แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย ขอแสดงความยินดีในการที่ท่านทั้งหลายอุตส่าห์มาจากที่ไกล มาแสวงหาความรู้ทางธรรมะ เพื่อไปประกอบหน้าที่การงานให้มีความเจริญงอกงามก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป กว้างขวางออกไปเร็ว ๆ ขึ้น ประโยชน์ของการมาเพื่อแสวงหาธรรมะ และการมานี้มันก็มีเหตุผลเพื่อเป็นสิ่งที่ควรกระทำ ดังนั้น จึงขออนุโมทนาและแสดงความยินดีด้วย
เหลืออีกอย่างหนึ่งก็ขอทำความเข้าใจว่า เรามาพูดจากันในเวลาอย่างนี้ซึ่งบางพวกเขาก็จะเห็นว่าบ้า เวลาตี ๕ หัวรุ่งเขาไว้สำหรับนอน หรือมานั่งพูดกันกลางดินอย่างนี้ ไม่ได้พูดบนตึก อาคารร้าน แต่ข้อนี้มันมีเหตุผลที่จะเรียกว่าความถูกต้องก็ได้ที่เราจะใช้เวลาอย่างนี้ เวลาเช้าอย่างนี้มันเป็นเวลาที่มีความหมายพิเศษอยู่หลายอย่างโดยเฉพาะทางจิตใจเป็นเวลาที่จิตใจสดชื่นแจ่มใส หลังจากที่ได้พัก หลังจากที่ได้พักผ่อนมาเป็นเวลานาน ตื่นขึ้นมามันยังว่างอยู่ ยังเข้มแข็งสดใสอยู่ พร้อมที่จะรับอะไรใหม่ หรือว่าจะบรรจุอะไรลงไปได้โดยง่าย ถ้ามันสายจนเป็นกลางวันไปแล้วมันก็มีการบรรจุอะไรลงไปมากมายแล้วในลักษณะเต็มคล้ายกับน้ำเต็ม ๆ ถ้วยน้ำชาล้นถ้วยใส่อะไรไม่ลง เดี๋ยวนี้มันกำลังว่างอยู่มันก็จะใส่อะไรลงไปได้ดีกว่า เราถึงได้เลือกเอาเวลาอย่างนี้มาพูดกันในเรื่องชนิดนี้ นั่นคือเรื่องธรรมะที่ค่อนข้างละเอียดลึกซึ้ง เป็นเวลาจิตที่พร้อม คือเบิกบานสำหรับที่จะรับของใหม่ ดอกไม้โดยมากเบิกบานกันเวลาอย่างนี้ แม้จะมีดอกไม้บางชนิดบานตอนสายมีแดดแล้วก็มี บานตอนบ่ายก็มี เช่น ดอกจำปูน บานตอนเย็นก็มี เช่น ดอกนมแมว ดอกการเวก แต่โดยทั่วไปดอกไม้จะเริ่มบานเวลาหัวรุ่ง จิตมันก็มีลักษณะคล้ายกัน พักผ่อนพอแล้วเบิกบานแล้วพร้อมแล้วที่จะรับฟังหรือจะบรรจุของใหม่ ๆ ลงไป พระพุทธเจ้าตรัสรู้เวลาอย่างนี้ เวลาหัวรุ่งอย่างนี้ แต่ละคนโดยมากเดี๋ยวนี้จัดไว้เป็นเวลาที่นอนสบายที่สุด ฝืนความรู้สึกที่สุดที่จับตัวมาพูดกันเวลาอย่างนี้
ก็ขอให้ใคร่ครวญดูให้ดี เปลี่ยนจิตใจซะใหม่ให้เหมาะให้พร้อมที่จะพูดกัน จะฟังจะคิดจะใคร่ครวญในเวลาอย่างนี้ แล้วก็ให้ถือว่าเป็นเวลาพิเศษต้องใช้มันให้ตรงกับเรื่องของมัน ให้มันตรงกับเรื่องของมัน เวลาที่จิตใจละเอียดเราใช้กับเรื่องที่ละเอียด เวลาที่จิตใจหยาบหรือค่อนข้างหยาบเราก็ใช้กับเรื่องหยาบ ๆ นี่มันจะได้ผลมาก เลือกเวลาให้เหมาะกับเรื่อง ถ้าท่านเป็นคนสังเกตก็จะรู้สึกว่ามันมีความหมายหรือ มันให้ความรู้สึกคล้าย ๆ กับโลกอีกโลกหนึ่ง โลกหนึ่งมันฟุ้งซ่านอึกทึกครึกโครม อีกโลกหนึ่งมันสงบเย็นเป็นโอกาสที่จะคอยเรา ไม่เสียโอกาสในการที่จะใช้โลกชนิดนี้ให้ตรงตามเรื่อง ถ้าเราไปนอนเสียมันก็เป็นหมัน ภิกษุสามเณรตามแบบฉบับของโบราณเป็นเวลาที่ตื่นแล้ว พิจารณาปัจจเวก (นาทีที่ 7:10) ปัจจัยแล้ว ทำสมาธิทำกรรมฐานแล้ว ไม่ได้ถือโอกาสสำหรับจะนอนอยู่ นี่เรียกว่ารู้จักใช้โลกชนิดนี้ให้เป็นประโยชน์ เอาสิ ใครว่ามันจะใช้เป็นเวลานอนสบายทุกวัน ๆ ๆ ในเวลาอย่างนี้ มันจะไม่เคยพบโลกอย่างนี้ โลกที่เยือกเย็นที่สงบที่พร้อมที่จะศึกษาธรรมะที่เป็นของละเอียด
ที่พูดนี่ก็พูดเผื่อไว้ด้วยเผื่อท่านกลับไปบ้านแล้วจงปรับปรุงกันเสียใหม่ให้รู้จักใช้โลกชนิดนี้ อย่างมากให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปแม้จะเหลืออยู่น้อยอายุมากแล้วมันจะตายแล้ว ก็ขอให้ได้ใช้กันบ้างเถอะจึงเป็นการดี โลกเวลาหัวรุ่ง โลกเวลาสว่าง โลกเวลาเช้า เวลาสาย เวลาบ่าย เวลาเย็น เวลาค่ำ จัดให้งานที่จะทำหน้าที่ที่จะทำเหมาะ ๆ ๆ ๆ เป็นทุกเรื่องทุกราว จะได้รับประโยชน์ยิ่งกว่าธรรมดา พระพุทธเจ้าท่านใช้เวลาอย่างนั้น พลับพลา พลับเพล วิโลกานัง คือเวลาอย่างนี้ เล็งยามส่องโลกไปทั่ว ๆ ว่าวันนี้จะไปช่วยใครที่ไหน ก็ท่านก็เห็น ๆ อยู่ที่นั่นมีนั่น ที่นั่นมีนี่ ตรงนั้นมีนี่ พอจะยุติได้ว่าวันนี้สว่างขึ้นรุ่งขึ้นจะไปช่วยใครที่ไหน ใคร่ครวญไปดูอย่างรอบคอบ นี่ก็พวกหนึ่งกำลังนอนหลับอุตุอยู่ พระพุทธเจ้ากำลังเล็งยามส่องโลก แล้วท่านก็ไป ท่านก็ไป พอสว่างขึ้นก็ไป ไปจัดการตามที่ตนมุ่งหมายนั้น พบกับคนนั้น พูดจากับคนนั้น ทรมานคนเลวร้ายหรือว่าคนร้ายกาจ มิจฉาทิฐิอะไรก็ตามเรื่องที่ท่านตกลงไว้ในพระทัยท่านก็ไป ไปในรูปของบิณฑบาตน่ะ ไปโปรดสัตว์ ๆ ตอนสายพูดจากันมากมายจนสายจนเที่ยงก็สุดแท้ ตอนเที่ยงก็พักผ่อน ร้อนจัดนิดหน่อย พอตอนบ่ายก็กลับไปที่พักแล้วก็ต้อนรับคนที่ไปที่วัด พอตอนเย็นก็แสดงธรรมให้กับผู้ที่ไปศึกษาถึงวัดตอนเย็น พอพลบค่ำก็สอนแสดงธรรมกับภิกษุสามเณรประจำวัด ภิกขุ (นาทีที่ 10:54) มันเชื่อกันว่าอย่างนี้ (นาทีที่ 11:02) คือ เวลาพลบค่ำ สอนภิกษุสามเณรจนเรื่อยไปจนเที่ยงคืน อรรถ (นาทีที่ 11:10) เที่ยงคืนตอบปัญหากับพวกเทวดา เทวดาที่เป็นคน ๆ เช่นพระราชามหากษัตริย์นี่ก็เขาเรียกเทวดา เทวดาที่มาจากสวรรค์ลงมาจากสวรรค์ก็เรียกเทวดา และในบาลีมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ แม้พระราชาคนมนุษย์นี่จะเฝ้าพระพุทธเจ้าก็เลือกเอาเวลาเที่ยงคืนก็จะยุ่งมากเลย ก็มีกองทัพเริ่มคบเพลิงคุ้มกันไปเที่ยงคืนไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ไปอ่านเรื่องสามัญผลสูตรดูจะพบเรื่องนี้ เที่ยงคืนตอบโต้อยู่กับกลุ่มเทวดา เลยเที่ยงคืนดึกดื่นไปนู่นก็จะพักผ่อนบ้างนะ พอหัวรุ่งเอาอีกแล้ว หัวรุ่งก็เล็งยามส่องโลกอีก รุ่งเช้าไปอีกเป็นวงจรอย่างนี้ แต่เราจะมองในแง่ที่ท่านใช้เวลาตรงกับเรื่องที่ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งจึงสำเร็จประโยชน์ และท่านทำอย่างนี้ด้วยความเสียสละทั้งวันทั้งคืน ๆ เสร็จเมืองนี้ก็ไปเมืองนู้น ๆ เป็นพระศาสดาเท้าเปล่า ไม่เคยพบข้อความในบาลีตรงไหนที่ว่าพระพุทธเจ้ามีรองเท้า ทรงรองเท้า หรือมีร่ม ถึงได้เรียกว่าพระศาสดาเท้าเปล่า เดี๋ยวนี้เราก็มีอะไรกันมากมายจนมีบริขาร ๙ ภิกษุมีกล้องถ่ายรูปเป็นบริขาร ๙ มันลงไปถึงพวกชีแก่ ๆ มันก็ยังมีกล้องถ่ายรูป ชีแก่ ๆ ก็มีบางที นี่มันเปลี่ยนแปลงมันวิปริตกันมากถึงขนาดนี้ พระพุทธเจ้าไม่มีร่มไม่มีรองเท้าน่ะ คิดดู แล้วก็ไม่นั่งรถ เพราะมันไม่มีรถที่เหมาะสำหรับนั่ง มันมีแต่เกวียน มันมีแต่รถม้า เกวียนมันเป็นสัตว์มีชีวิตท่านก็ไม่นั่ง เป็นระเบียบเป็นวินัยเป็นธรรมเนียม ก็ต้องเดิน ๆ มีแดดแผดร้อนยังไงท่านก็เดิน เดินจนตลอดชีวิตของท่าน จนนาทีสุดท้ายท่านยังทำงานในหน้าที่อยู่ แล้วก็ปรินิพาน ทำงานจนนาทีสุดท้าย ไปอ่านดูในพุทธประวัติเองก็แล้วกัน
การทำงานและใช้เวลาทำงานให้เหมาะตรงกับเรื่องนี้ดีที่สุด ให้คอยสนใจกันไว้บ้าง และการที่เรามาฟังเวลาอย่างนี้อย่าเห็นเป็นเรื่องทรมาน อย่าเห็นเป็นเรื่องล้าสมัย หรือขัดสมัย หรืออะไรที่เขากำลังจะแสวงหาความสุขจากการนอนกันอยู่มาพูดจาเสีย เอาละ เป็นอันที่เข้าใจกันได้ว่าทำไมเราจึงมาพูดกันเวลาอย่างนี้ แล้วก็พูดในที่อย่างนี้ไม่ไปพูดบนตึกราคาล้านเหมือนที่เขาแสดงปาฐกถาอะไรกัน เขาพูดเรื่องนาเรื่องแก้ปัญหาการทำนาบนตึกสวยงามหลาย ๆ ชั้น บ้า ไปพูดกันที่กลางดินสิ ในทุ่งนาจะดีกว่า นี่ควรจะนึกกันบ้างว่าเราจะใช้สถานที่อย่างไร
