แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาตมาภาพขอแสดงความยินดี อนุโมทนาด้วยเป็นอย่างยิ่ง ในการมาของท่านทั้งหลาย มาสู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือแสวงหาความรู้ทางธรรมะ เพื่อไปใช้เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต เพื่อประกอบหน้าที่การงานในหน้าที่ของตนของตน ให้เป็นคนดีถึงที่สุด นี่เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดว่า มีเหตุผลที่ควรจะยินดี เพราะว่ามันเป็นไปเพื่อทางสันติสุขหรือสันติภาพของมนุษย์เรา สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้น ถ้าได้ศึกษาและประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแล้ว มีผลอย่างยิ่งเหลือที่จะกล่าว คือ ตัวผู้นั้นจะมีความสุขสงบเย็น เรียกว่า ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ แล้วก็ส่วนผู้อื่น ถ้าเขาไปสามารถบำเพ็ญประโยชน์ได้ดีเป็นอย่างยิ่ง สรุปความได้สั้นๆ สองคำ สองคำว่า สงบเย็น แล้วก็เป็นประโยชน์ ผู้นั้นมีชีวิตสงบเย็น สงบเย็น ในความหมายของพระนิพพานนั้น คือไม่มีร้อนและก็เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นอย่างถึงที่สุด เป็นประโยชน์อย่างถึงที่สุด นี่อานิสงค์ของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ เมื่อทำกันไปถึงที่สุดแล้ว ก็ให้ผลถึงที่สุดว่าผู้ประพฤตินั้นมีความสงบเย็น เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นอย่างถึงที่สุด เมื่อเป็นดังนี้แล้วมันจะมีปัญหาอะไร เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น มันไม่มีความสงบเย็น เพราะมีกิเลส เพราะมีไฟ แล้วก็ไม่เป็นประโยชน์แก่กันและกัน มีแต่ความอิจฉาริษยากัน จะทุกหนทุกแห่งเสียแล้ว มีแต่ความอิจฉาริษยากัน ด้วยสิ่งเลวร้ายที่สุดสิ่งหนึ่งคือ ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว
ขอความกรุณาท่านทั้งหลายให้ช่วยจำคำนี้คำเดียวเท่านั้นแหละ เป็นมูลเหตุแห่งความเลวร้ายทุกชนิด แล้วก็มีคำเดียวเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาทั้งหมดได้คือ ความไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้โลกมันยิ่งเจริญขึ้นด้วยความเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ตามความเจริญทางวัตถุ สมัยคนป่าโน่น เห็นแก่ตัวน้อย แล้วก็มากขึ้นมากขึ้น ตามความเจริญ พอมายุคนี้เจริญสูงสุดทางวัตถุ ความเห็นแก่ตัวมันจึงมากขึ้น มากขึ้น ปัญหามันถึงมากขึ้น การศึกษาในโลกนี้มันวิปริต หรือจะเรียกบ้าบอที่สุดก็ได้ ทั้งโลกเลย ไม่เฉพาะประเทศไหน การศึกษาตั้งแต่อนุบาลถึงมหาวิทยาลัย สอนแต่ให้ฉลาด ฉลาด สามารถ สามารถ ฉลาด ฉลาด ฉลาด แล้วมันก็ไม่มีอะไรควบคุมความฉลาด มันเอาความฉลาดนั้นไปเห็นแก่ตัว ไปเห็นแก่ตัว ไปเดือดร้อนกันเหลือประมาณ นี่ถ้าฉลาดแล้วไม่เห็นแก่ตัว มันก็ไม่มีปัญหาอะไร มันช่วยเหลือรักใคร่กัน ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัว การศึกษามันเลวลง เพราะมันมีแต่ความฉลาดอย่างเดียว ไม่มี ไม่มีธรรมะ ถ้าเป็นอย่างสมัยโบราณนะ เขาให้รู้ให้ฉลาดให้มีใจเป็นบุญเป็นกุศล แล้วก็ไม่เห็นแก่ตัว คือให้เห็นแก่ผู้อื่น มาบัดนี้ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัว แล้วความเจริญทางวัตถุนั่นแหละเป็นต้นเหตุ เพราะว่าเขาผลิตวัตถุที่ส่งเสริมกิเลสกันด้วยเครื่องจักร ด้วยอุตสาหกรรม ด้วยเครื่องจักร สิ่งที่ผลิตออกมาเหล่านั้น ส่วนใหญ่นั้นเป็นส่วนเกินนั่นก็ไม่จำเป็นจะต้องมี เอามากินมาใช้มันส่งเสริมกิเลส มันส่งเสริมความสุขทางเนื้อทางหนัง ทางกามารมณ์ ทางเหตุทางสนุกสนานเรื่องกิเลสทั้งนั้น อุตสาหกรรมนี้จะผลิตสิ่งเหล่านี้ออกมาเท่าไร ก็ให้คนยิ่งเห็นแก่เนื้อหนังเห็นแก่ประโยชน์สุขส่วนตัวมากขึ้น มากขึ้น ดังนั้นในยุคโลกปัจจุบัน เต็มไปด้วยอุตสาหกรรมคนมันจึงหลงใหลในความสุขทางเนื้อทางหนัง กันมากขึ้น มากขึ้นแล้วก็เห็นแก่ตัวกันมากขึ้น มากขึ้น ข้อนี้ดูเอาเอง ไม่ต้องเชื่ออาตมาและไม่ต้องเชื่อใครดูเอาเอง มันผิดหลักพระพุทธศาสนาที่สอนไม่ให้เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้มันเป็นเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว คือคนเห็นแก่ตัวมันพอจะมองเห็นได้ง่ายๆ ว่ามันขี้เกียจ มันไม่อยากจะทำงาน มันจะนอน แต่มันจะเอาประโยชน์ คนเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัวก็อิจฉาริษยา คอยจ้องที่จะเอาเปรียบผู้อื่น แล้วก็ไม่สามัคคี
การที่จะเรียกร้องคนที่เห็นแก่ตัวให้มารักชาติ รักประเทศชาตินี่ เหมือนกับชวน เหมือนกับชักชวนช้างลอดรูเข็มมันเป็นไปไม่ได้ จะชวนคนเห็นแก่ตัวมารักชาติ มาช่วยกันรักชาติ มันเป็นไปไม่ได้ มันจะเหมือนกับชวนช้างลอดรูเข็ม มันเป็นไปไม่ได้ แต่แล้วมันก็มีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น เพราะไม่ได้ศึกษาเพื่อลดความเห็นแก่ตัว ศึกษาฉลาดแต่ยังความเห็นแก่ตัว มันก็มีอันธพาลมากขึ้น ขออภัยอาตมาจะพูดว่า จะเพิ่มตำรวจอีกสักเท่าไหร่มันก็ไม่พอที่จะขจัดปัญหาแห่งความเห็นแก่ตัวที่มันทวีขึ้นในโลกนี้ จะจัดคุกตะรางเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่มันก็จะไม่พอ ที่จะบรรจุผู้เห็นแก่ตัวซึ่งมันจะเพิ่มมากขึ้น จะจัดศาลยุติธรรมให้มากกว่านี้มันก็ยังไม่พออีกนั่นแหละ ความเห็นแก่ตัว