แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลาย มาสู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือแสวงหาธรรมะ เพื่อไปใช้ประกอบในการดำเนินกิจการงาน หน้าที่ ในชีวิตของตน ของตน มีเหตุผลอย่างยิ่ง จึงขออนุโมทนาและยินดีด้วยในการมาในลักษณะอย่างนี้ ทีนี้อยากจะทำความเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ เป็นพิเศษ ในข้อที่ว่า เลือกเอาเวลาอย่างนี้ ๕.๐๐ น. เป็นเวลาบรรยาย นี้มันก็เป็นสิ่งที่มีเหตุผล ไม่ใช่เป็นเรื่องที่แกล้งทำตนให้ลำบาก เวลาอย่างนี้ หรือโลกในเวลา ๕.๐๐ น. นี่ มันมีความเหมาะสมที่จะทำการศึกษาชนิดนี้ คือการศึกษาที่เกี่ยวกับจิตใจโดยเฉพาะ เป็นเวลาที่จิตใจกำลังจะเบิกบาน หรือเบิกบาน เช่นเราจะเห็นได้โดยทั่วไปว่า ดอกไม้ในป่าทั้งหลายนี่มันก็เริ่มเบิกบานเวลานี้ มันเป็นเวลาสำหรับการเบิกบาน พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสรู้เวลาอย่างนี้นะ หมายถึงพระพุทธเจ้าองค์นี้ที่เราเคยศึกษาประวัติของท่าน แม้พระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ก็เชื่อว่าจะเป็นเช่นเดียวกัน แม้ในศาสดาของศาสนาอื่นๆ ก็น่าจะเป็นอย่างเดียวกันไม่มากก็น้อย เป็นเวลาพิเศษคือเป็นเวลาเบิกบานแห่งจิตใจ ยิ่งกว่านั้นมันเห็นได้ว่ามันเป็นเวลาที่จิตใจยังว่าง ยังไม่ได้ใส่อะไรลงไป มันก็สามารถที่จะรองรับอะไรได้มาก เรียกโวหาร เรียกโดยโวหารของพวกเซ็น เขาก็ว่ามันเป็นเวลาที่น้ำชายังไม่ล้นถ้วย ในการสอนใจของเขา มีคำว่าน้ำชาล้นถ้วย ใส่อะไรไม่ลง ไม่เหมาะที่จะรับคำสั่งสอนใดๆ มันเป็นเวลาที่น้ำชายังไม่ล้นถ้วยเพราะยังไม่ได้ใส่อะไร ยังไม่ได้ ไม่ได้รินอะไรลงไปด้วยซ้ำ จึงเหมาะที่จะเติมอะไรลงไป จะรินอะไรใส่ลงไปนี้ก็เป็นเรื่องที่มันเหมาะสม สรุปว่ามันเป็นเรื่องสดชื่นทั้งทางกายและทางจิตใจ เป็นโลกที่กำลังมีความหมายเฉพาะ แต่ว่าส่วนมากเขาก็ใช้เพื่อเป็นเวลานอน สบายที่สุด นอนสบายที่สุด ไม่ประสีประสาที่จะใช้โลกเวลา ๕.๐๐ น. นี่ให้เป็นประโยชน์ จึงขอทำความเข้าใจก่อนว่าเราจะใช้มันให้เป็นประโยชน์และเป็นนิสัยไปเลย ไม่ใช่เฉพาะเมื่ออยู่ที่นี่จึงจะใช้โลกเวลา ๕.๐๐ น. อย่างนี้ แม้จะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้าน อยู่ที่ไหนก็ตามเถอะ ลองใช้ดูเถอะ ลองพยายามใช้ดู จนกว่ามันจะชินเป็นนิสัย จะทำอะไรได้มากเพิ่มเติมขึ้นอีกมาก ชีวิตจะมีค่าขึ้นอีกมาก เป็นเวลาที่ทำได้ดีที่สุด จะคิด จะเขียน จะอะไรก็ตาม นี่จึงขอทำความเข้าใจว่าเราจะรู้จักใช้โลกเวลา ๕.๐๐ น. ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด เป็นความรู้อีกเรื่องหนึ่งด้วยเหมือนกัน สำหรับอาตมานี้เป็นเรื่องส่วนตัว แล้วก็ขอบอกให้ด้วยเหมือนกันว่าเวลาอื่นไม่ค่อยมีแรงที่จะพูดจะจา แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลอะไรหรอก เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่มีแรงเป็น เป็น เป็น เป็นอะไร จะเรียกว่าเป็นโรคก็ไม่เชิง แต่มันก็เหมือนกับโรคนั่นแหละ เดี๋ยวนี้เป็นมากขึ้นคือไม่มีเรี่ยวแรง โดยเฉพาะเวลากลางวันนั่นนะ ไม่ค่อยจะมีเรี่ยวแรง พักผ่อน นอนพอสมควรแล้ว เวลา ๕.๐๐ น.อย่างนี้มันก็มีเรี่ยวแรงพอที่จะพูดได้ จึงถือโอกาสรับคำอาราธนาว่า ให้มาพูดกัน
ทีนี้หัวข้อที่ตั้งใจว่าจะพูดในวันนี้ก็มีอยู่ว่า การทำงานให้สนุก การทำงานให้สนุก มีใจความสั้นๆ ว่าเราจะเป็น จะเป็นผู้ทำงานนะ ในลักษณะของผู้พัฒนาชีวิต พัฒนาชีวิต เป็นสมาชิกสหกรณ์ที่ช่วยกันสร้างโลก นักพัฒนาชีวิตเป็นสมาชิกสหกรณ์ที่ช่วยกันสร้างโลก ไม่ใช่ลูกจ้างผู้หิวโหย ทำงานเพื่อแลกกามารมณ์ หรือแม้แต่อาหารประจำวัน นี่คือหัวข้อใจความสำคัญที่จะพูด เราจะทำงานให้สนุกได้ก็โดยเป็นผู้ที่ทำมันอย่างเป็นนักพัฒนาชีวิต เป็นสมาชิกสหกรณ์ทั้งโลกช่วยกันสร้างโลกให้มันน่าอยู่ ให้มันงดงาม ไม่ใช่เป็นลูกจ้างจำเป็น ทำงานเพื่อแลกกามารมณ์หรือเพื่อแลกอาหารของตนหรือของครอบครัวเป็นต้น อย่างนั้นไม่สนุกหรอก มันเป็นชีวิตร้อน นี่คือใจความสำคัญของเรื่องที่จะบรรยาย
ทีนี้ก็จะอธิบายถึงคำว่าเป็นนักพัฒนาชีวิต ชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา ชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา จำเป็นทั้งโดยธรรมชาติ และจำเป็นทั้งโดยสถานการณ์ในปัจจุบัน เราต้องพัฒนาชีวิต เพราะว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา มันควรจะมีคำถามว่าเกิดมาแล้วนี้จะต้องทำอะไร เราได้เกิดมาแล้ว แม้ว่าไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา ไม่ใช่เจตนาของเราที่จะเกิดมา แต่เราก็ได้เกิดมาแล้วโดยบิดามารดา หรือโดยอะไรก็สุดแท้ เราก็เป็นผู้ที่เกิดมาแล้ว แล้วก็เหลืออยู่แต่ว่าจะต้องทำอะไร เราจะมาบ่ายเบี่ยง ปฏิเสธว่าฉันไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา ฉันไม่รับผิดชอบที่ว่าจะเกิดมาทำอะไร อย่างนี้มันไม่ได้ หรือใครอยากจะนั่นก็ลองดู ลอง ลอง ลอง ลองคิดอย่างนี้ดู มันจะเหลว มันเหลว คว้างไปหมดแหละ ในเรื่องของชีวิตจิตใจทั้ง ทั้งสิ้น ชีวิตมันมีมาแล้ว มันจะอยู่เฉยๆ ก็ไม่ได้ หรือมันจะใช้มันผิดๆ ก็ไม่ได้ มันต้องกระทำให้มีการพัฒนา พัฒนาในที่นี้หมายความว่า ให้มันมีความถูกต้องมากขึ้น ต้องใช้คำว่าถูกต้อง ถูกต้อง ไม่ใช่เพียงแต่ว่ามากขึ้น มากขึ้น แล้วก็เป็นการพัฒนา มากขึ้นอย่างไม่ถูกต้อง มันก็คือบ้า เพิ่มมากขึ้นอย่างไม่มีความหมาย ไม่ถูกต้องมันก็คือบ้าชนิดหนึ่ง คำว่า Progress นี่ ไปดูรากศัพท์ของมันแล้ว มันเพียงแต่ว่าทำให้มากขึ้นเท่านั้นแหละ ดังนั้นคำว่า Progress นี่มันเป็นคำเดียวกับคำว่าบ้า เป็นบ้า บ้าทำให้มากขึ้นเท่านั้นเอง หลับหูหลับตา ดังนั้นมันจะต้องเป็น Progress ที่ประกอบอยู่ด้วยปัญญา ด้วยความรับผิดชอบว่าจะต้องทำให้มันถูกต้อง นี่เราจึงต้องพัฒนา ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้ยืมใช้ ฟังดูเหมือนกับบ้า แต่อย่าไปคิดว่ามันบ้านะ เป็นความจริงอันลึกซึ้งว่าชีวิตนี้มันจะยึดถือหมายมั่นเอาเป็นของกู เป็นตัวกู เป็นของกู ก็ไม่ได้หรอก ทำอย่างนั้นแหละมันจะนำไปสู่ปัญหาอันยุ่งยาก มีตัวตน มีความเห็นแก่ตนแล้วก็ทำไป มันก็มีปัญหาเกิดขึ้นมาใหม่มากมาย เป็นความทุกข์ทั้งนั้น แต่ถ้าคิดเสียว่าเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้ยืมมา ดิน น้ำ ลม ไฟ ชีวิต วิญญาณ สังขาร ร่างกาย รวมเรียกว่าชีวิตก็แล้วกัน นี่ธรรมชาติให้ยืมมา ยังไม่คิดดอกเบี้ย ไม่คิดค่าสึกหรออะไร ยืม มึงยืมไปใช้แล้วก็พัฒนาเอาเอง พัฒนาให้เป็นสวรรค์ก็ได้ พัฒนาให้เป็นนรกก็ได้ ตามความพอใจ ให้ยืมใช้ในลักษณะที่ว่าอิสระ เราจึงต้องพัฒนามันให้เป็นประโยชน์ขึ้นมาสมตามที่ควรจะพัฒนา แล้วก็พัฒนาอย่างว่าของยืมมาใช้นะ เป็นประโยชน์ที่สุดแล้วคืนเจ้าของ ในที่สุดก็ว่าไม่ปล้นเอามา ไม่ยักยอกเอามา เป็นของกู เป็นของธรรมชาติอยู่เสมอไปนั่นแหละ นี่ความหมายของคำว่าอนัตตา อนัตตา ไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู เป็นของธรรมชาติให้ยืมใช้ แต่พัฒนาได้ตามชอบใจ แล้วจะเอาอย่างไรอีก ไม่คิดดอกเบี้ย ไม่คิดค่าสึกหรอใดๆ ต้องพัฒนาให้มันสำเร็จประโยชน์ถึงที่สุด ถ้าว่าไปคดโกง ยักยอกเอามาเป็นของกูจะถูกลงโทษ จะถูกตบหน้า ทีนี้เจ็บปวดตามกฎของอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท อาจจะ บาง บางคนอาจจะไม่เข้าใจหรือไม่เคยได้ยิน อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท คือกฎของการที่สิ่งทั้งปวงมีเหตุมีปัจจัย แล้วจะต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอย่างตรงไปตรงมาเฉียบขาดที่สุด แล้วถ้าไปผิดกฎนี้แล้วมันจะมีอาการเหมือนกับถูกตบหน้า ถูกลงโทษ เป็นขโมยคดโกง เอาของธรรมชาติมาเป็นตัวกู มาเป็นของกู มันก็จะเกิดกิเลส เกิดความเห็นแก่ตัว แล้วมันก็จะกัด กัดเจ้าของ กัดเจ้าของ ไอชีวิตโง่ๆ นี่ ชีวิตขี้โกง คดโกงนี่มันจะกัดเจ้าของ จะกัดเจ้าของ ให้เต็มไปด้วยความเร่าร้อนเพราะความโง่ซึ่งเป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว เขามีชีวิตที่กัดเจ้าของ มีชีวิตที่กัดเจ้าของ น่าหัว หมามันยังไม่กัดเจ้าของ ชีวิตนี่มันกลับกัดเจ้าของเพราะว่ามันโง่ เพราะว่ามันไม่ได้รับการพัฒนาที่ถูกต้อง ยกตัวอย่าง เดี๋ยวความรักกัด ไอความรักที่บูชากันนักนั่นแหละ มันของคนโง่ เดี๋ยวมัน ความรักนั้นแหละมันกัด มันน้ำตาไหลอยู่บ่อยๆ เดี๋ยวความโกรธกัด พอโกรธอะไรขึ้นมามันก็คือจุดไฟเผาตัวเอง เดี๋ยวความเกลียด เกลียด เกลียดอย่างไม่มีเหตุผล มันก็เกลียด เกลียดด้วยความโง่ มันก็กัด เดี๋ยวความกลัว กลัว กลัว กลัวอนาคตมากมายมหาศาล มัน มัน ความกลัวมันก็กัด ความตื่นเต้น ตื่นเต้น อดทนอยู่ไม่ได้ ต้องตื่นเต้น หรือต้องไปหาสิ่งที่ให้เกิดความตื่นเต้น ความตื่นเต้นเหล่านี้มันก็กัด มันต้องลงทุน มันต้องเหน็ดเหนื่อย มันต้องไปแสวงหา จะไปดูมวย จะไปดูฟุตบอล จะไปดูหนัง จะไปดูอะไรต่างๆ เพื่อสร้างความตื่นเต้น หารู้ไม่ว่าไอความตื่นเต้นนี่แหละมันกัด ทีนี้ก็ความวิตกกังวลในอนาคต ไม่มีหยุดไม่มีหย่อน แม้กระทั่งหลับก็มันยังฝัน ยังวิตกกังวลในอนาคต เรียกว่าความหวัง มันก็กัด เราสมัยนี้ไปตามก้นฝรั่ง ที่พวกฝรั่งเขามักจะสอนว่าชีวิตนี้อยู่ด้วยความหวัง ให้หวัง หวัง หวัง แล้วจะมี ไอการประสบตามที่หวัง แต่พระพุทธเจ้าไม่สอนอย่างนั้น ไม่ได้สอนให้อยู่ด้วยความหวัง สอนให้อยู่ด้วยสติปัญญา สัมปชัญญะ คือคิดดูให้ถูกต้องแล้วว่าควรจะทำอะไร ควรจะทำอย่างไร แล้วก็ทำไปโดยไม่ต้องหวังให้มันกัดหัวใจ ไอความหวังนี่เป็นความหิวชนิดหนึ่งนะ ลองดูสิ ลองดูสิ มันเป็นความหิวชนิดหนึ่งแล้วมันกัด กัด กัด หวังมากก็กัดมาก ฉะนั้นไม่ต้องหวังให้เสียเวลา ให้มันกัด แต่มีสติปัญญารู้ว่าควรทำอย่างไร ควรทำอย่างไร แล้วก็ทำไปตามสบาย ผลก็ได้รับแน่นอน ไม่ต้องหวัง ชาวนาทำนาให้ถูกต้องก็ไม่ต้องหวังว่าข้าวจะออกรวงมา มันออกรวงเองนะ แม้ที่สุดแต่แม่ไก่ฟักไข่มันก็ทำไปอย่างถูกต้อง ๒๗ วันลูกไก่มันก็ออกมา แม่ไก่ไม่ต้องหวังว่าลูกไก่จะไม่ออกมา ลูกไก่จะไม่ออกมา ถ้าหวังอย่างนั้นคงเป็นแม่ไก่บ้า อย่าไปเอากับมันเลย มันไม่ต้องใช้ความหวัง แต่ใช้สติปัญญา ดำรงชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญา มันก็เป็นไปได้ นี่เรียกว่ามันไม่เกิดกิเลสที่เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว แล้วก็ไม่อาลัยอาวรณ์ อาลัยอาวรณ์ถึงอดีต มันก็กัดเข้ากับวิตกกังวลในอนาคต เรื่องอดีตนี่อย่าไปอาลัยอาวรณ์มัน ศึกษาให้รู้เรื่องนั้นแล้วไปใช้ให้เป็นประโยชน์ แล้วก็ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ในอดีต แล้วก็ไม่อิจฉาริษยา การอิจฉาริษยานี่เลวร้ายมาก พอริษยาใคร มันก็กัดไอตัวผู้ริษยานั่นแหละก่อน ไอตัวผู้ที่ถูกริษยานั้น ไม่รู้ ไม่รู้ไม่ชี้ นอนหลับไม่รู้ แต่คนจะไปคิดริษยาเขานั่นแหละ ถูกไฟริษยาเผา เผา เผา เผาไหม้ขึ้นมาเท่านั้นแหละ อย่าไปเอากับมันเลยความอิจฉาริษยา แล้วจะเห็นว่าความอิจฉาริษยานี่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ร้ายอันธพาลในท้องถนนทั่วไปหมด นักศึกษาระดับวิทยาลัยยังยกพวกตีกันนะ อาตมาไม่ได้เห็น ได้แต่อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ ตีกันในรถเมล์ ในอะไรก็ได้ นี่มันริษยา แล้วเขาว่ากัดทันที ริษยาทันทีก็กัดทันที ความหวง ความหวง หวงก้างไปหมดนี่ก็กัด ความหึงโดยเฉพาะรุนแรงมากก็กัด จนถึงกับฆ่าตัวตาย นี่ยกตัวอย่างมาสัก ๑๐ อย่าง ว่าอะไรมันกัดเจ้าของ ชีวิตชนิดไหนมันกัดเจ้าของ คือชีวิตที่ไม่มีธรรมะ ไม่มีความถูกต้อง มันมีความรัก มันมีความโกรธ มันมีความเกลียด มันมีความกลัว มันมีความตื่นเต้นระส่ำระสาย มันมีวิตกกังวลในอนาคต มีอาลัยอาวรณ์ในอดีตที่แล้วมา มันอิจฉาริษยา มันหวง มันหึง เท่านี้ก็พอให้เป็นตัวอย่างแล้ว ลองมีดู มันกัดเจ้าของ ชีวิตนี้มันกัดเจ้าของ พัฒนาก็หมายความว่า ไม่มีสิ่งที่จะกัดเจ้าของ เป็นอิสระเหนือการกัดเจ้าของ อันธพาลทั้งหลายมาจากความเห็นแก่ตัว คนบ้าทั้งหมดมันมาจากความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันเป็นกิเลสที่เกิดมาจากการบำรุงจิตไม่ถูกต้อง พัฒนาจิตไม่ถูกต้อง เรียกว่าความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว เป็นศัตรูอันเลวร้าย ทุกสิ่งทุกอย่างทั่วทั้งจักรวาล ความเลวร้ายทั้งหลายมาจากความเห็นแก่ตัว ได้รับความยุ่งยากลำบากอะไรอยู่ขอให้นึกดูเถิด ใคร่ครวญดูจะพบจุดสุดท้าย เหตุ ต้นเหตุของมันคือความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนี่แหละมันกัด กัดตัว มันน่าหัวนัก เห็นแก่ตัวทำไมจะต้องกัดตัว เพราะมันรักตัวอย่างโง่เขลา อย่างบ้าบอที่สุด อย่างโง่เขลาที่สุด ความเห็นแก่ตัวมันก็กัดตัวมันเอง เหมือนสนิมเหล็กเกิดจากเหล็ก แล้วก็กลับกัดไอเหล็กนั่นแหละให้วินาศไป ความเห็นแก่ตัวเป็นอย่างไร ขอให้ศึกษาสักหน่อยถ้ายังไม่รู้จักมันดี ศึกษาให้เห็นชัดว่า โอ้ย, มันเลวร้ายสารพัดอย่าง ทุกอย่างในโลกในจักรวาลนี้ ในเมืองสวรรค์ก็เอา ถ้ามันมีปัญหายุ่งยากใดๆ มันก็มาจากความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันทำให้ขี้เกียจนะ ไม่อยากทำอะไรนะ อยากนอนนะ แล้วจะเอาประโยชน์ เอากับมันสิ ความเห็นแก่ตัวนี่มันทำให้ริษยา อิจฉาริษยา มันเห็นแก่ตัวมันจึงจะไปริษยาคนอื่นได้ ความเห็นแก่ตัวมันทำให้เอาเปรียบ เอาเปรียบ เอาเปรียบ มันก็เป็นอันธพาลเท่านั้นเองนะ อันธพาลเขาไม่เสียเวลามานั่งทำงานให้เหน็ดเหนื่อยเหงื่อไหลไคลย้อยเหมือนพวกเราหรอก เขาก็เรียนลัดโดยปล้น จี้ อย่างแบบของอันธพาล มันก็เป็นอันธพาลทุกรูปแบบขึ้นมาในบ้านในเมือง ข้อนี้คุณก็คงจะทราบดีแล้วจากรายงานของสื่อสารมวลชนทั้งหลายว่าอันธพาลกำลังดก รก หนาขึ้นมาในโลกอย่างไร เต็มไปด้วยคนอันธพาลแล้วมันก็ทำลาย นับตั้งแต่ว่ามันมีมลภาวะเกิดขึ้นเต็มโลกเพราะคนโง่ เพราะคนเห็นแก่ตัว เพราะคนอันธพาล เห็นแต่ประโยชน์ตน ก็ไม่คำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่น ไม่คำนึงถึงชีวิตของผู้อื่น มันก็สร้างมลภาวะ มันก็ทำลายธรรมชาติอันสวยงาม มันโง่ถึงกับไปเอาโรคบ้าๆ บอๆ โรคเอดส์ โรคแอดส์อะไรก็ไม่รู้แหละ ถ้ามันไม่เห็นแก่ตัวแล้วมันไม่ไป ไม่ไปเอามาหรอก มันไม่นำมาใส่ตัว หรือมันไม่ไปหาเชื้อมาใส่ตัว มันมีความโง่ เห็นแก่ตัว มันไปเอามา มันทำผิดทุกอย่างทุกประการ เป็นทาสของยาเสพติดอย่างนี้ เอากันกับมัน เอากับมันสิ มันเป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัว มันจึงเป็นทาสของยาเสพติดที่เลวร้ายที่สุด ที่โง่เขลาที่สุด ฉะนั้นในที่สุดมันก็หนักขึ้น หนักขึ้น จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เรียกว่าความเห็นแก่ตัว มันหลงทางแล้ว มันหลงทางแล้ว แล้วมันก็จะเป็นบ้า ต้องไปอยู่โรงพยาบาลบ้า หรือว่ามันอาจจะฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูก ฆ่าเมีย แล้วฆ่าตัวเองตายตามไป สมน้ำหน้ามัน ความเห็นแก่ตัวมันเป็นอย่างนั้น ทีนี้เราจะต้องรู้จักไว้ให้ดีๆ ว่ามันเป็นศัตรูเลวร้ายที่สุดยิ่งกว่าสิ่งใด แต่เราก็น่าอะไร น่าเศร้า หรือน่าหัวก็แล้วแต่แหละ เพราะมันกำลังเพิ่มขึ้นมาในโลกนี้ โลกยิ่งเจริญยิ่งเพิ่มความเห็นแก่ตัว สมัยคนป่าไม่นุ่งผ้า แสนๆปี มันไม่ได้เห็นแก่ตัวมากเหมือนคนเดี๋ยวนี้ เพราะเหตุอะไร เพราะเหตุว่ายุคนี้มันมีความเจริญทางวัตถุ แล้วความเจริญทางวัตถุมันส่งเสริมความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางกามารมณ์ทางเนื้อทางหนัง ดังนั้นยิ่งมีความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุเท่าไร มันก็ยิ่งมีความเห็นแก่ตัวมากเท่านั้นแหละ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปโทษใคร ประชาธิปไตย ใครจะทำอะไรก็ได้ พวกที่มีเงินมากเขาก็ลงทุนด้วยเครื่องจักร อุตสาหกรรม ผลิตสิ่งที่ไม่จำเป็น ไม่จำเป็นขึ้นมาโฆษณาขายจนขายได้แล้วก็ส่งเสริมความสุข สนุกสนานทางวัตถุ ทางเนื้อทางหนัง ก็เพิ่มความเห็นแก่ตัว เพิ่มความเห็นแก่ตัว ดังนั้นโลกสมัยนี้มันก็เป็นโลกแห่งการโฆษณา ศิลปะแห่งการโฆษณาขึ้นชื่อลือชา จนนำหน้าศิลปะใดๆ โฆษณาเก่งจน ผู้ซื้อยอมซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็น ไม่จำเป็นมันก็ซื้อไปไว้เต็มบ้านเต็มเรือน โฆษณาให้ยายแก่ขี้เหนียวซื้อตู้เย็นก็ได้ ซื้อโทรทัศน์ก็ได้ เอากับมันสิ ศิลปะแห่งการโฆษณามันเป็นมากถึงอย่างนี้ แล้วทีนี้จะทำยังไง มันก็เต็มไปด้วยสิ่งที่ส่งเสริมความรู้สึกทางกามารมณ์ ทางเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวก็เพิ่มมากขึ้น เพิ่มมากขึ้น เพิ่มมากขึ้น ในโลก โลกที่ว่ายิ่งเจริญเท่าไร มันก็ยิ่งเพิ่มความเห็นแก่ตัวมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเราจึงอยู่ในโลกนี้ลำบากมาก ลำบากมาก นายทุนก็เห็นแก่ตัว ทำให้ชนกรรมาชีพเองมันก็เห็นแก่ตัว ชนกรรมาชีพมันก็เห็นแก่ตัวมันจึงทำลายล้างนายทุน นายทุนก็เห็นแก่ตัวจึงสูบเลือดชนกรรมาชีพ นายจ้างก็เห็นแก่ตัว ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว อย่าไปโทษนายจ้างฝ่ายเดียว อย่าไปโทษลูกจ้างฝ่ายเดียว มันเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่ายมันจึงได้ต่อสู้กัน คนมั่งมีก็เห็นแก่ตัว คนยากจนก็เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวมากขึ้น มากขึ้น จน จนว่าเจ้าหน้าที่ ข้าราชการอะไร