ทีนี้ก็มาถึงหัวข้อของเรื่องที่จะพูดกันวันนี้ มีหัวข้อสำหรับจะพูดว่า ชีวิตที่มีพื้นฐาน และสิ่งที่จะเป็นพื้นฐานของชีวิตก็ได้แก่เรื่องธรรมะ พระธรรมนั่นเอง ชีวิตที่มีพื้นฐานก็เป็นชีวิตที่มีธรรมะ สิ่งที่จะเป็นพื้นฐานของชีวิตก็คือธรรมะอีกนั่นแหละ ก็กลายเป็นว่าเราจะพูดกันด้วยเรื่องของธรรมะ เรื่องของธรรมะซึ่งกำลังเป็นเรื่องครึคระของคนสมัยใหม่ แม้เป็นนักศึกษาก็เห็นเป็นเรื่องครึคระสู้เรื่องวิชาเทคนิคเทคโนหาเงินกันมาก ๆ ไม่ได้ อาตมาเชื่อว่านักศึกษาครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่อุตส่าห์มาจากกรุงเทพคงจะไม่คิดอย่างนั้น คงจะคิดว่าเป็นที่สิ่งจำเป็น เป็นสิ่งที่ต้องการจึงอุตส่าห์มาและขอร้องให้บรรยายที่จงทำให้สำเร็จประโยชน์ คือเข้าใจธรรมะที่จะบรรยายแล้วก็เอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้จริง ไปประยุกต์ใช้กับเหตุการณ์ในชีวิตทุกชนิดทุกขั้นทุกตอนได้จริง ก็จะคุ้มค่ามาอุตส่าห์มาจากกรุงเทพเสียเงิน เสียเวลา เสียเรี่ยวแรงอะไรหลาย ๆ อย่างอยู่ ท่านต้องรับผิดชอบในการที่จะให้มันได้รับประโยชน์คุ้มค่ากัน นี่ถ้าไม่คุ้มค่ากันก็ต้องรู้สึกเอาเองว่ามันเป็นอย่างไร อาตมาเคยบอกกล่าวกันมานานนักหนาแล้วถือเป็นกฎเกณฑ์ว่า ใครใช้เงินไม่คุ้มค่ากับเวลายมบาลจะเขกกบาลคนนั้น เพราะมันใช้เงินไม่คุ้มค่ากับเวลา จงระวังให้ดี ๆ ใช้เงินให้คุ้มค่ากับสิ่งที่จะได้รับ คุ้มค่าเวลา คุ้มค่าเงิน คุ้มค่าเรี่ยวแรง นี่ถ้าคิดกันบ้างก็คงจะดีกว่า ที่จะตั้งใจฟังกันมากกว่า คิดนึกใคร่ครวญมากกว่า และก็จะพยายามปฏิบัติกันมากกว่า
หัวข้อที่บรรยายมันก็ชื่อของมันก็ไม่ค่อยน่าฟัง หรือชวนฟัง ชีวิตที่มีพื้นฐานไม่น่าสนใจ เพราะว่ามันไม่อยากจะมีอะไรเป็นพื้นฐาน มันอยากจะทำอะไรหวัด ๆ ด้วยความคิดนึกชั่วขณะตามสบายตามใจตัวเอง ไม่มีการตระเตรียมพื้นฐานอะไรที่ดี ชีวิตนี้มันก็ไม่มีพื้นฐาน มันก็โคลงเคลงโงนเงนเหมือนกับปลูกเรือนในโคลน เราจะต้องทำให้มันมีพื้นฐานเหมือนฐานคอนกรีตที่มันแน่นหนาแข็งแรง มันไม่ล้มมันไม่อะไร ทำชีวิตนี้ให้มันมีพื้นฐานโดยรู้จักสิ่งที่จะเป็นพื้นฐานได้โดยแท้จริง และสิ่งนั้นก็คือ ธรรมะ
เอ้า, เราก็จะพูดถึงคำแรกก่อนว่า ชีวิตนี้มีพื้นฐาน ชีวิตที่มีพื้นฐาน ชีวิตมีพื้นฐานก็หมายความว่า มันปกติมันมั่นคง มันหวั่นไหวยาก หรือมันล้มละลายยาก มันมีความสะอาด ไม่มีสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัย และมันมีสว่างมีความสว่างแจ่มใสไม่โง่เง่ามืดมน และมันก็มีความสงบเย็น ๆ ชนิดที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย ตัวเองสงบเย็นก็เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย และก็มีเสรีภาพโดยแท้จริง มีความเป็นไทแก่กิเลส ไม่ใช่มีกิเลสเป็นเครื่องมาบังคับ เป็นทาสของกิเลส เป็นทาสของตัณหา อย่างนั้นไม่ใช่ชีวิตที่เป็นไท ไม่เป็นอิสระ และมันจะหาความปกติมาจากไหนกัน มันก็ไม่มีพื้นฐานที่มั่นคง แล้วคอยมุ่งหมายว่าเราจะมีชีวิตที่มีพื้นฐานที่มั่นคงเป็นหลักทั่ว ๆ ไปเป็นหลักทั่ว ๆ ไป จึงต้องสนใจสิ่งที่มันจะเป็นพื้นฐานแก่ชีวิต สิ่งนั้นก็คือธรรมะ ถ้ามีธรรมะแล้วมันจะมีพื้นฐานอันมั่นคง มีรากฐานอันมั่นคง สามารถที่จะมี มีการทนรับ รับคือทรงไว้ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ได้อีกมากมาย ถ้าชีวิตไม่มั่นคงก็หมายความเป็นทาสของกิเลส มันจะทำอะไรให้กิเลส ไม่มีประโยชน์แก่ความเป็นมนุษย์แม้ของตนเอง
ชีวิตที่มีธรรมะชั้นสูงสุดก็คือมีธรรมะที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ถ้าท่านยังไม่รู้จักธรรมะที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนานำมาใช้มาเป็นรากฐานที่มั่นคงไม่ได้ ธรรมะสูงสุดที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาก็อยากจะระบุเอาไปยังความไม่เห็นแก่ตัว มีความไม่เห็นแก่ตัวมันก็ไม่มีกิเลส มันก็ไม่มีอะไรที่เป็นการผิดพลาด ความเลวร้ายหรือปัญหาทุกชนิดไม่ยกเว้นอะไรมาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ไม่ใช่ส่วนรวม เป็นชีวิตที่ปกติมีเสรีภาพคือไม่มีการแบกของหนัก ถ้ายังแบกของหนักอยู่ก็หมายความว่ามันยังไม่ ไม่มีอะไรที่น่าพอใจและไม่ไปถึงไหน ของหนักนี่ก็คือความโง่ทั้งนั้น ไม่มีอะไรจะเป็นของหนักเท่ากับความโง่หรอก คือไปยึดถือนั่นนี่นู่นให้เป็นตัวกู ให้เป็นของกู และก็แบกของหนักเหล่านั้นอยู่เป็นปกติ ๆ เป็นนิสัยไปเลย นี่ก็เรียกชีวิตที่มีภาระหนักในทางจิต ในทางวิญญาณ ไม่ต้องมีภาระหนักเหล่านี้จึงจะเรียกว่า ชีวิตที่มีพื้นฐานที่ถูกต้องแล้ว มันจัดการถูกต้องแล้วจนเป็นชีวิตที่ไม่แบกของหนัก เมื่อไม่แบกของหนักก็มีเสรีภาพ มีอิสรภาพที่จะทำอะไรชนิดที่เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ยิ่ง ๆ ขึ้นไปทั้งเพื่อตัวเองและทั้งเพื่อผู้อื่น ถ้ามันไม่เป็นภาระ และมันไม่เป็นชีวิตที่ติดคุก ติดตรวนของความโง่ ยิ่งติดตารางแห่งตัวกู ตัวกู ของกู ชีวิตของคนโง่มันติดคุกอยู่ตลอดเวลา ติดคุกแห่งความยึดมั่น อะไร ๆ เป็นตัวกูเป็นของกู มันก็เป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเสรีภาพ อย่างนี้เรียกว่าไม่มีอะไรที่ถูกต้องโดยพื้นฐาน ความไม่เห็นแก่ตัวนั่นแหละจะเป็นพื้นฐานที่ดีที่สุด คือมันจะเห็นแต่ความถูกต้อง และมันจะเห็นแก่ผู้อื่น ถ้ามันเห็นแก่ตัวเสียแล้วมันไม่เห็นแก่ผู้อื่น มันไม่เห็นแก่ความถูกต้อง มันเอาแต่ประโยชน์ของกู นี่มันไกลกันลิบนะ ความเห็นแก่ตัวกับความไม่เห็นแก่ตัวนี่มันไกลกันลิบ ๆ
แต่แล้วมันก็น่าเศร้าที่ว่าโลกนี้ยิ่งมีความเห็นแก่ตัวมากขึ้นทุกที มากขึ้นทุกทีตามความเจริญของโลก สมัยคนป่ามันไม่เห็นแก่ตัวมากเท่าคนที่สมัยเจริญแล้วอย่างนี้ ก็คนป่ามันโง่ มันยังโง่ มันยังคิดไม่เป็น มันยังคิดเอาเปรียบหลอกลวงคดโกงกันไม่ได้ มันยังไม่มีนักการเมือง มันไม่มีนักเศรษฐกิจที่จะล้วงกระเป๋าคนอื่น อันความเห็นแก่ตัวของคนป่ามันก็มีน้อย ๆ พอมากลายเป็นไอ้มนุษย์สมัยนี้ขึ้นมา ก็คือความเห็นแก่ตัวนั่นเองเจริญด้วยสิ่งที่จะมาบำรุงบำเรอสนองความต้องการ ใครควรจะหัวเราะเยาะใคร คนป่าควรจะหัวเราะเยาะมนุษย์สมัยนี้ หรือว่ามนุษย์สมัยนี้จะควรหัวเราะเยาะคนป่า อาตมาเห็นว่าคนป่าก็มีปัญหาน้อย มีความทุกข์น้อย เบียดเบียนกันน้อย ไม่กัดกันเหมือนกับคนสมัยนี้ซึ่งมีวิชาความรู้เจริญสำหรับกัดกัน แย่งชิงกัน ต่อสู้กัน โกหกหลอกลวงกัน ซึ่งคนป่ามันไม่รู้จักทำ ทำไม่เป็น ที่เรียกว่าความเห็นแก่ตัวมันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จนเรียกว่าโลกนี้มันแคบจนไม่มีที่อยู่เพราะมีความเห็นแก่ตัว มีคนที่เห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้น ๆ ถ้าสมมุติว่าคนสมัยนี้ไม่เห็นแก่ตัว มีธรรมะถูกต้อง มันก็จะอยู่กันอย่างสบายกว่านี้ ไอ้โลกใบนี้ ไอ้โลกเล็ก ๆ ใบนี้จะบรรจุคนได้มาก มากกว่านี้อีกมากมายถ้าคนมันไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้คนมันเห็นแก่ตัว มันก็ไม่วาย มันจะเอามาก มันจะเอาเปรียบมากจนโลกนี้ไม่พอ