ผู้เห็นแก่ตัวมันเพิ่มขึ้น อาชญากรมันมากขึ้น ดูเอาเองก็แล้วกันนะ ประกาศโฆษณาของสำนักตุลาการ กระทรวงยุติธรรม ก็บอกว่าไม่มีเงินจะสร้างศาลอีกแล้ว เรือนจำก็ไม่มีเงินจะสร้างเรือนจำ ก็ต้องหาอุบายให้ชนิดที่ว่าไม่ต้องสร้างเรือนจำ เพราะมันไม่มีเงิน มันหมดเงิน นี่เห็นได้ว่า ผู้เห็นแก่ตัวนั่นมันสร้างปัญหาอย่างนี้ แล้วมันก็สร้างปัญหามลภาวะ มลภาวะ อย่างที่เห็นกันอยู่ สกปรกรกรุงรังมากขึ้น แล้วมันทำลาย ทำลายสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ แม้แต่ทำลายป้อมตำรวจก็เหมือนกันแหละ มันคนเห็นแก่ตัว แล้วมันก็ อุบัติเหตุขอให้สังเกต อุบัติเหตุทั้งหลายที่ว่ามากขึ้น มากขึ้น เดี๋ยวนี้แถลงการณ์แพทย์มันยกเรื่องอุบัติเหตุเป็นมากกว่าโรคมะเร็งซะแล้ว อุบัติเหตุที่มันเกิดขึ้นในบ้านในเมืองเพราะอะไร ก็เพราะคนเห็นแก่ตัวทั้งนั้น คนเห็นแก่ตัว มันไม่ระวังสังวรว่าผู้ใดจะมาผู้ใดจะไป มันเห็นแก่ตัวเลยกูจะเอาก่อน ชนก็ชน อุบัติเหตุมันถึงมากขึ้นเพราะว่า ไอ้คนขับรถหรือยานพาหนะมันเห็นแก่ตัวมากขึ้น ดังนั้นอุบัติเหตุมันก็เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น มันเพิ่มขึ้นในทางเลวร้ายไปเสียทุกอย่าง ความเห็นแก่ตัวมากเข้า มากเข้า มากเข้า มันก็หลงทาง หลงทาง เป็นบ้า ขอให้ไปสำรวจดูคนบ้าทุกคนในโรงพยาบาลบ้า จะพบมูลเหตุแท้จริงจุดตั้งต้นทีแรก ความเห็นแก่ตัว มันหลงทาง ความเห็นแก่ตัวมันหลงทาง มันหาทางออกไม่ได้ มันกลัดกลุ้มมากเข้ามันเป็นบ้า เป็นบ้าจริง เป็นบ้าต้องไปอยู่โรงพยาบาล คนบ้าทุกคนมีมูลเหตุมาแต่ความเห็นแก่ตัว มันหลงทาง ถึงกับเป็นบ้า แม้จะไม่เป็นบ้า มันก็หาความสงบสุขไม่ได้ ถ้ามีความเห็นแก่ตัวแล้วมันจะหาความสงบสุขไม่ได้ ดูอย่างว่า ถ้าครูบาอาจารย์ โรงเรียนเห็นแก่ตัว มันก็ทำนาบนหลังลูกศิษย์ แล้วก็ทำนาบนหลังผู้ปกครองของเด็กนักเรียน ถ้าครูมันเห็นแก่ตัว ถ้าหมอมันเห็นแก่ตัวมันก็ทำนาบนหลังคนเจ็บ คนไข้ มันขูดรีดเหลือประมาณ ถ้าหมอมันเห็นแก่ตัว ถ้าผู้พิพากษาตุลาการเห็นแก่ตัว มันก็ทำนาบนหลังจำเลยทั้งหลาย แล้วเรื่องมันจะเป็นอย่างไร ขอให้คิดดู พระเจ้าพระสงฆ์เห็นแก่ตัวมันก็เต็มไปด้วยอลัชชีทั้งบ้านทั้งเมืองไม่มีศาสนาเหลือ แล้วก็ทำลาย ทำลายอะไรก็ดูเอาเอง ผัวเมียเห็นแก่ตัว มันก็ต้องหย่ากันมันก็อยู่กันไม่ได้ เพื่อนรักกันเห็นแก่ตัวมันก็ต้องเลิกกัน
เดี๋ยวนี้ความเห็นแก่ตัวมันลุกลามเข้ามา ระหว่างลูกกับบิดามารดาซะแล้ว ไอ้เด็กวัยรุ่น เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวหญิงชายสมัยนี้มันเห็นแก่ตัว จนทำให้แม่นั่งน้ำตาไหลอยู่ด้วยความเลวร้ายต่างๆ ที่มันสร้างขึ้น มันไม่กลับบ้าน มันไปไหนไม่รู้ มันไปทำอะไรที่ไหนก็ไม่รู้ ให้แม่น้ำตาตก ลูกมันเห็นแก่ตัว อาชญากรรมเลวร้ายที่ว่าพ่อข่มขืนลูกสาวตัวเองนั้นไม่เคยได้ยินแต่ก่อนโน้น เดี๋ยวนี้มันปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์มากขึ้น เพราะความเห็นแก่ตัว นี่ถ้าสมมุติว่าประชาชนทุกคนเห็นแก่ตัว แล้วก็ผู้แทนจ้างให้เลือก ก็เลือกได้แต่ผู้แทนที่เห็นแก่ตัวทั้งรัฐสภา เพราะมันจ้างเลือกกันไปทั้งนั้น แล้วรัฐสภานี้ตั้งรัฐบาลออกจากรัฐสภา ก็ได้รัฐบาลที่เห็นแก่ตัว ข้าราชการทั้งหลายมันก็จะพลอยเห็นแก่ตัวกันหมด มันก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่สักคนเดียว แล้วบ้านนั้นประเทศนั้นจะเป็นอย่างไร นี่คือความไม่มีธรรมะ ไม่มีธรรมะ ไม่มีธรรมะ มันก็วินาศกันหมด เดี๋ยวนี้เมื่อประชาชนมันเห็นแก่ตัว มันก็เลือกผู้แทนด้วยการรับจ้างยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น การรับจ้างยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น ท่านั้นเอง เราดูกันทั้งโลก ดูกันทั้งโลกมันกำลังเดินไปในแนวนี้ าชนเห็นแก่ตัว ยิ่งขึ้น มันก็ได้แต่ผู้แทนชนิดนั้นเท่านั้นเอง นี่เราดูกันทั้งโลก ดูกันทั้งโลกมันกำลังเดินไปในแนวนี้ ที่ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตน เพราะความเห็นแก่ตัว ผิดหลักของพระพุทธศาสนา หลักธรรมะในพระพุทธศาสนา ที่ว่าท่านกำลังต้องการจะฟังธรรม ฟังธรรม ธรรมะในพระพุทธศาสนานี้ อาตมาก็จะพยายามรวบรวมมาบรรยายให้ท่านทั้งหลายฟัง ว่าธรรมะที่เป็นตัวหนังสือในพระไตรปิฎกมีตั้ง ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ แต่ถ้ามันรวมหมดแล้ว มันรวมอัน อันเดียวกันแล้ว มันคือความไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย ถ้าทุกคนมันเป็นเพื่อนกันในลักษณะอย่างนี้ ปัญหาอะไรมันจะเกิด ล่ะ อันธพาลมันจะเกิดได้อย่างไร ถ้ามันถือเอาทุกคนเป็นเพื่อน เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย มันก็ไม่มีอันธพาล
นี่หลักของพระพุทธศาสนาจะเป็นชั้นหัวใจก็ว่าไม่เห็นแก่ตัว ลึกไปกว่านั้นอีก ก็ว่าไม่มีตัว ไม่มีตัว มันมีแต่ธรรมชาติ ธาตุตามธรรมชาติ เป็นไปตามธรรมชาติ นี่มันเข้าใจผิดว่ามีตัว มีตัว นั่นละ ไม่ถูก มามองเห็นความจริงว่าไม่มีตัวดีกว่า เป็นอนัตตา ถึงจะเรียกว่ามีตัว ปากพูดอยู่ว่ามีตัว ตัวจริงมันก็ไม่ใช่ตัว ดังนั้นมันก็มีตัวซึ่งมิใช่ตัว ตัวแต่ปากเรียกด้วยความเข้าใจผิด พูดกันว่าตัว แต่ความจริงมันเป็นไม่ได้ ธรรมชาติมันไม่ยอมให้เป็น มันเป็นของธรรมชาติ นี่ถ้าเราไม่ ถ้าเห็นว่าไม่มีตัวอย่างนี้ มันก็ไม่เห็นแก่ตัว พอไม่เห็นแก่ตัว มันก็เป็นธรรมดาอัตโนมัติ มันจะต้องเห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่ผู้อื่น ถ้าเห็นแก่ตัว มันเอามาเห็นแก่ตัวหมด มันไม่มีเหลือจะไปเห็นแก่ผู้อื่น หรือเห็นแก่ความถูกต้อง ดังนั้นในโลกของผู้เห็นแก่ตัวนั้น ไม่มีความเห็นแก่ผู้อื่น ไม่มีความเห็นแก่ความถูกต้อง บุญกุศลอะไรไม่มี เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เมื่อทุกคนเป็นผู้เห็นแก่ตัวแล้วมันก็ หึ หึ มึงก็มึง กูก็กู ก็เป็นศัตรูกันไปหมด ไม่มีเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย พูดกันอย่างหลับตาพูด ประชาธิปไตย ประชาธิปไตย ของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน ประชาธิปไตยเพื่อประชาชน โดยประชาชน ของประชาชน บ้า ถ้าประชาชนมันเห็นแก่ตัว มันก็คือวินาศหมด ถ้าประชาชนมันผู้เห็นแก่ตัว มันก็ประชาชนทำร้ายกันเอง ประชาธิปไตยเลวร้ายที่สุด ใช้ไม่ได้ที่สุด อย่าไปบ้าตามพวกฝรั่งพูดอย่างนั้น พูดตามพวกธรรมะในพระพุทธศาสนาให้ได้สติก่อน ถ้ามันจะเป็นประชาธิปไตย ก็ต้องเป็นประชาธิปไตยของประชาชนที่ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว สมมติประชาชนไม่เห็นแก่ตัว ประชาธิปไตยมันจึงจะใช้ได้ เดี๋ยวนี้ถ้าประชาชนเห็นแก่ตัว ประชาชนเห็นแก่ตัว มันก็มือใครยาวก็สาวเอา มือใครยาวก็สาวเอา สภาพที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ประชาธิปไตยเลวร้ายที่สุด เป็นเผด็จการเสียดีกว่า ถ้ามันเห็นแก่ตัวนะ มันก็จะทำร้ายทำลายกันเอง นี่อาตมามีความเห็นเรื่องนี้ว่า เป็นสังคมนิยมที่มีธรรมะดีกว่า คือไม่เห็นแก่ตัว เขียนบทความขึ้นมาอันหนึ่งว่า ธรรมิกสังคมนิยม เป็นสังคมนิยมไม่ใช่เสรีประชาธิปไตย มันกอบโกย เสรีภาพ เป็นสังคมที่เห็นแก่ผู้อื่น และก็ถูกต้องคือประกอบไปด้วยธรรมะ สังคมนิยมอย่างนี้ มันมีความไม่เห็นแก่ตัว คือมันเห็นแก่ผู้อื่น จึงจะเป็นสังคมนิยม ถ้าเสรีประชาธิปไตยมันก็เห็นแก่ตัวคนเดียว ไม่ว่า สังคมนิยม คำนี้มันเคยเสียชื่อ เป็นผีปีศาจลามกอะไรของมัน นั่นมันไม่ใช่สังคมนิยม สังคมนิยมของคาร์ล มาร์ค นั่นมันสังคมนิยมของคนแก้แค้น กรรมกรผู้แก้แค้น ผู้โกรธแค้น มันจะแก้แค้น อย่างนั้นมันไม่ใช่สังคมนิยม คือมันไม่มีความถูกต้อง ที่มันใจคอปกติ ใจคอปกติ ไม่เห็นแก่ตัว รักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และมีหลักการที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสังคมนิยม คำนี้ยังไม่พอ ขอเติมคำว่า ธรรมมิกะ ธรรมมิกะ เข้าไปอีกคำหนึ่ง สังคมนิยมที่ประกอบอยู่ด้วยธรรม บทความนี้ได้รับความสนใจมาก ได้แปลเป็นหลายๆ ภาษา กำลังไปวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ และที่ที่จะเหมาะแก่สันติสุขสันติภาพในโลกนี้ คือลัทธิสังคมนิยมที่ประกอบไปด้วยธรรมะ ประกอบไปด้วยธรรมะ เรียกว่า ธรรมมิกะ ธรรมมิกะ ประกอบไปด้วยธรรมะ ก็คือไม่เห็นแก่ตัว ถ้าเห็นแก่ตัวมันก็ไม่เห็นแก่ธรรมะ มันก็เป็นธรรมะไปไม่ได้ ต้องเอาความเห็นแก่ตัวออกไปเสีย จิตนี้มันจะเห็นแก่ธรรมะ เห็นแต่เพื่อนมนุษย์ ขอให้เรามองดูให้ดีๆ ว่า ทางรอดของมนุษย์จะไปในทางไหน จะมีอะไรมาทำให้เกิดความสงบสุข เยือกเย็นเป็นสุข ไม่มีอันธพาล ทำอย่างไรจะลดเรือนจำลงไปได้ ทำอย่างไรจะลดตำรวจลงไปได้ ทำอย่างไรจะลดศาลยุติธรรมลงไปได้ ทำอย่างไรจึงจะลดอันธพาลในท้องถนนลงไปได้ ปัญหามันอยู่ที่นั่น
อาตมาขอยืนยัน ยืนยันอย่างท้าทายด้วย มันมีอย่างเดียวเท่านั้น ธรรมะต้องกลับมา ธรรมะต้องกลับมา ถ้าธรรมะกลับมา ความเห็นแก่ตัวมันก็ออกไป ธรรมะเข้ามา ความเห็นแก่ตัวมันจะออกไป เราจะมีสังคมของเรา เป็นสังคมของ เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย ก็ไว้ใจได้ ก็สบาย ก็ไม่มีอันธพาล ขอให้นึกถึงคำว่าเพื่อน เพื่อน เพื่อน ความเป็นเพื่อนนี่มัน มัน มันมีอะไร ถ้ามันเป็นเพื่อนกันซะ แล้วมันจะทะเลาะกันได้อย่างไร เดี๋ยวนี้มันไม่มีความเป็นเพื่อน มันมีแต่มึงก็มึง กูก็กู ทั้งโลกนี่มันกำลังเต็มไปด้วยลัทธินี้ เป็นลูกจ้าง นายจ้าง ความเป็นลูกจ้างและนายจ้าง มันแรง รุนแรง รุนแรง ยิ่งขึ้นทุกที ความเป็นเพื่อนมันก็ไม่มี ลูกจ้างกับนายจ้างก็ฟัดเหวี่ยงกันไม่รู้จักสิ้นสุด หาความสงบสุขไม่ได้ อย่าอยู่กันอย่างนายจ้างกับลูกจ้าง แม้ข้าราชการก็อย่าถือว่าเป็นลูกจ้างประชาชน หรือลูกจ้างรัฐบาล อย่าไปคิดเป็นลูกจ้าง นายจ้าง ให้คิดว่า เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย กันดีกว่า นี่ถ้าเป็นลูกจ้างกับนายจ้าง มันก็จะเอาเปรียบกันเรื่อยไป ต่อสู้กันเรื่อยไป ต่างฝ่ายต่างจะเอาเปรียบก็รบราฆ่าฟันด้วยกัน ระหว่างคอมมิวนิสต์กับประชาธิปไตย มันมีความหมายเป็นลูกจ้างกับนายจ้าง เราจึงมีผู้ที่ประกอบไปด้วยธรรมะ แล้วก็มีหลักการเป็นเพื่อน เพื่อน เพื่อน เพื่อนนี่มีธรรมะ มันเลยเป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย ไม่ใช่เพื่อนกินเหล้า เพื่อนปล้นจี้ เพื่อนทำอบายมุข เป็นโจรอะไร เพื่อนอย่างนั้นไม่ใช่เพื่อน ภาษาบาลีไม่เคยเรียกคำอย่างนั้นว่าเพื่อน ถ้าเป็นเพื่อนต้องมีความถูกต้อง ความถูกต้อง มันก็เกิดเป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย ขึ้นมา อย่างนี้ไม่ต้องมีใครมาช่วย พระเจ้าหรือเทวดาไหน ไม่ต้องมาช่วย ถ้าทุกคนมันเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายกันอยู่ที่นี่แล้ว มันมีแต่ความสงบสุข ขอให้พิจารณา ขอให้พิจารณา ขอให้ช่วยกันสั่งสอนอบรมเหมือนลูกเด็กๆ เล็กๆ ตาตำๆ ที่มันจะโตขึ้นมา ช่วยอบรมสั่งสอนอย่าให้มันเห็นแก่ตัว ให้มันเห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่ความถูกต้อง ให้การศึกษาในโรงเรียนของเราถูกต้อง ถูกต้อง สอนให้ฉลาด แต่ว่าฉลาด เป็นเพื่อนกัน ไม่ใช่ฉลาดเพื่อจะมาเอาเปรียบกัน เดี๋ยวนี้มันฉลาดแต่เห็นแก่ตัว แล้วเอาเปรียบกัน มันก็เลยปัญหาเลวร้ายก็เกิดขึ้นไม่หยุดไม่หย่อน
ขอยืนยันว่าธรรมะทั้งหมด ธรรมะในพระพุทธศาสนาทั้งหมด สรุปรวมอยู่ที่คำว่า ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว นั่นเป็นความบริสุทธิ์ สะอาด ถ้าจะทำบุญกุศล ทำบุญทำทาน ก็เพื่อให้มันลดความเห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัว ไอ้ที่ทำบุญเอาหน้าเอาเกียรติ เอาเหรียญ เอายศ ทำบุญอย่างนั้น มันไม่ใช่บุญ มันไม่ลดความเห็นแก่ตัว มันเพิ่มความเห็นแก่ตัว แม้แต่ทำบุญไปสวรรค์ เพื่อแลกเอาสวรรค์ มันเป็นการค้ากำไรเกินควร ไม่ใช่บุญกุศลอะไร ต้องทำบุญลดความเห็นแก่ตัว ทำบุญลดความเห็นแก่ตัว มันจึงจะเป็นบุญกุศลที่แท้จริง ลดความเห็นแก่ตัวแล้วมันไม่เกิดกิเลสใดๆ กิเลส ๓ ประเภท คือ โลภะ โทสะ โมหะ นี่มาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ในสิ่งที่มันอยากได้เห็นแก่ตัว มันก็เกิดความโลภ ในสิ่งที่มันไม่ชอบมันก็เกิดความโกรธ มันจะฆ่าเสีย มันไม่รู้อะไรก็สงสัยหลงใหลอยู่นั้น เรียกว่า โมหะ โลภะ โทสะ โมหะ มาจากความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่เห็นแก่ตัว แล้วมันจะเกิดโลภะ โทสะ โมหะไม่ได้ ถ้าพูดอย่างวิทยาศาสตร์ซะหน่อยมันไม่หลงบวกไม่หลงลบ มันไม่หลง positive หรือ negative ไม่หลงบวก ไม่หลงลบ เดี๋ยวนี้มันมีแต่หลงบวก หลงบวกจะเอา ไม่ได้ก็จะฆ่า เพราะหลงลบ หลงบวกมันจะเอา ไม่ได้ก็หลงลบ ก็จะฆ่า แล้วมันก็จะฆ่ากัน นี่เรียกว่าหลงบวกและหลงลบ เลิก เลิกหลงบวก เลิกหลงลบ เห็นแก่ความถูกต้อง คือธรรมะ ไม่หลงบวกไม่หลงลบ นั่นแหละคือความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว เอาเพียงว่าไม่เห็นแก่ตัว ก็พอแล้ว non-selfish ที่พวกฝรั่งมันเรียกว่า non-selfish นะ จะพอดีเราไม่เห็นแก่ตัว แม้ว่า selfless selfless ไม่มีตัวเจริญเป็นพระอรหันต์ มันอาจจะดีเกินไป สูงเกินไป คือขึ้นไม่ถึง selfless นั่น มัน non-selfish ไม่เห็นแก่ตัว มันจะช่วยได้ ขอให้ทุกคนไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว เป็นมนุษย์ที่ดีตามธรรมดา ยังไม่ต้องเป็นพระอรหันต์ นี่ธรรมะทั้งหมดมันสรุปได้อย่างนี้
อาตมาขอให้ความรู้แจกความรู้ที่แท้จริง ที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เรื่อง อนัตตา มีตนซึ่งมิใช่ตน แล้วก็ไม่เห็นแก่ตน ไม่เห็นแก่ตัว และเป็นคนสะอาด เป็นคนสะอาด มีพระบาลีว่า อตฺถพฺต ปัญญา อสุจีมนุสสา มีปัญญาแต่ในประโยชน์ของตนเป็นมนุษย์สกปรก คนที่มีปัญญาแต่เรื่องหาประโยชน์ให้ตนเป็นมนุษย์สกปรก ถ้ามีปัญญา มันก็ต้องมีปัญญาสำหรับสร้างความสุขสงบกันทั่วไป ไม่เห็นแก่ตน ก็เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย ขอให้ท่านทั้งหลายอุทิศจิต ชีวิตจิตใจบูชาคุณพระพุทธเจ้า ด้วยการบำเพ็ญตน ให้เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายด้วยกันทุกๆ คน ทั้งในวงการราชการ หรือนอกวงราชการก็ตามใจ ขอให้เราเป็นมนุษย์ เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย รักใคร่กัน ซะด้วยคำว่าเพื่อน อย่าให้คำว่าลูกจ้าง หรือนายจ้างเข้ามา ก็จะหมดปัญหา นี่ธรรมะมีอย่างนี้ โดยสรุปแล้วมีอย่างนี้ ไม่เห็นแก่ตัว เป็นธรรมะสูงสุด พอเห็นแก่ตัว ก็เป็นความเลวร้ายที่สุด ขอให้เรามีธรรมะ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว ขจัดความเลวร้ายทุกอย่าง ทุกประการออกไป ออกไป
ขอแสดงความยินดี อนุโมทนาในการมาของท่านทั้งหลาย สู่สถานที่นี้อีกครั้งหนึ่งว่า ท่านมาที่นี้เพื่อแสวงหาธรรมะ ไปใช้ประกอบในการดำเนินชีวิตกิจการงานในหน้าที่ของตนของตน ขอให้ประสบผลสมตามความปรารถนา มีจิตใจเจริญด้วยความไม่เห็น ไม่เห็นแก่ตน ไม่เห็นแก่ตนแล้ว มีความสุขสงบเย็นและเป็นประโยชน์ สงบเย็นและเป็นประโยชน์ สงบเย็นและเป็นประโยชน์ อยู่ทุกทิพาราตรีกาล เทอญ
*********************
รหัส |
4125340121000 |
รายชื่อ |
บรรยายแก่คณะนักศึกษา จากหลักสูตร นายทหารประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ทหาร |
วันที่แสดง |
3/04/2534 |
ชื่อเรื่อง/ชุด |
- |
ผู้ถอด |
จุไรพร สุวรรณรักษา |
ผู้ตรวจทาน |
ธรรมะบรรยายแก่คณะนักศึกษา จากหลักสูตร นายทหารประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ทหาร track ที่ 1 วันที่ 3 เมษายน 2534 เวลา 14.00 น. ที่หน้ากุฏิ
อาตมาภาพขอแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการมาของท่านนักศึกษาทั้งหลายสู่สถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้ คือมาหา มาแสวงหาความรู้ทางธรรมะ เพื่อไปประกอบการทำกิจในหน้าที่การงานของตนของตน เป็นสิ่งที่มีเหตุผล จึงขออนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง แล้วก็ขอต้อนรับตามมีตามเกิด ห้องประชุมมีอย่างนี้
หัวข้อสำหรับจะบรรยายก็มีสั้นๆ ว่า ธรรมะกับโบราณคดี ข้อนี้หมายความว่า ตัวธรรมะนั่นแหละเป็นโบราณคดีเสียเอง คือว่าในโบราณคดีมันยืดยาวแล้วมันก็ต้องมีสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ เราศึกษาโบราณคดี มันประหยัดเวลา คือไม่ต้องค้นหาไอ้สิ่งที่คนก่อนๆ ได้ค้นไว้แล้ว เพราะถ้าเราค้นเองมันก็ตายเสียก่อนมันก็ไม่พบ อย่างธรรมะนี่พระพุทธเจ้าท่านได้ค้น แล้วตรัส ได้สอนไว้ให้ ถ้าเราจะค้นเอง มีความรู้เท่านี้มันก็ตายหลายหน หลายสิบหนมันก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นไอ้วิชาโบราณคดีจึงมีประโยชน์แม้ในเรื่องทางฝ่ายธรรมะ แม้ในเรื่องทางฝ่ายโลก หรือโลกียะ เรื่องบ้านเรื่องเมือง ได้อาศัยวิชาโบราณคดี ก็เท่ากับเราได้รวบรวมเอาความรู้ทั้งหลายเป็นร้อยๆ ปี เป็นพันๆ ปี มาได้ในเวลาอันสั้น นี่คือประโยชน์ของไอ้สิ่งที่เรียกว่าโบราณคดี แต่มันก็ยังมีข้อแม้ที่จะต้องดูว่า บางทีเรียนโบราณคดีเพื่อโบราณคดี ไม่ได้รับประโยชน์ในทางสันติภาพสันติสุข มันเรียนอย่างบ้าโบราณคดี มันกลายเป็นว่าโบราณคดีเพื่อโบราณคดี เรียนจนท่วมหัวท่วมหูก็ไม่ได้รับประโยชน์ แต่ถ้าเรียนโบราณคดีเพื่อสันติภาพ เพื่อความรู้เรื่องสันติภาพ เพื่อจะทำโลกให้สันติภาพ มันก็ได้ประโยชน์เกินค่า แต่ดูๆ ก็น่าหัวที่ว่า ไม่มีการกล่าวยืนยันอย่างนี้ในวิชาโบราณคดี ดังนั้นคนในโลกจึงเรียนโบราณคดีเพื่อโบราณคดีกันเสีย ไม่มีที่สิ้นสุด โบราณคดีมีครบทุกแง่มุมในเรื่องของวัตถุ เรื่องโลก ตัวโลกนี่ก็มีโบราณคดีอย่างของวัตถุ แล้วก็มีโบราณคดีอย่างมนุษย์ มนุษย์มันเกิดขึ้นในโลก แล้วก็มีโบราณคดีที่เป็นวิวัฒนาการของมนุษย์ที่มันสูงขึ้น สูงขึ้น จนกระทั่งว่ามันดีที่สุด หรือจนกระทั่งว่ามันค่อยเปลี่ยนแปลงกลับไปเลวที่สุด ถ้าเรารู้เรื่องทั้งหมดนี้ก็คงจะมีประโยชน์ในการที่จะควบคุมให้ชนะ ชนะฝ่ายที่จะมีความไม่ประสงค์ ไม่พึงประสงค์ เป็นความเลวร้าย สามารถดำเนินไปแต่ในทางที่ ที่พึงประสงค์ เราจะได้พบวิธีที่คนแต่ก่อนหรือบรรพบุรุษเขาได้เคยใช้มาเพื่อแก้ปัญหากันอย่างไร ถ้ารวบรวมเอามาเฉพาะเรื่องนี้ก็จะมีประโยชน์ที่สุด แต่บางทีมันก็ไปศึกษาโบราณคดีด้วยความอาฆาตจองเวร เพื่อแก้แค้น เพื่อเกลียดชังอย่างนี้เสียก็มี อย่างนี้มันก็ให้โทษ แล้วก็เป็นมูลเหตุที่ให้เกิดความขัดแย้ง หรือรักกันไม่ได้ ในระหว่างมนุษย์ ก็เพราะโบราณคดีประเภทนี้ ซึ่งไม่ควรจะมี มันควรจะมีโบราณคดีที่เป็นไปเพื่อสันติภาพ อันเนื่องไปถึงประวัติศาสตร์ ถึงศิลปะ ถึงวัฒนธรรม อารยะธรรมใดๆ ก็ตาม ต้องเป็นไปเพื่อสันติภาพ แม้ที่สุดแต่ศิลปะนี้ถ้ามันไม่เป็นไปเพื่อสันติภาพ มันก็เป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ ชนิดหนึ่ง แม้ลงทุนมากลำบากยุ่งยาก มันก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อสันติภาพ ทุกสิ่งที่มนุษย์จะถือเป็นวัฒนธรรมนี่มันจะต้องเป็นไปเพื่อสันติภาพ
โบราณคดีควรจะให้ผลเป็นความรู้ เป็นหนทางที่เราจะมีสันติภาพกันให้ยิ่งกว่าที่แล้วมา จะใช้เพียงเพื่อค้นหาวิธีแก้แค้นหรือเอาเปรียบนี่ มันจะเป็นเรื่องทำบาปซะมากกว่า แต่มันก็ช่วยไม่ได้ในโลกนี้มันก็มีการใช้วิชานี้ เพื่อเหตุผลอย่างนี้ สรุปโบราณคดีมันจะได้คำพูดที่สั้นๆ ว่า ธรรมะได้เกิดขึ้นก่อน แล้วก็เกิดเป็นอธรรมะ คือมิใช่ธรรมะตามขึ้นมา ตามลำดับ ก็มีเหตุการณ์อันเลวร้ายเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น แล้วมันก็น่าหัวเราะที่ว่า สิ่งเลวร้ายหรืออธรรมนี้มันก็คือ ความรู้ผิด เห็นผิด เข้าใจผิด ของมนุษย์นั่นเอง ก่อรูปก่อร่างเป็นความเห็นแก่ตัวขึ้นมา ข้อความที่อ่านพบจากพระบาลีโดยตรงมันก็มี สรุปได้อย่างนี้ เมื่อมนุษย์แรกมี คือมีจำนวนน้อย มันก็กินหรือเก็บกินของที่มีอยู่ตามธรรมชาตินั่นแหละพอ คือไม่มีการทำนา ทำไร่ ทำสวนอะไร ไปเก็บกินจากที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เป็นเมล็ดหญ้า เป็นข้าวสาร เป็นผัก เป็นปลา เป็นผลไม้ แล้วก็มี จะเรียกว่าระเบียบหรือธรรมเนียมก็แล้วแต่ว่า ไปเก็บมากินเฉพาะวัน เฉพาะวัน ต่อมามันเกิดนักเลงดี มันเห็นแก่ตัว มันก็ไปเก็บมากินเฉพาะหลายวัน เอาเปรียบผู้อื่น ปัญหามันก็เกิดขึ้นเป็นความทะเลาะวิวาทแย่งชิง แล้วว่าในที่สุดไอ้ของเกิดเองตามธรรมชาติไม่พอให้กิน มันจึงมีการทำนา ทำสวน หรือกสิกรรมอะไรกันขึ้นมา แล้วมันก็มีคนเห็นแก่ตัว เบียดเบียน ขโมยแย่งชิง ยื้อแย่ง ทำลาย นี่มันก็เป็นเรื่องความเห็นแก่ตัว นก็มีการทำนา ทำสวน ทำกสิกรรมขึ้นมา ดินั่นแหละพอ ปัญหามันได้ตั้งตนขึ้นมาด้วยความเห็นแก่ตัว จนกระทั่งมนุษย์สมัยหนึ่งทนไม่ไหว ได้ความคิดขึ้นมาว่า จะต้องมีระบบ ที่เราเรียกกันว่า ระบบการปกครอง เลือกบุคคลที่แข็งแรง สวยงาม เฉลียวฉลาด ปราดเปรื่อง มาเป็นผู้มีอำนาจในการปกครอง ให้ลงโทษคนทำผิด ให้รางวัลคนทำถูก หรืออะไรขึ้นมาเป็นครั้งแรก เมื่อมนุษย์ที่รับสมมติเป็นผู้ปกครองคนแรก ทำหน้าที่มาพอสมควร มันก็เกิดความพอใจขึ้นมาในหมู่คนเหล่านั้น มันร้องออกมาเซ็งแซ่กันไปหมดว่า พอใจ พอใจ พอใจ แล้วคำว่าพอใจ พอใจคำนี้ ก็คือคำว่า ราชา ราชา ราชา ในภาษาบาลี คำว่าราชามันแปลว่า พอใจ root ของคำ root เดียวกับคำว่า ราคะ กำหนัด ยินดี ราชา คือ พอใจ พอใจ พอใจ นี่เรียกกันว่า พระเจ้าสมมติราช องค์แรก แรกที่สุดของโลก ถ้าพระราชาสายไหนได้สืบมาแต่พระเจ้าสมมติราชองค์แรกในโลกนี้ ถือว่ามีเกียรติสูงสุด คำว่า ราชา ราชา ได้เกิดขึ้น คนยังน้อย เหตุการณ์ยังน้อย พระราชาก็เหมาหมด อย่างกิจ อย่างกิจการเดี๋ยวนี้เราแบ่งเป็นตั้งหลาย หลายๆกระทรวง ยี่สิบ สามสิบกระทรวงก็สุดแท้ ก่อนนี้มันเคยรวมอยู่ที่พระราชา คือสมมุติราชองค์เดียวเท่านั้น เมื่อเจริญมากขึ้น มันไม่ไหว มันก็เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลง เป็นมีผู้ช่วย เป็นมีแผนก แผนก แผนกไป แต่แผนกสูงสุดมันอยู่ที่การทำนา ที่เรียกว่า เกษตร ก็นา ขัตติยะ กษัตติยะ ถ้าเราจัดการแผ่นดินให้มันเกิดประโยชน์ขึ้นมา มีความหมายเหมือนเจ้าแผ่นดิน ทำแผ่นดินให้เป็นประโยชน์ขึ้นมา กิจการอันสูงสุดของยุคนั้นก็คือ การทำนา พระเจ้าแผ่นดินจัดการเองทุกอย่าง อย่างที่อ่านพบ แม้แต่ในเรื่องหลังๆ มานี้ ก็ราชา ที่ต้องแรกนาขวัญด้วย พระองค์เอง ต้องมีไถนาทองคำ ชนิดที่สูงสุด การพิพากษาตุลาการ อัตถะคดี การปราบโจรผู้ร้ายภายใน การต่อสู้ข้าศึกศัตรูภายนอก ก็เป็นหน้าที่ของพระราชา ยุคต่อมาทำไม่ไหว จึงเกิดแบ่งเป็นส่วน เป็นส่วน เป็นส่วน มีผู้ช่วยขึ้นมา เป็นมหาอำมาตย์ เป็นเสนาบดีอย่างนี้ขึ้นมา ไอ้ข้อที่เราจะต้องสังเกตอย่างยิ่ง ข้อหนึ่งก็คือว่า ปัญหามันเกิดขึ้นมาจากความเห็นแก่ตัว เอากันตั้งแต่ครั้งแรกๆ เมื่อยังไม่มีการทำอะไร เก็บของกินเองในป่า มันก็มีความเห็นแก่ตัวที่เป็นต้นเหตุให้เกิดปัญหา พอมันมีการอยู่เป็นหลักแหล่ง ทำไร่ ทำนา ทำสวน มันก็มีความเห็นแก่ตัว เป็นปัญหา คือการลัก การขโมย การยื้อแย่งกันอะไรต่างๆ เป็นความเห็นแก่ตัว แต่ก่อนเคยปกติ เรียกว่ามีธรรมะ ทีหลังก็ไม่มีความเป็นปกติ รวมเรียกว่า อธรรมะ มีบาลีชัดๆ ว่า ธัมโม หะเว ปาละโห้ ปิตุเท (นาทีที่ 47.54)ธรรมะเป็นของผู้ตรวจสอบ ปัจฉา อธัมโม อุตตะปาติโลเก (นาทีที่ 48.04) ต่อมาก็เกิด อธรรมะขึ้นมาในโลก หมายความว่ามนุษย์ทีแรก คนแรก ยุคแรก มันไม่ได้เห็นแก่ตัว ต่อมามันมีความรู้สึกเห็นแก่ตัว มันเจริญขึ้น เจริญขึ้น จนเป็นเห็นแก่ตัวสูงสุด เป็นความเห็นแก่ตัวที่เป็นปัญหาของมนุษย์ทั้งโลกไปเลย ความขัดแย้งกันจนต้องทำสงครามกันระหว่างหมู่ ระหว่างคณะ ระหว่างประเทศ มันก็เกิดมีขึ้นมา เป็นมหา เป็นสงคราม หรือเป็นมหาสงครามก็แล้วแต่ มันมาจากสิ่งๆเดียวคือความเห็นแก่ตัว ถ้าเราศึกษาโบราณคดีของสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ หรือ ศาสนา มันจะพบไปทันทีว่า เกิดขึ้นเพื่อขจัดความเห็นแก่ตัว ตามสมควรแก่สถานการณ์ของมนุษย์ ยุคนั้น ยุคนั้น เป็นยุค เป็นยุคมา เป็นถิ่น เป็นถิ่นมา เกิดธรรมะในรูปร่างของวัฒนธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย ทีละเล็กทีละน้อย ตามความที่เห็นแก่ตัว มันเกิดขึ้นในโลก และเจริญขึ้นในโลก จนกระทั่งเกิดธรรมะสูงสุดของฤาษีมูนี เกิดเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา เรียกว่า เป็นธรรมะสูงสุด ซึ่งมีจุดตั้งต้นตั้งแต่ว่า ศีลธรรมในขั้นต่ำๆ สำเร็จประโยชน์ตามลำดับ ตามลำดับ เราจะสอบสวนดูได้ไม่ยาก จะดูกันในแง่ศีลธรรม วัฒนธรรมต่ำๆ ก็พบทุกแง่ทุกสาขา ทุกยุค ทุกสมัย มันกำจัดความเห็นแก่ตัว มาเป็นยุคที่ศาสนาเป็นศาสนาสมบูรณ์ สมบูรณ์ มันก็กำจัดความเห็นแก่ตัว มันเป็นของจริง เป็นปัญหาจริง เป็นสิ่งที่ทำลายความสงบสุขจริงๆ และมันเป็นเรื่องละเอียดทางจิตใจ ทางจิตใจ จนกระทั่งว่า ไอ้ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนี้ มันเป็นความเข้าใจผิด เป็นความโง่ ไปหลงความเป็นบวก ไปหลงความเป็นลบของสิ่งที่เข้ามากระทบตน สิ่งที่เข้ามากระทบบุคคลทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มันมีเป็นสองความหมาย คือว่าบวก ลบ คือถูกใจ หรือไม่ถูกใจ ทุกคนก็หลงใหลในส่วนที่ถูกใจ และก็หลงใหลในส่วนที่ไม่ถูกใจ ส่วนที่ถูกใจก็ทำให้เกิดความหลงใหล เกิดราคะ เกิดความกำหนัดยินดีไปตามเรื่อง ส่วนที่เป็นลบก็ให้เกิดการเบียดเบียน เกิดการฆ่า เกิดการทำลายไปตามเรื่อง แล้วมันจึงเกิดปัญหา คือความดีหรือความชั่ว ความสุขหรือความทุกข์ ขึ้นในโลกเป็นหลัก เป็นเกณฑ์ ศาสนาทุกศาสนาจะสอนให้ไม่หลงในความเป็นบวก หรือในความเป็นลบ ถ้าเราจะศึกษาด้วยศาสนาที่เก่ามาก เท่าที่จะ จะศึกษาได้ ก็จะพบว่า ศาสนายิว ก่อนคริสต์ ก่อนคริสเตียน ยิวโบราณ เชื่อกันว่า แปดพันปี หกพันปี มันก็มีสอนอย่างสูงสุดอยู่แล้วว่า ไม่ให้หลงดี หลงชั่ว หลงบวก หลงลบ พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่ๆ ก็สั่งมนุษย์ว่า อย่าไปกินผลไม้ตรงต้นไม้ ที่ทำให้รู้ดี รู้ชั่ว ใช้คำว่า Good evil Good and evil หรือ Good of the tree of knowledge of Good and evil ผลไม้ของต้นไม้ที่ทำให้เกิดความรู้ว่าดี รู้ชั่ว มันคือความเป็นบวก เป็นลบ ต่อมามนุษย์ก็ไม่เชื่อ ไปกินผลไม้เหล่านั้น รู้ดี รู้ชั่ว ปัญหามันก็เกิดขึ้นจากการหลงบวก หลงลบ เพราะถ้าหลงบวก อิจฉาริษยาผู้อื่น มันก็เกิดการทำลายกัน ไม่ต้องสงสัย น่าหัวในเรื่องเบ็ดเตล็ดตอนนั้น น่าหัวว่า พระเจ้ามาเยี่ยมมนุษย์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ๆ ก็เรียกมันก็มา เรียกมันก็มา แต่พอมันได้ดื้อ ว่างูมันหลอก ให้กิน ยุให้กิน กินผลไม้รู้ดี รู้ชั่ว เข้าไปแล้วตอนนี้ พอพระเจ้ามา เรียกไม่มา เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ออกมา ถามว่าทำไมไม่ออกมา มันบอกว่า ไม่ได้นุ่งผ้า ไม่มีผ้านุ่ง ก่อนนี้มันไม่รู้เรื่องนุ่งผ้า หรือไม่นุ่งผ้า หรืออะไรทำนองนั้นมันไม่มี มันก็ไม่ได้นุ่งผ้า มันก็ออกมา แต่พอมันกินผลไม้นั้นเข้าไปแล้ว มันรู้ โอ้, อย่างนี้นุ่งผ้า อย่างนี้ไม่นุ่งผ้า อย่างนี้น่าละอาย อย่างนี้ไม่น่าละอาย มันก็ตอบพระเจ้าว่าไม่ได้นุ่งผ้า พระเจ้าก็รู้ถึงอ้อ, อย่างนี้มันดื้อแล้ว มันกินผลไม้ที่เราห้ามเข้าไปแล้ว ปัญหามันเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์รู้จักแยกเป็นบวกเป็นลบ เป็นดีเป็นชั่ว เราจะตีความตามตัวหนังสืออย่างนี้ก็ได้ หลายพันปี หมื่นปีมาแล้ว แล้วแต่ว่ามันจะมีความจริงอย่างไร แต่เดี๋ยวนี้เรามาดูความจริงเฉพาะหน้าเดี๋ยวนี้ว่า มนุษย์อยู่ในท้องแม่ไม่มีความหมายเรื่องบวก ลบ ดี ชั่ว คลอดออกมาใหม่ๆ ก็ยังไม่มี พอมนุษย์รู้จักระบบประสาททางตา หู จมูก ลิ้น กาย ได้สัมผัสอารมณ์ที่เข้ามาแล้วมันรู้จักแบ่งแยกเป็นดี เป็นชั่ว เป็นอร่อย เป็นไม่อร่อย เป็นสุข เป็นทุกข์ จึงเริ่มมีปัญหา แล้วมันก็หลงดี หลงชั่ว แล้วมันก็ได้เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว แล้วมันก็ทำไปตามความโง่ที่เพิ่งเกิดหยกๆ คือความเห็นแก่ตัว อยู่ในท้องก็ไม่เห็นแก่ตัว เห็นไม่เป็น เกิดมาใหม่ๆ ก็ยังไม่เห็นแก่ตัว แต่พอมากินอะไร สัมผัสอะไร รู้อะไรขึ้น เป็นอร่อย ไม่อร่อย คือเป็นบวก เป็นลบ มันจึงเห็นแก่ตัว ที่นี้ก็ทำไปตามความเห็นแก่ตัว แล้วก็มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น แล้วก็เป็นปัญหามากขึ้น มากขึ้น นี่จุดตั้งต้นมาจากความเห็นแก่ตัว จนศาสนาต้องเกิดขึ้น เกิดขึ้น เกิดขึ้น เท่าไหร่มันก็ไม่พอ หรือไม่ทัน ไล่ไม่ทัน ความเห็นแก่ตัวมันก้าวหน้า มันวิ่ง มันเจริญมากด้วยความเจริญของมนุษย์ จนความเห็นแก่ตัว มันชนะ ชนะ ชนะ มาเรื่อยๆ มนุษย์ก็มีปัญหาเป็นความทุกข์ ดีใจ เสียใจ สุข ทุกข์ ดี ชั่ว บุญ บาป อะไรเรื่อยๆ มา ไม่สิ้นสุด จนกระทั่งบัดนี้ จนกระทั่งบัดนี้จะเรียกว่า กี่หมื่นปี กี่แสนปี หรือล้านปี ก็แล้วแต่ตามใจ ความเห็นแก่ตัวก็เจริญๆ เจริญ สูงๆ ขึ้นมา ควบคุมไว้ไม่ได้ ความเห็นแก่ตัวนั่นแหละมันกำลังสร้างปัญหาวิกฤตการณ์เลวร้ายทั้งหลายทั้งปวง บรรดามีอยู่ในโลก นี้เรียกว่า โบราณคดี โบราณคดี หรือจะเรียกว่าประวัติศาสตร์ก็ตามใจ เรียกว่าโบราณคดีของธรรมะที่มีแก่หมู่มนุษย์เป็นลำดับๆ มา จะว่าแสนปี หมื่นปีก็ตามใจ แต่บัดนี้กำลังสูงสุด กำลังครองโลก ความเห็นแก่ตัวกำลังครองโลก เป็นมูลเหตุแห่งอาชญากรรมทั้งหลาย ข้าราชการพลเรือน ก็ทำงานเหลือมือไม่ไหว ข้าราชการทหารก็ทำงานเหลือมือไม่ไหว เพราะข้าศึกร่วมกัน ร่วมกัน สิ่งเดียวคือความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์คงมีอายุเป็นหมื่นปี แสนปี ตั้งแต่เกิดเป็นมนุษย์มีความคิดเจริญขึ้นมา ไอ้วัฒนธรรมตามหลังความเห็นแก่ตัวเรื่อย ไม่ชนะ ไม่เคยชนะ แต่มันก็ดีขึ้นเหมือนกันมีวัฒนธรรมช่วยหน่วงเหนี่ยวไว้บ้างไม่อย่างนั้นจะเลวร้ายกว่านี้ แต่เดี๋ยวนี้ความเห็นแก่ตัวยังชนะวัฒนธรรมอยู่นั่นแหละ เรายังมีผู้เห็นแก่ตัว สร้างคุกตารางเท่าไหร่ก็ไม่พอ สร้างตำรวจเท่าไหร่ก็ไม่พอ สร้างศาลเท่าไหร่ก็ไม่พอ สร้างโรงพยาบาลบ้าเท่าไหร่ก็ไม่พอ มันเป็นความจริงที่แสดงเห็นชัดอยู่ว่า ความเห็นแก่ตัวมันแสดงบทบาท ก็ดูความเห็นแก่ตัวที่ผู้เห็นแก่ตัว คนที่เห็นแก่ตัวมันเป็นอย่างไร คนเห็นแก่ตัวนี้มันขี้เกียจ มันไม่อยากจะทำงาน แต่จะเอาประโยชน์ มันก็เอาเปรียบโดยการขี้เกียจทำงาน คนเห็นแก่ตัวก็อิจฉาริษยา คนเห็นแก่ตัวก็เย่อหยิ่งจองหอง คนเห็นแก่ตัวก็ไม่สามัคคี นี่คนเห็นแก่ตัวสูงขึ้นมาตามลำดับ ตามลำดับ จนสร้างไอ้สิ่งเลวร้ายทั้งหลายทั้งปวง โดยเฉพาะไอ้มลภาวะทั้งหลายมันเกิดมาจากผู้เห็นแก่ตัวทั้งนั้น ทำลายธรรมชาติทั้งหลายมาจากผู้เห็นแก่ตัว มันตามใจตัว ตามใจตัว โดยความเห็นแก่ตัว โดยความเห็นแก่ตัว ความเลวร้ายมันก็เพิ่มขึ้น ที่มันไม่เคยมีครั้งกระโน้น มันก็มีครั้งกระนี้ เช่น ปัญหายาเสพติดนี่ ไม่เคยมี เมื่อไม่กี่พันปีนี้มันไม่มี ไม่ต้องพูดถึงหมื่นปี แสนปี ตั้งแต่สมัยแรกสร้างโลก มันไม่มี มันไม่รู้จัก แต่มนุษย์มันตามใจลิ้น ตามใจปาก ตามใจจมูกอะไรก็สุดแท้ ยิ่งถ้ามียาเสพติด เสพติด เสพติด เกิดขึ้น เป็นปัญหาของโลกทั้งโลก โลกทั้งโลกมีปัญหายาเสพติดให้ลิงมันหัวเราะ ให้คนป่ามันหัวเราะ ปัญหาทางอบายมุขทุกอย่าง ทุกชนิด เช่น การพนัน ดื่มเหล้า อะไรก็ตามที่เป็นอบายมุขทุกชนิด และมันก็น่าหัวที่ว่า มนุษย์เห็นแก่ตัวนั่นแหละ ความเห็นแก่ตัว ดึง ดึง ขออภัยใช้คำหยาบ ดึงหัวมันไปจนเป็นโรคที่สุนัขก็ไม่เป็น โรคอะไรบ้างเดี๋ยวนี้ในโลกที่กำลังเป็นปัญหาทั้งโลก โรคเอดส์ โรคอะไรก็อย่าไปออกชื่อมันดีกว่า แต่ขอสรุปรวมความว่า โรคที่แม้แต่สุนัขก็ไม่เป็น คนมันกลายไปเป็นโรคอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะความเห็นแก่ตัวของมันแท้ๆ ความเห็นแก่ตัวที่มันโง่ โง่ โง่ หลงทาง หลงทาง ออกไปจนกลายเป็นโรคที่แม้แต่สุนัขก็ไม่เป็น เราแก้ปัญหาไม่ได้ ทั้งโลกร่วมกันแก้ปัญหายาเสพติดได้ไหม แก้ปัญหาอบายมุขได้ไหม แก้ปัญหาโลกที่สุนัขก็ไม่เป็นนี่ได้ไหม มันก็ไม่ได้ มันยังเป็นเรื่องที่ว่ายุ่งยากลำบากไปตลอดกาล ศีลธรรมเลวลง เลวลง อาชญากร อาชญากรรมเลวลง เลวลง แล้วเราประเทศไทยเล็กๆไปตามก้นประเทศที่มันใหญ่ มีอำนาจ โดยไม่ต้องดูว่ามันเป็นอย่างไร ไม่ดูศีลธรรม หรือวัฒนธรรมของมหาประเทศเหล่านั้นมันเป็นอย่างไร มันมีศีลธรรมเลวร้ายกว่าเรามาก แต่เราก็ยังไปตามก้นเขา เพราะเราไม่รู้ จากการศึกษาตามก้นพวกนั้น จากการศึกษาโง่ๆ บ้าๆ อะไรพวกนี้ สอนให้ฉลาด ฉลาด ฉลาด ฉลาด ฉลาด ตะพึด แล้วก็ไม่ควบคุมความฉลาด มันเอาความฉลาดไปเห็นแก่ตัว ไปใช้เห็นแก่ตัว ปัญหาก็หนักกว่าเดิม ความเห็นแก่ตัวมันก็มีมากขึ้นสูงสุดในปัจจุบันนี้ นี่คือโบราณคดีร้ายกาจที่สุด และจริงที่สุดของมนุษย์ในโลก คือโบราณคดีของความเห็นแก่ตัว ที่มีจุดตั้งต้นเหมือนกับว่าหิ่งห้อยวามเห็นแก่ตัวก็มีมากขึ้นสูงสุดในขณะนี้ นี้คือโบราณคดี ตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง แล้วเดี๋ยวนี้รุนแรงเหมือนกับดวงอาทิตย์เจ็ดดวง โลกเต็มไปด้วยความเลวร้ายเต็มไปอาชญากร อาชญากรรม จนว่าสร้างคุกเท่าไหร่ก็ไม่พอ สร้างตำรวจเท่าไหร่ก็ไม่พอ สร้างศาลเท่าไหร่ก็ไม่พอ สร้างโรงพยาบาลบ้าเท่าไหร่ก็ไม่พอ สร้างวัดวาอารามเท่าไหร่ก็ไม่พอ ขอให้ช่วยลองสังเกตดูดีๆ ว่า เดี๋ยวนี้เรามีวัดวาอารามมากกว่าครั้งพุทธกาล มหาศาล หลายร้อย หลายแสนเท่า มันก็ไม่พอที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ อาชญากรรมที่เต็มไปหมด ที่มันน่าหัวตรงว่า ผู้เห็นแก่ตัวมันกลับฆ่าตัว เพราะว่าความเห็นแก่ตัวมันหลงทาง มีการฆ่าตัวเองตายที่ไหน ก็ไปดูเถอะ ต้นเหตุแท้ๆ ของความเห็นแก่ตัวมันหลงทาง คนบ้า เป็นบ้าที่ไหน นอกโรงพยาบาล ในโรงพยาบาลที่ไหนก็ไปดู มันมาจากความเห็นแก่ตัวที่หลงทาง คนขอทานฆ่าตัวตายหรือมหาเศรษฐีฆ่าตัวตาย มันก็เหมือนกันหมดแหละ ความเห็นแก่ตัวมันหลงทาง มันจึงฆ่าตัวตาย นี่สิ่งเลวร้ายสูงสุดถึงขนาดนี้ โบราณคดีของมันเป็นมาตามลำดับ ตามลำดับ พูดจาอย่างนี้ ถ้าเรากำจัดมันไม่ได้ มันก็จะต้องวินาศ ในลักษณะที่เรียกรวมๆ กันว่า ไฟบรรลัยกัลป์ไหม้โลก มันจะใช้ระเบิดเลวร้ายยิ่งกว่าระเบิดปรมาณูกันเสียอีก มันก็ทำให้โลกวินาศหมดได้เพราะความเห็นแก่ตัว ซึ่งมีหวังอยู่ในอนาคต ถ้าว่าเราจะกำจัดมันเสียไม่ได้ เพราะฉะนั้นขอให้เราศึกษาโบราณคดี และเกลียดและกลัว ขยะแขยงไอ้ความเห็นแก่ตัวกันให้มาก จนเปลี่ยนปรับมา ลด เลิก ละ ความเห็นแก่ตัว ในโรงเรียนจะสอนให้เด็กเกลียดความเห็นแก่ตัวยิ่งกว่าสิ่งใด ตั้งแต่ชั้นอนุบาล ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย คนเหล่านี้เกลียดความเห็นแก่ตัวแล้วมันก็จะมีผลดี มันจะลดความเห็นแก่ตัว แล้วมันก็จะมีระบบการเป็นอยู่ที่ประเสริฐที่สุด เข้าใจว่าที่นั่งอยู่ที่นี้คงจะเคยอ่านเรื่องของ เหล่าจื้อ เหล่าจื้อเป็นศาสดาพ้องกับสมัยของพระพุทธเจ้า เหล่าจื้อ ขงจื้อ ติดกันไม่กี่ปี ไม่กี่สิบปี ลูกศิษย์คนหนึ่งถามเหล่าจื้อว่า ท่านอาจารย์ การปกครองที่ดีที่สุด ประเสริฐที่สุด วิเศษที่สุด นั่นคือการปกครองอย่างไร เหล่าจื้อก็บอกว่า การปกครองที่ไม่มีการปกครอง ฟังดู การปกครองที่ไม่มีการปกครอง เป็นการปกครองที่ประเสริฐที่สุด ไอ้ลูกศิษย์มันคงจะคิด อาจารย์บ้าแล้ว อาจารย์ตอบบ้าๆ บอๆ ไม่ซักอีกต่อไป เรื่องมันก็เงียบไม่มีให้อ่าน แต่เดี๋ยวนี้อาตมามาสังเกตเห็น โอ้,มันหมายถึงอันนี้ เมื่อมนุษย์ไม่มีความเห็นแก่ตัว มันไม่ต้องมีการปกครอง เมื่อมนุษย์ทุกคนมันไม่เห็นแก่ตัว มันจะปกครองใคร มันไม่มีอาชญากรรม ไม่ต้องใช้กฎหมาย ไม่ต้องใช้ศาสนา ไม่ต้องใช้อะไร ระบบการปกครองที่ไม่ต้องมีการปกครอง เพราะว่ามนุษย์ทุกคนมันไม่เห็นแก่ตัว แล้วมันจะเกิดคดีอะไรได้ เกิดเหตุการณ์เลวร้ายอะไรได้ งั้นขอให้เราศึกษากันให้ดีๆ ในโบราณคดีมันมีธรรมะหรือศาสนาอยู่อย่างพอตัว หรือในโบราณคดีมีธรรมะ ในธรรมะมันก็มีโบราณคดีของมันอยู่อย่างพอตัว เอามาใช้ ให้สำเร็จประโยชน์ว่ามันตั้งต้นมาอย่างไร แล้วก็จะได้แก้ไขมันเสียให้ถูกต้อง ขอพูดเรื่องการแก้ไขสักนิด เป็นที่ต้อง รับรองต้องกันทั้งฝ่ายอินเดีย ฝ่ายตะวันออก ฝ่ายตะวันตก เป็นคำพูดแต่โบราณกาลนะ ถ้าการแก้ไขสิ่งเลวร้าย ต้องแก้ไขที่ต้นเหตุ ที่ต้นเหตุแท้จริง ซึ่งในที่นี้หมายถึงความเห็นแก่ตัว ถ้ามัวแก้ไขที่ปลายเหตุ มันเป็นลูกหมา ถ้าแก้ไขที่ต้นเหตุ มันเป็นลูกราชสีห์ อย่างนี้เอง ก็คือเห็นตัวอย่างง่ายๆ ว่า คนเอาไม้ไปแหย่หมา หมามันก็กัดอยู่ที่ปลายไม้ นั่นล่ะลูกหมา แต่ถ้าคนเอาไม้ไปแหย่ลูกราชสีห์ มันไม่มัวกัดที่ปลายไม้ มันกระโจนมาคนที่ถือไม้ ลูกหมามันมัวแก้ที่ปลายเหตุ ลูกราชสีห์แก้ที่ต้นเหตุ ขอให้เราเห็นความสำคัญของต้นเหตุ ต้นเหตุว่า เลวร้ายที่สุดมันอยู่ที่ ความเห็นแก่ตัว ถ้าประชาชนไม่เห็นแก่ตัว มันก็ต้องมีผู้แทนที่ไม่เห็นแก่ตัว ต้องมีรัฐสภาที่ไม่เห็นแก่ตัว รัฐบาลที่ไม่เห็นแก่ตัว แล้วปัญหาอะไรมันจะเกิดขึ้น มันก็มีการปกครองที่ไม่ต้องมีการปกครอง เรื่องกฎหมายก็ทิ้งหมด เรื่องศาสนาก็ทิ้งหมด ถ้ามนุษย์มันไม่เห็นแก่ตัว ต้นเหตุ มูลเหตุ ของความเลวร้าย หรือความสันติภาพ มันอยู่ที่ความเห็นแก่ตัว หรือไม่เห็นแก่ตัว
ขออภัยอาตมาพูดเกินเวลาไปห้านาทีแล้ว จึงขอสรุปความว่า โบราณคดีของธรรมะเป็นโบราณคดีสูงสุด ขอให้สนใจ สนใจ จับเอามาใช้เป็นประโยชน์ให้ได้ ขอแสดงความยินดีครั้งหนึ่งในการที่มาที่นี้ในลักษณะอย่างนี้ เพื่อแสวงหาความรู้ทางธรรมะ เพื่อไปประกอบหน้าที่การงานของตนให้เจริญยิ่งขึ้นไป ขอให้ความประสงค์อันนี้สำเร็จ สำเร็จ มีความเจริญงอกงามก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตน เป็นสุขสวัสดีอยู่ ทุกทิพาราตรีกาล เทอญ ขอยุติการบรรยาย