ก็ล้วนแต่เพิ่มความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้มันคืบคลานเข้ามาในวัดในวา พระเจ้า พระสงฆ์ก็พลอยเห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ผัวเมียเห็นแก่ตัวมันอยู่กันได้หรือ มันก็ต้องหย่ากัน เดี๋ยวนี้ความเห็นแก่ตัวมันคืบคลานเข้าไปถึงว่า แม้ระหว่างแม่กับลูก มันก็มีความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น แม่มีความเห็นแก่ตัว ลูกจะเป็นอย่างไร ลูกมีความเห็นแก่ตัว จะทำ จะเป็นอย่างไร ลูกหญิงลูกชายโดยเฉพาะวัยรุ่นมันเห็นแก่ตัว มันทำให้แม่นั่งน้ำตาตกอยู่แทบทุกวัน ทุกวันนะ ดึกดื่นแล้วมันยังไม่กลับบ้าน มันไปค้างคืนที่อื่น นี่เรียกว่าความเห็นแก่ตัว มันได้มีขึ้นแล้วแม้แต่ในระหว่างพ่อ แม่กับลูก แล้วมันจะเหลืออะไร มันก็เต็มไปด้วยความทุกข์ทั้งนั้นแหละ นี่เรื่องความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว มันจะกัดเจ้าของผู้ไม่มีธรรมะ เลวร้ายยิ่งกว่าหมาที่ไม่เคยกัดเจ้าของ ขอให้มองเห็นแก่ตัวแล้วก็เกลียดมัน อย่าให้มันเข้ามา อย่าให้มันเกิดขึ้น อย่ารักษามันไว้ สลัดมันไป ทำลายเสีย นี่เรียกว่าถูกต้องนะ ถูกต้อง ในการที่จะดำรงชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของ เรียกว่าเป็นการพัฒนาชีวิตจากความโง่ ความหลง ความมืด ความบอด สูงขึ้นมาเป็นแสงสว่าง มีความถูกต้อง ได้รับชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของ พวกฝรั่งมาที่นี่ทุกเดือนแหละ เดือนละหลายสิบคน ร้อยคน ทุกเดือน ทุกเดือน มาเอง มาเหมือนกับมาตลาดนัด เพราะเขาชอบคำ คำนี้นะ เขาชอบคำว่าชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของ เขาเพิ่งมามองเห็นว่า โอ้ที่แล้วมาแต่หลัง เรามีชีวิตชนิดที่กัดเจ้าของตลอดเวลา เดี๋ยวนี้เรามาหาพบไอชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของนะ คุณไปดูที่ center นะก็ยังอยู่ ยังไม่ถึงวันที่ ๑๐ วันที่ ๑ ถึงวันที่ ๑๐ เราจะฝึก เราจะศึกษาและฝึกสมาธิ ศึกษาให้รู้โดยทฤษฎีแล้วก็ฝึกมันโดยวิธีปฏิบัติ มันก็ได้คุณธรรม ธรรมะมากพอที่จะคุ้มครองชีวิตนี้ให้ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง แล้วมันก็ไม่กัดเจ้าของ นี่คือคำที่เขาถือเป็นหลักและพอใจมาก ทำให้ต้องมาที่นี่เป็นประจำ แล้วมาเองเหมือนมาตลาดนัดนะ เราจงสนใจคำว่าชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ มันมีมูลมาจากความเห็นแก่ตัวซึ่งโง่ไปตามความรู้สึก หลงใหลในความสุขทางเนื้อทางหนัง ไอคำนี้มันเป็นคำทางศาสนาที่เขาใช้กันมาก อาจจะแปลกหูท่านทั้งหลายว่า ความสุขทางเนื้อทางหนัง มันไม่ได้หมายความว่าความสุขทางจิตใจทางวิญญาณ มันเป็นความสุขทางเนื้อทางหนังคือทางกิเลสตัณหา มันหลงใหลในความสุขชนิดนี้ รู้สึกอย่างนี้แล้วมันก็ต้องเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวแล้วมันก็ทำไปตามความเห็นแก่ตัว ปัญหาทั้งหลายในโลกมันจึงเกิดขึ้น เกิดขึ้น เพราะความเห็นแก่ตัว ทีนี้จะทำอย่างไร จะถอนตัวออกมาจากความเห็นแก่ตัว ฟังดูแล้วมันก็ยาก เข้าใจยาก ถอนตัวออกมาเสียจากความเห็นแก่ตัว ไอความรักตัว ความเห็นแก่ตัวมันกลายเป็นพิษ เป็นอันตรายขึ้นมาเพราะมันโง่ มันก็คือพัฒนาให้มันหายโง่ ให้มันฉลาด มันฉลาดแล้วมันก็ไม่เห็นแก่ตัว มันมีชีวิตอยู่ชนิดที่ไม่เห็นแก่ตัว มีชีวิตประจำวันชนิดที่ไม่ต้องเห็นแก่ตัว เมื่อไม่เห็นแก่ตัวมันก็เห็นแก่ผู้อื่นแหละ มันก็เห็นแก่ความถูกต้อง ความสำคัญมันต้องเห็นแก่ความถูกต้อง เมื่อเห็นแก่ความถูกต้องแล้วมันก็เห็นแก่ผู้อื่น ทีนี้มันเห็นแก่ตัวหมด เห็นแก่ตัวเองหมดจนไม่มีเหลือไว้สำหรับเห็นแก่ผู้อื่น หรือเห็นแก่ความถูกต้อง ศึกษาให้รู้จักความโง่ ความหลงในความสุขทางเนื้อหนัง คือมาจากความโง่ หลงบวก หลงลบ หัวเราะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา หัวเราะมันเป็นบวก ร้องไห้มันเป็นลบ เขาหลงใหลในความเป็นบวก ในความเป็นลบ ถ้าไม่หลงใหลในความเป็นบวกก็ไม่ต้องหัวเราะ ไม่หลงใหลในความเป็นลบก็ไม่ต้องร้องไห้ เดี๋ยวนี้มันมีแต่ของ ๒ อย่างนี้ลากไป ดึงไป จูงไป จึงเต็มไปด้วยความกระหืดกระหอบในชีวิตนี้ เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ พูดให้สั้นเข้ามาอีกก็ว่ามันเดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ ไม่เป็นความสงบสุข ความดีใจนี่ระวังให้ดี ไม่ใช่ความสงบ ถ้าดีใจมากเกินไปมันก็กินข้าวไม่ลง นอนไม่หลับเหมือนกันนะ ดีใจ เอากับมันสิ เสียใจนี่ก็ไม่ไหว แต่ว่าดีใจก็อย่า อย่า อย่าไปดู อย่าไปดูมันหยาบๆ ผิวๆ ไม่รู้นะ มันก็กัดหัวใจเหมือนกัน ไอเวลาที่เราจะสบายที่สุดนั่นก็คือเวลาที่เราไม่รู้สึกว่าดีใจหรือเสียใจ นั้นคือความถูกต้อง เราไม่ดีใจให้เสียเวลา ไม่เสียใจให้เสียเวลา เราดูแต่ว่าสิ่งนี้ควรทำอย่างไร อย่าไปคิดเป็นบวก เป็นลบ น่ารัก น่าเกลียดอะไรทั้งนั้น คิดว่าควรทำอย่างไรสิ่งนี้เกิดขึ้น แล้วก็ทำให้มันถูกต้อง ทำให้มันถูกต้อง มันก็มีความถูกต้อง มันก็ไม่มีปัญหาที่จะเกิดกิเลสเป็นความเห็นแก่ตัว มันก็สบาย มันมีแต่ความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง แล้วก็พอใจในความถูกต้อง พอใจในความถูกต้อง นั่นคือสิ่งสูงสุดประเสริฐที่สุดคือความถูกต้อง เป็นความสุขสวัสดี เป็นพร เป็นอะไรสูงสุดอยู่ที่ความถูกต้อง จงแสวงหาความถูกต้องแล้วปฏิบัติดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความถูกต้อง มันก็เป็นพร แต่ละวัน ละวันนี่มีคนมาขอพรมากเหลือเกิน อาตมาก็บอกว่าไม่มีแล้ว ไม่ให้ ไม่มีให้แล้ว คุณมีจนไม่มีโกดังจะใส่แล้ว ไอพรอะไรนี่ ขอให้กันมาตั้งแต่เกิดจนบัดนี้ ไม่มีโกดังจะใส่พรกันแล้ว คุณก็ยังไม่มีความสงบสุข จงรู้จักพรที่แท้จริงคือความถูกต้อง ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ของพระพุทธเจ้า นั่นแหละเป็นพรที่แท้จริง ความถูกต้อง ความถูกต้อง พยายามให้มันถูกต้องทุกอย่าง ถูกต้องทุกระดับ ถูกต้องทุกชนิดของการงาน เรียกว่าในทุกๆ กรณีนี้จะต้องทำให้มันเป็นความถูกต้อง นั่นแหละเรียกว่า เป็นเรื่องพัฒนา อย่าไปพัฒนาที่มันไม่ถูกต้อง มันก็จะเป็นบ้า นี่เรียกว่าพัฒนาเหมือนกัน แต่ยิ่งพัฒนายิ่งยุ่ง ยิ่งยาก ยิ่งลำบาก หรือโลกปัจจุบันนี่ก็มันมีลักษณะเป็นอย่างนี้เสียมากกว่า เราจะต้องการความถูกต้องเพื่อไปสู่ความสงบเย็น ไปสู่ความสงบเย็น เพราะไม่มีไฟ ไฟคือกิเลส คือความโง่ คือความผิดพลาด ที่มันกัดเจ้าของนั่นนะ ไฟทั้งนั้น ไม่มีไฟเหล่านี้ก็มีชีวิตสงบเย็น สงบเย็น จำไว้สักสองคำว่า สงบเย็นแล้วเป็นประโยชน์ ถ้าชีวิตไม่สงบเย็นมันก็เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น จะเอากับมันทำไม ตายเสียดีกว่า ถ้าสงบเย็นเฉยๆ มันก็ยังไม่เท่าไรหรอก มันต้องเป็นประโยชน์ ต้องเป็นประโยชน์ คำว่าประโยชน์ ประโยชน์นี่ พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้เป็น ๓ ชนิดด้วยกัน ประโยชน์แก่ตัวเอง ประโยชน์แก่ตัวเองนี่ก็ประโยชน์หนึ่ง เรียกว่า อัตตะประโยชน์ แล้วก็ประโยชน์แก่ผู้อื่น ประโยชน์แก่ผู้อื่น ก็เป็นประโยชน์เหมือนกัน ที่เราจะต้องรับรู้ จะต้องทำเรียกว่า ปรัตถ์ประโยชน์ หรือปรัตถะประโยชน์ เพราะว่าเราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้นี่ ใครมันอยู่ได้หละ ไม่ให้เขา แม้จะ เขาจะยกโลกให้โลก ยกโลกทั้งโลกให้เราอยู่คนเดียวเราก็อยู่ไม่ได้ (ฉันจะต้องตาย) ประโยชน์ที่ ๓ ก็คือประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกัน เรียกว่า อุภยัตถะประโยชน์ มันเกี่ยวข้องกัน ไม่อาจจะแยกกัน ต้องร่วมกันทั้งเขาและทั้งเราจึงจะเกิดประโยชน์อันนี้ มันเป็นประโยชน์ที่ ๓ อัตตัตถะประโยชน์ ประโยชน์ตน ปรัตถะประโยชน์ ประโยชน์ผู้อื่น อุภยัตถะประโยชน์ ประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย ต่อเมื่อมีชีวิตสงบเย็น พ้นปัญหาของตัวแล้ว มันจึงจะสร้างประโยชน์ทั้ง ๓ ขึ้นมานี้ได้โดยง่ายดาย จงมีเป้าหมายในที่สุดว่าสงบเย็นและเป็นประโยชน์ สงบเย็นคือไม่ทุกข์ไม่ร้อนไม่อะไรโดยประการทั้งปวง แล้วก็เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ เหมือนกับว่าเครื่องจักรนี่มันผลิตประโยชน์ เป็นเครื่องจักรผลิตประโยชน์ไม่รู้จักหยุดจักหย่อน นั่นนะคือชีวิตที่มันมีธรรมะ ชีวิตที่มีความถูกต้องของธรรมะ มันจะเป็นเหมือนกับเครื่องจักร ผลิตประโยชน์ออกมาตลอดเวลา ทั้งประโยชน์ตนเอง ประโยชน์ผู้อื่นและประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกัน เราจะชนะอุปสรรคทั้งหลายโดยเฉพาะคือความทุกข์ ที่มันเกิดมีตามธรรมชาติจากความโง่ของเราเอง ถ้ามันมีความทุกข์ขึ้นมาเมื่อไร ก็อย่าไปเป็นทุกข์ให้มันเดือดร้อนนะ ถือว่าเป็นบทเรียนสำหรับศึกษาว่าความทุกข์นี่อะไรหว่า