เพราะฉะนั้นมีความเห็นแก่ตัวมันก็มีปัญหาเกิดขึ้น คือมันมีกิเลส ทำไปตามอำนาจของกิเลส มันก็เกิดปัญหา ยิ่งเจริญด้วยวัตถุมันก็คือยิ่งเจริญด้วยเหยื่อ เหยื่อของกิเลส ยิ่งเจริญด้วยเหยื่อของวัตถุก็คือยิ่งเจริญด้วยเหยื่อของกิเลส ไปคิดดูเองก็แล้วกัน ยิ่งเจริญทางวัตถุแล้วก็ยิ่งเห็นแก่ตัว เพราะความเจริญทางวัตถุนั้นมันออกมาจากความเห็นแก่ตัว เมื่อมนุษย์มีกิเลสมากขึ้นก็จัดสรรหาเหยื่อของกิเลสมากขึ้น จนมาถึงยุคนี้ก็ใช้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีแล้วแต่จะเรียกนะ ก็หาเหยื่อให้แก่กิเลส งั้นเหยื่อของกิเลสมันจึงก้าวหน้าเหลือประมาณ ยิ่งก้าวหน้าทางเหยื่อของกิเลสก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ดังนั้น มนุษย์ยิ่งเห็นแก่ตัว ๆ พ่ายแพ้แก่กิเลส ฝ่ายความดีความงามความถูกต้องมันถอยกำลังลงไป มันถอยกำลังลงไปเพราะมนุษย์สมัครเป็นทาสของกิเลสมากขึ้น มันจึงมีการเบียดเบียนกันทั่วไปทุกหัวระแหงทั่วโลก ซึ่งสมัยคนป่าโน้นมันทำไม่ได้ มันมีไม่ได้ เพราะมันไม่ได้ต้องการกันมากอย่างนั้น เดี๋ยวนี้มันมีความฉลาดมีอาวุธมีความก้าวหน้าทางเครื่องมือเครื่องใช้ ก็เลยรบราฆ่าฟันกันได้เรียกว่าไม่มีหยุดมีหย่อนน่ะ ถ้าว่ามันไม่ทำกันด้วยสงครามร้อน มันก็ทำกันด้วยสงครามเย็นที่เร้นลับที่ซ่อนอยู่นั่น ส่วนลึกมันเป็นสงครามเศรษฐกิจ เป็นสงครามการเมือง และก็ออกมาเป็นสงครามยิง สงครามไฟ เมื่อไหร่ก็ได้ สังเกตดูมันมีตลอดเวลานะไอ้สงครามฆ่ากันโดยตรงมันเป็นเรื่องเล็ก ๆ มันอยู่ไกลบ้านเรา เราก็ไม่ค่อยรู้ แต่ที่จริงมันมีอยู่ตลอดเวลา ยิ่งระหว่างบุคคล ๆ ยิ่งมีตลอดเวลาคืออันธพาลมันมากขึ้น อาชญากรมันมากขึ้น ก็ฆ่าฟันกันอยู่ตลอดเวลานี่เพราะความเห็นแก่ตัว คือทุกอย่างมันก็เปลี่ยน ๆ ไปหมด เปลี่ยนไปตรงตรงกันข้าม คือจากความสงบไปสู่ความไม่สงบ
เดี๋ยวนี้ก็บูชาอะไรนะ วิทยาศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์กันเป็นสิ่งสูงสุดประเสริฐที่สุด ทุกคนต้องการความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เพื่อไม่เสียเปรียบใคร เดี๋ยวลองดู ทุกคนเจริญไปด้วยวิทยาศาสตร์แต่ทุกคนมีความเห็นแก่ตัวแล้วมันจะใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้นอย่างไร จะใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพื่อประหารผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น แย่งชิงผู้อื่น กอบโกยผู้อื่น อันวิทยาศาสตร์นี้มันไม่อาจจะสร้างสันติภาพเพราะมันเตรียมพร้อมสำหรับไปกัดกันบนโลกพระจันทร์ โลกอังคาร โลกนู้นมันจะเจริญทางวิทยาศาสตร์จะกัดกันในโลกนี้ไม่พอ มันก็ไปกัดกันในโลกพระจันทร์ ในโลกพระอังคารข้างหน้าต่อไปในอนาคต ถ้าไอ้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มันเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ธรรมะไม่ไปควบคุมนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นก็เตรียมเถอะ เตรียมไปเป็นสัตว์สำหรับไปกัดกันบนโลกพระจันทร์ โลกพระอังคารน่ะ วิทยาศาสตร์มันใกล้อวสาน มันมุ่งหมายปลายทางอย่างนี้
เศรษฐกิจ ๆ ก็เอาสิมันไม่มีจุดจบ มันไม่มีจุดพอ การเงินการเศรษฐกิจ ทรัพย์สมบัติพัสถานก็เอาสิเอาลองดู ลองเอาไว้มาก ลองเอาดู เมื่อไม่มีศีลธรรม ไม่มีธรรมะแล้วมันเห็นแก่ตัว ไอ้เศรษฐกิจนั้นมันจะกัดมนุษย์ จะทำลายมนุษย์ผู้ไม่รู้จักอิ่มจักพอ แม้ว่ามันจะจัดเศรษฐกิจให้ดีให้รวยกันหมด ๆ มนุษย์มันก็ยังทำลายล้างกันอยู่นั่นแหละ ยิ่งรวยยิ่งเห็นแก่ตัวมันก็ยิ่งทำลายล้างผู้อื่นลึกซึ้ง แม้ว่าฝนจะตกลงมาเป็นทองคำ ฟังให้ดี ๆ แม้ฝนจะตกลงมาเป็นทองคำทั่วไปหมดโลกนี้ก็ไม่มีสันติภาพ เพราะมันยิ่งเห็นแก่ตัว ๆ มันฆ่ากันในการแย่งกันเก็บทองคำ ใครเก็บทองคำไว้มากคนนั้นจะถูกจี้ถูกปล้นไม่มีที่สิ้นสุด แม้ฝนจะตกลงมาเป็นทองคำมันก็แก้ปัญหาไม่ได้ ไอ้น้ำหน้านักเศรษฐกิจไหนนะที่มันจะจัดให้โลกนี้มีฝนมาก ทำทรัพย์สมบัติเหมือนกันฝนตกลงมาเป็นทองคำ มันยังไกลกันนักแม้มันจะจัดได้ฝนตกลงมาเป็นทองคำ โลกนี้ก็ไม่มีสันติภาพ ถ้ามันไม่มีธรรมะ ถ้ามันมีแต่ความเห็นแก่ตัว มีข้อความในพระบาลี อ่านแล้วสะดุด ลืมไม่ได้ ก็คือมีคำศัพท์ของพระพุทธเจ้าว่า แม้ว่าภูเขาลูกใหญ่ ๆ จะเป็นทองคำไปทั้งลูก ทั้งลูกภูเขา ภูเขาทองคำ ๒ ลูกมันก็ไม่พอแก่ความต้องการของมนุษย์คนเดียว มนุษย์คนเดียวที่มีความโลภที่มีความกิเลส มนุษย์คนเดียว ภูเขาทองคำตั้งสองลูกก็ไม่พอแก่ความต้องการของมัน เดี๋ยวนี้เรามีมนุษย์ห้าพันล้าน และคิดดูกี่พันล้านที่มันเป็นคนเห็นแก่ตัวมีกิเลส แล้วจะเอาภูเขาไหนมาเป็นทองคำให้จนเพียงพอแก่มันได้ มันจะมีน้ำหน้าไหนมาจัดให้โลกนี้เหมือนกับฝนตกลงมาเป็นทองคำ มันจัดเพื่อเข้ากระเป๋าแก่ตัวทั้งนั้น นักเศรษฐกิจมันไม่ได้จัดเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น ยิ่งรวยก็ยิ่งกอบโกย ยิ่งรวยยิ่งผูกขาด เศรษฐกิจมันไม่แก้ปัญหาได้ อย่าไปบ้า อย่าไปเมากับมันเลย เรามาจัดกันอย่างถูกต้องแล้วโลกจะมีสันติภาพ มันต้องมีธรรมะเข้ามาควบคุมเศรษฐกิจ โลกนี้จึงจะมีสันติภาพ ถ้าผู้ใดบูชาเศรษฐกิจ บูชาความรู้ทางเศรษฐกิจ ก็ช่วยเอาไปคิดไปนึกดูกันเสียบ้าง
เอาล่ะ ถ้าว่าการศึกษามันเจริญทำให้โลกนี้มีนักการเมืองเต็มไปทั้งโลก แล้วคิดดูมีนักการเมืองเต็มไปทั้งโลก โลกนี้มันจะไปไหน โลกนี้มันจะเป็นโลกแคบของการหลอกลวง เป็นการหลอกลวง มีความคิดที่จะครอบงำผู้อื่นเสมอไปตามแบบของนักการเมือง ไม่ใช่ผู้ที่จะจัดบ้านเมืองให้มีความสงบสุข แต่มันจะทำนาบนหลังผู้อื่น ๆ มันจะจัดโลกนี้ให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง นักการเมืองทั้งโลกมันเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันก็มีวัตถุเครื่องใช้ไม้สอยเครื่องมือวิเศษแสนจะวิเศษ อย่างเรื่องเครื่องจักรทั้งหลาย เรื่องคอมพิวเตอร์ เรื่องวิทยุ เรื่องอิเล็กทรอนิกส์ เรื่องเทคโนโลยีอะไรก็ตามเหลือจะประเสริฐ ๆ แต่มนุษย์ก็ไปใช้เพื่อกิเลสของตัว ๆ เป็นเครื่องมืออุปกรณ์ที่จะเอาเปรียบผู้อื่นให้มากที่สุด ใครมันใช้คอมพิวเตอร์เพื่อสันติภาพ ไม่เห็น แต่มันใช้ประโยชน์ค้นหาวิธีที่จะได้เปรียบผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่นอย่างไม่มีขอบเขตที่จำกัด เครื่องมืออันวิเศษมันถูกใช้ไปเพื่อทำให้โลกวุ่นวายไปนั่นเอง เพราะกิเลสมันครอบงำ มันไสคอไสหัว มันใช้เครื่องมืออันวิเศษไปแต่ในทางกอบโกย ที่จริงมันใช้เพื่อสันติภาพก็ได้แต่มันก็ไม่ได้ใช้เพราะว่ากิเลสนั้นมันครอบงำมันเป็นนายอยู่ อย่างวิทยุนี่ต้องนับว่ามีประโยชน์มากแต่มันเปิดเพลงกันเกือบทั้งนั้นแม้สถานีส่ง ส่วนผู้ฟังนี่ฟังแต่เพลง เรื่องการศึกษาไม่ได้ฟังเอาวิทยุแขวนคอวิทยุเล็ก ๆ วิทยุเล็ก ๆ แขวนคอเกี่ยวข้าวไปพลาง เด็ก ๆ เปิดวิทยุฟังไปพลางแล้วทำการบ้านไปพลาง นี่ผมเห็นกับตาผมถามว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ มันบอกไม่อย่างนั้นมันทำไม่ได้ มันเสพติดวิทยุ มันฟังเพลง ๆ มันไม่ได้ฟังไอ้เรื่องที่เป็นสารประโยชน์ เรื่องสาระประโยชน์มันก็เลยเป็นหมันไปเสียเป็นส่วนมาก ๆ เขาใช้เครื่องมือวิเศษนี้ไปในทางหล่อเลี้ยงกิเลสแต่ท่าเดียว
เรื่องอุตสาหกรรมนั่นมันใช้เพื่ออะไร คุณลองคิดดู อุตสาหกรรมไหนที่มุ่งหมายสร้างสันติภาพ กระเป๋าตัวมันเอง ๆ นั่นน่ะแม้ว่าจะเป็นของส่วนรวมของประเทศชาติมันก็ใช้อุตสาหกรรมไปสร้างเสริมกำลัง สร้างเสริมอำนาจ อำนาจทางเศรษฐกิจ อำนาจทางอาวุธ อำนาจเพื่อการสงคราม ใช้อุตสาหกรรมเพื่ออำนาจ แล้วโลกนี้มันจะมีสันติสุข สันติภาพได้อย่างไร การคมนาคม ถนนหนทางเดี๋ยวนี้วิเศษ แต่มันก็ไม่ได้เพิ่มสันติสุข หรือสันติภาพที่มันสะสมกัน มันสะสมกันมันก็เริ่มยุ่งยาก คมนาคมสะดวกมันก็ไปตากอากาศ เอาคู่รักไปเที่ยวเพลิดเพลินก็ถนนมันดี ใช้เพื่อกามารมณ์ ใช้เพื่อความเพลิดเพลินส่วนบุคคลเป็นที่เล่น อาชญากรก็ยิ่งชอบ ยิ่งถนนเร็วอย่างนี้มันขโมยได้สะดวก มันสร้างเรื่องที่จะปล้นจี้ได้สะดวกก็ถนนมันดี ถนนมันเร็ว ที่หน้าวัดตรงนั้นเอาไม้ขอนขวางรถที่วิ่งมาโดยเร็วชนกระจายลงไปนอนตะแคงอยู่ข้างคูแล้วมันก็มาช่วยขนปลาในรถเอาไปหมด เพราะความที่ถนนดี ถ้าไม่มีถนนดีเรื่องอย่างนี้ก็ไม่เกิด คนมีกิเลสมากก็ใช้ด้วยความกิเลสตัณหา อุบัติเหตุบนท้องถนนมันจึงมากขึ้น ๆ เมื่อไม่มีถนนที่สะดวกสำหรับเหาะกันอย่างนี้ อุบัติเหตุบนท้องถนนมันเกือบจะไม่มี ก็คิดดูความเจริญ ๆ ที่ไม่ถูกควบคุมด้วยธรรมะ ความเจริญที่ตกไปอยู่ใต้ฝ่าเท้าของกิเลส มีกิเลสสุมหัวอยู่ ความเจริญนั้นเป็นไปเพื่อวิกฤตการณ์ทั้งนั้น
เดี๋ยวนี้เราจะมีการพูดกิจกรรมระหว่างประเทศให้ก้าวหน้าเท่าไหร่ มันยิ่งไม่มีสันติภาพ คุณลองดูสิ สังเกตทูตดูสิเดี๋ยวนี้ การเจริญทางการทูต การต่างประเทศมันเจริญเหลือประมาณแต่ว่าโลกมันเต็มไปด้วยวิกฤติการณ์ทางไอ้ทางการทูตนั่นแหละ เพราะการทูตนี้มันเป็นเรื่องหน้าไหว้หลังหลอกนะ มันต้องการจะครองโลก มันเป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว อยากจะพูดเลยไปถึงว่าไอ้ศิลปะที่เราก้าวหน้านัก ศิลปะร้องเพลง ศิลปะเต้นรำ ศิลปะประดับตกแต่ง ศิลปะการกินนี่ก้าวหน้าเหลือประมาณ แต่มันก็ไม่ทำให้โลกนี้เกิดสันติภาพ ยิ่งศิลปะลึกซึ้งเท่าไรเราต้องยอมโง่ ๆ ให้มากเท่านั้นศิลปะจึงจะเป็นศิลปะ ผมก็รู้ว่าพูดอย่างนี้มันถูกด่าแต่ก็ยินดีถูกด่า เพลงจะไพเราะมาก ๆ มันก็ต้องยอมโง่ให้มันมาก ยอมโง่ให้มันมากจนรู้สึกว่าอย่างนั้นมันไพเราะ ภาพเขียนศิลปะเหมือนกันบอกอย่างนั้นงาม แพง แต่คนดูต้องยอมโง่ให้มาก ๆ ๆ จนไอ้อย่างนั้นมันแพง มันดี มันสวย มันวิเศษขึ้นมาจนได้ ศิลปะป้ายสีขายราคาแพงหลายสิบล้านบาท ต้องยอมโง่ให้มาก ๆ โง่ให้ที่สุดศิลปะจึงจะเป็นศิลปะขึ้นมา ศิลปะขับร้อง ศิลปะดนตรี ศิลปะอะไรซึ่งมันต้องยอมโง่มันจึงจะมีความเป็นศิลปะขึ้นมา มันไม่มีค่า ไม่มีความหมายแก่คนที่ไม่ยอมโง่ เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าเราไม่ยอมโง่ให้ศิลปะเหล่านั้นมาสุมกบาลจะซื้อหามาแพง ๆ ไปค้นคว้ามาแพง ๆ แล้วยอมโง่ให้มันเป็นของประเสริฐ ยุคหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ศิลปะอะไร abstract อะไรบ้าบอที่สุดเลยเดี๋ยวนี้เห็นหาย ๆ ไปแล้วเพราะไม่ค่อยมีใครยอมโง่ แม้แต่วิจิตรศิลป์ วิจิตรศิลป์ที่ว่าบ้ากันนักมันก็ต้องยอมโง่ ยอมโง่ให้มาก ๆ ความวิจิตรมันจึงจะปรากฏออกมา ถ้าไม่ยอมโง่ตามที่เขาวางรูปไว้ให้โง่ มันไม่ ๆ วิจิตรอะไร ฉะนั้นศิลปะหรือวิจิตรศิลป์นี้มันไม่สร้างสันติภาพในโลกเพราะมันเป็นเหยื่อของกิเลสคือความโง่ แล้วก็มันจะไปเห็นแก่ตัวอย่างโง่ที่สุดไปอีกมุมหนึ่ง ๆ ทีเดียว เอ้า, ด่าก็ด่าเลยเชิญ ผมก็ยืนยันอย่างนี้ว่าศิลปะทั้งหลายต้องยอมโง่ให้มาก ตามที่เขามีศิลปะลึกเท่าไรเราก็ต้องยอมโง่ให้มากเท่านั้น ใครไปหลอกหมาให้ไพเราะได้ ศิลปะไหนมาหลอกหมาให้ไพเราะก็มันไม่ยอมโง่ไปตามนั้น มันไม่อาจจะยอมโง่ไปตามนั้น มันสมองของคนน่ะมันยอมโง่ได้ลึกเข้าไป ๆ จึงยอมโง่ จึงเกิดไอ้ความลึกของความโง่ตามศิลปะที่มันลึกเข้าไป จะบูชาศิลปะกันทั้งโลกโลกนี้ก็ไม่มีสันติภาพ และมันก็ส่งเสริมความเห็นแก่ตัวด้วยเหมือนกัน เราจะมีวิจิตรศิลป์มากเท่าไหร่ถ้ามีความเห็นแก่ตัวอยู่เพียงใดโลกนี้ไม่มีสันติภาพ
อยากจะพูดถึงโบราณคดี โบราณคดีเป็นวิชาที่สนใจกันมาก ส่งเสริมกันมากก็เหมือนกัน แต่แล้วมันก็ไปศึกษาค้นพบแต่ มัน ๆ ค้นหาแต่แง่ที่จะเอามาใช้เป็นตัวอย่างสำหรับเอาเปรียบผู้อื่น ชนะผู้อื่น คดโกงผู้อื่น ศึกษาโบราณคดีตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จนบัดนี้มันจะมองแต่ในแง่แต่จะใช้ประโยชน์ทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ หรือทางอะไรที่จะเอาเปรียบผู้อื่น ไม่สอดส่องค้นคว้าว่าเขาเคยมีสันติสุข มีสันติภาพ สงบเย็นกันเท่าไร สมัยพัน ๆ ปีมาแล้วมันสงบเย็นอย่างไร ต่อมาสงบเย็นอย่างไร สงบเย็นอย่างไรมันไม่ค้นในรูปนี้ มันค้นจนไม่รู้ว่าอย่างไหนจะมาใช้ประโยชน์ในการเอาเปรียบผู้อื่นได้ โบราณคดีจึงไม่สร้างสันติภาพ ผมเคยบ้ากับเขาพักหนึ่งไอ้เรื่องโบราณคดี พอมองเห็นข้อนี้แล้วก็ชักจะไม่สนใจเสียแล้ว ถ้าสนใจในแง่ของธรรมะ สมัยนั้นเคยสงบกันถึงขนาดนั้น เคยเยือกเย็นกันถึงขนาดนั้นสมัยนั้นคนนอนไม่ต้องปิดประตูเรือน ไม่มีใครเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้ อย่างโบราณคดีสมัยศรีวิชัยนี่ก็มี เมืองศรีวิชัยไม่มีไม่มีใครเอาของที่เจ้าของไม่ได้ใช้ พวกอาหรับที่อื่นมันไม่เชื่อมันก็มาทดลองมันเอาทองทิ้งไว้กลางถนนแล้วมันก็ไป หลายปีมันกลับมา อ้าว, ทองหายไปไหน แต่มันควักดูหน่อยนึงมันอยู่ใต้ดิน มันจมดินลึกลงไปหน่อยนึงเพราะคนมันเหยียบ เพราะมันไม่มีใครเอา มันมีเขียนอย่างนี้แต่ไม่มีใครสนใจที่จะเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครสนใจที่จะมีความซื่อสัตย์ซื่อตรงรักผู้อื่นอย่างนี้
มันมีอีกหลายแง่หลายมุมมีมันแสดงธรรมะอยู่ในโบราณคดีแต่ไม่มีใครสนใจ จะสนใจแต่ว่าจะเอาเปรียบผู้อื่นได้อย่างไร Julius Cesar ฆ่าคนได้มากอย่างไรวิธีใด มันไปสนใจอย่างนั้น มันไม่ใช้เพื่อความสงบสุข ศิลปะหรือโบราณคดี มันจะใช้เป็นเครื่องมือให้เอาตัวอย่างเป็นตัวอย่างสำหรับจะโกงจะเอาเปรียบมากขึ้นไปอีก สิ่งที่เป็นความก้าวหน้าทางวัตถุบำรุงบำเรอมากมายมหาศาลนั้น เพื่อส่งเสริมกิเลสทั้งนั้น ยิ่งเจริญทางวัตถุก็ยิ่งส่งเสริมกิเลส ยิ่งเห็นแก่ตัวยิ่งเอาเปรียบผู้อื่น ฉะนั้น อย่าศึกษาเล่าเรียนเพื่อความฉลาดในทำนองนี้ มันไม่สร้างสันติภาพ ขอให้ศึกษาไปในทางให้รู้จักว่าสันติภาพมันจะเกิดขึ้นมาอย่างไร ศึกษาเพียงว่าได้ทำงานในหน้าที่ที่มีเงินเดือนแพง ๆ แล้วก็สนุกกันใหญ่ คนวัยรุ่นอุตส่าห์เรียน อุตส่าห์ทำการบ้านเพื่อจะได้สวยได้สำรวยได้มีพิธีสมรสที่หรูหราที่สุดกับเขาสักครั้งหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ต้องการสันติภาพอะไร นี่ลืมพ่อลืมแม่ลืมอะไรไปเสียอีกหลาย ๆ อย่างเพราะมันไปบูชาไอ้สิ่งล่อลวงเหล่านั้น
นี่ก็คงจะรำคาญแล้วกระมัง แต่ผมว่าอย่าเพิ่งรำคาญ เพื่อยืนยันในข้อที่ว่าถ้าไม่มีศีลธรรมถ้ามาแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ช่วยโลกได้ อะไรก็ตามที่ออกออกชื่อมาแล้วจะวิทยาศาสตร์ก็ดี เศรษฐกิจก็ดี การเมืองก็ดี อุตสาหกรรมก็ดี อะไรก็ดีไม่ช่วยโลกให้มีสันติภาพได้ถ้ามันมันไม่มีธรรมะสิ่งเดียวเท่านั้น ธรรมะในที่นี้ก็คือ ความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันเพิ่ม ๆ ๆ มันยิ่งเห็นแก่ตัวมันก็ยิ่งเพิ่มไอ้ปัญหา ยิ่งเห็นแก่ตัวก็ยิ่งเพิ่มปัญหา เดี๋ยวนี้มนุษย์ คนเรียกว่าคนดีกว่า อย่าเรียกว่ามนุษย์เลยมันดีเกินไป คนในโลกนี้มันบูชาความเห็นแก่ตัว ทำทุกอย่างเพื่อความเห็นแก่ตัว ถือว่าวิเศษประเสริฐอยู่ที่ความเห็นแก่ตัว นับถือความเห็นแก่ตัวเป็นพระเจ้าสูงสุด ถือศาสนาประโยชน์แทนศาสนาที่ว่ามีอยู่จริง ปากมันว่าถือพุทธศาสนาแต่หัวใจมันถือประโยชน์ มันมาบวชเพื่อศึกษาธรรมะปากมันว่าอย่างนั้น แต่หัวใจมันแสวงหาประโยชน์ มันแสวงหาประโยชน์ มันถือศาสนาประโยชน์ ถือศาสนาประโยชน์ ปากก็บอกว่าถือศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ อิสลาม ฮินดู อะไรต่าง ๆ ไม่รู้ แต่หัวใจจริงมันถือศาสนาประโยชน์ได้ประโยชน์ก็แล้วกัน มันเลวมากกับประโยชน์เลว ๆ ประโยชน์สกปรก อย่างที่มีอะไรเกิดขึ้นในศาสนาไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอุบาสกก็โกง เป็นพระเป็นเณรก็โกง เป็นอะไรมันก็ยังโกง ๆ ๆ อยู่นั่น เพราะมันไม่ถือเพื่อประโยชน์แก่สันติภาพ ยิ่งเห็นแก่ตัวมันก็ยิ่งมีกิเลส มันก็ยิ่งสร้างสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่สันติภาพ
ขอเชิญเอาไปคิดผมยืนยันว่าไม่เสียเวลาหรอก ยิ่งเห็นแก่ตัวยิ่งสร้างปัญหา ๆ คนในโลกปัจจุบันเห็นแก่ตัวมากขึ้น ๆ ๆ มันก็สร้างอุปสรรคหรือไอ้ความเลวร้ายใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ๆ มันโรคแปลก ๆ ที่ไม่เคยเกิดมันก็เกิดขึ้นในโรคเอดส์โรคอะไรก็ไม่รู้น่ะที่มันสกปรก มันก็ได้เกิดขึ้นเพราะความเจริญของผู้เห็นแก่ตัว บางคนก็เป็นบ้ามากขึ้น ประเทศยิ่งเจริญก้าวหน้ายิ่งเป็นคนมีคนบ้ามากกว่า ต่อให้เป็นมหาประเทศที่เจริญด้วยการศึกษาที่พวกคนไทยไปตามก้นเข้านั่นแหละไปดูประเทศนั้นเป็นตัวอย่างมันยังเต็มไปด้วยคนบ้า ยังเต็มไปด้วยโรคจิตมากกว่า คนป่าสมัยโน้นเป็นบ้าน้อยกว่าไอ้คนที่เจริญรุ่งเรืองสมัยนี้ อาชญากรมันก็มากเพิ่มขึ้น ๆ จนน่าเศร้า อ่านดูข่าวหนังสือพิมพ์อาชญากรมันเพิ่มขึ้นเพราะความเจริญทางวัตถุ ยาเสพติดกลายเป็นปัญหาใหญ่หลวงของมนุษย์ สมัยคนป่าสิ่งเหล่านี้ไม่เป็นปัญหา เดี๋ยวนี้ปัญหากำจัดยาเสพติดเป็นปัญหาระหว่างชาติ ระดับโลกน่ะ เพราะคนมันโง่ เพราะคนมันเห็นแก่ตัว
สิ่งที่ไม่เคยเป็นปัญหามันก็เป็นปัญหาขึ้นมา สิ่งที่เรียกว่าคอรัปชั่นเมื่อก่อนไม่ค่อยมียิ่งไปถึงสมัยคนป่าแล้วมันไม่รู้ว่าคอรัปชั่นอย่างไร เดี๋ยวนี้คอรัปชั่นน่ะเป็นของธรรมดา ๆ และเดี๋ยวนี้ก็ทำลายธรรมชาติ ๆ โลกนี้ที่ธรรมชาติสร้างมาดีแล้วทำลายกันหมดจนเป็นปัญหามากขึ้นทุกที เชื่อว่ามันจะอยู่กันไม่ได้ เพราะมันทำลายธรรมชาติมากขึ้น ๆ ต่อไปโลกนี้มันจะร้อนเป็นไฟอยู่ไม่ได้ มันก็มีมลภาวะเดี๋ยวนี้กำลังเป็นปัญหาอย่างยิ่งไอ้มลภาวะที่จะทำลายสุขภาพอนามัยยิ่งมากขึ้นทุกที การทำแท้งมันก็มากขึ้น ยาคุมกำเนิดมันก็ขายดียิ่งขึ้น การหลอกลวงมันก็มีมากขึ้น ไม่มีทางที่จะให้เกิดความสงบสุข แม้จะมีสุขภาพอนามัยดี มันก็ไปใช้เพื่อกิเลส มันจัดอนามัยจัดสุขภาพกันเป็นการใหญ่หารู้ไหมว่า ไอ้คนที่สบายดีกันนั้นมันใช้เพื่อกิเลสหมด มันไม่ใช้เพื่อความสงบสุขหรือสันติภาพของมนุษย์เรา เหมือนกับหลับตาทำ หลับตาทำ ท่านทั้งหลายที่เป็นครูบาอาจารย์ หรือที่เป็นพระกำลังจะสึกออกไปก็ไปคิดดูเอง เรากำลังทำสิ่งที่จะฆ่าตัวเอง แล้วกำลังทำสิ่งที่จะแว้งกลับมาทำลายตัวเองกันหรือไม่ เรื่องเหล่านี้มันไม่น่าพูดแต่ว่ามันก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะมันกำลังเกิดขึ้นมากขึ้น ๆ ๆ ถ้าว่ามันไม่ลดหรือมันไม่เปลี่ยนมันคือวินาศ ถ้าโลกมันยังมีลักษณะอย่างนี้ต่อไป ๆ มันก็คือวินาศ มันมีทางเดียวเท่านั้นที่มันเปลี่ยน ๆ ๆ กลับมาหาธรรมะ เป็นโลกที่มีธรรมะและสิ่งเลวร้ายที่ว่านั้นมันจะหมดไป จะหายไปจะหมดไป
ฉะนั้นจึงขอให้สนใจในสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ๆ ๆ มาช่วยแก้ปัญหาหรือว่ามาป้องกันความวินาศในอนาคต ถ้าปล่อยให้ความเจริญทางวัตถุซึ่งสร้างกันด้วยอุตสาหกรรมว่าเจริญทางวัตถุเป็นไปในระดับอย่างนี้ ในอัตราอย่างนี้แล้วไม่เท่าไหร่โลกนี้มันก็วินาศ วินาศด้วยกิเลสของคนนั่นเอง มันส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ไม่รู้กี่ร้อยเท่ากี่พันเท่า มันมีอยู่ว่า จนกว่ามันจะกลับหลังมาสู่ธรรมะมาเห็นแก่ธรรมะ แทนที่จะเห็นแก่ตัวเท่านั้นแหละ ทางรอดมีอยู่ทางเดียว จนกว่าโลกจะไม่มีความเห็นแก่ตัวหรือลดความเห็นแก่ตัวจะกลับไปสู่โลกของพระอรหันต์ ไม่ไปถึงก็อย่าอวดดี แล้วมันจะดีขึ้นกว่าเดี๋ยวนี้ที่มันไกล ไกลโลกพระอรหันต์ออกไปทุกที ๆ นี่ก็ให้นึกถึงข้อนี้ไอ้ที่ว่ามันจะรอดได้อย่างไร มันจะรอดได้เพราะมันหันไปหาความถูกต้องไปสู่ความถูกต้อง ทีนี้สิ่งต่าง ๆ ก็จะมีผลเป็นสันติภาพ ไม่อย่างนั้นแล้วไอ้สิ่งที่เรียกว่าความเจริญของมนุษย์มันจะทำลายโลก กิเลสหนามากแล้วมันก็จะทำลายโลกกันด้วยตนเอง
เขาพูดกันไว้แต่โบรงโบราณนานไกลว่า มิคสัญญี ยุคมิคสัญญี รออยู่ข้างหน้า คือคนเลวมาก ๆ ๆ จนไม่มีธรรมะเลย จนมันฆ่าฟันกันเหมือนกับฆ่าเนื้อฆ่าปลาตบยุง แล้วมันก็จะฆ่ากัน ๆ จนจะให้หมดโลก คนที่ไม่ได้อยู่วงการฆ่าไปเหลืออยู่ไม่กี่คนมาตั้งต้นกันใหม่ เรียกว่าย้อนกลับกันใหม่ โลกจะมียุคมิคสัญญี คือ เจริญด้วยกิเลส ๆ จะฆ่ากันทั้งโลก รอดอยู่ได้บางคนที่มันแอบไปอยู่เสียที่ไหนเมื่อเขาฆ่ากันมันไม่เข้าไป มันไปซ่อนเสียในป่า พอเขาฆ่ากันเสร็จแล้วออกมาดู อู้ย, ไม่ไหว ขอเปลี่ยน มันจึงเปลี่ยนไปสู่แนวใหม่ ไปหาธรรมะ หาธรรมะกันอีกนี่ จนกว่าโลกจะเปลี่ยนกลับไปหาธรรมะ อย่างนี้มันก็คิดดูเถอะมันจะมีได้อย่างไร ยิ่งมีความเห็นแก่ตัว มันยิ่งทำลายตัว ทำลายตัว เห็นแก่ตัวนั่นแหละทำลายตัวเอง คือคนเห็นแก่ตัวมันจะขี้เกียจ มันจะไม่ทำงานจะให้ผู้อื่นทำ มันจะคอยเอาผล คนเห็นแก่ตัวไม่สามัคคีไปเรียกร้องคนอื่นให้ช่วยสร้างประเทศชาติ มันไม่สามัคคี ไอ้คนเห็นแก่ตัวมันก็เอาเปรียบ มันก็นอนเสีย มันก็คอยที่จะคดโกง และในที่สุดมันก็จะเป็นบ้า ผมสังเกตดูใคร่ครวญดูมีความเชื่อไปในทำนองที่ว่า ไอ้คนบ้าทุกคนในโลกที่เข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลบ้านั่น มันมาจากความเห็นแก่ตัวของมันเข้มข้น ๆ จนหลงทาง ๆ แล้วมันก็เป็นบ้า ฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าตัวเองตายตามนั่นน่ะ ความเห็นแก่ตัวแท้ ๆ เห็นแก่ตัวแท้ ๆ กับทำแก่ตัวอย่างนั้น มันเป็นเรื่องหลอกลวงของกิเลสของอวิชชา มันจะต้องรู้จักกันไว้ว่ามันเป็นได้มากถึงอย่างนี้
เราจะต้องมีชีวิตชนิดที่มีพื้นฐานอันถูกต้อง จะมีธรรมะสำหรับชีวิตที่เป็นพื้นฐานอันถูกต้อง ไม่เห็นแก่ตัว ๆ รู้จักสิ่งที่เป็นความจริงของธรรมชาติ ในการที่จะมาเป็นมนุษย์คนนึง มนุษย์คนนึงนี้มีกฎเกณฑ์อย่างไร มีธรรมชาติอย่างไร ถ้าประพฤติกันให้ถูกต้อง ประพฤติกันให้ถูกต้องคน ๆ หนึ่งน่ะประกอบอยู่ด้วยอะไร ถ้ารู้เรื่องนี้กันได้ก็จะดีมาก
ชีวิตนี้ประกอบขึ้นมาด้วยอะไร เอากันเท่าที่มองเห็นตามหลักธรรมะในพระพุทธศาสนา ก็ถือว่ามันมีสิ่งที่เรียกว่า ธาตุวัตถุ ธาตุ คือธาตุน่ะคือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ๔ ธาตุในทางวัตถุ มันก็มีอากาศธาตุเป็นที่ว่าง สำหรับให้ธาตุวัตถุตั้งอาศัย และมันก็มีวิญญาณธาตุ ธาตุทางจิตใจ สำหรับให้เรารู้สึกคิดนึกได้ให้เราดำเนินควบคุมไอ้ธาตุวัตถุกันไปอย่างถูกต้อง เพราะมันมีธาตุอยู่ ๖ ธาตุตามธรรมชาติ ธาตุเหล่านี้มันก็เปลี่ยนแปลงไป ยักย้ายเปลี่ยนแปลงไปจนเกิดสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมา ไม่เป็นเพียงธาตุ แต่เกิดเป็นสิ่งที่มีชีวิตขึ้นมา แล้วก็มีอุปกรณ์หรือว่าสิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิตที่เรียกว่า อายตนะ มีชีวิตแล้วมันต้องมีอายตนะ คือ มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สำหรับสัมผัสสิ่งข้างนอก นี่คือมีอายตนะ เรามีอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าไม่มีอายตนะก็เท่ากับไม่มีอะไร แม้ว่าโลกนี้มันจะมีอะไรกันกี่อย่างถ้าเราไม่มีอายตนะ ๖ มันก็เหมือนกับไม่มี เราก็มีอายตนะ
ทีนี้เรารู้เรื่องอายตนะกันถูกต้องหรือไม่ เราเป็นทาสของอายตนะหรือเราเป็นนายเหนืออายตนะ อายตนะมันหลอกเราให้หลงรักที่น่ารัก และให้หลงเกลียดโกรธในที่น่าเกลียดน่าโกรธ มันก็เป็นบ้าอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวรักเดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวยินดีเดี๋ยวยินร้าย เดี๋ยวเป็นบวกเดี๋ยวเป็นลบ ไม่มีความสงบสุขสำหรับผู้เป็นทาสของอายตนะ คือเป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รับใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปหาเหยื่อที่เอร็ดอร่อยสนุกสนานมาเพิ่มอยู่เป็นประจำ ชีวิตนี้เป็นธาตุของอายตนะซึ่งที่แท้ก็ปรุงมาจากธาตุตามธรรมชาติ รู้จักธาตุ แล้วก็รู้จักอายตนะ อายตนะมันมีมากพอเป็นกลุ่มเป็นก้อนกันธาตุมันก็เรียกว่าเป็นคน ๆ แจกเป็น ๕ ส่วนถือเป็นขันธ์ ๕ รูปขันธ์คือร่างกาย ส่วนนามขันธ์ฝ่ายจิตใจ มีเป็น ๔ ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฉะนั้น ส่วนจิตใจมี ๒ ส่วนเท่านั้นน่ะ กายกับใจ ไม่ต้องมีอัตตา ไม่ต้องมีผีอัตตามายึดครองอะไร รู้จักขันธ์ทั้ง ๕ ขันธ์ทั้ง ๕ ว่ามันเกิดขึ้นอย่างไร มันส่งเสริมกันอย่างไร มันมีชีวิตอยู่อย่างไร ถ้าจะมีความถูกต้องจะต้องเป็นอย่างไร
ทีนี้มันจัดการไม่ถูกต้องมันก็มีการปรุงแต่งชนิดที่ไปตามเรื่องของมันเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท คือ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกี่ยวกับชีวิตที่ปรุงแต่งกันไปตามกฎเกณฑ์ของปฏิจจสมุปบาทจนมีความทุกข์ มีความทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม ผู้เห็นธรรมก็คือผู้เห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง เมื่อตอนตอนกลางวันก็พูดกันมากแล้วเรื่องนี้ ถ้าเห็นปฏิจจสมุปบาทก็คือเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง คือสามารถจะจับตามได้ถูกต้องไม่ให้ความทุกข์เกิดขึ้นมา
ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนทั้งฆราวาสทั้งบรรพชิตจงสนใจศึกษาเรื่องนี้ การศึกษาที่สวนนานาชาติน่ะมีหลักเท่านี้ ศึกษาให้รู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท และปฎิบัติควบคุมมันให้ได้คือปฏิบัติอานาปานสติ ๒ เรื่องเท่านี้พอ รู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทให้ถูกต้องทบทวนชัดเจน และปฎิบัติอานาปานสติ ฝึกปลุกจิตให้มันควบคุมกลไกของอายตนะของขันธ์ของธาตุเหล่านี้ให้ได้ ชีวิตนี้ก็จะเยือกเย็นเป็นชีวิตที่มีพื้นฐานเป็นธรรมะ ธรรมะจะมาเป็นพื้นฐานของชีวิตโดยไม่ต้องสงสัย มันละเอียดลึกซึ้งเรียกว่าเป็นวิทยาศาสตร์ในทางวิญญาณทางจิตใจ คนเดี๋ยวนี้เรียนวิทยาศาสตร์กันแต่ทางวัตถุ เจริญทางวัตถุ มันหลอกลวงให้หลงใหลในวัตถุแล้วก็ไปหากิเลสแล้วก็ไปหาความวินาศ ถ้าเราจะศึกษาวิทยาศาสตร์ในทางจิตใจกันเสียบ้าง เราก็จะควบคุมกิเลสได้ แล้วก็จะดึงมาหาสันติภาพหรือสันติสุขได้โดยง่าย ได้โดยง่าย
เราจะต้องมีความรู้เรื่องนี้ คือ ความจริงของธรรมชาติตามธรรมชาติ เพียงแต่รู้จักชีวิตที่แท้จริงว่าชีวิตนี้เป็นอย่างไร แล้วก็ทำชีวิตนะให้มีพื้นฐานคือธรรมะ ธรรมะเป็นพื้นฐานของชีวิต ถ้ามันรู้จักธรรมชาติ โดยถูกต้องโดยแท้จริง และชีวิตนี้จะไม่มีอาการเป็นทุกข์ที่เรียกว่ามันกัดเจ้าของ มันกัดเจ้าของ ชีวิตของคนไม่มีธรรมะมันกัดเจ้าของ ชีวิตนี้กัดเจ้าของฟังดูสิ หมามันยังไม่กัดเจ้าของ ชีวิตของคนชนิดนี้มันเลวจนกัดเจ้าของ กัดชีวิตเองนั่นให้เป็นทุกข์ เดี๋ยวความรักบ้ารักกัด เดี๋ยวความโกรธกัด เดี๋ยวความเกลียดกัด เดี๋ยวความกลัวกัด เดี๋ยวความตื่นเต้น ๆ ๆ กัด เดี๋ยววิตกกังวลเรื่องอนาคตกัด เดี๋ยวอาลัยอาวรณ์ข้างหลังกัด อิจฉาริษยากัด ความหวงกัด ความหึงกัด จนถึงฆ่ากันตาย มีตัวอย่างเท่านี้มันก็มากพอแล้ว สิ่งที่จะกัดเจ้าของคนชีวิตที่โง่ เจ้าของชีวิตที่โง่เขลานั้นชีวิตจะกัดเจ้าของมันจึงหาสันติภาพไม่ได้ มันจะต้องทำให้มันถูกต้อง ๆ จนไม่กัดเจ้าของ ๆ นั่นน่ะพื้นฐานธรรมะ
พื้นฐานของชีวิตก็คือความรู้ที่มันถูกต้องจึงนำไปสู่ความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว แต่ว่าเห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่ความถูกต้องจึงช่วยให้เห็นแก่ผู้อื่น เพราะมีความเห็นถูกต้องเห็นแก่ความถูกต้องมันจึงรักผู้อื่น ถ้ามันเห็นแก่ตัวมันไม่รักผู้อื่น และไม่เห็นแก่ความถูกต้อง มันจะเอาตามกิเลสของมันเสมอไป เรามาฝึกฝนกิเลสกัน ฝึกฝนการกำจัดกิเลสกัน เมื่ออยู่ที่บ้านเป็นฆราวาสก็มีการกำจัดกิเลส มาบวชเป็นนักบวชที่วัดก็มีการกำจัดกิเลสกัน จึงจะเข้ารูปเข้ารอยของพระศาสนาที่จะทำให้ชีวิตนี้มีพื้นฐานอันถูกต้อง ไม่เห็นแก่ตัว และก็ต้องเห็นแก่ความถูกต้อง และคงที่ ๆ อยู่ในความถูกต้อง ศึกษาวิปัสสนาให้เห็นว่าความจริงของธรรมชาติทั้งหลายเป็นอย่างไร แล้วก็ไม่โง่ไม่ไปหลงในสิ่งใดให้เกิดเป็นกิเลสขึ้นมา
กิเลสนั้นมันมี ๓ ประเภท ประเภท ๑ เป็นกิเลสบวก ทำให้ต้องการ ต้องเอาเข้ามายึดครองเอาไว้ นี่คือกิเลสประเภทบวก ได้แก่ โลภะ ราคะ มันจะเอาเข้ามา กิเลสอีกประเภทนึงมันเป็นลบ มันมีความเป็นลบ มันก็ต้องการจะฆ่าต้องการจะทำลาย นี่คือกิเลสประเภทโทสะ หรือโกธะ หมวดที่ ๒ นะ ที่มันยังไม่แน่เป็นบวกหรือเป็นลบมันก็โง่สงสัยอยู่นั่น ขวนขวายสงด้วยความสงสัยอยู่นั่นมัวเมาในสิ่งที่ไม่รู้จัก นี่เป็นกิเลสประเภทโมหะ เรามีกิเลส ๓ หมวดด้วยกัน หมวดโลภะมันจะเอา หมวดโทสะมันจะทำลาย หมวดโมหะมันจะวิ่งตามอยู่อย่างไม่รู้ว่าจะไปทิศทางไหน นี่คือกิเลส นี่คือกิเลส ที่ศึกษาเห็นในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริงมันก็ไม่เกิดความเป็นบวกไม่เกิดความเป็นลบให้โง่ ในจิตเกิดความเป็นบวกเป็นลบเมื่อไรเมื่อนั้นแหละคือเวลาโง่ ไปหลงรักไอ้ที่น่ารัก ไปหลงเกลียดไอ้ที่น่าเกลียดน่าโกรธ แล้วก็ไปมีแต่ปัญหาสงสัยในที่มันยังไม่รู้ว่าอะไร ความหลงบวกหลงลบน่ะเป็นเหตุทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว ตัวบวกก็ได้ตัวลบก็ได้มันเห็นแก่ตัวแล้วก็เกิดกิเลสทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีความฉลาดอยู่เหนือความเป็นบวกเหนือความเป็นลบของปัจจัยที่มาปรุงแต่ง ประโยคนี้ขอช่วยจำให้ดีว่าพื้นฐานความถูกต้องของชีวิตนั้น คือ ความมีจิตชนิดที่ไม่เป็นบวกไม่เป็นลบไปตามสิ่งที่เข้ามาปรุงแต่งให้เป็นบวกและเป็นลบ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจทั้งหมดนี้มันจะมีสิ่งเข้ามาปรุงแต่งจิตใจให้เป็นบวกและเป็นลบ และเกิดกิเลสบวก เกิดกิเลสลบ แล้วก็มีความทุกข์ทรมาน แม้จะมีความคงที่ ๆ อยู่ในความถูกต้องเรียกว่า อตัมมยตา คงที่อยู่ในความถูกต้อง ไม่ไปโง่ให้เป็นบวก ไม่ไปโง่ให้เป็นลบ นั่นน่ะคือมาตรฐานหรือพื้นฐานอันแท้จริงของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต มันมีความถูกต้อง ๆ ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ถูกหลอกให้เป็นบวก ไม่ถูกหลอกให้เป็นลบ
สิ่งที่เข้ามาปรุงแต่งมีรอบด้าน เรียกว่า สังขาร สังขาร แปลว่า การปรุงแต่ง สังขาร แปลว่า สิ่งที่ปรุงแต่ง สังขาร แปลว่า สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง ๓ ความหมาย สิ่งที่ปรุงแต่งสิ่งอื่นก็เรียกว่าสังขาร สิ่งที่ถูกปรุงแต่งก็เรียกว่าสังขาร อาการที่ปรุงแต่งก็เรียกว่าสังขาร นี่สังขารคำนี้มีความหมายครอบจักรวาล คนโง่รู้จักสังขารแต่เพียงว่าร่างกาย สังขารร่างกายนี้รู้จักเท่านี้ นี่นิดเดียวไม่มีประโยชน์ สังขาร แปลว่า การปรุงแต่ง มันเต็มไปด้วยสังขารในคน ๆ หนึ่ง แต่ละคนเดี๋ยวนี้มันเต็มไปด้วยการปรุงแต่งภายในปรุงแต่งอย่างนั้น ปรุงแต่งอย่างนี้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เลือด อวัยวะทุกส่วนตั้งอยู่ได้ ๆ ๆ มันมีสังขารปรุงอยู่ตลอดเวลา แต่ทางร่างกายนี้ยังไม่มีปัญหา ทางจิตใจนี่สิมันปรุงแต่งให้เกิดความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว และเกิดกิเลสเป็นประเภท ๆ ไปดังที่กล่าวมาแล้ว ชีวิตนี้สูญเสียพื้นฐานอันถูกต้อง ไปโง่ ไปหลงบวกไปหลงลบ แล้วก็เกิดกิเลสบวกเกิดกิเลสลบ แล้วก็ทำลายตัวเองทำลายผู้อื่น ไม่มีสันติสุข ไม่มีสันติภาพ ฉะนั้น เราจะต้องเรียนรู้เรื่องนี้ เราจะต้องควบคุมไอ้สังขารการปรุงแต่งนั้นน่ะให้มันเป็นไปในทางถูกต้อง
เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี่น่ะก็คือเรื่องสังขารการปรุงแต่งเป็นสายยาวเฟื้อยตั้ง ๑๒ ขั้นตอน ซึ่งเรียกว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่สอนฝรั่งทุกเดือนนั้นน่ะ นั่นแหละคือการปรุงแต่งของสังขาร เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ต้องควบคุม ๆ ไม่ให้ปรุงแต่งไปในทางที่ผิด ไม่ให้ปรุงแต่งไปในทางที่ให้เกิดทุกข์ แต่ว่าให้มันเป็นไปในทางถูกต้อง มีสันติสุขมีสันติภาพ หรือถ้าไม่ให้ปรุงแต่งเสียได้เลยก็เป็นนิพพานไปเลย แต่ถ้ายังมีทางปรุงแต่งอยู่ก็ควรแต่งให้ถูกให้ดีกันไปก่อน เลิกจากชั่วมาสู่ดี เหนือดีขึ้นไปก็มีนิพพาน ปราศจากการปรุงแต่ง ถ้ายังต้องปรุงแต่งอยู่ก็ปรุงแต่งให้มันถูกต้องปรุงแต่งกันไปเพื่อสันติสุข สันติภาพ มีสติเพียงพอแล้วก็ช่วยได้ ถ้าสติไม่เพียงพอคุมไว้ไม่ได้เราก็ปรุงแต่งไปในทางกิเลสตัณหาหมด
งั้นฝึกสติ ๆ ๆ ไว้ให้มาก และสตินี่จะช่วยควบคุมให้มันคงที่อยู่ในความถูกต้อง สติมันไปเอาปัญญาที่เราเรียนรู้มาจัดการกับสิ่งที่เข้ามาปรุงแต่งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางไหนก็ตาม ที่มันเข้ามาเพื่อจะปรุงแต่งมากกว่าต้อนรับมันที่เรียกว่า สติ ๆ แต่มันก็ไม่ใช่ง่ายนะที่จะเป็นผู้มีสติ มันต้องฝึกกันอย่างยิ่งเหมือนกัน มีสติเพียงพอมันก็ใช้ได้แล้วรอดตัว ปัญญา ปัญญาแม้จะมากมายอย่างไรถ้าไม่มีสติก็เป็นหมันหมดแหละ มันก็เหมือนอาวุธที่ไม่ได้เอามาใช้มันจะมีประโยชน์อะไร หยูกยาที่ไม่ได้เอามากินมันจะมีประโยชน์อะไร มันต้องมีสติที่จะเอาอาวุธมาใช้ให้ถูกต้อง เอาหยูกยามากินให้มันถูกต้องมันถึงจะแก้โรค มันถึงจะกำจัดข้าศึกได้เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะต้องฝึกฝนเป็นอย่างมากก็คือสติ ๆ ปัญญานั้นเพิ่มพูนไว้ เพิ่มพูนไว้ พอเกิดเรื่องสติไปเอาปัญญามาเผชิญหน้ากับเหตุการณ์นี้เรียกว่า สัมปชัญญะ รู้สึกตัวทั่วพร้อมเข้มแข็งเฉพาะกรณี ๆ เฉพาะเรื่อง นี่ถ้าว่าพลังจิตมันอ่อนไปสู้อารมณ์ไม่ไหวต้องใช้สมาธิ ๆ ซึ่งมีกำลังมีน้ำหนัก ปัญญา ๆ เป็นเพียงความคม ถ้าไม่มีน้ำหนักมันไม่ตัดหรอก คุณไปลองคิดดู แล้วมันจะคมยิ่งกว่ามีดโกน เอ้า, คมยิ่งกว่ามีดโกน แต่ถ้าไม่มี ๆ น้ำหนักที่จะกดลงไปมันไม่ตัด มันไม่ตัด มันคมเป็นหมันจะต้องมีน้ำหนัก มีน้ำหนักคือสมาธิ ปัญญาจึงจะใช้ความคมตัดต้องมีสติเอามาใช้ทันเวลา ทันเวลา ถ้าไม่ตรงเวลา ไม่ทันเวลา ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ศึกษาฝึกฝนสติจะเป็นเครื่องมืออันพิเศษที่จะช่วยชีวิตนี้มีธรรมะเอาพื้นฐานอันถูกต้องอยู่เสมอ ชีวิตนี้จะเป็นชีวิตชนิดที่มีธรรมะเป็นพื้นฐาน สามารถควบคุมสังขารตามตกแต่งด้วยอำนาจของสติ เป็นชีวิตที่มีความสะอาดบริสุทธิ์ มีความสว่าง ไม่โง่เขลา มีความสงบเยือกเย็น เยือกเย็น ดูยังเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นอีกด้วย ขอให้ชีวิตนี้มันจบลงที่ความสงบเยือกเย็น และก็เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย ทั้ง ๒ อย่างเยือกเย็น ส่วนตัวเองก็เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น นี่คือชีวิตชนิดที่มีธรรมะเป็นพื้นฐาน ไม่มีชีวิตเลื่อนลอยเป็นบวกเป็นลบ เดี๋ยวดีใจเดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ อย่าไปหลงกับมันนักไอ้เรื่องหัวเราะ ไอ้เรื่องดีใจมันเรื่องบ้าพอ ๆ กัน ดีใจมันก็ยุ่ง เสียใจมันก็ยุ่ง อย่าทั้ง ๒ อย่างน่ะ จะปกติน่ะจะสบาย จะเป็นสุข และจะทำงานได้ดี ทำหน้าที่ได้ดี ชีวิตต้องปกติ ชีวิตต้องปกติ จำไว้ว่าปกติ ๆ มันจึงจะอยู่เป็นสุข หรือจะทำหน้าที่การงานอะไรมันก็ทำได้ดี ทำได้ดี ถ้าชีวิตนี้มันวุ่นวายด้วยบวกด้วยลบเสียแล้ว มันทำอะไรไม่ได้ ไถนาให้ดีก็ทำไม่ได้แล้วก็งานที่ประณีตละเอียดย่อย ต้องมีชีวิตปกติ ชีวิตปกติที่จะทำงานได้ดีทุกอย่าง ไม่มีความโง่มาเป็นเครื่องหลอกลวงตัวเองให้เห็นแก่ตัว ให้เห็นแก่ตัว เรื่องความเห็นแก่ตัวนี้มีเรื่องยาวมากจะต้องพูดกันเป็นเรื่องพิเศษน่ะ แต่เดี๋ยวนี้พูดเอาแต่รวบรัดว่าไม่หลงบวก ไม่หลงลบ ไม่ไปหลงอารมณ์บวก ไม่ไปหลงอารมณ์ลบ มันก็ไม่เกิดตัวกูบวก ไม่เกิดตัวกูลบ มันก็ไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีอะไรที่จะเห็นแก่ตัว ชีวิตนี้เมื่อมีความโง่แล้วมันก็กัดตัวเอง กัดตัวเอง เลวกว่าหมา ๆ เพราะหมายังไม่กัดตัวเอง ชีวิตนี้ถ้ามีธรรมะแล้วมันไม่กัดตัวเอง ไม่กัดตัวเอง ทำให้ตัวเองมีความเจริญงอกงามก้าวหน้า พัฒนาไป ๆ จนกว่าจะถึงที่สุดจุดหมายปลายทาง
นี่ขอให้เข้าใจคำว่าชีวิตที่มีธรรมะเป็นพื้นฐาน ธรรมะนั่นแหละเป็นพื้นฐานของชีวิต ชีวิตที่มีพื้นฐานคือชีวิตที่ต้องมีธรรมะ ธรรมะนั่นแหละเป็นพื้นฐานของสิ่งที่มีชีวิต ขอให้มีธรรมะให้ถูกต้องให้เพียงพอให้ครบถ้วนให้ทันเวลา ช่วยจำบทนิยามสักบทหนึ่งไปแก้คำเข้าใจที่เขลา ๆ ผิด ๆ มาตั้งแต่เด็ก ๆ ในโรงเรียนเล็ก ๆ ว่าธรรมะคืออะไร ธรรมะ ๆ นั้นน่ะคือระบบปฏิบัติ ระบบปฏิบัติเพราะมันต้องปฏิบัติเป็นระบบไม่ใช่ข้อเดียว และที่ถูกต้อง ๆ ผิดไม่ได้ ๆ และก็เพื่อความรอด ๆ ถ้าถูกต้องมันต้องเป็นไปเพื่อความรอด ถ้าความรอดนี้ต้องทั้งทางกายและทั้งทางจิตใจ ทั้งทางกาย ทั้งทางจิตใจ และก็ทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ทุกชนิดแห่งชีวิต ทั้งเพื่อตัวเองและผู้อื่น
มันจะพูดให้ครบถ้วนมันก็ยืดยาวหน่อยนะ แต่พวกคุณก็เคยเรียนในโรงเรียนครูบอกว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่มันเหมือนกับหลอก ไม่เจตนาหลอกก็เหมือนกับหลอก ขอให้รู้ว่าในประเทศอินเดียน่ะ คำสอนของศาสดาองค์ไหนก็เรียกธรรมะเหมือนกันหมดเลย ศาสดาองค์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าเขาก็เรียกคำสอนของเขาว่าธรรมะ ประชาชนก็เรียกคำสอนของเขาว่าธรรมะ เพราะประชาชนจะเลือกธรรมะของศาสดาองค์นี้ศาสดาองค์นั้น ธรรมะมันไม่ใช่คำสอนของศาสดาองค์ไหนโดยเฉพาะเป็นคำกลางที่ใช้พูดกันอยู่ ท่านชอบใจธรรมะของใคร เขาจะถามว่าท่านชอบใจธรรมะของใคร ชอบใจธรรมะของพระสมณโคดมกระมัง ชอบใจธรรมะของนิครณห์บุตร (ชั่วโมงที่ 1:21:26) กระมัง ชอบใจธรรมะของ (ชั่วโมงที่ 1:21:29) มันมีหลายศาสดา
ธรรมะนั้นมันไม่ได้แปลว่าคำสั่งสอนหรอก แต่มันสอนเรื่องธรรมะน่ะ สอนเรื่องธรรมะ ไอ้ตัวธรรมะแท้ ๆ น่ะ ช่วยฟังใหม่ที่ว่าตะกี้ก็บอกไปแล้วว่า ธรรมะ คือ ระบบการปฏิบัติ ปฏิบัติเพียงสิ่งเดียวไม่ได้ ต้องปฏิบัติเป็นระบบเป็น system เป็นระบบครบถ้วนถูกต้อง แล้วก็การปฏิบัติที่ถูกต้องที่ถูกต้อง คำว่าถูกต้องนั่นคือสำเร็จประโยชน์แก่ทุกฝ่าย อย่าไปถูกต้องตามวิชา philosophy logic อะไรของพวกอื่นบ้า ๆ บอ ๆ ทั้งนั้นน่ะ ยิ่ง philosophy นั้นหาความถูกต้องไม่พบหรอก มันมีเหตุผลเรื่อยไป เอาถูกต้องตามหลักของพระศาสนาโดยเฉพาะพระพุทธศาสนา ถูกต้อง ๆ คือไม่ทำให้เกิดทุกข์ ไม่ทำให้เกิดปัญหาแก่ผู้ใดแต่ทำให้เกิดประโยชน์สุขแก่ทุกฝ่ายนั่นแหละคือความถูกต้อง ถูกต้อง เชื่อตนเองรู้ได้ด้วยตนเองว่าความถูกต้องเป็นอย่างนี้ นี่ถูกต้องให้มันถูกต้องแต่ความรอด ๆ ๆ ถ้าไม่รอดก็คือตาย ที่ไม่ตายคือรอดทางกาย รอดก็ไม่ตายทางจิต รอดก็ไม่เป็นทุกข์ ถ้าทางกายผิดพลาดมันก็ไม่รอด มันก็คือตาย ถ้าทางจิตไม่รอดไม่ถูกต้องมันก็เป็นทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตกนรกไปเสียอีก จึงมีความถูกต้องทั้งทางกายและทางจิต ทีนี้ต้องทุกขั้นตอนแห่งชีวิตมีธรรมะถูกต้องทุกขั้นตอนแห่งชีวิต นับตั้งแต่เป็นลูกเด็ก ๆ ทารกเพิ่งเกิด เติบโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นเป็นหนุ่มสาว เป็นพ่อบ้านแม่เรือน เป็นคนแก่คนเฒ่า ทุกขั้นตอนแห่งชีวิตต้องรอด ๆ ๆ มันถึงจะรอดกันทั้ง ๒ ฝ่าย คือรอดทั้งเรา และรอดทั้งเพื่อนมนุษย์ของเรา รวบรัดอีกทีว่าธรรมะ คือ ระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความรอดทั้งทางกายและทางจิต ทุกขั้นตอนแห่งชีวิตทั้งเพื่อตัวเองและผู้อื่นนี่
ธรรมะคืออย่างนี้ ครูในโรงเรียนบางทีนั่งอยู่ที่นี่ แถมให้ก็ได้สอนเด็ก ๆ ว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไปบอกเขาเถอะอย่างนั้นไม่ถูกแล้ว ขอให้รู้ว่าธรรมะคือ สิ่งที่จะช่วยให้รอด คือ หน้าที่ ๆ คือสิ่งที่จะช่วยให้รอด เรียกเป็นไทยว่าหน้าที่ เรียกเป็นบาลีว่าธรรมะ เป็นสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าท่านก็เคารพ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้เสร็จลงไปใหม่ ๆ ทันใดนั้นท่านเกิดฉงน โอ้, ต่อไปนี้จะเคารพอะไร เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจะเคารพอะไร ท่านถามตัวเองอย่างนี้ ในที่สุดท่านก็ตกลงใจ อู้ว, เคารพธรรมะ ธรรมะคือเคารพหน้าที่ เคารพหน้าที่ของพระพุทธเจ้า ท่านก็เลยเคารพหน้าที่ เคารพหน้าที่ ทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้าดีที่สุดอย่างที่ว่ามาแล้วตลอดวันตลอดคืน จนวินาทีสุดท้าย จะนิพพานอยู่หยก ๆ แล้วยังโปรดธรรมะแก่คนที่มาถาม ไปอ่านพุทธประวัติดูจะปรินิพพานอยู่เดี๋ยวนี้ยังมีคนภายนอกพุทธศาสนามาขอถาม ถามธรรมะน่ะ พระสงฆ์ทั้งหลายก็ โอ้ย, ไอ้บ้ามารบกวนเวลาอย่างนี้ไป ๆ ๆ พระพุทธเจ้าท่านได้ยินก็อย่าไล่มัน ๆ ไปบอกมันมา บอกมันเข้ามา ให้ถาม ๆ ท่านตอบ ๆ ๆ จนปริพาชกคนนั้นรู้ธรรมะพอที่จะเป็นพระอรหันต์ ต่อมาอีกไม่กี่นาทีท่านก็นิพพาน ท่านทำงาน ทำหน้าที่ หรือเคารพธรรมะจนนาทีวินาทีสุดท้ายดีกว่า
นี่ขอให้เราเคารพธรรมะ เคารพหน้าที่ เคารพหน้าที่ เคารพธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือพระเป็นเจ้าที่สูงสุดที่เราต้องเชื่อฟัง คือทำหน้าที่ให้ถูกต้องแล้วจะมีความรอด ธรรมะคือหน้าที่สูงสุดจนพระพุทธเจ้าก็เคารพ ทีนี้พวกเรามันโง่เคารพพระพุทธเจ้า แต่ไม่เคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ มันเป็นเสียโดยมากอย่างนี้ ให้เวลาสนใจกับธรรมะนิดเดียวแหละ ไปสนใจเรื่องกิเลสทั้งนั้นแหละ ๙๙ เปอร์เซ็นต์เวลาเอาไปสนใจกิเลส ๑ เปอร์เซ็นต์ก็ไม่ถึงจะไปสนใจธรรมะแล้วมันจะทันกันที่ไหน ขอให้เคารพธรรมะสูงสุดยิ่งกว่าสิ่งใดเหมือนพระพุทธเจ้า ธรรมะจะช่วยเรา จะช่วยผู้อื่น จะช่วยโลกทั้งโลก สนใจธรรมะเถิดจะสามารถช่วยกันทั้งโลก นี่จะบวชก็ตามจะไม่บวชก็ตาม มันมีปัญหาอย่างเดียวกันคือต้องดับทุกข์ ต้องดับทุกข์ ความทุกข์ของฆราวาสก็คืออย่างนั้น ความทุกข์ของนักบวชก็คืออย่างนั้น ความทุกข์ของฝรั่งก็อย่างนั้น ความทุกข์ของแขกของจีนของแขกดำก็อย่างนั้น ความทุกข์ของคนไทยก็อย่างนั้น ความทุกข์ของชาวอินเดียก็เป็นอย่างนั้น มันเหมือนกัน
ศึกษาธรรมะที่เป็นความถูกต้องสากล แล้วก็แก้ปัญหาทั้งหลายได้ ดำรงชีวิตอยู่ในความถูกต้อง คงที่อยู่ในความถูกต้อง นั่นแหละคือชีวิตพื้นฐาน มีธรรมะพื้นฐานให้แก่ชีวิต ชีวิตก็เป็นธรรมะ มีธรรมะพื้นฐานไม่มีปัญหาใด ๆ ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนทั้งฆราวาสและบรรพชิตนี้จงมีชีวิตที่มีธรรมะเป็นพื้นฐาน ตัวธรรมะน่ะเป็นชีวิตหรือเป็นคู่ของชีวิต ธรรมะออกไปก็คือตาย ตายทางกาย ตายทางจิต ทางวิญญาณก็คือตาย ขอจงมีธรรมะเป็นพื้นฐานของชีวิต มีชีวิตชนิดที่มีธรรมะเป็นพื้นฐาน แล้วก็จะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วพบกับพุทธศาสนาเป็นแน่นอน คือได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับเพราะการปรับปรุงชีวิตในลักษณะอย่างนี้
หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้นำไปคิดนึกพิจารณาดูให้ดี ไม่ต้องเชื่ออาตมา ๆ เชื่อเหตุผลที่มันมีอยู่ในตัวมันเองในคำพูดในคำสอนนั่นแหละมันมีเหตุผลอยู่ในตัวมันเอง มองให้เห็นจับให้ได้แล้วก็เชื่ออันนั้น ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น ไม่ต้องเชื่อแม้แต่ครูบาอาจารย์ พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ไม่ต้องเชื่อว่าผู้นี้เป็นครูของเราก็ไม่ต้องเชื่อ แต่ขอให้เอาคำที่เขาพูดน่ะมาดูให้เห็น เหตุผลที่มันมีอยู่ในคำพูดแล้วก็เชื่อนั้นเชื่อสิ่งนั้น ไม่เชื่อพระไตรปิฎก ไม่เชื่อทุกอย่าง ๑๐ ประการอย่างที่กล่าวไว้ในกาลามสูตร แต่แล้วมันก็เชื่อธรรมะ คือเหตุผลที่มันแสดงอยู่ในคำพูด คำพูดของใครก็มีเค้าเงื่อนเหตุผลแสดงอยู่ที่นั่นใคร่ครวญดูให้ดี เพราะถ้ามันจะดับทุกข์ได้ก็ลองดู มันดับทุกข์ได้จริงก็เชื่อหมดเลย ๆ นี่มีธรรมะเป็นพื้นฐานแห่งชีวิตก็เป็นชีวิตชนิดที่มีพื้นฐาน ขอให้ทุก ๆ ท่านประสบความสำเร็จในการมีชีวิตชนิดนี้ด้วยกันทุก ๆ คนตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย