้าถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เราก็อยู่อย่างสังคมนิยม คือนิยมสังคม สังคมทั้งหมด อย่าไปนิยมบุคคลคนเดียว บุคคลคนเดียว ระบบเสรีประชาธิปไตยมันเปิดโอกาสให้คนๆเดียวทำอะไรได้ตามพอใจ มือยาวสาวเอา อย่างนี้มันเป็นระบบหนึ่งซึ่งไม่ถูกกับที่ธรรมชาติกำหนดมาให้ ธรรมชาติโดยแท้จริงมันกำหนดมาอยู่กันอย่างเพื่อน เป็นสังคม เพราะฉะนั้นระบบสังคมนิยมนั่นแหละถูกตามความจริงของธรรมชาติ และถูกตามความจริงของศาสนาทุกศาสนา อาตมากล้าท้าให้ท่านทั้งหลายไปเปิดดูพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของทุกศาสนา มันมีลักษณะเป็นสังคมนิยมทั้งนั้น อยู่อย่างรักเพื่อนทั้งหลาย เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย ไม่ๆตั้งใจจะมาอยู่คนเดียวโดด ขวนขวายไปตามลำพัง นี่สังคมนิยมมันเป็นที่ต้องการของธรรมชาติ หลักพระศาสนาทุกศาสนาเป็นสังคมนิยม แต่เดี๋ยวนี้มันไม่รู้ยังไงมันกลายเป็นคำที่น่ารังเกียจไปเสีย เขาชอบเสรีประชาธิปไตย เอาซินี่ สังคมนิยมนั้นถูกต้องตามธรรมชาติแต่ต้องประกอบด้วยความถูกต้อง ไอ้สังคมนิยมของ Karl Marx มันบ้าที่สุด มันสังคมของกรรมกรผู้แก้แค้น กรรมกรผู้แก้แค้น มันรวมหัวกันแก้แค้นจะเรียกว่าสังคมนิยมอะไรล่ะ ถ้าสังคมนิยมที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติแล้วมันก็เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย ไม่ใช่สังคมนิยมของผู้แก้แค้น นี่เรียกว่าไม่เห็นแก่ตัวเถิด ไม่เห็นแก่ตัวเถิด มันจะนำไปสู่สังคมนิยมที่ประกอบไปด้วยธรรมะ เราเรียกชื่อกันเสียใหม่ว่าธรรมิกสังคมนิยม อาตมาพูดเรื่องนี้ออกไปมีผู้แปลเป็นภาษาต่างประเทศก็ได้รับความสนใจอยู่ เขาพิจารณากันอยู่ในฐานะที่ว่ามันจะช่วยโลกได้หรือไม่ แต่อาตมายืนยันว่าเราจะต้องไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัวๆ เกิดระบบสังคมนิยม รักเพื่อนมนุษย์ทุกคนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย โพธิสัตว์ทั้งหลายจงช่วยกันทำความเข้าใจข้อนี้ ให้เป็นที่ปรากฎชัดแก่มนุษย์ทั้งหลาย แล้วเขาก็จะอยู่กันอย่างสังคมนิยมที่ประกอบไปด้วยธรรมะ เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย
เรามาช่วยสอนประชาชนทุกคนจะโง่เขลาอย่างไรเราก็ช่วยสอนให้เขารู้ให้เขาเข้าใจว่า อ่าความรู้สึกว่าตัวกู ว่าของกูนี่มันเป็นความคิดผิด เป็นมิจฉาทิฐิ เพราะโดยแท้จริงมันของธรรมชาติ ไม่ใช่ของตัวกู ไม่ใช่ของกู ไอ้ความโง่นี้มันเพิ่งเกิดมาทีหลัง แล้วมันก็อยู่ในสัญชาตญาณเสียด้วย สัญชาตญาณพื้นฐานของสิ่งที่มีชีวิต มันจะต้องมีความรู้สึกว่ามีตัวตนๆอ่าเป็นรากฐาน แต่ถ้าเพียงเท่านั้นไม่เป็นไร เพียงรากฐานสำหรับจะมีชีวิต สำหรับไม่ตาย ไม่ตาย อย่าไปเห็นแก่ตนเข้า อย่าไปเห็นแก่ไอ้รากฐานอันนั้นว่าเป็นตัวกู ว่าเป็นของกู ให้มันเป็นจุดสำหรับ สำหรับยึดถือว่ามีชีวิต มีชีวิต อย่างนี้ไม่เป็นไร ทีนี้มีชีวิตมีตัวตนอย่างนี้แล้วมันเห็นแก่ตน เห็นแก่ตนๆ นี่มันเป็นกิเลส เพิ่มเข้าทีหลังๆมันกลายเป็นเห็นแก่ตน นี่เป็นความโง่ที่เพิ่งมา ขอให้สังเกตดูอย่างนี้ว่า ตามีระบบประสาท เห็นรูปโดยตา แต่เราก็มีความโง่ว่ากูเห็นรูป ไอ้กูเห็นรูปกับตาเห็นรูปมันผิดกันมาก ถ้าตาเห็นรูปมันเพียงแต่ตามธรรมชาติ แก้ไขไปตามธรรมชาติก็ได้ ไม่ๆต้องเกิดเป็นบวกเป็นลบ เกิดเป็นกิเลสตัณหาอะไร หูได้ยินเสียงก็ว่าหูได้ยินเสียง อย่ากูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่นก็ระบบประสาทมันได้กลิ่น จะควรทำอย่างไรก็ทำไม่ต้องให้เกิดตัวกู ให้เป็นบวกเป็นลบ เป็นทุกข์เป็นอะไรขึ้นมา ลิ้นได้รสนี่สำคัญมากเพราะว่ามันกินอาหาร มันจริงจังกันอยู่ทุกคนและทุกวันเพราะลิ้นได้รส อร่อยหรือไม่อร่อย แต่มันอยู่แค่ลิ้นนี่ อย่ากูเข้าไปแทรก กูอร่อย หรือกูไม่อร่อย ถ้าลิ้นได้รส อร่อยหรือไม่อร่อยมันก็จัดการไปตามเรื่องของลิ้น แต่ถ้ากูไม่อร่อยมันก็จัดการกับแม่ครัว จัดการกับคนปรุงอาหาร มันก็เกิดเรื่องเป็นบวกเป็นลบ วุ่นวายไปในห้องอาหารเลย นี่กูนี้เพิ่งมา กูนี่ผีหลอก ไม่ใช่เรื่องจริง เพิ่งมา เมื่อตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส ผิวหนังกระทบโผฎฐัพพะ จิตใจกระทบกับความคิดที่เกิดขึ้น แล้วมันเกิดทีหลังๆ นั่นแหละเป็นอนัตตา มันไม่ได้มีอยู่จริง มันเพิ่งเกิดทีหลัง เช่นจะกินอาหารอร่อย นี่มันเพิ่งก็เกิดความรู้สึกว่ากูอร่อยนี่ ไอ้ตัวกูผีหลอกเพิ่งเกิดทีหลัง ไม่ได้มีอยู่จริง ไม่ได้เกิดรออยู่ก่อนหรอก เพิ่งเกิดเมื่อมันมีความอร่อยหรือไม่อร่อย ฉะนั้นไอ้ตัวกูๆนี่มันเกิดทีหลังความอยาก ความต้องการ คนมันมีความอยาก มีความต้องการไปตามแบบบวกหรือลบก็ตามน่ะ ไอ้ความอยากมันเข้มข้นเข้า เข้มข้นเข้า มันเกิดความรู้สึกเป็นตัวกูผู้อยาก นี่ตัวกูผู้อยากนี้มันเกิดทีหลังความอยาก มันเกิดมาจากความอยาก นั่นแหละคืออนัตตาในพระพุทธศาสนา ตัวกูที่เป็นผู้อยากนั้นมันเกิดทีหลังความอยาก ถ้าอย่ามีความอยาก ตัวกูมันก็ไม่เกิด เดี๋ยวนี้ความเป็นบวกหรือเป็นลบ ในการสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจมันทำให้เกิดอยากอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นบวกก็อยากอย่าง เป็นลบก็อยากอย่าง สรุปความว่ามันก็ตรงกันข้ามว่าอันหนึ่งมันอยากจะเอา อันหนึ่งมันอยากจะทำลาย มันก็เกิดตัวกู เพื่อจะเอา และตัวกูผู้จะทำลาย มันก็ได้เรื่อง มันก็ต้องเป็นทุกข์ และทำแก่กันและกันให้เป็นทุกข์ ดังนั้นรู้จักว่าไอ้ตัวกู ตัวกู นี่มันเป็นผีหลอก ไม่ใช่ของจริง แต่เกิดขึ้นมาแล้วมันยิ่งกว่าจริง มันปฏิบัติไปตามนั้นจริงๆ มันจึงเอาเปรียบผู้อื่น ทำลายผู้อื่นหรือว่าทำลายโลกเลย สร้างมลภาวะ สร้างสิ่งที่ไม่ควรจะสร้าง ของใหม่ๆซึ่งไม่เคยเกิดมาแต่ก่อนมันก็ได้สร้างขึ้นมา โรคอะไรบ้าๆบอๆที่กำลังเป็นปัญหากันทั่วโลกน่ะ โรคเอดส์หรือโรคแอดนั่นอาตมาเรียกของเขาไม่ถูกหรอก แต่มันกำลังเป็นปัญหาทั่วโลก เป็นปัญหาทั่วโลก มันไม่เคยเกิด มันเพิ่งเกิดเมื่อมันมีความเห็นแก่ตัวๆ ไปแสวงหาความสุขสนุกสนานเพลิดเพลินเกินความจำเป็น เกินความต้องการตามธรรมชาติ ไอ้โรคนี้มันก็เกิดขึ้นมา ขออภัยนะขอใช้คำว่า หมามันยังไม่เกิดโรคอย่างนี้ แล้วคนจะดีกว่าหมาไปได้อย่างไร เมื่อหมามันยังไม่เกิดโรคอย่างนี้ แล้วคนมันมาเกิดโรคอย่างนี้ แล้วคนมันจะดีกว่าหมาไปได้อย่างไรเล่า ความเห็นแก่ตัวๆ สร้างปัญหาเรื่องโรคอะไรไม่รู้นี้ขึ้นมาในโลก สร้างปัญหายาเสพติดอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ในโลก เต็มไปด้วยโรคซึ่งมันไม่เคยเกิดแก่คนป่า คนป่าสมัยไม่นุ่งผ้ามันไม่มีปัญหายาเสพติดเหมือนคนสมัยนี้ เพียงแต่สองปัญหานี้มันก็แย่แล้ว มันหมดความเป็นมนุษย์แล้ว เรื่องโรคเอดส์ก็ตาม เรื่องปัญหายาเสพติดก็ตาม เราก็เบียดเบียนกัน เบียดเบียนกันมากขึ้น สักวันหนึ่งมันยั้งไม่อยู่ มันก็เอาระเบิดปรมาณูใส่กันทำลายโลกไปเลย นี่ขอให้ดูเถอะว่าโลกมันอะใกล้เข้าไปแล้วต่อความวินาศ เพราะอะไร เพราะความเห็นแก่ตัวมันเพิ่มพูนขึ้น เพิ่มพูนขึ้นๆ ดังนั้นการทำบุญกุศลสูงสุดในรูปมูลนิธิก็ตาม อะไรก็ตาม ขอให้เป็นไปเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว ให้มันลดความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ในโลก ให้มนุษย์ลดความเห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัว จนไม่มีความเห็นแก่ตัว เมื่อนั้นเราก็สบาย เลิกคุก เลิกตะราง เลิกตำรวจ เลิกศาล เลิกโรงพยาบาลบ้า เลิกอะไรหมด ไม่ต้องมีปัญหาเพราะไม่เห็นแก่ตัว
อย่าว่าอาตมาเอาเปรียบนะ อาตมาจะขอกล่าวว่าถ้าจะเอาอุดมคติจากการความคิดหรือการกระทำของคุณโกมล คีมทองกันบ้างแล้วขอให้สนใจเรื่องนี้เถอะ สนใจเรื่องลดความเห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัว คือความรู้ที่ถูกต้องที่คุณโกมลต้องการจะไปเผยแผ่ให้คนในชนบทรู้และจนถูกทำลายชีวิต เพราะว่ามันผิดจังหวะ มันผิดเวลา หรือผิดสถานที่อะไรอยู่ เดี๋ยวนี้เราไม่ทำให้มันผิดอย่างนั้น ให้มันสำเร็จประโยชน์ ให้มันลดความเห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัว คนโง่ก็ไม่เห็นแก่ตัว คนฉลาดก็ไม่เห็นแก่ตัว คนจนก็ไม่เห็นแก่ตัว คนร่ำรวยก็ไม่เห็นแก่ตัว เศรษฐีก็ไม่เห็นแก่ตัว ขอทานก็ไม่เห็นแก่ตัว จนไม่ละอายสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานเห็นแก่ตัวน้อยมาก เห็นแก่ตัวแบบสัญชาตญาณนิดๆหน่อยๆ ไม่เท่าไหร่ แต่มนุษย์นี่มันระดมทุ่มเทสติปัญญามหาศาลไปเห็นแก่ตัวด้วยปัญญามหาศาล ปัญญาโง่ ปัญญาทำลายโลก นี่ขอให้ช่วยกันตั้งหน้ามุ่งหมายทำลายไอ้ปัญญาโง่ ปัญญาทำลายโลกที่เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว ให้เห็นแก่ตัว มันก็จะเกิดลักษณะคีมทองคำ เฉลียวฉลาดเป็นโกมล โกมะละแปลว่าสติปัญญา นี่เกิดอะสิ่งที่สามารถตัดปัญหาที่จะทำให้โลกนี้พินาศฉิบหายไปได้โดยแน่นอนน่ะ และขอยืนยันว่าบุญกุศลไม่มีอะไรจะสูงไปกว่านี้ นี่คือประโยชน์อันแท้จริงอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรจะสูงไปกว่านี้ คือมาร่วมมือกัน ร่วมมือกันทำลายความเห็นแก่ตัวให้มันหมดไปจากโลก แล้วโลกนี้ก็จะมีลักษณะเยือกเย็น เยือกเย็น เป็นมิตร เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย อย่างเฉลียวฉลาด อย่างไม่สร้างปัญหาใดๆขึ้นมา
ถ้ายังเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวอยู่อย่างนี้ปัญหามันจะเพิ่มขึ้นๆ ตามความก้าวหน้าทางของความเห็นแก่ตัวของสติปัญญาที่เห็นแก่ตัว ผลิตออกมาแต่สิ่งที่ส่งเสริมกิเลสและความเห็นแก่ตัว ไอ้ระบบอุตสาหกรรมนั่นแหละมันจะบ้าบอที่สุด มันจะผลิตออกมาแต่สิ่งที่ส่งเสริมความเห็นแก่ตัวคือกิเลส แล้วมันก็เก่งในทางโฆษณา มันเก่งในทางโฆษณา มันก้าวหน้ามากมายในการโฆษณา มันก็โฆษณา จนคนต้องซื้อทั้งนั้นแหละแม้จะเกิน เกินความจำเป็นอะไรมันก็ซื้อกันทั้งนั้นน่ะ กลับไปดูที่บ้านที่เรือนของตัวเสียใหม่อะไรมันเกินจำเป็นแล้วขยับขยายออกเสียบ้าง อย่าไปซื้อมาเพิ่มเข้าอีกถ้ามันเกินจำเป็น ระบายออกไปๆ รถยนต์คันเดียวก็พออย่าไปซื้อคันที่สองเข้ามา เดี๋ยวนี้มันเก่งในทางโฆษณา อาตมานั่งเฝ้าดูไอ้การเก่งในทางโฆษณาหนังสือพิมพ์ในประเทศนอกประเทศ แหมมันเก่งทางโฆษณา มันโฆษณา ไอ้ยายแก่ คุณยายแก่ๆขี้เหนียวซื้อตู้เย็นเมื่อไรก็ได้นะ นี่มันเก่งถึงขนาดนี้ แล้วอะไรมันก็ออกมาๆๆ เป็นเหลือเกินความจำเป็นที่จะมีชีวิตอยู่ มันก็ยุ่ง ยุ่งแสนจะยุ่ง แล้วมันก็ได้ทะเลาะวิวาท อันธพาลก็เกิดหนาขึ้นมาในโลก เพราะว่าสิ่งที่มายั่วยวนให้อันธพาลอยากได้อยากมีมันมากขึ้นๆ เมื่ออันธพาลเขาหาไม่ได้ด้วยเงินอันถูกต้อง เขาก็ต้องขโมย ต้องปล้น ต้องจี้ ต้องทำอย่างอันธพาล เพื่อจะเอาทรัพย์นั้นมาซื้อหาสิ่งที่กิเลสของเขาต้องการ อันธพาลก็เต็มไปในโลก แล้วจะโทษใคร จะโทษใคร
สงครามเกิดขึ้นในโลกเพราะความเห็นแก่ตัว ไม่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ของทั้งสองฝ่าย ถ้าไม่อย่างนั้นสงครามเกิดไม่ได้ การทะเลาะวิวาทระหว่างบุคคลนี้ก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัว มันเกิดไม่ได้หรอก อุบัติเหตุกลางถนนรถชนกันอะไรชนกัน ก็มันมีความเห็นแก่ตัวไม่ของฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง หรือของทั้งสองฝ่ายน่ะ เพราะมันเห็นแก่ตัว มันไม่ยอมลดราวาศอก มันยกหูชูหางมันจะทำให้มากเกินๆๆๆความจริง เกินความจำเป็นไปเสียอีก นี่ความเห็นแก่ตัว ข้อนี้ต้องกระซิบ พูดเบาๆว่าถ้าคนในกรุงเทพยังเห็นแก่ตัว ยุงจะเป็นผู้ครองกรุงเทพอยู่ตลอดเวลา ยุงจะครองกรุงเทพอยู่ตลอดเวลา ถ้าชาวกรุงเทพลดความเห็นแก่ตัวลงคนละครึ่งไม้ครึ่งมือเท่านั้นแหละ ยุงอยู่ไม่ได้ ยุงหมดไปจากกรุงเทพ นี่ดูกันง่ายๆอย่างนี้เถิดว่ามันเป็นเรื่องอะไร เป็นเรื่องอะไร ความเห็นแก่ตัวมันทำอะไรให้เกิดขึ้น เราขออนุโมทนาในความปรารถนาของคุณโกมล ที่เผยแผ่ความสงบสุขความถูกต้องให้เป็นที่แจ่มแจ้งแก่คนทั่วไป แต่มันผิดเวลาผิด มันผิดโอกาสในส่วนนั้น มันต้องเสียชีวิต ดังนั้นถ้าจะไม่ให้อุดมคติของเขาไม่เป็นหมันไม่หยุดชะงักก็ช่วยกันต่อไป ช่วยกันต่อไป ทำให้เกิดความรู้ให้ถูกต้อง ฉลาดๆในทางที่จะไม่เห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดยิ่งแก่ผู้อื่น ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ความถูกต้องๆๆ ธรรมะสูงสุดในพระพุทธศาสนาคือความคงที่อยู่ในความถูกต้อง
เครื่องรางสูงสุดศักดิ์สิทธิ์จนตีราคาไม่ไหวน่ะ ไม่ใช่พระเครื่อง แต่ว่าความคงที่อยู่ในความถูกต้อง มีความคงที่อยู่ในความถูกต้อง จะเป็นเครื่องคุ้มครอง เป็นเครื่องรางคุ้มครองทุกสิ่งทุกอย่างไม่ให้มาแผ้วพานใดๆน่ะ พระเครื่องจริงๆอยู่ที่ความคงที่ อยู่ในความถูกต้อง อันเป็นธรรมะสูงสุดในพระพุทธศาสนา เจริญสมาธิวิปัสสนาเห็นความจริงมาตามลำดับๆๆ จนเห็นอนิจจตาความไม่เที่ยง ทุกขตาความเป็นทุกข์ตามธรรมดา อนัตตาความไม่ใช่ตน ธัมมัฏฐิตตาเพราะมันเป็นเช่นนี้เอง ธัมมนิยามตาเพราะมีกฎธรรมชาติบังคับอยู่ อิทัปปัจจยตา มันต้องเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัยที่ปรุงแต่งมันอยู่ โอ้, สุญญตา สุญญตา ว่างๆๆ จากตัวตน ตถาตา ตถาตา โอ้, มันเป็นเช่นนี้เอง เป็นเช่นนี้เอง มันก็คงที่ๆๆ เพราะมันเป็นเช่นนี้เอง คงที่อยู่ในความถูกต้อง ไม่มีอะไรมาดึง มาผลักไส มากระชากไปให้มันผิดไปจากความถูกต้อง มันคงที่อยู่ในความถูกต้อง แข็งโก๊กอยู่ในความถูกต้อง นั่นแหละจุดสูงสุดของพระธรรม โดยเฉพาะของพระพุทธศาสนา คงที่อยู่ในความถูกต้อง เราจงมีการศึกษา การก้าวหน้าในชีวิต ในหน้าที่การงานให้คงที่อยู่ในความถูกต้องยิ่งๆขึ้นไป ยิ่งๆขึ้นไป แล้วก็จะไม่มีความทุกข์ใดๆ แม้แต่ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นของน่าหัวเราะ หัวเราะมันกลับไป มันเป็นของเช่นนั้นเอง จิตคงที่อยู่ในความถูกต้อง ตัวไม่เป็นทุกข์ ไม่เป็นอะไร ไม่เป็น คงที่อยู่ในความถูกต้อง สงบเย็นและเป็นประโยชน์
จุดสูงสุดของการพัฒนาจิตสูงสุดในทางพระศาสนาโดยเฉพาะพระพุทธศาสนานี้แล้ว จิตมีคุณสมบัติสองอย่างสูงสุด คือสงบเย็นๆๆ ไม่สงบเย็นอย่างเดียว เป็นประโยชน์ๆๆ แก่ผู้อื่นด้วย สองอย่างนี้พอไหม สงบเย็นๆ ไม่มีปัญหา ไม่มีร้อน แล้วเป็นประโยชน์ๆ แค่นี้พอไหม อาตมาคิดว่าพอ ถ้าเกินนี้ก็จะบ้าอีกแล้ว ถ้าเกินสองอย่างนี้จะบ้าขึ้นมาอีกแล้ว อย่าไปต้องการให้มันเกินสิ สงบเย็นๆ แล้วก็อยู่อย่างเป็นประโยชน์แก่กันและกัน โลกนี้ก็จะเป็นโลกของพระศรีอริยเมตไตรย์ มีแต่ความสงบเย็นและเป็นประโยชน์ อย่าให้มากกว่านั้นเลย เดี๋ยวมันจะเกิดโรคอะไรไม่รู้ ที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าโรคเอดส์เข้ามาครองงำอีก เอาแต่ที่ถูกที่พอดี เรียกว่าถูกต้อง เรียกว่าพอดีตามหลักของพระพุทธศาสนา คงที่ๆอยู่ในความถูกต้อง เปรียบความคงที่ๆยิ่งกว่าภูเขาเลากา ภูเขาเลากาเป็นภูเขาใหญ่ยาว หิมาลัยยาวสองพันไมล์ ภูเขาแอลป์ในยุโรป ภูเขาร็อคกี้ในอเมริกามันก็ยาวใหญ่มากมาย แต่มันก็ยังหวั่นไหวในเมื่อแผ่นดินมันหวั่นไหว ถ้าแผ่นดินไหว ไอ้สิ่งเหล่านี้มันก็หวั่นไหว เอ้า, เรามามีจิตคงที่ คงที่ๆ แผ่นดินมันจะไหว จิตมันไม่หวั่นไหว จิตมันคงที่อยู่ในความถูกต้อง คงที่อยู่ในความถูกต้อง มันก็หมดปัญหา มันไม่มีความทุกข์ ความคงที่สูงสุดก็เรียกว่าสุญญตา เพราะมันว่าง มันไม่มีอะไรจะหวั่นไหว ความหวั่นไหวมันเกิดไม่ได้ มันมีแต่ความรู้เรื่องอนัตตา เรื่องสุญญตา มันไม่มีอะไรจะหวั่นไหว มันไม่เกิดความรู้สึกเป็นบวก ไม่ๆเกิดความรู้สึกเป็นลบ เดี๋ยวนี้โลกมันกำลังโง่นะ ขออภัยถ้าพูดมันหยาบคายว่าโลกทั้งโลกมันกำลังโง่ๆๆ มันไปบูชาบวก อะไรก็ต้องการให้เป็นบวก ให้พรก็ต้องให้เป็นบวก เป็น positive positive อะไรก็ positive positive ก็คือบ้าให้หลงมากขึ้นนั่นเอง อย่าบวกอย่าลบสิ เหนือบวกเหนือลบสิ ความจริงอันสูงสุดต้องเหนือบวกเหนือลบ ศาสนาหลายพันปีมาแล้วเช่นศาสนายิวก็ว่าอย่าไปกินผลไม้ของต้นไม้ที่ทำให้รู้จักดีรู้จักชั่ว good and evil นั่นแหละคือบวกและลบ อย่าไปแยกแยะคือจับอันนั้นเป็นบวก ไอ้นี่เป็นลบ มันเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง ไม่เป็นบวก ไม่เป็นลบ มันก็ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย มันก็ไม่เกิดกิเลสประเภทบวก มันไม่เกิดกิเลสประเภทลบ มันไม่เกิดกิเลสประเภทหลงรักๆ ไม่เกิดกิเลสประเภทที่จะฆ่าที่จะทำลาย มันไม่ขึ้น มันไม่ลง มันไม่ผลักออก มันไม่ดูดเข้าน่ะ เพราะมันไม่เป็นบวกและมันไม่เป็นลบ เดี๋ยวนี้อะไรมาหน่อยก็เป็นบวกเป็นลบ ตาเห็นรูปมันก็โอ้ สวยหรือไม่สวย ถ้าสวยก็เป็นบวก ไม่สวยมันก็เป็นลบ แล้วความคิดมันก็เดินไปตามนั้นน่ะ มันก็นำไปสู่การกระทำ ก็มีปัญหาขึ้นมา เราจึงมีชีวิตโง่เขลา เป็นบวกและเป็นลบ แล้วมันก็กัดเจ้าของ
และขอฝากไว้อีกคำนะว่า ชีวิตโง่เขลา กัดเจ้าของ คือชีวิตที่มันหลงบวก หลงลบ แล้วเป็นไปตามบวก เป็นไปตามลบ ชีวิตชนิดนี้มันกัดเจ้าของ พวกฝรั่งมาที่นี่กันเป็นเดือนละร้อยกว่าคน เขาชอบคำนี้มากที่สุด เขาพอใจในคำนี้ นี่เขาจะได้ยังมากันติดต่อเรื่อยว่าเขาได้พบชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ก่อนหน้านี้เขามีแต่ชีวิตที่กัดเจ้าของเป็นประจำวัน เดี๋ยวความรักกัด เดี๋ยวความโกรธกัด เดี๋ยวความเกลียดนั่นเกลียดนี่กัด เดี๋ยวความกลัวนั่นนี่กัด เดี๋ยวก็ความตื่นเต้นไปตามเหตุการณ์ ไปทางการเมือง ไอ้ความตื่นเต้นๆมันรบเร้า มันกัด หรือความวิตกในอนาคต กังวลในอนาคตกัด เดี๋ยวอาลัยอาวรณ์ในอดีตกัด เดี๋ยวอิจฉาริษยากัด เดี๋ยวความหวงกัด เดี๋ยวความหึงกัด มันกัดไปจนหมด ชีวิตมันกัดเจ้าของ ไม่สงบเย็น ทีนี้เรามาแนะเขาว่ามันมีวิธีที่จะทำให้หยุดเย็นไม่กัดเจ้าของ คือรู้ความจริงของชีวิต ตามหลักเกณฑ์แห่งปฏิจจสมุปบาทหรืออิทัปปัจจัยตา แล้วบังคับมันให้ได้ด้วยสติที่สมบูรณ์ เพราะปฏิบัติอานาปานสติ ได้เครื่องมือวิเศษสุดคือสติปัญญาสูงสุด ควบคุมกระแสแห่งการปรุงแต่งในชีวิตจิตใจได้ มันเลยไม่กัดเจ้าของ ชีวิตนี้ไม่กัดเจ้าของ มีแต่ความหยุดเย็น สงบเย็นๆ และก็เป็นประโยชน์แก่ทุกคนและแก่ทุกฝ่าย เขาก็พอใจ เขาจึงมากันเรื่อยๆนี่ ไม่ได้นัด ไม่ได้เชิญ ไม่ได้ชวน ไม่ได้ออกหนังสือหนังหา มากันเองเหมือนกับตลาดนัด แม่ค้ามันมากันเอง นี่มากันตั้งสามสี่ปี ด้วยเรื่องธรรมะนี่ ทีนี้ช่วยจำไว้ด้วยว่าเราจะมีชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของ แม้แต่สุนัขมันยังไม่กัดเจ้าของเลย สุนัขตัวไหนกัดเจ้าของนั้นใช้ไม่ได้ อย่าเอาไว้ ชีวิตนี้ก็เหมือนกัน ถ้ามันกัดเจ้าของล่ะก็ใช้ไม่ได้ ต้องจัดการเสียใหม่ อย่าให้มันกัดเจ้าของ ก็คืออย่าให้มันหลงบวก หลงลบ อย่าให้มันบ้าดี บ้าชั่ว บ้าดี บ้าชั่ว ให้มันเหนือดีเหนือชั่ว เหนืออำนาจการปรุงแต่งของบวกและลบ พวกเต๋าของเล่าจื้อก็สอนกันมาสามพันปีแล้ว อย่ายิน อย่ายาง อย่าอิน อย่าเอี้ยม อย่านั้นน่ะคืออย่าบวกอย่าลบ พวกยิวหลายพันปีก็สอนมาแล้วอย่า good and evil พุทธศาสนาก็อย่ายินดีอย่ายินร้าย พวกฮินดูก็อย่าปุญญะ อย่าปาปะ อย่าบุญอย่าบาป แล้วก็อยู่เหนือมันเสีย ไอ้ความสงบสุข สิ่งที่หลบพ้นไปจากความทุกข์มันก็คือความอยู่เหนือบวก อยู่เหนือลบ ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องดีใจ ไม่ต้องเสียใจ เสียใจก็โง่ ดีใจก็โง่ หัวเราะก็โง่ ร้องไห้ก็โง่ ไม่ต้องเป็นบวก ไม่ต้องเป็นลบ นั่นแหละจุดที่สูงสุด จุดเย็นสูงสุดที่มนุษย์จะต้องเข้าไปให้ถึง มีชีวิตสงบเย็นและเป็นประโยชน์ อ่าขอฝากไว้ให้เราทุกคนช่วยกันส่งเสริมให้เพื่อนมนุษย์ของเรารู้จักสิ่งนี้ เข้าถึงสิ่งนี้ มีความก้าวหน้าในทางจิตใจ ไม่หลงบวก ไม่หลงลบ อย่าให้การโฆษณาหลอกลวงของไอ้นักวัตถุนิยมมาหลอกลวงมาโฆษณาให้เราหลงไปตามความหลอกลวง อย่าไปโทษเขาเลย อย่าไปโทษนายทุนนายทงอะไรเลย โทษความโง่ของตัวเองดีกว่า อย่าไปบวกอย่าไปลบกับมันสิ แล้วมันก็ทำไม่ได้ มันก็เลิกไปเอง โรงงานมันก็ปิดไปเอง อย่าไปหลงบวก อย่าไปหลงลบ มาชี้แจงกันตรงนี้อย่าไปหลงบวก อย่าไปหลงลบ อย่าทำลายความถูกต้องของธรรมชาติ เป็นคนที่ซื่อตรง ซื่อตรงต่อธรรมชาติ
คนโบราณ คนไทยโบราณมีธรรมะในพระพุทธศาสนาแล้วก็สอนกันง่ายๆนะ สอนให้ลูกเด็กๆทั้งหลาย สอนกันง่ายๆว่า อย่าคิดว่าชีวิตนี้เป็นของกู ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศวิญญาณธาตุทั้งหลายที่ประกอบกันขึ้นเป็นอัตภาพนี้ไม่ใช่ของกู มันของธรรมชาติให้ยืมมา ธรรมชาติให้ยืมมา ดินน้ำลมไฟอากาศวิญญาณ มาเป็นชีวิตมาเป็นร่างกายมาเป็นจิตใจนี้ ให้ยืมมา ยืมมา เอามาพัฒนาให้ยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป ให้มันมีความสงบเย็นถึงที่สุด ถึงที่สุดอย่างที่เรียกว่านิพพาน นิพพานนั่นแหละถึงที่สุด แต่อย่ากล้าคิด หรืออย่าโง่ไปคิดว่าของกู ของกู เพราะคิดอย่างนั้นมันโกงธรรมชาตินี่ มันขี้ฉ้อนี่ มันตระบัดของธรรมชาติที่ยืมมาใช้มาเป็นของกู ถ้าอย่างนี้มันจะต้องถูกลงโทษ ชีวิตนั้นแหละมันจะกัดเจ้าของ เพราะมันไปขบถธรรมชาติผู้ให้ยืมมาว่ามันเป็นของกู ดังนั้นขอบใจธรรมชาติ ขอบใจธรรมชาติ พัฒนาเอาตามต้องการ พัฒนาเอาตามต้องการ ชีวิตร่างกายนี้พัฒนาเอาตามต้องการ พัฒนาเอาตามต้องการ ขอแต่เพียงอย่าไปตู่ว่าของกู ปล่อยเป็นของธรรมชาติไปจนตลอดชีวิต แม้จิตจะเลิกจะดับไปที่เรียกว่าความตายก็ไม่มีการโง่กว่าเป็นของกู นี่นะไม่ๆโกง เป็นคนไม่โกง ไม่โกงธรรมชาติ อย่างนั้นมันง่ายดี เป็นการคิดที่ง่ายดี พัฒนาๆ ธรรมชาติให้ยืมมา ธรรมชาติให้ยืมมา ไม่คิดดอกเบี้ย ไม่คิดค่าสึกหรอ ไม่คิดอะไรหมดน่ะ แต่พัฒนาเอาตามชอบใจเถอะ มันถูกต้อง ถูกต้อง สูงสุดขึ้นไป มีชีวิตสงบเย็นและเป็นประโยชน์ นี่คนแก่ๆเขาสอนกันแต่โบราณง่ายๆว่า อย่าเอามาเป็นของกู มันเป็นอนัตตา อนัตตา กูซึ่งมิใช่กู กูซึ่งมิใช่กู ตนซึ่งมิใช่ตน แม้จิตจะมันจะรู้สึกว่าตน หรือปากมันจะพูดว่าตนว่ากู แต่จิตที่ถูกต้องอย่าๆๆ อย่าคิดว่าตน ของตน อย่าเป็นกู ของกู
ประโยคนี้ก็อีกประโยคหนึ่งที่พวกฝรั่งชอบกันมากนัก เรามีตัวตนซึ่งมิใช่ตัวตน มีตัวตนซึ่งมิใช่ตัวตน ตัวตนเป็นเพียงความคิดสำหรับคิด คือพูดๆๆ กันว่าตัวตน ของตน แต่ใจอย่าไปคิด มั่นเหมาะตัวตนว่าเป็นตัวตน ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ตัวตนเป็นเพียงความคิด We, we are we, which is not the real we ไม่ใช่ real we ไม่ใช่มีตัวตนที่แท้จริง แต่ความคิดก็คิดว่าตัวตน ปากมันก็พูดว่าตัวตน ช่างหัวมัน ถ้ามันคิดว่าตัวตนทั้งที่ไม่ใช่ตัวตนก็ไอ้นั้นให้มันช่วยตัวมันเองก็แล้วกัน ตัวตนซึ่งมิใช่ตัวตนช่วยตัวมันเองก็แล้วกัน ตัวตนเป็นความคิดที่โง่ เพิ่งเกิดมาจากความอยาก ความต้องการ ความรู้สึกทางจิตใจจะเป็น emotion ใดๆรุนแรงขึ้นมา ถึงที่สุดแล้วมันก็จะงอกออกมาเป็นความโง่ว่าตัวกู ว่าของกู นี่เป็นธรรมดาอย่าไปเอากับมัน ให้เห็นว่าโอ้, ไอ้ตัวตน ตัวตนนี้มันมาทีหลัง มันมาจากความโง่ว่าตัวตน มันมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามธรรมชาติแล้ว และก็เกิดโง่ว่าตนกระทำ มีการกระทำตามธรรมชาติ ตาเห็นรูป เอ้า, หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รสตามธรรมชาติ แล้วมันโง่ว่าตัวตน ตัวกูๆ กระทำ นี่ตัวกูเป็นความโง่ที่เพิ่งเกิดมาทีหลังการกระทำ เพราะมันเป็นผีหลอกนี่ มันก็มีได้สิ ไม่มีตัวผู้กระทำ แต่มันมีการกระทำตามธรรมชาติ เช่นเห็นรูป ฟังเสียง ดื่มๆ ดมกลิ่น ลิ้มรส นี่ตามธรรมชาติ แล้วมาโง่ทีหลังว่ากูเห็นรูป กูฟังเสียง กูดมกลิ่น กูลิ้มรส นี่แหละตัวกู เป็นความโง่มาทีหลังการกระทำ เลยสรุปเป็นประโยคขึ้นมาอีกประโยคหนึ่งว่า ผู้กระทำเกิดทีหลังการกระทำ ผู้กระทำเกิดมาจากการกระทำ บางคนอ้อ, ว่านี่ผิด logic แล้ว ไม่เชื่อๆ ไม่มีผู้กระทำมันจะเกิดการกระทำได้อย่างไร เราก็บอกว่าตามธรรมชาติมันมีการกระทำตามธรรมชาติ ตามันมีระบบประสาทที่ตามันก็เห็นรูป หูมันมีระบบประสาทที่หูมันก็ได้ยินเสียง จมูกมันมีระบบประสาทมันก็ได้กลิ่น มันมีการกระทำตามธรรมชาติ แล้วความโง่ก็ไปสวมรอยว่ากูๆๆ กูเห็นรูป กูยินเสียง กูได้ยิน กูทุกอย่างนี่ ผู้กระทำไม่ใช่มีตัวจริง เป็นผีหลอก เกิดมาจากการกระทำที่เป็นไปตามธรรมชาติ ถ้ารู้ความจริงข้อนี้แล้วคือรู้เรื่องอนัตตา อนัตตา ตัวตนซึ่งมิใช่ตัวตน ตัวตนที่เป็นผลิตผลของอวิชชาความโง่ ทำให้คิดว่าเป็นอย่างนั้น ชีวิตประจำวันนั้นมันมีความอยากคือตัณหา ความต้องการอยากในทางบวกหรือในทางลบก็ตาม พอมีความอยากเกิดขึ้นเต็มที่แล้วมันก็เกิดความโง่ขึ้นมาเองว่ามีตัวกู ผู้อยาก อย่างนี้เรียกว่าชาติ คือความเกิดในชีวิตประจำวัน ชา-ติ ความเกิด เกิดแห่งตัวกูของกูในชีวิตประจำวัน วันหนึ่งไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้ง ชาติอย่างนี้เป็นทุกข์ทุกที เมื่อเกิดมากพอสมควรแล้วก็จะรู้พระนิพพาน คือเบื่อแล้วก็อยากจะนิพพาน ดังนั้นตัวกูเป็นผีหลอกไม่ได้มีอยู่จริง เป็นปฏิกิริยาที่มาจากการกระทำ หรือความรู้สึกของความอยากเป็นต้น เรามีตาเห็นรูป รูปสวยก็อยากไปทางหนึ่ง ไม่สวยก็อยากไปอีกทางหนึ่ง หูได้ฟังเพราะก็อยากไปทางหนึ่ง ไม่เพราะก็อยากไปทางหนึ่ง จมูกได้กลิ่นหอมก็อยากไปทางหนึ่ง เป็นคู่กัดกันอย่างนี้ เป็นความอยากๆๆๆ แล้วเกิดความโง่ทับลงไปว่ากูผู้อยาก กูผู้อยาก แล้วก็เป็นกิเลสบวก และโลภะ ราคะ เกิดกิเลสลบเป็นโทสะ โกธะ อยากจะฆ่า อยากจะทำลาย เกิดกิเลสโง่ เป็นโมหะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ได้แต่วิ่งเต้นอยู่รอบๆอย่างนี้ก็เป็นโมหะ นี่ราคะ โทสะ โมหะ ทั้งสามประเภทนี้ก็เกิดขึ้นย่ำยีคนโง่ กลายเป็นชีวิตที่กัดเจ้าของอยู่ตลอดเวลา ยังไม่เป็นมนุษย์ที่ถูกต้องและสมบูรณ์
จงมีความรู้เรื่องนี้ให้เพียงพอ ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องดีใจไม่ต้องเสียใจ มีอะไรเกิดขึ้นก็ทำไปตามที่ควรจะทำ โดยไม่ต้องมีตัวกูให้มันเป็นเรื่องของธรรมชาติล้วนๆ มันก็รู้จักทำของมันเอง ความทุกข์มันก็ไม่เกิด มันไม่มีความต้องการที่เป็นตัวกู มันไม่มีภพ ภวะ ไม่มีชาติ นั่นแหละพระนิพพานเป็นที่นี่ นิพพานที่นี่เดี๋ยวนี้ ไม่เกิดตัวกูไม่เกิดของกู ไม่เกิดความยึดมั่นถือมั่นว่ากูเป็นอย่างนั้นกูเป็นอย่างนี้ แล้วชีวิตนี้ก็จะเยือกเย็นและเป็นประโยชน์ เราจงพยายามหวังดีต่อเพื่อนมนุษย์ เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายช่วยกันและกัน ยังกันและกันให้มีความรู้เรื่องนี้ เผยแผ่ในเรื่องนี้ แล้วก็จะไม่มีใครเห็นแก่ตัว ไม่มีใครทำลายต้นน้ำลำธาร ไม่มีใครทำลายป่าไม้ ไม่มีใครรังเกียจสมุนไพร ไม่มีใครทำอะไรให้มันผิดไปจากความเป็นจริง สรุปความว่ามนุษย์ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ที่สูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้รับแล้วมันก็หมดปัญหา หมดปัญหา เยือกเย็นๆและก็เป็นประโยชน์ ชีวิตไม่กัดเจ้าของ เยือกเย็นและเป็นประโยชน์ มันก็พอแล้ว ถ้าเกินนี้มันคงจะบ้า อย่าเอาเลย เอาเยือกเย็นๆและเป็นประโยชน์แก่กันและกัน เป็นสุขสวัสดีอยู่ทุกทิพาราตรีกาล
ขอแสดงความหวังว่าท่านทั้งหลายจะได้รู้ เข้าใจถึงคำสอนในพระพุทธศาสนาสอนให้มีจิตใจอยู่คงที่ๆๆอยู่ในความถูกต้อง ไม่เป็นบวก ไม่เป็นลบ ไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดอะไรใดๆ คงที่ๆอยู่ในความถูกต้อง ทำหน้าที่การงานอย่างสนุกสนาน ทำอะไรก็เป็นสุขด้วยสิ่งนั้น มีชีวิตที่เป็นการต่อสู้ระหว่างสติปัญญาของตนกับหน้าที่การงาน ต่อสู้ไปอย่างมีชัยชนะ ได้ชัยชนะ ชัยชนะสูงสุดก็คือพระนิพพาน เป็นความสุขสวัสดีอยู่ทุกตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยายเพื่อเป็นที่ระลึกแก่คุณโกมลคีมทอง