มาจากอะไรหว่า เสร็จแล้วจะละ ชำระชะล้างมันได้โดยอะไร ถ้าเกิดความทุกข์หรือความผิดหวังขึ้นมา อย่าไปโง่นั่งร้องไห้ หรือฆ่าตัวตาย จงถือเอาเป็นการศึกษาว่า เออนี่มันคืออะไร คืออย่างไร เราเอาความทุกข์นั่นแหละเป็นบทเรียน แล้วก็เป็นความรู้ใหม่เกิดขึ้นมาจากความทุกข์ ขอให้เราต้อนรับความทุกข์กันในลักษณะอย่างนี้เถิดเราจะพ้นจากความทุกข์ คนโบราณเขาพูดกันนะ ไม่รู้มาแต่ครั้งไหน คราวไหน หรือใครพูดกันมาว่า เพชรมีอยู่ในหัวคางคก คางคกเป็นสัตว์ที่น่าเกลียดที่สุด ไม่มีใครอยากจะเห็นด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่จะไปจับ ไปต้อง มันไม่อยากจะเห็น แต่ในหัวคางคกมีเพชร ก็หมายความว่าในความทุกข์ ในความทุกข์อันแสนจะเจ็บปวดนั้น ควรดูให้ดี ในนั้นมันมีความรู้ มีความรู้ที่มีประโยชน์สูงสุดซ่อนอยู่ จงหาให้พบ หาให้พบ หาความดับทุกข์ให้พ้น ให้พบจากความทุกข์ หาที่ไหน ที่อื่นจะหาพบที่ไหนหละ ความทุกข์อยู่ที่ไหน ความดับทุกข์มันจะมีอยู่ในนั้นแหละหาให้พบเถิด บางคนพูดไกลไปกว่านั้นว่าหาความสงบเย็นในกลางเตาหลอมเหล็ก เป็นคำพูดของพวกเซ็น หรือพวกอะไรก็แล้วแต่ ได้ ใช้ได้ทั้งนั้น ในกลางเตาหลอมเหล็กให้เหล็กละลายมันกลับมีความเย็น หาให้พบ เพราะมันซ่อนอยู่ในความร้อนอันสูงสุด เพราะว่าถ้าความร้อนมันสูงสุด ถึงจุดดับลงมันก็มีความเย็นที่สุด เย็นมาก เย็นที่่สุด ความเย็นที่สุดมันก็ซ่อนอยู่ในความร้อนอันสูงสุด นี่เราจะต้องต้อนรับไออุปสรรค หรือความทุกข์กันในลักษณะอย่างนี้ ในความวุ่นวายถ้าพบแล้วมันก็พบหนทางระงับความวุ่นวายแล้วก็พบความสงบสุข ถ้าไม่ศึกษาจากความวุ่นวาย มันก็ไม่รู้จะศึกษาที่ไหน มันก็เดาไปคลำไปมันก็โง่ มันก็ต้องศึกษาจากสิ่งที่มีอยู่จริง นี่จึงเรียกว่าใช้ความทุกข์ให้เป็นการศึกษา ให้มีประโยชน์สำหรับจะดับทุกข์นั่นเอง ก็มาถึงบทสุภาษิตอีกบทหนึ่งว่า เอาเกลือนั่นแหละจิ้มเกลือ ถ้ามันเกิดความทุกข์ขึ้นมาก็เอาความทุกข์นั่นแหละเป็นบทเรียน หาให้พบความดับทุกข์ แล้วจะพบความสงบเย็น เมื่อพูดถึงความสงบเย็นนี่มันมีอยู่เป็น ๒ ระดับนะ คือระดับอย่างชาวโลกธรรมดา ธรรมดา ก็มีความสงบเย็นของเขาไประดับหนึ่งนะ สูงขึ้นไปของพระอริยเจ้าก็มีความสงบเย็นของท่านอีกระดับหนึ่ง ความสงบเย็นของชาวโลกธรรมดา ชาวบ้านธรรมดานี่เรียกในภาษาบาลีว่า นิพพุติ นิพพุติ พ.พาน ๒ ตัว นิพพุติ ต.เต่า สระอิ นี่แปลว่าความเย็นเหมือนกัน แต่อย่างระดับโลกๆ มีความสงบเย็น เยือกเย็นในครอบครัว ในชีวิต ในบ้าน ในเมือง ในโลกนี่ เป็นความสงบเย็นเรียกว่า นิพพุติ แต่เราจะเห็นได้ว่ามันไม่ใช่เด็ดขาด มันไม่ใช่สูงสุด มันเป็นเรื่องของระดับโลกๆ แต่ก็ยังดีกว่าความไหม้ หรือเผาผลาญ หรือเร่าร้อน เราสงบเย็น พระจะบอกทุกคราวที่มาทำพิธี ให้ศีล ให้พร เรามีพิธีอะไรที่ไหน ที่ไหนก็ตาม ที่จะนิมนต์พระมาสวด มาฉัน แล้วก็มาให้ศีล ท่านจะบอกประโยคนี้ คุณฟังให้ดีนะ สีเลนะ นิพพุติง ยันติ จะถึงซึ่งนิพพุติได้เพราะศีล สีเลนะ เพราะศีล นิพพุติง ซึ่งนิพพุติ ยันติ ถึง ถึง ซึ่งนิพพุติ คือความเย็นได้เพราะศีล ถ้าเรามีศีลมีความถูกต้องเป็นระเบียบเรียบร้อยเราก็มีความเย็นชนิดนี้เป็นนิพพุติ เย็นอกเย็นใจในบ้านในเรือน มีชีวิตสงบเย็นในบ้านในเรือนอย่างโลกๆ นี่เรียกว่านิพพุติ แต่กิเลสยังเหลือจึงต้องระวัง ไม่ให้มันเกิดขึ้นมา มันก็เป็นนิพพุติอยู่ แต่ถ้าเป็นนิพพานนั้นนะ สงบเย็นเด็ดขาด สูงสุดเด็ดขาด ไม่กลับร้อนอีกเป็นของพระอริยเจ้า ก็แปลว่าเย็นเหมือนกัน นิพพุติ ก็แปลว่าเย็น นิพพานะ ก็แปลว่าเย็น แต่นิพพุติยังเป็นของชั่วคราว ยังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ถ้าเป็นนิพพานะแล้วก็สูงสุด สูงสุด ไม่มีทางที่จะร้อนอีกต่อไป ดังนั้นจงสร้างสรรค์นิพพุติ... (เสียงขาดไปช่วงนึง) ...ได้อย่างไร ไปซื้อหาที่ไหน ไปซื้อหาที่พัฒน์พงศ์ ที่มีชื่อเสียงที่สุด โรงหนัง โรงละครที่ไหน ไปหาได้ที่ไหน มันถูกหลอกให้โง่กลับมาทั้งนั้นแหละ มันก็ร้อน มีความร้อนซ่อนอยู่ที่นั่น ในนั้น เราต้องหาที่ในตัวเราคือความถูกต้องที่มีอยู่ในตัวเรา จงสร้างสรรค์ความถูกต้อง ความถูกต้อง ขึ้นมาให้ได้ในชีวิตของเรา นี่เรียกว่าพัฒนาชีวิต พัฒนาชีวิต ปัญหามีอยู่หน่อย ตรงที่คำว่าถูกต้อง ถูกต้อง อย่างไรเรียกว่าความถูกต้อง ถ้าถามเด็กๆ มันก็บอกว่า ได้อย่างที่ฉันต้องการนั่นแหละความถูกต้อง แล้วมันจริงอย่างนั้นหรือ ถึงผู้ใหญ่ก็เถอะยังถือหลักว่าได้ตามที่ฉันต้องการนั่นแหละคือความถูกต้อง แล้วมันจริงอย่างนั้นหรือ ไอความต้องการของฉันมันเป็นกิเลสของความโง่ที่สุดก็ได้ ฉะนั้นมันไม่ใช่ความถูกต้อง ฉะนั้นความถูกต้องต้องมีลักษณะโดยเฉพาะของมัน ถูกต้องตามหลัก Logic บ้าง Phylosophy บ้าง ก็เยอะแยะ เยอะแยะไปหมด ไม่ยุติกันได้ ไม่พบความถูกต้อง โลกนี้ไม่มีสันติภาพ เพราะว่ามันไม่พบความถูกต้องที่แท้จริง โดยเฉพาะไอทาง Logic หรือทาง Phylosophy ด้วยแล้ว ไม่มีจุดจบ ไปได้เรื่อยไม่มีจุดจบ ไม่พบกับจุดจบที่ว่ามันจะเป็นสันติภาพอันแท้จริง เพราะมันมีสมมติฐานโดยเหตุผลที่เป็นสมมติฐาน มันก็สมมติได้เรื่อยไป มันก็เดินไปไม่รู้จักจบจักสิ้น เปรียบเหมือนทางรถไฟ รางรถไฟมันเป็นคู่กันไปจนตลอด มันไม่มีวันพบกันเลย ไอราง ๒ รางอยู่ใกล้กันแต่ไม่มีวันพบกันเลย ไม่มีจุดจบอย่างนี้นั่นแหละ การ ผลของการคำนวณทาง Logic ก็ดี ทาง Phylosophy ก็ดี อย่าไปเอากับมันเลย อย่าไปตามก้นฝรั่งเลย เชิดชู Phylosophy อะไรกันนักหนา Phylosophy มันเป็นเพียงทัศนะหนึ่งๆ เท่านั้นแหละ ไม่ใช่ปรัชญา Phylosophy แปลว่าปรัชญา นี่ไม่ถูกต้อง พวกอินเดียเจ้าของภาษาคำนี้ เขาเสียใจมากที่เมืองไทยแปล Phylosophy ว่าปรัชญา ปรัชญาแปลว่าถูกต้องถึงที่สุด แต่ Phylosophy มันไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นการคำนวณไปตามเหตุผลอันไม่รู้จบ เราจะต้องเอาความถูกต้องตามหลักของพระศาสนา ของพระศาสนา ถูกต้องของพระศาสนานั้นคือ ไม่มีใครเสียหาย เดือดร้อนและเป็นทุกข์ ทุกคนได้รับความสงบสุขและเป็นประโยชน์ ถ้าทุกคนได้รับความสงบสุขและเป็นประโยชน์นั่นแหละคือความถูกต้อง มันจะไม่ตรงตามผลที่ออกมาทาง Logic หรือ Phylosophy เลยก็ได้ แต่มันจะเป็นความถูกต้องที่แท้จริง ทุกคนได้รับประโยชน์ ได้รับความสุขในตัวเอง ในครอบครัว ในบ้านในเมือง กระทั่งในโลกนั่นแหละคือความถูกต้อง เราจะต้องสร้างความถูกต้องที่เรามองเห็นได้ด้วยตนเองว่ามันเป็นความถูกต้อง ถ้าเป็นความถูกต้องมันไม่กัดเจ้าของ นี่ช่วยจำคำนี้ไว้ให้ดีๆ ถ้ายังมีการกัดเจ้าของอยู่ แล้วไม่มีความถูกต้อง ชีวิตที่กัดเจ้าของอยู่ยังไม่มีความถูกต้อง ถ้าถูกต้องมันถูกต้องแก่ความโง่ มันได้กัดเจ้าของ สมน้ำหน้ามันนั่นแหละ ถูกต้องของความโง่ มันต้องเป็นความถูกต้องของความฉลาดไม่กัดใครนั่นจึงจะเป็นความถูกต้อง แล้วก็พอใจ พอใจ เมื่อพอใจก็เป็นสุข ถ้าเรื่องมันไม่จริงมันพอใจไม่ได้หรอก ถ้าพอใจได้ ก็พอใจด้วยความโง่ ความโง่มันก็นำไปสู่ปัญหา ไม่มีความสงบสุข ต้องถูกต้องด้วยสติปัญญา สติปัญญาที่ถูกต้องแท้จริง โดยเฉพาะตามหลักของพระศาสนา ของพระศาสนา ไม่ใช่ถูกต้องของนัก Logic นัก Phylosophy มันป่วยการ ถูกต้องและพอใจ ถูกต้องและพอใจ พิสูจน์ได้อยู่ในตัวมันเอง คือมันจะให้ความสงบเย็นถ้ามันเป็นความถูกต้อง เขาจะมีความถูกต้อง พูดกันว่าทุกกระเบียดนิ้วดีกว่า ทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกกรณี ทุกเวลาและทุกสถานที่ก็ใช้ได้เหมือนกัน ไม่ว่าเวลาไหน ไม่ว่าที่ไหนมีแต่ความถูกต้อง แต่ทีนี้เราพูดให้มันชัดขึ้นมาว่าทุกอิริยาบถที่เราจะขยับตัวเคลื่อนไหว เดิน ยืน นั่ง นอน กิน อาบ ถ่าย อะไร อิริยาบถแต่ละอิริยาบถ ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องไปหมด นี่เรียกว่าถูกต้องทุกอิริยาบถ หรือจะใช้คำว่าถูกต้องทุกกรณี ทุกกรณี ไม่ว่าเราจะทำอะไร เราจะกำลังเรียนอยู่ก็ตามมันถูกต้อง เรากำลังทำงานอยู่ก็ถูกต้อง เมื่อได้รับผลงานก็ถูกต้อง เราจะใช้จ่ายผลงาน ใช้เงิน ใช้ทองที่หามาได้ด้วยความยากลำบากมันก็ต้องถูกต้อง ถูกต้อง แล้วก็ดำเนินชีวิตอยู่อย่างถูกต้อง ถูกต้อง มันถูกต้องตั้งแต่ ก. ถึง ฮ. และทั้งจากตัว ก. ถึงตัว ฮ. มีแต่ความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง นี่เรียกว่าความถูกต้องซึ่งจะต้องมี ถูกต้อง ถูกต้อง ยังมีความถูกต้องที่ไหน มันก็ไม่มีปัญหาที่นั่น ก็ใช้ได้ทั่วไป เป็นชาวไร่ ชาวนา ทำนาอยู่กลางแดดกลางทุ่งนาก็ให้มันมีความถูกต้อง มันจะเป็นคนค้าขาย เป็นข้าราชการ เป็นพ่อค้า เป็นศิลปิน เป็นอะไรก็ตาม ก็ให้มันถูกต้อง แม้ที่สุดแต่ว่าจะเป็นขอทาน นั่งขอทานอยู่ก็จงให้มันมีความถูกต้องเถิด ไม่เท่าไรจะพ้น จะหลุดพ้นจากความเป็นคนขอทาน ถ้ามันถูกต้อง ถูกต้องอยู่ มันจะพ้นจากความเป็นขอทาน เดี๋ยวนี้มันเป็นขอทานคดโกงนะ มันขอทานเท่าไร มันก็ยังคดโกง แล้วมันยังเข้าใจผิด อาตมาเคยได้ยิน ไม่ใช่ ได้ยินด้วยตนเอง ไม่ใช่ว่าจะ จะให้ใครมาบอกเล่า เคยอยู่วัดที่มันมีป่าช้าที่เผาศพในวัด พอถึงเวลามันก็ คนขอทานก็มารับทานที่เขาจะบำเพ็ญทานในการเผาศพ คนขอทานมันใช้คำหยาบเลวร้ายที่สุด ตามแบบของคนเลวร้ายว่าคนทั้งเมืองเลี้ยงพ่อมันคนเดียวก็ไม่ได้ คือตัวมันนั่นแหละคนๆ เดียว แล้วคนทั้งเมืองเลี้ยงคนๆ เดียวก็ไม่ได้ มันด่าอย่างนี้ ขอทานอันธพาล ขอทานเลวร้าย มันไม่ถูกต้อง มันไม่ถูกต้อง ขอให้มันเป็นขอทานที่ถูกต้อง มีความคิดถูกต้อง มีการกระทำที่ถูกต้อง มันก็จะเอาตัวรอดได้แม้ว่ามันจะเป็นคนขอทาน ดังนั้นขอให้เป็นที่แน่นอนว่า จะเป็นชาวนา ชาวสวน จะเป็นกรรมกร เป็นพ่อค้า เป็นข้าราชการ เป็นเศรษฐี หรือเป็นขอทานก็ตามใจ ขอให้มันมีความถูกต้อง ถูกต้อง ที่เห็นชัดอยู่เป็นความถูกต้อง พิสูจน์ได้โดยที่มันไม่กัดเจ้าของ มันให้เกิดความเย็นใจ สงบเย็นในจิตใจ อันนี้เรียกว่ามันมีความถูกต้อง ถูกต้องพอใจ ถูกต้องพอใจ หนักเข้า หนักเข้า มันเผลอยกมือไหว้ตัวเอง ถ้ามันมีความถูกต้องมากถึงขนาดมันจะยกมือไหว้ตัวเองได้ ไม่ทันรู้ก็ได้ เราจงมีความถูกต้อง โดยเฉพาะทุกเวลาและทุกสถานที่ จะอยู่ที่โรงเรียน หรืออยู่ที่ออฟฟิศ อยู่ที่โรงงาน อยู่ที่ไหนก็ตาม เมื่อไปทำงานก็ให้มันถูกต้อง เมื่อกลับมาบ้านมาอยู่ที่บ้าน ก็ให้มันเต็มไปด้วยความถูกต้อง มันก็มีความถูกต้องในการบริหารชีวิต บริหารร่างกาย จะกินข้าว จะอาบน้ำ จะถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ ตามไปดูเถอะ มันมีแต่ความถูกต้อง แม้ในห้องน้ำ ห้องส้วม นี้เรียกว่ามันมีความถูกต้อง มันมีความถูกต้อง แล้วก็พอใจ พอใจในความถูกต้อง มันก็มีความสงบสุขได้ ใครยกมือไหว้ตัวเองได้บ้าง ใครเคยยกมือไหว้ตัวเองได้บ้าง ใครเคยทำ ดูจะหายาก หายาก หาทั้งยาหยอดตาก็ไม่ค่อยจะได้ แต่ถ้าว่ามันพอใจในตัวเองจนยกมือไหว้ตัวเองได้แล้วนั่นนะ สวรรค์อันแท้จริง แท้จริงและสูงสุดนะ ไม่ใช่สวรรค์ต่อตายแล้วก็ไม่มีความหมายอะไร สวรรค์ที่นี่ดีกว่า ถูกต้อง ถูกต้อง พอใจจนยกมือไหว้ตัวเองได้นี้ สวรรค์ที่แท้จริง พอมันผิดพลาด ผิดพลาดตรงกันข้าม ก็เป็นนรกที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว นี่จึงเรียกว่าสร้างสวรรค์ก็ได้ สร้างนรกก็ได้ ชีวิตนี้ที่ธรรมชาติให้ยืมมาพัฒนาเอาเอง พัฒนาเอาเองให้เป็นสวรรค์ก็ได้ เป็นนรกก็ได้ ท่านสามารถจะพัฒนาเป็นสวรรค์ก็ได้ คือมีแต่ความถูกต้อง พอใจ ถูกต้อง พอใจ จนยกมือไหว้ตัวเองได้ทุกเวลา ทุกโอกาส ทุกสถานที่ ถ้าอยากสร้างนรกเอาสิ ก็ลองดูสิ ตามใจตัวเองสิ วัยรุ่นทั้งหลาย หนุ่มสาวนั่นแหละ ไปตามใจตัวเองถอะ มันก็จะได้นรกเกิดขึ้นมา สมความปรารถนาด้วยเหมือนกัน นี่เรียกว่าพัฒนานรก จะพัฒนาให้เป็นนรกก็ได้ จะพัฒนาให้เป็นสวรรค์ก็ได้ เลือกเอาเองตามความพอใจ ชีวิตนี้ธรรมชาติให้ยืมมาแล้วก็ให้พัฒนาเอาตามความพอใจของตนเอง ขอให้เตือนใจเถิด ให้เป็นนักพัฒนาชีวิตด้วยชีวิตจิตใจแห่งนักพัฒนา แล้วการงานก็จะสนุก ถ้าไม่รู้จักคุณค่าของการพัฒนาก็ไม่รู้จักเรื่องพัฒนา มันก็ผิดหมด ก็ไม่มีความสนุก เราจะต้องมีความถูกต้อง มีการพัฒนาที่ถูกต้องจึงจะมีความสนุกและมีความสุขตลอดเวลาที่ทำการพัฒนา นี่เราเป็นนักพัฒนาชีวิตให้สมกับที่ธรรมชาติมันให้มาสำหรับพัฒนา เราจะทำงานสนุก ทำงานสนุก เราไม่ได้ทำงานอย่างว่าเป็นลูกจ้างอาศัยเงินเดือนกินไปวันๆ ด้วยความกระหาย แต่เราพอใจที่เราเป็นนักพัฒนา พัฒนา พัฒนา พัฒนา ค่าจ้างหรือเงินเดือนถ้าได้รับมาก็เป็นค่าใช้สอยให้เราทำการพัฒนา ผลจากการพัฒนามีค่ามากกว่าเงินเดือนค่าจ้าง นี่เราจะเป็นนักพัฒนา
ทีนี้ก็เรียกว่าเราจะเป็นสมาชิกสหกรณ์ ช่วยกันสร้างโลก โลกนี้มิอาจจะสร้างด้วยคน คนเดียว ทุกคนในโลกร่วมมือกันพัฒนาโลก นี่เราก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในสหกรณ์อันนั้น คือ สหกรณ์แห่งการพัฒนาโลก เราไม่บกพร่องในหน้าที่ของเรา เราเป็นสมาชิกสหกรณ์พัฒนาโลก เราไม่ได้ทำตนเป็นผู้อาศัยผู้อื่นกิน ถืออุดมคติของเสือ เสือ คำว่าเสือหมายความว่าไม่ขอเนื้อใครกิน เสือยังมีเหลือเดนให้สุนัขจิ้งจอกได้กินด้วยซ้ำไป พัฒนาจนเหลือกินแล้วก็ให้คนที่อ่อนแอ ด้อยพัฒนาได้พลอยกิน นี่เรียกว่ามีชีวิตอย่างเสือไม่ขอเนื้อใครกิน เราก็พัฒนาแล้วเราก็เป็นสมาชิกสหกรณ์พัฒนาโลก เงินเดือนมันเป็นค่าใช้สอย เป็นค่าใช้สอยเอาไปใช้สอยเพื่อการพัฒนา ไม่ใช่ค่าจ้างนะ เราไม่เป็นลูกจ้าง แม้เขาจะเรียกกันว่าลูกจ้างนะ เรียกคนนั้นว่าลูกจ้าง เรียกคนนี้ว่านายจ้าง แต่เราไม่ได้เป็นลูกจ้าง เราเป็นนักพัฒนาชีวิต เป็นสมาชิกสหกรณ์ของการพัฒนาโลก เราจะไม่ถือว่านายจ้างนี่เป็นนายจ้าง เราจะถือว่าเขาเป็นผู้ช่วยเหลือ ช่วยเหลือให้เราได้มี การทำหน้าที่ของตนคือพัฒนาชีวิต พัฒนาชีวิต นายจ้างก็จะกลายเป็นบิดา มารดาผู้หวังดี ผู้รักบุตร นั่นนายจ้างจะกลายเป็นบิดา มารดาผู้หวังดี ผู้รักบุตร ถ้าหากว่าเราจัดตัวเราเองอย่างนี้ อย่างนี้นะ นายจ้างจะกลายเป็นบิดา มารดาผู้รักบุตร ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันก็มึงก็มึง กูก็กู มันก็ต่อสู้กันไม่มีที่สิ้นสุดอย่างที่กำลังมีอยู่ในโลกปัจจุบัน นายจ้างก็เห็นแก่ตัว ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว มันก็ฟัดกันไปไม่มีเวลาสิ้นสุดในโลกนี้ แล้วกำลังมีอยู่ ท่านทั้งหลายก็เห็น ข้อนี้ไม่ต้องอธิบาย การต่อสู้ของกรรมกรกับนายจ้างผู้เห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่ายแหละ ถ้ามีการเห็นแก่ตัว มีเรื่องเห็นแก่ตัวมันก็มีทั้ง ๒ ฝ่ายแหละ ถ้ามันมีความรัก มีความเมตตากรุณา มีความรับผิดชอบในหน้าที่ มันก็ไม่ต้องฟัดกัน มันกลายเป็นการร่วมมือกัน ร่วมมือกันทั้งนายจ้าง ทั้งลูกจ้าง พัฒนาสิ่งที่ควรพัฒนา เอาประโยชน์มาเจือจานแก่กันและกัน ในครั้งโบราณนะ เขาเรียกว่ามีเศรษฐีใจบุญ เศรษฐีใจบุญ จำไว้ก่อนเศรษฐีใจบุญ เดี๋ยวนี้ไม่มีเศรษฐีใจบุญ จะมีแต่นายทุนกระดาษซับ มันจะซับหมดทุกหยด ประโยชน์จะซับหมดทุกหยด นี่เป็นนายทุนกระดาษซับ ในครั้งโบราณ ในที่เราอ่านพบหรือคำนวณเอาก็ได้ว่ามีเศรษฐีใจบุญ เป็นเศรษฐีมีทรัพย์มาก ก็ไม่ได้เพื่อประโยชน์ตนหรอก เขาก็จะทำประโยชน์ผู้อื่น เพราะว่าถ้าเป็นเศรษฐีแล้วต้องมีโรงทาน โรงทานช่วยเหลือคนอนาถา ช่วยเหลือนักบวช ช่วยเหลืออะไรต่างๆ เศรษฐีใหญ่ก็มีโรงทานมาก เศรษฐีน้อยก็มีโรงทานจำนวนน้อย ยิ่งเป็นเศรษฐีใหญ่ก็มีโรงทานมาก เลี้ยง คนใช้ ข้าทาสฯ กรรมกรนี่โดยความเมตตากรุณา ไม่ใช่เลี้ยงอย่างลูกจ้าง เอาเปรียบ ขูดรีด ทำนาบนหลังลูกจ้างนี่ไม่มี รักลูกจ้าง กรรมกรเหล่านั้นเหมือนลูกเหมือนหลาน ถ้าว่าไปทำนาก็ไปทำนาด้วยกันนะ เศรษฐีก็ไปทำนาได้ ได้รับประโยชน์มาก็เจือจานกัน ให้มีการกิน การอยู่ การอะไรอย่างที่เรียกว่าเป็นที่พอใจด้วยกันทุกฝ่ายนี่ เป็นเสมือนหนึ่งบิดามารดาของข้าทาสบริวารเหล่านั้น อย่างนี้เรียกว่าเศรษฐีใจบุญ หาทรัพย์ได้มากแล้วก็ใช้จ่ายเลี้ยงโรงทาน ที่เหลือก็ฝังไว้สำหรับใช้จ่ายเมื่อความต้องการมันเกิดขึ้น ครั้งโบราณพุทธกาลนั้นมันไม่มีระบบธนาคาร ที่จะเอาเงินไปฝากให้ช่วยเก็บรักษา เศรษฐีก็จำเป็นที่จะต้องรักษาด้วยตนเอง ก็ไปหาที่ซ่อน ที่ฝังให้ลึกลับ ให้มิดชิดอย่าให้ใครรู้ได้ เราเรียกว่าฝังทรัพย์ไว้สำหรับหล่อเลี้ยงกิจการงานของเศรษฐี โชคร้ายบางทีขโมยมันค้นพบ มันเอาไปเสีย หรือว่าบางทีแม่น้ำมันเซาะตลิ่งพัง ไอที่ฝังทรัพย์ไว้นั้นก็ละลายไปในแม่น้ำเสียอย่างนี้ก็มี แต่ถึงอย่างไรก็ดี เขามีหลักการที่ว่าเก็บทรัพย์ สะสมทรัพย์ไว้หล่อเลี้ยงโรงทาน หล่อเลี้ยงกิจการงานของผู้ที่เรียกว่าเศรษฐีใจบุญ มีเงินเหลือก็สร้างวัดสร้างวา แม้จะเรียกว่าสร้างวัดให้ลูกเล่นก็ยังมีประโยชน์แก่สังคม แต่ถ้าเป็นนายทุนกระดาษซับเขาไม่ทำอย่างนั้น เขาจะลงทุนให้งอกงามมากๆ ขึ้นไป เขาซับเอาประโยชน์เสียทุกหยดเหมือนกัน กระดาษซับ ซับน้ำหมึก มันซับหมด ไม่มีอะไรเหลือ ทีนี้เรามักจะมีกันแต่นายทุนกระดาษซับ หาเศรษฐีใจบุญได้ยาก มันคงจะแว่วๆได้ยินอยู่กระมัง ไม่ ไม่นานนักนี้มันก็ยังมีเศรษฐี มีเศรษฐีก็ต้องสร้างวัด วัดทั้งหลายเศรษฐีสร้างกันทั้งนั้นแหละ เพิ่งมาเป็นวัดหลวง วัดอะไร ยกขึ้นมาเป็นวัดหลวง นี่มันยกวัดที่เศรษฐีเขาสร้างไว้ก่อนทั้งนั้นแหละ แต่เดี๋ยวนี้มันหายาก มีเงินมากก็ไม่มี เป็นเศรษฐีก็ไม่สร้างวัด เอาไปลงทุนต่อ ลงทุนต่อเพิ่ม ต่อเพิ่มต่อ ขยายประโยชน์ความเห็นแก่ตัวของตัวไปไม่มีที่สิ้นสุด อย่างนี้ก็ต้องเรียกว่ามันเป็นนายทุนกระดาษซับ เป็นนายทุนกระดาษซับ เศรษฐีใจบุญมีชีวิตเป็นการกุศล การกุศลอยู่ในตัวเอง นายทุนกระดาษซับมีชีวิตเป็นอะไร อย่าให้ต้องพูดเลย ไม่ต้องพูดถึงการกุศลในตัวมันเอง มันจะมีอะไรที่ตรงกันข้ามนะ ถ้าเป็นนายทุนกระดาษซับ เดี๋ยวนี้เราพยายามที่จะทำหน้าที่การงานให้เป็นที่พอใจ พอใจ พอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้ มีความสุขเป็นสวรรค์เสียชั้นหนึ่งก่อน ชั้นหนึ่งก่อน เอาเสียให้ได้ ทรัพย์สมบัติที่เหลือก็สะสมไว้สำหรับบำเพ็ญประโยชน์ยิ่งๆ ขึ้นไป ประโยชน์ตัวเอง ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย นี่เรียกว่า ชีวิตที่มันจะเป็นกุศลเป็นบุญอยู่ในตัวมันเองอย่างยิ่งๆ มาช่วยกันพัฒนาตัวเอง ตัวเองพัฒนาตัวเอง แล้วพร้อมกันนั้นก็เป็นสมาชิกของโลก พัฒนาโลก พัฒนาโลกให้เป็นโลกที่งดงาม สวยสดงดงาม ที่เรียกตามภาษาโบรงโบราณนี่ ค่อนข้างจะครึคระอะไรก็ตามใจว่าโลกพระศรีอารย์ โลกพระศรีอริยเมตไตรย์ โลกพระศรีอารย์ เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความสงบสุข ผาสุก มีแต่ความร่มเย็น แต่ดูเหมือนมันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ทันตาเห็น เขาเลยฝากไว้ว่าข้างหน้าในอนาคตกาล นานไกลจะเกิดโลกพระศรีอริยเมตไตรย์ อาตมาว่าไม่จริง ทำผิด จนตายกี่ชาติ กี่ชาติก็ไม่พบโลกพระศรีอารย์ ทำให้ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ที่นี่ก็จะได้พบโลกพระศรีอริยเมตไตรย์ที่นี่ ไม่เห็นแก่ตัว ทุกคนไม่เห็นแก่ตัว ทุกคนไม่เห็นแก่ตัว ก็เกิดโลกพระศรีอริยเมตไตรย์ ขี้นมาในพริบตาเดียว ในโลกนี้ ในปัจจุบันนี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่เห็นแก่ตัวมันก็ไม่มีการทำผิดอะไร มันก็ไม่มีเบียดเบียนใคร มันก็เต็มไปด้วยความสงบสุขตามความหมายของโลกพระศรีอริยเมตไตรย์ คอมมิวนิสต์ก็ยืมคำนี้ไปใช้ มันหลอกใครไม่ได้ พักเดียวมันก็เลิกไป สร้างโลกพระศรีอารย์ด้วยระบบคอมมิวนิสต์ แต่เขาก็มีวิธีจะพูด Directive Materialism ของเขา ให้มันเชื่อ โฆษณาได้ ได้เหมือนกัน โลกพระศรีอริยเมตไตรย์ นี่พรรณนาไว้มาก ที่ควรจะเข้าใจหรือว่ารับไว้เป็นหลักการก็ว่า มีแต่มิตรภาพ ศรีอริยะเราประเสริฐที่สุด เมตไตรยะมันเกื้อกูลแก่มิตรภาพ มีมิตรภาพชั้นสูงสุด ชั้นประเสริฐที่สุดก็เรียกว่าศรีอริยเมตไตรย์ ท่านพรรณาไว้ว่ามันไม่มีความยากลำบาก เดี๋ยวนี้เราก็ทำได้นะ ถ้าเราตั้งใจ การพัฒนาทางเทคนิค ทางเทคโนโลยีอะไรก็ตาม ทำให้ความยากลำบากมันหมดไป แต่ทีนี้มันมีกิเลสเข้ามายึดครอง มันเพื่อตัวกูเสีย มันต้องเพื่อผู้อื่น เพื่อผู้อื่น นั่นแหละที่เรียกว่าสวัสดิการมันมีมากถึงขนาดสูงสุดมันก็จะมีความหมายอย่างนั้นได้ ในโลกพระศรีอริยเมตไตรย์นั้นบรรยายไว้อย่างน่าสนใจว่า พอเราลงจากเรือนไป ออกจากบ้านไป ไม่รู้หรอกใครเป็นใคร ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ดีเหมือนกันหมด ดีเหมือนกันหมด มีแต่คนยกมือทั้งนั้นจะให้ช่วยอะไร จะให้ช่วยอะไรบอกมา จะให้ช่วยอะไรบอกมา ไปที่ไหนก็มีแต่คนยกมือขึ้นมาว่าจะให้ช่วยอะไร โดยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไม่รู้ว่าใครเป็นเพื่อน ไม่ ไม่รู้ว่าใครเป็น ไม่ ไม่รู้ว่าใครเป็นอะไรกับใครนะ มันเป็นเหมือนกันไปเสียหมด พอกลับมาบ้านแล้ว มาถึงบ้าน โอ้, นี่บ้านของเรา นี่บุตรภรรยาสามีของเราอยู่ที่นี่ พอออกไปนอกถนนมันเหมือนกันไปเสียหมด เขาพรรณาไว้ถึงอย่างนั้นนะ มิตรภาพเจริญสูงสุดถึงอย่างนั้น เป็นโลกพระศรีอริยเมตไตรย์ ก็เอาสิคุณลองไม่เห็นแก่ตัวสิ ไม่เห็นแก่ตัวคำเดียว ไม่เห็นแก่ตัวคำเดียว ทุกคนไม่เห็นแก่ตัว มันก็จะมีอาการโลกพระศรีอริยเมตไตรย์เกิดขึ้น มันก็จะแก้ปัญหาทั้งหมดได้เหมือนกันแหละ นี่เรียกว่ามีแต่ความถูกต้องพอใจ ถูกต้องพอใจไม่ว่าอยู่ที่ไหน อย่างนี้มันก็สนุก ก็สนุก การกระทำที่ไม่เห็นแก่ตัวแต่มันพัฒนาตัว แล้วมันก็เป็นสมาชิกช่วยกันสร้างโลก มันก็สนุก มันก็สนุก มันจะสนุกเหมือนกับเล่นกีฬาถ้าเราทำอย่างนี้ เราเป็นผู้แสดงความสามารถ ความสามารถของเรากับหน้าที่การงานของเราให้มันแข่งขันกัน เหมือนกับเล่นกีฬาเราก็สนุก อย่าให้เป็นการทนทำ ทนทำด้วยกิเลสตัณหา หิวกระหายอยู่ตลอดเวลา มันไม่สนุก แต่ถ้าว่าทำด้วยความคิดที่จะพัฒนาและช่วยกันสร้างโลกนั้นมันสนุก ให้ความสามารถนั้นนะมันเข้าไปต่อสู้กันกับหน้าที่การงาน เราจัดให้ชีวิตนี้เป็นเหมือนกับการเล่นกีฬา ให้ชีวิตนี้ได้เป็นผู้เล่น เป็นตัวผู้เล่นกีฬาเสียเอง แล้วชีวิตนี้จะเป็นผู้ดู ดู ดูกีฬาเสียเอง ชีวิตนี้จะเป็นผู้ตัดสินกีฬาเสียเอง จะให้รางวัลหรือจะให้ลงโทษ ชีวิตนี้มันก็เป็นไปได้เอง ชีวิตที่เป็นกีฬาอย่างนี้มันก็สนุก สนุก สนุก ขอให้ท่านทั้งหลายทำงานสนุก เหมือนกับมีชีวิตกีฬา เป็นการเล่นกีฬา สนุกตลอดเวลาไม่ต้องนั่งร้องไห้ หรือไม่ต้องนั่งยินดี ยินร้าย ให้มันมีแต่ความถูกต้อง เดี๋ยวนี้ในสนามกีฬาของโลกเรามัน มันกลับเพิ่มความเห็นแก่ตัว มันคดโกงกันทุกกระเบียดนิ้ว ทุกอณูนะใน ในสนามกีฬา คุณไปดูเถอะ มันมีเจตนาที่จะคดโกงที่จะเอาเปรียบกันทุกกระเบียดนิ้ว จะเป็นกีฬาได้อย่างไร มันถูกไล่ถูกคัดออกไปเป็นคนเลว อย่ามาเป็นนักกีฬาอีกต่อไปนี้มันก็มีอยู่มาก กีฬาเดี๋ยวนี้ กีฬาเดี๋ยวนี้มันไม่ได้ลดความเห็นแก่ตัว มันไปเพิ่มความเห็นแก่ตัว ยิ่งมีกองเชียร์แล้วก็ยิ่งเลวใหญ่นะ มันเชียร์ผู้เห็นแก่ตัว เชียร์ความเห็นแก่ตัว มันไม่มีทางที่จะสงบสุขไปได้ มันต้องเป็นกีฬาบริสุทธิ์ แสดงความสามารถกันโดยบริสุทธิ์ ทำให้ถูกต้องดีขึ้นไปโดยความถูกต้องและแท้จริง เราจะมีความสนุกในการทำหน้าที่เหมือนกับการเล่นกีฬา ดำเนินชีวิตแบบการเล่นกีฬา ชนะ ชนะอย่างบริสุทธิ์ อย่างถูกต้องแก่กติกา ดังนี้แล้วมันจะเป็นบุญเป็นกุศลอยู่ที่นั่น มันจะเป็นการปฏิบัติธรรมะอย่างสูงสุดอยู่ที่นั่น ที่ในตัวการดำเนินชีวิต การดำเนินชีวิตก็จะเป็นการบำเพ็ญกุศล ดำเนินชีวิตไปในทางถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง มันก็เป็นการกุศลทั้งนั้น ยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อไร มันก็ถึงจุดสูงสุดเป็นการกุศล ชีวิตนี้เป็นการบำเพ็ญกุศล ดังนั้นชีวิตนี้จะไม่สนุกอย่างไร ฉะนั้นอย่าทำด้วยความเห็นแก่ตัว อย่าทำด้วยกิเลสตัณหา แต่ทำด้วยความเสียสละไม่เห็นแก่ตัว รับผิดชอบในการที่จะพัฒนาตัว ไม่มีการเอาเปรียบ ไม่มีการหลอกลวง ไม่มีอาการอย่างนั้น แม้แต่ประการใด ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ หน้าที่คือสิ่งที่จะช่วยให้รอด ดังนั้นหน้าที่ก็คือธรรมะ ธรรมะ ธรรมะนี่แปลว่าสิ่งที่จะทรงผู้มีไว้ ผู้ใดมีธรรมะ ธรรมะจะยกผู้นั้นขึ้นไว้ไม่ให้พลัดตกลงไป นี่ความหมายของคำว่าธรรมะ ธรรมะคืออย่างนี้ ไม่ใช่สอนกันอย่างแผ้วๆ ตื้นๆ โง่ๆ สอนเด็กๆ ว่าธรรมะ คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นั่นมันไม่รู้ นั่นมันโง่นะ คำว่าธรรมะในประเทศอินเดียนั้นใช้กับทุกศาสนา ไม่ว่าพระพุทธศาสนาหรือศาสนาไหน คำสอนของเขาเรียกว่าธรรมะทั้งนั้นแหละ มันมีความหมายเท่ากับว่าศาสนา อย่างเราเดี๋ยวนี้เราจะถามกันว่าท่านถือศาสนาของใคร ถ้าอินเดียโน่นจะถามว่าท่านชอบใจธรรมะของใคร คือชอบใจคำสอนของใครนั่นแหละ เรียกว่ามันไม่ใช้เฉพาะพุทธศาสนา ธรรมะคือคำสั่งสอนที่ช่วยให้รอด ธรรมะคือคำสั่งสอนที่ช่วยเอาตัวรอด นั่นเรียกว่าธรรมะ ดังนั้นมันจึงเป็นหน้าที่ หน้าที่ สอนเรื่องหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องแล้วมันก็มีความรอด หน้าที่เป็นภาษาไทย ธรรมะเป็นภาษาบาลีว่าหน้าที่ ภาษาไทยว่า เป็นภาษาบาลีว่าธรรมะ ธรรมะ ภาษาบาลี ถ้าเป็นภาษาไทยก็แปลว่าหน้าที่ หน้าที่ นี่ความหมายถึงสิ่งเดียวกันแต่ว่าภาษามันต่างกัน ภาษาไทยเรียกว่าหน้าที่ ภาษาบาลีเรียกว่าธรรมะ เราจงมีหน้าที่ให้ถูกต้อง หน้าที่ให้ถูกต้อง เราก็มีธรรมะ มีธรรมะ แล้วธรรมะจะช่วยยกไว้เสมอไม่ให้พลัดตกลงไปสู่ความทุกข์หรือปัญหาใดๆ ธรรมะคือหน้าที่ ถ้าทำหน้าที่ก็ต้องเห็นแก่หน้าที่ ถ้าเห็นแก่ตัวมันก็เอาเปรียบ มันก็ขี้เกียจ มันก็อิจฉาริษยา อย่างนี้มันมีความเห็นแก่ตัว มันทำ ทำ ประพฤติธรรมะไม่ได้ มันต้องเอาความเห็นแก่ตัวที่เป็นข้าศึกของธรรมะออกไป แล้วก็จะทำหน้าที่ถูกต้อง มีธรรมะขึ้นมานี่ ความเห็นแก่ตัวนั้นเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุด สกปรกที่สุด เป็นเรื่องภูตผีปีศาจที่สุด ขอให้มองอย่างนี้เถอะ ให้เกลียดชังที่สุด กำจัดออกไป กำจัดออกไป ไม่ยอมรับเอาไว้ สำหรับความเห็นแก่ตัว ถ้ายอมรับเอาเป็นความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว คือมันถูกต้อง ถูกต้อง แต่แล้วมันก็เป็นเรื่องที่ยากนะ เป็นเรื่องที่ยากนะ ความเห็นแก่ตัวมันเป็นเรื่องที่ง่าย เป็นเรื่องที่ง่าย ปล่อยไปตามความโง่มันก็เห็นแก่ตัวสูงสุด ถ้าจะไม่เห็นแก่ตัวมันต้องสร้างสติปัญญา สร้างสติปัญญาขึ้นมา ใครจะช่วยสร้างให้เรา มันก็เป็นปัญหาเหมือนกัน เราอยู่ในท้องแม่ เราไม่ได้ฉลาด ไม่มีใครสอนให้เรา ก็ออกมาโง่ๆ นะ ออกมาจากท้องแม่ ทีนี้พอมาพบอะไรเข้า เรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทารกออกมาแล้วก็ทำหน้าที่ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เห็นสิ่งที่สวยงามก็ชอบใจ ไม่สวยงามก็ไม่ชอบใจ ได้กินในสิ่งที่อร่อยก็ชอบใจ ได้สิ่งที่ไม่อร่อยก็ไม่ชอบใจ มันเกิดความรู้สึกเป็นบวกและเป็นลบ เป็นคู่ตรงกันข้ามขึ้นมา แต่แล้วมันสร้างความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ถ้าเผอิญมันพบไอสิ่งที่ถูกใจ อร่อยแก่ใจ พอใจ มันก็เกิดตัวกูบวก ตัวกูบวก ถ้ามันไม่พบไอสิ่งเหล่านี้ มันพบแต่ที่ไม่ถูกใจ มันก็เกิดตัวกูลบ มันมีตัวกูบวก ตัวกูลบ เจริญขึ้นมา เจริญขึ้นมา ตามวันคืนที่มันล่วงไป ล่วงไป เด็กทารกมันจึงเริ่มรู้สึกว่ามีตัวกูและเห็นแก่ตัว เพราะมันได้รับไอสิ่งที่เป็นคู่นี่ คือบวกหรือลบ พอใจ หรือไม่พอใจ มันเจริญด้วยตัวกูบวก ด้วยตัวกูลบ มันก็เห็นแก่ตัวในที่สุด มันก็ไม่มีใครสั่งสอนให้เราตั้งแต่อ้อนแต่ออกอย่างนี้นะ คิดดูเถอะ ไอลูกเด็กๆ ไอทารก เพิ่งสอนเดินเตาะแตะ มันเดินไปชนเสา มันเดินไปชนเก้าอี้ มันเจ็บ มันร้องไห้ พี่ พี่เลี้ยงหรือบางทีก็พ่อแม่นั่นเอง พี่เลี้ยงก็ตาม มันก็ช่วยตามไปตีเสา ตีเก้าอี้ ตี ช่วยกันตี ช่วยส่งเสริมให้ความรู้สึกของเด็ก ว่ามึง ศัตรูของมึง กูมาช่วยตีให้เด็กมันร้องไห้ ให้มันหยุดร้องไห้ นี่มันสอนให้มีตัว มีความเห็นแก่ตัว ไม่มีใครบอกว่าเช่นนั้นเอง ไม่มีใครบอก เราก็ได้รับคำสั่งสอนผิดๆ ไปในทางที่มีตัวกูบวก หรือมีตัวกูลบมากขึ้นๆ ถูกใจก็เป็นตัวกูบวก ไม่ถูกใจก็เป็นตัวกูลบ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้นจนโตขึ้นมาบัดนี้ มันก็เป็นทาสแห่งความเห็นแก่ตัว น้อมไปตามความเห็นแก่ตัว คำสอนโบราณก็มีอยู่คำหนึ่งซึ่งอยากจะมาพูดให้ฟังและให้เข้าใจไว้ว่า ไอเด็กๆ นี้พอโตขึ้นมาพอสมควรแล้วมันก็ทิ้งพ่อแม่ หนีตามโจรไป หนีตามโจรไป ฟังถูกไหม ออกมาจากท้องพ่อแม่แท้ๆ นะ แต่พอโตขึ้นพอสมควรแล้วมันก็ทิ้งพ่อแม่หนีตามโจรไป คือมันไปสู่ความเห็นแก่ตัว ซึ่งเปรียบเสมือนโจร กว่าจะรู้สึกตัวได้ บางทีก็ไปเป็นโจรตลอดชีวิต น้อยนักน้อยหนาที่มันจะหนีกลับมาได้ มันต้องฆ่าโจรเสียก่อนมันจึงจะหนีกลับมาได้ นี่เด็กๆโตขึ้นก็ทิ้งพ่อแม่หนีตามโจรไป คือไปเป็นทาสแก่ความเอร็ดอร่อย เอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไปบูชาสิ่งนั้น ดังนั้นเด็กวัยรุ่นทั้งหญิง ทั้งชาย มันกำลังหนีตามโจรไป มันโกหกพ่อแม่ ขบถพ่อแม่ หลอกลวงพ่อแม่มันหนีตามโจรไป เด็กเหล่านี้มันหนีตามโจรไป มันทิ้งพ่อแม่ กว่ามันจะรู้สึก ถ้ารู้สึกแล้วมันก็หนีกลับมาแล้วก็ฆ่าโจรเสียด้วยก็ยิ่งดี เราอย่าเป็นถึงขนาดนั้นเลย อย่าทิ้งความถูกต้องไปหาความผิดพลาดนะ ที่เรียกว่าทิ้งพ่อแม่หนีตามโจรไป อย่าให้มันถึงขนาดนั้น พยายามที่จะให้คงที่อยู่ในความถูกต้อง อยู่กับความถูกต้อง อยู่กับพ่อแม่ อยู่กับความถูกต้อง อย่าไปเห็นแก่กิเลส หนีไปหากิเลส ไปเป็นสมัครพรรคพวกของกิเลส คือหนีตามโจรไป หนีตามโจรไป ดังนั้นตัวกูมันเกิดแก่กล้า มันหลงทางแล้ว มันหลงทางแล้ว ถ้าว่ามีแที่ดี พ่อแม่ก็สั่งสอนในทางที่ให้ไม่เกิดตัวกู ไม่เห็นแก่ตัวกู ให้มันเห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่ความถูกต้อง นี้พอเกิดมาผู้เลี้ยงดูหรือบิดามารดาก็ช่วยประคบประหงมส่งเสริมตามพอใจ ตามพอใจ จะเอาอะไรหาให้ จะเอาอะไรหาให้ จะแพงเท่าไรก็ไม่ว่า เหนื่อยเท่าไรก็ไม่ว่า จะหาให้ มีพ่อแม่คนไหน พาลูกไปที่ร้านขายของเล่นสวยงาม แล้วบอกว่า เอ้อ, ลูกเอ๋ยทั้งหมดนี้เขามีไว้ให้เราโง่นะ พ่อแม่คนไหนทำอย่างนี้บ้าง มีแต่พ่อแม่จะบอก มึงจะเอาอะไรกูจะซื้อให้แพงเท่าไรก็ไม่ว่า พ่อแม่จะเป็นเสียอย่างนี้ สิ่งสวยงาม สนุกเหล่านี้ มึงจะเอาอะไรก็ได้ กูจะซื้อให้ ไม่ได้บอกว่า โอ้, นี่มันมี เขามีไว้หลอกลวงเราให้เราโง่ หรือพาไปที่ร้านเอร็ดอร่อยของอาหาร แล้วบอกว่านี่ก็เหมือนกันแหละ มันมีไว้หลอกลวงให้เราโง่ มึงจะกินอะไรกูก็จะซื้อให้ มันไม่ได้บอกให้ถูกต้อง ให้คงที่อยู่ในความถูกต้อง เท่าไรพอดี เท่าไรความถูกต้อง นี่มันก็น่าเสียดายแต่ว่าไม่รู้จะโทษใคร ขนบธรรมเนียมประเพณีมันมีอยู่อย่างนี้ มันจะต้องสร้างระบบวัฒนธรรมใหม่ อบรมลูกเด็กๆ ของเราให้รู้อะไรถูก อะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร นี่จึงจะเรียกว่า มันจะปลอดภัยมาตั้งแต่เล็ก ดังนั้นท่านผู้ใดมีลูกมีหลาน เล็กๆ นะ สั่งสอนเขาให้ถูกต้อง ให้เขาดำรงอยู่ในความถูกต้อง อย่าให้เขาพลัดตกลงไปสู่ความเห็นแก่ตัว นั่นนะคือจะเป็นการช่วยเหลือที่ดีที่ถูกต้องไปตั้งแต่เล็กๆ แล้วเด็กๆ เหล่านั้นก็จะไม่ทิ้งพ่อแม่หนีตามโจรไป จะคงอยู่กับพ่อแม่คือความถูกต้องนี่ตลอดเวลา ตลอดเวลา ชีวิตไม่มีความเลวร้าย มีแต่ความเยือกเย็นเป็นสุข สะดวก สบาย สะดวก สบาย ทีนี้มันมาเพาะ เพาะให้เกิดความเข้าใจผิด เป็นตัวกู เป็นตัวกู ตามใจตัวกู ได้ตามใจ ตามใจตัวกูนั้นคือความถูกต้อง ถามดูสิความถูกต้องคืออะไร ตอบตามสามัญสำนึกก็ได้ ตามที่ฉันต้องการนั้นนะคือความถูกต้อง ไม่ว่าไปถามใคร คนแก่ๆ แล้วก็ยังเป็นอย่างนั้นทั้งนั้นแหละ ความถูกต้องคือฉันได้ตามที่ฉันต้องการ หารู้ไม่ว่านั่นเป็นความต้องการของกิเลสของตัวกู ความเห็นแก่ตัวกู เกิดตัวกูมันมีมาตั้งแต่เล็กๆ เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นอย่างว่า ที่กล่าวมาแล้วนี้ จนพ่อ จนเด็กๆทิ้งพ่อแม่หนีตามโจรไป ไปตามความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวกู รักษาไว้ให้ถูกต้อง ให้อยู่ในความถูกต้อง ถ้ามีความถูกต้องก็ตัดสินว่ามันไม่มีใครได้รับความยุ่งยากลำบากหรือเป็นทุกข์ มีแต่ได้รับประโยชน์สุข ถ้าลูกวัยรุ่นทำให้บิดามารดานั่ง นั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่านี่มันจะมีความถูกต้องที่ไหน โบราณเขามีคำกล่าวไว้ว่า ทำบิดามารดาให้ต้องหลั่งน้ำตาก็นั่นแหละ เตรียมตัวไปนรกอเวจี ลูกหลานคนนั้นนะที่ทำบิดามารดาต้องหลั่งน้ำตา เตรียมตัวไปนรกอเวจี ดูเอาเถอะจริงหรือไม่จริง ตอนนี้มีบิดามารดาที่รักเรา รักเราเหลือที่จะรักนะ ไม่กล้าปล่อยให้น้ำตาออกมา กลัวลูกมันจะไปตกอเวจี แม้จะเจ็บปวดรวดร้าวในจิตใจเท่าไรก็อุตส่าห์กลั้นไว้ไม่ให้น้ำตาออกมา เพราะว่าถ้าน้ำตาของพ่อแม่ออกมาลูกมันจะไปอเวจี พ่อแม่รักเราจนถึงไม่กล้าปล่อยให้น้ำตาออกมา ขอให้ขอบพระคุณพ่อแม่ ซื่อตรงต่อพ่อแม่ กตัญญูต่อพ่อแม่ผู้จะอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ออกลงมา ไม่ให้ตกลงมาเพื่อให้ลูกมันไปอเวจี นี่เคารพบิดามารดากันอย่างนี้จะกำจัดความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันมาจากความรู้สึกว่ามีตัว ความรู้สึกมีตัวนี่มันเป็นความโง่ที่เกิดขึ้นมาทีหลัง มันไม่มีตัวของตัว มันมีของธรรมชาติให้ยืมมาใช้ พัฒนาเอาให้ดี เราเป็นตัวของธรรมชาติ อย่าเอาเป็นตัวกูของกู เดี๋ยวนี้มันเอาเป็นตัวกูของกู ไอตัวกูของกู ตัวกู ตัวกู ตัวกูนี่ไม่มีตัวจริงนะ ไม่มีตัวจริง เป็นแต่เพียงความคิดโง่ๆ ความคิดโง่ๆ ไอตัวตนหรือตัวกูเป็นเพียงความคิดโง่ๆ ไม่ใช่มีตัวมีตนอย่างเนื้ออย่างหนังอย่างร่างกายนี่ไม่ใช่ เมื่อไรโง่มันก็มีความรู้สึกเป็นตัวขึ้นมา โดยไม่มีใครสอนนะ โดยธรรมชาติ โดยสัญชาตญาณมันก็จะเป็นอย่างนั้น ตานี่ ตานี่เห็นรูป มันก็กูเห็นรูป ตามันมีระบบประสาทตา มันรับสัมผัสทางตา มันเห็นคลื่นแสง มันรู้ความหมายระบบประสาทตามันเห็นรูป มันบอกกูเห็นรูป เอากับมันสิ แล้วหูมันได้ยินเสียงมันบอกกูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่นมันบอกกูได้กลิ่น ลิ้นมันได้รสก็บอกกูได้รส นี่มันเป็นตัวกูไปเสียหมด มันมีความรู้สึกอย่างไรเกิดขึ้นตามธรรมชาติแล้วมันก็จะเกิดความรู้สึกว่าตัวกูไปเสียทั้งนั้น อย่างมีดบาดนิ้วมันก็มีดบาดกู มันเอากูมาจากไหนนะ แล้วคุณลองคำนวณดูสิว่า มีดบาดนิ้วกับมีดบาดกูนี่มันต่างกันมาก มันให้ความรู้สึกแก่จิตใจต่างกันมาก มีดบาดนิ้วนิดเดียวกับมีดบาดตัวกูมันหมายถึงกูจะวินาศ กูจะตาย กูจะฉิบหาย มันมีความรู้สึกว่าอร่อย อร่อยอยู่ในปากมันจึงค่อยเกิดความโง่ว่ากูอร่อย ไม่ใช่มันมีตัวกูเตรียมไว้สำหรับจะอร่อย ไม่ใช่ มันเพิ่งเกิดจากความอร่อย ลิ้นมันอร่อยมันจะเกิดตัวกูว่าอร่อย พอไม่อร่อยมันก็เกิดตัวกูว่าไม่อร่อย ตัวกูมันเป็นผีหลอก เพิ่งเกิด เพิ่งเกิด เกิดทีหลังการกระทำ ต้องมีการกระทำหรือมีความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน มันจึงจะเกิดความรู้สึกว่าตัวกูผู้กระทำ พอถูกใจก็มีกูผู้ถูกใจ ไม่ถูกใจจึงจะเกิดตัวกูผู้ไม่ถูกใจ ฉะนั้นมันก็ต้องพูดประโยคที่สำคัญที่สุดที่ขอร้องให้ช่วยจำไว้ดีๆ ว่า ผู้กระทำเกิดทีหลังการกระทำ ผู้กระทำนั้นมันเกิดทีหลังการกระทำ แล้วท่านทั้งหลายเป็นไอบ้า ไอโง่ ไม่มีตัวผู้กระทำแล้วจะมีการกระทำได้อย่างไรกัน มันไปคิดเสียอย่างนั้น เด็กๆ มันก็จะว่าผิดแล้วหยิบ ไม่มีตัวผู้กระทำมันจะมีการกระทำอย่างไร นี่เราบอกให้ดูความจริงว่ามันมีการกระทำ มีความรู้สึกต่อระบบประสาทแล้วมันจึงจะเกิดความรู้สึกว่าตัวกูผู้กระทำ ข้อนี้เพราะเหตุอะไรหละ เพราะเหตุว่าไอตัวกูผู้กระทำมันไม่ใช่ตัวจริง นี่เป็นความโง่ เป็นความโง่ที่เพิ่งเกิดทีหลังการกระทำ ตามธรรมชาติมันก็กินอาหารว่าอร่อย ก็ตัวกูอร่อย ไม่อร่อย ก็ตัวกูไม่อร่อย เจ็บปวดขึ้นมาที่เนื้อที่ตัว มันก็ว่ากูเจ็บปวด ไม่ได้ว่าที่ผิวหนังเจ็บปวด หนามตำสักนิดก็ว่าหนามตำกูเสียแล้ว ไม่ใช่หนามตำเท้าแล้วนี่ มันตัวกูมันมา โง่ เกิดเป็นตัวโง่ขึ้นมาทีหลัง มันก็ฟังดูแล้วมันก็ผิด Logic ว่าผู้กระทำเกิดทีหลังการกระทำ แต่นี่เป็นความจริงอันสูงสุด เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าตัวกู ตัวกู ตัวกูนั้นเป็นมายา ไม่ใช่ตัวจริง เป็นมายา เป็นหลอกลวง เป็นทั้งมายาแล้วก็มันทั้งหลอกลวง มีตัวกูเกิดทีหลังการกระทำ หรือพูดว่าผู้กระทำเกิดทีหลังการกระทำ ถ้าใครเข้าใจความข้อนี้ ผู้นั้นรู้พุทธศาสนาเรื่องอนัตตา อนัตตา ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตน ตัวตนเพิ่งเกิดมาเมื่อมีการกระทำหรือมีความรู้สึกในการกระทำ มันต้องรักโดยความรู้สึกของธรรมชาติธรรมดาก่อน มันจึงจะเกิดตัวกูผู้รัก คิดดูให้ดี ข้อนี้คงจะไม่ยากนะ มันมีความรักโง่ๆ เกิดขึ้นก่อน แล้วมันจะเกิดความว่าตัวกูผู้รัก แล้วก็คู่รักของกู ถ้ามีตัวกูแล้วมันก็จะต้องมีของกู มันมีตัวกูยืนอยู่เป็นหลัก แล้วถ้าอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวกูมันก็เป็นของกูไปหมด เป็นมิตรที่รักของกูก็ได้ เป็นศัตรูคู่อาฆาตของกูก็ได้ มันมีตัวกูยืนอยู่ ถ้าอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องก็เรียกว่าของกู นี่มันจึงเกิดมีตัว ผู้รัก ผู้เกลียด ผู้โกรธ ผู้อะไรขึ้นมาตามความโง่ ตัวตนนั้นไม่ใช่ตัวตนอันแท้จริง อย่าไปหลงกับมัน ถ้าไม่หลงตัวตนมันก็ไม่เกิดความเห็นแก่ตน ไม่เกิดความเห็นแก่ตัว มันก็เห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่ผู้อื่น จิตใจของเราเป็นอิสระอย่างนี้แล้ว จะทำงานสนุก ถ้าไม่อย่างนี้เราก็เป็นทาสของกิเลส เป็นทาสของความเห็นแก่ตัว มันจะสนุกที่ตรงไหน มันจะร้อนไปหมด ชีวิตนี้จะกัดเจ้าของเหมือนอย่างที่ว่ามาแล้ว ชีวิตนี้ก็ไม่เป็นความสนุก ไม่เป็นของดีของวิเศษอะไร มัน มันเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์หรือความร้อนไปเสีย ขอให้มีความถูกต้อง ถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง การกระทำถูกต้อง ได้รับผลเป็นความถูกต้อง ชีวิตจะสนุก ชีวิตนี้จะสุขสนุกเป็นสุข รื่นสำราญเหมือนดอกไม้บานยามเช้านั่นนะ จำบทเพลงนั้นให้ดีๆ ต่อเมื่อมันมีความถูกต้อง ชีวิตนี้มันจึงเจริญสำราญเหมือนดอกไม้บานยามเช้า ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันเป็นกองไฟ เป็นสิ่งที่เผาผลาญให้เดือดร้อน ให้เดือดร้อน ดังนั้นจงศึกษาให้เห็น ให้รู้จักความเห็นแก่ตนเป็นอย่างไร เป็นความโง่ เป็นกิเลส ละกิเลส ละกิเลสให้ค่อยๆ กลายเป็นโพธิ คือความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง มีการกระทำที่ถูกต้อง ได้รับผลเป็นความถูกต้อง นี้เรียกว่าโพธิ ถ้ามันโง่ มันมืด มันผิดไป ผิดไป ทางนี้มันเป็นกิเลส กิเลสก็มีกำลังมากนะ ถ้าพัฒนา คือเปลี่ยนแปลง Sublimate กำลังโง่ ให้เป็นกำลังของความฉลาด เรียกว่าอะไร ศัพท์เปลี่ยนแปลง Sublimate คำนี้มีความสำคัญมาก จง Sublimate ไอผิด ไอโง่ ไอเลวนี้ให้มาเป็นความถูกต้อง เอากำลังที่มันผิดนั้นมาเป็นกำลังที่ถูก แล้วชีวิตนี้จะสนุกสนาน จะรื่นเริงสำราญเหมือนดอกไม้บานยามเช้า เราก็จะทำงานสนุก ทำงานสนุก เป็นความสนุก เป็นความรู้สึกพอใจรื่นเริง รื่นเริงเหมือนได้ความสุขจากตัวการงานโดยแท้จริง อย่าไปเข้าใจผิด ไอความรู้สึกโง่ๆ ว่าเป็นตัวตน มันต้องเป็นความรู้สึกที่ถูกต้อง เป็นความรู้สึกที่ถูกต้อง แล้วกระทำไปอย่างถูกต้อง แล้วก็มีผลเกิดขึ้นมาอย่างถูกต้อง แล้วทีนี้การงานก็จะสนุก เราก็จะเป็นสุขตลอดเวลาที่ทำการงาน จงเป็นนักพัฒนาชีวิต เป็นสมาชิกสหกรณ์ช่วยกันสร้างโลก อย่าเป็นลูกจ้างทำงานด้วยความจำเป็น เพื่อประโยชน์แก่ข้าจ้างมาเลี้ยงชีวิต แต่เป็นนักพัฒนาชีวิต เป็นสมาชิกร่วมกันทั้งโลก พัฒนาชีวิตนายจ้างของเรา ก็จะได้เป็น กลายเป็นผู้ช่วยเหลือให้เราสร้างโลกพร้อมทั้งทุก ทุกอย่าง ทุกคน ทุกคนในโลกช่วยกันสร้างโลก เป็นทรัพย์สมบัติของส่วนรวม อย่างนี้ก็จะทำงานสนุก แล้วก็จะเป็นสุขตลอดเวลาที่ทำการงาน เอาแหละเรื่องมันมีเท่านี้
จงเป็นผู้พัฒนาชีวิต เป็นสมาชิกแห่งสหกรณ์สร้างโลกให้เป็นโลกที่งดงามน่าอยู่ มีอุดมคติอยู่ในจิตใจอย่างนี้แล้ว การงานนั่นแหละจะสนุก จะเหงื่อไหลไคลย้อยอยู่กลางแดดก็จะสนุก เหงื่อที่ออกมาจะกลายเป็นน้ำมนต์ อันธพาลเขาไม่คิดอย่างนี้ เหงื่อออกมาก็เป็นน้ำร้อน เขาทิ้งการงานไปปล้น ไปจี้ ไปอะไรของเขาดีกว่า แต่ถ้าเรามีความจริงเรื่องนี้ ประจักษ์ชัดอยู่ในใจอย่างนี้ เหงื่อออกมาจะเป็นน้ำมนต์ คือน้ำเย็นหล่อเลี้ยงให้เกิดความสดชื่น กล้าหาญเข้มแข็ง ทำงานต่อไป ทำงานต่อไป ทำงานต่อไป ทำงานต่อไปด้วยความสนุกสนานพอใจ นี่คือความหมายของคำว่าทำงานให้สนุกแล้วก็เป็นสุขตลอดเวลาที่ทำงาน งานก็เลยกลายเป็นความสุขไปเสีย ไม่ใช่สิ่งทรมานใจเหมือนของคนโง่ หิว หิว หิว เมื่อไรจะได้เงินนั่นมันเป็นเรื่องของคนโง่ ถ้ามันได้อะไรมากแล้วก่อนแต่ที่จะได้เงิน พอเราลงมือทำงานก็ได้อะไรที่มีค่ามากกว่าเงินแล้วมันก็สบายใจ งานมันก็สนุก ชีวิตนี้ก็เป็นสุขตลอดเวลา สรุปความว่าทั้งหมดนี้ พูดอย่างนี้ก็หมายความว่าเราจะต้องพัฒนาชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้ยืมมาสำหรับพัฒนาเอาตามพอใจ เอานรกก็ได้ เอาสวรรค์ก็ได้ เอาพัฒนาเอาตามพอใจ เมื่อมีความถูกต้อง มีเจตนาอันนี้แล้ว ก็สนุกในการพัฒนา แม้ทำงานอยู่กลางแดด เหงื่อไหลไคลย้อย เป็นชาวนา ไปดู ชาวนาที่เป็นสัมมาทิฏฐิยิ้มแฉ่ง ยิ้มตลอดเวลาไถนาอยู่กลางแดดเหงื่อไหลท่วมตัวนะ ถ้ามันอันธพาลมันก็ไม่เอา กูไปจี้ ไปขโมยดีกว่า อาตมาไปประสบมาแล้วชาวนาคนนั้นเขาไถนาอยู่กลางแดด เหงื่อไหลท่วมตัว อาตมาเดินไปธุระ ไป มันผ่านไปใกล้ๆ เขา เขาจะนึกอย่างไรก็ไม่ทราบหรอก เขาบอกมาว่าอะไร ขึ้นมาเอง ไม่ได้ถามไม่ได้อะไร ทำนาเอาข้าวใส่บาตรสักช้อนหนึ่งเถิดเจ้าเอ๋ย เจ้านี่คือหมายถึงพระ เจ้า คือพระสงฆ์นี่ เขาบอกผมที่เป็นพระสงฆ์เดินไปใกล้ๆ เขาว่าทำนาเอาข้าวใส่บาตรสักช้อนหนึ่ง เหงื่อไหลท่วมตัวอยู่กลางแดด แสดงว่าสนุก สนุก ในการทำนา ไม่ใช่จำเป็นจะต้องทำ เขาสมัครทำ เหงื่อไหลออกมาก็กลายเป็นน้ำมนต์ น้ำเย็นหล่อเลี้ยงชีวิตจิตใจ เขาทำนา ไถนาต่อไป ไถนาต่อไป แล้วก็ดำนา แล้วก็เลี้ยงดูต้นข้าว แล้วก็จะออกรวงนี่ตลอดเวลาเขาสนุก สนุก สนุก นี่พัฒนาก็คือทำให้หน้าที่การงานเป็นของสนุก เป็นการปฏิบัติธรรมะอยู่ในตัว เขาก็จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ เมื่อถามว่าเกิดมาทำไม เขาก็ตอบว่าเกิดมาเพื่อพัฒนาชีวิตให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะพึงได้รับ เมื่อชีวิตเป็นของยืมมาจากธรรมชาติก็ไม่โกงว่าเป็นของกู แต่กลับพัฒนาอย่างยิ่ง พัฒนาอย่างยิ่งให้เป็นไปตามที่ปรารถนา นี่เรียกว่าได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ เรียกว่าไม่เสียชาติเกิด คำนี้มันหยาบคายสักหน่อยขออภัย มันไม่เสียชาติเกิด เพราะว่าล้วนแต่มีความเป็นสุข สนุกตลอดชีวิต มันแสดงฝีมือ แสดงฝีมือให้เห็นว่าสามารถ เท่านี้มันก็สนุกเหลือเกินแล้ว อย่าไปนึกถึงเงินเดือน เงินดาวน์อะไรนักหนาเลย โอกาสได้แสดงความสามารถถึงที่สุด ก็พอใจแล้ว ชื่นใจแล้ว ชื่นใจกว่าเงินเดือนแล้ว นี่ทำงานให้สนุก ดำเนินชีวิตให้สนุก เป็นสุขตลอดเวลาแห่งชีวิต ในที่สุดนี้ก็ขอขอบคุณท่านทั้งหลายที่ได้ตั้งใจฟัง เป็นผู้ฟังที่ดีนี้มาเกือบ ๒ ชั่วโมงแล้วนะ ที่พูดมานี่ ขอบคุณ ตั้งใจฟังที่ดี เป็นผู้ฟังที่ดี ขอให้ได้รับประโยชน์จากการเป็นผู้ฟังที่ดี ดำเนินชีวิตให้สนุกแล้วเป็นสุขตลอดเวลาแห่งการงาน พัฒนาชีวิตให้สำเร็จ เป็นสมาชิกสหกรณ์พัฒนาโลกให้งดงาม มีความพอใจ พอใจ เป็นความสะอาด สว่าง สงบ เสรีภาพแห่งจิตใจอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย